แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทุกคืนวันอาทิตย์ เวลาทุ่มครึ่ง เรื่องที่จะพูดก็คือเรื่องที่ควรจะทราบ ที่เห็นว่าควรจะทราบ สำหรับผู้บวชใหม่จะได้ทราบ ก็จะได้ทำให้สำเร็จประโยชน์คุ้มกันกับที่เราบวช ทุกเรื่องที่เห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์ก็จะเอามาพูด วันนี้เป็นวันแรก ก็จะพูดเรื่องคำว่าการบวชนั่นเอง คำว่าบวช ตัวหนังสือ ตามตัวหนังสือบาลี ป-ว-ช ปพฺพชฺชา แปลว่า ไปหมด,เว้นหมด ก็คือไปหมดเว้นหมดจากสภาพที่เป็นอยู่เดิมคือฆราวาส มันหมายถึงพิธีที่กระทำเมื่อวันนั้นก็ได้ เมื่อวันบวชนั้นก็เรียกว่าบวชเหมือนกัน เรียกว่าการบวชเหมือนกัน หรือออกไปจากบ้านจากเรือนก็เรียกว่าบวชเหมือนกัน แต่ที่แท้ที่จะต้องสนใจนั่นคือการดำเนินชีวิตอีกแบบหนึ่ง การดำเนินชีวิตทั่วไปหรือทั้งหมดอีกแบบหนึ่ง ตรงกันข้ามจากที่เราเป็นอยู่เดิม นั่นแหละขอให้ถือเอาใจความนั้นแหละว่ามันเป็นอยู่อย่างตรงกันข้าม เป็นชีวิตคนละแบบ จะเป็นการบวชลองดูก็ได้ จะเป็นการบวชจริงก็ได้ คำว่าบวชๆ นี่ มันก็คือการดำเนินชีวิตแบบที่ตรงกันข้ามกับที่เราเคยอยู่แต่ก่อน เคยอยู่แต่ก่อนนั้นเรียกว่าครองเรือน แบบนี้เดี๋ยวนี้คือแบบว่าไม่มีเรือนไม่ครองเรือน ครองเรือน ภาษาฝรั่งเขาเรียกกันว่า Household, Household Life, Household ครองเรือน ไม่มีเรือน ก็เรียกว่า Homeless Life, Homeless ก็ไม่มีเรือน จำๆ กันไว้บ้างเผื่อจะพบคำๆ นี้ หรือจะใช้คำๆ นี้ Household มันก็ยุ่งอยู่ด้วยเรือน Homeless มันก็ไม่มีเรือน จะลองดูก็ได้ จะเอาจริงก็ได้ก็แล้วแต่ แต่ถ้าผู้ที่บวชแล้วสึกนี้มันก็เท่าๆ กับมาลองฝึกดู แต่มันไม่ควรจะเป็นเรื่องลองเปล่าๆ มันต้องเป็นเรื่องศึกษาให้ได้ประโยชน์ ออกไปแล้วก็ใช้เป็นประโยชน์ได้ ศึกษาเป็นชีวิตชนิดที่สูงกว่าน่ะ เอาไปต่อสู้กับชีวิตชนิดที่ต่ำๆ มันก็ง่าย มันก็ง่าย จะเอาไปครองเรือนนี่มันจะต้องทำได้ดี มันรู้อะไรได้ดีๆ มีความรู้สึกที่สูงกว่าหรือเหนือกว่า จึงชื่อว่าจะต้องครองเรือนได้ดี
ธรรมเนียมโบราณเขาก็มีในอินเดียว่าไปบวชไปเข้าอาศรม ไม่ใช่ว่าไปบวชอยู่ป่าเลยไม่ใช่ ไปเข้าอาศรมที่เขาฝึกฝนๆ ฝึกฝนกันทุกอย่างทุกประการ และเมื่ออาจารย์เขาบอกว่าได้ ใช้ได้ สำเร็จ นี่เรียกว่าสำเร็จจากการศึกษาในอาศรม แล้วกลับออกมาเรียกว่าบัณฑิต บัณฑิตนั่นบัณฑิตนี่ตามชื่อเดิม ก็ได้ชื่อใหม่ว่าเป็นบัณฑิตนั่นบัณฑิตนี่ ธรรมเนียมนี้ก็ยังมาใช้ในเมืองไทย บวชแล้วสึกก็เรียกว่าทิด ซึ่งมาจากบัณฑิต ออกเสียงตัว ฑ. นางมณโฑ ต่างกัน เป็น ด.เด็ก ก็ได้ เป็น ท.ทหาร ก็ได้ ก็แปลว่ามีปัญญารอบรู้ เอาตัวรอด ปัญญาเอาตัวรอด, บัณฑิต นี่ก็คล้ายๆ กันแหละถ้าจะมาบวชพระอย่างนี้ซึ่งเป็นระเบียบสำหรับไปนิพพาน แต่ถ้าปฏิบัติให้ดีมันก็มีส่วนที่จะช่วยให้เป็นบัณฑิตสำหรับการครองเรือน ฉะนั้นคำว่าบัณฑิตนี้ ไม่ใช่ของใหม่ของปริญญาใหม่ๆ นี่มันของเก่าแก่โบรงโบราณครั้งไหนก็ไม่รู้ ในอินเดียก็ได้ใช้กันมาแล้ว แต่เดี๋ยวนี้เรามาบวชปฏิบัติอย่างแบบพุทธๆ ก็เรียกว่าออกจากเรือนสู่ความไม่มีเรือน ด้วยอยากจะศึกษา ด้วยอยากที่จะลองดูก็ได้ ไม่ใช่ลอง เอากันจริงๆ เอาไปใช้เป็นประโยชน์ก็ได้ หากแต่ว่ามันไม่ใช่บวชตลอดไปหรือมันบวชอย่างผลักออกไปจากโลกไปสู่โลกุตตระ คงจะไม่ถึงขนาดนั้นนะ ผมคำนวณดูว่าพวกคุณนี่ ไม่ใช่ว่าออกบวชโดยอตัมมยตามันผลักออกมา จะบวชตามประเพณีหรือบวชตามความอยากลองอะไรก็ได้ ถ้าอตัมมยตามันผลักออกมา นั่นแหละมันบวชจริงเหมือนพระสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าพระสิทธัตถะออกไปจากบ้านเรือนไปบวชนั่นน่ะ แบบนั้นน่ะ แบบอตัมมยตามันผลักออกไป เลื่อนไป ออกไป ไม่ใช่จะต้องกลับเข้ามาอีก ไม่มีหวังไม่ได้คิดที่จะกลับเข้ามาอีก เดี๋ยวนี้เราไม่ใช่อตัมมยตาผลักออกมา ก็บวชตามพอใจตามพ่อแม่ขอร้องหรือด้วยความประสงค์ใดๆ ก็ตาม ไม่ได้บวชเพื่อไปนิพพาน ก็ได้ๆ แต่ขอให้สำเร็จประโยชน์คุ้มค่าๆ ที่ได้บวช
เท่าที่คุณก็จะเห็นอยู่แล้วว่าระเบียบปฏิบัติการดำเนินชีวิตอย่างนักบวชนี่มันก็ต่างกันอย่างไร คือไปหมดจากระบบบ้านเรือนอย่างไร กินอยู่ก็ต่างกัน นุ่งห่มก็ต่างกัน ที่อาศัยก็ต่างกัน หยูกยาในการเจ็บไข้ก็ต่างกัน นั่นเรียกว่ามันต่างกันขนาดนั้น แต่ว่ามันต่างไปในทางชนิดที่ชนะ สามารถที่จะชนะปัญหาต่างๆ ได้ กินอยู่แบบต่ำสุดนี่ มันเป็นธรรมเนียมมาแต่โบราณแล้วว่าขอทาน เรียกว่าขอทานๆ ถึงเป็นพระไปบิณฑบาตนี้ก็มีลักษณะขอทานเหมือนกัน แม้จะคนละแบบกับขอทานธรรมดาโน่น แต่ก็มีความหมายอย่างเดียวกัน ความหมายว่า ปรทตฺตูปชีวี มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่บุคคลอื่นเขาให้ แปลว่าเราไม่ได้ทำนาทำไร่ทำสวนอะไรเอง เรามีชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่บุคคลอื่นเขาให้ เหมือนที่เราไปบิณฑบาตมันก็ได้มีลักษณะขอทาน แต่ก็มีความภาคภูมิใจว่าเราขอทานอย่างมีเกียรติ หรือมีสิทธิที่จะขอตามหลักการที่มีมาแล้วแต่ดึกดำบรรพ์ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์มีสิทธิที่จะขอเพราะว่าได้ทำกิจสูงสุดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะสืบอายุพระศาสนาไว้ให้สัตว์ทั้งปวงในโลก เมื่อทำเมื่อตั้งใจอย่างนี้มันก็มีสิทธิที่จะกินอาหารที่ผู้อื่นให้หรือเรียกว่าฟรี แต่ว่าต้องเดินไปเอาเอง ขอให้ศึกษาไว้ด้วย รู้สึกอย่างไร มีความรู้สึกอย่างไร อย่าไปเป็นห่วงใยที่เคยกินดีอยู่ดีที่บ้านน่ะ อย่าไปห่วงใยมัน กินอยู่อย่างเดี๋ยวนี้แหละ ขอทานนี่แหละแล้วก็มาฉันอย่างจานแมวนี่แหละ ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแหละ ไปหามาอย่างคนขอทานแล้วก็รับประทานอาหารอย่างกินจานแมว แล้วก็กินชนิดที่มันไม่เกิดกิเลส กินจานแมวนี้มันไม่เกิดกิเลส มันไม่ทำไปตามความอยากความอร่อยความหวังอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็กินอย่างว่าพอมีชีวิตอยู่ได้ ตามบทปัจจเวกขณ์ ปฏิสังขา โย, อัชชะมะยา ก็ตาม ตามนั้นแหละ ศึกษาดูให้ดีๆ เพื่อมีชีวิตอยู่ได้ เหมือนกับว่ากินเนื้อลูกกลางทะเลทรายนี่ บางคนคงจะไม่รู้เรื่องนี้ คือในบาลีมัชฌิมนิกาย มันมีถึงเรื่องกินอาหาร บรรพชิตนี่กินอย่างพ่อแม่จำใจกินเนื้อลูกกลางทะเลทราย
ผัวเมียคู่หนึ่งอุ้มลูกอ่อนเล็กๆ เพิ่งคลอด เล็กๆไปข้ามทะเลทรายไป จะไปฝั่งนู้น ก็ไปหลงทางในทะเลทราย ออกไม่ได้หลายวันเข้าจนหมดอาหาร แล้วลูกก็ตาย มันก็จำเป็นต้องกินเนื้อลูก คิดดูสิ,จะกินให้อร่อยอย่างไร จะกินลงคอหรือไม่ มันก็จำเป็นที่จะต้องกิน นี่ก็กินเนื้อลูกกลางทะเลทราย พอรอดชีวิตออกไปได้ข้ามทะเลทรายไปได้ จะอุปมาเหมือนกับว่าการปฏิบัติพรหมจรรย์นี้ มันจะข้ามวัฏฏสงสารอันใหญ่ยาว ยาวยืด กินอาหารอย่างชนิดกินเนื้อลูกกลางทะเลทรายไปเถิด จะเป็นไปได้ กินเป็นการศึกษา จะหยิบ จะฉัน จะเคี้ยวอะไรก็เป็นการศึกษา มีสติ สติ สติ สติ จะใส่เข้าปาก จะเคี้ยว จะกลืนอะไรก็ตาม ก็ด้วยสติๆ ทำเถิด มีประโยชน์ที่สุดแหละ เราจะได้ฝึกการมีสติอย่างยิ่งมากมายกว่าเดิม อันเดิมไม่เคยมี ไม่เคยสนใจ ไม่มีเรื่องที่จะต้องทำ
เพราะฉะนั้นต้องพอใจ ต้องพอใจในการกินอยู่แบบของผู้บวชนี่ จะไม่มีคำว่าขาดแคลน แม้ว่าวันนี้จะต้องฉันข้าวกับกล้วยลูกเดียว ไม่มีอะไรนอกจากกล้วยลูกเดียว ก็ต้องไม่ใช้คำว่าขาดแคลน ไม่มีขาดแคลน ดีเต็มเปี่ยม เพราะมันดีกว่ากินเนื้อลูกกลางทะเลทรายเป็นไหนๆ กินข้าวกับกล้วยลูกเดียวทั้งมื้อ จะไม่มีคำว่าขาดแคลน จะรู้จักทำในใจให้พออยู่เสมอ นี่เรียกว่ากินอยู่แบบหนึ่งต่างหากแล้วจากที่เคยมีมาแต่เดิม บางทีมันก็ยังจะไม่สะอาดหรือว่าไม่อะไรอย่างที่เคยได้ก็นั่นแหละ เช่นว่า ไปบ้านคนขอทาน ไปบ้านชาวบ้านที่เขายากจน เขาไม่มีความสะอาดพอ แต่เราก็มีความต่อต้านในร่างกายพอที่จะไม่เป็นโรค เป็นการศึกษา ถ้าไปเจอบ้านที่ว่าขันข้าวก็ไม่สะอาด แล้วมือนี่ก็สกปรก อะไรก็สกปรก มาใส่บาตร ก็นั่นแหละ อย่างนั้นเองแหละ ทำจิตใจปกติได้แล้วก็ดี
นุ่งห่มก็เหมือนกันแหละ เรียกว่าต่ำสุด แต่เดี๋ยวนี้มันดี มันดีเกินไปจนพวกคุณไม่รู้ว่าครั้งพุทธกาลนั้นเขาใช้จีวรชนิดไหนกัน มันผ้าขี้ริ้วนั่นแหละ ผ้าขี้ริ้วปุปะที่หามาได้ ไม่ใช่ว่าซื้อใหม่มาจากร้านจากอะไร เก็บหากันไปตามเรื่อง เพราะว่าอุปัชฌายะหาให้ ไม่ได้เอาไปจากบ้าน ไม่ใช่บวชอย่างเราบวชกันเดี๋ยวนี้ ก็อยู่กับอุปัชฌายะ อุปัชฌายะก็ให้จีวรแล้วแต่จะมี แต่ถ้าว่าคหบดีคนร่ำรวยจะให้ก็ได้เหมือนกันแหละ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นผ้าที่เนื้อหยาบระคายเคืองไม่เหมือนกับผ้าเดี๋ยวนี้ ผ้าเดี๋ยวนี้ถึงอย่างไรก็ยังเนื้อละเอียด สบาย ห่มสบาย โบราณผ้าทอด้วยมือ เส้นใหญ่ เส้นด้ายใหญ่แล้วก็หนาปึก ย้อมฝาดเข้าอีกก็ยิ่งหนาใหญ่ รุ่นอาจารย์ของผมอีกทีนะ เป็นอาจารย์ของผมอีกที ท่านเคยใช้ผ้าอย่างนั้น เคยเล่าให้ฟัง พอครองจีวรแล้วพาดสังฆาฏิอย่างนี้แล้วพอดีถึงหู สังฆาฏิที่พาดอยู่บนบ่ามันสูงถึงหู เพราะผ้ามันหนา มันหยาบ มันทำใจได้ ก็ได้ๆ เหมือนกัน อยู่ได้ก็เป็นไปได้แหละ ฉะนั้นเราก็มีเครื่องนุ่งห่มชนิดที่เรียกว่าไม่นิ่มนวลไม่สบาย ก็ได้ ก็ต้องได้
แล้วก็อยู่เหมือนกัน มันก็อยู่ ก็บอกกันแล้วว่าอยู่โคนไม้ นี่ดี ดีถมไปที่ไม่ต้องอยู่โคนไม้ คืออยู่บนกุฏิ กุฏิชนิดที่เรียกว่ามันสันโดษนั่นแหละ เอาความสะดวกสบายอะไรไม่ได้ อย่าไปคิดถึงที่ว่าคนบางพวกเขาอยู่ตึก พระบางรูปนี่เขาอยู่ตึกอยู่อะไรสบายยิ่งกว่าชาวบ้าน สบายเหมือนบ้านเศรษฐี ก็อย่าไปนึกถึงเขาเลย ทำใจไปเถิด เราจะบวชใหม่มานี่จะอยู่อย่างที่เรียกว่าสมณศากยบุตรท่านเคยอยู่กันมาอย่างไร อยู่โคนไม้ก็ยิ่งดี แต่เดี๋ยวนี้เราก็มีกุฏิอยู่ กุฏิเท่าเล้าหมู ก็พอใจยินดี มันเป็นที่อาศัยได้ สะดวกสำหรับจะประพฤติพรหมจรรย์ กุฏิเท่านั้นแหละใหญ่แล้วพอแล้ว สะดวกแล้วสำหรับจะประพฤติพรหมจรรย์ จงยินดี อย่าไปนึกไปมองอิจฉาริษยาผู้ที่เขาอยู่กุฏิใหญ่โตสะดวกสบาย อย่าไปนึกๆ มีแบบนี้แหละดี พอดี พอดีที่สุด เหมาะที่สุดที่จะประพฤติพรหมจรรย์คือประพฤติที่จะชนะกิเลส ถ้ามีโอกาสสะดวก จะอยู่โคนไม้ดูบ้างก็ได้ แต่ฤดูฝนนี่มันก็ไม่อำนวย มันอำนวยเฉพาะฤดูแล้ง
ทีนี้มาถึงหยูกยา ถ้าตามแบบเดิม ก็เภสัชหยูกยาที่ทำขึ้นด้วยน้ำมูตร ปรุงขึ้นด้วยน้ำมูตร นี่โบรงโบราณที่สุด เป็นของโบราณที่สุดที่มนุษย์รู้จักใช้ ต่ำ ชั้นต่ำสุด จะเป็นชิ้นยาอะไรก็ตามสมุนไพรอะไรก็ตาม แช่น้ำมูตร ก็แก้โรคไปตามเรื่องของสมุนไพร เดี๋ยวนี้เรากินยาที่สบาย ไม่มีใครมีโอกาสลองที่จะฉันยาที่ปรุงขึ้นด้วยน้ำมูตร จะทำอย่างไรได้มันก็หมดก็ผ่านไปแล้ว เอาแต่ใจความ ก็ยินดีเถิด ยินดีในหยูกยาตามมีตามได้ ที่ง่ายที่หาได้ง่ายที่ว่าเราไม่มีสตางค์ ก็เป็นอันว่าอยู่อย่างที่คนไม่มีทรัพย์สมบัติ นี้เป็นใจความสรุปที่สุดคำหนึ่งเหมือนกัน พูดให้ชัดให้ตรงก็ว่า คุณจงลองมีชีวิตอยู่อย่างคนที่ไม่มีสตางค์สักแดงเดียว จะได้หรือไม่ได้ขอให้ลองดู ได้เท่าไหร่ก็ขอให้ลองดู เป็นโอกาสแล้วที่จะลองมีชีวิตอยู่อย่างที่ไม่มีสตางค์สักแดงเดียว ได้หรือไม่ได้ให้มันรู้ไป จะตายก็ให้มันรู้ไป อยากลองดูก็ลอง ที่เราคิดว่าจะไม่ได้ มันได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าเราคิดเสียว่าไม่ได้ มันก็ไม่ได้ ถ้าเอาจริงๆ เข้ามันก็ได้ ได้
ปีติ สันโดษ ยินดี พอใจ มันก็อิ่มทั้งนั้นแหละ อิ่ม ไม่ขาดแคลนอะไร ถ้าเกิดไม่มีสบู่ขึ้นมาก็ช่างหัวมัน ไม่มียาถูฟันก็ช่างหัวมัน ก็เรื่อยๆ เรื่อยๆ ไป แก้ไขไปตามธรรมชาติที่มันจะทำได้เหมือนกับคนที่ไม่มีสักสตางค์เดียว ลองอยู่ดูเถิด ดีที่สุดแหละ ผมก็เคยอยู่อย่างนั้น แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ได้แหละ หลายวันก็จะถูสบู่สักครั้งหนึ่ง บางทีเดือนหนึ่งจะถูสบู่สักครั้งหนึ่ง เดือนหนึ่งแปรงฟันอย่างมียาถูฟันสักครั้งหนึ่ง เรากลัวมากเกินไป ฉะนั้นเอาหลักเกณฑ์การอยู่ที่นี่ กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู นอนกุฏิเล้าหมู ฟังยุงร้องเพลงก็ได้ กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างทาส เหมือนข้าทาส หมายมาดความหลุดพ้นปล่อยวาง ชีวิตเลยเป็นการศึกษา ชีวิตเลยเป็นการศึกษา หมดแล้วก็รู้สิ่งที่มีค่าเหลือประมาณน่ะ ถ้าว่าบวชอยู่ให้ต่ำที่สุดแล้วก็กระทำอย่างสูงที่สุด การอยู่อย่างต่ำนั่นแหละมันทำให้น้อมไปในทางสูง ถ้ามันอยู่สูงเสียแล้ว จิตมันก็ลงมาทางต่ำ มันอยู่ต่ำแล้วมันมีแต่จะไปข้างสูง ดำเนินชีวิตชนิดต่ำ แต่การกระทำ การพูด การคิด การขวนขวาย การพยายามมันสูงๆ สูงขึ้นไป สูงขนาดที่ว่าอยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง ทุกข์ทั้งปวง ถ้าปฏิบัติได้จริงมันก็อยู่เหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป เหนือบวกเหนือลบ เหนือความดีใจเสียใจนี่ นั่นที่เรียกว่าสูง จากชั่วมาถึงดี เหนือดีขึ้นไปก็คือว่าง นี่สูง จากทุกข์มาถึงสุข จากสุขเหนือขึ้นไปก็คือว่าง เหนือลบก็เป็นบวก เหนือบวกขึ้นไปก็คือว่าง จากบาปไปถึงบุญ เหนือบุญก็คือว่าง จากเสียใจไปถึงดีใจ เหนือดีใจขึ้นไปก็คือว่างนั่นแหละ เหนือฝ่ายที่เป็นบวกขึ้นไปก็คือว่าง เดี๋ยวนี้มันพอใจเรื่องบวกๆ กัน คือได้ตามที่กิเลสต้องการแก่ ก็เรียกว่าบวก ทุกคนในโลกมันต้องการอย่างนั้น เอร็ดอร่อยสนุกสนานเพลิดเพลินตามพอใจ คำว่าตามพอใจนี่มันลำบากกว่าสติปัญญาพอใจหรือว่ากิเลสมันพอใจ ส่วนใหญ่ก็กิเลสพอใจทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่สติปัญญาพอใจ ฉะนั้นเราเป็นอยู่ต่ำก็เพื่อให้มันไปสูงๆ กินอยู่อย่างต่ำมุ่งกระทำอย่างสูง เป็นหลักการที่จะถือเอาไว้ว่ากินอยู่อย่างต่ำมุ่งกระทำอย่างสูง ชีวิตบวชต้องพยายามศึกษาแบบฉบับตำหรับตำรา การศึกษาในทางธรรมะทางวินัยก็หามาศึกษา เดี๋ยวนี้มันสะดวกมันมีขาย สมัยก่อนสมัยโน้น มันไม่มีขาย หาก็ยาก เดี๋ยวนี้สะดวก หามาเรียน หามาศึกษาตามที่ควรจะศึกษา ถ้าจะสอบไล่ ก็เรียนให้มันได้สอบไล่ หรือศึกษาอีกอย่างก็คือศึกษากรรมฐานสมาธิวิปัสสนานี่ ก็หาหนังสือคู่มือมาศึกษา ศึกษาๆเข้าใจแล้วก็ลองปฏิบัติดู ลองปฏิบัติดู มันก็สอนให้ๆ เมื่อลองปฏิบัติดูมันก็รู้ๆ รู้ขึ้นไปตามลำดับ การปฏิบัตินั่นแหละสอนดีกว่าคน ดีกว่าอาจารย์สอน หนังสือสอนก็ไม่ดีเท่า อาจารย์สอนก็ไม่ดีเท่า เท่าการลองปฏิบัติดู พอลองปฏิบัติดู การปฏิบัติมันจะสอน เหมือนอย่างเด็กเล็กๆ ที่มันจะเดินได้ ใครสอนมันได้ ถึงจะช่วยจับให้ๆ ให้นั่นทีแรก ให้มันยืน ให้มันเดินทีแรก มันก็ล้ม แล้วต่อมามันได้พยายามทำอย่างนั้น มันก็ล้ม ทำล้ม ทำล้ม ทุกคราวที่ล้มมันสอน เด็กทารกก็รู้จักทำให้สมดุล ให้ยืนได้ ให้เดินไปได้ ก้าวไปได้ นี่เรียกว่าการกระทำมันสอน ไม่ใช่พ่อแม่พี่เลี้ยงจะสามารถสอนได้ที่ให้ทารกมันเดินได้ หรือว่าเรื่องขี่รถจักรยานนี่ ไม่มีใครสอนได้ รถน่ะมันสอน ล้มน่ะมันสอน เห็นเขาขี่อย่างนั้น มันก็ขี่ไม่ได้ ก็ล้ม เขาจับยึดให้มันก็ล้ม แต่ว่าทุกคราวที่ล้ม ที่ทำให้มันล้ม มันสอน สอน สอน และต่อมาค่อยรู้จักขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว รู้จักทำให้มันตรงให้มันสมดุลขึ้นจนไม่ล้ม ถึงจะงกเง็กๆ ไปบ้างมันก็ไม่ล้ม ที่งกเง็กๆ แล้วทีนี้ใครสอนไม่ได้แล้ว มันนอกจากสอนเอง จนไม่แกว่งไปหรือไม่งกเง็กๆ เรียบจนกระทั่งว่าปล่อยมือก็ได้ นี่ไม่มีใครสอนหรอก ผมเคยแล้ว รถนั่นแหละมันสอน การกระทำนี่มันสอน เร็วกว่านั้นก็พายเรือ ก็ไม่มีใครสอนได้ เรือน่ะมันสอน ลองพายจับพายดูเถิด เดี๋ยวก็ค่อยรู้จักๆ ไม่กี่วัน ก็พายตรงแน่วเลย การกระทำมันสอน นี่ช่วยจำไว้ให้แม่นยำ ดีกว่าครูสอนหรืออาจารย์สอน คือสอนจริงกว่าได้ผลจริงกว่า ฉะนั้นจงยินดีกระทำ ยินดีกระทำ กระทำ กระทำ แล้วมันจะสอน สอน สอน แล้วก็ได้ ได้ ได้
นี่พระพุทธเจ้า ไม่มีใครสอน อาจารย์ของพระพุทธเจ้าชื่อนายคลำ นายคลำ คลำเรื่อยไป นั่นแหละอาจารย์ที่แท้จริง ในที่สุดท่านก็พบๆ ตรัสรู้ด้วยอาจารย์ชื่อนายคลำ ที่เรียนจากคนนั้นคนนี้บ้างก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ต้องไปคลำเอาเองจนพบจนตรัสรู้ นี่คือว่าขอให้ขวนขวายพยายามแยกแยะทดลอง คือคลำเหมือนกันแหละคลำไป อย่างนี้ไม่สงบเอาอย่างนี้ อย่างนี้ไม่สงบเอาอย่างนี้ เดี๋ยวก็พบสงบ อย่างนี้ไม่รู้ อย่างนี้ไม่รู้สึกเอาอย่างนั้นไป เดี๋ยวก็รู้ มันก็รู้ ขอให้พยายามเรียนด้วยการกระทำ นี่เป็นเรื่องการประพฤติพรหมจรรย์ ต่อสู้กันอยู่อย่างทุลักทุเลอย่างนี้เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์เพื่อชนะกิเลส ต่อสู้กันกับกิเลส ฟัดเหวี่ยงกันกับกิเลสเรื่อยไป ล้มลุกคลุกคลานก็ไม่ยอมแพ้ มีแต่ชนะเพิ่มขึ้นๆ เป็นการก้าวหน้าทางวิญญาณที่จะต้องทำให้รู้จักเสียประเดี๋ยวนี้ เรารู้จักก้าวหน้าแต่เพียงทางวัตถุ มีสิ่งของมากขึ้น ก้าวหน้าทางกายมีร่างกายเข้มแข็งสวยงามอะไรยิ่งขึ้น ก้าวหน้าทางจิตนี่ยังไม่ค่อยมี จิตยังไม่ค่อยสูง จิตยังไม่ค่อยเข้มแข็ง เอ้า,ก็ฝึก ส่วนก้าวหน้าทางสติปัญญา,ญาณทัสสนะ ยิ่งจะไม่มี ก็ยังไม่ค่อยจะรู้ ต้องทำให้มันมีให้รู้ตามที่เป็นจริงว่ามันเป็นทุกข์เพราะอะไร ซึ่งใจความสำคัญมันเป็นทุกข์เพราะไปยึดมั่นนั่นนี่ว่าเป็นตัวตนเป็นของตน แล้วก็เกิดกิเลสอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาก็ยึดมั่นถือมั่น กิเลสก็ทำให้เป็นทุกข์ ยึดมั่นในสิ่งนี้น่ารัก ก็รัก ยึดมั่นในสิ่งนี้น่าโกรธ มันก็โกรธ ยึดมั่นในสิ่งนั้นน่าหลง มันก็หลง มันจึงมีความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะความยึดมั่นด้วยความโง่ นี้ทางสติปัญญามันไม่ค่อยจะมี มันไม่ค่อยจะก้าวหน้า ฉะนั้นพยายามอบรมจิตให้เข้มแข็งด้วยสมาธิ อบรมจิตให้ฉลาดแจ่มแจ้งในธรรมะลึกซึ้งด้วยวิปัสสนา ทำได้ตามมากตามน้อยตามที่เราจะทำได้ในสภาพอย่างนี้ ไม่ถึงกับต้องออกไปอยู่ถ้ำอยู่ป่าอยู่เขาอยู่หิมาลัยหรือที่ไหน มีเวลาเท่าไหร่ก็ฝึกฝนจิตให้เข้มแข็ง ให้เข้มแข็งในการทำงานและในการอ่อนไหวพร้อมที่จะรู้นะ เหมาะสมที่จะรู้ จิตบริสุทธิ์มันจะแข็งมีกำลังแล้วมันก็อ่อนไหวพร้อมที่จะรู้ รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้ว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงเรื่อย นี้เรียกว่ารู้อนิจจัง รู้ว่าการที่ต้องอยู่กับสิ่งเปลี่ยนแปลงเรื่อยนี้มันเป็นทุกข์ มันต้องจำใจอยู่กับสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงเรื่อย มันคือความทุกข์ และไม่มีอะไรต่อต้านได้ มันเปลี่ยนแปลงและเป็นทุกข์ไม่มีอะไรต่อต้านได้ นี้เรียกว่าอนัตตา ไม่มีอะไรต่อสู้ได้ ไม่มีตัวตนต่อสู้ได้เรียกว่าอนัตตา ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอย่างนี้แล้ว ก็ทำจิตให้มันไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็กลายเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ต้องการจะทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์ ยึดมั่นถือมั่นว่าต้องได้อย่างนั้นต้องได้อย่างนี้ ทำด้วยสติปัญญา อย่าทำด้วยยึดมั่น นี่สำคัญ ประโยคนี้สำคัญ จงทำอะไรๆ อะไรด้วยสติปัญญา อย่าทำด้วยความยึดมั่น มันจะกัดเอา ยึดมั่นในสิ่งใดสิ่งนั้นมันจะกัดเอา เราก็ทำด้วยสติปัญญาก็แล้วกัน มันไม่กัด จะสำเร็จไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอยากไม่ต้องหวัง ไม่ต้องอยากไม่ต้องหวัง ช่วยจำให้ดีเถิด ทำไปด้วยสติปัญญาเถิด ถ้าไปหวังมันจะกัดเอา อยากจะมีเงินจำนวนมากสักจำนวนหนึ่งก็ได้ ชาวบ้านอยู่ที่บ้านนั่นแหละ อยากจะมีเงินจำนวนมากสักจำนวนหนึ่งก็ทำไปเถิด ทำงานทำหน้าที่ที่ถูกต้องที่ควร อย่าไปหวังๆ มันจะกัดเอา มันจะเป็นทุกข์ พอหวังก็ผิดหวัง มันก็กัดเอา ไม่หวัง ทำเรื่อย มันก็ได้มา
นี่เป็นเคล็ดในชีวิต อย่าอยู่ด้วยกิเลสตัณหาความหวังความอยาก แต่อยู่ด้วยสติปัญญา สติปัญญาว่าควรทำอะไรก็ทำ ทำอย่างไรก็ทำ ก็ทำไป อย่าหวังให้มันกัดหัวใจ มันจะมีความรู้สึกเหมือนกับว่าเสร็จอยู่ทุกๆ นาที เสร็จอยู่ทุกๆ ชั่วโมง เราทำที่ควรทำ ทำให้ดี มันก็เสร็จทุกๆ นาทีทุกๆ ชั่วโมงเรื่อยไปไม่มี สมบูรณ์เมื่อไหร่ก็เรียกว่าได้ตามที่ควรจะได้ เราไม่หวัง ถ้าหวังมันกัดนะ อย่าอยู่ด้วยความหวังเหมือนกับพวกฝรั่งเขาสอนนะ โรงเรียนก็มักจะสอนว่าชีวิตนี้อยู่ด้วยความหวัง ทางหลักธรรมะ ไม่ๆ ไม่สอนอย่างนี้ ชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญา สัมมาทิฏฐิ ไม่อยู่ด้วยความหวังให้มันกัดเอา กัดเอามันก็ตกนรกทั้งเป็น ไม่อยู่ด้วยความหิว มันเป็นเปรต ก็ หิว หิว หิว หิวจะได้ เดี๋ยวมันก็เป็นประสาทบ้าตาย เงินก็ไม่ได้สักบาท อย่าหิว อย่าหวัง อย่าอะไร ทำไปด้วยสติปัญญา ทำเรื่อย ทำเรื่อย เดี๋ยวก็ค่อยๆ ได้มาๆ นี่หลักธรรมะมันสอนให้อยู่ด้วยสติปัญญา ไม่ใช่อยู่ด้วยความหวัง แต่ที่เขานิยมสอนพูดกันตามฝรั่งสอน มันจะสอนให้อยู่ด้วยความหวัง ให้เด็กๆ หวัง หวัง หวัง มันก็ทรมาน เผลอเข้าก็เป็นโรคประสาท เจ็บป่วยเป็นตายไปเสียอีก ทำให้สนุก ทำด้วยสติปัญญา ทำให้สนุก ทำให้สนุก ทำให้สนุก สบายดี นี่เรียกว่าดำเนินชีวิตด้วยปัญญา คุณจะจำประโยคนี้ก็ได้ ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา อย่าดำเนินชีวิตด้วยความหวังความอยากความหิว ไม่รู้ ข้อนี้ไม่รู้ ไม่ยอมให้เกิดความหวังขึ้นมากัดหัวใจ ไปหวังในสิ่งใด สิ่งนั้นมันก็กัดเอา หรือมันเป็นนาย เราเป็นทาสมันแล้ว
นี่เขาเรียกว่าเป็นเรื่องสูงทางจิตใจ เรื่องสูงทางสติปัญญา เราไม่เคยรู้เรื่องนี้ จิตใจของเราไม่เคยสูงอย่างนี้ รีบศึกษา รีบทำให้รู้จักเสียแต่บัดนี้ เริ่มแต่เดี๋ยวนี้ แรกบวชนี่แหละ มีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญา สร้างความถูกต้องในทางจิต ทางวิญญาณต่อไปเรื่อยไป เรื่องทางวัตถุเรื่องทางร่างกายเราเรียนมามากแล้ว เรียนที่โรงเรียนที่บ้านที่ไหนก็มี เจริญทางวัตถุสิ่งของเจริญทางร่างกายเราเรียนมาแล้ว เหลืออยู่แต่เจริญทางจิตทางปัญญาทางวิญญาณนั่นทำต่อไปๆ ในระหว่างที่บวชนี่ศึกษาทำต่อไป ทำต่อไปให้มันได้มากพอ มีความเจริญทางจิตก็เป็นผู้ที่มีจิตเข้มแข็ง คล่องแคล่ว ว่องไว แอ๊คตี๊พ(active)ไปทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อเจริญด้วยปัญญาด้วยวิปัสสนา ก็รู้ รู้จักสิ่งทุกสิ่ง ไม่ไปหลงรัก หลงเกลียด หลงโกรธ หลงกลัว หลงตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์กับสิ่งใดหมด นี่เจริญทางสติปัญญาหรือทางวิญญาณ ทางวัตถุต่ำสุดทางร่างกายสูงขึ้นมาทางจิตสูงขึ้นมา ทางวิญญาณหรือทางสติปัญญาสูงขึ้นไปกว่านั้น วิญญาณคำนี้ ความหมายพิเศษ ไม่ใช่วิญญาณผีสาง วิญญาณคือสติปัญญา เราใช้คำนี้เป็นที่รู้กัน เรื่องทางจิตแล้วก็เรื่องทางวิญญาณ ทางสติปัญญา จิตเป็นเรื่องจิต จิตเข้มแข็งก็เป็นเรื่องจิต จิตสมรรถนะสูงสุดก็เป็นเรื่องจิต แต่การรอบรู้ในสิ่งที่ควรจะรู้นั้นเป็นเรื่องของวิญญาณหรือของสติปัญญา ทำเสียให้แต่เดี๋ยวนี้ มันก็จะได้มากพอสมควร ถ้าจะสึก กว่าจะสึกมันก็ได้มากพอสมควร รู้แจ้งสิ่งที่มันจะทำให้เป็นทุกข์ อย่าให้มันทำเป็นทุกข์ได้ กูไม่เอากับมึงไอ้ความทุกข์ สามารถที่จะดำรงจิตใจอยู่ในสภาพที่ไม่เกิดความทุกข์ คือไม่โง่ๆ ความทุกข์เกิดมาจากความโง่ ความไม่ทุกข์เกิดมาจากความไม่โง่ ไม่โง่เรียกว่าวิชชา โง่ก็เรียกว่าอวิชชา อวิชชามันโง่ วิชชามันไม่โง่ ก็คือสติปัญญา ถ้าถูกต้องที่สุดก็เป็นสัมมาทิฏฐิ เราดำเนินชีวิตด้วยปัญญา หมายความว่าอย่างนี้
แต่ก่อนนี้เราไม่รู้เรื่องนี้ เราก็ดำเนินชีวิตมาตามกิเลสตัณหาตามความพอใจของเรา ตามกิเลสมันต้องการ หรือตามที่เขานิยมกันแฟชั่นกันอะไรกัน เราก็ไปหลงกับเขา มันเป็นเรื่องกิเลสทั้งนั้น เดี๋ยวนี้มารู้จักปัญญาความถูกต้อง คือไม่เป็นทุกข์ แล้วก็ถือเอาวิธีนั้นแหละเป็นหลักสำหรับดำเนิน ถ้าเกิดความทุกข์ขึ้นมาให้ถือว่าผิดไปแล้ว โง่แล้วว่าอย่างนั้นก็ได้ ถ้ามันไม่เกิดความทุกข์ขึ้นมา ก็ยังดีอยู่ ยังถูกอยู่ แต่ถ้ามันเกิดความทุกข์ขึ้นมา ก็มันพลาดไปแล้ว มันโง่แล้ว เอาใหม่ ถ้าเป็นเรื่องที่ค้นหาได้ก็ค้นหารากเหตุปัจจัยของมันมาแก้ไขเสีย ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่เจริญในทางวิญญาณ ที่ผู้บวชแล้วทั้งหลายจะต้องจัด ต้องทำ ต้องสร้างสรรค์ให้มันมีขึ้นมา
จะบวชชั่วคราวก็ต้องศึกษาเรื่องนี้ จะบวชตลอดไปก็ต้องศึกษาเรื่องนี้ มันเหมือนกัน พรหมจรรย์นี่มันเหมือนกัน จะบวชชั่วคราวก็ต้องศึกษาอย่างนี้ จะบวชตลอดไปเพื่อเป็นพระอรหันต์ก็ต้องศึกษาอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ แล้วก็จะสามารถแก้ปัญหาได้คือควบคุมกิเลสได้ แล้วจะมีการกระทำที่ถูกต้อง นั่นแหละเป็นที่พึ่ง การประพฤติปฏิบัติกระทำที่มันถูกต้องนั้นมันเป็นที่พึ่ง กำจัดความทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนให้พึ่งตัวเองและธรรมะ เมื่อวานก็พูดกันทีแล้วในการบรรยาย อันนี้เป็นหลักสำคัญที่ต้องจำไว้ ต้องพึ่งตัวเองพึ่งธรรมะ ไม่ใช่พึ่งพระพุทธเจ้า ไม่ใช่อ้อนวอนขอร้องให้พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งแล้วก็ช่วย ช่วย ช่วย เอาพระเครื่องมาแขวนคอแล้วก็ช่วย ช่วย ช่วย ไม่ใช่อย่างงั้น ตัวเองที่เป็นทุกข์แหละต้องช่วยตัวเอง แม้ตัวเองนั้นจะเป็นอนัตตามันก็ต้องช่วยตัวเองทั้งที่เป็นอนัตตา แม้จะได้ผลเป็นความสุขมาเป็นอนัตตา ก็ช่างหัวมันไม่เป็นทุกข์ก็แล้วกันแหละ ตัวเองนั้นไม่รู้สึกเป็นทุกข์ก็แล้วกัน ตัวเองจะต้องช่วยตัวเอง ใครอื่นจะช่วยได้ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน, ใครอื่น โก หิ นาโถ ปโร สิยา ใครอื่นที่ไหนจะมาช่วยได้ ความทุกข์เกิดแก่ใคร ผู้ใด จิตใด สังขารใด นั้นแหละอันนั้นแหละต้องแก้ไขเอง ทำเอง อตฺตทีปา อตฺตสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา ตนเป็นประทีปที่พึ่ง ตนเป็นสรณะ ธรรมะเป็นประทีป ธรรมะเป็นสรณะ อนญฺญสรณา ไม่มีสิ่งอื่นใดจะเป็นที่พึ่งเป็นสรณะ ถ้ามัวแต่ให้พระพุทธเจ้าช่วย มันก็ล้มเหลวแหละ มันก็กลายเป็นไสยศาสตร์ บูชาพระพุทธรูปอ้อนวอนอย่างนั้นอย่างนี้ให้พระพุทธเจ้ามาช่วย มันกลายเป็นไสยศาสตร์ ไม่ใช่พุทธศาสตร์ เอาพระเครื่องมาแขวนคอให้ช่วยนี้เป็นไสยศาสตร์ ไม่ใช่พุทธศาสตร์ เอาพระเครื่องมาแขวนคอกันลืมเพื่อเตือนให้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า อย่างนี้ได้อย่างนี้ใช้ได้ ยังเป็นพุทธศาสตร์อยู่ แต่ถ้ามาแขวนให้ช่วยโดยประการทั้งปวงแล้วเป็นไสยศาสตร์หมด เหมือนกับพวกโจร เขาเอาพระเครื่องไปแขวนคอ ไปปล้น มันก็นอนตายทั้งพระเครื่องแขวนคอนั่นแหละ มันช่วยไม่ได้ แต่ถ้าว่าเราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เกิดขึ้นมา เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมาคือธรรมะๆ การปฏิบัติที่ถูกต้องนั่นแหละมันจะช่วย ธรรมะนั่นจะช่วยตนเอง ช่วยด้วยธรรมะที่ตนเองปฏิบัติ อย่างนี้ก็เรียกว่าพึ่งตนเองและพึ่งธรรมะ ตนเองปฏิบัติธรรมะซึ่งช่วยตัวเองได้ นี่เรียกว่าพึ่งตนเองและพึ่งธรรมะ ธรรมะคือการปฏิบัติด้วยตน ถูกต้องแล้วแก้ไขได้แล้วก็ช่วยได้ นี้ตรงตามพระพุทธเจ้าตรัสว่าพึ่งตนและพึ่งธรรมะ ถ้ามัวแต่พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ทำอย่างนี้แล้วก็ไม่มีที่พึ่งหรอก นี่เราจึงไม่ค่อยจะมีธรรมะที่จะช่วยให้เกิดสันติภาพเพราะมัวแต่พึ่งผู้อื่นน่ะ พึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ เอาเปรียบ ไม่ปฏิบัติธรรมะที่จะให้ช่วยตนเอง ฉะนั้นขอให้พึ่งธรรมะ คือปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนคือพระธรรม ตามตัวอย่างที่ดีคือพระสงฆ์ เราก็ปฏิบัติอย่างนั้น ก็เกิดธรรมะขึ้นมา และนั่นแหละเป็นที่พึ่ง
นี้เรียกว่าพึ่งตนเองเพราะว่าทำเอง คนอื่นมาทำแทนไม่ได้ ตนเองทำให้ธรรมะเกิดขึ้นมา นี่ก็เป็นที่พึ่งแก่ตนเอง พึ่งตนเองคือพึ่งธรรมะ ถือหลักนี้ให้ถูกต้องไปเสียตลอดเวลา พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่าให้พึ่งตนเองและพึ่งธรรมะ ไม่ได้ตรัสให้พึ่งตถาคต ไม่ได้ตรัสให้พึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ ที่ว่าพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ นี่เราว่ากันเอาเองทีหลัง เราอยากจะทำอย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนเลย ระวังให้ดี มันจะไม่ได้อะไร ถ้าจะเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ก็ต้องปฏิบัติด้วยตนเองตามที่พระพุทธเจ้าสอน ธรรมะเกิดขึ้นก็เป็นที่พึ่ง เอาพระธรรมเป็นที่พึ่งก็ปฏิบัติพระธรรมด้วยตนเอง เกิดธรรมะเป็นที่พึ่งขึ้นมา ปฏิบัติตามพระสงฆ์ เอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ก็ปฏิบัติอย่างพระสงฆ์ ปฏิบัติเพื่อให้เกิดธรรมะขึ้นมา ดับทุกข์ได้ ก็เป็นที่พึ่งของตนเอง พึ่งตนเองหรือพึ่งธรรมะมันเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มัวแต่พึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรมเฉยๆ อ้อนวอนขอร้องให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาช่วย ตัวเองไม่ทำอะไร ตัวเองไม่ทำอะไร นอนรอเมื่อไหร่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จะช่วย เลยไม่มี ไม่มีดับทุกข์ ไม่มีธรรมะ ไม่มีศาสนา เพราะมันไม่ช่วยตัวเอง มันไม่พึ่งตัวเอง มันไม่พึ่งธรรมะ นี่จำกันไว้ให้ดีๆ บอกเพื่อนดีๆ มีลูกมีหลานก็สอนกันให้ดีๆ ว่าต้องพึ่งตนเองและพึ่งธรรมะตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้นะ ขอให้ฟังให้ดีๆ ไม่ใช่ใครว่า แม้จะพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันก็ต้องมีธรรมะ การปฏิบัติตามนั้น เห็นอริยสัจ ๔ ตามเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบ นั่นแหละที่พึ่งอันเกษมอันอุดม เห็นอริยสัจ ๔ นั่นแหละ พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะแล้วมีอริยสัจ ๔ มันจึงจะหลุดพ้นไปได้ นี่มันก็หลุดพ้นเพราะอริยสัจ ๔ ที่ได้ทำให้เกิดขึ้นมา ให้รู้แจ้งตามที่เป็นจริง ไม่ใช่ด้วยอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าไปเข้าใจผิดด้วยคำพูดเหล่านี้
ผู้ใดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะแล้ว เห็นแจ้งอริยสัจทั้ง ๔ อยู่ตามที่เป็นจริง คือเห็นทุกข์ เห็นทุกข์ ก็เห็นสมุทัย เห็นทุกขนิโรธ เห็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นั่นแหละสรณะสูงสุด สรณะเกษม ที่พึ่งสูงสุดที่พึ่งอันเกษม ด้วยเห็นอริยสัจและปฏิบัติถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของอริยสัจ ไม่ใช่มัวนั่งท่องแต่ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ,ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ,สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ มันไม่พอ ต้องปฏิบัติตามขั้นเหล่านั้นจนเห็นอริยสัจ มีอริยสัจ ดับทุกข์ได้ด้วยอริยสัจ เอาล่ะ,ให้รู้ไว้ว่าพุทธศาสนาสอนการพึ่งตัวเอง ถ้าพึ่งผู้อื่นนอกไปจากพึ่งตัวเองแล้วเป็นไสยศาสตร์ ไม่ใช่พุทธศาสตร์ พระพุทธเจ้าสอนให้มีตนเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นที่พึ่ง หมายความว่าอย่างนี้
เราจะบวช ด้วยประโยชน์ด้วยหวังประโยชน์อันใหญ่หลวงอย่างที่พูดกันในวันบวชนะ ตัวเองก็ได้ประโยชน์ ญาติทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้นก็ได้ประโยชน์ โลกทั้งโลกก็ได้ประโยชน์ นี่ขอให้ตั้งไว้ในใจว่ามันได้ประโยชน์มหาศาลอย่างนี้ จึงควรอดกลั้นอดทน อดกลั้นอดทน จะเหน็ดเหนื่อยลำบากยากเข็ญ ก็ทนๆ เพื่อประโยชน์มหาศาล ตัวเองก็ได้ประโยชน์สูงสุด ญาติทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้นก็ได้รับประโยชน์สูงสุด เพื่อนมนุษย์ทั้งโลกก็ได้รับประโยชน์สูงสุด บางคนยังไม่เคยฟัง ก็บอกให้ฟังเดี๋ยวนี้ก็ได้ว่าถ้าเราบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง มันได้ความรู้ ประเสริฐสูงสุดอยู่เหนือความทุกข์ ซึ่งเราไม่เคยได้มาก่อน เดี๋ยวนี้มันได้ เมื่อก่อนเราเป็นทาสของกิเลสตัณหา เดี๋ยวนี้ เราเป็นนายของกิเลสตัณหา นี่เรียกว่าได้ดีที่สุด เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตนี้อย่างไร เดี๋ยวนี้เรารู้ว่าจะดำเนินชีวิตนี้อย่างไร นี่เราได้สิ่งที่ดีที่สุด เมื่อก่อนเราไม่มีปัญญาจะเอาชนะกิเลสตัณหาหรือความทุกข์ เดี๋ยวนี้เรามี เราเอาชนะกิเลสตัณหาและความทุกข์ได้ จึงเรียกว่าเราได้รับประโยชน์ที่สูงสุดประโยชน์ที่สุดที่เราไม่เคยได้ ขอให้ได้ ทีนี้สนองคุณบิดามารดานี้มันเป็นธรรมะเหมือนกันแหละ แต่ว่ามันเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีด้วยซึ่งมันจะต้องทำ บิดามารดาได้รับความพอใจ นี่ก็พอแล้ว ก็อย่างหนึ่งแล้ว ถ้าบิดามารดามาสนใจธรรมะมากขึ้นจนดับทุกข์ของตัวเองได้ก็ยิ่งดี หรือว่าถ้าเราเรียนรู้มาก เรียนรู้พอที่จะไปโปรดบิดามารดาให้รู้ยิ่งไปอีก ก็ยิ่งดีใหญ่ เราจึงเรียนธรรมะให้รู้จริงเห็นจริงปฏิบัติจริงได้ผลจริงไปสอนบิดามารดาให้รู้จริงขึ้นไปอีก นี่เป็นการสนองพระคุณสูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใด ขอให้พยายามได้อานิสงส์อันที่สองนี้ แล้วอันที่สาม ก็ได้แก่โลกแก่ชาวโลก คือเรามีศาสนาไว้ให้เขา เราสืบอายุพระศาสนาไว้ให้เขา ศาสนาจะไม่อยู่ได้ถ้าไม่มีใครสืบ ต้องมีคนสืบ ฉะนั้นเราบวชกี่วันก็สืบไว้เท่านั้น บวชหลายปีก็สืบหลายปี บวชตลอดอายุก็สืบตลอดอายุ บวชสามเดือนก็สืบสามเดือน ไว้ยื่นให้คนอื่นต่อไป บวชเพื่อสืบอายุพระศาสนาก็หมายความว่าให้มันมีการเรียนการปฏิบัติการได้รับผลของการปฏิบัติและการสอนต่อๆ กันไป นั่นแหละทำให้ศาสนามันอยู่ ตัวนั้นแหละคือตัวศาสนา รู้ เรียนรู้ ปฏิบัติและสอนต่อไปนั่นแหละคือตัวศาสนา ฉะนั้นจงพยายามเท่าที่จะทำได้ด้วยกันทุกองค์ เรียนให้รู้ ปฏิบัติให้ได้ ให้สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในโลก ก็คือธรรมะมีอยู่ในโลก ก็ช่วยชาวโลกมีธรรมะ ถ้าไม่ช่วยกันอย่างนี้มันสูญหายไปเสีย มันสูญหายไม่มีเหลือ ฉะนั้นทำอย่าให้มันสูญหายไป นี่สืบอายุพระศาสนาไว้เพื่อมนุษย์ในโลกตลอดไป พูดให้สั้นเข้ามาก็เพื่อทำให้ธรรมะมีอยู่ในโลก เวลานี้ๆ เดี๋ยวนี้ที่เราประพฤติอยู่นี่ ธรรมะมันมีอยู่ในโลกก็เพราะการประพฤติของเรา โลกได้รับประโยชน์จากการที่ธรรมะมีอยู่ในโลก นี่สูงสุดเลย เราจะมีสติปัญญามากน้อยไม่เป็นไร เราทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ให้เราได้รู้ ดับทุกข์ยิ่งๆ ขึ้นไป ให้บิดามารดาพลอยชื่นใจ ซึ่งเป็นหน้าที่ของบุตรที่จะต้องทำให้บิดามารดาชื่นใจ แล้วเราก็สืบอายุพระศาสนาให้มีอยู่ในโลกเวลานี้ ตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป ประโยชน์นี้คุ้ม มันมหาศาล มีค่ามหาศาล ฉะนั้นคุ้มค่าแล้วที่จะเหน็ดเหนื่อยบ้าง ลำบากบ้าง อดอยากบ้าง อะไรบ้างในการประพฤติพรหมจรรย์ นี่ขอให้ทุกองค์มีความเข้าใจถูกต้องและเชื่อแน่และกล้าหาญบากบั่นที่จะปฏิบัติอย่างนี้ตลอดเวลาที่บวชอยู่ นี่คือการบวชจริง
วันนี้พอแล้ว พูดเท่านี้ เรื่องบวชคืออะไร จะได้อะไร จะทำอย่างไร จะช่วยโลกได้อย่างไร นี่คือบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง จะบวชชั่วคราวก็ต้องทำอย่างนี้ บวชตลอดไปก็ต้องทำอย่างนี้ อย่ามัวสงสัยอยู่เลย เอาล่ะ,ขอยุติการบรรยายในวันนี้เพียงเท่านี้ แล้วค่อยพูดกันใหม่ในวันหลัง