แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านจะเห็นได้แล้วว่าจิตเดียว จิตเดียวนั้นมันทำทุกอย่าง รับอารมณ์เข้ามาแล้วก็มีผัสสะ มี contact มีเวทนา มี feeling มีเวทนา แล้วก็มีตัณหา craving อุปาทาน คือ attachment เมื่อมี attachment ก็หนัก หนักสุด ก็เป็นทุกข์ ทีนี้ก็ดูให้ดีว่าโพธิ, โพธิ wisdom จะเกิดอย่างไร เพราะมีความทุกข์แก่จิตนี้ จิตเดียวนี้ มีความทุกข์ จิตเดียวนี้ก็ทนไม่ได้ ก็อยากจะพ้นทุกข์ จึงคิดหาทางที่จะพ้นทุกข์ ถ้ามันได้รับการศึกษาจากภายนอกก็ได้จากภายในก็ได้ ว่า attachment นี่เป็นตัวเหตุให้เกิดทุกข์ มันก็เริ่มมีโพธิเกิดขึ้นมา ก่อนนี้มีแต่กิเลส กิเลส กิเลส แล้วก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ ความทุกข์นี้บีบคั้นให้เกิดความคิดต่อสู้ ดิ้นรน แสวงหา จึงค่อยเกิดโพธิ คือความรู้เกิดขึ้นมาอย่างถูกต้อง แม้แต่รู้ว่านี่เป็นความทุกข์ นี่ก็เป็นโพธิแล้ว เดี๋ยวนี้กลัวแต่ว่าเราจะไม่รู้ว่ามันเป็นความทุกข์ ไม่รู้ว่าความทุกข์คืออะไร มีรู้สึกว่าความทุกข์คืออะไร อยู่ที่ไหน มันก็ไม่ได้คิดดับทุกข์ มันเพียงแต่รู้ว่านี้เป็นความทุกข์ โพธิแล้ว แล้วมาศึกษา ศึกษาจนรู้ว่า มันเกิดมาจากอะไร เหตุของความทุกข์ มันก็เป็นโพธิยิ่งขึ้นไป แล้วมันก็รู้ ทำอย่างตรงกันข้าม ตรงกันข้ามจากเหตุให้เกิดทุกข์ มันก็เป็นดับทุกข์ แล้วหาวิธีจนพบว่าทำอย่างนี้ๆ ก็จะดับทุกข์ ก็เป็นอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ ขึ้นมาก็เป็นโพธิ
แต่ว่าโดยมากไม่อาจจะเกิดความรู้อันนี้ได้ด้วยตนเอง เขาไม่อาจจะเกิดความรู้นี้ได้ด้วยตนเอง เว้นแต่พระพุทธเจ้าหรือบุคคลประเภทพระพุทธเจ้า อาจจะเกิดโพธินี้ขึ้นมาในใจของท่าน ก็เป็นพระพุทธเจ้า คือ รู้เอง แต่พวกเราธรรมดานี้ ต้องอาศัยได้ยิน ได้ฟัง ได้ยิน ได้ฟังจากพระพุทธเจ้าหรือจากสาวกของพระพุทธเจ้าพูดจากันอยู่เรื่อยๆ จนรู้ว่า อ้าว, นี่เป็นความทุกข์นี่ ที่เราคิดว่าเป็นความไม่ทุกข์ สนุกดี attachment ทั้งหลายไม่ใช่ความทุกข์ เรามารู้สึกว่าโอ้, attachment ทั้งหลายเป็นความทุกข์ นี่โพธิก็ตั้งต้นๆ มันก็อยากจะดับทุกข์เป็นโพธิอันแรก มันก็ดูว่าความทุกข์เป็นอย่างไร ดับทุกข์เป็นอย่างไร โพธิก็ค่อยๆ มากขึ้นๆ ทีนี้ก็เหมือนกับว่าปลูกต้นไม้ โพธิ ต้นไม้คือต้นโพธิ์ ให้มันงอกเจริญขึ้นมา เหมือนท่านทั้งหลายได้จะมาศึกษาพุทธศาสนานี้ก็ขอให้เข้าใจว่าจะสร้างโพธิในลักษณะของ originate หรือ develop อะไรก็ตามให้มากขึ้นๆ นี่เรากำลังจะปลูกต้นโพธิ์
ที่พูดว่าเรา มันบ้า มันโง่ พูดว่าเรา เรา มันก็จิต จิตเดียวกันนั่นเอง จิตเดียวกันนั่นเอง มันเข็ดหลาบ มันเป็น repentant เข็ดหลาบ หมุนไปในทางตรงกันข้าม มันก็จิตเดียวนั่นแหล่ะ มันรู้สึกเป็นทุกข์ จิตเดียวนั่นแหล่ะมันอยากจะพ้นทุกข์ จิตเดียวนั่นแหล่ะ มันแสวงหาว่าทำอย่างไรจะดับทุกข์และจิตเดียวกันนั้น มันปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติธรรมะเพื่อจะดับทุกข์ จนกว่าจิตเดียวกันนั่นแหล่ะจะได้รู้ว่า อ้าว, พ้นทุกข์แล้ว ดับทุกข์แล้ว คือจิตเดียวกันนั่นแหล่ะ ตั้งแต่ต้นจนปลาย
ขอให้มองเห็นในข้อนี้ ไม่มีอะไรๆ ไม่มีนอกจากจิตสิ่งเดียวนั่นแหล่ะ แล้วจึงจัดการกับจิตนี้ให้ถูกต้อง ฉะนั้นการดับทุกข์ ก็คือการพัฒนาจิตให้ถูกต้อง ไม่มีเรื่องอื่น นอกจากเรื่องเดียว คือ จิต ขอให้เข้าใจความจริง รู้จักความจริงอย่างยิ่ง ultimatude ในข้อนี้ให้ดีๆ
ภาษาอังกฤษ (นาทีที่ 05:10 – 15:24)
เท่าที่พูดมานี้ ให้ท่านทั้งหลายได้มองเห็นได้เองว่าเรากำลังพูดกันถึงเรื่องความจริงสูงสุดของจิตดวงเดียว ultimate truth of the one mind ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรมากกว่านั้น จิตดวงเดียวแล้วก็มากลายเป็นจิตที่มีกิเลส มีกิเลสมีความทุกข์มากเข้า มันสอนในตัวมันเอง จนเปลี่ยนเป็นจิตที่ค่อยๆ มีโพธิ มันก็หมดปัญหา จิตดวงเดียวนี่แหละ ถูกปรุงแต่งในแวดล้อมโดยอารมณ์นี้มันเป็นกิเลส แล้วความทุกข์เกิดขึ้นก็ทรมาน ทรมานความทุกข์มันก็เปลี่ยนเป็นโพธิค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโพธิ ดังนั้น ผู้ที่เขาพูดความจริง พูดความจริง จริงๆ เขาก็พูดว่า กิเลสกับโพธิเป็นสิ่งเดียวกัน แต่เราจะเห็นว่าตรงกันข้าม ถ้าเราพูดอย่างไม่มีตัวตน ไม่มีเอาประโยชน์ทางวัตถุมาเป็นหลักแล้ว ก็เราจะพูดได้ว่า กิเลสกับโพธิเป็นสิ่งเดียวกัน กิเลสก็เป็น newly produce, new product โพธิก็เป็น newly product mind the mild กิเลสกับโพธิเป็นสิ่งเดียวกัน แต่เราไม่อยากจะพูด เด็กๆจะเข้าใจผิด จะหาว่าบ้าเลย แต่ถ้าท่านมองเห็นความจริงด้วยตนเองนี้แล้ว ท่านจะเห็นว่าจิตดวงเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นกิเลสหรือเป็นโพธิ จึงมองเห็นว่ามันเป็น connect the thing ด้วยกัน กิเลสกับโพธิก็เลยกลายเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ถ้าใครพูดอย่างนี้ก็จะถูกด่า ถูกด่า อาตมาพูดอย่างนี้ก็ไม่พ้นที่จะถูกด่า แต่ว่าความจริงมันเป็นอย่างนี้ เราจึงเห็นได้ว่า ทั้งหมดเป็นสัจธรรมของจิตดวงเดียว
ภาษาอังกฤษ (นาทีที่ 17:52 – 21:50)
ท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจได้ด้วยตนเองว่า the one mind กับ the same mind มันคงไม่เหมือนกันแท้ มันมีอะไรแตกต่างกันอยู่บ้าง ที่จริงที่เราพูดนี้หมายถึง the same mind มากกว่า the one mind แต่ว่า the same mind มันก็คือ the one mind นั่นเอง กิเลสมันก็เป็น product เป็นผลิตผลของ the mind โพธิก็เป็นผลิตผลของ the same mind กิเลสก็เป็น ตถาตา โพธิก็เป็น ตถาตา กิเลสก็เป็น connect the thing โพธิก็เป็น consciousness เป็นสิ่งที่มีการปรุงแต่ง ปรุงแต่งเหมือนกัน เป็น connecting ด้วยกันทั้งนั้น เราจึงกล้าพูดกว่าเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ระวังให้ดี พูดอย่างนี้คนทั่วไปจะไม่เชื่อ แล้วก็จะหาว่าพูดผิด นี่ก็เพื่อไม่ attachment แม้ในกิเลส ไม่ attachment แม้ในโพธิ มันจึงจะ void mind, non attach mind เราต้องการจะตรงไปยัง non attach mind เป็นสิ่งสำคัญเป็นจุดสำคัญ เราไม่พูดคำว่า detach มันผิด detach คือ attach ชนิดหนึ่ง แต่เราจะใช้คำว่า non attach mind on the whole
ภาษาอังกฤษ (นาทีที่ 23:23 – 27:00)
ทีนี้เราก็จะดูกันอย่างทีเดียวทั้งหมด word will ทีเดียวทั้งหมด เราก็จะมีคำพูดว่า จากว่างมาสู่วุ่น จากวุ่นก็ไปสู่ว่าง จบ เรื่องจบแล้ว จากว่างมาสู่วุ่น คือไม่ว่าง แล้วก็จากไม่ว่างไปสู่ว่าง เรื่องมันก็จบ เรื่องมีเท่านี้เลย น่าหัว
เราจะมองดูกันว่า สัตว์ที่อยู่ในครรภ์ embryo หรือ fetus อะไรก็ตาม จิตมันไม่มี attachment เพราะมัน มันคิดไม่ได้ มันคิดไม่ได้ มันก็มี attach ไม่ได้ มันก็เป็นจิตว่าง ว่างจิต fetus แม้แต่เด็กเกิดมาเดี๋ยวนี้ มันก็ยังว่าง มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของมัน ปล่อยอารมณ์เข้ามา จิตนี้กลายเป็นจิตวุ่น คือไม่ว่าง ไม่ว่างอย่างยิ่ง ไม่ว่างอย่างยิ่ง จนเกิดมีตัวตนของตน I and me and mind ไม่ว่างอย่างยิ่ง แล้วก็ลำบากด้วยความทุกข์อย่างยิ่ง แล้วมันก็เกิดความรู้ว่า นี้เป็นทุกข์ มันก็ศึกษา มันก็ปฏิบัติ จนไม่วุ่น จนไม่ให้วุ่น ไม่วุ่นแล้วมันก็กลับไปสู่ว่าง แต่ว่าไอ้ว่างทีแรกกับว่างทีหลังนี้ต่างกัน ต่างกันมาก ว่างทีแรกนั้น มันยังวุ่นได้ คือมันยังไม่มีวิชชา ไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ ไม่มีโพธิ มันจึงว่างชนิดที่วุ่นได้
ทีนี้เรามาศึกษาปฏิบัติธรรมะ วิปัสสนา อย่างที่กำลังศึกษานี้ จะจัดการเสียใหม่กับจิต ทำให้จิตมีความว่าง ultimate เด็ดขาด กลับวุ่นอีกไม่ได้ ว่างทีแรกนั่น มันอยู่ในสภาพที่มันเปลี่ยนเป็นวุ่นได้ แล้วมันก็ได้วุ่นๆ วุ่น แล้วก็ได้รับการศึกษาในชีวิตเองจนเปรียบจนทำให้ว่าง ว่างทีนี้มันเป็นว่างอย่างพระอรหันต์ ว่างทีแรกมันว่างอย่าง embryo หรือ fetus เด็กในครรภ์ ว่างอย่างนั้นมันยังไม่แข็งแรง ยังไม่ทนทาน มันเปลี่ยนได้ จิตนี้ถูกอบรม อบรม อบรม ชนิดให้มันว่างเด็ดขาดไม่อาจจะวุ่นได้อีกต่อไป นี่เป็นความว่างที่แท้จริง แต่มันก็มีความหมายอย่างเดียวกัน ว่างคือไม่มี attachment ไม่มีความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน ว่าของตน ว่างอย่างเด็กทารกในครรภ์มันว่างอย่างหนึ่ง ว่างอย่างจิตพระอรหันต์มันว่างอย่างหนึ่ง จึงพูดได้สั้นๆ ว่า จากว่างมาสู่วุ่น จากวุ่นก็ไปสู่ว่าง ก็คือ จากว่างสู่ว่าง
พวกเซนเขามักจะพูด ซึ่งที่จริงก็ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก แต่มันก็ถูกต้องเหมือนกัน เขาว่าเราจะค้นหาหน้าตาดั้งเดิม … face (นาทีที่ 32: ) หน้าตาดั้งเดิมของเรา คือ มันยังเป็นทารกอยู่ในครรภ์ หน้าตาดั้งเดิมของเรา เดี๋ยวนี้เราเป็นหน้าตาใหม่ มีกิเลส มีกิเลส แล้วเราก็จะค้นให้พบหน้าตาดั้งเดิมของเรา คือหน้าตาที่ไม่มีกิเลส ก็คือว่าง แต่มันก็ต่างกันมาก ว่างทีหลังนี้ มันกลับวุ่นไม่ได้อีก ไอ้ว่างทีแรกมันยังวุ่นได้ ขอให้เรามีภาวนา ภาวนา มีสมาธิ มีปัญญา มีสมถะ มีวิปัสสนา เรียกว่า develop the mind, training the mind จนจิตนี้ว่างชนิดที่วุ่นไม่ได้อีกต่อไป นี่คือผลของวิปัสสนาอันแท้จริง ขอให้จำเป็นคำสั้นๆ ว่า จากว่างสู่ว่าง จากว่างไปสู่วุ่น จากวุ่นไปสู่ว่าง เกิดมาจากว่างแล้วกลับไปสู่ว่าง แต่ว่างเด็ดขาดไม่วุ่นอีกต่อไป
ภาษาอังกฤษ (นาทีที่ 32:10 – 39:05)
ทีนี้ก็มีความจริงที่ลึก ลึกลงไปกว่านั้นอีก ฟังให้ดีๆ ที่ว่าทั้งว่างและไม่ว่าง ก็คือว่างนั่นเอง void the busy, busyness ก็คือ void แล้วมันจะ void หมด นี่ฟังให้ดีๆ มันจะ confuse จิตตะเองก็ void, void of self จิต the mind ก็ void ทีนี้กิเลสทั้งจิตก็ not self, void of self โพธิ ก็ void of self, not self ไม่มีอัตตา แล้วก็มา void นิพพานสูงสุด void not self, no self, not self, all the time, not self, no self all thing void ทุกๆอย่าง คือ void of self, void อันสุดท้าย void สูงสุด void ที่มีความหมายลึกสูงสุด void of sense, ถ้ายังเป็น reality truth, ultimate truth ก็คือ void ทั้งหมด ทั้งหมดมันไม่มีอัตตา ไม่มี self ไม่ควรจะเรียกว่า self ไม่ควรจะเรียกว่า so
ถ้าเห็นความจริงข้อนี้ คือ ความเห็นจริงสูงสุดเห็น success ป็นตถาคต ตถาคตะ ถึงซึ่ง self success เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ คือเห็น void เห็น suf ness on thing เป็นพระอรหันต์ คือเห็นทุกอย่าง void ดี ชั่ว บุญ บาป สุข ทุกข์ ปรุงแต่ง ไม่ปรุงแต่ง กิเลส โพธิ นิพพานอะไร all void จนกระทั่งพูดว่า พุทธะ ธรรมะ สังฆะ ก็ void นี่ต้องเข้าใจดีดี ถ้าเข้าใจไม่ดีจะผิดแล้วจะให้โทษ มันเป็นความจริงที่ลึกมากเกินไปว่า ทุกอย่าง ว่างจากตัวตน นับตั้งแต่ พุทธะ ธรรมะ สังฆะ ลงมาถึง ศีล สมาธิ ปัญญา วิปัสสนา ผลของวิปัสสนา มรรคผลนิพพาน อะไรก็ล้วนแต่มิใช่ตัวตน ว่างจากตัวตน เป็นความจริงที่ลึกซึ้งมาก เข้าใจผิดแล้วอันตรายที่สุด กลายเป็นความเข้าใจผิดและอันตรายก็ได้ ฉะนั้นก็ระวังให้ดีๆ ศึกษาเรื่อง void นี้ให้ดีๆ ให้ถูกต้อง void of self หรือว่า void of อะไรกันแน่ แต่ถ้าพูดอย่างลึกก็ void ทั้งหมด ไม่มีอะไรไม่ void ถ้าพูดอย่างธรรมดาชาวบ้านก็ void และไม่ void นี้กลับมา void ก็ void ไม่ void นี้ขอให้เข้าใจเป็นหลักที่สับสนไม่ได้
ภาษาอังกฤษ (นาทีที่ 42:10 – 49:56)
สรุปความว่า ทุกๆ สิ่งหรือทั้งหมดมัน void คือว่างจากอัตตา สิ่งทุกสิ่งเราแบ่งได้เป็นว่า สังขาร หรือ วิสังขาร คือสิ่งปรุงแต่งหรือสิ่งไม่ปรุงแต่ง ไม่มีการปรุงแต่ง condition thing, discondition thing ทั้งสองนี้ก็คือ void จะเป็นฝ่าย material หรือ immaterial มันก็ void คือไม่มีอะไรที่ไม่ void, void จากอัตตา แม้ตัวธรรมะเอง สัจจะเอง the truth เอง the law of truth หรืออะไรมันก็ void เพื่อไม่ attach สิ่งใดว่าเป็น self, void of self ในทางฝ่ายวัตถุ ฝ่าย material thing ถ้าท่านลืมตาเห็นสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่งในตัวท่าน นอกตัวท่าน material thing สิ่งเหล่านี้มันก็ void นี่ถ้าเป็นเรื่องฝ่ายจิต ซึ่งไม่ใช่ material เป็น importable ก็ตรงกันข้ามกับ material มันก็ void ตัวจิตเองก็ void การกระทำของจิต ผลของการกระทำของจิต มันก็ void เราจึงมี void ตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ ………… จนนิพพานะมันก็ void มันจึงเป็น teaching of void
ขอให้เข้าใจเป็นการล่วงหน้าว่าอย่างนี้ ว่าเราเรียนรู้ความจริงเรื่อง void ถึงจิตมันโง่ มันก็ไม่ void ถ้าจิตมันฉลาด มันก็ void แล้วมันขึ้นอยู่กับสิ่งๆ เดียวคือ จิต the same mind จิตเดียวกันนั่นแหล่ะ มันจะเห็นเป็นไม่ void มันจะเห็นเป็น void แล้วมันจะมีทุกข์ มันจะไม่มีทุกข์ มันก็เป็น the same mind จิตเดียวกันนั่นแหล่ะ เพราะฉะนั้นวันนี้ เราพูดกันถึงเรื่องนี้ แต่จิตสิ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นตัวเรื่อง เป็นใจความของเรื่อง หรือเป็นคำแวดล้อมประกอบของเรื่อง ศึกษาเรื่องจิตให้ถูกต้อง
เราไม่อาจจะเรียกว่า psychology พุทธศาสนา เพราะ psychology มันมีความหมายไม่ดีเสียแล้ว มันเป็นการแสวงหาประโยชน์ทางวัตถุซะแล้ว psychology อย่างดีก็จะเรียกว่า psychology อย่างนี้ก็พอจะไปได้ แต่เราก็หมายถึง จิตสิ่งเดียวที่เราต้องรู้ ต้องเข้าใจ เราคือใคร ก็คือจิตเอง นี่บ้าที่สุด เห็นไหม แต่ไม่บ้าที่สุดในการที่จะพูดว่าตัวเองพึ่งตัวเอง จิตเดียวกันนั่นแหล่ะก่อปัญหาขึ้นมา แล้วจิตเดียวกันนั่นแหล่ะ จะต้องแก้ปัญหาให้ได้ นี่ความหมายของพุทธศาสนาว่า ตนเองพึ่งตนเอง คือ จิตเองพึ่งจิตเอง เพราะว่าตนมันไม่มี เพราะมันเอาจิตเป็นตน จิตมันโง่ เอาตัวเองเป็นตน ฉะนั้นเราจึงต้องพูดว่า จิตนั่นแหล่ะ ช่วยจิตเอง ถ้าพูดอย่าง common word ชาวบ้านพูดว่า ตนนี่แหล่ะช่วยตนเอง พึ่งตนเอง แล้วก็จิตนั่นแหล่ะ ช่วยจิตเอง จิตนั่นแหล่ะ ทุกจิตนั่นแหล่ะต้องการจะดับทุกข์ จิตนั่นแหล่ะดับทุกข์ จิตนั่นแหล่ะได้รับผลเสวยผลของการดับทุกข์ สรุปความว่า มีแต่จิตสิ่งเดียวและจิตเดียวกันนั่นแหล่ะเป็นทั้งหมดของเรื่องทั้งหลายทั้งปวง
ภาษาอังกฤษ (นาทีที่ 54:10 – 59:00)
ทีนี้ก็จะเพื่อประกันได้ ความฟั่นเฟือปนกันยุ่งเราก็มาแยกดูว่ามันมีความหมายอย่างไรบ้าง ถ้าเรายังจะพูดว่า ตัวตน ตัวฉัน หรือ เรา อยู่ เราก็จะต้องแยกออกไปว่า เป็นตัวตนตามความรู้สึกของเราคือกิเลส ตัวตนตามความรู้สึกของเราที่ยังโง่อยู่ มันก็มีตัวตนชนิดหนึ่ง ตามที่เรามีกันอยู่ว่าตัวตนของเรา เช่นเด็กมัน เตะเก้าอี้ แล้วคราวนี้ตัวตนตามที่เป็นจริง คืออะไร คือมันไม่มีตัวตน มันจะ product ของจิตโง่ producer ตัวตนขึ้นมานี้ ตัวตนตามที่เป็นจริง มันไม่มี มันเป็นเพียงจิตผลของจิตโง่
ทีนี้ตัวตนที่สาม เราจะมีตัวตนชนิดไหน จึงจะดับทุกข์ของเราได้ เรามีตัวตนที่ถูกต้อง ความเข้าใจในตัวตนที่ถูกต้อง เป็นตัวตนที่ใช้ดับทุกข์ได้แก่ตนเองเป็น ๓ อย่าง ตัวตนตามที่เรารู้สึกอยู่ด้วยจิตโง่ แล้วตัวตนตามที่มันเป็นจริงๆ ของ ultimate truth คือมันไม่ใช่มีตัวตน แต่มันคิดว่า มีตัวตน แล้วมันก็ตัวตนชนิดไหน เข้าใจถูกต้องแล้ว มันจะดับทุกข์ได้ จะช่วยตนเองได้ discriminate ให้มันเป็น ๓ อย่าง แล้วเลือกเอาที่มันจะดับทุกข์ได้ ตัวตน ๓ ตน
ภาษาอังกฤษ (นาทีที่ 1:01:00 – 1:03:57)
ความรู้ทั้งหมดนี้ เราอาจจะเรียกว่า psychology ก็ได้เหมือนกัน เพราะว่าเป็นการรู้จักใช้จิตให้เป็นประโยชน์ วิชาความรู้ที่จะใช้จิตให้เป็นประโยชน์ ทำจิตให้เป็นประโยชน์ เราก็เรียกว่า psychology ได้ แต่คำว่า psychology นี่มันมีความหมายผิดซะแล้ว มันเป็นการหาประโยชน์ทางวัตถุ ฉะนั้นขอให้เราเติมคำว่า Buddhist psychology หรือ spiritual psychology จะปลอดภัยขึ้น นั้นขอให้ใช้คำว่า Buddhist psychology สำหรับเรื่องจิตอย่างที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
ภาษาอังกฤษ (นาทีที่ 1:04:40 – 1:06:01)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าใครรู้ว่าจิตทีแรก void แล้วก็ไม่ void เพราะกิเลสแล้วก็ทำให้ void ได้เพราะขจัดกิเลสออกไป ถ้าใครมีความรู้อย่างนี้ คนนั้นสามารถที่จะปฏิบัติจิตภาวนา สามารถจะ develop the mind ถ้าเขาไม่รู้อย่างนี้ คนนั้นไม่สามารถ impossible ที่เขาจะเป็นบุคคล develop the mind ต้องรู้ความจริงเรื่องนี้ แล้วจึงจะเป็นผู้สามารถ develop the mind ที่เรากำลังจะทำอยู่ ทำสมาธิ ทำวิปัสสนา แต่ขอให้รู้ความจริงเรื่องนี้ แล้วจึงจะเป็นผู้สามารถปฏิบัติจิตภาวนา
ภาษาอังกฤษ (นาทีที่ 1:07:00 – 1:10:46)
ใครเป็นผู้ทุกข์หรือมีปัญหามากมายเกี่ยวกับความทุกข์ ใครเป็นผู้ทุกข์หรือมีปัญหามากมายเกี่ยวกับความทุกข์
ภาษาอังกฤษ
ใครต้องการจะดับทุกข์
ภาษาอังกฤษ
ใครศึกษาพระพุทธศาสนาเพื่อจะดับทุกข์
ภาษาอังกฤษ
ใครกำลังปฏิบัติธรรมะอยู่
ภาษาอังกฤษ
ใครดับทุกข์ได้
ภาษาอังกฤษ
ใครได้รับรสของความดับทุกข์หรือนิพพาน
ภาษาอังกฤษ
มันคือจิตดวงเดียวกัน ที่สามารถจะเปลี่ยน จะ change จะ other ได้ทุกอย่างที่จิตดวงเดียวกัน
ภาษาอังกฤษ
ความน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ไม่มีความน่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่านี้ คือความน่าอัศจรรย์ของจิตในการที่รู้จักตัวมันเอง และรู้จักปัญหาของตัวมันเองได้ ความน่าอัศจรรย์ที่สุด
ภาษาอังกฤษ
มันน่าอัศจรรย์ ในการที่มันควบคุมตัวมันเอง มันทำการช่วยตัวมันเอง โดยตัวมันเอง ในการที่จะปฏิบัติ นี่ก็น่าอัศจรรย์ที่สุด
ภาษาอังกฤษ
ในการที่เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนจิตเอง จากจิตที่เป็นทุกข์ เป็นจิตที่ไม่มีทุกข์เลย น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
ภาษาอังกฤษ
มันเปลี่ยนชีวิตเก่าที่เป็นทุกข์ให้เป็นชีวิตใหม่ที่ไม่มีความทุกข์เลย
ภาษาอังกฤษ
นี่คือความน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งของสิ่งที่เรียกว่า จิต แล้วก็เป็นจิตดวงเดียวกันตลอดเวลา
ภาษาอังกฤษ
แต่คนพวกอื่น เขาสอนว่ามีหลายจิต มีตั้งร้อยๆ จิต คือว่ามีจิตหลายร้อยดวง หลายร้อยชนิด เราไม่พูดอย่างนั้น เราพูดว่า จิตดวงเดียวกัน ที่เปลี่ยนไปได้อย่างมากมายเช่นนั้น
ภาษาอังกฤษ
นี่คือความลับที่สุด ความจริงที่สุดของสิ่งที่เรียกว่า จิตดวงเดียว
ขอยุติการบรรยาย
ภาษาอังกฤษ