แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันนี้ จะได้พูดกันโดยหัวข้อว่า ใครคือใคร ซึ่งที่แท้มันก็คือ คำถามว่า ใครคือเราหรือเราคือใครนั่นเอง มันเป็นสิ่งที่ต้องรู้เรื่องนี้อย่างยิ่งด้วยกันทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่จะมาศึกษาพุทธศาสนา ฉะนั้นต้องรู้ว่า ใครเป็นผู้มาศึกษาพุทธศาสนาหรือปฏิบัติธรรมะ ไอ้ใครคนนี้คืออะไร ใครรู้จัก แล้วก็มาศึกษาพุทธศาสนาที่สอนว่า ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน ไม่มี soul ไม่มีเรา งั้นก็จะต้องมีปัญหาว่า ใครล่ะที่มีความทุกข์ แล้วมาศึกษาเรื่องดับทุกข์ ดังนั้น เราจะมาพูดกันถึง หัวข้อว่าใครคือใคร ให้กันให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้ง
ทุกคนมีความรู้สึกของตนว่ามีฉัน มีตัวฉัน มาที่นี่ต้องการจะศึกษา ต้องการจะปฏิบัติ มันก้เลยมีปัญหาเรื่องตัวฉัน ที่จะมาศึกษาเรื่องที่ว่าไม่มีตัวฉัน คิดดูให้ดี ตัวฉันมาที่นี่ เพื่อจะศึกษาเรื่องไม่มีตัวฉัน ฟังดูแล้ว มันคล้ายกับเรื่องบ้าๆบอๆอะไรอย่างนั้น ที่ท่านจะต้องศึกษาไปจนกระทั่งรู้ว่า ไม่มีตัวตนที่เป็นตัวฉัน หรือไม่มีอะไรที่เป็นของฉัน คือเรื่องอนัตตา ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนา ตัวฉัน ตัวฉันน่ะ มันเกิดขึ้นมาจากความคิดนึก ไม่ได้มีตัวตนอะไร มันมีแต่สิ่งๆเดียวคือจิต ขอให้ตั้งหัวข้อสำคัญว่า เราจะศึกษาให้รู้ว่ามันไม่มีอะไร นอกจากสิ่งๆเดียว คือสิ่งที่เรียกว่าจิต
เราพูดได้เลยว่าศาสนาอื่นทุกศาสนา เขามีตร มีตัวตน มีอัตตา หรือมี soul เป็นตัวตน แต่พุทธศาสนานี่แปลก กระเด็นออกไปจากศาสนาอื่นทั้งหมด ไปสอนว่าไม่มีตัวตน ไม่มี self ไม่มี soul ไม่มีอัตตา เนี่ยจะต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็ไม่คือ ก็คือไม่เข้าใจพุทธศาสนานั่นเอง
เรามีแต่เพียงจิต จิตตะ จิตอย่างเดียว และในจิตนั่นแหละ ตัวจิตนั่นแหละ มันทำความโง่ของมันเอง ที่เกิดความคิดว่ามีตัวตน มีตัวฉัน อย่างเดียวกับที่ปรัชญา...(นาทีที่ 9:27)...ฉันคิดได้ ดังนั้นฉันมีอยู่...(นาทีที่ 9:33)....
นี่ก็เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง เพราะจิตมันรู้สึก ว่ามันคิดได้ คิดได้ ต้องการได้ ปรุงแต่งอะไรได้ มันก็คิดว่าตัวฉันต้องมีอยู่ อันทีนี้เราจะมาบอกว่า ไอ้สิ่งที่คิดได้ มันคือจิตนั่นเอง มันคิดได้และมันคิดว่าตัวมันเองเป็นตัวฉัน เราจะต้องเอาความคิดอันนี้ออกไปหมดเลย ออกไปหมดเลย ไม่มีตัวตน มีแต่จิตที่มันคิดได้ แล้วมันก็คิดว่ามีตัวฉัน มันเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ ของสิ่งที่เรียกว่าจิต มีแต่จิตไม่มีตัวฉัน
ทีนี้บางคนอาจจะสงสัยได้ว่า แล้วร่างกาย ร่างกายนี้ ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งออกไปจากจิตหรือจะเป็นตัวเราได้ไหม ขอให้เข้าใจว่า ร่างกายนี้ไม่มีความหมายอะไร มันเป็นเสมือนเปลือก เปลือกหรือว่าเป็นที่ทำงาน เป็นสำนักงาน เป็นที่ทำงานของจิตนั่นแหละ มันขึ้นอยู่กับจิตหรือมันเป็นอุปกรณ์ของจิต ให้จิตแสดงอาการออกมาได้ ทีนี้จิตเองตามที่ท่านทั้งหลายต้องได้เคยศึกษามาแล้ว ก็ยังมีแบ่งเป็น 4 อย่าง จิตน่ะเป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ นี่ไม่ใช่มี 4 จิต ไม่ใช่มี 4 จิต จิตเดียวนี่แหละมันทำหน้าที่ได้ เมื่อรู้อารมณ์ รู้สึก มีความรู้สึกต่ออารมณ์ต่างๆได้ก็เรียกว่าเวทนา เมื่อมันสำคัญมั่นหมายสิ่งนั้นๆโดยความเป็นอะไรก็เรียกว่าสัญญา และเมื่อมันมีความคิดเกิดขึ้นมาเกี่ยวกับความสำคัญมั่นหมายนั้นก็เรียกว่าสังขาร และมันทำหน้าที่รู้แจ้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจได้ ก็เรียกว่า วิญญาณ 4 นี้เป็นอาการของจิต ไม่ใช่มีจิต 4 จิต แต่ว่าจิตมันแสดงอาการออกมาให้เห็นได้อย่างน้อย 4 อย่าง คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็รวมความว่ามันมีจิตเดียว ทำหน้าที่อะไรก็ได้ เนี่ยรู้ความอันนี้เรื่องแท้ๆ มันก็มีสิ่งเดียวคือสิ่งที่เรียกว่าจิต แล้วมันก็ทำหน้าที่ทุกอย่างได้ กระทั่งความคิดว่า เราเป็นเรา ฉันเป็นฉันขึ้นมาได้โดยธรรมชาติ โดยอัตโนมัติด้วย นี่คือมีแต่จิตอย่างเดียว อยากจะให้ทราบล่วงหน้าไว้ก่อนว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่า จิตตะน่ะ ตามหลักธรรมะก็คือว่า เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง เป็นธาตุตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง เรียกด้วยบาลีว่า วิญญาณธาตุ มันมีคุณสมบัติตรงที่รู้สึกได้ สิ่งที่เรียกว่าวิญญาณธาตุเนี่ย มันเป็นสิ่งที่รู้สึกได้ คือคิดนึกได้หรืออะไรได้เนี่ย แต่ก็มันต้องมีเครื่องมือ เครื่องอุปกรณ์ เครื่องสื่อ มันก็ต้องเลย เลยก็ต้องมีกาย ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางจิตเองเนี่ย จิตก็มีสิ่งเหล่านี้สำหรับติดต่อกับสิ่งที่จะมากระทบจิต สิ่งที่จะมากระทบจิตก็เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็จิตที่เป็นธาตุตามธรรมชาติแท้ๆเนี่ย เป็นกลาง ไม่มีดี มีชั่ว ไม่มีอะไร มันเป็นว่าง blank เป็นจิตที่ว่างอยู่อย่างนั้น แต่มันก็รับไอ้สิ่งที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางจิตเอง นี่มันก็เลยไม่ว่าง มันก็เลยมีการปรุงแต่ง เป็นความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ อย่างนั้น อย่างโน้น ได้ทุกอย่าง ทุกอย่าง แล้วแต่อารมณ์ที่จะเข้ามากระทบจิต ดังนั้นจิตจึงคิดว่าเป็นตัวฉันก็ได้ เป็นของฉันก็ได้ ฉันเป็นทุกข์ก็ได้ ฉันต้องการดับทุกข์ก็ได้ ฉันจะปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ก็ได้ ฉันปฏิบัติก็ได้ ฉันได้รับผลของการปฏิบัติก็ได้ ความรู้สึกนานาชนิดแบบนี้ มันก็เกิดขึ้นแก่จิต จิตมันจึงเป็นได้ทุกอย่าง เนี้ยมันเป็นของแปลกที่จะต้องพูดกันต่อไป
เรื่องนี้อธิบายยาก อธิบายยาก....ขอท่านพยายาม พยายามที่จะเข้าใจ แม้ว่าจะเป็นเรื่องอธิบายยาก งั้นจะขออธิบายด้วยการอุปมา ยกตัวอย่าง..เปรียบด้วยสิ่งที่เป็นวัตถุ แม้จิตไม่ใช่วัตถุ เดี๋ยวนี้ก็จะขออุปมาด้วยสิ่งที่เป็นวัตถุ พยายามทำความเข้าใจคงจะช่วยได้บ้าง เพราะจิตอย่างเดียวเนี่ย มันเปลี่ยนเป็น มีความคิดนึก รู้สึกอะไรได้ ตั้งหลายสิบหลายร้อย คือ ทุกอย่างนั่นเอง เปรียบเหมือนว่าเรามีแก้วก้อนหนึ่ง ใส โปร่งแสง ไม่มีสี ไม่มีสี ทีนี้ถ้าเราฉายแสงสีแดงเข้าไปที่ก้อนนั้น มันก็กลายเป็นก้อนแก้วสีแดง ฉายสีเขียวเข้าไป ก็เป็นก้อนแก้วสีเขียว ฉายสีเหลืองเข้าไปก็เป็นก้อนแก้วสีเหลือง มันมีกี่สีกี่สิบสีกี่ร้อยสีฉายเข้าไปที่แก้วก้อนนั้น แก้วก้อนนั้นก็เปลี่ยนไปได้ ตามจำนวนของลักษณะของสีที่ฉายเข้าไป นี่จิตดวงเดียวแต่มันเปลี่ยนได้อย่างนี้ หรือจะเปรียบอีกทีหนึ่งเหมือนเราสวมแว่นตาสีอะไร เราก็จะเห็นโลกเป็นสีนั้น แว่นตาสีเขียว สีแดง สีขาว สีดำ กี่สิบสีเอามารวมไว้ที่ตา ก็จะเห็นโลกเป็นสีอย่างนั้น
เนี่ยที่จริง สิ่งเดียวมันเกิดความรู้สึกได้มากอย่างนี้ สิ่งที่จะเข้ามากระทบจิตให้เกิดความคิด รู้สึกต่างๆนานา
มีมาก เราเรียกว่าอารมณ์ รับเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางจิต จิตก็เปลี่ยนตัวเอง เป็นมีความคิดบ้าง มีความรู้สึกบ้าง มีความนานาชนิด ที่จติมันจะเปลี่ยนได้ จะรู้สึกได้ ฉะนั้นเราจึงรู้สึกว่า แหม! มันประหลาดที่สุด จนถึงกับใช้คำว่ากายสิทธิ์ กายสิทธิ์หรือศักดิ์สิทธิ์ กายสิทธิ์นี่ไม่รู้จะเป็นบาลีว่ายังไง คือมันได้ทุกอย่าง มันทำได้ทุกอย่าง เนี่ยจากสิ่งที่เรียกว่าจิต เปลี่ยนเป็นมีความรู้สึกได้นับไม่ถ้วน คือได้ทุกอย่าง จิตดวงเดียวเท่านั้น รู้จักลักษณะอันนี้กันก่อน
จิตอย่างที่กล่าวแล้วว่าเป็น blank เสร็จแล้วก็มีสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็เรียกว่าอารมณ์ เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทีนี้จิตก็รับเอาอารมณ์ เพราะฉะนั้นอยากจะให้เข้าใจความหมายของคำว่าอารมณ์ เข้าใจว่า
Sense object คืออารมณ์เนี่ยยังมีความหมายน้อยมาก อา...อา-รำ-พะ-นะ อา-รำ-มะ-นะ แปลว่า..............................
(นาทีที่ 33.47-33.55) หน่วงเอา จับเอา ตะครุบเอา แต่แปลว่า object นี้จะถูกหรือไม่ถูกมันก็จะไม่ได้ความเต็มตามความหมายของคำบาลีว่า อารมณ์ อารมณ์ อา-รำ-มะ-นะ ในบาลี คือสิ่งที่จิตจับเอา หน่วงเอา อา-รำ-มะ-นะ ทีนี้มีทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางจิต เองนะ 6 ช่อง ที่ object หรืออารมณ์จะเข้ามา พอมันเข้ามาจิตก็ตะครุบเอาเข้ามาสู้จิต จิตก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทันที ไม่ blank แล้วทีนี้ มันก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามที่อารมณ์มาอย่างไร อารมณ์จะเข้ามาทำให้รู้สึกอย่างไร เหมือนกับแว่นตาสี หรือว่าแสงสีต่างๆ ก็ลงไปที่ สิ่งที่ไม่มีสี ไม่เป็นสี เนี้ยท่านต้องรู้จักว่าอารมณ์ อารมณ์เนี่ยตัวร้ายกาจที่สุด ที่จะเข้ามาทาง 6 ทางนี้ แล้วจิตก็จะจับเอา แล้วจิตก็จะเปลี่ยนตัวเองทันที เป็นจิตอย่างนั้น เป็นจิตอย่างนี้ เป็นจิตอย่างนู้น แล้วแต่อารมณ์ รู้จักคำว่าอารมณ์อย่างนี้ คือสิ่งที่ปรุงแต่ง
ทีนี้เราก็ตั้งต้นดู มาจากว่า เด็กในท้องมารดาคลอดออกมา เด็กพึ่งคลอดออกมาจากท้องมารดา ถ้าตา หู จมูก ลิ้น กาย อย่างนี้ยังไม่ทำหน้าที่ ไอ้จิตมันก็ blank แต่ทีนี้พอเด็กมันคลอดมาจากท้องมารดา ไอ้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เนี้ย มันเริ่มทำหน้าที่ เช่น หน้าที่อันแรกคือกาย หรือความรู้สึกทางกาย มันได้กินนมของมารดา ความอร่อยของนมก็รู้สึกแก่เด็ก แล้วจะรู้สึกว่าอร่อย แล้วเขาก็เกิดความคิดว่ามีความอร่อย หรือตรงกันข้ามคือไม่อร่อย หรือว่าถ้าได้รับการอุ้มเป็น brother ดี แล้วก็รู้สึกสบาย ถ้าไม่ก็รู้สึกไม่สบาย ทีนี้ตาก็เห็นนู่น เห็นนี่อย่างที่เขาชอบ เอาของสวยๆงามๆมาแขวนให้กับเด็กพึ่งคลอดดู หูก็ได้ยินได้ แล้วระบายทั้งหลาย เด็กทารกทั้งหลายก็เริ่มรับ จมูกก็เหมือนกัน ลิ้นก็เหมือนกัน เริ่มทำหน้าที่ สิ่งเหล่านั้นที่เข้ามาสู่จิตของเด็กนั้น เราเรียกว่าอารมณ์ จิตก็รับเอาอารมณ์เข้ามาสำหรับปรุงแต่ง จิตที่ blank ให้กลายเป็นจิตอย่างนั้น จิตอย่างนี้มากมาย ถึงมากมายนับไม่ถ้วน แล้วที่ร้ายกาจที่สุด มันก็คือไอ้ความรู้สึกว่าฉันขึ้นมาได้ พอรู้สึกอร่อย มันก็ฉันอร่อย สวย มันก็ฉันเห็นของสวย ฉันเป็นผู้เห็นของสวย ฉันได้กลิ่น พอได้กลิ่น ก็คิดว่าฉันได้กลิ่น เนี่ยมันแปลกอยู่ที่ว่า ไอ้ฉันเนี่ยมันเกิดทีหลัง จากการที่ได้รับอารมณ์แล้ว มันก้เลยเกิดความรู้สึกว่าฉัน ฉัน ฉัน เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เข้มข้นมากขึ้น เข้มข้นมากขึ้น จนเกิดเป็นปัญหา มันจึงเกิดความรู้สึกเป็น 2 ฝ่าย คือว่าชอบ กับไม่ชอบ ยินดี ยินร้าย เริ่มมีขึ้นในใจของเด้ก ไม่มีใครสอน จะเกิดความรู้สึกว่าเป็นฉันขึ้นมา จนถึงกับว่ามันเข้มข้น ขนาดถึงว่าจะเป็นฝ่ายตรงกันข้าม เป็นตัวฉันและก็เป็นศัตรูของฉัน อย่างที่เคยยกตัวอย่างว่า อย่างเด็กเนี่ยถ้าเดินไปชนเก้าอี้ เขากลับโกรธเก้าอี้ว่าเก้าอี้เนี้ยเป็นศัตรูของฉัน เด็กๆเขาก็เลยเตะเก้าอี้ ลองคิดดูเถอะ นี่ไม่มีใครสอน อารมณ์ที่เข้าไปสู่จิตใจน่ะปรุงแต่งให้เกิดความหมาย หรือคุณค่า ทีนี้ภาษาบาลี เรียนกว่า คุณ คุน-นะ คุน-นะ แปลว่าคุณ คือค่าและความหมายของสิ่งนั้นๆมันเข้าไปแล้ว มันปรุงแต่งจิต ความรู้สึกไปตามความหมายของคำว่าคุณค่านั้นๆ เด็กมันก็เกิดมาตามลำดับ ตามลำดับ เพราะอารมณ์ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปรุงแต่งจิตได้ทุกอย่าง ที่ร้ายกาจที่สุดก็คือปรุงแต่งว่าฉันและของฉัน นี่แหละตัวปัญหา ที่จะต้องจัดการกันไม่มีที่สิ้นสุดเลย ปัยหาต่างๆเกิดมาจากความรู้สึกว่าตัวฉันของฉัน เข้ามาทาง อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เข้ามาเรียกว่าอารมณ์เข้ามา จิตตะครุบเอา แล้วมาปรุงแต่งจิตเอง ให้เกิดอย่างนั้นอย่างนี้ มันจิตสิ่งเดียวนั่นแหละเป็นได้ร้อยอย่างพันอย่าง
อีทีนี้ก็ดูกันต่อไป เด็กทารกก็โตขึ้น โตขึ้น โตขึ้น ไอ้ความรู้สึกเกี่ยวกับจิตที่เขามาปรุงจิตน่ะ มันก็มากขึ้น มากขึ้น เช่นว่า พอใจก็อยากจะได้ ไม่พอใจก็อยากจะทำลาย ถ้าเป็นกลางๆไม่แน่ว่าจะพอใจหรือไม่พอใจ มันก็สงสัย มันก็วิ่งอยู่รอบๆ นี้เป็นความรู้สึกที่โง่ ที่โง่ พอเราเกิดมาเราก็โง่ ....(นาทีที่ 49:48)..ไม่รู้อยู่ที่ไหน ยังไม่รู้อยู่ที่ไหน แต่เราพอเกิดมา เราก็ได้รับสิ่งที่ทำให้เราพอใจและไม่พอใจ หรือว่ากลางๆ ไม่แน่ว่าพอใจหรือไม่พอใจนี้เรียกว่ากิเลส พอเกิดมาก็เริ่มโง่ ด้วยการมีกิเลส แล้วก็มากขึ้น มากขึ้น ไม่มีใครมาทำให้ มันทำได้ตามธรรมชาติ คืออารมณ์เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ปรุงแต่งจิต และจิตรับเอาแล้วก็ปรุงจิต ก็เกิดความรู้สึกของจิต เป็นความโง่ อวิชชา เป็นความโง่ ที่น่ารัก ที่น่ารัก น่าพอใจ ก็คือความรู้สึกที่จะเอาเข้ามา ดึงเข้ามา to in นี้เรียกว่าโลภะ ราคะ กิเลสหมวดที่หนึ่ง โลภะ ราคะ ก็จะเอาเข้ามา นี่ถ้าว่ามันไม่ถูกใจ มันก็จะผลักออกไป ก็เลยเป็นกิเลสที่หมวดที่สอง คือ โทสะ โกธะ ก็เรียก โทสะก็เรียก ทีนี้ก็มันไม่แน่ มันมีความหมาย มันรู้สึกว่ามีความหมาย มันก็ทำให้ไม่แน่ว่าจะ มันก็เลยวิ่งอยู่รอบๆ จยกว่าแน่ว่าจะทำอย่างไร ดังนั้นกิเลสจึงมีเพียงสาม สามเท่านั้นแหละ โลภะจะเอาเข้ามา โทสะจะตีออกไป โมหะจะวิ่งอยู่รอบๆ ขอให้รู้จักสิ่งทั้งสามนี้ให้ดีๆ นี่แหละตัวปัญหา แล้วก็เป็นอย่างนี้มากขึ้น มากขึ้น สูงสุด แค่เป็นหนุ่มเป็นสาม ยิ่งมีสามอย่างนี้เข้มข้นมาก นี้ทางโลภะเนี่ย พอโตวัย พอเติบโตขึ้นมา ถึงขนาดมีความรู้สึกทางเพศ ก็ยิ่งเป็นเอามาก โลภะก็กลายเป็นราคะไปหมด งั้นเราจงรู้จัก ไอ้สิ่งทั้งสามนี้ให้ดีว่า ไม่ได้มีใครมาสร้างให้ เห็นได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ได้ ว่ามันเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ ทีนี้โลภะ โทสะ โมหะ สามอย่างนี้เท่านั้นน่ะ แต่มันแจก sub division ออกไป มากมายได้จนเป็นร้อยอย่างพันอย่าง ก็เลยเป็นปัญหาเต็มไปหมด นี่รู้ว่าจิตเดียวเท่านั้นน่ะ ทำให้เกิดปัญหาได้ร้อยอย่างพันอย่าง นี้อธิบายว่าจิตเดียว เจริญขึ้น เจริญขึ้น เป็นจิตร้อยอย่างพันอย่าง
ทีนี้ก็มาถึงคำที่สำคัญที่สุด ขอให้ท่านทั้งหลายได้จำไว้ในฐานะเป็นคำที่สำคัญที่สุด คือ คำว่า ยึดมั่นถือมั่น attachment เป็นคำสำคัญที่สุด ที่เป็นตัวปัญหา เพราะ attachment มีในสิ่งใด สิ่งนั้นจะเกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา คือเป็นหนัก หนักขึ้นมา จับฉวยสิ่งใด สิ่งนั้นจะเป็นของหนัก ที่เราจะเข้าใจผิด ก็มีทาง คือว่าท่านจะคิดว่า ถ้ารักแล้วก็ attach ถ้าไม่รักก็เป็น detach ที่จริงไม่ใช่ ทั้งรัก ทั้งไม่รัก ก็เป็น attach ทั้งนั้นแหละ เอากันอย่างนี้ดีกว่า ว่าอย่างแรก โลภะก็คือการเกิด to in โทสะต้องการ push out ทีนี้โมหะ run after without ทั้งสามอย่างนี้เป็น attachment ทั้งนั้นเลย ขอให้รู้ว่ามันเป็น attachment ที่ท่านเรียกว่า detachment นั้นก็คือ attachment ในความหมายที่ถูกต้อง มัน attach สำหรับจะมา detach ฟังดูแล้วมันก็น่าหัว งั้นเข้าใจคำว่า attach ให้ถูกต้อง เมื่อใดมีความอยาก ความโง่ อยากด้วยความต้องการของกิเลส นั่นมันจะเกิด attachment ทั้งนั้น อยากได้ อยากฆ่า อยากอะไรก็ตาม ถ้าเป็นความอยากเรียกความโง่ มันก็มีความรู้สึกที่ว่า ฉันต้องการ อย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น เป็น attachment หมด
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อันความทุกข์ทั้งปวง สรุปลงอยู่ที่ attachment นี่ขอให้เข้าใจว่า attachment ที่ไม่เคยมี มันก็มีขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องของจิต จิตดวงเดียว จิตเดิม จิตดวงเดียวเนี่ย มันเปลี่ยนมาตามลำดับ มาเป็นกิเลส แล้วก็มาเป็นอุปาทาน เป็นตัณหา เป็นอุปาทาน จิตดวงเดียวนั่นแหละ เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยนมาตามอารมณ์ที่เข้ามา แล้วก็ปรุงแต่ง ปรุงแต่ง ปรุงแต่ง นี่ท่านจะเห็นได้แล้วว่า จิตเดียว จิตเดียว จิตเดียวนั้นแหละ มันทำทุกอย่าง รับอารมณ์เข้ามา.................................