แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เราได้พูดกันมาเรื่อยๆ เรื่องธรรมะกับมนุษย์ การพูดเป็นครั้งที่ ๕ นี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า ธรรมะช่วยให้สามารถควบคุมสัญชาตญาณ สิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณนั่นมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่ก็ไม่ค่อยจะมีใครสนใจหรือจะรู้จักหรือจัดการกับมัน มันจึงมีปัญหาให้เกิดขึ้นมาก มีความทุกข์ ก็พอกันกับปัญหาที่เกิดขึ้น ที่เคยเล่าเรียนกันมาบ้างแล้วก็คงจะได้ยินคำๆ นี้แล้วก็จะรู้ว่ามันมีอะไรบ้าง แต่ว่าในโรงเรียนก็ไม่ได้สอน ไม่อธิบายถึงเรื่องการควบคุมมัน หรือถึงกับพัฒนามัน มันจึงเป็นเรื่องลึกลับอยู่ ขอให้เรามาสนใจกันให้ดี คำว่าสัญชาตญาณนี่เป็นภาษาไทย ที่เขาพยายามแปลมาจากคำว่า Instinct มีความหมายว่ามันเกิดได้เองตามธรรมชาติ ความรู้สึกคิดนึก หรือว่าจะเรียกว่าสติปัญญาก็ไม่เชิง แต่มันเหมือนกับมีสติปัญญา มันรู้จักทำอะไรได้โดยเกิดเองตามธรรมชาติ ถ้าปล่อยไปตามของ ตามลำพังของสัญชาตญาณ มันก็จะมีลักษณะพื้นฐานอย่างสัตว์เดรัจฉานทั่วๆ ไป และถ้าควบคุมไว้ให้ได้ ให้มันถูกทางขึ้นมา มันก็ดีมีประโยชน์ มันก็เปลี่ยนเป็นสติปัญญาที่เป็นประโยชน์ หรืออาศัยได้ ซึ่งผมเรียกเอาเองว่า ภาวิตตญาณ (ไม่แน่ใจนาทีที่ 04.00) จะไม่มีในหนังสือเล่าเรียน คำว่า ภาวิตตญาณ (ไม่แน่ใจนาทีที่ 04:06) ผมเอามาใช้ เอามาใช้กับสัญชาตญาณที่พัฒนาดีแล้ว ถ้ามันเป็นสัญชาตญาณที่ไม่ได้พัฒนา มันก็จะไหลไปในทางที่จะเป็นกิเลส มันจะเป็นเรื่องของกิเลส ทำไปตามอำนาจของกิเลส ถ้ามันพัฒนามันก็กลายเป็นเรื่องของโพธิ กิเลสรู้กันดีอยู่แล้วหมายถึงอะไร คือน่าเกลียด หรือ สกปรก ถ้าเป็นโพธิ ทำไมก็ไม่รู้ รู้อย่างโพธิ รู้อย่างสติปัญญา มันไม่มีความน่าเกลียด น่าสกปรก มีความปลอดภัย ทำให้เจริญ ให้รุ่งเรืองไปในทางที่พึงปรารถนา ฉะนั้นเราจงรู้จักสัญชาตญาณให้ครบถ้วน เท่าที่ควรจะรู้ แล้วก็รู้จักพัฒนามันให้เป็นไปในทางโพธิ แล้วก็จะมีชีวิตอยู่ด้วยโพธิ มิฉะนั้นจะมีชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณ
สัญชาตญาณพื้นฐานอันแรกก็คือ ความรู้สึกเกิดขึ้นมาได้เองว่า ตัวตนหรือของตน เมื่อเดือดจัดขึ้นมาก็เรียกได้ว่าเป็นตัวกู หรือเป็นของกู มันเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานที่สำคัญที่สุด คือมันทำให้รู้จักรักษาตน ถนอมตน สร้างความเจริญให้แก่ตน มันเห็นแก่ตนอยู่ในระดับหนึ่ง ระดับพื้นฐานทั่วไป ยังไม่เลวร้ายอะไรนัก เขาเรียกว่าเป็นความจำเป็นที่ต้องรู้สึกเช่นนั้น ฉะนั้นมันจึงได้พยายามต่อสู้เพื่อความรอด มันจึงหาอาหารกิน มันจึงหนีอันตราย กระทั่งว่ามันจะต้องสืบพันธุ์ สืบพันธุ์ นี่สัญชาตญาณแห่งตัวตน มันจึงเป็นแม่บทของสัญชาตญาณใดๆ เมื่อกล่าวตามหลักธรรมะ เป็นเหตุให้ต้องการดี ดี หรือได้ หรือสุข หรือเกียรติยศหรืออะไรก็ตาม ก็มันมีความรู้สึกว่าตัวตนถ้าจะได้ต้องตัวตน ถ้าไม่มีความรู้สึกว่าตัวตน ก็ไม่มีอะไรที่เป็นพื้นฐานให้เกิดความรู้สึกต่อไป แต่เดี๋ยวนี้มันควบคุมไว้ไม่ได้ มันก็กลายเป็นเกินระดับ ระดับกลางๆ มันรุนแรง รุนแรง จนทรมานใจ จนทรมานใจ เพราะความเห็นแก่ตนเพราะเป็นทุกข์อยู่คนเดียว หรือแม้แต่แตะต้องผู้อื่นเข้า มันก็เบียดเบียนผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น ลักล้วงผู้อื่น ฉ้อโกงผู้อื่น ทำอันตรายผู้อื่นนั่น ความเห็นแก่ตัวก็เกิดขึ้น นี่มันเป็นกิเลสแล้ว ทีแรกมันเป็นตัวตนเฉยๆ ไม่ ไม่มีปัญหาอะไรนัก เพียงแต่หาอาหารกิน เดี๋ยวนี้มันเป็นห่วง เป็นหวงมากกว่านั้นมาก เช่นที่เราหวังในการที่เล่าเรียนให้สำเร็จ เอาดี เอาเด่น เอาดัง เอาอะไร จนถึงกับเป็นโรคภัยไข้เจ็บไปก็มี ถ้าได้รับการศึกษาถูกต้อง มันก็ใช้สัญชาตญาณนี้ได้ถูกต้อง คือมีตัวตนไปในทางที่ดี ที่รอด ก็สร้างความรอดให้แก่ตน นั่นจนสูงสุด จนรู้ความจริงอันสูงสุดว่ามันไม่มีตน มันสูงสุดไปเสียแล้ว เดี๋ยวนี้มันมีตัวตนอยู่ ก็ขอให้มันยึดไปในทางที่จะถูกต้องหรือดี ทำไมเขาไปเป็นอันธพาล ก็เห็นแก่ตนด้วยกิเลส ไม่ได้เห็นแก่ตนด้วยโพธิ เขาก็เลยไปเป็นอันธพาล
ตัวตนที่จะสังเกตุได้ง่ายที่สุดของเด็กๆ ได้รับการประคบประหงมมาให้เป็น เด็กนี้มีความรู้สึกมาว่าตัวตนเป็นของตนมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก พอมันมีความรู้สึกอร่อย เด็กรู้สึกอร่อยในทางอาหาร หรือในทางประคบประหงม ในทางบำรุงบำเรอ ไอ้ความอร่อย อร่อยนี้มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้ ให้ความรู้สึกว่าตัวตนนั้นกลายเป็นตัวกูที่เข้มข้น เป็นของของตนขึ้นมา คืออร่อยของตน แล้วก็มีตัวตนรุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้น ถึงขนาดว่าเด็กมันไปโดนเสา หัวโดนเสา มันก็โกรธมันก็ร้อง ไอ้คนเลี้ยงคือพ่อแม่ต้องไปตีเสา เอามือไปช่วยตีเสา ให้มัน ให้รู้สึกว่าเสาได้รับการตีตอบโต้ตอบ เด็กๆก็จะทุเลาความโกรธก็หายร้อง ก็ยิ้มได้ นี้ว่ามันไปโดนเสา โดนเก้าอี้ ด้วยตัวเอง ตนเองตามลำพัง ถ้ามันโตพอสมควร มันก็จะเตะเก้าอี้ ต่อยเก้าอี้ ทำอันตรายเก้าอี้ ก็มันได้ด้วยตนเอง แล้วก็หายโมโห นี่เรียกว่าสัญชาตญาณแห่งตัวตนพื้นฐาน มันไม่อยู่แค่พื้นฐาน มันรุนแรงขึ้นอย่างนี้ รุนแรงขึ้นอย่างนี้ และมันเกิดได้เอง มันเกิดได้เอง เพราะมันเป็นสัญชาตญาณ ดังที่กล่าวแล้ว มันเกิดได้เอง โดยไม่ต้องมีใครมาสอน ความรู้สึกถือตัว ทะนงตัวอะไรก็เกิดขึ้นยิ่งๆ ขึ้นไป ยิ่งๆ ขึ้นไป จนสมบูรณ์ ถ้ามันเป็นไปในทางไม่ถูกต้องมันก็เป็นกิเลส ก็มีปัญหามากมายตามเรื่องของกิเลส
สัญชาตญาณต้องการอาหาร อย่างลิงนี่มันรู้จักขโมย แล้วมันก็ขโมยทั้งๆ ที่รู้ว่าเจ้าของเขาไร่เขาจะเอาตาย มันก็ยังพยายามที่จะขโมยโดยสัญชาตญาณของมัน คนหรือเด็กก็เหมือนกัน มันก็ทำอย่างลิง มันก็มีการขโมย มีการทำไปตามสัญชาตญาณ ก่อนที่จะคิดอย่างอื่นก็คิดจะเอา ก็เป็นเรื่องของกิเลสไป จนกว่าจะมีความรู้ถูกต้องทีหลังว่าไม่ควรขโมยหรือพยายามอย่างอื่นดีกว่า ไปขอดีกว่า ไปซื้อดีกว่า ตอนนี้มันเป็นโพธิ มันเป็นโพธิ ไม่ใช่กิเลสแล้ว หรือว่ามันได้รับการสั่งสอน ลงโทษ เจ็บปวดมาหลายหน มันไม่กล้าขโมย ไอ้แมวที่ฝึกไว้ดีๆ นี้ไม่ขโมย ถึงแม้มันจะวางอยู่อย่างเปิดเผย ไม่มีอะไรปกปิด มันก็ไม่กล้ากิน มันก็ไม่กิน บางทีมันก็นั่งดูจนกว่าเราจะเอาให้มัน อย่างนี้สัญชาตญาณนั้นมันถูกฝึกมาพอสมควรแล้ว ถูกฝึกมาดี ถูกต้อง ไอ้แมวนั่นก็ไม่ขโมย
ทีนี้มันมีสัญชาตญาณอะไรปลีกย่อยออกไปอีกหลายๆ อย่าง เช่นต้องกินอาหาร ต้องกินให้อร่อย ต้องกินให้วิเศษ วิเศษ ถ้าควบคุมไว้ไม่ได้ก็เป็นกิเลสหมด ถ้าควบคุมไว้ได้ก็เป็นโพธิ กิเลสกับโพธิจึงคล้ายกันมากในข้อที่ว่า มันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งออกมาจากสัญชาตญาณ ถ้าเรามามองอย่างผิวเผิน คล้ายกับว่ามันตรงกันข้าม หรือว่ามันเกิดมาจากคนละทิศทาง เดี๋ยวนี้มันก็เกิดมาจากสัญชาตญาณที่ได้รับการอบรมดี มันก็มีโพธิ ไม่ได้รับการอบรมเสียเลย หรืออบรมผิด มันก็เป็นกิเลส นั้นที่เราต้องการความสวยงาม เสื้อผ้าสวยงาม อาหารอร่อยนี้ คุณลองคิดดูว่ามันเป็นเรื่องของอะไร คนป่าที่สุดก็ยิ่งต้องการลูกปัด ต้องการผ้าสี ต้องการอะไร พิเศษมากทีเดียว คนป่าต้องการจะสวยงาม จนเราเห็นว่าเป็นบ้า บ้าบอหรือว่าป่าเถื่อน แต่คนธรรมดาก็อยากลอง เพราะมันต้องการที่สวย ที่แพง ที่แปลก แปลกกว่าคนป่าเสียอีกนั่น ต้องมีผ้าดอกสวยๆ ต้องมีผ้าปักสวยๆ มีอะไรสวยๆ มันไม่แปลกจาคนป่าอะไรมาก ก็สัญชาตญาณยังไม่ถึงขนาด แต่การที่รู้จักทำให้สวยให้อร่อยนี้ก็เป็นความฉลาดอันหนึ่ง แต่ก็ยังเป็นของกิเลสอยู่นั่นแหละ ถ้าให้เป็นโพธิก็เรียกว่าฉลาดทำให้แปลกออกไป ยังเป็นเรื่องความสะสมของกิเลส ถ้ามันโพธิจริงๆ มันไม่ต้องให้ลำบากมาก ก็ไม่ต้องแพงด้วย เช่นว่าผ้าทอขึ้นมาอย่างดี แล้วก็ย้อมด้วยของที่จะทำให้มันทนทาน ไม่ต้องพิมพ์ดอกพิมพ์ดวง ไม่ต้องปัก ไม่ต้องขลิบ ไม่ต้องอะไร มันก็ได้ แต่ทำไมมันยังต้องย้อมสี เขียนดอก ปัก ขลิบอะไรกันไป เพื่อจะได้ยิ่งดี บางทีเพราะพ่อแม่ทั้งนั้น พยายามที่จะเอาเสื้อที่สวยที่สุด มาทำให้เด็กๆ เป็นนิสัยที่ต้องสวยที่สุด ต้องดีกว่าใคร ตั้งแต่ยังเล็กๆ ยังเตาะแตะๆ โตขึ้นมันก็ยิ่งต้องการไกลไปกว่านั้น มันก็ทำให้มีปัญหาสิ ทีนี้ก็ต้องแพงกว่าสิ ก็คิดดูสิ ไอ้ผ้าเฉยๆ กับผ้าที่เขียนดอกเขียนดวง ปักขลิบมันก็ต้องแพงกว่า ฉะนั้นถ้าเราไม่ต้องมีเขียนดอก ไม่ต้องมีดวง ไม่ต้องมีลาย มีอะไร มันก็ถูกกว่า ถูกกว่า ปัญหามันก็น้อยกว่า เดี๋ยวนี้อุตสาหกรรมที่ทำให้ผ้ามันสวยงาม เจริญก้าวหน้า มากมายเท่าไหร่ มันก็เป็นเรื่องของรายจ่ายของคนที่ซื้อมาใช้ทั้งนั้น ในอินเดีย ระเบียบผ้านี้ ถ้าเป็นนักบวชหรือคนไม่ต้องการสวยงาม คนจนไม่ต้องการสวยงามก็ไม่ ไม่ ไม่ต้องมีดอก มีดวงมีปัก มี ผ้าของนายพรานใช้กับผ้าภิกษุใช้และแลกกันได้ เหมือนกันเปลี่ยนกันได้ เพราะว่ามันพวกพรานไม่ต้องการปักเย็บย้อมอะไร เป็นผ้าเฉยๆ แล้วก็ย้อมสิ่งที่ทำให้ทน ที่ทำให้ทนแดดทนฝน เหมือนกับจีวรของเรา จีวรที่ย้อมก็เพื่อทน เพื่อทน เพื่อทนแดดทนฝน ทนทานอายุมันมากก็ไป ประชาชนที่เขาไม่ต้องการสวยงาม เขาก็ยังมีใช้ และที่แน่นอนก็พวกพรานป่าใช้ผ้าอย่างเดียวกัน ภิกษุใช้กันแลกกัน นี่โจร พวกโจร พวกขโมยพวกนี้เป็นอย่างเดียวกัน
มันก็มีปัญหาเพิ่มขึ้นๆ ถ้ามันไหลไปในทางกิเลส ทีเรื่องอาหารก็ดู ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่าง เวลานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับผงชูรสซึ่งมันไม่ต้องใส่ก็ได้ เห็นมาบอกกันว่าอันตรายผงชูรส แต่มันก็ยังขายดี ยังใช้กันอยู่ ก็มันพ่ายแพ้แก่ความอร่อยทางลิ้น มันเป็นความเจริญในทางของกิเลส ไม่อยู่ในทางของโพธิ คือมันเกินจำเป็น ความเจริญที่เกินจำเป็นนั่นคือความวินาศ ไปใคร่ครวญดู ทุกอย่างที่มันเจริญที่เกินความจำเป็นก็กลายเป็นความวินาศกัน ถ้าพอดีหรือสมดุลย์นั่นคือความเจริญที่ถูกต้อง สมดุลย์หมายถึงว่าเหมาะสมถูกต้อง ตามภาวะรอบ แวดล้อมทุกอย่างทุกประการ ทำไมจะต้องมีบ้านที่สวยงาม ที่สุดที่จะหามาได้ บางทีต้องไปกู้ ไปซื้อ ไปกู้ ต้องไปกู้ต้องไปเป็นหนี้สิน ต้องมีเครื่องใช้ไม้สอยที่เกินจำเป็น และก็บอกกันว่าไม่เกินจำเป็นละ เช่นเดี๋ยวนี้จะมีคนพูดว่า ตู้เย็นนี้ โทรทัศน์นี้ ไม่ใช่ของเกินจำเป็น ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย มันเป็นเรื่องของกิเลส
สัญชาตญาณของการที่ให้อร่อย มีความลับอยู่ที่ว่ากระตุ้นมาก กระตุ้นความรู้สึกมาก กระตุ้นความรู้สึกกันน้อยๆ จะเรียกว่าไม่อร่อย ถ้ามันร้าวความรู้สึก กระตุ้นความรู้สึกมาก ก็เรียกว่าอร่อยๆ ผมยังไม่เคยชิมอาหารที่เขาว่าคำละพันบาท อะไรเขาก็ไม่รู้ คำละพันบาท มันจะอร่อยเท่ากับความโง่ของคนกินและก็คนซื้อ ต้องมีความโง่มาก อยากมาก ยึดมั่นถือมั่นมาก อวดบารมี มันจึงจะซื้ออาหารชนิดนั้นกินได้ แต่แล้วลองคิดดูให้ดีว่าอร่อยแสนอร่อยนี่ พอในที่สุดมันก็ต้องเรียกหาน้ำที่จืดสนิท หาน้ำที่จืดสนิทมากิน ถ้าเทียบความอร่อยแล้วไม่รู้ใครอร่อยกว่า เมื่อตอนที่กินน้ำที่จืดสนิทขั้นสุดท้าย มันจะอร่อยกว่าอาหารที่มีรสเลิศมีอะไรต่างๆ ไหม แล้วมันก็ทนอยู่ไม่ได้ ในที่สุด อาหารจะอร่อยเท่าไร หวานเท่าไร แล้วมันก็ต้องมากินน้ำที่จืดสนิทอยู่นั่นแหละ ถ้าคุณรู้เรื่องนี้ไว้บ้าง ความปกติมันคือไม่กระตุ้น ไม่เร่งเร้า ไอ้ความที่มันเร่งเร้าคือผิดปกติ ความโง่หลงในความเร่งเร้า ก็บูชาความอร่อย
ในที่สุดมันก็ติดกับแห่งสัญชาตญาณของการสืบพันธุ์ การสืบพันธุ์นี่มันเป็นสัญชาตญาณรุนแรง มันต้องการอย่างยิ่ง ธรรมชาติมันทำให้ต้องการอย่างยิ่ง ทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งต้นไม้ ต้นไร่ มีสัญชาตญาณในการสืบพันธุ์ที่รุนแรง ต้องสืบพันธุ์ให้ได้ เพื่อไม่ให้สูญพันธุ์นี้ก็เป็นสัญชาตญาณที่มาจากตัวตนเหมือนกัน มันคล้ายๆ กับเป็นพระเจ้าหรือผีสางอะไรก็ไม่รู้ แต่ผมเรียกว่าธรรมชาติ หลอกให้คนทำการสืบพันธุ์ ให้สัตว์ทำการสืบพันธุ์ ต้นไม้ต้นไร่ทำการสืบพันธุ์ ด้วยการใส่รสสูงสุด ปะไว้ข้างหน้า เสมือนหนึ่งค่าจ้าง การสืบพันธุ์นี่ไม่ใช่สนุกนี่ คอยดูสิ จะตั้งครรภ์แล้วจะรักษาครรภ์แล้วจะคลอดออกมามันลำบาก สัตว์มันก็ไม่อยากจะทำ แต่ธรรมชาติมันเหนือกว่า มันหลอกหรือจ้างให้ทำจนได้ คือรสของกามารมณ์ทางเพศระหว่างเพศ ซึ่งเป็นรสสูงสุดกว่าอายตนะใดๆ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กามารมณ์นี่ ที่มันจี้ใจ ดึงจิตใจไปได้หมดสิ้นก็ สูงสุดคือที่รสทางเพศ กามารมณ์ทางเพศ ฉะนั้นรู้จักแยกออกจากกัน จึงจะเป็นโพธิ มิฉะนั้นก็จะเป็นความโง่ของกิเลส ถ้าเอากามารมณ์ไปรวมกับการสืบพันธุ์ รสสูงสุดทางสัมผัส ทางผิวกาย ทางอายตนะ ทางโผฏฐัพพะ นี่มันสูงสุด จนใครๆ ก็ต้องยอมยกว่าสูงสุด คนจึงโง่หรือหลง รับจ้าง รับการถูกหลอกให้สืบพันธุ์ แม้จะรวมเรียกกันว่าการสมรส มันก็ยังต้องแยกออกไปจากกันว่ามันเป็นเรื่องกามารมณ์หรือเป็นเรื่องการสืบพันธุ์ล้วนๆ การทำให้มีเชื้อสองฝ่ายผสมกันนั้น ธรรมชาติมันใส่ความลับที่หลอกลวงที่สุดมาในนั้น คือจะมีรสสูงสุดขณะที่ตัวผู้ฉีดเชื้อตัวผู้ใส่ลงไปในไข่ของตัวเมีย คนก็ตาม สัตว์ก็ตาม ต้นไม้ต้นไร่ก็ตาม เมื่อตัวผู้ฉีดเชื้อตัวผู้เข้าไปผสมกับไข่ของตัวเมีย จะให้รสสูงสุดกว่ารสใดๆ ในทางโผฏฐัพพะ มันจึงมีการทำอย่างนั้น คนก็ดี สุนัขหรือแมวก็ดี หรือแม้แต่ปลานี่ก็ดี มันจะสูงสุดที่การปล่อยเชื้อตัวผู้เข้าไปผสมไข่ของตัวเมีย ถ้าใครเคยผสมปลา เลี้ยงปลา ผสมปลา เลี้ยงมันแล้วจะสังเกตเห็นข้อนี้ ก็เหมือนกับคนหรือสัตว์ธรรมดา ต้นไม้นี้เราไม่มีเครื่องวัดความรู้สึก แต่ก็สังเกตได้ ก็เชื่อได้ว่าการผสมพันธุ์ เมื่อมีการผสมเชื้อพันธุ์นั่นนะ ต้นไม้จะรู้สึกสูงสุดเหมือนที่มนุษย์ได้รับเมื่อมีการสืบพันธุ์ สัญชาตญาณก็ช่วยให้หลงใหล หลงใหลในรสที่เกิดจากการจะ จะทำการสืบพันธุ์ แล้วก็กลายเป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์ไป หวัง หวังจะได้รับสิ่งนี้ จนสมมติให้เป็นเทพเจ้า เทพเจ้าที่บูชาอะไรกันไปเสียอีก กามเทพ ไอ้ความรู้สึกความใคร่ทางกามารมณ์ถูกยกขึ้นเป็นเทพเจ้า นั่นนะเพราะมันโง่สุดเหวี่ยงจึงได้เป็นอย่างนั้น ในพุทธศาสนาไม่มี เอากามารมณ์เป็นเทพเจ้า ไม่มี
นี่ที่ว่าสัญชาตญาณที่ควบคุมไว้ไม่ได้ มันก็เป็นความโง่เขลาและสกปรก แต่ธรรมชาติมันก็เก่งกว่า ทำให้คนบูชามันจนได้ คือบูชากามารมณ์เป็นเทพเจ้า พูดกันตรงๆ การสืบพันธุ์นั้นมันก็น่าเกลียด สกปรก เหน็ดเหนื่อย กินแรงงานมาก ทั้งน่าเกลียด สกปรก เหน็ดเหนื่อย เพื่อความบ้าวูบเดียว อะหรงอร่อยสูงสุด วูบเดียว คนก็ยังทำนั่น คิดดู ยังอุตส่าห์หาเงินไว้มากมาย บูชามันเพื่อการสมรสอันมีเกียรติ กลายเป็นสิ่งมีเกียรติไป นี่แหละความรู้สึกของการมีสัญชาตญาณ เมื่อเดินไปในทางของกิเลสก็เป็นอย่างนี้ แล้วมีใครกี่คนที่หลุดรอดออกไปจากความหลอกลวงของสัญชาตญาณอันนี้ที่ไม่หวังรสอร่อยของการกระทำระหว่างเพศ ซึ่งเป็นอนุภาพของการสืบพันธุ์ มันไม่ใช่ตัวการสืบพันธุ์ แต่ว่ามันเป็นเหยื่อล่อให้คนโง่ทำการสืบพันธุ์โดยธรรมชาติ โดยธรรมชาติให้สัญชาตญาณอันนี้มา ใส่มา อย่างที่มันไม่มีทางจะรู้ตัว ไม่มีทางจะต่อสู้ ไม่ต้องสอน คนก็ตาม สัตว์ก็ตาม ไม่ต้องสอน เอาคนไปทิ้งไว้ที่ไหนคู่หนึ่ง ไม่ต้องเล่าเรียนอะไร มันก็ทำเป็น สัตว์เดรัจฉานมันก็โตมา ถึงขนาดก็ทำอะไรเป็น ไม่ต้องมีใครสอน ทำถูกต้อง ทำแบบของธรรมชาติ เป็นเพราะอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณ เพราะมันเป็นสิ่งที่ลึกลับรุนแรง ร้ายกาจ ที่ควรจะรู้จักไว้ ถ้าเราไม่รู้จัก ปล่อยไปตามเรื่องตามราว มันก็เป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องที่บูชากันสูงสุด ถ้าได้รับการศึกษาถูกต้องเพียงพอ ไม่ถือว่าเป็นกิเลส มันก็ทำอย่างสักว่าเป็นการสืบพันธุ์ ไม่บ้า ไม่หลง ไม่กระสันต์ ไม่อะไรมากมายเหมือนคนโง่ เราพูดได้ว่า แม้แต่พระโสดาบัน พระสักกีทายาวีก็มีเหย้ามีเรือน มีการสืบพันธุ์ แต่ไม่มีความรู้สึกโง่มาก บ้ามาก เหมือนปุถุชนคนธรรมดาที่มันบูชาการสืบพันธุ์สุดเหวี่ยง รู้จักไว้ รู้จักทำให้มันไม่เป็นคนโง่ที่สุด ไม่หลอก ไม่ถูกหลอกโดยธรรมชาติถึงที่สุด ไม่กินเหยื่อของธรรมชาติอย่างโง่ที่สุด เหมือนกับที่คนธรรมดาสามัญเขาเป็นๆ กันไป เป็นความรู้สึกที่สูงสุดที่ต้องทำให้ ไม่ จะต้องทำให้ได้ จะต้องฝืนอะไร จะต้อง ฝืน ฝืนสิ่งที่ไม่ควรจะฝืน ฝืนพ่อแม่ ฝืนอะไรต่างๆ ฝืนไปหมด ที่จะทำสิ่งนี้ให้ได้ เมื่อเขาไม่ได้ในเวลาอันสมควร เขาก็หนีตามชู้ไป อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันเป็นการที่ควบคุมสัญชาตญาณนั้นไม่ได้
นั้นทีนี้เราก็มีหัวข้อว่า ธรรมะกับมนุษย์ ธรรมะจะช่วยให้มนุษย์ควบคุมสัญชาตญาณได้ตามสมควร สัญชาตญาณแห่งการมีตัวตนก็ดี สัญชาตญาณแห่งการรักษาตัวตน คุ้มครองตัวตน ทำความเจริญให้แก่ตัวตนก็ดี ก็ตั้งถึงว่าสัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์ ขอให้มีธรรมะเข้ามา ให้เพียงพอ ให้เป็นไปตามสัญชาตญาณที่เป็นกิเลส ที่เป็นกิเลส มันไม่รู้จักว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันทำไปตามความรู้สึกของสัญชาตญาณ จึงเกิดเรื่อง มีปัญหามีความทุกข์ มีอะไรต่างๆ นานา ถ้ารู้ความจริงข้อนี้จะควบคุมได้ จะอดกลั้นได้ในสิ่งที่ควรอดกลั้น หรือว่าจะอดกลั้นทุกอย่างก็ทำได้ ถ้ามีสติปัญญาเพียงพอ ซึ่งเราก็จะไม่ต้องมีความทุกข์มาก เหมือนที่กำลังเป็นอยู่โดยเฉพาะเรื่องปัจจัย เรื่องอาศัยของชีวิต เรื่องอาหาร เรื่องเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ไม้สอย เรื่องหยูกยารักษาโรคที่เรียกว่า ปัจจัย ปัจจัย ก็จะไม่มีปัญหามาก เหมือนกับคนโง่ที่ไม่รู้จักควบคุมสัญชาตญาณ ตัวอย่างของมันก็ ไม่ต้องซื้อของแพง กินอาหารคำละพันบาทอย่างนี้เป็นต้น เป็นความโง่ของสัญชาตญาณเป็นไปสุดเหวี่ยง แต่ว่าถ้ามันจะแก้โง่ จะไปลองกินดูให้รู้อย่างนี้ไปก็ได้ ก็ไม่เป็นไร เพื่อการศึกษา นี้มันจะโง่สุดเหวี่ยงในเรื่องกามารมณ์ เพื่อการศึกษามันก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น มันโง่จมไปเลยตลอดเวลา นี่มันพูดเป็น พอเป็นตัวอย่าง มันมีอีกมากมายหลายอย่าง คุณลองคิดนึกศึกษาสังเกตเอาเอง มันก็จะมาเข้าหลักเกณฑ์อันนี้ ว่าสัญชาตญาณมันดึงให้ทำอะไร เมื่อ เมื่อไม่มีสติปัญญามาควบคุมมันก็เป็นเรื่องของกิเลส ถ้ามีสติปัญญาควบคุม จะเอามาแต่ไหน มันก็เป็นเรื่องของโพธิ แล้วเอาสติปัญญามาแต่ไหน การที่จะได้รับการสั่งสอนดี อบรมดี วัฒนธรรมดี มันช่วยได้มาก ไม่ต้องมาลองโง่ ลองทุกข์กันเสียก่อน แต่ถ้าไม่มีความทุกข์ มันจะสอนง่าย เรื่องอะไรก็ตาม ลองโง่ไปตามสัญชาตญาณ เป็นกิเลสแล้วไปทำเข้า มันจะมีความทุกข์ แล้วความทุกข์สอนง่าย ไม่ไหวๆ ไม่เอาๆ เปลี่ยนๆๆ ฉะนั้นเรื่องเลวร้ายก็รู้จักกันขึ้นมาว่าเป็นเรื่องเลวร้าย ต้องถอยหลังละเสีย ชีวิตมันก็เป็นการศึกษาอยู่ในตัวมันเอง เมื่อทำผิดก็ได้รับโทษ มันก็รู้ โอ้ ไม่ไหวๆ มันก็เลยสมมติบัญญติว่าอันนี้เป็นของเลว เป็นของชั่ว เป็นของบาป เป็นของลามก เป็นของต่ำทรามอะไรก็ สอนกัน นำมาสอนกันไว้ นี่ถ้าว่ามันมีอย่างนี้ก็ดีไป แต่ว่าก็คือธรรมชาติสอน ชีวิตสอนนั้นเอง การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ศึกษามาจากชีวิต มาจากธรรมชาติ มาจากที่เป็นตามธรรมชาติ ที่ลึกซึ้ง โดยเฉพาะเรื่องการควบคุมกิเลสได้สิ้นเชิง ทำลายกิเลสได้สิ้นเชิง เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ใจความความสำคัญก็อยู่อยู่ที่ควบคุมสัญชาตญาณได้ถึงที่สุด ไม่ให้ไปทางที่เป็นกิเลส แต่ให้มาทางที่เป็นโพธิ โพธิ โพธิ จนทำถูกต้องไปทุกอย่างถึงที่สุด
เพราะฉะนั้นเราก็เป็นโชคดีที่เกิดมาได้มีคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้ให้ศึกษา ไม่ต้องค้นเอง ให้ค้นเองคงจะไม่มีหวัง ไม่ได้มีปัญญาพอ ไม่ได้สร้างบุญบารมีมาพอ มันค้นไม่พบ แต่มันก็โชคดีที่ได้รับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้อย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นอย่าประมาท อย่าดูถูกคำสอนเหล่านั้นเลย เอามาศึกษาให้ดี ให้เข้าใจแล้วก็ปฏิบัติไปอย่างถูกต้อง ก็จะไม่ตกเป็นทาสของสัญชาตญาณ ในที่สุดจะควบคุมสัญชาตญาณได้ ที่มันจะไปตามอำนาจของกิเลส และทำอะไรไปตามอำนาจของกิเลสนั้น มันจะไม่มี แต่มันจะทำไปตามอำนาจของโพธิ ปัญญา ความรู้ที่ถูกต้องยิ่งขึ้นๆ แล้วก็หลุดพ้นจากกิเลสตัณหา เป็นอริยบุคคลไปเลย เพราะไม่ตกอยู่ภายใต้สัญชาตญาณที่เป็นกิเลส สิ่งที่เรียกว่าความรู้ ความรู้นั่น มัน มันสำคัญมาก ธรรมชาติให้มาห้าอย่าง พื้นฐานทั้งนั้นและเป็นสัญชาตญาณ และมันจะไปเป็นรู้ผิดหรือรู้ถูกเป็นอีกตอนหนึ่ง ต้องให้มาในลักษณะที่จะเป็นความรู้ เป็นความรู้ แต่มันมารู้ผิดเสีย ก็ต้องได้รับโทษ ได้รับโทษไปจนกว่าจะเข็ดหลาบ กว่าจะรู้ถูก มันก็นาน แต่แล้วมันก็จะต้องรู้ถูก เพราะความเจ็บปวดมันสอนให้ทำไปไม่ไหว ถ้าโชคดี ก็อย่าต้องเที่ยวทดลองให้มากมายไปเลย ความทุกข์ รู้เรื่องที่จะป้องกัน แก้ไขเสียให้เพียงพอไม่ต้องไปลงทุนทดลองให้เป็นทุกข์ สุดเหวี่ยงทุกอย่าง ทุกอย่าง ทำบาปทำผิดจนถึงกับตกนรกอเวจี อนันตริยกรรม จนในที่สุดมันก็รู้ รู้ได้ ว่าผิด ผิด ผิด ต้องการจะเปลี่ยน ต้องการจะเลิก
ทีนี้ก็มาดูปัญหาเฉพาะหน้าเกี่ยวกับสัญชาตญาณอย่างที่ว่ามาแล้ว คือเรา ไม่มีความรู้เรื่องนี้ มันก็ทำผิด มันก็ไม่ได้ทำหรอก เกี่ยวกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เอาผิวชั้นบนกันแล้ว ว่าเรากำลังทำผิดเกี่ยวกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องการความอร่อย ทางตา คือความงามเป็นอย่างยิ่ง ต้องการความอร่อยทางหู คือความไพเราะเป็นอย่างยิ่ง ต้องการความอร่อยทางจมูก คือความหอมเป็นอย่างยิ่ง ต้องการความอร่อยทางลิ้น ซึ่งก็คือความอร่อยอย่างยิ่ง ต้องการความอร่อยทางผิวหนัง คือสัมผัสทางผิวหนัง ยิ่งการสัมผัสระหว่างเพศตรงกันข้าม ยิ่งสูงสุด ต้องการความอร่อยทางผิวหนัง แล้วก็ต้องการความอร่อยทางใจ ทางจิตใจ ไปรวมอยู่กับที่จิตใจได้รับความพอใจ เมื่อมันเป็นความต้องการของกิเลส ก็ได้รับความพอใจทางกิเลสอย่างสุดเหวี่ยง นี่เรียกว่า เราบูชาความอร่อย ในทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
คนที่ซื่อตรงต่อตัวเอง ลองไปคิดดู เป็นหรือไม่ เราเป็นหรือไม่ เราบูชาความอร่อยทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจหรือไม่ คิดดูเอง สังเกตดูเอง บูชาสิ่งเหล่าแล้วจะต้องมีปัญหาอย่างไรต้องลงทุนซื้อหากันอย่างไร จะต้องกอบโกย กักตุนกันเท่าไร เพราะเป็นทาสทางอายตนะ และที่ได้ทำอาชญากรรมอันเลวร้ายที่สุด คือความอร่อยทางโผฏฐัพพะ ผิวหนังทางเพศตรงกันข้ามที่สร้างอาชญากรรมมากที่สุดในโลก นี่เป็นทาสของอายตนะแล้วเป็นอย่างไรบ้าง คิดดูสิ
นั้นต้องลงทุนกันทางความสวยงาม จะกี่มากน้อย อย่างเดี๋ยวนี้ไม่มีใครซื้อโทรทัศน์ดำขาวแล้ว โทรทัศน์สีกันทั้งนั้น ความสวยงามในบ้าน ในเรือน ในที่อยู่ที่อาศัย แม้แต่ยานพาหนะก็ทำให้มันสวยงาม แล้วก็ต้องการเสียงไพเราะขับกล่อม เดี๋ยวนี้สะดวกมาก จะฟังเพลงทั้ง ๒๔ ชั่วโมงก็ทำได้ ถ้าสมัยโบราณไม่มีวิทยุ ไม่มีอะไรอย่างนี้ นานๆ จะได้ไปฟังร้องเพลงที่เขาแสดงสักแห่งหนึ่ง มันนาน เดี๋ยวนี้ไปซื้อวิทยุ โทรทัศน์ มาง่าย แล้วก็มีฟังได้ทั้ง ๒๔ ชั่วโมง มันก็เลยเป็นทาส หนักเข้าไป หนักเข้าไป ความหอมหวนก็เหมือนกัน ยังไม่จบ ยังมีขายได้แพงอยู่ ของเรา ของอร่อย ของนิ่มนวลทางสัมผัส แม้ไม่ใช่เรื่องเพศ เรื่องกามารมณ์ก็ตาม ก็ยังเป็นนุ่มนวล ที่ให้เกิดสัมผัสแรง ที่นอน เบาะหมอน อะไรก็ตาม มันก็เพื่อความนิ่มนวลของโผฏฐัพพะ ทั้งนั้น ซื้อหามา ฉะนั้นสิกขาวินัยของเรา จึงห้ามใช้สิ่งเหล่านี้ ให้นอนเสื่อ พอมารู้ความจริงข้อนี้ มันก็รู้ธรรมะ ได้รู้หน้าที่ที่ถูกต้อง ที่เป็นไปเพื่อความรอด เพื่อความดับทุกข์ หน้าที่ที่ถูกต้อง ที่เป็นไปเพื่อความรอด เพื่อความดับทุกข์ มันมีอยู่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว มันไม่ต้องเกินไปถึงเท่านั้น ถึงขนาดนั้น ขอให้เห็นพระคุณ ขอบพระคุณของธรรมะ ที่ช่วยให้มีความเข้าใจถูกต้อง ไม่เป็นทาสของอายตนะ และไม่ถูกหลอกโดยสัญชาตญาณที่เป็นกิเลส สัญชาตญาณถูกหลอก ไม่ถูกปรุงเป็นกิเลส ก็ไม่ตกเป็นทาสของอายตนะ ที่ตกเป็นทาสของอายตนะทั้ง ๖ ก็มีมูลมาจากกิเลสเหมือนกัน สัญชาตญาณปรุงแต่งด้วยการเป็นกิเลส มีกิเลสสำหรับเป็นเหตุให้ตกเป็นทาสของอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มาเป็นทาสของมัน ทั่วกันทุกคนทั้งโลก ทั้งเทวโลก มารโลก น่าหัวหรือไม่น่าหัว
ไอ้เรื่องเลิกทาส หรือเรื่องเลิก เป็นประชาธิปไตย มันผิวๆ ทั้งนั้นแหละ ที่จริงมันเป็นทาสของอายตนะอย่างหมดเสรีภาพอย่างสุดเหวี่ยง ไม่รู้สึก ไม่คิดที่จะต่อสู้เพื่อเสรีภาพจากกิเลส กิเลสกดไว้ โงหัวไม่ขึ้น ไสหัวไปใช้ทำอะไรได้ต่างๆ ตามที่กิเลสมันต้องการ ทำไมมันไม่เลิกทาส ไม่เปลื้องตัวออกเสียจากภาพชนิดนี้กันบ้าง ยิ่งพอใจ ยิ่งได้เป็นทาสมันเข้า ก็ยิ่งมีความอร่อยมากเท่านั้น มันก็ยิ่งพอใจในการที่จะเป็นทาสของอายตนะ ฉะนั้นเตรียมตัวไม่เป็นทาสของมัน ไม่ต้องหาเงินมากๆ ไปซื้อความเพลิดเพลินที่หลอกหลวง ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง มันเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง แล้วมันมีอำนาจมากจนทำให้คนทุกข์คนเป็นทาสของมัน เราเตรียมตัวไว้แต่ป่านนี้ อย่าได้ไปเป็นทาสของอายตนะชนิดนั้น ถึงจะหาเงินได้มาก มีเงินเดือนสูง ก็อย่าเอาไปใช้อย่างนั้น เอาไปใช้อย่างอื่น ไม่ต้องเป็นทาสของอายตนะดีกว่า มันจะเป็นประโยชน์ที่ถูกต้องแก่สังคมหรือแก่โลก เดี๋ยวนี้เขาหาเงินเดือนได้มาก หารายได้ได้มาก ใครๆ ก็เอาไประดมทุ่มเทเพื่อสิ่งเหล่านี้ ไม่ช่วยสังคม ไม่ช่วยอะไรตามที่จะช่วย ไม่ให้ทาน ไม่ให้ เพื่อจะรวบรวมเอาไว้เพื่อซื้อสิ่งมาบำรุงบำเรออายตนะ เพราะเขาเป็นทาสของอายตนะ
เราได้ยินได้ฟังคำที่ไม่เข้าใจได้ เช่นว่าภรรยาของมหาเศรษฐีคนหนึ่งใช้เงินวันละล้านบาท จะใช้ยังไง ใช้เงินเกี่ยวส่วนตัวกับการบำรุงความเป็นอยู่ส่วนตัววันละล้านบาท ใช้ยังไง เข้าใจไม่ได้ แต่มันก็ทำได้ ทำได้โดยอย่างนี้เอง โดยไปเป็นทาสของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างมากอย่างสุดเหวี่ยง เคยอ่านข่าวพบออกชื่อมหาเศรษฐีคนนั้นคนนี้ ภรรยาชื่อนั้น อย่าเอามาพูดเลย ไม่ต้องเอาชื่อมาออก เพียงแต่มัน มันเชื่อได้ว่าเป็นเรื่องจริงที่มีอยู่ในโลก พวกมหาเศรษฐี พวกภรรยาของมหาเศรษฐี ก็ใช้เงินเพื่อความสุขส่วนตัววันละหนึ่งล้านบาท คิดเป็นเงินไทยนี้มันเป็นสิ่งที่ทำได้ และก็ได้มีด้วย แล้วมันจะได้อะไร แล้วเราจะไปตามก้นเขาทำไมในเรื่องอย่างนี้ จงเอาแต่ความถูกต้อง คือดับทุกข์ได้ คือสมดุลย์ ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอดจากความทุกข์ มีมากมันไม่เกิน ไม่ขาด มันไม่เกิน มันสมดุลย์ สมดุลย์ มันก็มีความทุกข์ได้จริง แล้วมันก็ดับทุกข์ได้จริง หน้าที่ที่ถูกต้องแก่การดับทุกข์แล้วมันก็ดับทุกข์ได้จริง ขอให้รู้จักหน้าที่อันนี้คือธรรมะ ธรรมะ แล้วมันก็ช่วยให้เราไม่ตกเป็นทาสของอายตนะ ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของสัญชาตญาณที่กลายเป็นกิเลส แต่เราจะเดินตามรอยของสัญชาตญาณที่เป็นธรรมะ สัญชาตญาณนี้ทำให้เป็นโพธิก็ได้ เป็นกิเลสก็ได้ แน่นอนจนถึงกับว่ามีเชื้อแห่งการเป็นพระพุทธเจ้ากันมาทั้งนั้นแต่มันไม่มีโอกาสจะพัฒนาให้เป็นเรื่องเป็นราวเป็นกิเลสไปหมด ทั้งๆ ที่มีเชื้อสำหรับเป็นพระพุทธเจ้ากันมาทั้งนั้น อย่างนี้พวกฝ่ายมหายานเขาพูด ในชีวิตในจิตในสิ่งที่มีชีวิตมีจิตนี่มีเชื้อที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้กันทั้งนั้น แต่มันไม่ได้มีโอกาสจะเป็น เพราะมันติดอยู่ที่นี่ เป็นทาสของอายตนะ เป็นทาสของสัญชาตญาณตลอดไป ไม่ได้เป็นใครบาป
เพราะฉะนั้นขอให้สรุปความได้ว่าธรรมะกับมนุษย์ คือมนุษย์จะต้องมีธรรมะ คือหน้าที่ถูกต้องแก่การดับทุกข์หรือความรอดจากทุกข์ โดยเฉพาะในวันนี้เรากล่าวถึงธรรมะสามารถจะควบคุมสัญชาตญาณและช่วยให้จิตไม่ตกเป็นทาสของอายตนะทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มีคู่ของมันคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะกามารมณ์ สิ่งที่เรียกว่าอายตนะนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เป็นปัญหาที่สุด ถ้าใครไม่รู้จักแล้วจะต้องจมลงไปในกองทุกข์ อย่าเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือเรื่องไม่จำเป็นแก่เรา รู้จักมันให้ดีๆ อย่าต้องเป็นทาสของอายตนะทั้ง ๖ นี้เลย การบรรยายเรื่องนี้ในวันนี้ก็หมดเวลา ขอยุติการบรรยายไว้แต่เพียงเท่านี้