แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การพูดกันเรื่องธรรมะกับมนุษย์เป็นครั้งที่ ๑๐ หรือครั้งสุดท้ายในวันนี้จะกล่าวโดยหัวข้อว่า ธรรมะช่วยให้มีนิพพุติสูงขึ้นไปจนกระทั่งนิพพานช่วยให้มีนิพพุติสูงขึ้นไปจนกระทั่งถึงนิพพาน หมายความว่าเราพูดกันถึงเรื่องสุดท้ายหรือผลสุดท้ายที่จะพึงได้รับจากการมีธรรมะ หรือจากการเป็นมนุษย์อันถูกต้องของเรา ขอให้กำหนดความมุ่งหมายไว้อย่างนั้น
การที่ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์นี้มันควรจะได้สิ่งที่เรียกว่ามีค่าที่สุด หรือดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้นั่นเอง ข้อนี้มันก็ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าสิ่งที่เรียกว่า นิพพุติ ทั่วๆไปและเป็นขั้นสุดท้ายหรือสูงสุดเรียกว่า นิพพาน ทั้ง สองคำมีความหมายอย่างเดียวกันคือเย็น เย็นทั่วๆไปตามธรรมดาสามัญเรียกว่านิพพุติ เย็นเด็ดขาดสูงสุดตลอดกาลนิรันดรเรียกว่านิพพาน จุดหมายปลายทางของมันอยู่ที่เย็นนะ ชีวิตเย็นนะ ไม่ใช่อยู่ที่ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง อำนาจวาสนาอะไรทำนองนั้น ขอให้ดูเอาเองจะเห็นว่าไอ้ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง อำนาจวาสนานั้นมันได้ทำให้เย็นหรือเปล่า ถ้ามันได้ทำให้เย็นหรือเย็นได้ก็เอา ก็ดี แต่ถ้ามันไม่ได้ทำให้เย็น มันทำให้ยุ่งแล้วก็ควรจะนึกถึงสิ่งที่ดีกว่าคือเย็น เย็น หรือจะพูดเสียใหม่ว่าถ้ามันฉลาดจริงๆ มันเป็นมนุษย์ที่ฉลาดจริงๆ มันจะต้องสามารถใช้ไอ้สิ่งเหล่านั้นน่ะคือทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง อำนาจวาสนานั้นให้เป็นไปเพื่อความเย็น แต่เดี๋ยวนี้เท่าที่เราเห็นอยู่มันไม่ได้ใช้อย่างนั้น หรือมันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าไอ้สิ่งเหล่านี้มันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมาหลงใหล ไม่มีที่สิ้นสุด ที่จริงถ้าฉลาดน่ะมันทำได้นะ ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียงนี่ เอาทรัพย์สมบัตินี่มาใช้เพื่อกระทำให้ชีวิตนี้สงบเย็น เกียรติยศชื่อเสียง อำนาจวาสนาก็เหมือนกันเอามาใช้เพื่อทำให้ชีวิตนี้สงบเย็น แต่โดยมากหรือตามธรรมดานั้นมันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันใช้เพื่อแสวงหาสิ่งเหล่านั้นให้มากยิ่งขึ้นไป มากยิ่งขึ้นไป จนกระทั่งว่าได้เป็นผู้ครองโลก แล้วมันก็ยังไม่พอ ครองโลกคนเดียวทั้งโลกมันยังไม่พอ มันยังต้องการจะครองอีก ๒ โลก ๓ โลก ๔ โลกหรือทั้งหมดทุกๆโลก แล้วก็ไม่รู้จะไปพอกันที่ตรงไหน เพราะว่ามันมีอีกเรื่องหนึ่งต่างหากที่จะทำให้ชีวิตนี้เย็น คือสติปัญญาอีกแนวหนึ่งต่างหาก ในบาลีมีคำว่าต่อให้ฝนตกลงมาเป็นเม็ดทองคำทั้งโลก ก็ไม่สามารถทำให้มนุษย์เกิดความพอได้ อย่างนี้ หรือว่าต่อให้ภูเขาเป็นทองคำทั้งลูก ทั้งภูเขาสัก ๒ ลูก ก็ไม่เพียงพอแก่ความต้องการของมนุษย์เพียงคนเดียว เพียงคนเดียวนะ ภูเขาทองคำ ๒ ลูกก็ยังไม่พอแก่ความต้องการของมนุษย์เพียงคนเดียว แล้วมนุษย์กี่ล้านๆคนของมัน กี่เท่าไรมันจะพอ ก็แปลว่าสิ่งเหล่านี้โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้วมันไม่พอ เว้นไว้แต่เขาจะรู้จักทำให้มันเย็น ถ้าเขารู้จักทำให้มันเย็นไม่ต้องมีทรัพย์สมบัติถึงขนาดนี้ ไม่ต้องมีอำนาจวาสนาถึงขนาดนี้ก็สามารถที่จะทำให้เย็น ขอใช้คำธรรมดาสามัญที่สุดว่าเย็นอกเย็นใจ ไอ้ความเย็นอกเย็นใจ เพียงเท่านี้คุณไปคิดดูว่ามันคืออะไร มหาเศรษฐีมีความเย็นอกเย็นใจไหม มหาจักรพรรดิมีความเย็นอกเย็นใจไหม หรือว่ารุ่มร้อนอยู่ด้วยปัญหานานาชนิดจะเพิ่มมากขึ้นๆ เท่ากับที่ความเป็นมหาเศรษฐี เป็นมหาจักรพรรดิมันเพิ่มขึ้นๆ มันไม่ใช่ความเย็นหรือเย็นอกเย็นใจ เอ้าถ้าเป็นไปได้มันก็ได้เหมือนกัน ถ้าว่ามหาเศรษฐีคนนั้นมันเป็นคนฉลาด หรือมหาจักรพรรดิมันเป็นคนฉลาด มีธรรมะสูงสุด มีธรรมะสูงสุดมันก็เป็นไปได้ที่จะมีความเย็น ต้องมีธรรมะสูงสุดถึงกับเป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วมันก็ไม่มามัวเป็นมหาเศรษฐี เป็นมหาจักรพรรดิอยู่มันเลยไม่มี มันเลยไม่มีพระอรหันต์ที่เป็นมหาเศรษฐีหรือเป็นมหาจักรพรรดิ ก็เลยเป็น อันว่ามหาเศรษฐีหรือมหาจักรพรรดิมันไม่ต้องพบกันกับความเย็น เดี๋ยวนี้คนธรรมดาสามัญชาวไร่ชาวนาชาวสวน เมื่อมีธรรมะพอ ทำงานถูกต้องในหน้าที่ พอใจทุกวัน ถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจไปทั้งวันทุกวันๆ มันก็มีความเย็น มีความเย็นชนิดที่เรียกว่านิพพุติยังไม่ถึงนิพพานอันเย็น ชีวิตเย็น อย่างธรรมดาสามัญเรียกว่านิพพุติ นิพพุตินี่ นึกถึงคำพูดที่ว่ายกมือไหว้ตัวเองได้ ที่พูดกันวันก่อนน่ะ แล้วก็มาเทียบดูนี่ ใครมันยกมือไหว้ตัวเองได้คนนั้นแหละเย็น มันพอใจในความถูกต้องของชีวิตความเป็นอยู่ ความพอใจนี่ต้องให้เย็น ที่จริงก็เป็นคำที่รู้จักกันทั่วๆไป ใครๆก็ต้องการความเย็นอกเย็นใจทั้งนั้นแหละ ตาแก่ยายแก่อะไรยิ่งต้องการมาก เพราะมันผ่าน ผ่านวัยเด็ก ผ่านวัยรุ่น ผ่านมามากแล้วไม่เคยเย็นอกเย็นใจ เดี๋ยวนี้ชะเง้อหาความเย็นอกเย็นใจ ซึ่งเราเองนี่แหละเมื่อพูดถึงคำว่าความเย็นอกเย็นใจมันก็พอจะรู้เรื่อง มันก็พอจะฟังออกว่ามันคงไม่ใช่เรื่องยุ่งๆ ไม่ใช่มีบ้านราคาล้านๆหลายๆหลัง มีรถยนต์หลายๆคัน มีเครื่องใช้ไม้สอยอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด มันก็ไม่เคยได้พบความเย็นอกเย็นใจเพราะมันมีเรื่องมาก เมื่อมีเรื่องมากมันก็ต้องมีเรื่องรับผิดชอบมาก ดูแลมาก ระมัดระวังมาก ปัญหามาก ศัตรูมาก อะไรมากมันก็เลยไม่เย็นอกเย็นใจ ถ้ามันเป็นไปได้ มีความเย็นอกเย็นใจมันก็ต้องเก่งมาก เป็นมหาบุรุษ เดี๋ยวนี้โดยทั่วไปมันเป็นไปไม่ได้ เกี่ยวกับคำๆนี้อยากจะเล่าความคิดสมัยโบราณ อ่านพบในหนังสือพุทธประวัติว่า เมื่อมีการประกวดนางงาม ให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นผู้เลือกเอาเป็นคู่ครอง ประชุมกันมาก เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเดินผ่านหน้าหญิงสาวโคตมีในตระกูลเดียวกันกับตระกูลโคตมะของพระพุทธเจ้า หญิงสาวโคตรมีคนหนึ่งเห็นเข้าเขาก็ ผู้หญิงคนนั้นก็ร้องออกมาว่า บุรุษนี้ถ้าเป็นลูกของบุรุษคนใดพ่อของเขาก็จะเย็น ถ้าเป็นลูกของสตรีคนใดแม่ของเขาก็จะเย็น ถ้าเป็นภัสดาของหญิงใดหญิงนั้นก็จะเย็น ใช้คำว่าอย่างนี้ หมายความว่าพระสิทธัตถะนั้นมีลักษณะ มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะทำให้เกิดความเยือกเย็นในครอบครัว นี่คำว่าเย็น เย็นน่ะเขาใช้กันมาแล้วในความหมายอย่างนี้ ซึ่งไม่ใช่นิพพาน เขาใช้คำว่านิพพุติ นิพพุติแปลว่าความเย็น นิพพุโต น่ะแปลว่าผู้เย็น เป็นผู้ชาย นิพพุตา น่ะผู้เย็น เป็นผู้หญิง ความเย็นก็เป็นผู้เย็น คือมีชีวิตเย็น มีอะไรๆมันเย็น ขอให้พิจารณาดูความหมายของคำๆนี้มันใช้คำว่าเย็น มันไม่ได้ใช้คำว่าดีว่าเด่นว่าดังว่าสวยว่าอะไร หรูหราอะไรไม่ มันใช้คำว่าเย็น เพราะว่าไอ้ดีหรือไอ้เด่นไอ้ดังนั้นมันไม่เย็นก็ได้ มันมีความหมายของมันโดยเฉพาะว่าเย็น เยือกเย็นๆ ชีวิตเย็น ทางไหนๆก็เย็น ทางวัตถุก็เย็น ทางร่างกายก็เย็น ทางจิตก็เย็น ทางสติปัญญาก็เย็น มันก็เย็น นั่นเขารู้จักความเย็นกันมาในลักษณะอย่างนี้ คือทางฝ่ายด้านจิตใจ คู่กันกับความเย็นในทางด้านวัตถุ เช่นของเย็น น้ำเย็นอะไรเป็นต้น ผมอยากจะพูดช่วยความจำไว้สักข้อหนึ่งว่าเมื่อมนุษย์ยังไม่รู้จักทำน้ำแข็งกิน เขามีชีวิตเย็นกันกว่าเดี๋ยวนี้ที่รู้จักทำน้ำแข็งกิน บางทียิ่งต้องกินน้ำแข็ง ต้องปรนเปรอด้วยน้ำแข็งน่ะมันยิ่งมีความร้อนในทางจิตทางวิญญาณมากขึ้น เอาไปคิดดูเอาเองก็แล้วกัน สมัยที่มนุษย์ยังไม่รู้จักทำน้ำแข็งกินน่ะ เขามีชีวิตเย็นกันกว่าสมัยที่รู้จักทำน้ำแข็งกิน เจริญด้วยวิทยาศาสตร์ มันเจริญอะไรหลายๆอย่างที่รู้จักทำน้ำแข็งกินเป็นว่าเล่นอะไรๆ แต่แล้วมันก็ไม่ได้ช่วยให้กิเลสระงับหรือเย็นลง กิเลสไม่ได้เย็นลง คนที่เขาไม่ได้เจริญด้วยวัตถุเหล่านี้มากนัก กิเลสของเขาไม่มาก ไม่ต้องการมากมันก็เย็น เดี๋ยวนี้ข้าราชการชั้นผู้น้อยอยากจะมีตู้เย็นสักตู้ มันก็ต้องทำคอรัปชั่นไปซื้อเอามา แล้วมันจะเย็นได้อย่างไรเล่าคิดดู หรือเอาตู้เย็นมาไว้ที่บ้านนั้นน่ะ มันก็คงจะเย็นแต่ที่ปาก ที่ลิ้น ที่คอนี้อะไรบ้าง แต่ในแง่ของเศรษฐกิจหรือจิตใจ หรืออะไรนั้นน่ะมันจะไม่เย็น มันไม่เย็น แล้วมันจะเพิ่มความเห็นแก่ตัว ความกระหาย ความต้องการที่มากขึ้นไปๆที่จะใช้ตู้เย็นนั้นน่ะให้พิเศษ ให้วิเศษ ให้แปลกออกไป ให้มากออกไป มันก็ยุ่ง มันก็ได้มาแต่ความเย็นทางปากทางท้องนิดเดียว แต่ทางจิตทางใจทางด้านลึกของวิญญาณนั้นมันไม่เย็น นี่เราจึงถือว่าเมื่อไม่รู้จักทำน้ำแข็งกินมันเย็นยิ่งกว่านี้ พอรู้จักทำน้ำแข็งกินกลับมีร้อนหมายถึงในทางจิตใจ ไอ้ร้อนทางจิตใจน่ะมันไม่ระงับได้ด้วยความเย็นทางร่างกาย มันต้องระงับได้ด้วยธรรมะที่เป็นเรื่องของจิตใจ ที่ทำให้จิตใจเปลี่ยนเป็นเย็น นี่คำว่าชีวิตเย็น ชีวิตเย็น หรือจะพูดภาษาธรรมดา ไม่ใช่ภาษานักประพันธ์แล้วก็ว่า ความเย็นอกเย็นใจ ไปสนใจกับคำนี้ให้มากขึ้นๆต่อไปก็แล้วกัน เราจะศึกษาเล่าเรียน หางานทำนี่ แล้วก็ให้ได้เงินเดือนมากๆนี่มันเพื่ออะไร ถ้าเพื่อความเอร็ดอร่อยมันก็ไปอีกทางหนึ่ง ถ้าเพื่อความเย็นอกเย็นใจมันก็ไปอีกทางหนึ่ง แต่ขอยืนยันว่าความเย็นอกเย็นใจหาได้แม้แต่ว่าเป็นชาวนาชาวสวนที่อาบเหงื่อต่างน้ำ อาบเหงื่อต่างน้ำ ชาวนาชาวสวนที่อาบเหงื่อต่างน้ำจะหาความเย็นอกเย็นใจได้มากกว่าคนที่มีเงินเดือนมากๆ สบายอย่างที่เขามุ่งหมายกัน ซึ่งหาความเย็นอกเย็นใจได้น้อย พวกนักการเมืองก็ดี นักเศรษฐกิจก็ดี อะไรก็ดีที่มันวุ่นอยู่กับทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง อำนาจวาสนา มันไม่เคยมีความเย็น คนธรรมดาสามัญเป็นชาวนาชาวสวนชาวไร่ที่มีความเข็มแข็งในการทำหน้าที่ของตน พอใจถูกต้อง พอใจถูกแจ้งอยู่เสมอเขาก็มีชีวิตเย็น ไอ้เหงื่อที่ออกมาจากการทำงานนั่นแหละเป็นน้ำมนต์ที่แท้จริง ทำให้เย็นได้จริง ไอ้น้ำมนต์ที่รดในพิธีรีตองนั่นผมเรียกว่าเป็นเรื่องหลอกๆ น้ำมนต์ในพิธีรีตองทำกันใหญ่โต ผมว่าเป็นเรื่องหลอกๆ ไม่เย็นอกเย็นใจเหมือนกับเหงื่อที่ออกมาด้วยการทำงานที่บริสุทธิ์ถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจ เหงื่อก็ออกมาก็ยิ่งถูกต้องพอใจนั่นแหละ นี่คือน้ำมนต์ที่ให้ความเยือกเย็นได้จริง เหงื่อเป็นน้ำมนต์มากกว่าน้ำมนต์ที่รดกันในพิธีรีตองไสยศาสตร์ ชาวนาหรือแม้แต่กรรมกรที่อาบเหงื่อนี่สามารถที่จะมีความเย็นอกเย็นใจได้ถ้าเขามีธรรมะพอ จะเป็นเศรษฐีเป็นอะไรก็ตามถ้าไม่มีธรรมะพอ ไม่มีทางที่จะเย็นได้หรอก เพราะกิเลสมันครอบครอง ครอบงำเสียเรื่อยไป นี่ขอให้ลองคิดดูอย่างนี้ จึงอยากจะพูดเป็นทำนองแนะนำอนาคตว่า จงมุ่งหมายความเย็นอกเย็นใจกันไว้บ้างจะไม่มีเรื่องร้อน ถ้ามุ่งหมายแต่ทรัพย์สมบัติ อำนาจวาสนา ความเอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อทางหนังแล้วยากแหละ ยากที่จะพบกับความเยือกเย็น เพราะสิ่งเหล่านั้นมันหล่อเลี้ยงกิเลส และกิเลสมันเป็นของเย็นไม่ได้ ราคะก็คือไฟ โทสะก็คือไฟ โมหะก็คือไฟ อย่างเรียกในบาลีว่า ราคัคคิ โทสัคคิ โมหัคคิ ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ เย็นไม่ได้ ปราศจากไฟนี้จึงจะเย็นได้ ฉะนั้นเราอย่าไปเพิ่มเชื้อเพลิงให้แก่ไฟเหล่านี้ หรือว่าอย่าก่อไฟเหล่านี้ขึ้นมาในจิตในใจ รังเกียจเกลียดชังราคะ โทสะ โมหะในฐานะเป็นสิ่งเสนียดจัญไร อย่าได้เข้ามาอยู่ในจิตใจของเราเลย ถ้าไม่มีไฟก็คือเย็น เพราะไฟเป็นของร้อน ก็พิสูจน์เอาเองก็แล้วกัน เมื่อไรราคะทางกามารมณ์มันเกิดขึ้นมันเป็นอย่างไรบ้าง กับเวลาที่มันไม่เกิดมันต่างกันอย่างไร มันร้อนอย่างไร หรือเมื่อไรโทสะ โทสะหรือความโกรธ ความคิดร้ายอะไรก็ตามเกิดขึ้นในใจน่ะมันเป็นอย่างไรบ้าง มันต่างกันกับเมื่อมันไม่เกิดอย่างไร แล้วโทสะ ความหลงใหลมัวเมา ความโง่ความสะเพร่าอะไรต่างๆ หรือรวมแล้วก็คือความโง่ เมื่อเกิดขึ้นแล้วเป็นอย่างไรบ้าง มันหาความสงบไม่ได้ มันหาความเย็นไม่ได้ ท่านจึงตรัสว่าเป็นราคะ โทสะ โมหะ แล้วโดยเหตุที่มันอาศัยตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วเป็นที่เกิดเป็นที่ตั้งเป็นที่อาศัยมันก็พลอยร้อนที่นั่นด้วย ตาลุกโพรงๆด้วยความร้อน หูลุกโพรงๆด้วยความร้อน จมูกลุกโพรงๆด้วยความร้อน ลิ้นลุกโพรงๆด้วยความร้อน ผิวกายทั่วไปลุกโพรงๆด้วยความร้อน ใจลุกโพรงๆด้วยความร้อน มันเป็นภาพพจน์ที่น่ากลัว แต่คนก็จะฟังดูว่ามันมากเกินไป เด็กๆไม่เข้าใจได้มันจะลุกโพรงๆได้อย่างไร มันต้องไปรู้จักเรื่องราคะ โทสะ โมหะบีบคั้น เผาลนนั้นน่ะมันจึงจะรู้ว่าตาหูจมูกลิ้นกายใจลุกโพรงๆเพราะไฟคือราคะ โทสะ โมหะมันเผาลน ที่จริงมันก็เคยเป็นแก่เรา อาการอย่างนี้ แต่เราก็ไม่รู้เรื่อง ไม่สังเกต ไม่สนใจ มีความร้อนอกร้อนใจเกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราก็ไม่ได้สนใจ แล้วก็เห็นว่าไม่ใช่ไฟเสียไปเสียด้วยซ้ำ ความร้อนด้วยกิเลสบางอย่างมันอร่อย มันอร่อย โดยเฉพาะทางกามารมณ์มันกลับกลายเป็นของอร่อย คนก็ไม่เห็นว่าเป็นของร้อนหรืออันตรายอะไร กลับพอใจ มันมี ๒ ความหมายนะอารมณ์ที่มากระทบ อารมณ์ประเภทหนึ่งมันกระตุ้นๆ อารมณ์พวกหนึ่งมันสงบๆ ไอ้อารมณ์สงบนี้มันดีเกินไป ประณีตเกินไปจนไม่ค่อยมีใครชอบ อารมณ์กระตุ้นให้ตื่นเต้นให้เต้นเร่าๆอะไรนั่นคนกลับชอบ แม้ว่าต้องเป็นความทุกข์ ความรักเผาลน ความโกรธเผาลน ความโง่เผาลน แต่คนก็กลับพอใจสบาย สนุกสนาน ถ้าไม่มีความโง่ ไม่มีอาการเหล่านี้มันก็ไปทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก มันจะไปเที่ยวเตร่ทางไอ้กามารมณ์อย่างนี้มันเป็น ไปไม่ได้ถ้าไม่มีไอ้ไฟเหล่านี้คุกรุ่นอยู่ในใจ แต่เขาก็ไม่เห็นว่าน่ากลัวน่าเกลียดน่ารังเกียจ แล้วบางทีก็ไม่รู้สึกว่าเป็นของร้อนเพราะเขาพอใจนี่ว่ายังไง พอใจสุดเหวี่ยง เพราะความดึงดูดของอารมณ์ประเภทนั้นต่อระบบประสาทของเขา คือมันกระตุ้นๆ กระตุ้น อารมณ์ประเภทนี้คนเขาชอบ แม้แต่บทเพลง บทเพลง ทำนองเพลงมันมีทั้งอย่างกระตุ้นและอย่างที่ทำให้สงบ เขาก็ชอบบทเพลงกระตุ้นกันทั้งนั้นแหละ กระตุ้นให้จิตใจมันเตลิดเปิดเปิงกันไป บทเพลงทำนองเพลงที่สงบก็เอาไปไว้เปิดให้ศพฟัง ให้ซากศพฟังที่ป่าช้า ไอ้ที่มันกระตุ้นให้เป็นอะไรไปน่ะเอามาแล้วก็ขายได้ บทเพลงอย่างนั้นขายได้ บทเพลงไอ้ที่ชวนให้สงบไม่มีใครซื้อนี่เพราะเราไม่ประสีประสาต่อเรื่องความเย็นความร้อนของชีวิต ชีวิตเย็นเป็นอย่างไร ความเย็นอกเย็นใจเป็นอย่างไรก็ไม่ประสีประสา แล้วก็พร้อมที่จะไปเป็นทาส เป็นทาสของมัน หาเงินไว้มากๆเพื่อสิ่งเหล่านี้ ดูเหมือนจะทั้งหนุ่มทั้งสาว หาเงินไว้มากๆเพื่อจะได้ทำพิธีสมรสให้มีเกียรติสูงสุดสักทีหนึ่ง เหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต ไอ้ความหมายของไอ้สิ่งที่กระตุ้นๆในเรื่องของกิเลส ไม่มีใครสะสมเงินไว้เพื่อนิพพาน เพื่อเดินทางไปนิพพาน แต่สะสมเงินไว้เพื่อเรื่องที่จะทำชีวิตให้โลดโผน ให้หรูหรา ให้ตื่นเต้นที่สุด มันก็เลยไม่ต้องพบกันกับความเย็น เย็นอกเย็นใจ ขอให้มองเห็นที่ของจริง ที่ความจริง ที่เห็นๆอยู่ทั่วๆไป และก็จะต้องเกี่ยวข้องกับตัวเราเองไม่มากก็น้อย เราอยู่ในพวกไหน เดี๋ยวนี้ทั้งโลกแหละมันชอบกระตุ้น ชอบร้อน ไอ้คำว่าบวกหรือ positive lism positive lism บูชากันนัก อะไรก็ขอให้มันเป็น positive lism ให้เป็นไปในทางของ positive lism จะพูดจะทำ จะคิดจะเขียน จะบอกจะพูดจะกล่าวอะไรๆมันขอเป็นลักษณะเป็น positive นี่มันต้องการให้ได้กระตุ้น ให้ได้กระตุ้น ให้ไปบำรุงบำเรอไปตามแบบของการกระตุ้น แล้วจึงเจริญๆ เจริญไปในทางการกระตุ้น ต้องการความกระตุ้นของระบบประสาทของแต่ละคนนี่มันรวมกันเป็นเจตนารมณ์ของโลกทั้งหมดเลย ถ้าคนทุกคนมันมีเจตนาอย่างนี้ก็คือโลกทั้งหมดมันมีเจตนาอย่างนี้ ฉะนั้นเดี๋ยวนี้ทั้งโลกเลยมันก็คิดค้นหาแต่สิ่งที่จะมาให้กระตุ้นมากกว่าเดิม ให้สวยพิเศษ ให้ไพเราะพิเศษ ให้หอมพิเศษ ให้อร่อยพิเศษ ให้นิ่มนวลพิเศษ ให้กล่อมอารมณ์พิเศษ ไม่มีใครสนใจเพื่อความสงบ โบสถ์ก็ปิดมันทุกทีๆ ทุกที โบสถ์ในโลกนี้ เพราะประชาชนเขาหันไปหาไอ้สิ่งกระตุ้น ไม่ต้องการไอ้สิ่งที่ทำให้สงบเย็น เรื่องเศรษฐกิจก็มีสิ่งนี้เป็นหลัก เรื่องการเมืองก็มีสิ่งนี้เป็นหลัก เพราะนักการเมืองก็ล้วนแต่พูดต้องการที่จะเอร็ดอร่อย จะได้รับการกระตุ้นสูงสุดเหมือนกัน ขอให้เรามองโลกในลักษณะที่ถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าเดี๋ยวนี้มันไม่ชอบความสงบเย็น เพราะมันไม่รู้คุณค่าของความสงบเย็น มันไม่รู้สันติภาพโดยแท้จริง มันก็ละเมอเพ้อฝันว่าสันติภาพ แล้วเขาก็สันติภาพเพื่อจะได้สนุกสนานเอร็ดอร่อยยิ่งขึ้นไป อย่างนี้มันขัดกันเลย ถ้าว่าสันติภาพแล้วเราก็ไม่ต้องรบกัน แล้วเราก็มามัวเมากันแต่เรื่องกามารมณ์ นี่สันติภาพของคนพวกนี้ มันก็น่าหัว ไม่ใช่สันติภาพตามหลักของศาสนา เมื่อจิตใจของมนุษย์ทั้งหมดมันถูกย้อมให้มึนเมาไปอย่างนี้เสียแล้ว มันเป็นปัญหาที่จะให้มาสนใจในเรื่องความเยือกเย็นอันแท้จริง เย็นอกเย็นใจ ก็ต้องการความกระตุ้นทางร่างกาย ทางระบบประสาท เขาเห็นไอ้ความเยือกเย็น สงบเย็นใจเป็นของจืดชืด น่ารังเกียจเกลียดชัง ไม่อยากให้มี ไม่อยากให้มาขัดขวางให้มันสงบเสีย จะต้องการให้กระตุ้นให้รุนแรงขึ้นไปน่ะโลกกำลังเป็นอย่างนี้ แล้วต่างฝ่ายก็ต่างจะต้องหามาเป็นของตัวให้มาก มันก็เบียดเบียนกัน แย่งชิงกัน แข่งขันกัน พวกที่ไม่มีสติปัญญาจะหาโดยตรงก็หาโดยอันธพาล เป็นอันธพาล เกิดลัทธิยื้อแย่งจี้ปล้นอะไรก็ไปตามเรื่อง จนได้เกิดเป็นปัญหาว่ามีมนุษย์ ๒ ค่าย ค่ายนายทุนกับค่ายชนกรรมาชีพยื้อแย่งต่อสู้กัน ยื้อแย่งกัน เพราะต้องการอารมณ์ที่จะมากระตุ้น ถ้าว่าเราได้เป็นเจ้าโลกครองโลกแล้วเราก็จะได้เอาอารมณ์ทั้งหมดในโลกมาเป็นของเรา มันแข่งขันกันอย่างนี้ ไม่มีทางจะพูดจากันรู้เรื่องในทางที่จะสร้างสรรค์สันติภาพ ปากก็พูดกันต่อหน้า ลับหลังก็อีกอย่าง มันก็มีแต่ความหลอกลวงทั้งนั้นเลย ในการเจรจาสันติภาพเลยมีแต่ความหลอกลวง มนุษย์ยังไม่มีหวังที่จะสงบเย็น
ทีนี้ถ้ามันเป็นไปในทางตรงกันข้าม ทุกคนต้องการความสงบเย็น เย็นอกเย็นใจที่แท้จริง ทุกคนมันต้องการอย่างนั้น ไอ้สิ่งที่จะบำรุงบำเรอทางวัตถุทางเนื้อทางหนังมันก็หมดความหมายไปคือมันลดลง แม้ไอ้การที่จะเห็นแก่ตัวมันก็น้อยลง การที่จะแย่งกันครองโลกก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะว่าแย่งกันครองโลกเท่าไรมันก็ยิ่งร้อนระอุเท่านั้น ถ้าทำให้มนุษย์แต่ละคนพอใจในความเย็นอกเย็นใจหรือชีวิตเย็นได้แล้วโลกนี้มันก็มีสันติภาพเป็นแน่นอน ทีนี้เรามันติดอยู่ในโลกด้วยเหมือนกัน เราจะเอากับเขาไปด้วยทั้งหมดนั้นหรือว่าเราจะปลีกตัวออกมาต่อสู้หาความเยือกเย็นของเราตามที่เราจะทำได้นะ นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องเลือกหรือจะต้องคิดก็เอาสิถ้าจะกระโจนเข้าไปในหมู่นั้นร้อนระอุไปเป็นเกรียวไฟก็ได้ ไม่มีใครห้าม มีสิทธิที่จะทำถ้าต้องการก็ได้ แต่ถ้าไม่ต้องการอย่างนั้นต้องการสงบเย็นมันก็มีทางที่จะทำได้ มีทางที่จะทำได้ไม่ใช่ว่ามันอุดตัน มันมาศึกษาหาความรู้ มาดำรงชีวิตในแนวหนึ่ง ไม่เป็นทาสทางวัตถุทางเนื้อทางหนังอะไรมันก็ทำได้ แต่เพราะเราไม่เอาเพราะเราไม่ชอบเพราะเราไม่มองเห็น เพราะเราไม่เข้าใจเราก็ไม่เอา เราอยากจะมีอะไรๆเอร็ดอร่อย สนุกสนานหรูหราไปตามแบบเขา มันก็มาไม่ได้ จะมีชีวิตเย็นไม่ได้ เว้นไว้แต่จะมีความรู้อันถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้คือความรู้เรื่องธรรมะอันแท้จริง จะมีความรู้ในเรื่องธรรมชาติ เรื่องกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เรื่องผลอันเกิดจากหน้าที่ที่ถูกต้องนั้นก็ได้เหมือนกันแหละ ถ้ามีความรู้เรื่องนี้ดีแล้ว ก็จะสามารถปลีกตัวออกมาดำเนินชีวิตแบบที่มันมีความสงบเย็น แล้วมันก็ยังมีทางที่จะทำได้ คือมีการกระทำที่ถูกต้องๆแก่ความสงบเย็น ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือความถูกต้องแก่ความรอด ความรอดในที่นี้หมายความว่ารอดจากความร้อนมาอยู่ในความสงบเย็น มันก็ทำได้ ศึกษาพอสมควรแล้วมันก็ปฏิบัติได้ มันก็มีปัญหาว่าเราจะเลือกเอาอยู่ในโลกที่เย็นหรือในโลกที่ร้อน จะดำเนินชีวิตที่สงบเย็นหรือจะดำเนินชีวิตที่เร่าร้อน ถ้าต้องการจะเร่าร้อนอย่างนั้นแล้วก็จะมีปัญหามาก จะต้องต่อสู้มาก ดิ้นรนมาก อะไรทุกอย่างมันมากไปหมด ถ้าต้องการความเย็นแล้วมันไม่มาก มันพอสมควรเท่านั้นแหละ มันหาความเยือกเย็นได้ ถ้าจะพูดทีเดียวสุดเหวี่ยงเลยก็จะพูดว่า ชีวิตระบบสัตว์เดรัจฉานมันยังมีความเยือกเย็นมากกว่าชีวิตมนุษย์ เมื่อพูดกันด้านจิตใจ วัวควายเหล่านี้มันไม่มีความร้อนระอุเหมือนที่มนุษย์มีในจิตใจ มันจะลำบากยากเข็ญบ้างในทางฝ่ายวัตถุทางฝ่ายร่างกาย มันก็ไม่เดือดร้อนมากเหมือนมนุษย์หรอก เรียกว่ามันต่อสู้กับธรรมชาติมันเช่นนั้นเองได้มากกว่า มันมีความคิดชนิดที่เป็นทุกข์ไม่เป็นกับเขา มันก็ทนได้แม้กระทั่งตาย ฉะนั้นความเยือกเย็นในการเป็นอยู่ของสัตว์เดรัจฉานยังมีมากกว่ามนุษย์ที่เจริญด้วยราคะ โทสะ โมหะยิ่งๆขึ้นไป แต่ที่พูดนี้ไม่ต้องการให้เป็นสัตว์เดรัจฉานหรือเอาอย่าง แต่ให้รู้สึกว่ามันมีความจริงที่จะต้องพิจารณาว่าถ้าเราลดราคะโทสะโมหะ ความหลงในอารมณ์นั้นได้เท่าไรชีวิตก็จะเย็นได้มากขึ้นเท่านั้น จนไม่รู้จักความทุกข์ จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ไม่รู้จักความทุกข์ ไม่มีความทุกข์เช่นนั้นเองทั้งนั้น จะเจ็บจะไข้จะตายอะไรมันก็เช่นนั้นเอง ไม่ต้องมีความทุกข์ แต่ก็สามารถที่จะแก้ไขปรับปรุง ดำเนินชีวิตให้ไม่ต้องเป็นเช่นนั้นหรอก ไม่ต้องลำบากยากเข็ญอย่างนั้นแหละ แต่เมื่อมันจะต้องเป็นไปตามธรรมชาติก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ความแก่ก็น่าหัวเราะ ความเจ็บก็น่าหัวเราะ ความตายก็น่าหัวเราะ มันก็ไม่เป็นทุกข์ นี่เราเรียกว่าชีวิตเย็น นิพพุติ นิพพุติ ความเย็นอกเย็นใจตามแบบที่คนธรรมสามัญก็มีได้ แล้วถ้าเพิ่มขึ้นๆ เพิ่มขึ้นเมื่อเย็นมากขึ้นไปมันจะถึงจุดสูงสุดที่เรียกว่านิพพาน นิพพาน ความหมายว่าเย็นเหมือนกัน แต่เย็นในระดับสามัญทั่วไปของคนที่ยังมีกิเลส ควบคุมกิเลสไว้ได้ไม่ให้มันโพรงขึ้นมามันก็เย็นอยู่ได้ ถ้ากิเลสมันโพรงขึ้นมามันก็ร้อนหมด สามารถควบคุมกิเลสไม่ให้โพรงขึ้นมา มันก็เย็นแบบนี้ แต่ถ้ามันหมดกิเลสสิ้นเชิง มันก็เย็นแบบนิพพาน เย็นแบบนิพพาน กิเลสไม่มีเหลือสิ้นเชิง ถ้ามันมีกิเลสเหลือแต่ควบคุมไว้ได้ จัดแจงกับมันให้ถูกต้อง ไม่ให้มันลุกโพรงขึ้นมา ให้มันค่อยๆเหี่ยวแห้งโรยราไปตามกาละ มันก็สามารถที่จะมีชีวิตเย็น จะบอกให้สังเกตสักอย่างหนึ่งซึ่งมันน่าหัว เมื่อพระให้ศีลน่ะเขาจะบอกอานิสงส์ศีลว่าศีลนี่ทำให้มีนิพพุติ ก็คุณจะได้ยินอยู่ทุกวันพระที่ไหน ที่พระที่ในวัดหรือว่าที่ในบ้านเรือน ถ้ามีการให้ศีล สมาทานศีลแล้วก็จะมีการบอกอานิสงส์ศีลตอนท้ายสุดว่า สีเลนะ สุคะติง ยันติ ศีลให้ถึงสุคติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา ศีลให้ถึงความร่ำรวยด้วยโภคะ สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ประโยคที่ ๓ ศีลทำให้ถึงนิพพุติ ตัสฺมา สีลัง วิโสธะเย ดังนั้นท่านจงทำศีลให้บริสุทธิ์ สุคติ สุคติ ถ้าเป็นเรื่องบ้ากามารมณ์ก็ไม่ใช่นิพพุติ ไม่เย็น ไอ้โภคะสัมปะทา มันก็ได้ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ แต่ถ้าไม่รู้จักทำจิตใจให้ถูกต้องมันยังไม่เย็น เพราะฉะนั้นจึงบอกอีกทีหนึ่งว่านิพพุติง นิพพุติ ชีวิตเย็น ไอ้ความเย็นก็ได้ด้วยศีลเหมือนกัน แต่ผู้รับศีลอันนั้นฟังไม่ถูก ผมเชื่อว่าฟังไม่ถูก แล้วบางทีพระที่ให้ศีลเองก็ไม่รู้ ว่าไปอย่างนั้นแหละ ผู้ให้ก็ไม่รู้ว่านิพพุตินั้นคืออะไร ผู้ฟังก็ไม่รู้ว่านิพพุตินั้นคืออะไร มันก็เป็นเรื่องน่าหัว ได้ยินว่าสีเลนะ นิพพุติง ยันติ มากี่สิบครั้งร้อยครั้งพันครั้งแล้วมันก็ไม่รู้ว่านิพพุตินั้นคืออะไร นี่แสดงว่าหลักการของเขาก็ดีนะ ขอให้มีนิพพุติ แต่คนรับศีลก็ไม่รู้ว่าอะไร แถมพระที่ให้นั้นก็ไม่รู้ว่านิพพุติแปลว่าอะไร เพราะมันเรียนมาเท่านั้น นี่มันเป็นเรื่องที่น่าหัว แล้วมาพูดกันเรื่องนิพพุติอยู่เป็นประจำแต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน จึงขอแนะนำตักเตือนว่าถ้าเมื่อไรได้ยินคำนี้ประโยคนี้ มีการให้ศีลที่ไหน หรือว่าจะเป็นผู้ให้ศีลเสียเอง ก็ขอให้รู้เถอะว่านิพพุติ นิพพุตินั้นคืออะไร ก็คือเย็นอกเย็นใจ ชีวิตเย็น ที่จะสูงขึ้นไปๆ จนถึงเย็นที่สุดคือนิพพาน นิพพุติมันเย็น เย็นอย่างที่ว่ากลับไปกลับมา หลุกๆล่อๆ แต่ก็ยังดีเพราะมันยังมีกิเลสที่ต้องคอยควบคุมอยู่ แต่ถ้ามันหมดกิเลสแล้วมันเย็นสนิท เย็นจริงเย็นตลอดกาล เป็นนิพพานมันก็สูงสุดมันคือเย็น นิพพาน ฉะนั้นที่เราจะได้กันโดยสามัญธรรมดาทั่วไปก็คือเย็นอกเย็นใจเท่านั้นแหละ ทางสุขภาพอนามัยก็เย็นอกเย็นใจไม่มีปัญหา จัดไว้ดี ถูกต้อง ทางเศรษฐกิจก็จัดไว้ดี ถูกต้อง ไม่มีเรื่องร้อนใจ ไม่เป็นหนี้เป็นสินอะไร ทางการสังคมสมาคมซึ่งกันและกันก็จัดไว้ดี มันก็ถูกต้อง มันก็ไม่เกิดการรบกวนอะไร ร่วมมือกันดี สร้างประโยชน์สาธารณะได้ดีก็มีความเย็นอกเย็นใจด้วยกัน แม้ที่สุดแต่ว่าการงานที่ทำ แม้จะเป็นการงานที่ต้องออกเหงื่อก็กลายเป็นน้ำมนต์ไป เหงื่อกลายเป็นน้ำมนต์ไป แปลว่าเยือกเย็นไป แล้วก็ไม่มีความเดือดร้อนๆ วุ่นวายในการทำงานในหน้าที่ ทำงานราชการหรือทำงานบริษัทหรือทำงานส่วนตัวหรือทำงานอะไรก็ตาม เมื่อทำงาน เมื่อกำลังทำงานน่ะ มีแต่ความถูกต้องพอใจ ไม่มีความร้อนอกร้อนใจ ขัดอกขัดใจ ชนิดที่ต้องทนทำ ฝืนทำ ซังกะตายทำ นี่จะเรียกว่ามันมีชีวิตเย็น ข้อนี้มันเป็นธรรมชาติธรรมดานะที่ไปทำงาน ไปทำการทำงานมันต้องเหนื่อยนะ แม้แต่สัตว์จะเที่ยวหากินมันก็เหนื่อย คนจะทำงาน ทำไร่ทำนาอะไรมันก็เหนื่อย ไอ้หน้าที่การงานมันต้องมีความเหน็ดเหนื่อยซึ่งสร้างความไม่พอใจ แต่ถ้ามีธรรมะพอมันจะกลายเป็นไม่เหน็ดเหนื่อยนะ จะพอใจในการงานจนไม่เหน็ดเหนื่อย ถ้าเห็นว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ หน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้เรารอด ชีวิตอยู่กับหน้าที่อย่างนี้แล้วมันก็ไม่เหนื่อย มันยิ่งสนุกในการทำงาน มีธรรมะข้อนี้แล้วไปทำงานอะไรก็ได้ จะไม่รู้สึกเหนื่อยไม่รู้สึกเป็นทุกข์ มันจะไม่ต้องเลือกงานกันเกินไป เพราะสามารถทำให้เป็นสุข พอใจได้ทุกการงานแม้แต่ทำไร่ทำนา กรรมกรแบกหาม หรือแม้แต่ว่าจะต้องนั่งขอทานก็ไม่มีความทุกข์ ศิลปะชั้นเลิศชั้นยอดคือศิลปะแห่งการทำงานโดยไม่รู้สึกเป็นทุกข์ ขอให้มีกันไว้ทุกคน ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ยิ่งทำงานยิ่งสนุก ยิ่งทำงานยิ่งสนุก ยิ่งเหงื่อออกมายิ่งพอใจเพราะว่ามันพิสูจน์แล้วว่าได้ทำถึงที่สุดจริงๆไม่เหลวไหล เหงื่อเลยกลายเป็นน้ำมนต์รดให้เย็นอกเย็นใจ ไม่ใช่เหงื่อจะบังคับให้เลิกงานไปเป็นขโมยไปปล้นไปจี้เป็นอันธพาลดีกว่า แต่เหงื่อจะกลับพิสูจน์ความถูกต้อง ความน่าพอใจว่าเราไม่เหลวไหล จิตใจมันก็เยือกเย็น เหงื่อก็กลายเป็นน้ำมนต์ที่แท้จริง ยิ่งกว่าน้ำมนต์ที่รดในพิธีรีตอง รู้ข้อนี้ไว้แล้วจะทำงานไม่เหนื่อย ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้องเพื่อความรอด บอกหลายหนแล้วจะจำได้หรือไม่ ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้องเพื่อความรอดของสิ่งที่มีชีวิต ธรรมะคือหน้าที่ แล้วก็มีหน้าที่ก็คือมีธรรมะ ก็ทำหน้าที่ให้กลายเป็นธรรมะ แล้วก็ไม่เบื่อหน่ายไม่เกลียดชังหน้าที่แม้ว่าจะทำให้เหงื่อออกมา ยิ่งพอใจว่ามันไม่เหลวไหลแล้ว ถูกต้องแล้ว ถึงขนาดแล้วเหงื่อมันจึงออกมา ฉะนั้นคนที่อาบเหงื่อต่างน้ำได้เพราะมีความรู้สึกอย่างนี้เป็นคนมีความสุข ถ้าคนที่ไม่มีความรู้อย่างนี้ การอาบเหงื่อต่างน้ำก็คือความทนทุกข์ ต้องทนทุกข์ การอาบเหงื่อต่างน้ำของคนที่ไม่มีธรรมะคือการทนทุกข์ การอาบเหงื่อต่างน้ำของคนที่มีธรรมะ รู้ธรรมะคือความพอใจและความสุขที่รู้สึกว่าตัวได้ทำถูกต้องแล้วไม่เหลวไหล มันจะบูชาการงานบูชาหน้าที่ ไม่คดโกงหน้าที่ไม่เอาเปรียบหน้าที่ ไม่หลบหลีกหน้าที่ไม่เหลวไหลในหน้าที่ บูชาหน้าที่เหมือนกับพระพุทธเจ้า ที่ได้พูดย้ำอยู่เสมอว่าถ้าเราเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพแล้วปัญหาทั้งหลายจะหมดไป แต่ถ้าเราไม่เคารพหน้าที่อย่างนี้แล้วปัญหาจะมากขึ้นๆ จะมีความขาดแคลน จะมีความยุ่งยากลำบากนั่นนี่ขึ้นมาทีเดียว ชีวิตก็เป็นกองไฟ ชีวิตเป็นความโหดร้าย ชีวิตไม่เป็นความเยือกเย็นได้ มีธรรมะให้เพียงพอคือหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอด แล้วพอใจบูชาหน้าที่อันนี้ ชีวิตนี้จะเยือกเย็นเป็นสุขไปหมดแม้จะต้องทำงานวันละ ๒๐ ชั่วโมง
เอาละเป็นอันว่าเราได้พูดกันเรื่องนิพพุติ นิพพุติคือความเย็นอกเย็นใจตามธรรมดาที่เราจะมีได้ แล้วเราทำให้มันมีมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น แล้วพอใจในหน้าที่ พอใจในธรรมะ ไอ้ส่วนที่เป็นกิเลสมันจะลดลง ความเห็นแก่ตัวมันจะลดลง เพราะมันเห็นแก่ธรรมะ เพราะมันมีธรรมะ ให้เห็นแก่ธรรมะ ความเห็นแก่ตัวมันจะลดลง กิเลสมันก็ลดลง ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้วกิเลสมันเกิดไม่ได้ ขอให้เข้าใจอย่างนั้น โลภะก็ดี โทสะก็ดี โมหะก็ดีเกิดมาจากความเห็นแก่ตัว เราอย่าเห็นแก่ตัว ไปเห็นแก่ธรรมะเสีย ความถูกต้องๆ บูชาธรรมะ เหงื่อออกมาก็ล้างกิเลส เหงื่อออกมาก็บูชาความถูกต้อง รู้จักใช้เหงื่อให้เป็นประโยชน์เถอะ เหงื่อถ้าทำให้ดีมันล้างกิเลสคือล้างความเห็นแก่ตัว ทำงานให้เหงื่อออกมาเพื่อล้างความเห็นแก่ตัวคือล้างกิเลส แล้วผลที่ได้รับคือความเยือกเย็น มีชีวิตที่ถูกต้อง อย่าได้รังเกียจเหงื่อซึ่งเป็นเครื่องหมายของการไม่บกพร่องในหน้าที่ แต่ว่างานบางอย่างไม่ต้องออกเหงื่อ เพราะมีก็อย่าไปหลงใหลกับมัน ก็ทำให้ดีที่สุด ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในหน้าที่ของตนๆ แล้วก็อย่าลืมว่าหน้าที่ทุกชนิดที่มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตจะต้องทำนั้นน่ะทำให้เป็นธรรมะได้ทั้งหมดเลย ให้เป็นที่ตั้งแห่งความพอใจหรือความสุขได้ทั้งหมดเลย แต่คนมันไม่ได้ทำ มันไม่ได้ใช้ อย่างที่พูดมาแล้วนั่นแหละอยากจะขอให้จำให้แม่นยำด้วยว่า แม้ว่าเรามีหน้าที่ที่จะต้องล้างหน้าจะถูฟันตอนเช้า ก็ทำให้ดีจนเกิดความพอใจตลอดเวลานั้น ถ้าทำใจไม่ถูกต้องมันไม่เกิดหรอก มันไม่เกิด มันก็ทำฝืนทำ ทำส่งเดช ไม่มีความหมายแห่งความพอใจหรือถูกต้อง จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะ มีสติสัมปะชัญญะทำให้พอใจให้ถูกต้องมันก็ต้องถ่ายอยู่แล้ว มันทำอยู่แล้ว แต่มันไม่เกิดความพอใจว่าถูกต้อง มาศึกษาให้มันเกิดความพอใจว่าถูกต้องคือทำหน้าที่ถูกต้องแล้วก็พอใจว่าถูกต้อง แล้วก็เป็นสุขตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ได้ความพอใจหรือความสุขที่ถูกต้อง โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เพราะมันทำอยู่แล้วนี่ แต่เปลี่ยนให้มันกลายเป็นธรรมะคือให้ความพอใจและถูกต้อง อย่างอาบน้ำก็เหมือนกัน จะรับประทานอาหารก็เหมือนกัน จะล้างถ้วยล้างจานกวาดบ้านถูเรือนอะไรก็เหมือนกัน มีสมาธิอยู่ที่ความถูกต้องๆ ถูกต้อง อาบน้ำให้ถูกต้อง กินข้าวให้ถูกต้อง ถ่ายอุจจาระปัสสาวะให้ถูกต้อง ล้างถ้วยล้างจานกวาดบ้านถูเรือนให้มันถูกต้อง แล้วก็ไม่รังเกียจว่าเป็นงานต่ำ ถ้ามันเป็นหน้าที่ที่ช่วยให้รอดแล้วมันเป็นธรรมะเสมอกัน ฉะนั้นไปลองทำงานต่ำๆดูบ้าง ที่เป็นหน้าที่ของคนใช้ของภารโรงอะไรนั่น ไปล้างส้วมโดยเฉพาะตัวอย่างดูบ้าง ถ้าสามารถให้เกิดความพอใจว่าถูกต้องได้แล้วคนนั้นมีธรรมะพอ คนนั้นมีธรรมะเพียงพอ แล้วมันก็จะไม่มีปัญหาอะไร เดี๋ยวนี้แม้ว่าเราจะต้องทำหน้าที่เหล่านั้นอยู่แล้ว เราก็ไม่สามารถทำให้มันเกิดความสุขจากหน้าที่อันนั้น หรือพอใจด้วยการทำหน้าที่อันนั้น คนถีบสามล้อ คนแจวเรือจ้างสมัยก่อนน่ะผมเคยเห็นกับตามันร้องเพลงไปพลาง มันร้องเพลงไปพลาง คนแจวเรือจ้างนี่มันแกว่งตีนข้างหนึ่งอยู่กลางอากาศ เหยียบเรือตีนเดียวร้องเพลงไปพลางแจวเรือจ้างไปพลาง เดี๋ยวนี้หาไม่ได้มันมีแต่หน้าดำคร่ำเครียด โมโหโทสา บ่นพึมพำ แช่งชักหักกระดูกอะไรไม่รู้ พวกถีบสามล้อก็เหมือนกันแหละ แต่เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนเป็นรถแท็กซี่ มันก็ยังบ่นด่าผีด่าโชคชะตาเทวดาอะไรของมันก็ไม่รู้ พวกสามล้อเหล่านั้น ไม่ได้มีความพอใจว่าเรามีแท็กซี่ เราจะทำให้ดีที่สุด ให้ถูกต้องที่สุด ให้พอใจที่สุด ถือว่าโชคดีที่สุดแล้วที่ได้มีงานทำ มีอาชีพทำ แล้วก็พอใจยิ้มแย้มแจ่มใส มันไม่มี นี่คือมันไม่มีธรรมะ กรรมกรแบกหามเหงื่อท่วมตัวก็เหมือนกัน ก่อนนี้มันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเดี๋ยวนี้มันก็ไม่มี มันเห็นแก่ตัวมากขึ้นตามยุคตามสมัยที่โลกมันเจริญด้วยวัตถุ นี่มันเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันว่าไม่ว่างานชนิดไหนแหละ ทำให้พอใจได้ ทำให้รู้สึกว่าถูกต้องๆ พอใจแล้วเป็นสุขได้ทั้งนั้น ฉะนั้นเราอย่าได้ละเว้นหน้าที่ใดๆที่มีอยู่ ทำให้ถูกต้องพอใจและเป็นสุขทุกหน้าที่ไปเลย จะไปไหนมาไหน อยู่ที่ไหนก็ด้วยความถูกต้องและพอใจ ไม่มีความทุกข์ นี่เรียกว่าเรามาสร้างชีวิตในรูปนิพพุติ ชีวิตเย็น ความเย็นอกเย็นใจ แล้วก็รู้จักมากขึ้น ทำงานสนุกมากขึ้น ความเห็นแก่ตัวก็จะลดลงๆ ความรักผู้อื่นมันก็จะเกิดขึ้น แล้วเราก็จะอยู่กันเป็นผาสุก ไม่มีใครเอากับเราก็ชั่งหัวมัน มันไม่เอาก็ตามใจมัน เมื่อสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องเราเอาก็แล้วกัน แล้วก็เชื่อว่าไม่เท่าไรมันจะเกิดเพื่อนมนุษย์ที่เห็นด้วยๆนะมาร่วมวงกันมากขึ้น เป็นสมาคมแห่งบุคคลผู้มีชีวิตถูกต้องกันเสียบ้าง มีชีวิตเย็น
นี่เรื่องสุดท้ายที่ผมพูดว่ามีนิพพุติ นิพพุติ ชีวิตเย็น ความเย็นอกเย็นใจและรู้จักทำให้มันมากขึ้นๆ กิเลสลดลงเพราะเห็นแก่ตัวน้อยลง กิเลสหมดก็ได้นิพพาน ไม่ต้องตาย คำว่านิพพานไม่ได้แปลว่าตาย คือได้รับความเย็นเพราะความหมดแห่งกิเลส ไม่ต้องตาย แต่ในความหมายหนึ่งเราหมายถึงความตาย พูดกันจนชินแล้วว่านิพพานหมายถึงความตายของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์นั้นก็ให้รู้ว่าเป็นภาษาคนพูด ภาษาคนไม่รู้พูด ภาษาธรรมะแล้วนิพพานไม่ใช่ความตาย นิพพานคือความเย็นเพราะไม่มีไฟคือกิเลส ฉะนั้นอย่าปล่อยให้กิเลสโพรงขึ้นมาเป็นไฟเผาให้หมดความเย็น มันจะร้อนใจขึ้นมาทันทีแหละ เป็นนรกขึ้นมาทันที เมื่อกิเลสโพรงขึ้นมา หรือว่าทำให้กิเลสได้รับความพอใจ ที่ไม่ถึงขนาดนั้นก็เรียกว่ายังพอเป็นสวรรค์ หลงใหลในกิเลส ถ้าหมดกิเลสก็เป็นนิพพาน จิตใจสูง อยู่เหนือความหลงใหลในอะไรๆ ไม่หลงชั่วหลงดี ไม่หลงได้หลงเสีย หลงแพ้หลงชนะ หลงกำไรหลงขาดทุน หลงเสียเปรียบหลงได้เปรียบ ไม่มีอะไรที่เป็นคู่ๆ ที่ทำให้ทรมานใจ มันว่าง ว่าง สงบเย็นอยู่เหนือไปทั้งหมด ภาวะของนิพพานอยู่เหนือปัญหาทุกชนิด อยู่เหนือปัญหาทั้งปวง นี่สรุปว่ามีนิพพุติ นิพพุติ ความเยือกเย็นแห่งชีวิตเพิ่มขึ้นๆจนถึงนิพพาน ความเยือกเย็นสูงสุดที่ไม่กลับร้อน เวลาหมดแล้ว และถือเป็นเรื่องสุดท้ายที่ว่าเราจะต้องจบชีวิตด้วยนิพพาน เย็นไม่มีร้อน ฉะนั้นเราขอยุติการบรรยาย