แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายในชุด ธรรมะกับมนุษย์ เป็นครั้งที่ ๖ นี้ จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า ธรรมะช่วยให้การงานไม่เป็นทุกข์ หมายความว่า ถ้ามีธรรมะหรือความรู้เรื่องธรรมะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำงานจะไม่เป็นทุกข์ ข้อนี้เราเล็งไปถึงว่า การศึกษาในโรงเรียนหรือสถานการศึกษานั่น เขาก็สอนกันแต่เรื่องทำการงานอย่างไร ทำหน้าที่นั้นอย่างไร ทำอาชีพนั้นๆ อย่างไร ลึกซึ้งถึงขนาดที่เรียกว่าเป็น เทคโนโลยี แต่ไม่เคยสอนในส่วนที่ว่า ทำอย่างไรการทำงานจึงจะไม่เป็นทุกข์
เมื่อเป็นอย่างนี้ ผู้ที่ทำการงานนั้นๆ ก็ต้องเป็นทุกข์ไป ตามธรรมชาติหรือตามที่ปราศจากความรู้ หรือจะเรียกว่าตามสัญชาตญาณ ขอให้สังเกตดูง่ายๆ การทำนา ทำสวน ทำอะไรก็ตามเถอะ มันเหนื่อย และเป็นทุกข์เพราะเหนื่อย แล้วก็ทำให้ไม่ชวนทำ ก็ต้องฝืนใจทำ เพราะไม่มีอะไรจะกิน การงานอื่นๆก็เหมือนกัน ขึ้นชื่อว่าการงานแล้ว มันไม่ได้ชวนทำ มันชวนเบื่อ เพราะมันเหนื่อยนั่นเอง จะมีอะไรมาแก้ปัญหาข้อนี้คือ ให้ไม่รู้สึกเหนื่อย ให้รู้สึกสนุก กระทั่งถึงว่ามีความสุขในการทำงานไปเสียเลย ลองคิดดูว่ามีทางไหนไหม ที่จะทำให้การงานไม่น่าเบื่อ สนุก มันก็มีแต่ทางเดียว คือทางที่รู้ว่า การงานนั้น คืออะไร
เราเคยพูดกันมาบ้างแล้วในเรื่องนี้ แต่จะสรุปให้มันสั้นๆ ย่อๆ เข้าใจได้ง่าย คือให้รู้ว่าการงานนั้น คือธรรมะ การงานที่เป็นหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ แล้วก็ธรรมะคืออะไร ธรรมะคือการงาน คือหน้าที่ที่มันถูกต้องแก่ความรอด ก็ใช้คำนิยามให้ดีๆ ว่า ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอด เพราะมันมีหน้าที่ที่ไม่ถูกต้องหน้าที่ของโจร หน้าที่ของอันธพาล มันก็เป็นหน้าที่ นี่เราก็ต้องบอกหน้าที่ที่ถูกต้อง แล้วถามว่า ถูกต้องแก่อะไร ก็ถูกต้องแก่ความรอด คำว่า ความรอด เป็นคำพิเศษ คำหนึ่ง เหมือนกัน ในทุกๆ ศาสนา เขานิยมใช้คำนี้ คำว่า รอด รอดนี่ ทุกศาสนามุ่งความรอดให้แก่ผู้ที่เป็นสมาชิก หมายถึง ตั้งแต่รอดตาย รอดจากความเป็นทุกข์ ทรมาน รอดจากปัญหานาๆ ชนิด รอดจากเครื่องผูกพันจิตใจ เครื่องผูกพันจิตใจ ที่ทำให้จิตใจไม่สงบ จิตใจสั่นระรัวไปตลอดเวลา นอนหลับก็ไม่สนิท สะดุ้งอยู่เสมอ ถ้ามันมีสิ่งที่เรียกว่าไม่ถูกต้อง คือกิเลสมันมากแล้วมันก็เป็นอย่างนี้ ชีวิตนี้จะเหมือนถูกผูกพัน ผูกพันด้วยของมารัดรึง ผูกพันหรือด้วยของครอบงำ ปิดไว้ เหมือนกะลาครอบ แล้วก็ทิ่มแทง เหมือนกับมีของแหลม ทิ่มแทงอยู่เรื่อย แล้วก็มาเป็นทุกข์ทรมาน เหล่านี้คือสิ่งที่ต้องหมดไป เรารอดจากสิ่งเหล่านี้ เราไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็เรียกว่า ความรอด หน้าที่ที่ถูกต้องเพื่อความรอดนั้นแหละ คือหน้าที่อันสูงสุด ที่เรียกได้ว่า ธรรมะ ธรรมะ ถ้าใครรู้สึกว่าการทำงานในหน้าที่นั้นเป็นธรรมะอย่างนี้ มันก็พอใจ พอใจ รัก รักที่จะทำ และถ้ามันรู้ไกลออกไปถึงว่า หน้าที่หรือธรรมะนี้ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ ข้อนี้บางคนอาจจะเคยได้ยินมาแล้ว แต่บางคนอาจจะไม่เคยได้ยินก็ได้ ว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ท่านมีปัญหาของท่านเองว่า ต่อไปนี้จะเคารพอะไร ตรัสรู้ถึงที่สุดแล้วต่อไปนี้จะเคารพอะไร ท่านใคร่ครวญในที่สุดแล้วก็ตกลงพระทัยว่า เคารพธรรมะ คือหน้าที่ เคารพหน้าที่ หน้าที่ของพระพุทธเจ้า แล้วก็ประกาศเป็นประกาศิต คล้ายๆ กับแสดงความยืนยันว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต ในอนาคต ในปัจจุบันทุกพระองค์ เคารพธรรมะ คือหน้าที่ ใช้คำสั้นๆว่า สัตธรรมะ คือหน้าที่ของสัตบุรุษ หน้าที่ที่ถูกต้องของสัตบุรุษ หน้าที่ที่ทำให้เกิดความสงบ ระงับที่ทำให้เกิดความรอดพ้น เป็นหน้าที่ แล้วก็เป็นหน้าที่ของทุกคน เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าที่จะประกาศเรื่องนี้ ให้เกิดมี หน้าที่ทั่วไปหมดแก่มนุษย์ หน้าที่จะทำความรอด คือสิ่งสูงสุดที่ทุกคนควรจะเคารพ ถ้าใครมีความรู้อย่างนี้ ว่า หน้าที่การงานที่เราทำ คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าก็เคารพ หน้าที่ หน้าที่ หน้าที่เลยกลายเป็นสิ่งที่สูงสุดไป จนกระทั่งว่าพระพุทธเจ้าก็เคารพ เดี๋ยวนี้คนส่วนมากที่ว่าเคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระพุทธเจ้า แต่มันก็ไม่รู้จักสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ ก็เลยไม่ได้เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ คือไม่ได้เคารพหน้าที่
ดังนั้นจึงมีผู้ปฏิญาณตัวเป็นพุทธบริษัท สาวกพระพุทธเจ้านี้ ไม่ชอบหน้าที่ เกลียดชังหน้าที่ หลบหลีกหน้าที่ ทิ้งทุกอย่างไปเลย ทำหน้าที่ด้วยฝืนใจทำเพราะไม่ทำไม่ได้ เพราะว่าถูกบังคับ หรือเพราะว่าไม่มีอะไรจะกิน มันจึงทำหน้าที่ ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่ธรรมะ หน้าที่ที่ผู้ทำมันโง่ มันไม่ได้ทำด้วยการบูชาในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด หน้าที่อย่างนั้นไม่ใช่ธรรมะ หน้าที่อย่างเดียวกันนั่นแหละ หน้าที่ที่ทำอยู่นั้นแหละ ถ้ามันรู้ว่าเป็นหน้าที่ คือ ธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ คือสิ่งที่ช่วยให้รอด มันก็เคารพ จิตใจมันก็เปลี่ยนทันที มันก็รักหน้าที่ บูชาหน้าที่ ได้ทำหน้าที่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพอใจมากเท่านั้น ถ้าเหงื่อออกมา ก็ยิ่งพอใจ โอ้มันได้ทำหน้าที่ถึงขนาด เหงื่อมันจึงออกมา แต่ถ้ามันเป็นอันธพาล มันไม่ยอมรับเรื่องนี้ มันก็ไม่เห็นวิเศษ น่าเคารพอะไรก็รังเกียจ พอเหงื่อออกมา มันก็โมโหโทโส มันก็โกรธแค้น มันก็ว่าไปหากินด้วยการปล้น การจี้ดีกว่าไม่ต้องออกเหงื่อ ทำไร่ทำนา
หน้าที่ หน้าที่นี่มันมีอยู่ ๒ ชนิดหน้าที่ของคนไม่รู้จักหน้าที่ ไม่บูชาหน้าที่นี่ก็อย่างหนึ่ง แล้วก็หน้าที่ของคนที่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า หน้าที่แล้วบูชาหน้าที่นี้ ก็อีกอย่างหนึ่ง ก็ต่างกัน ตรงกันข้าม ขอให้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ เป็นธรรมะทั้งนั้นเพราะมันถูกต้อง แก่การที่จะรอดจากความทุกข์ ไม่ว่าความทุกข์ชนิดไหน ไม่ว่าปัญหาชนิดไหน
ดังนั้นมันจึงต้องทำหน้าที่ทุกอย่าง หน้าที่ทุกอย่าง คำว่าหน้าที่ทุกอย่างนี้ เราพอจะถือเป็นหลักได้สั้นๆ จำได้ง่ายๆ ว่า หน้าที่หาเลี้ยงชีวิตนี่เป็นข้อที่ ๑ หน้าที่บริหารชีวิต อันหนึ่ง หน้าที่ในการสังคมสมาคม หน้าที่ในการหาเลี้ยงชีวิต มันก็เป็นเรื่องๆ รายๆ เป็นคนๆ ไป ว่าจะเป็นชาวนา เป็นชาวสวน เป็นพ่อค้า เป็นข้าราชการ เป็นกรรมกร เป็นขอทาน อะไรก็ตาม ที่มันประกอบการงานเพื่อหาเลี้ยงชีวิตอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็เรียกว่าหน้าที่เพื่อหาเลี้ยงชีวิต หน้าที่บริหารชีวิตนี้เหมือนกันหมด คือมันจะต้องกินอาหาร กินข้าว อาบน้ำ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ จะต้องทำบริหารร่างกายทุกอย่าง และแม้ที่สุดจะต้องทำความสะอาดบ้านเรือน ล้างถ้วย ล้างจาน กวาดบ้าน ถูพื้น จึงเป็นการบริหารก็เป็นหน้าที่อย่างเห็นว่าไม่ใช่หน้าที่ ไม่บริหารชีวิตก็อยู่ไม่ได้ ไม่หาเลี้ยงชีวิต ชีวิตก็อยู่ไม่ได้ แต่เราแยกเป็น 2 ฝ่ายเพราะมันกว้างแคบสูงต่ำกว่ากัน ทีนี้เหลือหน้าที่อันที่ ๓ คบหาสมาคม อันนี้ก็สำคัญมากอย่าให้ผิด อย่าให้บกพร่อง คบหาสมาคม เพราะเหตุว่าไม่มีใครอยู่ในโลกนี้คนเดียวได้ หรือว่าธรรมชาติมันก็ไม่ได้จัดมาให้สำหรับอยู่ในโลกนี้คนเดียว มันจัดมาในลักษณะต้องอยู่รวมกันมากๆ แม้เดี๋ยวนี้สมมติว่า เขาจะให้เราอยู่คนเดียว เขาให้เราครองโลกคนเดียวทุกอย่าง ให้หมดเลยในโลกนี้อะไรก็ตาม ให้เราอยู่คนเดียว เห็นได้ทันทีว่า มันอยู่ไม่ได้ มันทำไปไม่ได้ แม้ว่าเขาจะยกโลกทั้งโลกให้เราครอบครอง แล้วอยู่คนเดียว ก็เป็นอันว่าเราต้องอยู่กันมากคน เมื่ออยู่กันมากคน ก็ต้องมีสิ่งที่ทำให้อยู่กันได้ สิ่งที่ทำให้อยู่กันได้ก็มีมากมายหลายอย่าง ศึกษาเอาเองในรายละเอียด ที่เล่าเรียน เรียน เรียน กันมา ในนวโกวาทก็ได้ ต้องมีความรักผู้อื่น ต้องมีความสัมพันธ์กันให้ถูกต้อง ให้ทุกอย่างมันเป็นการร่วมมือกัน เหมือนกับว่าเข้าหุ้นบริษัท หรือ เป็นสหกรณ์ อย่างนั้น ร่วมกันทำได้รับประโยชน์ร่วมกันในโลก
ไอ้เรื่องสังคมนี้ เมื่อบวชมาก็เรียนนวโกวาท ก็เรียนเรื่องทิศ ๖ ทั้ง ๖ ทิศ หน้าที่แสดงไว้ชัดดีแล้ว หน้าที่ต่อบิดามารดา อยู่ข้างหน้า หน้าที่ต่อบุตร ภรรยาอยู่ข้างหลัง หน้าที่ต่อมิตรสหายอยู่ข้างซ้าย หน้าที่ต่อ ครูบาอาจารย์อยู่ข้างขวา หน้าที่ต่อผู้บังคับบัญชาผู้อยู่เหนือกว่า ราชา มหากษัตริย์ อะไรก็ตาม ไปอยู่ข้างบน คนใช้ กรรมกร ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอยู่เบื้องล่าง ทิศเบื้องล่าง เป็น ๖ ทิศ ถ้าปิดกั้นไม่ให้โทษใดๆ เกิดขึ้นมาได้ เพราะ ทิศอย่างนี้ก็เรียกว่าถูกต้องเรียกว่า มีการสังคมถูกต้อง
นี่เขาแจกเป็น ๓ หมวดอย่างนี้ หนึ่งหน้าที่ทำมาหาเลี้ยงชีวิต สองหน้าที่บริหารชีวิต สามหน้าที่สังคม บุคคลอื่นนับจากเราออกไปเป็นบุคคลที่ ๒ แล้วก็ต้องเรียกว่า สังคมแล้ว สังคมในครอบครัว สังคมในบ้านเมือง สังคมในโลก พอได้ทำหน้าที่นี้แล้ว ให้รู้สึกว่าปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ คือรู้ว่า หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติคือธรรมะ นั้นมันมีอยู่คือหน้าที่เหล่านี้ สิ่งที่เรียกว่า หน้าที่ หน้าที่นี้ ท่านถือเป็นสิ่งสูงสูด ถ้าว่าโดยอ้างหลักก็จะพูดว่า เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าก็เคารพ มันจึงเป็นสิ่งสูงสุด ทีนี้ไม่ต้องอ้างหลักอะไร เอาตามข้อเท็จจริงที่เห็นๆ กันอยู่ด้วยตนเอง ว่า หน้าที่นี้คือสิ่งที่ช่วยให้รอด สิ่งที่ช่วยให้รอด คนที่เขาไม่รู้เรื่องนี้ หรือเขาถือไสยศาสตร์ เขาว่า ผีสาง เทวดา พระเป็นเจ้าช่วยให้รอด บูชาบวงสรวง อ้อนวอน ผีสาง เทวดา พระเป็นเจ้า จะช่วยให้รอด เขาก็ถือว่าเป็นสิ่งสูงสุด พระเป็นเจ้าช่วยให้รอด แต่เราไม่ถืออย่างนั้น เราถือว่าหน้าที่ที่จะทำนั่นแหละ จะช่วยให้รอด สิ่งสูงสุด คือ หน้าที่ที่ต้องทำ จะช่วยให้รอด เราก็บูชาหน้าที่ในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด ซึ่งพระพุทธเจ้าก็เคารพอย่างที่ว่ามาแล้ว ทีนี้ก็จะเห็นได้ง่ายๆว่า เอ้าลองไม่ทำหน้าที่สิ นั่งบูชา จุดธูป จุดเทียนบูชา อ้อนวอน พระเจ้าไหนจะมาช่วย ล่ะ เมื่อคนนั้นมันไม่ทำหน้าที่ มันก็ไม่มีพระเจ้าไหนจะมาช่วย ให้พระเจ้ามาจริงๆ จะช่วยก็ไม่ช่วย ช่วยไม่ได้ ให้พระเจ้ามาตั้งฝูงก็ช่วยไม่ได้ ถ้าคนมันไม่ทำหน้าที่ พวกที่ถือพระเจ้าเขาก็ออกตัวกันไว้ก่อนเสร็จแล้วว่า พระเจ้าไม่ช่วยคนที่ไม่ทำหน้าที่ เอ้าทีนี้พระเจ้าไม่ต้องมา เราทำหน้าที่ถูกต้อง ถูกต้องแก่ความรอด เราก็รอดโดยที่พระเจ้าไม่ต้องมาช่วย ถ้าเราไม่ทำหน้าที่พระเจ้ามาก็ช่วยไม่ได้ เป็นอย่างนี้ สิ่งสูงสุดที่ต้องเคารพบูชาคือหน้าที่ พระเจ้าหน้าที่ หน้าที่สูงสุดเหมือนกับพระเป็นเจ้าที่จะช่วยให้รอด แล้วก็เรียกสั้นๆ ว่า ธรรมะ ธรรมะ คือหน้าที่ ที่ถูกต้องแก่ความรอดอยู่ที่เนื้อที่ตัว ไม่ต้องไปอยู่ที่ไหน ไม่ต้องไปอยู่บนหิ้ง บนฐานสูง บนยอดอะไรก็ไม่ต้อง อยู่ที่เนื้อที่ตัว หน้าที่อยู่ที่เนื้อที่ตัว มีการปฏิบัติถูกต้องเมื่อไรก็อยู่ที่นั่น เมื่อนั้น ที่เนื้อที่ตัวของผู้ปฏิบัติ นั่นเอง
เราอาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าไม่มีการทำหน้าที่ แล้วไม่มีธรรมะ แม้ในโบสถ์ ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่มีการทำหน้าที่ก็ไม่มีธรรมะ เพราะเหตุว่า โบสถ์บางโบสถ์ไม่ได้ทำหน้าที่ อะไรก็มี โบสถ์ยิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ยิ่งไม่ทำอะไร จะสั่นเซียมซี มีแต่คนไปสั่นเซียมซีทุกวัน ตลอดวัน จุดธูป จุดเทียน บูชา อ้อนวอน บวงสรวง ด้วยของบวงสรวงอย่างนั้น อย่างนี้ จนกระทั่งบูชาพระพุทธรูปด้วยขนม ผลไม้ ข้าวปลาอาหารด้วยก็มี มันไปไกล ถ้าไม่มีการทำหน้าที่แม้ในโบสถ์ที่เต็มไปด้วยพระพุทธรูปก็ไม่มีธรรมะ ที่ที่ไถนาอยู่โครมๆ ในทุ่งนากลับจะมีธรรมะ เพราะมันมีหน้าที่ เพราะมันมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าทำหน้าที่เพื่อความรอด ทำนาอยู่ก็ได้ ทำสวนอยู่ก็ได้ ทำอะไรอยู่ก็ได้
ขอให้ถือเป็นหลักว่า ที่ไหนมีการทำหน้าที่ที่นั่นมีธรรมะ ที่ไหนมีธรรมะที่นั้นต้องมีการทำหน้าที่ถูกต้องอยู่ทางกาย ทางวาจา และทางใจ หน้าที่อย่างนี้คือ ธรรมะ ทีนี้ก็ต้องมีสติ สัมปชัญญะ ปัญญาทำหน้าที่ ก็คือธรรมะอีกเหมือนกัน ถ้าเราถือว่าหน้าที่การงานนั้นเป็นสิ่งสูงสุด ก็ต้องหาอุปกรณ์ มาทำให้ดี เครื่องมือเครื่องใช้ทำให้ดี คุณธรรมอื่นๆ ที่จะทำหน้าที่ก็เตรียมไว้ให้พร้อมมีสติดี มีสัมปชัญญะดี มีปัญญาเพียงพอ มีความอดกลั้นอดทน มีความพากเพียร มันก็ต้องมีธรรมะ ธรรมะที่เป็นอุปกรณ์ ธรรมะเหล่านี้เป็นอุปกรณ์แก่ธรรมะหน้าที่ มันก็ทำได้ดี เพราะมีสติ สัมปชัญญะกระทำ ถ้าไม่มี ไม่ค่อยจะมีสติ สัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญา ก็อบรมสิ อบรมเป็นคราวๆ เป็นส่วนๆ ไปให้มีสติเร็วที่สุดที่จะระลึกถึงความถูกต้อง มีปัญญารอบรู้แล้วก็เลือกเอามาเฉพาะข้อที่จะมาแก้ปัญหา หน้าที่นั้น หน้าที่โน้น เป็นหน้าที่ๆ ไป ปัญญามีมาก มีมากอย่างก็เรียกออกมาให้ถูกต้องกับหน้าที่ เดี๋ยวนี้มันไม่รู้จักเลือก มีก็มีเสียเปล่า มันไม่ช่วยอะไรได้เรียกว่า มีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เรามีความรู้มากเรื่องแล้ว ก็เลือกเรื่องเฉพาะที่จะใช้กับหน้าที่อันนี้ หน้าที่อันนี้ ในเวลาอันรวดเร็วด้วยสติ เร็วเหมือนสายฟ้าแลบ ถ้าเป็นเรื่องทางจิตใจมันก็ต้องเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ ไม่งั้นไม่ทันหรอก ไอ้ที่ระลึกไม่ทัน ก็เพราะไม่มีสติ ยับยั้งไม่ทัน ก็ไปทำผิด ทำชั่ว หรือทำอะไร เป็นเรื่องเลวร้ายเสียแล้ว มันไม่มีสติ ถ้ามีสติ ไปเอาปัญญามาทำให้เป็นสัมปชัญญะ รู้หน้าที่ ต่อสู้อยู่ที่นั่น มีความพากเพียร มีความอดทน มีสมาธิอย่างยิ่ง ระดมกำลังอย่างยิ่ง หน้าที่ทุกหน้าที่จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ขอให้เห็นความจริงข้อนี้ ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอด ทำแล้วรอด ช่วยให้รอด ทุกวันก็ว่าได้ วันละหลายๆ หน มีคนมาขอพร พวกที่มาเกลื่อนวัดนี่ มากมายที่แวะเข้ามาไม่มีอะไร กราบขอพร ผมบอกว่าไอ้พรที่ให้กันนี่มันใช่ของแน่นอน ไม่ใช่ของจริง เป็นของที่ไม่แน่นอน พรที่แท้จริงคือหน้าที่ มีหน้าที่อะไรตั้งใจทำให้ดี ให้ถูกต้องๆๆๆ แล้วก็ พอใจๆๆ แล้วก็เป็นสุขเพราะพอใจ ชื่นใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นแหละคือ พร นั่นแหละคือพร บางคนก็เข้าใจ แสดงว่าพอใจ บางคนก็ไม่ยอมรับ สั่นหัว เขาจะเอาพรฟรีๆ ที่ว่าไม่ต้องทำอะไร แล้วก็มีโชคลาภไหลมา ไหลมา โดยไม่ต้องทำอะไร เป็นเสียอย่างนี้โดยมาก บางคนใช้คำคมคาย ขอลาภลอย ลาภลอย ซึ่งเราก็รู้ว่ามันหวย 3 ตัวนี่ลาภลอย ก็มาขอตัวเลข ไม่กล้าบอกขอตัวเลข ขอลาภลอย อย่างนี้ก็มี แต่ว่ามากที่สุดเลย ขอพร ขอพร เราบอกว่าพรที่ขอๆ ให้ๆขอๆ กันนี้ไม่แน่นอน พรที่แน่นอน คือ พรที่ต้องทำเอาเอง คือ ทำหน้าที่ ให้ถูกต้อง จนรู้สึกพอใจและเป็นสุขในการทำหน้าที่ อย่างนี้จะเป็นสุขจริง แท้จริงอยู่ที่ ตัว ที่เนื้อที่ตัว อันนี้ก็เหมือนกัน ควรจะเข้าใจกันไว้ ความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องลงทุนซื้อหาอะไร คือทำหน้าที่ให้ถูกต้องแล้วก็พอใจ แล้วก็เกิดความสุขแท้จริง แน่นอน ไม่ต้องใช้เงินเพื่อลงทุนให้เกิด ความสุขที่แท้จริง หรือไม่ต้องเพิ่มงานอะไรอีกก็ได้ ไอ้งานที่ทำอยู่นั่นแหละ เท่าที่ทำอยู่ ทำให้ถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจ เป็นสุขที่แท้จริง ยกมือไหว้ตัวเองได้ แต่คนเขาไม่รู้จัก เขาบูชาความเอร็ดอร่อยทางอายตนะ ทางกามารมณ์ ทางอะไรเหล่านั้น แล้วก็เอาเงินไปซื้อหามาแพงๆ จนเงินเดือนหมด ต้องเป็นหนี้เป็นสิน ต้องทุจริต คอร์รัปชั่น ก็เพราะไปซื้อหาสิ่งเหล่านั้น ซึ่งไม่ใช่ความสุขอันแท้จริง แต่ว่าเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ขอร้องให้ทุกคนแยกออกจากกันให้เด็ดขาดว่า ความสุขที่แท้จริง กับความเพลิดเพลินที่หลอกลวงนั้น คนละอย่าง ต่างกันลิบ ตรงกันข้าม ความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินเลย กลับทำให้เงินเหลือเสียอีก เพราะมันทำหน้าที่ ทำหน้าที่แล้วเป็นสุข เมื่อทำหน้าที่เงินที่ผลของหน้าที่ก็เหลือออกมา ถ้ามีความสุขแท้จริงเงินจะเหลือออกมา ถ้าเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง มันก็หมด ยิ่งหมด ยิ่งมาก ยิ่งหมด หมดไม่รู้จักสิ้น จักพอ เงินก็หมดไม่รู้จักพอ แล้วสิ่งได้มาก็เป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง หลอกลวงทางอายตนะที่ว่ามาแล้ว ที่บูชากัน จนถึงเป็นพระเจ้ากามเทพ อะไรเหล่านั้น ยิ่งหลอกลวง สิ่งที่หลอกลวงที่สุด คือพระเจ้ากามเทพ ที่คนโง่บูชากันนัก ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงต้องการเงิน ซื้อหามาแพงมาก จนหมด ๆ จนต้องคอร์รัปชั่น เพราะฉะนั้น เราจึงพบเห็นเรื่องราวที่คอร์รัปชั่น ในหมู่ข้าราชการชั้นผู้น้อย ทำคอร์รัปชั่นกันมาก เพราะเงินไม่พอ เพราะเขาไปบูชากามเทพ คือความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ความสุขแท้จริงทำให้เงินเหลือและสุขจริง ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงทำให้เงินหมดไม่พอใช้และสุขหลอก สุขหลอก ร้อนด้วย เราเคยพูดล้อๆ เล่นๆ ว่าสุก ก สะกด สุกร้อน สุข ข สะกด สุขเย็น ขอให้รู้จักสุขที่แท้จริง ซึ่งไม่ต้องใช้เงินซื้อ กลับทำให้เงินเหลือ ทำหน้าที่เป็นสุข พอใจ หน้าที่กี่หน้าที่ จะมีอยู่กี่สิบหน้าที่ ก็ถูกต้องหมด ถูกต้องหมด แต่ละวัน ละวัน ถูกต้องหมด ทำเพื่อความถูกต้อง เพื่อหน้าที่ที่ถูกต้อง ชนิดที่ยกมือไหว้ตัวเองได้ พอค่ำลง ค่ำลง ก่อนแต่จะนอน ขอเวลาสักหน่อย ระลึกว่าวันนี้ได้ทำอะไรบ้าง ผิด ถูกกี่เรื่อง ใคร่ครวญดูแล้วไม่มีผิดเลย หน้าที่ทุกชนิดถูกต้องหมด ไม่มีผิดเลย ยกมือไหว้ตัวเอง เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ชื่นใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเอง ทำได้ นั่นแหละถึงที่สุดของความสุขที่แท้จริง ถ้านึกถึงแล้วโอ้ย ไหว้ไม่ลง มันทำอะไรก็เพื่อตัวกู ของกู ทำอะไรสักกนิดแต่เพื่อตัวกู ของกู ต่อรองกันด้วยตัวกู ของกู มันก็เลยไหว้ตัวเองไม่ลง ต่างกันมากอย่างนี้ ยกมือไหว้ตัวเองได้มันเป็นสวรรค์ สวรรค์ที่แท้จริงไม่สกปรกเหมือนสวรรค์กามารมณ์ สวรรค์ที่เกิดจากหน้าที่บริสุทธิ์ พอใจตัวเองนี่ เป็นสวรรค์ที่สะอาด สวรรค์กามารมณ์สวรรค์สกปรก ไม่เอามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไหร่เป็นสวรรค์ที่แท้จริงเมื่อนั้น เกลียดน้ำหน้าตัวเองเมื่อไหร่ ก็เป็นนรกที่แท้จริงเมื่อนั้น ไม่ต้องรอตาย ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ และเวลานี้ มันเป็นนรกหรือว่ายังซ่อนอยู่โดยไม่รู้สึกตัว รอเวลาก็ได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้เป็นสวรรค์ เกลียดน้ำหน้าตัวเองเป็นนรก ขอให้ถือหลักอย่างนี้เถิด มันจะมีธรรมะเข้ามาคุ้มครองอย่างแน่นอน จะมีธรรมะเข้ามาคุ้มครองอย่างแน่นอน
เมื่อทำงานเหงื่อไหลไคลย้อย ถ้าเป็นคนรู้จักธรรมะคือหน้าที่มันก็พอใจ เหงื่อนี้พิสูจน์ความไม่เหลวไหล ทำงานสำเร็จ เหงื่อก็เป็นของเย็น อาบรดจิตใจ ให้เย็น ก็เป็นสุข ถ้ามันไม่รู้ว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เหมือนกับอันธพาลทั้งหลายๆ พอเหงื่อออกมามันก็โมโหโทโส เหงื่อก็เป็นของร้อน เป็นน้ำร้อน ขับไล่ไสหัวให้ไปทำทุจริต มันจะคิดมาไถนา ร้อน เหงื่อไหลทำไม แบกหามเหงื่อไหลอยู่ทำไม ไปปล้น ไปจี้ดีกว่า เพราะเหงื่อขับไล่ เหงื่อก็เป็นน้ำร้อน ขับไล่ไปหากินด้วยวิธีทุจริต ถ้ามีธรรมะ เหงื่อก็เป็นของเย็น ยิ่งเย็นยิ่งทำ สำเร็จประโยชน์ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ แม้กลางแดดเปรี้ยงๆ เหงื่อไหลท่วมตัวอยู่ถ้ามีความคิดถูกต้อง ก็ยังมีความเย็นได้ คุณอาจจะไม่เชื่อก็ได้ ไปลองดูก็แล้วกัน ผมเคยทำมาแล้ว มันอยู่ที่มีความรู้หรือ มีกำลังจิตมากน้อยเท่าไหร่ ถ้ามีกำลังจิตมากพอ คิดนึกได้ มันก็รู้สึกได้ มันเย็นอยู่ได้ด้วยกลางแดดอาบเหงื่อนั่นแหละ แต่ก็เห็นว่าคนทั่วไปเขาทำได้ กันอยู่ก็มีที่เขามีจิตใจสูง เข้มแข็งพอ อาบเหงื่ออยู่กลางนา แดดเปรี้ยง แล้วก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทำไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยก่อนๆ ที่เด็กๆ ไม่ได้ถูกอบรมให้หลงใหลในความสำรวย เดี๋ยวนี้การศึกษาหมาหางด้วน ทำให้ยุวชนของเราพอใจความสำรวย ความไม่ต้องออกเหงื่อ มันก็คงทำไม่ได้ เว้นไว้แต่จะมาศึกษากันเสียใหม่ให้รู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ทำหน้าที่ได้เท่าไหร่เป็นธรรมะเท่านั้น ทำได้ความยากลำบากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นธรรมะมากเท่านั้น เขาอาจจะมีความคิดเปลี่ยน เหมือนกับบรรพบุรุษทำงานอยู่กลางแดดก็เป็นสุข มีความเข้าใจถูกต้อง ในเรื่อง ธรรมะคือหน้าที่ มันจะไม่เลือกหน้าที่การงานอะไรนัก มันจะมีงานทำไม่ต้องว่างงาน แล้วก็เมื่อทำหน้าที่ขยันขันแข็ง ไอ้หน้าที่ต่ำๆ หน้าที่ง่ายๆ หน้าที่เลวๆ ที่สมมติกันว่า ต่ำ ว่าเลวนั้น มันก็ค่อยแข็งขึ้น ดีขึ้น ก้าวหน้าขึ้นไป เพราะมันสามารถโดยแท้จริง ถ้ามันหยิบโหย่ง ไม่เอางาน หนักไม่เอา เบาไม่สู้ แม้หน้าที่ จะได้มาแพง มาดี ก็วินาศในที่สุด มันก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ต้องขนาดบูชาหน้าที่ บูชาหน้าที่ ให้ดีที่สุด แม้จะว่าต้องขอทานไปก่อนก็ทำดีที่สุด จนพ้นจากความเป็นขอทาน พ้นจากความเป็นกรรมกร พ้นจากงานหนักมาสู่งานเบา จะได้ทั้งนั้น แต่อย่าลืมเคล็ดลับที่ว่าพอได้ทำหน้าที่ถูกต้องแล้วขอให้พอใจและเป็นสุขเถิด มันจะเป็นสุขไปเสียทั้งหมดทุกๆ อิริยาบถ ทุกๆ หน ทุกๆ แห่ง เพราะเราทำหน้าที่ และหน้าที่บางอย่างมันก็ต้องทำอยู่แล้ว มันบังคับให้ทำอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นว่า ตื่นนอนขึ้นมาเราต้องล้างหน้า ถูฟัน มันก็ทำอยู่แล้ว แต่ถ้าสำนึกว่าเป็นหน้าที่ที่ถูกต้องเพื่ออยู่รอด มันจะพอใจ ในการล้างหน้า ถูฟัน จะทำดีที่สุด พอใจที่สุด เลยเป็นสุข ตลอดเวลาที่ล้างหน้าและถูฟัน แล้วใครเคยทำได้บ้าง ใครเคยทำกันบ้างขอถามตรงๆ อย่างนี้ เพราะมันไม่รู้ว่าหน้าที่ ไม่รู้ว่าหน้าที่ คือธรรมะ บางทีมันก็ทำอย่างเสียไม่ได้ บางทีไม่อยากจะทำด้วยซ้ำไป แล้วมันก็ถูฟัน ล้างหน้ากันเท่านั้นแต่ไม่เคยพอใจและเป็นสุข ตลอดเวลาที่ล้างหน้าและถูฟัน
สมน้ำหน้ามันที่มันไม่รู้จักธรรมะ คือหน้าที่ ถ้ามันรู้จักว่า ธรรมะคือ หน้าที่ มันจะพอใจ และเป็นสุขได้ตลอดเวลาที่ล้างหน้าและถูฟัน จะเอายังไง ทีนี้มันจะไปถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ทุกกระเบียดนิ้ว ทำให้มันถูกต้องเป็นหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ทำให้ดีที่สุด ตามวิธีการที่จะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะให้ดีที่สุด บริหารให้ดีที่สุด ถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจ เลยมีความสุข คือถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ แต่คนโง่ทำไม่ได้หรอกมันไม่รู้ว่า นี่คือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ บางทีมันก็ทำอย่างเสียไม่ได้ ทำอย่างเลวที่สุด ทำอย่างพรวดพราดที่สุด วินัยของพระ ถ่ายอุจจาระเบ่งแรงก็เป็นอาบัติ คุณบวชใหม่อาจจะยังไม่ได้เรียนก็ได้ และถ้าเรียนรอบคอบ ทั่วถึงไปแล้ว ถ่ายอุจจาระเบ่งแรงก็เป็นอาบัติ คือมันไม่ดี ไม่ถูกต้องนั่นเอง ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะด้วยวิธีที่ถูกต้อง สะอาด หมดจด แล้วก็พอใจ ถูกต้องแล้วก็พอใจ รู้ว่าทำถูกต้องแล้วก็พอใจ รู้ว่า เป็นธรรมะที่ถูกต้องแล้วก็พอใจ ก็เป็นสุขตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ แล้วทำไมมันไม่เป็นทำไมมันไม่ได้ มันไม่ได้เพราะความโง่ มันไม่รู้ว่าหน้าที่คือ ธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ มันก็ไม่ได้เสียเวลาอะไรมากขึ้น ก็ทำอย่างเดิม แต่ได้รับความพอใจ เคารพตัวเองว่าทำหน้าที่ดีที่สุด ยังมีผลทางสุขภาพ อนามัยดีที่สุดอีก
จะไปอาบน้ำ เอ้าทีนี้จะไปอาบน้ำ เป็นหน้าที่จะต้องอาบน้ำ ถูกต้องและพอใจ จะไขก๊อกน้ำ หรือตักขันรดเอา หรือทำอย่างไรก็ให้มันถูกต้อง ต้องถูขี้ไคลดีที่สุด ต้องทำดีที่สุดทุกอย่างในการอาบน้ำ พอใจ พอใจ ทุก ทุกกระเบียดนิ้วที่ถูกต้อง ทุกอิริยาบถที่ถูกต้อง จะใช้คำว่ามีสมาธิถูขี้ไคล เลยก็ได้ ทำสมาธิชนิดหนึ่งเลย ในการถูขี้ไคลมันก็เลยมีความสุข มีการพอใจว่าถูกต้องตลอดเวลาที่อาบน้ำ ชื่นใจตัวเอง นี่ก็เป็นว่ามีความพอใจ ถูกต้อง เป็นสุข แท้จริงโดยไม่ต้องใช้เงินอะไร โดยใช้หน้าที่ที่ทำอยู่ แล้วเป็นเดิมพัน หรือเป็นทุน
จะไปกินอาหาร มันก็ต้องกินอาหารอยู่แล้ว ก็ให้ได้รับความถูกต้อง พอใจ ตลอดเวลาที่กินอาหาร จะตักข้าวใส่จาน จะตักข้าวใส่ปาก จะเคี้ยว จะกลืน มีสติ สัมปชัญญะ ทำให้ดีที่สุด ถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจ จิตใจปกติเยือกเย็นในการกินอาหาร อย่าไปทะเลาะกับลิ้น อร่อย ไม่อร่อย อย่ามีปัญหาอย่างนั้น ถ้าอร่อยก็รู้ว่าอร่อย แล้วก็ไม่หลงไปกับมัน อย่าไปหลงกับมันแม้อร่อย จะกินก็ได้ แต่อย่าไปหลงกับมัน ถ้ามันเกิดไม่อร่อยขึ้นมาก็ให้รู้ว่า มันเช่นนั้นเอง บ้าง ไม่ต้องไปด่าแม่ครัว ให้เห็นว่า มันเป็นอันหนึ่งอย่างนี้ มีรสอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้ามันมีรสชาติผิดจากที่เคยกินจะเป็นแกง เป็นกับอะไร ทำไม่ดีไม่อร่อย ก็ไม่ต้องไปทะเลาะกับแม่ครัว ถ้าเป็นผลไม้เกิดไม่หวานขึ้นมา ก็ว่ามันเป็นชนิดนี้ก็แล้วกัน มันเป็นส้มชนิดนี้ มันเป็นอะไรชนิดนี้ รสมันอย่างนี้เอง แตงโมชนิดนี้ รสมันอย่างนี้เอง อย่าไปมัวทะเลาะกับแตงโม มันจืดไป หรือส้มมันเปรี้ยวไป นี่ก็เรียกว่ากินอาหารถูกต้อง พอใจ เยือกเย็น ไม่อร่อยก็พอใจว่ามันเช่นนี้เอง ไม่ต้องหวั่นไหวในจิตใจ อร่อยก็ไม่หลงใหลกับมัน ไม่เป็นทาสของความอร่อย ตลอดเวลาที่กินอาหารมีความปกติสุข ถูกต้อง ถูกต้อง ยิ่งเป็นพระด้วยแล้วมีเรื่องให้ถูกต้องมากมายทีเดียว แล้วก็พอใจ พอใจ ตลอดเวลาที่กินอาหาร ใครทำอย่างนี้ได้บ้าง ลองถามตัวเองดูว่ามันมีขึ้นลง ขึ้นลง ในระหว่างกินอาหาร มีความพอใจ มีความไม่พอใจ มีความโกรธ หัวปั่นอย่างนี้ก็มี มันก็ผิดไปหมด ทั้งโดยสุขภาพอนามัย มันก็ผิดไปหมด ถ้ามันพอใจถูกต้อง กินอาหารด้วยความพอใจ และถูกต้อง มันมีค่าไปหมด จะเป็นอาหารถูก อาหารแพง อาหารสูง อาหารต่ำ มันมีประโยชน์ไปหมด ถูกต้องและพอใจ
ที่นี้จะมาทำอะไรล่ะ จะล้างถ้วย ล้างจาน กวาดบ้าน ถูเรือน ไอ้คำนี้ก็ขอให้สนใจเถอะ มันก็เป็นหน้าที่ต้องทำ เพื่อความสะอาด เพื่อความสะดวก เพื่อความอะไร ส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิต ล้างถ้วย ล้างจาน กวาดบ้าน ถูเรือน ไม่มีใครอยากทำ มันก็ทำอย่างเลวที่สุด ถ้าเราจะมีธรรมะ รู้หน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ แล้วก็ ล้างจานนั่นแหละ ให้ดีที่สุด ล้างถ้วย ล้างจาน เมื่อล้างจานมีสมาธิอยู่ที่จานที่ล้าง ที่น้ำที่ล้าง ที่ของสกปรกที่ค่อยๆ หลุดออกไปจากจาน อย่างที่ทำอยู่นั่นหละ แต่อย่าทำด้วยความไม่อยากทำ โกรธแค้น เหมือนที่ทำอยู่ ขอได้ทำด้วยสมาธิ แล้วก็พอใจ พอใจ จานก็สะอาดออกไป จิตใจก็สะอาดด้วย ล้างจานให้สะอาดก็เหมือนล้างหัวใจให้สะอาดด้วย ปฏิบัติธรรมเมื่อล้างจาน คนล้างจานอย่าโง่ ถึงกับว่าต้องไปปฏิบัติสมาธิที่วัด จงปฏิบัติสมาธิอยู่เมื่อล้างจาน กวาดบ้าน ถูเรือน นั่นแหละ กวาดพื้นสมาธิอยู่ที่ปลายไม้กวาด เคลื่อนไปพาฝุ่นสกปรกไป ไป สมาธิอยู่ที่ตรงนั้น มันก็สำเร็จประโยชน์ดี ทำได้ดี ถูกต้องและพอใจได้ จะถูเรือนก็เหมือนกันแหละ สมาธิอยู่ที่ผ้าเปียกที่มันเช็ดไป ให้เรือนสะอาด ไม่ต้องเพิ่มงาน งานที่ทำอยู่แล้ว แต่ให้มันถูกต้อง เป็นธรรมะ พอใจเป็นสุขที่แท้จริง ชื่นใจตัวเอง
ขอให้พอใจหน้าที่การงานแม้ว่ามันเป็นเรื่องล้างส้วม คุณมีหน้าที่การงาน คุณมีลูกจ้าง มีภารโรงล้างส้วม แต่ขอไปล้างเองดูบ้างเถิด ล้างส้วมที่สกปรกนั่นแหละ จะได้ผลทางจิตใจทางธรรมะเป็นอย่างยิ่ง ขอให้ทดลองดูเถอะ เดี๋ยวนี้มันโง่ ไปถือเกียติยศ ล้างถ้วย ล้างจานไม่ได้ มันก็ล้างส้วมไม่ได้สิ ล้างจานยังล้างไม่ได้ ถ้ามีโอกาสถือเอาทันที ล้างถ้วย ล้างจาน กวาดบ้านถูเรือน ล้างส้วม นี่เรียกว่าบริหารร่างกาย ชีวิต ร่างกายตามปกติ เป็นหน้าที่น้อย น้อยๆ ก็เป็นธรรมะหมด ทำแล้วจะรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจ แต่ก่อนนี้ไม่ได้ทำด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ เพราะไม่อยากจะทำ เพราะมันโง่มาตั้งแต่เด็ก โดยถูกสอนให้เห็นว่าเป็นงานต่ำ เป็นงานต่ำ ของคนที่เป็นไพร่ เป็นทาส เดี๋ยวนี้มารู้เสียใหม่ว่า ไม่มีงานต่ำ ถ้าเป็นหน้าที่แล้วก็เป็นงานสูงทั้งนั้น เป็นธรรมะทั้งนั้น จะเป็นงานที่สมมติว่าต่ำเท่าไหร่ก็เป็นงานสูงทั้งนั้น จะมีอาชีพเป็นขอทาน มีอาชีพเป็นกรรมกร มีอาชีพเป็นชาวสวน ชาวนา อาบเหงื่อต่างน้ำ อะไรก็ตามใจ มันไม่มีต่ำ มันเป็นหน้าที่ เป็นธรรมะทั้งนั้น ถ้ามีสติปัญญา จะมองเห็น ถ้าไม่มีสติ ปัญญาก็มองไม่เห็น มันก็เลือกงาน แล้วมันก็ไม่ทำงาน เอาเปรียบงาน เอาเปรียบเวลาของการงาน ผัดเพี้ยนไม่ทำงาน จนเป็นนิสัยไม่อยากทำงาน ขอให้มีหลักว่า จะทำอะไร หน้าที่อะไรก็ขอให้ทำดีที่สุด แม้ว่าจะนั่งตรงนี้ไม่สบาย จะลุกไปนั่งตรงนั้น ก็ขอให้เป็นหน้าที่ เป็นธรรมะ ที่จะต้องประพฤติ ปฏิบัติให้ดีที่สุด มีความสุขตลอดเวลาที่ลุกจากที่ตรงนี้ไปนั่งที่ตรงนั้น พอใจ พอใจ หรือว่ามันคันขึ้นมาที่ตรงไหน จะเอื้อมมือไปเกา ก็ขอให้ทำให้ดีที่สุด มีสติสัมปชัญญะทำให้ดีที่สุด จะไปเกาให้หายคัน เกาให้หายคัน ถูกต้องและพอใจ อย่าโมโหโทโส เกาเหมือนกับคนบ้า นี่ขอยกตัวอย่างง่ายที่สุด ของนิดเดียว คันจะเอื้อมมือไปเกา ก็มีสติ สัมปชัญญะ ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่เรียกว่าธรรมะด้วยเหมือนกัน จะได้รับความสุขที่แท้จริงที่เกา มิฉะนั้นมันจะโมโหโทโสเหมือนกับคนบ้า เหมือนกับยักษ์กับมารแล้วก็เกาอย่าง เหมือนกับจะทำลายตัวเอง
ทั้งหมดนี้มันสำเร็จด้วยปัญญาที่รู้ว่าหน้าที่ คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ แล้วก็มีสติ สัมปชัญญะให้เพียงพอในการทำหน้าที่ มีกำลังใจคือสมาธิให้เพียงพอในการที่จะทำหน้าที่ มีความอดทนพอ มีความพากเพียรขยันขันแข็งพอ การทำงานเต็มไปด้วยธรรมะ งานคำเดียว มันเต็มไปด้วยธรรมะเกือบครบทั้งหมดในธรรมะในพระไตรปิฎก ไอ้ความถูกต้อง มันเกิดมาจากการกระทำที่ถูกต้อง การกระทำที่ถูกต้อง ก็มาจากความรู้ที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้ว่า ธรรมะคือหน้าที่ เป็นสิ่งสูงสุดที่แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็เคารพ คือหน้าที่และการงาน แล้วทำไมเราจะต้องหลีก ต้องหนี ต้องรังเกียจ ไม่อยากทำ แล้วก็ไปเลือกเอาหน้าที่ของอันธพาล หน้าที่ขโมย หน้าที่หลอกลวง หน้าที่ปลิ้นปล้อน หน้าที่ของอันธพาล แล้วในที่สุดมันก็วินาศ
วันนี้เราพูดกันถึงคำว่า หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ และธรรมะนั้นช่วยให้ทำงานเป็นสุข มันต้องพิสูจน์ได้ว่า เป็นสุขเมื่อกระทำ พอใจเมื่อกระทำ ก็บอกตัวเองได้ว่า ถูกแล้ว ถูกแล้ว พอใจและเป็นสุขเมื่อกระทำ แต่ถ้ามันยังสะอิดสะเอียน ไม่อยากทำ อยากบิดพลิ้ว อยากจะหนี อยากจะเอาเปรียบเวลา ฉ้อฉลเวลา ฉ้อฉลหน้าที่ มันใช้ไม่ได้ มันไม่มีธรรมะเลย ไม่ต้องเอาค่าจ้าง รางวัลเพื่อตัวกู ของกู ไม่ต้องให้ใครขอบใจ ไม่ต้องให้ใครบูชาอะไรให้เรา ทำหน้าที่เพราะว่าเราบูชาหน้าที่ เราจะมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น เราจะมีธรรมะมากขึ้น เราจะติดตามพระพุทธเจ้าไป หรือพระอรหันต์ทั้งหลายไปได้ โดยเร็ว เพราะมันควบคุม ตัวกู ของกูไว้ไม่ให้หือ ขึ้นมา ไม่ให้บิดพลิ้วหน้าที่ ไม่ให้คดโกงหน้าที่ ไม่ให้เอาตัวกูของกูไปใช้ในทางหลอกลวง บิดพลิ้ว คดโกง ให้ถือหน้าที่เป็นสิ่งสูงสุดเหมือนพระเป็นเจ้า ที่จะช่วยได้แท้จริง เพราะทำหน้าที่ถูกต้อง พอใจ ก็กลายเป็นพระเจ้า ช่วยให้มีความสุขที่แท้จริง
ดังนั้น ขอให้ถือว่า ธรรมะคือสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าก็เคารพ เราจงเคารพด้วย จงพอใจเมื่อได้ทำหน้าที่ ๓ประการ หาเลี้ยงชีพก็ดี บริหารชีวิตก็ดี สังคมสมาคมก็ดี มันจะมีกี่สิบหน้าที่ กี่ร้อยหน้าที่ ก็ให้ถูกต้อง แม้ว่าส่วนย่อยของหน้าที่ที่ว่าจะเขียนหนังสือ สักตัวหนึ่ง ก็เขียนให้ดี ให้เป็นที่พอใจ หลายตัวก็พอใจ หลายที ตลอดเวลามีความถูกต้องพอใจ แล้วก็รอดอยู่ได้จากความทุกข์ ไม่ทำหน้าที่ก็คือตาย หรือทนทุกข์ หรือบกพร่องในหน้าที่ก็จะต้องตาย หรือทนอยู่อย่างทนทุกข์ ขออย่าได้มาเกี่ยวข้องกับเราเลย เราจะชนะทุกสิ่งทุกอย่างด้วยการเคารพธรรมะ เคารพหน้าที่ รอด รอดทุกอย่าง รอดทุกทาง ทางชีวิต ร่างกาย เศรษฐกิจ อนามัย สุขภาพ อะไรก็รอดไปหมดทุกอย่าง เพราะว่ามีสิ่งสูงสุด มาช่วยเราคือ พระเจ้าแห่งหน้าที่ นี่พูดกันวันนี้ก็ว่า ธรรมะช่วยให้ทำงานเป็นสุข ไม่ใช่มีความรู้ทำงานเทคนิค เทคโนโลยี ดีแล้วมันจะทำงานเป็นสุข ไม่ใช่มันยังโง่ มันยังหลงตัวกู ของกู ก็ยังเป็นทุกข์เพราะการทำงาน แม้ว่าเฉลียวฉลาด เล่าเรียนมาอย่างไร มันต้องรู้หน้าที่ รู้จักหน้าที่ว่าคือ ธรรมะ แล้วก็พอใจ แล้วก็ไม่โกรธแค้นอะไร ไม่ฟัดเฟียดอะไร แล้วก็เลยเป็นสุข ตลอดเวลาที่ทำงาน
จงมีความรู้เรื่องการงานนั้นด้วย และมีความรู้เรื่องทำการงานไม่ให้เป็นทุกข์ด้วย แล้วก็พอ ที่เรียนมาจากมหาวิทยาลัยมีแต่รู้เรื่องทำงาน เขาไม่สอนว่าเรื่องทำงานอย่างไรไม่เป็นทุกข์ คุณต้องหาเอาเอง ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้ เพราะหมดเวลาเพียงเท่านี้