แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การพูดเรื่องมนุษย์กับธรรมะหรือธรรมะกับมนุษย์เป็นครั้งที่ ๙ ในวันนี้ในหัวข้อว่า การเลื่อนชั้นหรือภูมิแห่งจิต การรเลื่อนชั้นหรือภูมิแห่งจิตนี่มีบัญญัติหรือการกล่าวไว้ในคัมภีร์อยู่แล้ว แต่ว่าฟังดูมันเป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับพวกเรามนุษย์โดยตรง เขาไปกล่าวถึงเทวดานานาชนิดพวกพรหมโน้นด้วย ซึ่งก็อยากจะพูดให้ฟัง เหมือนกันว่าในคัมภีร์เขากล่าวว่าอย่างไร คือเขากล่าวไว้เป็น ๔ ชั้น เรืยกว่าภูมิหรือชั้นของจิต ๔ ชั้น แต่เขากล่าวเป็นบุคคลแทนที่จะกล่าวเป็นจิต ชั้นที่ ๑ เรียกว่ากามาวจรหรือกามาวจรภูมิ แปลว่าภูมิที่จิตมักจะตกไปในกาม พวกนี้เรียกว่ากามาวจรภูมิ พวกถัดไปเรียกว่ารูปาวจรภูมิ พวกที่จิตมักจะตกไปในรูป ชั้นที่ ๓ เรียกว่า อรูปาวจรภูมิ ภูมิที่จิตมักจะตกไปในอรูป ชั้นที่ ๔ เรียกโลกกุตตระภูมิ จิตอยู่เหนือโลก ฟังดูให้ดีมันก็มีความหมาย จิตมักจะตกไปในทางกามได้แก่สัตว์ธรรมดาสามัญทั่วไป มนุษย์นี้แหละ แล้วก็เทวดาในชั้นกามาวจร คือเทวดาทั่วไปที่ไม่ใช่พรหมที่เรียกว่าสวรรค์ ๖ ชั้น ก็อยู่ในภูมินี้มนุษย์ด้วย สวรรค์ ๖ ชั้นนั้นด้วยเรียกว่าอยู่ในภูมิกามวจร สูงขึ้นไปเป็นพรหมโลก คือสัตว์ที่มีจิตใจมักตกไปในรูปคือสุขอันเกิดแต่รูป ได้แก่พวกพรหมชั้นที่มีรูป ชั้นที่ต่อไปคืออรูปาวจรภูมิ คือพวกภูมิที่มีจิตมักจะตกไปในสุขเกี่ยวกับอรูป ชั้นที่ ๔ เป็นอริยบุคคลคือมีจิตเหนือโลก ถ้าว่าตามแบบนั้นคือไปอยู่ที่โลกหรือคนชนิดต่างๆกัน ซึ่งสรุปได้ง่ายๆ ก็เห็นอยู่แล้วว่ากามาวจรก็คือพวกมนุษย์ที่พอใจในกามพวกเทวดาที่อยู่ในสวรรค์ ๖ ชั้นที่พอใจในกาม พวกเป็นโลกอื่น ไม่เกี่ยวกับมนุษย์ ถ้าเป็นสวรรค์ ที่นี้พวกพรหมที่พอใจในรูปก็เป็นพรหมไม่ใช่ในมนุษยโลก มันอยู่ในโลกของพรหม สัตว์พวกนี้นมีภูมิในจิตใจอาจตกอยู่ในสุขอันเกิดจากรูป ขั้นที่ ๔ ก็เป็นโลกหรือพรหมโลกเป็นสัตว์ที่พอใจอยู่ในอรูปล้วนๆแต่ไม่ใช่มนุษยที่นี้ทั้งนั้นดูให้ดี แต่มันมีหลักที่ต้องสนใจอยู่ที่ว่าจิตนี้เป็นอย่างไร ก็เหลือเอาแต่เพียงว่าจิตที่ตกอยู่ในกามแล้วก็จิตที่ตกอยู่ในรูป รูปบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับกามแล้วก็จิตที่ตกไปในอรูปคือไม่มีรูป ส่วนโลกุตตระนั้นยกเลิกไปมันไม่เกี่ยวกับการตกอยู่ในภพในภูมิอะไรมันอยู่เหนือโลกไปแล้ว ถ้ามันเป็นกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ มันอยู่ในโลก ถ้าถือตามตัวหนังสือก็เป็นเรื่องโลกอื่นๆ นานาโลกกระทั่งเหนือโลก โลกที่เหนือโลกเขามีการแบ่งชั้นแห่งจิตใจว่าอย่างนั้น
แต่เดี๋ยวนี้เราจะมาแปลความเสียใหม่ ในทางภาษาเรียกว่าภาษาธรรม ไม่ได้เอารูป เอาวัตถุ เอาภพอะไรเป็นหลักเป็นเกณท์ เอาจิตใจเป็นเกณท์ มันเหลือแต่สั้นๆว่าจิตที่มักตกไปในกาม จิตที่มักตกไปในรูป จิตที่มักตกไปในอรูปซึ่งเราจะหมายความรวมไปถึงมนุษย์ คนที่เป็นมนุษย์ในรูปร่างของมนุษย์ จิตมีลักษณะที่แตกต่างกันได้อย่างนั้น ถ้าว่าใครคนหนึ่งเป็นธรรมดาสามัญพอใจในความสุขอันเกิดจากกาม เขาก็เป็นพวกที่ ๑ ถ้าใครเขามีจิตใจความพอใจมีความสุขอันเกิดจากรูปที่มีสมาธิ ที่มีรูปธรรมเป็นอารมณ์ สมาธิอะไรก็ได้ที่มีรูปธรรมเป็นอารมณ์เป็นฤาษีมุนี ให้บำเพ็ญฌานอย่างนั้นอยู่ ก็เรียกว่าจิตของเขาอยู่ในรูปาวจร ที่นี้ว่าฤาษีมุนีคนใดก็ได้จิตขวนขวายอยู่แต่กับฌานที่ไม่มีรูปเป็นรูปฌานก็เรียกว่าจิตของเขาอยู่ในพวกอรูปาวจรคือยินดีในอรูป พวกที่ ๑ ยินดีในกาม พวกที่ ๒ ยินดีในรูป พวกที่ ๓ ยินดีในอรูป
ที่นี้จะมาพูดให้เป็นเรื่องของคน มนุษย์ จิตยินดีในกาม มันก็อยู่ในสภาพอย่างหนึ่ง จิตยินดีในรูปก็อยู่ในสภาพอย่างหนึ่ง ยินดีในอรูปสิ่งที่ไม่มีรูปมันมีสภาพอย่างหนึ่ง จึงว่าในร่างของมนุษย์ในโลกของมนุษย์คนหนึ่ง อาจจะมีจิตใจได้ทั้ง ๔ ภูมิเลย เอาความหมายกลาง ๆ ก่อน เพราะถ้าจะมีความยินดีในกาม มันจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ นักบวช ฆารวาส เด็กอะไรก็ตามจิตมันยินดีในกาม มันอยู่ในพวกที่ ๑ ถ้ามันไม่ยินดีในกาม มันไปยินดีในวัตถุสิ่งของ หลงใหลอยู่แต่ในเรื่อง ชีวิตเกี่ยวกับกาม จะเป็นของเล่นของสนุก เช่นเล่นบอล เลี้ยงสัตว์ หรือว่ากระเบื้องลายคราม แก้วเจียระไนอะไรก็ตามซึ่งเป็นวัตถุมีค่า พอใจเป็นศิลปะวัตถุก็ได้ ไม่เกี่ยวกับกาม อันนี้จิตใจมันอยู่ในระดับที่ ๒ คือยินดีในรูป ที่นี้ถ้ามันสูงไปกว่านั้นมันไม่ยินดีในสิ่งที่มีรูป มันไปยินดีในนามธรรม นามธรรมที่ไม่ใช่รูป ยินดีในเกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจวาสนา บุญกุศล อะไรก็ตาม ที่มันไม่ใช่รูปธรรม นี่ก็เรียกว่าอรูป มันก็เป็นอีกพวกหนึ่ง ถ้าจิตอยู่เหนือโลกไม่มีกิเลส ไม่มีความทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆ เป็นพระอริยเจ้าเป็นบุคคลที่เป็นพระอริยเจ้า ก็อยู่ในภูมิที่ ๔ อันนี้มันต่างกันใช่ไหมกับที่พูดไว้ในเรื่องโลก เรื่องพรหมโลก โลกที่อื่นมันก็ตามใจอย่างนั้นมันก็ได้ เราไม่ว่าอะไร แต่เดี๋ยวนี้เราจะเอาหลักเกณท์อันนี้มาใช่กับหมู่มนุษย์กับมนุษย์ในโลก แล้วก็มีความหมายคือการตีความหมายกันอย่างนี้
จิตมันต่ำตามธรรมดาสามัญ แม้แต่สัตว์ก็ได้ พอใจในกามเป็นเรื่องทางเพศ ตรงกันข้ามโดยเฉพาะคนหนุ่ม คนสาว สูงสุดอยู่ที่เรื่องเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะอายุมากบ้าง บางคนก็ยังหลงใหลอยู่ในเรื่องเหล่านี้ คือเรื่องกาม เรื่องเพศ สิ่งที่เขาพอใจที่สุดก็คือสิ่งนี้ คือสิ่งที่จิตของเขามักจะน้อมไปในทางนั้นทางเดียว น้อมไปในทางกามทางเดียวก็คือคนพวกนี้ ทีนี้ต่อมาเมื่ออายุมันเปลี่ยนแปลง อะไรมันเปลี่ยนแปลงไป พ้นวัยที่จะมาลุ่มหลงในเรื่องกามเรื่องเพศ มันก็ไปลุ่มหลงในเรื่องสมบัติพัสสถาน วัว ควาย ไร่นา แก้วแหวนเงินทอง พออายุมันเลยที่จะหลงใหลในกามนี่ธรรมดาทั่วๆไป ก็ไปหลงใหลในวัตถุสิ่งของที่ไม่เกี่ยวกับกาม ไปหลงใหลในเรื่องบ้านเรื่องช่อง เรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องข้าวเรื่องของ เรื่องวัวควาย ไร่นา เรื่องศิลปวัตถุที่เป็นที่รักที่พอใจ หลงใหลกันได้มาก คุณต้องนึกถึงคนบางคนมันพิเศษหลงใหลในเรื่องของศิลปวัตถุ ของแพงแก้วแหวนเพชรพลอย ลุ่มหลงหรือมันจะบ้ามีรถยนต์ บ้ามีเครื่องใช้ไม้สอยอะไรก็ตามมันไม่ได้เนื่องกันอยู่กับกาม มันก็มีอยู่พวกหนึ่ง ซึ่งจะกล่าวว่าเมื่ออายุมันมากเข้า มันเลิกลุ่มหลงในเรื่องเพศเรื่องกาม ไปลุ่มหลงในสิ่งของอย่างนั้น ที่นี้ถ้าอายุมันมากหรือจะไม่มากก็ตาม มันมีสติปัญญาเปลี่ยนแปลงไปมันพอใจในสิ่งที่มิใช่วัตถุสิ่งของ มิใช่รูปธรรม ความมีเกียรติยศ ชื่อเสียง ความมีความดี บุญกุศล ที่เป็นนามธรรมไปเลย เป็นอรูป เพราะว่าอายุมันมากเข้า หรือแม้อายุมันไม่มากแต่สติปัญญามันเปลี่ยนแปลงมันก็เป็นไปได้อย่างนี้ ทีนี้คนที่ ๓ นี่มันมีมันได้ มันบริโภคในเรื่องเหล่านั้นมากเข้า มากเข้า จนมันเห็นว่าเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ต้องการจะอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นจิตที่มันว่าง จากความพอใจที่เป็นรูปธรรม เป็นอรูปธรรมเหล่านี้ มันก็น้อมไปเพื่อเหนือโลก พักผ่อนสงบ อยู่ด้วยความว่างอย่างเดียว มีความว่างเป็นอารมณ์ เรียกว่าสูงสุด นี่โดยธรรมชาติมันเป็นได้อย่างนี้ ธรรมะสำหรับปฏิบัติมันก็อำนวยให้เป็นอย่างนี้
นี่โดยหลักทั่วๆ ไป คนหนุ่ม คนสาว ก็เป็นกามวจร พ่อบ้านแม่เรือนก็เป็นรูปาวจร ขวนขวายอยู่แต่รูปธรรม พอแก่เฒ่าชราก็เป็นอรูปธรรม เกียรติยศ ชื่อเสียง บุญวาสนา ถ้ามันฉลาดกว่านั้นไปอีกก็อยู่เหนือโลก ต้องการความว่างจากสิ่งทั้งปวง ที่พูดนี่ต้องการเพียงแต่จะให้เห็นระดับแห่งจิตใจ จะเอาอะไรมาให้เป็นเรื่องขัดขวางเลย จิตใจของคนจำพวกหนึ่งคอยแต่จะน้อมไปในกามในเพศ จิตใจของคนในใจพวกหนึ่งมันคอยแต่จะน้อมไปในรูปธรรมที่ไม่เกี่ยวกับเพศ จิตใจของคนอีกพวกหนึ่งคอยน้อมไปในอรูปธรรมคือธรรมที่ไม่มีรูป มันก็ยิ่งไม่เกี่ยวกับเพศเข้าไปใหญ่ ที่นี้จิตใจของคนอีกพวกหนึ่งมันมีแต่จะน้อมเข้าไปอยู่เหนือสิ่งทั้งหมดนี้เหนือสิ่งทั้ง 3 นี้ เช่นลองทำปริทัศน์มองดูพร้อมๆ กันทั้งหมด ให้เห็นว่ามันเป็นชั้นๆๆ กันอยู่อย่างนี้ ชั้นตามธรรมดาสามัญก็หลงอยู่ในกามในเพศ ชั้นสูงขึ้นไปก็หลงอยู่ในรูปอันบริสุทธิ์ ชั้นที่ ๓ ก็มุ่งอยู่กับการไม่มีรูปแต่เป็นที่ตั้งแห่งการยึดถือว่าเป็นตัวตนของตนด้วยเหมือนกันถึงแม้ว่ามันจะไม่มีรูป ที่นี้อีกชั้นหนึ่งมันไม่เอาตัวตนของตน พ้นไปจากความยึดมั่นว่ามีตัวตนของตนมันเป็นชั้นสุดท้าย
ภาษาไทยว่าชั้น ภาษาบาลีว่าภูมิ ภู-มิ ภูมิหรือชั้นแห่งจิตมีอยู่อย่างนี้ เราไม่เอาไว้คนละโลกคนละพวกเหมือนกับที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ แต่จะเอามาไว้ในโลกมนุษย์นี้ ในคนที่เป็นมนุษย์นี้แหละ มนุษย์คนหนึ่งนี้แหละ มีจิตใจเปลี่ยนแปลงได้เป็นชั้นๆอย่างนี้ ถ้ามันมีความรู้สึกต่ำก็เป็นไปในทางกามาวจรภูมิ จิตคอยแต่จะน้อมลงไปในกาม บางเวลาก็ได้ จิตก็น้อมไปในทางรูปาวจรภูมิ บางเวลาก็ได้ ก็น้อมไปหาเกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ วาสนา กุศล ซึ่งเป็นนามธรรมก็ได้ บางเวลามันเบื่อขึ้นมาในสิ่งเหล่านี้มันอยากจะว่างไปก็ได้ แต่มันไม่ถาวรมันไม่เด็ดขาด เมื่อเอาโดยหลักใหญ่ๆ แล้วมันก็ไปหยุดอยู่ที่อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นประจำเป็นนิสัย เราจึงต้องแยกดูว่ามันเป็นชั้นเป็นชั้นและเข้าไปอยู่ในชั้นนั้นเป็นประจำหรือนานสักเท่าไร นานสักเท่าไร
ที่นี่เอาให้มันแคบเข้ามาว่า บางคนเขาสามารถที่จะบังคับจิตใจด้วยจิตภาวนาสมาธิภาวนาอะไรได้ ตามความประสงค์ของเขาเขาก็บังคับจิตได้ บางเวลาเขาไปพอใจในกามเป็นธรรมดา บางเวลาเขาทำสมาธิให้จิตน้อมมาในสมาธิ ชั้นที่เป็นรูปฌาน รูปฌานมีอารมณ์เป็นรูป เป็นความสุขสูงขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง เขาฝึกๆ มากจนเชี่ยวชาญ จนจิตเลื่อนขึ้นมาเป็นชั้นอรูปฌาน ซึ่งละเอียดกว่า ปราณีตกว่า เป็นสุขวิเวกกว่า เช่นสูงสุดที่เรียกว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ อรูปฌานที่ ๔ ก็ได้ในคนๆ เดียวกัน ไม่ทันเปลี่ยนแปลงไวอะไรกี่มากหรอก ฤาษีมุนีองค์หนึ่ง หรือว่าภิกษุองค์หนึ่งก็ได้ บางเวลาปล่อยจิตไปในทางกาม บางเวลาดึงจิตมาสู่สมาธิรูปฌาน บางเวลาดึงจิตไปสู่สมาธิอรูปฌาน บางเวลาพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างเคร่งเครียด เห็นแจ่มแจ้งในเรื่องสุญญตาไม่มีตัวตนพอใจอยู่อย่างนั้น ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก็ได้ ถ้ามันไม่เด็ดขาด มันไม่เป็นสมุทเฉท มันก็เปลี่ยนได้ เปลี่ยนกลับกันได้ หรือออกจากความรู้สึกอย่างนั้นเสียมาเป็นคนธรรมดาความรู้สึกตามธรรมดาอีกก็ได้ เลยเป็นอันว่าเราสามารถที่จะบังคับจิตให้อยู่ในภูมิต่างๆ กันได้อย่างนี้ แต่ว่าเขาไม่อธิบายกันอย่างนี้หรอก เขาอธิบายกันอย่างว่าที่แรกเป็นโลกคนละโลก คนละเมือง คนละชาติ คนละอะไรไปเลย
ทีนี้เราจะพูดว่าคนๆเดียวกัน ที่นี้เดี๋ยวนี้บังคับจิตได้มันเปลี่ยนจิตใจได้ โดยการฝึกสมาธิภาวนาอย่างนี้อยู่ที่จิตดวงเดียวเปลี่ยนเป็นอะไรมันก็เป็นอย่างนั้น จิตดวงนั้นตกไปในกามาวจรภูมิเหมือนคนธรรมดา จิตดวงนั้นฝึกมาดี บังคับดี เดี๋ยวมาอยู่ในรูปปาวจรภูมิ สมาธิชนิดที่มีรูปพอใจ หลงใหล บางทีก็เลื่อนขึ้นไปเป็นอรูปาว-จรภูมิไม่ต้องมีรูป บางเวลาก็ชอบความว่างๆ ความอยู่ว่างๆ ว่างจากความเป็นตัวตนอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เป็นได้ ก็เป็นสิ่งที่เป็นได้ นั่นมันก็เห็นชัดอยู่แล้วว่ามันสูงกว่ากันอย่างนี้ และมันสูงสุดอยู่ที่ชั้นโลกุตตระภูมิ แต่คำว่าโลกกุตตระภูมินี่เขาไม่พูดกันที่เป็นของชั่วขณะอย่างนี้ แต่ผมก็ยังคิดว่าพูดได้ เรียกว่า นิพพุติ นิพพุติ เย็นอกเย็นใจตามธรรมดายังไม่นิพพานโดยสมบูรณ์ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ก็มีความรู้สึกเยือกเย็นในความหมายของนิพพาน ก็ได้เหมือนกัน เป็นการหลุดพ้นชั่วคราวๆ เรียกวิมุติ หลุดพ้นชั่วคราว คือได้รับรสชาติของการหลุดพ้นชั่วคราวและกลับมาสู่ความยึดมั่น ถือมั่นอีก
เอาล่ะ เป็นอันว่าผมได้เอาเรื่องที่มันสูงกว่าธรรมดา หรือสูงเกินกว่าระดับที่พวกคุณจะศึกษามาพูดให้ฟัง บางคนเขาว่าผมบ้าเอาเรื่องที่มันไม่เกี่ยวกับสามัญธรรมดามาพูดให้ฟัง แต่ผมอยากจะรู้ จำเป็นที่สุดเพื่อจะให้รู้ว่าจิตนั้นเปลี่ยนได้ จิตนี่มันเลื่อนชั้นได้ จิตนี้เราฝึกฝนบังคับให้เป็นอย่างไรก็ได้ บังคับให้อยู่ในกาม คือปล่อยให้อยู่ในกามาวจรภูมิ บังคับให้อยู่ในรูปาวจรภูมิ บังคับให้อยู่ในอรูปาวจรภูมิ บังคับอบรมให้มันเลื่อนขึ้นไปอีกสักนิดหนึ่งชิมรสของความว่างจากตัวตน บ้างบางเวลาก็ได้ ธรรมะสามารถช่วยให้ทำได้ถึงขนาดนี้ นอกจากเห็นเป็นตัวอย่าง ก็คุณก็สังเกตดูเอาเองซิ บางคนใคร่ไปในกาม บางคนก็สนใจอยู่กับวัตถุข้าวของเครื่องใช้ไม้สอย เป็นที่พอใจ บางทีมันอาจจะหลงใหลในแหวนเพชร ในนาฬิกาข้อมือ ในสิ่งเหล่านี้ยิ่งกว่าเรื่องกามไปเป็นพักๆ
คนโบราณเขามีภาษิตว่า รักกันดีกว่ากินแห้ว รักกันแล้วกินแห้วดีกว่า ผมเคยได้ยินเมื่อเด็กๆ เขาพูดอย่างนี้ กามาวจภูมิ รักกันดีกว่ากินแห้ว รักกันแล้วกินแห้วดีกว่า มันหลอกได้ถึงขนาดนี้จิตของคนเรา บางคนอาจจะหลงใหลในศิลปวัตถุ เป็นศิลปินบ้าหลังไม่รู้ ไม่รู้จักพอใจอย่างอื่น พอใจในศิลปวัตถุอย่างเดียว บางทีศิลปวัตถุ อย่างภาพเขียนเป็นต้น ภาพเขียนบางภาพราคาเป็นล้านๆ เป็นสิบๆล้านยังมีคนกล้าซื้อ เพราะคนนี้มันหลงในทางรูปอย่างสุดเหวี่ยง แม้แต่เรื่องหนังสือหนังหา นี่ก็เป็นที่ตั้งแห่งความหลงได้ถึงที่สุดเหมือนกัน พวกบ้าหนังสือเป็นหนอนหนังสือ พอใจในห้องสมุด ประพฤติไม่สนใจในที่อื่นอย่างนี้ก็มีจิตใจชนิดที่หนึ่งเหมือนกัน บางคนชอบเที่ยวชมวิว ชอบท่องเที่ยวชอบเดินทาง ได้เห็นธรรมชาติสวยงาม พออกพอใจสูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใด นี้ก็มันก็ไม่เชิงเป็นกามเป็นทางรูปาวจร สนใจในรูปที่ดึงดูด บางคนมันก็เลื่อนขึ้นไปเป็นอรูป บ้ายศ บ้าชื่อเสียง บ้าอำนาจวาสนา บ้าบุญ บ้าอะไรไปตามเรื่อง มันอยู่คนละชั้นเห็นไหม แม้จะอยู่ที่นี้ จิตใจต่างเป็นคนละชั้นละชั้น บ้ากาม บ้ารูป บ้าอรูป แล้วก็ไม่บ้าอะไรมีจิตใจอยู่เหนือโลก เราคนเดียวอาจจะเป็นได้ถึงอย่างนี้ ถึง ๔ ชั้นอย่างนี้ มันพอจะเห็นได้อยู่ ลองดูก็ได้ บ้ากามสักพัก บ้ารูปวัตถุ รูปสิ่งของสักพัก แล้วก็บ้าของเป็นนามธรรมไม่มีรูปสักพักหนึ่ง แล้วก็บ้าความว่างสักพักหนึ่ง ทั้งหมดนี้จะเอากันที่ตรงไหนเล่า ก็เอากันตรงที่ว่าให้มันรู้ไว้ ทุกอย่างมันเป็นได้กี่อย่าง แล้วก็เลือกเอาอย่างที่น่าเลือกที่ทำให้เกิดความสุข เกิดความสงบเย็น เกิดสภาวะที่น่าพอใจอย่างยิ่ง ถึงเลือกเอา ดีกว่าบ้าอย่างใดอย่างหนึ่งไปจนตายไม่รู้จักความว่างเสียเลย
อุทาหรณ์ที่เราจะเอามาเปรียบเทียบในทางวัตถุนั้นที่ครบทั้งทางนามธรรมและรูปธรรม เช่นว่ากินของอร่อยไปตามลำดับ กินข้าวอร่อย แกงจืดอร่อย แกงเผ็ดอร่อย แกงส้มอร่อย ของมันๆอร่อย ของหวานๆอร่อย ของแพงที่สุดอร่อย แล้วที่สุดก็กินน้ำ น้ำที่จืดที่สุดที่ไม่มีรสอร่อยเหล่านั้นกลายเป็นของอร่อย ให้ไปใช้ไปสังเกตว่าไอ้น้ำมีรสอร่อยเหลือประมาณเลย หลังจากที่ได้กินของมีรสต่างๆ หวานที่สุด มันที่สุด อะไรที่สุดก็แล้ว ในที่สุดต้องกินน้ำจืด ความว่างหรือความจืดยังอยู่เหนืออยู่ ยังอยู่เหนืออยู่ อยากจะให้ถือเป็นเรื่องควรศึกษาควรสังเกต กินของอร่อยๆ อร่อยที่สุด อร่อยกว่านั้นด้วยน้ำที่มันจืด แต่คนไม่สังเกต ดูเหมือนไม่มีความหมายหรือไม่มีเรื่อง แต่เรื่องมันจะมีอยู่อย่างนี้ว่า ที่มันสบายที่สุด พอใจได้ลึกซึ้งละเอียด สุขุมที่สุด ก็คือความว่าง ความว่าง ไม่เป็นกาม ไม่เป็นรูป ไม่เป็นอรูป แต่เป็นความว่าง เช่นเดียวกับกินอาหารชั้นเลว กินอาหารชั้นกลาง กินอาหารชั้นวิเศษที่สุด แต่แล้วก็ต้องกินน้ำที่จืด น้ำที่จืดคือว่าง ที่พูดนี่ก็ตั้งใจอย่างว่า อย่าได้ไปหลงใหลในสิ่งเหล่านั้นเพราะว่าที่สุดมันมาอร่อยที่สุดที่น้ำที่จืด อย่าไปหลงใหลด้วยอาหารชั้นเลว ชั้นกลาง ชั้นพิเศษ ที่หวานมันเปรี้ยวเค็ม ที่มันแพง แล้วมันก็มาพ่ายแพ้แก่น้ำจืด เราก็อย่าได้ไปหลงในสิ่งเหล่านั้นนะ มาพอใจในน้ำจืดไว้โดยไม่ลืมมันก็จะดี
อันนี้ก็หมายความว่า ในโลกนี้มันมีสิ่งที่ทำให้เราบ้าได้มากมายหลายอย่าง หลายประการ คนหนุ่มสาวบ้ากามารมณ์ คนต่อมาบ้าสมบัติพัสถาน ต่อมาบ้าเกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจวาสนา ถ้าไม่ต้องบ้าไม่ดีกว่า เช่นเดียวกันในที่สุดต้องมากินน้ำจืดคือความว่าง โดยที่ไม่มีอะไรมารบกวน สิ่งเหล่านั้นไม่รบกวนจิตใจอีกต่อไป จะดีไม่เร้าถ้าจะไม่หลงในสิ่งเหล่านั้นกันจนจมปลักอยู่ที่นั่น ชิมได้ลองได้ดูได้ อย่าไปหลงกับมัน เพราะมันยังไม่ใช่สิ่งที่สุดที่จบที่สิ้นแห่งความทุกข์ มันยังเป็นที่ตั้งแห่งความหลง นี่โลก ในโลกมีสามชั้น กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร และเหนือโลกก็มีหนึ่งชั้นคือโลกุตตระ ถ้าจิตใจอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งเหล่านี้ก็เรียกว่าอยู่เหนือโลก ทั้งที่ร่างกายก็ยังอยู่ในโลกนี้ เราก็ยังอยู่ที่นี้ ยังอยู่บ้านนี้เรือนนี้ แต่จิตใจมันอยู่เหนือค่าของสิ่งทั้งสามนั้น ก็เรียกว่าอยู่เหนือโลกแล้ว ไม่ได้บวชด้วยซ้ำยังทำอะไรอยู่เหมือนอย่างที่คนอื่นทำโดยภายนอก แต่ภายในจิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเป็นตนเป็นของตนจนเกิดทุกข์ พูดอีกทีหนึ่งก็จะพูดว่า พาไปเที่ยว ลองดูชิมดูทุกๆโลก ไปเที่ยวชิมเที่ยวลองดูทุกๆโลก แล้วเลือกเอาเถอะ จะเลือกเอาอย่างไร ในที่สุดในทุกโลกมันจะแสดงให้เห็นให้รู้สึกได้ว่าไม่ไหว ไม่ไหว ไปบ้ากับมันแล้วมันกัดเอาทั้งนั้นไม่ว่าโลกชนิดไหน เรื่องกามก็กัดเอา เรื่องรูปก็กัดเอา เรื่องอรูปก็กัดเอา ถ้าไปบ้ากับมันก็ยึดมั่นถือมั่นหมายมั่นเป็นตัวตนเป็นของตนขึ้นมา มันกัดเอาทั้งนั้นกัดในลักษณะต่างๆ กัน สู้ว่างไม่ได้ สู้ไม่ถูกอะไรกัดไม่ได้ เอาล่ะไม่พูดเรื่องสูงสุด พูดเรื่องที่นี้ ไปบ้าอะไรเข้า ไปหลงรักอะไรเข้า ไปยึดมั่นถือมั่นอะไรเขา มันกัดเอาทั้งนั้น บ้ากามก็กามกัด บ้าวัตถุก็วัตถุกัด บ้าสิ่งที่เป็นนามที่เป็นอรูปมันก็กัด
ในภาษาธรรมะ ที่ใช้กันอยู่คือภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ คำว่าภพในความหมายนี้ คือไปเป็นไปหมายมั่นยึดมั่นว่า กูเป็นกูมี กูได้อย่างนั่นอย่างนี้ ในจิตใจอย่างนี้เรียกว่าจิตใจอยู่ในภพนี้ ถ้าไปหมายมั่นสิ่งใดก็เรียกว่าเขาอยู่ในภพนั้น ถ้าเขาไปหมายมั่นกาม เพศนี่ ก็เรียกว่าเขาอยู่ในกามภพ เขาหมายมั่นในรูปธรรมล้วนๆ เรียกว่าเขาอยู่ในรูปภพ ถ้าเขาไปหมายมั่นในนามธรรมไม่ใช่รูปก็เรียกว่าเขาอยู่ในอรูปภพ ภพทุกภพก็กัดทั้งนั้นแหละ เขาก็กระเด็ดขึ้นไปอยู่เหนือโลกมันก็เรียกว่าเหนือภพเหนือโลกเป็นโลกุตตระไป อย่างที่ผมเคยพูดมาแล้ววันก่อนว่า ให้สังเกตดูให้ดีว่าเรานี้แหละเวลาไหนสบายใจที่สุด สบายที่สุดโดยบังเอิญปุ๊ปนี่ มันจะได้แก่เวลาที่จิตมันว่าง ไม่ผูกพันอะไรเข้า ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย จิตมันว่างอย่างนั่นแหละสบายที่สุด เรื่องความดี ความชั่ว ความได้ ความเสีย ความแพ้ชนะ กำไร หรือขาดทุน อะไรก็ตามไม่มาลุ้มรุ่มจิตเลย เวลานั้นสบายที่สุด บางทีมันอาจเป็นเพียงแว๊บเดียวก็ได้ ถ้าจิตเข้าไปคิดนั่นนี่เข้าไปอีก ยึดมั่นไปอีกมันหายไปเสีย ในเวลาที่ว่างบางเวลาบางขณะสักแว๊บหนึ่งก็สบายที่สุด ก็เคยมีนั่นแหละ บังเอิญ ว่างไม่เป็นอะไร ไม่อยู่ในโลกอะไร บางทีบ้ากามอยู่ในโลกกาม บ้ารูปก็อยู่ในโลกรูป บ้าอรูปก็อยู่ในโลกอรูป บางเวลาฟลุ๊คไม่ไดอยู่ในโลกอะไร ว่างไปนั่นแหละสบายที่สุด แต่คนไม่สนใจ คนไม่รู้สึก จึงไม่เข้าใจเรื่องเหนือโลก คอยสังเกตไว้ดีๆ ว่าแม้คนธรรมดาเรานี่ มันฟลุ๊คบังเอิญอย่างไรก็ได้ โดยความประจวบเหมาะอย่างไรก็ได้ จิตมันไม่เอาอะไรกับอะไร มันว่างไป มันก็จะสบายที่สุดบอกไม่ถูก ไอ้สบายเพราะกามมันเป็นความตื่นเต้น เพราะว่าเป็นที่สุดเหวี่ยง สบายเพราะรูปก็เหมือนกันคนละแบบแต่ก็บ้าสุดเหวี่ยง บ้าหลงในอรูปก็เหมือนกับเสพติดเหมือนยาเสพติดมันมึนเมาไป ไม่ใช่ความเย็นแท้จริง ไม่ใช่ความสงบแท้จริง ไม่ใช่ความบริสุทธิ์แท้จริง ไม่ใช้อิสระแท้จริง ไม่ใช่หลุดพ้นแท้จริง
ผมอาจจะพูดเรื่องนอกแนว หรือว่าผิดยากที่คนอื่นเขาเคยพูดให้ฟัง เรื่องเหล่านั้นเขาเคยพูดกันแล้วผมก็ไม่ต้องพูด ผมก็เหลือจะพูดแต่เรื่องที่เหลืออยู่ที่ไม่เคยฟัง แต่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตนี้ ชีวิตความเป็นคนความเป็นมนุษย์ ที่มีความลับซ่อนเร้นอยู่อย่างนี้ พูดให้มันสะดุดความรู้สึกว่าบางเวลาเราอยู่ในโลกมนุษย์ บางเวลาเราอยู่ในโลกสวรรค์ บางเวลาเราอยู่ในพรหมโลกที่มีรูป บางเวลาเราอยู่ในพรหมโลกที่ไม่มีรูปเป็นอรูป แต่บางเวลาเราก็อดแว๊บหนึ่งไม่ได้ฟลุ๊คที่อยู่ในความว่าง แต่ไม่จะทันสังเกตมันก็เปลี่ยนไปเสียอีก จึงไม่รู้สึกแล้วก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะเหตุอะไร คล้ายๆ มันบอกมันบังเอิญ ประจวบเหมาะ จิตว่างสักแว๊บหนึ่งถ้ามีมากก็ยิ่งดี มันก็ยิ่งเป็นความหมายไปเป็นพระนิพพานมากขึ้น
ขอให้รู้ไว้ว่าความลับของธรรมชาติมันมีถึงอย่างนี้ มันมีขนาดนี้ หรือจะลองเปรียบอย่างนี้ก็ได้เวลาที่หลับ ถ้าหลับสนิทจริงๆ ไม่มีปรุงแต่งอารมณ์ความคิดนึกแม้แต่ความฝันก็ไม่มี อันนั้นก็เป็นเวลาที่อยู่อีกโลกหนึ่งเหมือนกัน อยู่ในโลกของความว่าง แต่ด้วยเหตุที่มันเป็นไปเอง ไม่ได้บังคับ ไม่ได้เตรียมการณ์ ไม่ได้จัด ไม่ได้ลอง ไม่ค่อยได้เอามานับกัน แล้วเวลาที่หลับสนิทจริงๆ สบายไหม สบายไหม หลับสนิทโดยแท้จริง ต่างกันอย่างไร กับที่มาลุ่มหลงอยู่ในกาม ลุ่มหลงอยู่ในรูป ลุ่มหลงอยู่ในอรูป แต่เขาจะถือว่าความหลับนี่เป็นอวิชชาไปเสียอีก ที่จริงเป็นความว่างหรือความพักผ่อนไม่ให้วัฏฏะสงสารครอบงำเกินไป เวียนว่ายอยู่ด้วยกิเลส กรรม วิบาก กิเลส กรรม วิบาก มันมีเวลาหยุดพักผ่อนบ้างเมื่อเราหลับสนิท หรือว่ามีจิตประจวบเหมาะบังเอิญอย่างใด อย่างหนึ่งไม่ไปเอากับมัน มันเรื่องกาม เรื่องรูป เรื่องอรูป
คนบางคนอาจจะคิดว่าเสียเวลาเปล่าๆ ที่จะมานึกถึงเรื่องอย่างนี้ จะเป็นพวกฝรั่งเสียด้วยที่เขามีความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการของเขา เขาไม่มาคิดเรื่องอย่างนี้กลัวเสียเวลา สู้ความก้าวหน้าไม่ได้ แต่ว่าไอ้ความก้าวหน้าเหล่านั้นดูเถอะมันไปไหน มันก็ไปจมอยู่ในเรื่องกาม เรื่องกาม หรือว่าดีที่สุดก็จมอยู่ในเรื่องรูป รูป ที่ไม่เกี่ยวกามก็แค่นั้น น้อยนักที่จะไปถึงอรูป แต่ถ้าจะหมายความถึงอำนาจวาสนา ที่จะครองโลกเป็นเรื่องอรูปก็ตามใจ ก็พูดได้เหมือนกัน เรามารู้กันเสียว่า จิตนี้แม้ดวงเดียวนี้เปลี่ยนได้กี่รูปแบบ หลายสิบรูปแบบ หลายร้อยรูปแบบ แต่ถ้ามาจัดให้เป็นพวกๆ ก็จะได้เพียงสี่แบบอย่างที่ว่า คือหลงใหลในกาม หลงใหลในรูป หลงใหลในอรูป แล้วก็พอใจในโลกกุตตระหรือว่าง
สัตว์เดรัจฉานอย่าไปพูดถึงมันเลย ถึงแม้ควรจัดไว้อยู่ในพวกหลงใหลอยู่ในกามมันก็น้อยกว่าคนมากนัก หลงใหลในเรื่องเพศเรื่องกาม สัตว์เดรัจฉาน หลงใหลน้อยกว่าคนมากน่ะ มันจะเป็นเพียงแว๊บเดียวๆ ตามกฎของธรรมชาติเมื่อมันสุกงอม ส่วนคนหลงใหลได้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่น ถ้ามันคิดได้มาก มีความฉลาดเฉลียวที่จะคิดได้มาก ไม่ใช้ให้มันถูกต้อง ในเรื่องที่ให้ความทุกข์คือกิเลส ถ้าบังคับไว้ได้ก็มีประโยชน์ในทางโพธิปัญญา ควบคุมไว้ไม่ให้เกิดความทุกข์ ควบคุมไว้ไม่ให้ไปคิดเรื่องกิเลส จิตดวงเดียวๆ รู้ไว้เปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ กี่รูปแบบก็ได้ สรุปแล้วมี ๔ รูปแบบ บ้ากาม บ้ารูป บ้าอรูป แล้วก็ไม่บ้าอะไรอยู่เหนือสิ่งทั้งปวงโลกุตตระ แต่เขาไม่อธิบายกันอย่างนี้ เขาอธิบายกันไว้คนละโลก ไว้คนละชนิด ไว้คนละคราว ไว้คนละยุคสมัย
นี่เรากลับพูดว่าคนๆเดียวถ้ามันฝึกจิตเก่งจริงๆ มันอาจจะเปลี่ยนได้ถึง ๔ ชนิดภายในวันเดียว ถ้ามันเก่งจริงๆภายในชั่วโมงเดียว สิบนาทีนี้มันเกิดหลงใหลในกาม บ้ากาม พอใจในกาม ทำภาวนาถึงกาม อีกสิบนาทีต่อมาทำใจให้หลงใหลในเรื่องรูปอันบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับกาม อีกสิบนาทีต่อมามันทำให้หลงใหลในอรูป อีกสิบนาทีต่อมา มาพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตา ตถาตา ว่างๆ แล้วก็พอใจจะอยู่เหนือสิ่งทั้งหมดนี้ คือเป็นเหนือโลกไป มันต่างกันมากเห็นไหมที่เขาพูดกันอธิบายกันถึง ๔ ชั้นนี่ เขาอธิบายอย่างหนึ่ง แต่ผมอธิบายอย่างนี้
แต่เพราะว่าเราจะถือเอาประโยชน์ได้ บังคับเลือก คัดเลือก คัดจัดสรร ที่เราจะถือเอาได้ตามความประสงค์ของเราในเมื่อเราสามารถฝึกจิตอยู่ในบังคับได้ มีอำนาจเหนือจิต เช่นฝึกอาณาปานสติ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา เราฝึกได้ทั้งหมด ทั้งสี่นี้แล้ว สามารถบังคับจิตได้ตามต้องการ โดยหมวดจิตตานุปัสสนา บังคับจิตให้บันเทิงก็ได้ บังคับจิตให้นิ่งเป็นสมาธิก็ได้ บังคับจิตให้ปล่อย บังคับจิตให้บันเทิงๆ ก็ได้ต่างๆ ในรูปแบบของอารมณ์ที่น่ารัก น่าพอใจ บังคับให้หยุดนิ่งเป็นสมาธิก็ได้ ปล่อยๆ ที่มายึดมั่นถือมั่นอยู่หลุดออกไปเสีย มันก็ได้พบกับความว่าง แน่แล้วเขาไม่ได้สอนให้เราฝึกจิตเพื่อให้เราทำอย่างนี่ แต่ถ้าเราฝึกจิตทำอย่างนี้ได้เราก็เลือก เลือกเกิดได้ เลือกเกิดในภพต่างๆ ได้ บังคับจิตให้พอใจในกามไปเกิดในกามภพ บังคับจิตให้พอใจในรูปไปเกิดในรูปภพ บังคับจิตให้พอใจในอรูปก็ไปเกิดในอรูปภพ บังคับจิตให้หลุดอออกมาจากทั้งหมดนี้ ก็อยู่เหนือโลก ทำได้อย่างนี้ไม่วิเศษ ไม่ใช่วิเศษสูงสุด เดี๋ยวนี้มันจมลงไปในกามโงหัวไม่ขึ้นจนตายเข้าโลง ไอ้เวลาที่พอใจในสิ่งอื่นนอกจากนั้นมันแทบจะไม่มี ให้รู้สึกกันไว้เสียบ้าง ให้มีไว้มันเจริญพัฒนาตามอายุที่มากขึ้นๆ เป็นหนุ่มเป็นสาวพอใจในกามภพ เป็นพ่อบ้านแม่เรือนเต็มทีขั้นมาพอใจในรูปล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับกาม เป็นคนแก่ชราพอใจในอรูป แล้วคอยจดจ้องให้ดีพิจารณาให้ดี ให้ศึกษาให้ดี ให้หลุดพ้นจากทั้งสามอย่างสู่ความว่างที่เรียกว่า พระนิพพาน เกิดมาชาติเดียวเท่านั้นได้ทั้งสี่อย่างดีไหม ไม่อย่างนั้นเกิดมาชาติเดียวก็ได้อย่างเดียวแล้วก็ไม่จบ ได้เรื่องกามก็ยังไม่จบไม่สิ้น ไม่สมความปราถนา ยังอยาก ยังหิว ยังกระหาย ยังอะไรอยู่เหลืออยู่อีกมากทีเดียว ดีว่าเกิดมาชาติเดียวมันก็ไม่ได้ แม้แต่ชั้นเดียว
ขอให้ชีวิตนี้เป็นการศึกษาให้สว่างแจ่มแจ้ง ยิ่งขึ้นๆ หลุดเลื่อนชั้นแห่งจิต วันนี้เราพูดกันเรื่องการเลื่อนชั้นแห่งจิต จงรู้จักวิธีเลื่อนชั้นแห่งจิตให้สูงขึ้นไปๆ เท่าที่จะทำได้ ให้เลื่อนขึ้นไปมากๆ ก็จะดี ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาไม่จมปลักดักดานอยู่ที่จุดไหน ได้เลื่อนชั้นให้สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนถึงกับว่าออกไปได้จากสิ่งผูกพันทั้งหลายที่เรียกว่าโลก บ้ากามก็เลิกบ้ากาม บ้ารูปก็เลิกบ้ารูป บ้าอรูปก็เลิกบ้าอรูป ก็ไปสู่ความว่างที่เหนือโลกทั้งกาม ทั้งรูป ทั้งอรูป เขาเรียกว่าโลกเป็นโลกต่างๆ เหนือโลกก็เป็นโลกุตตระ จะทำได้หรือจะทำไม่ได้ จะเอาหรือไม่เอาก็แล้วแต่ผมไม่ได้หวังอะไร คุณจะเอาหรือไม่เอา จะทำหรือไม่ทำ แต่อยากให้รู้มันมีอยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดจะทำขึ้นมามันจะทำได้สะดวก หรือมันอาจจะค่อยๆ ประคับประคองให้มันเป็นเป็นไปในทางสูงขึ้นๆ ก็ยังดีกว่าที่จะไม่รู้อะไรเสียเลย ไม่ใช่หันเหอยู่กลางทะเล ไม่รู้จะไปในทิศไหน
เอาละเรื่องการเลื่อนชั้นเลื่อนภูมิแห่งจิตวันนี้ก็มีเท่านี้ จิตเป็นสิ่งที่เลื่อนได้ ถ้าเราศึกษาเราเลื่อนมันได้เลื่อนให้มันสูงขึ้นมาๆ จนกว่าจะสูงสุดเป็นพระอริยเจ้า อริยบุคคล ถ้าไม่ถึงนั้นก็ไปเป็นคนกัลยาณชนที่ดี ที่มีชีวิตเยือกเย็นๆ แม้จะยังไม่ถึงนิพพานก็เยือกเย็น เอาไว้พูดกันวันหลัง วันนี้ขอยุติการบรรยายเพราะเวลาหมดแล้วเพียงเท่านี้ เรื่องภูมิเรื่องชั้นแห่งจิตใจ ขอยุติการบรรยาย