แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เราจะได้พูดกันโดยหัวข้อซึ่งออกจะแปลกสักหน่อย คือมีหัวข้อว่ามนุษย์เราจะเรียนอะไรกัน, มนุษย์เราจะเรียนอะไรกัน มันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอยู่กับพวกเราชัดๆ ซึ่งจะต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้รู้กันให้ถูกต้อง เรามาดูกันตามความเป็นจริงกันเสียก่อนเกี่ยวกับที่มันเป็นอยู่จริงนี่ เราเรียน เรียน เรียน ยิ่งเรียนมากๆ เข้า ก็มองเห็นว่าไม่รู้จะเรียนอย่างไรไหว ยิ่งเห็นว่ามีเรื่องที่เขาเรียนกันมากๆ มากเหลือเกิน มากจนไม่รู้จะเรียนให้มันจบอย่างไรไหว ก็ล้วนแต่น่าเรียน และเขาก็เรียนกันอยู่ในโลก นี่เรียกว่าเรียนอย่างไม่รู้จบรู้สิ้น ทีนี้อีกทางหนึ่ง อีกคนหนึ่ง ยิ่งเรียนๆ มันก็รู้ว่าเราก็ไม่ต้องเรียนมากถึงอย่างนั้น เรียนเท่าที่จําเป็นจะต้องเรียน ก็ไม่เท่าไหร่ ก็น้อยมาก เราไม่เห่อตามเขาที่จะเรียนอย่างที่ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น สองอย่างนี้มันมีอยู่จริงในความรู้สึกที่คนเราที่เป็นนักเรียนนักศึกษา ก็คิดดูว่าอย่างไหนมันถูกต้อง,อย่างไหนมันถูกต้อง อย่างไหนเป็นความจริง
นี้เราจะต้องนึกไปถึงข้อที่ว่าปุถุชนเขาเรียนอะไรกัน พระอริยเจ้าเขาเรียนอะไรกัน มันมีปัญหาขึ้นมาอย่างนั้น เราจะเรียนอย่างปุถุชนหรือจะเรียนอย่างพระอริยเจ้า ปุถุชนคือคนที่ไม่รู้ธรรมะ ไม่เคยรู้เรื่องธรรมะ ไม่เคยนั่งใกล้พระอริยเจ้า ไม่เคยนั่งใกล้สัตบุรุษ เป็นคนธรรมดาปุถุชนชาวบ้าน ชาวบ้านเต็มขั้น มันก็เรียนอย่างปุถุชน ทีนี้พระอริยเจ้าหรืออริยชนก็เรียนอีกอย่างหนึ่ง มันเรียนเพื่อ ความเป็นอริยชน อย่างหนึ่งมันเรียนเพื่อเป็นปุถุชน
ฟังดูให้ดีๆ มันมีความจริงเป็นอย่างนั้น เพราะว่าปุถุชน เขาก็เรียนเพื่อความเป็นปุถุชน ตามความอยากตามความปรารถนารู้สึกของปุถุชน มันก็ละโมบโลภลาภ เรียนสิ่งที่จะนํามาซึ่งประโยชน์อย่างโลกๆ ก็อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น นี่ก็เรียนอย่างปุถุชน ทีนี้ถ้าเรียนอย่าง อริยชนมันไม่โลภมากอย่างนั้น หรือมันไม่บ้ามากขนาดนั้น มันก็เรียนอย่างที่เห็นว่าควรจะเรียนหรือจําเป็น จะต้องเรียน มันจึงไม่มาก ไม่ต้องการมากอย่างที่ปุถุชนต้องการ
ข้อนี้เราจะมองเห็นได้ชัดว่าปุถุชนเขาเรียนเพื่อแสวงหาเหยื่อให้กิเลส มันจึงไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักสิ้นสุด ไม่มีกําหนดกฎเกณฑ์ มันเรียนเพื่อหาเหยื่อให้กิเลส ถ้าอริยชนมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เรียนเพื่อหาเหยื่อให้กิเลส มันเรียนเท่าที่จําเป็น และมันยังจะเรียนเพื่อกําจัดกิเลสด้วยซํ้าไป นี่มันจึงต่างกันมาก ตรงกันข้ามหรือว่าเรียกว่าเดินสวนทางกันทีเดียว
ทีนี้ที่เราเรียนกันเดี๋ยวนี้ในโลกนี้ มันเรียนอย่างไหนกันแน่ เราเรียนอย่างที่จะสนองความต้องการของกิเลสหรือว่าจะเรียนอย่างที่จะหยุดความต้องการของกิเลสเพราะต้องการความสงบเย็น คุณก็พอจะทายได้เองแหละว่า ถ้าจะเรียนเพื่อสนองกิเลส มันก็ไม่มีที่สิ้นสุดและยิ่งมาก ยิ่งยุ่ง ยิ่งร้อน ยิ่งเรียนยิ่งร้อน แม้ประสบความสําเร็จมันก็ยิ่งมาก และยิ่งร้อน ถ้าเรียนอย่างอริยชนมันก็ไม่มากและมันก็ไม่ยุ่งและมันก็ไม่ร้อน เมื่อเราแยกกันเด็ดขาดอย่างนี้ ก็ควรจะรู้ว่า ถ้าเป็นปุถุชนควรจะเรียนสักเท่าไหร่ดี อริยชนจะเรียนสักเท่าไหร่ดี ก็จะเรียนสักเท่าไหร่ดี
มันมีความจำเป็นที่ว่าเราอยู่ในโลกนี้จะต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยให้เป็นอยู่อย่างผาสุก เป็นอยู่อย่างผาสุกแน่นอน ฉะนั้นเราจึงต้องเรียนอย่างที่เราเลือกเรียนน่ะ เลือกเรียนอย่างที่เรียนกันนี่ จะเรียนวิชาชีพอะไร จะเป็นวิศวกรหรือจะเป็นหมอ หรือจะเป็นทนายความ หรือจะเป็นข้าราชการชนิดไหน ก็มุ่งเรียนให้สําเร็จประโยชน์ให้ได้วิชานั้น มาสําหรับดําเนินชีวิตชนิดโลกๆ ให้มันอยู่ได้อย่างโลกๆ ถ้าอย่างนี้มันก็ไม่มาก ไม่มากมายหรือเรียกว่ามีที่สิ้นสุดแหละ มันมีที่สิ้นสุด แต่แล้วมันก็มีปัญหาอยู่ที่ว่าแม้จะประสบความสําเร็จของการเรียนอย่างปุถุชน มีผล ตั้งตัวได้ดําเนินชีวิตได้ มีทรัพย์สมบัติมีหลักฐาน มันก็ยังขาดอีกอย่างหนึ่งซึ่งอริยชนเขาเรียน คือความรู้ที่จะ ทําให้ไม่เป็นทุกข์
เรียนอย่างปุถุชนประสบความสําเร็จในหน้าที่การงานหลักทรัพย์อะไรต่างๆ ดีแล้ว มันก็ไม่มี ความรู้ที่จะดำรงชีวิตให้เยือกเย็นไม่เป็นทุกข์ ฉะนั้น จึงต้องเรียนชนิดที่พระอริยเจ้าอริยชนเขาเรียน รู้จักการ ดำรงจิตดำเนินชีวิตชนิดที่ไม่เป็นทุกข์ นี่ก็พอจะเห็นได้ทันทีว่า โอ้, มันต้องเรียนกันทั้งสองอย่างแหละ เรียนอย่างปุถุชนเรียนครึ่งหนึ่ง เรียนอย่างพระอริยเจ้าเรียนก็ครึ่งหนึ่ง เรียนอย่างปุถุชนเรียนก็สำเร็จ ประโยชน์ในการดำเนินอาชีพ ตั้งเนื้อตั้งตัวได้สบายเรียกว่าผาสุก เรียกว่ามีความผาสุกอย่างการครองเรือน ปัญหาหมดไป แต่บุคคลผู้นั้นมันจะต้องประสบปัญหาทางจิตใจด้านลึกซึ้งของจิตของวิญญาณ คือกิเลสมันครอบงำ มันไม่รู้เรื่องของกิเลส มันควบคุมกิเลสไม่ได้ มันจะต้องมีเรื่องที่จะต้องเกิดความโลภ เกิดความโกรธ เกิดความหลง ยุ่งยากลำบาก และก็ไม่มีธรรมะที่จะควบคุมชีวิตจิตใจ สังคมกันกับผู้อื่น มันมีปัญหามากในส่วนนี้
มีคนมาถามปัญหามากเหมือนกันที่ว่า ทำอย่างไรถ้าผู้แวดล้อมข้างเคียงใกล้ชิด เขาไม่เอาอย่างที่ถูกต้อง เขาต้องการแต่จะเอาอย่างที่ทุจริต และเขาก็ต้องการให้เราเป็นอย่างนั้นด้วย เราไม่เอาตามเขา ก็ถูกแกล้งถูกขัดคอถูกอะไรต่างๆ นานา มันก็เลยเป็นทุกข์ อย่างนี้ก็ยังมี มันไม่สามารถจะดำรงจิตชีวิตหรือชีวิตจิตใจนี่ให้มันถูกต้อง และบางทีมันก็มีเรื่องต่างๆ ตามธรรมชาติ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเหล่านี้มันก็ครอบงำทำให้เป็นทุกข์ ทรัพย์สมบัติอำนาจวาสนาเกียรติยศชื่อเสียงมันก็ช่วยไม่ได้สำหรับที่จะเกิด จะแก่ จะเจ็บ จะตาย แล้วก็จะมีอะไรที่ผิดหวังๆ อยู่บ่อยๆ ไม่เป็นไปตามที่หวัง เพราะมันหวังมากตามแบบของปุถุชน มันไม่รู้จักควบคุมความหวังหรือว่าหยุดความหวังเสีย ควบคุมให้หวังแต่น้อยก็ยังลำบากพออยู่แล้ว ที่จะไม่ให้หวัง ทำอะไรโดยไม่ต้องหวังเหมือนกับอริยชนนี่ก็ทำไม่ได้
เอาล่ะ,เป็นอันว่าคุณดูเอาเอง โดยสรุปแล้วมันต้องเรียนอย่างปุถุชนครึ่งหนึ่ง คือส่วนหนึ่งหรือฝ่ายหนึ่ง และต้องเรียนอย่างอริยชนอีกส่วนหนึ่งหรือฝ่ายหนึ่ง เอามารวมกันเข้าทั้งสองส่วน มันก็ถูกต้องทั้งเรื่องโลกและเรื่องเหนือโลก คือทั้งเรื่องโลกและเรื่องธรรมะนี่ นั่นแหละการเรียนที่สมบูรณ์,การเรียนที่สมบูรณ์
เอ้า,ทีนี้ก็มาดูตามที่เป็นจริงว่ามันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า คุณมีความเข้าใจแน่ใจแน่นอนอย่างนั้นหรือเปล่า และเมื่อดูเห็นคนทั้งหลายทั่วไปในโลกนี้ เขาก็ไม่ได้มีความคิดอย่างนี้ เขาก็เรียนคล้ายๆ กับละเมอ มันก็เรียนกันเรื่อย เรียนอย่างที่ไม่รู้ว่าควรจะเรียนอะไรหรือจะเรียนอะไรมันดีที่สุด ดำเนินชีวิตด้านร่างกายด้านโลกพอสมควรแล้วก็ยังไม่พอ ยังดิ้นรนขวนขวายจนกลายเป็นวินาศไปเพราะเหตุนั้นเสียก็มี หรือล้มละลายอย่างนี้ก็มี เรื่องธรรมะก็ยังไม่ถึง แต่เรื่องโลกมันก็ชวนล้มละลายเสียก่อน เพราะมันไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรอย่างไรเท่าไหร่ รู้กันไว้ให้ดีๆ ว่า เรียนให้ตั้งตัวได้ในทางโลกเท่าไหร่ เรียนเพื่อจะไม่มีความทุกข์ในการเป็นอยู่ในโลกนี่เรียนกันสักเท่าไหร่
ข้อนี้มันสำคัญอย่างยิ่งอยู่ตรงที่ว่าเราหรือคนเหล่านั้นก็ตาม มันไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ปัญหานี้สำคัญที่สุด ถ้าเรารู้ว่าเกิดมาทำไม เราจะได้ปฏิบัติให้มันถูกต้อง แล้วปัญหามันก็จะไม่มี เดี๋ยวนี้เราก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม และมันก็ไม่แน่ใจด้วยว่าเกิดมาทำไม จะเอาอะไร จะได้อะไรเท่าไหร่ นี่ล้วนแต่มันไม่แน่ใจ แล้วความจริงมันก็ซับซ้อนนะ ยุ่งยากนะ ถ้าถามว่าเกิดมาทำไมนี่ มันเป็นคำถามที่ประหลาดแหละ เพราะเหตุอะไร เพราะว่าเราก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเกิดมานี่ ใครยืนยันได้ว่าตั้งใจที่จะเกิดมา หรือเราไม่รู้ไม่ชี้ไม่มีความคิดนึกอะไร บิดามารดาทำให้เกิดมา ไม่ใช่ความต้องการของเรา มันจะถามเราว่าเกิดมาทำไม มันก็ไม่ถูก มันไขว้กันอยู่กับปัญหาน่ะ นี่คิดดูให้ดี มันมาเกณฑ์ให้คนที่ไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา ได้เกิดมาแล้วให้รู้ว่าเกิดมาทำไม,เอาสิ นี่มันค่อนข้างจะหนักสักหน่อย แต่เรื่องจริงมันมีอยู่ว่า เราจะรู้หรือไม่รู้ในข้อนี้ เราจะรับผิดชอบหรือไม่รับผิดชอบในข้อนี้ แต่เราต้องรู้ว่าเราควรจะทำอย่างไรให้สมกับที่มันเกิดมาทำไม
เรื่องเกิดมาทำไมนี่ ขอให้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องรู้ ถึงเราไม่ตั้งใจจะเกิดมา แต่มันก็ต้องรู้ว่าเกิดมาแล้วจะต้องทำอะไร อย่างเดียวกับเกิดมาทำไม เรื่องโบรงโบราณ เรื่องทำนองนิยายนี่ ก็มีทั้งฝ่ายตะวันออก ฝ่ายตะวันตก ฝ่ายอินเดีย ฝ่ายอียิปต์ ซึ่งเป็นชาติชนชาติที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่เป็นพันๆ ปี แสดงว่าเขาสนใจเรื่องนี้ว่าเกิดมาทำไม
อย่างอียิปต์นี่เป็นประเทศ เป็นชนชาติที่มีความเป็นมาตั้งพันๆ ปี เขาก็มีสิ่งที่เป็นพยานหลักฐานปรากฏชัดอยู่ว่าเขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเกิดมาทำไมนี่ให้ถูกต้อง ศึกษาเรื่องสฟิงซ์(Sphinx) ของอียิปต์ มีรูปสิงโต ตัวเหมือนกับสิงโต หน้าตาเป็นคนและก็มีปีกด้วย สฟิงซ์ตัวใหญ่ๆ ที่สร้างขึ้นไว้ เขาอธิบายกันไว้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์นี่ คือเมื่อมนุษย์เกิดมาแล้วเดินผ่านไปนี่ จะพบสฟิงซ์ สฟิงซ์ก็จะถามว่าเกิดมาทำไม ถ้าตอบได้ตอบถูกต้องเป็นที่พอใจ สฟิงซ์ก็จะหลีกทางให้หรือยอมแพ้หรือฆ่าตัวตายไปเลย ถ้าตอบไม่ได้ ตอบไม่ถูก สฟิงซ์นี่มันจะกินเสีย มันจะกินคนนั้นเสีย นี้มันแสดงว่าเขาต้องการให้เด็กๆ หรือยุวชนหรือคนทั้งหลายคิด คิดกันให้มากๆ อย่าให้ถูกสฟิงซ์กิน ให้ชนะ ให้สฟิงซ์ตายดีกว่า สฟิงซ์ตายก็หมายความว่าหมดปัญหา ถ้าสฟิงซ์กินเราก็คือเราตาย เราก็หมด ที่ว่ามันมีรูปร่างเหมือนสิงโตก็หมายความว่ามันดุร้าย แต่หน้าตามันยังเป็นคน มันยังมีเมตตากรุณา แล้วมันมีปีกหมายความว่าบินไปที่ไหนได้ทุกหนทุกแห่ง ไม่มีทางหลีกเลี่ยง เราไม่มีทางหลีกเลี่ยง หมายความว่าเราไม่มีทางหลีกเลี่ยงปัญหาอันนี้นะ ระวังไว้นะ เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงปัญหาอันนี้ที่ว่าเกิดมาทำไม
ฝ่ายตะวันออกเราก็มีคล้ายๆ กันแหละ ก็มียักษ์ที่ถามว่ารู้ธรรมะไหม,รู้ธรรมะไหม ถ้าไม่รู้ก็จะกินเสีย ถ้ารู้ยักษ์ก็ตายเอง หมายความว่าสิ่งเลวร้ายที่สุดคือกิเลสหรือความทุกข์อย่างยิ่งนั้นมันเหมือนกับยักษ์กับมารอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่รู้จักมัน มันก็กินเรา ถ้าเรารู้จักมัน มันก็ตาย ง่ายนิดเดียวที่จะเข้าใจ,ใช่ไหม ถ้าเรารู้เรื่องกิเลส เรารู้เรื่องกิเลสอันนี้ เราก็ควบคุมกิเลสได้ ก็เท่ากับมันตายแล้ว แต่ถ้าเราไม่รู้ เราก็ลำบากเหลือประมาณเหลือแสน ตกนรกทั้งเป็นตลอดชาติ คือมันกินเรา,มันกินเรา เราจะให้ยักษ์ตายไปหมดปัญหาหรือว่าจะให้ยักษ์มันกินเราอย่างไม่มีอะไรเหลือ
นี่เรื่องของการที่รู้ว่าเกิดมาทำไม,เกิดมาทำไม เราต้องรู้ ก็ต้องรับผิดชอบ เราจะตอบยักษ์เหล่านั้นว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมานี่ ทำไมจะมาถามฉันอย่างนี้ จะต้องให้ฉันรับผิดชอบ มันไม่ได้ เห็นไหม มันไม่ได้ เห็นไหมมันไม่มีทางจะตอบอย่างนั้นได้ ไม่มีทางจะบิดพลิ้วอย่างนั้นได้ ในที่สุดมันก็ต้องหาความรู้หรือคำตอบที่ตอบให้ได้ คำถามรายละเอียดของยักษ์หรือสฟิงซ์นี้มันมีว่า แกมาจากไหน แกจะไปไหน
นี่คุณลองคิดดู ถ้าคุณถูกถามอย่างนี้ คุณเกิดมาจากไหน แล้วคุณจะไปทางไหน จะไปจบกันที่ไหน เรียนธรรมะมาหลายวันหลายสัปดาห์แล้วพอจะตอบได้ไหมว่าเกิดมาจากไหนแล้วจะไปไหน นี่มันถามอย่างมีตัวตน ที่จริงมันไม่มีตัวตน มันไม่ต้องตอบอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้มันมีตัวกูของกูยืนยันอยู่ตลอดเวลา มันก็ต้องตอบคำถามที่ว่ามาจากไหนแล้วแกจะไปไหน ถ้าตอบถูกก็หมายความว่ามันรู้ว่ามาจากปัญหาแล้วจะไปสู่ความไม่มีปัญหาดับทุกข์สิ้นเชิง มาจากรังทุกข์กองทุกข์อวิชชา กิเลสตัณหานี่ แล้วจะไปสู่ความไม่มีกิเลสตัณหา ชนะอวิชชา นั่นฉันจะไปอย่างนั้น ก็คือจะไปนิพพานนั่นแหละ มาจากกิเลสตัณหาคือความทุกข์อย่างยิ่งแล้วฉันก็จะไปนิพพาน จะตอบถูกก็ตอบอย่างนั้น เดี๋ยวนี้เรารู้สึกอย่างนี้กันหรือเปล่า ว่าเรามันมาจากไหน ฉันจะไปไหน
เป็นอันว่าเราจะปฏิเสธไม่ได้ ในข้อที่ว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา จะให้ฉันรับผิดชอบอย่างนี้ไม่เอา ฉันไม่เอา มันไม่มีทางจะทำได้ คือธรรมชาติมันไม่ยอม เมื่อแกไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรแกก็ต้องเป็นทุกข์อย่างนั้นแหละ แกจะต้องจัดการให้มันถูกต้องว่ามาจากไหนหรือจะไปที่ไหน
ก็ตอบโดยที่ว่าฉันมาจากปัญหาเรื่องความทุกข์ ความอยาก ความโง่ ความอะไรที่ทำให้ฉันต้องเกิดมา แล้วฉันก็จะไปสู่ความไม่ต้องเกิดคือนิพพาน ที่ว่าเกิดมาเพราะบิดามารดา มันก็เพราะความไม่รู้เหมือนกันแหละ มันเกิดทางกายมาจากบิดามารดา ก็มันไม่รู้ เกิดมาจากกิเลสตัณหาอุปาทานมันก็ไม่รู้ มันเกิดมาจากความไม่รู้ เกิดมาจากอวิชชา แล้วก็จะไปสู่ความรู้แจ้ง เห็นแจ้ง ดับทุกข์ได้ เป็นนิพพาน ถ้ามันมีหลักที่ชัดเจนอย่างนี้มันง่ายนะ มันจะง่ายในการที่จะปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และจะทำให้มันรู้แจ้งยิ่งขึ้น รู้แจ้งยิ่งขึ้นจนหมดความไม่รู้ และมันก็รู้ ก็ทำอะไรถูกต้อง นี่เรียกว่าปัญหามันหมด
ทีนี้มันก็มีปัญหาว่าคุณจะรู้อย่างไร จะเรียนอย่างไรจึงจะหมดปัญหาคือรู้แจ้ง ความจริงมันมีอยู่ว่าอวิชชามันทำให้ไม่รู้ไปเสียทุกอย่างเลย ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียนอะไร ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร มันก็ดื้อดึงไปหมดถ้าตามแบบของอวิชชา มันไม่ยอมรับ จึงได้เรียกว่าอวิชชาๆ ไม่มีความรู้ที่ควรจะรู้ ไม่มีความรู้ที่จะดับทุกข์ได้ นี่เป็นเรื่องง่ายๆ ธรรมดาทั่วไป
แต่ถ้ามันละเอียด ละเอียดสุขุมยิ่งไปกว่านั้นมันก็เป็นเรื่องว่าตัวตนหรือมิใช่ตัวตน มันไม่ได้มีตัวตนไม่ได้มีตัวกู มันเป็นไปตามการปรุงแต่งของอวิชชาของกิเลสตัณหาไปตามเรื่องนั้น มันก็ไม่รู้อย่างนั้น มันไปรู้แต่ว่ามีตัวกู,เอาสิ มีตัวกู กูต้องการ กูจะต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้ มีตัวกู อะไรๆ เอาเป็นของกูให้หมดเลย ความไม่รู้เรื่องนี้สำคัญมาก ทำให้มีตัวกูขึ้นมา ทำให้เป็นของกูขึ้นมา ชีวิตแท้ๆ เป็นตัวกูขึ้นมานี้มันก็แย่แล้ว อึดอัดหนักอึ้งแล้ว ทีนี้มีเป็นของกู ของกู ของกูขึ้นมาไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างนี้มันก็ยิ่งหนัก ก็เรียกว่าภาระหนักของชีวิต
ปุถุชนจะไม่รู้จักภาระหนักของชีวิต แล้วจะโง่จนถึงกับไปหามาเพิ่มเติม คือมันจะยึดถือมากขึ้น ยึดถือมากขึ้น ยึดถือเป็นตัวตนของตนมากขึ้นๆ ตามแบบของปุถุชน ถ้าอริยชนมีแต่ปลดออกไป ปลดออกไป ปลดออกไปจนไม่มีของหนัก สิ่งใดเอามาถือไว้ สิ่งนั้นมันก็เป็นของหนัก ถ้าวางไว้มันก็ไม่หนัก ปุถุชนมันก็มีชีวิตอยู่ด้วยการถือไว้แบกไว้ทูนไว้อะไรไว้ พระอริยชนอริยเจ้ามันก็มีชีวิตอยู่ด้วยการวางไว้ วางไว้ วางลง วางลง วางลง วางลงอยู่ข้างๆ หมด ไม่เอามาถือไว้แบกไว้ทูนไว้ นี่เป็นเคล็ดที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจกันไว้ ปุถุชนมีอะไรมันก็มีเป็นของกู มันอยู่บนหัว อริยชนมีอะไรก็มีไว้อย่างมิใช่ของกู มันก็อยู่ใต้ฝ่าเท้า ก็ลองเทียบเคียงกันดู มีไว้บนศีรษะกับมีไว้ใต้ฝ่าเท้า อันไหนมันจะเป็นอย่างไร จะทำอันตรายกันสักกี่มากน้อย
ดูเหมือนคุณสวดทำวัตรนี่จะต้องสวด ภารา หเว ทุกวัน ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา, ภารหาโร จ ปุคฺคโล, ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก, ภารนิกฺเขปนํ สุขํ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา นี่รู้ไว้เสียบ้าง ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนักทั้งนั้นเลย ขันธ์ ๕ คือร่างกาย แล้วก็ความรู้สึกคิดนึกประเภทเวทนา ความรู้สึกสุขทุกข์ สัญญาความหมายมั่นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หมายมั่นสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้, หมายมั่น เขาแปลกันว่าความจำ ที่จริงมันคือความหมายมั่น ถ้าไม่ได้หมายมั่นมันก็ไม่จำ มันก็จำว่าด้วยความหมายมั่น หมายมั่นว่าสุข หมายมั่นว่าทุกข์ หมายมั่นว่าหญิง หมายมั่นว่าชาย หมายมั่นว่าผัว หมายมั่นว่าเมีย หมายมั่นว่าได้ หมายมั่นว่าเสีย หมายมั่นว่ากำไร หมายมั่นว่าขาดทุนนี่ ความหมายมั่นเหล่านี้มันหนักหรือไม่หนัก คุณคิดดู
ทีนี้สังขาร ความคิดประเภทปรุงแต่ง ปรุงแต่งเรื่อย ของใหม่ขึ้นมาเรื่อย ให้มันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย เป็นความคิดขยายออกไป ขยายออกไป ยิ่งยุ่งยากลำบากเท่าไหร่ ทีนี้วิญญาณ ตัวร้ายนี่ ความหมายมันกว้างตัวนี้ มันคอยจะรู้แจ้งสัมผัสไปเสียทุกแห่ง ถ้าไม่มีวิญญาณเราก็ไม่รู้สึกอะไรว่าเป็นอะไร วิญญาณมันทำให้เกิดความรู้สึกเป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายทางใจก็ตาม เพราะมันไปรู้แจ้งเป็นอะไรขึ้นมานั่นแหละ มันจึงให้มีสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ถ้าอย่ามีวิญญาณสำหรับรู้แจ้ง แล้วมันก็จะไม่มีอะไรเลย ในโลกนี้จะไม่มีอะไรเลยถ้าเราไม่มีวิญญาณสำหรับรู้แจ้ง เพราะมีวิญญาณสำหรับรู้แจ้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มันก็มีหมด มีมหาศาล มีนับไม่ไหว แล้วก็มาสุมอยู่ที่เราผู้รู้แจ้ง อยู่ที่ตัวผู้รู้แจ้ง ความรู้สึกที่แสนจะหนัก นี่วิญญาณมันก็เลยพลอยกลายเป็นของหนักขึ้นมาด้วย หลีกไม่พ้น จนกลายเป็นว่าเกิดมาแบกของหนัก
ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นภาระหนักเน้อ รู้ไว้เสียแต่เดี๋ยวนี้ว่าถ้าโง่กับมันแล้วมันเป็นของหนัก คือไปถือไว้เป็นของหนัก ท่องบทว่า ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก แบกถือของหนักก็เป็นความทุกข์ในโลก ในโลกมีการแบกถือของหนัก มันก็เป็นความทุกข์อยู่ในโลก ไม่เกี่ยวกับเหนือโลก ในโลกหรือใต้โลกนี่มันแบกของหนักเพราะมันไม่รู้ และสิ่งที่ยั่วให้แบกให้ยึดก็คือขันธ์ทั้ง ๕ นั่นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ยั่วมากไปกว่านี้ หลอกมากไปกว่านี้ ไม่มีแล้ว
ขันธ์ ๕ นั่นแหละรู้จักมันไว้เถิด ที่รวมกันแล้วเป็นสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั่นแหละ แยกออกเป็น ๕ ส่วน เป็นของ ๕ เป็นขันธ์ ๕ รวมกันแล้วก็เป็นชีวิตก็เป็นของหนัก เพราะแบก, เพราะแบก มันแบกตัวชีวิตนั้นไว้ตลอดเวลา
เดี๋ยวก็แบกในแง่ของรูปของร่างกาย บริหารกันไปเถอะ
เดี๋ยวก็แบกในรูปของเวทนา โลดเต้นไปเถอะสุขทุกข์
เดี๋ยวก็แบกในรูปของสัญญา หมายมั่น หมายมั่น หมายมั่น เครียดครัดขึ้นมา
สังขารก็คิดนึกไป ปรุงแต่งไป
วิญญาณก็กระโดด ก็กระโดดมาทางตาที ทางหูที ทางจมูกที ทางลิ้นที ทางกายที ทางจิตที เขาว่าเหมือนกับลิง กระโดดไปต้นนั้นต้นนี้ต้นโน้นทั่วป่า ล้วนแต่สร้างปัญหาทั้งนั้น
รู้ไว้ดีไหม หรือว่ามันเป็นความรู้ที่คร่ำครึ ครึคระ พ้นสมัย ถ้าคุณคิดอย่างนั้นก็ตั้งใจ ก็ได้เหมือนกัน ครึคระพ้นสมัยไม่รู้ไม่เรียนกับมันแล้ว แต่เดี๋ยวนี้เรามาเรียน บวชแล้วเรียนแล้วท่องอยู่ทุกวันแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เลยน่าสงสารหนักขึ้นไปอีก ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก แบกถือของหนักเป็นทุกข์ในโลก ภารนิกฺเขปนํ สุขํ วางลงเสีย วางของหนักลงเสีย เป็นความสุข นิกฺขิปิตฺวา ครุí ภารํ อญฺญํ ภารํ อนาทิย ครั้นวางได้แล้วอย่าโง่ ปรุงอันอื่นขึ้นมาถือไว้อีก เผลอแวบเดียวจิตจ้องไปจับเอาอันอื่นไปปรุงอันอื่นขึ้นมาถือไว้อีก มันก็กลายเป็นหยิบวาง หยิบวาง หยิบวาง ก็เหมือนกันแหละ มันก็มีความทุกข์หยิบวาง หยิบวาง ปลงลงแล้วหยิบขึ้นมาใส่อีก ปลงลงแล้วหยิบขึ้นมาใส่อีก ปลงแล้วใส่อีก พระอริยเจ้า นิกฺขิปิตฺวา ครุí ภารํ อญฺญํ ภารํ อนาทิย วางลงแล้วไม่หยิบของอื่นขึ้นมาอีก สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุฬฺห ถอนตัณหาขึ้นเสียได้กระทั่งรากเหง้าของมัน รากเหง้าของตัณหา สมูลํ พร้อมกับรากเหง้า อพฺพุฬฺห ถอน ตณฺหํ ซึ่งตัณหาพร้อมกับรากเหง้าเสียได้ อะไรที่เป็นเหตุให้เกิดตัณหาถอนเสียได้ นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต หมดหิว เย็นสนิท,หมดหิว เย็นสนิท เป็นชีวิตที่ไม่มีความหิวแล้วก็เย็นสนิทเพราะมันไม่มีกิเลส นี่ควรจะรู้ไว้นะ รู้ไว้เถิดมันไม่คร่ำคร่าเครอะคระพ้นสมัยหรอก ขอให้รู้สึกคำว่าธรรมะไม่มีเก่า,ธรรมะไม่มีเก่า ฉะนั้นธรรมะใหม่ไม่มีเพราะธรรมะมันไม่เคยเก่า ธรรมะมันอย่างนั้น ตายตัวอย่างนั้นอยู่เรื่อยไป นี่ขอให้รู้ไว้ อีกกี่ล้านปีก็ตามใจ กฎเกณฑ์อันนี้ยังอยู่ ธรรมะไม่มีเก่า ใครพูดว่าธรรมะใหม่พุทธศาสนาใหม่ มันบ้า เพราะธรรมะหรือพุทธศาสนามันไม่มีเก่า มันเก่าไม่ได้ มันจะมีของใหม่ก็ไม่ได้ นี่ถ้าเรามีธรรมะที่ถูกต้องแล้วมันไม่มีเก่า มันใหม่อยู่เสมอ มันจะช่วยแก้ปัญหาได้ ขอให้มีธรรมะชนิดนี้ซึ่งไม่รู้จักเก่า
ทีนี้ก็มาดูตัวธรรมะกันให้มันละเอียดลงไปอีก ธรรมะที่ไม่รู้จักเก่า ก็ธรรมะนี้ ธรรมะแบกของหนักก็เป็นทุกข์ วางเสียก็ไม่ทุกข์ แต่จะมองในแง่ว่ามีตัวกูหรือไม่มีตัวกูก็ได้ พอมีตัวกูมันก็เป็นทุกข์ ไม่มีตัวกูมันก็ไม่เป็นทุกข์ จิตเดิมแท้ๆ, จิตเดิมแท้ๆ ที่มีโดยธรรมชาติเดิมแท้ๆ มันไม่มีตัวกู จิตประภัสสรไม่มีกิเลส เมื่อไม่มีกิเลสก็ไม่มีอะไรสำคัญว่าเป็นตัวกู มันเป็นจิตไม่มีตัวกูมันก็ไม่มีทุกข์ รู้ไว้เสียสักทีหนึ่งก่อน ทีนี้พอคลอดออกมาจากท้องแม่ สัมผัสนั่น สัมผัสนี่ สมผัสโน่นเรื่อยๆ มา ค่อยๆ เกิดตัวกูทีละนิด ทีละนิด ทีละนิด จนเป็นตัวกูเต็มที่ นี่รู้ไว้สิ มาจากไหน ตัวกูมาจากไหน ตัวกูมาจากความที่ไม่รู้อะไร พอเกิดมาจากท้องแม่ สัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจขึ้นมา พออร่อยก็กูอร่อย พอไม่อร่อยก็กูไม่อร่อย น่ารักกูก็รัก น่าโกรธกูก็โกรธ ตัวกูๆ นั้นมันเกิดมาทีหลัง ความรู้สึกอันนั้นมันเกิดก่อนนั้น ตัวกูมาจากไหน มาจากอวิชชาความโง่ ฉะนั้นถ้ายักษ์มันถามว่าคุณมาจากไหน มึงมาจากไหน ก็บอกว่ามาจากความโง่ แล้วมึงจะไปไหน กูจะไปสู่ความไม่โง่ความฉลาด จะกำจัดความทุกข์เสียได้นี่ ยักษ์แพ้ยักษ์ก็ตาย ยักษ์ก็ปักคอตัวเองตาย เราก็รอด
ถ้ามันไม่มีตัวกูมันก็ไม่มีความทุกข์ ตัวกูเกิดขึ้นเท่าไหร่มันก็มีความทุกข์เท่านั้น ตัวกูเกิดเมื่อใดมันก็มีความทุกข์เมื่อนั้น เวลาที่ไม่เกิดตัวกูมันไม่เป็นทุกข์ เวลาไหนเกิดตัวกูเวลานั้นเป็นทุกข์ วินาทีไหนเกิดตัวกูวินาทีนั้นเป็นทุกข์ วินาทีไหนไม่มีตัวกูวินาทีนั้นไม่เป็นทุกข์
ฉะนั้นดูให้ดี เมื่อไหร่เกิดตัวกู เมื่อไหร่เป็นตัวกู เมื่อไหร่เกิดขึ้นมาอย่างไร มันสังเกตได้ง่ายๆ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวกัน พอมีตัวกู มันก็เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง พอเป็นที่พอใจแก่ตัวกู มันเกิดความโลภ ไม่เป็นที่พอใจแก่ตัวกูมันเกิดความโกรธ ยังไม่รู้ว่าจะเป็นที่พอใจหรือไม่พอใจมันก็โง่มันก็หลง มันก็ไม่รู้ มันก็สงสัย ก็มีโลภ โกรธ หลง,โลภ โกรธ หลง แล้วแต่ตัวกูมันจะพบกับอะไร พบกับของที่มันพอใจมันก็โลภ พบกับของที่มันไม่พอใจมันก็โกรธ พบกับของที่มันไม่รู้ว่าเป็นอะไรมันก็สงสัยมันก็หลงก็วนเวียนอยู่ที่นั่น นี่โมหะความหลง เมื่อใดมีความรู้สึก ๓ ประการนี้ ดูให้ดี มันมีตัวกู,มันมีตัวกู
ก่อนนี้มันไม่มีอยู่ พอมีปรุงแต่งขึ้นมาเป็นอย่างนี้ ตัวกูมันก็ออกมาสำหรับโลภ สำหรับโกรธ สำหรับหลง ชีวิตแท้ๆ ชีวิตบริสุทธิ์แท้ๆ ดั้งเดิมแท้ๆ ไม่มีตัวกู ฉะนั้น เราไม่ได้มีเรื่องที่ว่าจะดับความทุกข์หรอกว่าที่จริงน่ะ มีเรื่องแต่เพียงว่าจะป้องกันไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้นมา พูดว่าดับทุกข์ๆ นี่ค่อนข้างที่จะผิดความจริง ความทุกข์มันดับไม่ได้หรอก มีปัจจัยมันก็เกิดออกมาแหละ ทีนี้ป้องกันอย่าให้มันเกิด นั่นแหละได้ ป้องกันที่เหตุที่ปัจจัยของมัน อย่าให้มันเกิดออกมา มันก็ได้
คำว่าดับทุกข์นั้นคือป้องกันไม่ให้ความทุกข์เกิด แต่เราใช้คำว่าดับทุกข์ บาลีก็ใช้คำว่าที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ นี้ยังน่าฟังกว่า คือมันเกิดไม่ได้อีกต่อไป หรือเรียกว่าที่สุดแห่งความทุกข์ ดับไฟแห่งการเกิดของความทุกข์นี่ ฟังดูให้ดี ของเดิมมันไม่เป็นทุกข์ เพราะเผลอก็โง่ เพราะเผลอจึงเป็นทุกข์ ฉะนั้นเมื่อไม่โง่ เมื่อไม่เผลอ มันก็ไม่เป็นทุกข์ เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้โผฏฐัพพะ จิตได้ธรรมารมณ์นี่ ไม่เผลอไม่โง่ มันก็ไม่เป็นทุกข์แค่นั้นแหละ เห็นว่าเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ตามธรรมชาติเช่นนั้นเอง ควรจะทำอย่างไรมันก็ทำ ไม่ควรก็ไม่ต้องทำ สิ่งเหล่านั้นมันเกิดขึ้นเอง มันก็ดับเองได้ เราระวังอย่าให้มันมาก่อให้เกิดความทุกข์ขึ้นแก่เรา
ฉะนั้น ต้องมีสติสัมปชัญญะมากพอที่จะรู้เท่าทันการเกิดขึ้นแห่งกิเลส เมื่อสัมผัสอารมณ์ เมื่อจิตหรือวิญญาณสัมผัสอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่ ถ้ามีสติปัญญาถูกต้องและเพียงพอ มันไม่เกิดตัวกู ไม่เกิดเป็นตัวกู ไม่เกิดเป็นตัวกูก็หมายความว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เป็นของหนัก ตัวกูก็ไม่เป็นของหนักเพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นมา ของกูก็ไม่เป็นของหนักเพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นมา
ขันธ์ ๕ ก็เป็นสักแต่ว่าขันธ์ ๕ ไม่ถูกยึดขึ้นมาเป็นของหนัก มันมีรูปอยู่นั่นแหละ ไม่ยึดมาเป็นของหนักมันก็ไม่หนัก มันก็มีเวทนาอย่างนั้นแหละ ไม่ยึดเอามาเป็นของกูมันก็ไม่หนัก สัญญา สังขาร วิญญาณก็เหมือนกัน เมื่อไม่ยึดเอามาเป็นของกูมันก็ไม่หนัก ให้มันทำหน้าที่ของมันไป อย่าไปยึดเอามาเป็นของกู แต่ก็มันทำหน้าที่แก่ร่างกายนี้กลุ่มนี้ แล้วมันก็รู้เองว่าควรจะทำอย่างไร มีเวทนาอย่างนี้แล้วควรทำอย่างไร มีสัญญาอย่างนี้แล้วควรทำอย่างไร สังขารวิญญาณก็เหมือนกัน จิตมีสติปัญญา รู้ว่าควรทำอย่างไร,ควรทำอย่างไร มันก็ไม่มีความทุกข์ แปลว่าไม่ต้องแบกของหนัก ไม่เกิดภาระหนักขึ้นมาแก่ชีวิตจิตใจ นี่อะไรเกิดขึ้นมาและอะไรที่มันเรียน มันเรียน เรียน เรียน
มนุษย์มีปัญหาอย่างนี้ สัตว์ไม่มีปัญหาเพราะมันไม่ต้องเรียนอย่างมนุษย์ มนุษย์มีจิตชนิดที่พิเศษกว่าสัตว์ รู้สึกอะไรได้มาก แต่โง่ก็โง่ได้มาก จะหลงก็หลงได้มาก เพราะฉะนั้นจึงมีหน้าที่ที่จะต้องรู้อะไรมากกว่าสัตว์หลายร้อยหลายพันเท่า ฉะนั้นจึงต้องเรียน เรียนมากกว่าสัตว์ แม้ตามธรรมชาติมันก็เรียน โตขึ้นมาแต่ละวันๆ มันก็เรียนก็สอนให้อย่างเจ็บปวด ทำผิดก็เป็นทุกข์ ทำผิดก็เป็นทุกข์ ทำผิดก็เป็นทุกข์ ทุกทีไป มันเจ็บปวดๆ พอมันเบื่อมันเข็ดเข้า นั่นแหละมันคือรู้ เป็นการสอนที่ได้ความเจ็บปวดมันก็รู้ ทีหลังมันก็ไม่กล้าทำผิด ก็ดูสิที่เราไม่ทำอะไรเจ็บปวดแก่เราตัวเรา เพราะเรารู้ เพราะเราเรียนมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เหล่านั้นก็พอจะเรียนรู้ เป็นเรื่องง่ายเป็นเรื่องข้างนอก แต่ถ้าเป็นเรื่องข้างใน เป็นเรื่องตัวกูเป็นเรื่องของกูนี่ไม่ไหว มันไม่มีทางจะรู้ จึงต้องมาบวช จึงต้องมาเรียน ดูสิ มาทำการบวชและทำการเรียน อยากจะได้เครื่องมือที่จะกำจัดตัวกูป้องกันตัวกู สิ่งนั้นก็คือสติสัมปชัญญะ สมาธิหรือปัญญานั่นแหละ ๒-๓ อย่างนี่ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ ๔ อย่างนี่ก็พอ มี ๔ อย่างนี้เพียงพอแล้ว ก็หมดปัญหา มันยังไม่มีและมันก็ไม่รู้จักด้วย กว่าจะรู้ว่า
เอ้า,นี่เป็นเครื่องมือพิเศษป้องกันการเกิดแห่งตัวกูหรือดับความทุกข์ได้ แต่เราก็ไม่มี จิตมันก็ไม่มี มันยังโง่ ถ้ามันค่อยๆ ฉลาด มันรู้ว่าต้องมีๆ นี่มันจึงพยายามที่จะปฏิบัติ เรียนให้รู้แล้วก็ปฏิบัติโดยเฉพาะที่จะทำให้มีสติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ ก็ที่เราเรียกกันว่าอานาปานสติ ถ้าฝึกอานาปานสติกันได้อย่างเพียงพอแล้วก็จะมีสิ่งเหล่านี้พอใช้ พอใช้ เหลือใช้ มีสติแล้วเราจะไปขนเอาปัญญาความรู้มาเป็นสัมปชัญญะเผชิญอารมณ์ มีสมาธิเข้มแข็งหนักแน่น สัมปชัญญะนั้นก็กำจัดโทษของอารมณ์ กำจัดพิษสงพิษร้ายของมัน ไม่ปรุงเป็นกิเลสขึ้นมาได้ ตัวกูของกูก็ไม่เกิดนี่
เรื่องอานาปานสตินั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันมหาศาล พูดกันไม่จบไม่รู้จักจบแหละ นี่ได้แต่บอกให้รู้สั้นๆ ว่าถ้ามีอานาปานสติประสบความสำเร็จแล้ว มันก็มีสติปัญญาสัมปชัญญะสมาธิพอที่จะแก้ปัญหา ขจัดปัญหา ป้องกันปัญหา นี่คือสิ่งที่ควรเรียนอย่างยิ่ง แล้วใครมันเรียนกันกี่คน ในโลกนี้มันเรียนกันกี่คน การศึกษามีเต็มไปทั้งโลกตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย ใครมาเรียนเรื่องนี้กันล่ะ มันไม่มี มันไม่ได้สอน มันสอนแต่เรื่องฉลาด ฉลาด ฉลาด สำหรับที่จะดำเนินเรื่องวัตถุทศเรื่องชีวิตด้านวัตถุท่าเดียว ด้านจิตใจไม่ต้องเรียน มันก็มีแต่ความเห็นแก่ตัว,เห็นแก่ตัว กิเลสตัณหาเต็มไปทั้งโลก
นี่ควรเรียนอะไร,ควรเรียนอะไร คุณลองคิดดู ปัญหาที่ว่าควรเรียนอะไร,ควรเรียนอะไร สรุปความแล้วมันก็เรียน ๒ อย่างนั่นแหละ เรียนเพื่ออยู่รอดและก็เพื่อไม่เป็นทุกข์เมื่ออยู่รอด เรียนให้รอดชีวิตนี่อย่างหนึ่งนะ และก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เมื่อรอดชีวิตอยู่ เรียนให้รอดชีวิตนี่คุณเรียนกันมาแล้วทุกคน มีวิทยฐานะได้การได้งานทำ รอดชีวิต แต่ว่าที่จะรอดชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์เพราะรอดชีวิตนี่ยังไม่เคยได้เรียน ฉะนั้นมาบวชกันเสียบ้างนี่ก็ดีแล้ว ถูกต้องกับความจริงที่สุดแล้ว จะได้ความรู้เรื่องว่ารอดจากความทุกข์ อันแรกมันรอดจากความตายก็มีชีวิต อันหลังมันรอดจากความทุกข์เพราะมีชีวิต เพราะมีชีวิตมันต้องมาปฏิบัติให้ถูกต้อง อย่าโง่ให้ชีวิตกลายเป็นของหนักภาระหนักขึ้นมา รอดชีวิตมีชีวิตเป็นอยู่กับชีวิต อย่าให้กลายเป็นภาระหนักเป็นขันธ์ ๕ ที่หนักขึ้นมา ให้เป็นขันธ์ ๕ ที่ไม่หนัก คือไม่เอามายึดถือไม่มาแบกไว้ ให้มันทำหน้าที่ของมันอย่างสะดวกดายอย่างถูกต้องที่สุด การอยู่รอดนั้นก็จะยิ่งดีขึ้น ความทุกข์ก็จะไม่เกิด เพื่อรอดชีวิตนี่อย่างหนึ่ง เพื่อไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะรอดชีวิตนี่อีกอย่างหนึ่ง ขอให้สนใจ
ทีนี้เข้ามาบวชแล้วก็เรียนส่วนที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะชีวิตนั่นแหละ เรื่องว่าเพื่อรอดชีวิตไม่ต้องสอนกันแล้ว คุณก็เรียนมาแล้วได้การงานได้ฐานะได้ตำแหน่งอะไรเพื่อรอดชีวิตนั่นอยู่ได้แล้ว แต่เพื่อจะไม่เป็นทุกข์เพราะรอดชีวิตนี่มันยังขาดอยู่ มันยังจะต้องปวดหัว มันยังจะต้องร้อนเป็นไฟ ยังจะต้องปั่นป่วนไป ฉะนั้นขอให้สนใจเก็บหอมรอมริบเอาความรู้ชนิดที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์นี่ไปไว้ใช้ให้เพียงพอ ถ้าจะอยู่ต่อไปในเพศสมณะก็ต้องใช้ แม้จะสึกออกไปเป็นฆราวาสก็ยิ่งต้องใช้ความรู้อันนี้มากขึ้นไปอีก ฉะนั้นอย่าทำเล่นกับมัน อย่าศึกษาละเมอๆ ศึกษาให้รู้จริงว่าจะควบคุมชีวิตนี้อย่างไรกัน จึงจะไม่มีความทุกข์เกิดขึ้น เรียกว่าให้มันมีชีวิตเย็นเป็นชีวิตเย็น ไม่เรียนเพื่อสนองกิเลส แต่เรียนเพื่อจะเข่นฆ่ากิเลส
เอาล่ะ,เรื่องมันก็มีเท่านี้ เรื่องว่าเราจะเรียนอะไรกันนี่ และก็ดูอีกสักนิดเถิดว่าในโลกนี้เวลานี้เขาเรียนเรื่องนี้กันหรือเปล่า ในสถานการศึกษามันไม่มีนี่ ทั้งโลกในสถานการศึกษาที่นิยมกันนักยกย่องกันนักไม่มีเรียนเรื่องนี้ ใครจะเรียนเรื่องนี้ต้องมาหาเอาเองเป็นส่วนตัว อย่างที่พวกฝรั่งเขาต้องมาหาเอาเองนี่เพราะเขาไม่ได้เรียน บางประเทศ ในบางประเทศมีกฎหมายห้ามไม่ให้เอาศาสนามาสอนกับการศึกษา มารวมกับการศึกษา ก็แปลว่าศึกษา ศึกษา ศึกษา ศาสนาไปหาเอาเองถ้าอยากรู้ ทีนี้มันก็ไม่รู้ว่าจำเป็นอย่างไร มันก็ไม่ได้หา มันก็ต้องอยู่กับการศึกษาอย่างโลกๆ จมอยู่ในโลก มีชีวิตที่เร่าร้อนแผดเผาไม่ใช่ชีวิตเย็น เขาจะต้องมาหาความรู้ในทางธรรมทางศาสนาเอาไปใช้ควบคุมให้ชีวิตนี้ให้มันเย็น เย็น เย็น เป็นชีวิตที่มีนิพพานอาบรดอยู่อย่างเยือกเย็น ทุกครั้งที่หายใจออกเข้า หายใจเข้าก็เย็น หายใจออกก็เย็น,หายใจเข้าก็เย็น หายใจออกก็เย็น ไม่มืดเพราะอวิชชา ไม่ร้อนเพราะกิเลสตัณหา ไม่หิวเพราะตัณหา จำไว้ ๒-๓ คำ ดีไหม, ไม่มืดเพราะอวิชชา ไม่หิวเพราะตัณหา ไม่ร้อนเพราะกิเลส จำได้ ๓ อย่างนี้ก็พอแล้ว
เอาล่ะ,ขอให้ได้รับผลเป็นความรู้เพียงพอที่จะทำอย่างนี้แล้วก็จะกล่าวได้ว่าคุณได้ดี คุณได้สิ่งที่ดี ได้ชีวิตที่ดี คือได้เรียนอย่างนี้ และก็ได้ประสบความรู้อย่างนี้ เอาไปใช้ควบคุมชีวิตให้เย็น เย็น เย็น เป็นอาบรดด้วยนิพพาน เมื่อในโลกนี้เขาไม่เอาก็ตามใจเขาแหละ เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าร้อนอย่างไรเย็นอย่างไร เขาก็ทำกันไปอย่างนั้นแหละ นี่เราจะเรียกว่ามันเป็นการศึกษาที่ไม่ใช่สำหรับเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เป็นการศึกษาหมาหางด้วน ได้แต่ฉลาด ฉลาด ฉลาดเห็นแก่ตัว เพิ่มปัญหา สร้างปัญหา ไม่มีเย็น ไม่รู้จักเย็น มันต้องหาความรู้ที่ถูกต้องไปควบคุมความฉลาด ให้ความฉลาดมันเดินไปถูกต้อง ถูกต้องแล้วมันไม่ร้อนมันมีแต่เย็น นี่เรานั่งด่าการศึกษาในโลกว่าหมาหางด้วนอยู่ที่นี่ หลายคนก็ไม่พอใจ หลายคนก็ด่าผม ผมบอกว่าการศึกษาหมาหางด้วนของคุณน่ะไม่มีประโยชน์อะไร ก็ไปดูเอาเองมันมีแต่ฉลาด ฉลาด ฉลาด ไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด และประชาธิปไตยให้เสรีภาพที่มันจะฉลาดที่มันจะเห็นแก่ตัว มันก็เลยเต็มไปด้วยเห็นแก่ตัว โลกจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว ทุกคนจะร้อนเป็นไฟเพราะความเห็นแก่ตัวมันเต็มโลก มาช่วยกันกำจัดความเห็นแก่ตัว มีธรรมะกำจัดความเห็นแก่ตัวกระทั่งไม่ยึดถือเป็นตัวกู ไม่ยึดถือเป็นตัวกูและมันก็ไม่เห็นแก่ตัวเพราะมันไม่มีตัวที่จะยึดถือ
เป็นอันว่าจบการศึกษาก็เมื่อรู้เรื่องตัวกูของกูว่าเป็นของหลอกลวง ไม่ต้องมีตัวกูของกู นี้มันก็จะถึงที่สุดแห่งการศึกษา คือรอดชีวิตอยู่ด้วย แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ด้วย รอดชีวิตอยู่ด้วยและก็ไม่เป็นทุกข์เพราะการรอดชีวิตนั้นด้วย รอดชีวิตอยู่อย่างเป็นทุกข์มันจะดีอย่างไร ไปตายเสียยังดีกว่า รอดชีวิตอยู่สำหรับเป็นทุกข์ เรียกว่าไปตายเสียยังดีกว่า จริงไหม ฉะนั้นรอดชีวิตกันแล้วต้องรอดอยู่อย่างไม่เป็นทุกข์สิ รู้จักจัดรู้จักทำ ดีที่สุด ไม่ต้องเป็นทุกข์ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานตามหลักของพระพุทธศาสนา ไม่มืด ไม่บอด ไม่เขลา ไม่หลง ไม่งมงายอย่างไสยศาสตร์ทั้งหลาย เอาล่ะ,ขอยุติการบรรยายด้วยการบอกให้รู้ว่าเรียนอะไร เรียนอะไร เรียนอย่างไร เรียนเท่าไหร่ ไปแยกแยะให้ชัดเจน บันทึกไว้ให้แม่นยำสำหรับเป็นที่ปรึกษาแก่ตัวเองจนตลอดชีวิตเถิด ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้