แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การพูดกันเป็นครั้งที่ ๔ ในวันนี้ จะพูดโดยหัวข้อว่า ความเป็นมนุษย์ที่เต็ม หรือ ความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ คำพูดคำนี้ ใช้กันทั่วไปในหลัก ในทางศาสนาก็ใช้ ทางศีลธรรมจริยธรรมสากลก็ใช้ แม้แต่ภาษาชาวบ้านร้านตลาดก็ยังใช้ เป็นมนุษย์ที่เต็ม ภาษาชาวบ้านแท้ๆแต่ว่า เขาเป็นคนไม่เต็ม เขาก็โกรธ เขาก็ด่าอย่างแรง ทางศีลธรรมจริยธรรมสากล ถือเอาเป็นธรรมดีสูงสุดของมนุษย์ข้อแรกว่า ความเป็นมนุษย์ที่เต็ม The man perfected เป็นธรรมที่สูงสุดของมนุษย์ข้อแรก จึงไปถึงข้ออื่นๆ ทางศาสนานี้ ก็หมายถึง พระอรหันต์ พวกนักศึกษา นักภาษา ก็แปล พระอรหันต์ว่า คนเต็ม มนุษย์เต็ม perfected ถ้าเรามักจะถือเอาตามตัวหนังสือ อะ-ระ-หะ อะ-ระ-หะ ผู้สมควร ตัวหนังสือแปลว่า ผู้สมควร สมควรอะไร สมควรแก่การที่จะเรียกว่า มนุษย์ มนุษย์ที่เต็ม ที่สูงสุด สมควรที่จะเรียกว่า เป็นมนุษย์ที่สูงสุด ที่เต็มเปี่ยม แต่บางคนก็ แยกออกไปว่า ผู้หักสังสารวัฏ ผู้หักวงล้อแห่งสังสารวัฏอย่างนั่นก็มี แม้แต่ผมสมัครที่จะถือเอาคำว่า ควร สมควร เป็นผู้สมควร ควรแก่การเป็นมนุษย์ คือเป็นมนุษย์ถึงที่สุด ถ้ายังไม่ถึงนั่น ก็ยังเป็นมนุษย์ไม่ถึงที่สุด ยังไม่ควรเรียกว่า มนุษย์ มนุษย์ที่เต็มนี่ ก็เต็มด้วยความเป็นมนุษย์ในทางกาย ในทางจิต ในทางสติปัญญา ทั้ง ๓ ทาง ทางร่างกาย รูปร่าง ถูกต้องในความเป็นมนุษย์ จิตใจก็มีความถูกต้องในความเป็นมนุษย์ สติปัญญา คุณธรรมอะไร มันก็ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ นั่นถ้าเราถือเอาหลักข้อนี้ก็ง่ายดีเหมือนกัน ไม่ต้องมากเรื่อง พยายามให้มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องทั้งหมดของมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องของคนหนุ่ม คนแก่ ไม่ใช่เรื่องของคนชนชาตินั่น ภาษานี้ เป็นความหมายทั่วไป ที่นี่ก็มาดูว่า จะมีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์กันได้อย่างไร ผมเคยคิดเรื่องนี้ คือ จะปะติดปะต่อคุณธรรมต่างๆ สืบเนื่องกันจนถึงความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์นั่นเอง ก็เลยยึดถือเอาเป็นหลักทั่วไปว่า จะต้องมีความถูกต้อง หรือความดีตามลำดับ นับตั้งแต่เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี เรียกว่า ๕ ดี ท่านเป็นได้ ๕ ดี ก็มีความเป็นมนุษย์ที่เต็ม ที่เต็ม จู่ๆ มันจะเต็มขึ้นมาไม่ได้ มันต้องเป็นขึ้นมาตามลำดับ ตั้งแต่พื้นฐานที่สุด คือความเป็นมนุษย์ที่ดีของบิดามารดา มีบิดามารดาที่ดี อบรมให้เป็นบุตรที่ดี เขาก็มีความเป็นบุตรที่ดีเป็นพื้นฐานตั้งต้น ทีนี้บุตรที่ดีหรือบิดามารดาที่ดีทำกันอย่างไร มันยังไม่มีในหลักสูตร หลักสูตรที่ปฏิบัติก็พูดกันต่อโตแล้ว ต่อโตแล้ว หลักสูตรหรือว่า โอวาทที่ปฏิบัติ สำหรับโตแล้ว นี่เราจะเอาตั้งแต่เล็กๆ มา บิดามารดาจะสร้างบุตรที่ดีขึ้นมาได้อย่างไร และบุตรที่ดีนั่นคืออะไร นี่พูดนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เราต่อไปในอนาคตจะเป็นบิดา หรือเป็นบิดา แต่พูดว่า เรานี่ก็จะต้องเป็นบุตรที่ดีเดี๋ยวนี้ เป็นบุตรที่ดีกันเสียแต่เดี๋ยวนี้ ในอนาคตก็จะเป็นบิดาที่ดีได้ จะให้ลูกเป็นบุตรที่ดีก็ต้องมีการอบรมดี ถูกต้อง ถูกต้องตามหลักที่จะดับทุกข์ในพระพุทธศาสนา แต่ตามที่เป็นมา หรือเป็นอยู่ก็ตามเถอะ มัน มันเออ มันสวนทางกันอยู่ บิดามารดาเกิดบุตรมา เลี้ยงบุตรมา อบรมบุตรมาก็ตาม ประเพณีของคนที่ไม่มีธรรมะที่ถูกต้อง และวัฒนธรรมมันก็ไม่มีกล้าพูดวัฒนธรรมที่พ่อแม่จะเลี้ยงลูกอ่อนให้ถูกต้องทางวัฒนธรรมทางธรรมะนี่มันไม่มี มันมีแต่ทางธรรมชาติตามธรรมชาติ มีแต่ตามสัญชาตญาณเสียมากกว่า จะประคบประหงมให้เด็กติดในรสของการประคบประหงมที่สุดเลย ไม่ใช่พอดีและก็มากที่สุด ให้เด็กพอใจรสของการประคบประหงม อบอุ่น อะไรก็ตาม มาก มากที่สุด และก็ไม่ได้อบรมทิฐิ ความคิดความเห็นอะไรให้ถูกต้อง ปล่อยไปตามธรรมชาติ เด็กก็จะคิดอย่างไรก็ไม่ได้รู้ไม่ต้องรู้ มันก็คิดไปตามสัญชาตญาณ บิดาเองก็จะไม่มีความรู้ที่อบรมในเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป ที่จะมีทิฐิ เป็นสัมมาทิฐิที่ถูกต้องมันก็ไม่ได้อบรม แล้วก็เติบโตขึ้นมาด้วยไสยศาสตร์ เราให้เด็กกลัวนั่นกลัวนี่ ชนิดที่เป็นไสยศาสตร์ แม้แต่กลัวตุ๊กแก กลัวผี กลัว อ้อนวอน บูชาเทวดา โชคชะตาราศี มีแต่จุดธูปจุดเทียนบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอร้องอ้อนวอน และไอ้สิ่งสุดท้ายที่ร้ายกาจที่สุดก็คือ ปลูกฝังความรู้สึก ไม่ใช่ปลูกฝัง อบรม มันมีอยู่แล้วแต่อบรมความรู้สึก ว่าตัวตนหรือของตนให้ยิ่งๆ ขึ้นไป นี่มันผิดหลักใหญ่ ที่เรียกว่า อุปาทาน มันก็อบรมอุปาทานให้ทารกนั่นเต็มที่เลย ให้พอใจในความเอร็ดอร่อย เอร็ดอร่อยที่สุดเท่าที่แม่จะหาให้กินได้ ประคบประหงมอย่างยิ่ง ด้วยความอบอุ่น ด้วยความนิ่มนวล ทะนุถนอม สุดเหวี่ยงที่จะทำได้ มันก็เท่ากับทำให้เด็กๆ ยึดมั่นในกามุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นในความเอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อทางหนัง คือ ทางกาม ซึ่งจะสูงขึ้นไปถึงทางเพศในที่สุด ความนิ่มนวลทางโสตผัสสะ ทางเนื้อทางหนังทางร่างกาย ถูกอบรมให้พอใจยึดมั่นมาตั้งแต่เล็ก และก็โตขึ้นยิ่งหนักขึ้นไปตามลำดับของมัน เด็กของเราก็มีกามุปาทาหนาแน่นขึ้น เด็กมีความคิดเห็นได้ตามใจตัวไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ชอบจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น มีความคิดไปตามสัญชาตญาณ มีผิดมีถูกมีอะไรไปตามความรู้สึกของตัว ไม่ได้รู้ความหมายของคำว่า ถูกต้อง ดีชั่ว อย่างสูง อย่างสูงไม่มี มีแต่อย่างต่ำๆ ธรรมดา ที่ชาวบ้านทั่วไปเขาพูดกัน ดีก็คือที่ได้ ชั่วคือที่ไม่ชอบ จะดี ดี ทางธรรมะ ดีเพราะไม่เบียดเบียนใคร เพราะทำให้ใครได้รับประโยชน์ ไม่พูดถึง เด็ก ไม่ได้มีความคิดเห็นถึงขณะนี้ มันมีดีชั่วผิดถูกไปตามที่พูดจากัน นั่นในเรื่องเกี่ยวกับที่พึ่ง ผีสางเทวดา อะไรมันก็ครอบงำง่ายมีความเข้าใจผิด ไม่เป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตา อย่างนี้มันก็เท่ากับเพิ่ม ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นด้วยทิฐิตามความคิดความเห็นของตน เด็กของเราก็เป็นขึ้นมาในลักษณะอย่างนี้ แล้วทีนี้ก็มาถึง สีลัพพตุปาทาน คือ ไสยศาสตร์โดยตรง ถูกมอบหมายให้เชื่อถือไสยศาสตร์ ผมเองเมื่อเด็กๆ ก็แขวนตะกรุด หรือไอ้ลูกประคำ ที่มันมีความหมายเป็นไสยศาสตร์คุ้มครอง เคยแขวนกับเขาพอจำความได้ ถ้าเลิก มีเครื่องบูชาเทวดาโดยเฉพาะวันสงกรานต์ อย่างเมื่อวานนี้ก็ต้องจุดธูปเทียนบูชา มีพานหมากพลูชูขึ้นหลังประตู มานั่งไหว้นั่งกราบกัน หรือวันเป็นจันทรคราส สุริยคราส ก็ต้องมาสวดมนต์ตามที่ผู้ใหญ่เขาสอนว่าอย่างนั่นๆ ช่วย ช่วยพระจันทร์ ตลอดทั้งไสยศาสตร์อื่นๆ เต็มที่เหมือนที่เขาถือกันอยู่ นี่มันละไม่ได้ ให้เด็กๆ ก็มีอุปาทานในสีลัพพตุปาทานเป็นผู้ไม่มีเหตุผล เป็นผู้กระทำไปโดยไม่มีเหตุผล แต่เป็นไปตามความยึดมั่นถือมั่นแบบไสยศาสตร์ อย่างที่เรียกว่า ศาสตร์ของคนหลับ ไม่มีบิดามารดาในครอบครัวไหนที่จะสอนให้ออกไปจากไสยศาสตร์ไม่มี มีแต่จับยัดแน่นลงไปในไสยศาสตร์ และก็โตขึ้นมาด้วยสีลัพพตุปาทาน ที่อันสุดท้าย อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน ว่าของตน ความยึดมั่นถือมั่นให้ใจที่ทำให้ปาก หรือใจก็ตามรู้สึก หรือพูดออกมาว่า ตัวกูของกู มากขึ้น มากขึ้น เพราะว่าเด็กจะได้รับคำปลอบโยน ทะนุถนอมด้วยคำว่า ของแก ของลูก ของลูก แม่ของลูก พ่อของลูก บ้านของลูก เรือนของลูก เงินของลูก อะไรก็เท่าที่มันขยายเป็นที่ลูกมันจะพอใจได้ สมบัติพัสสถานของลูก อะไรก็ของลูก เงินทองของลูก เกียรติยศชื่อเสียงของลูก โตขึ้นมา โตขึ้นมา ด้วยการพูดกรอกหูว่า ของลูก ของลูก ของลูก ของลูก แล้วก็มีความรู้สึกว่าตัวตนของตนเต็มปรี่มา เป็นอุปาทาน อัตตวาทุปาทาน จนกระทั่งวันนี้ จนกระทั่งบัดนี้คุณลองคิดดูให้ดี การรู้สึกตัวฉันของฉันยึดมั่นนี้ มันมาแต่โน้นแต่อ้อนแต่ออก ตามธรรมดาสิ่งที่มีชิวิตมันมีสัญชาตญาณชนิดนี้อยู่ด้วยเป็นพื้นฐาน คือสัญชาตญาณแห่งความมีตัวตน สัญชาตญาณที่จะทำให้รักตัวตน ถนอมตัวตน เพื่อความมีอยู่แห่งตัวตน มันมีอยู่ สัตว์มีชิวิตทั้งหลาย จะคนก็ดี สัตว์เดรัจฉาน นก หนู ก็ดี มันมีความรู้สึกที่เป็นตัวตน อยากถนอมตัวตน รอดตน เชิดชูตน อะไรต่างๆ มันมีอยู่ ถ้าเพียงเท่านั้นก็ไม่เป็นไร แต่นี้มันเกินเข้มข้น เข้มข้น เข้มข้นเกินจนเป็นความเห็นแก่ตน ถ้ามันเพียงแต่มีตัวตนเพื่อถนอมชิวีตมันก็ไม่เท่าไร นี้เป็นธรรมดา แต่เดี๋ยวนี้มันเลยเถิด มันเข้มข้น เข้มข้น จนเป็นความเห็นแก่ตนไม่เห็นแก่ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง ไม่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ อย่างพี่ก็อิจฉาน้อง แม่พ่อมักจะรักน้องที่เพิ่งคลอดออกมาใหม่มากกว่าตัว มันก็เกลียดน้อง มันก็อิจฉาน้อง มันแอบหยิกน้องไปตามเรื่องของมัน นี่เรียกว่า มันความเห็นแก่ตน เมื่อเรายุให้เขาทำอะไรดี ให้เก่ง ให้ชนะ ให้เหนือใคร นี่ก็ช่วยสงเสริมหนักขึ้นไปอีก โดยลืมรักผู้อื่น นี่วัฒนธรรมมันมีอย่างนี้จะโทษใครก็ยากลำบากเหมือนกัน เลี้ยงลูกไปตามวัฒนธรรม ที่ไม่ใช้วัฒนธรรม เป็นวัฒนธรรมที่ไม่มีสติ ปัญญา เด็กๆ ก็โตขึ้นมาโดยมีอุปาทาน ๔ ประการ ดังที่กล่าวมาแล้ว มันมีพ่อแม่คนไหนบ้างที่ว่า พาลูกไปที่ร้านที่ขายของเล่นเด็ก ที่เด็กชอบ และแพงมาก และก็บอกลูกว่า สิ่งเหล่านี้เขามีไว้ให้เราโง่ ลูกก็ไม่ต้องการจะซื้อ มันมีแต่พาเด็กไปที่ร้านแกจะเอาอะไรฉันจะซื้อให้ จะแพงเท่าไรก็ไม่ นี่มันมีการอบรมแบบไม่รู้สึกตัว ให้เด็กก็หลง พอใจ เพลิดเพลินในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมีก็ได้ แพงเกินไปก็ไม่ควร นี่ มัน มัน มันไม่ มันมีแต่แพงเท่าไรแม่ก็จะซื้อให้ทั้งนั่น หรือว่าของกินที่อร่อยๆ ร้านอาหาร ก็บอกว่า นี่ก็ทำให้เราโง่ เราจะกินดี ระวังดีๆ อย่าโง่ อย่าหลง อย่าอะไรกับมัน เรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวก็เหมือนกัน จะเอากันให้สวยสุด เท่าที่ลูกมันจะชอบ พ่อแม่ก็ทำให้ลูกนั่นเองมีอุปาทานผิดๆ เราก็ได้ลูกชนิดที่เต็มไปด้วยอุปาทาน ก็คือ ตัวเราเอง มันก็เห็นแก่ตัวในที่สุด มันก็ยากที่จะรักบิดามารดา ในทางหนึ่งมันทำให้เห็นแก่ตัวเอง จะดึงมาไหนมาให้รักผู้อื่น เพราะความเห็นแก่ตัวเองมันอัดแน่นอยู่นี่ จึงเป็นบุตรที่ดีไม่ค่อยจะได้ ไม่รักพ่อ แม่ สุดเหวี่ยง ไม่กตัญญูสุดเหวี่ยง ไม่ซื่อตรงต่อพ่อแม่สุดเหวี่ยง มันพร้อมจะหลอกลวงพ่อแม่ตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียน ผมกล้าพูดว่า บุตรที่ดีคือผู้ที่ทำให้ลูกสบายใจ เด็กๆ มันหัวเราะเยาะ เด็กๆ มันงงแล้วหัวเราะเยาะ แม่ต่างหากมีหน้าที่ทำให้เราสบายใจ ไม่ใช่เรามีหน้าที่ทำให้เราสบายใจ บุตรที่ดีต้องมีหน้าที่ทำให้พ่อแม่สบายใจ ถ้ามันเห็นแก่ตัวเสียเต็มที่แล้ว ก็ดูสิมันก็รบเร้าจะเอาให้ได้ มันจะหลอกพ่อแม่ ขอเงินขอทองไปใช้ในทางไม่ถูกไม่ควร มันไม่เป็นบุตรที่ดีได้อย่างนี้ ไม่ได้ทำให้พ่อแม่สบายใจ จะไม่เป็นศิษย์ที่ดีคือไม่เชื่อฟังครู ไม่เคารพครู หาว่าครูเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนของพ่อแม่ สั่งสอนเสียอีก ครูก็นำเด็กไปตามที่ควรจะนำไม่ได้ แต่ข้อนี้มันไม่ใช่เพียงเท่านี้ ครูก็ไม่รู้จะนำไปอย่างไรนี่เสียโดยมากเหมือนกัน ครูมักจะทำงานตามระเบียบเสร็จๆ เป็นวันๆ ไม่ได้รับผิดชอบว่า เด็กมันจะเป็นอย่างไร จะดีขึ้นไปได้ในทางไหน ก็เป็นเด็กที่ครูนำไปไม่ได้ ก็ไม่เป็นศิษย์ที่ดี ถ้าเป็นศิษย์ที่ดีครูต้องนำไปได้ตามวัตถุประสงค์ ตามอุดมคติ และเขาก็ไม่ค่อยจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนัก ทะเลาะวิวาท แข่งขัน อิจฉาริษยากัน ถ้าเป็นเพื่อนที่ดีก็ทางเล่น ทางหัว ทางสนุกสนาน ซึ่งไม่ใช่ทางที่ดีโดยแท้ มันดีสำหรับเป็นเพื่อนเล่น เพื่อนสนุก เพื่อนหมู่ เพื่อนรวมหมู่ต่อสู้ นั่นก็ไม่เป็นเพื่อนที่ดี ที่ไม่ได้รักเพื่อนอย่างแท้จริง โดยหลักเกณฑ์ที่ดี แม้มันโตขึ้นมันก็ไม่เป็นพลเมืองที่ดี คือ มันรักตัวเองยิ่งกว่ารักชาติ ข้อนี้จะเกินไปหรือไม่คุณไปคิดดูเองก็แล้วกัน ว่าคนมันรักตัวเองมากกว่ารักชาติ มันจะรักชาติก็รักด้วยประโยชน์เพื่อตัวเอง นักการเมืองที่ว่ารักชาติทำเพื่อชาติไปดูข้อเท็จจริงเบื้องหลังมันทำเพื่อตัวเอง เพื่อพรรคตัวเอง ชาติเป็นเรื่องที่ไม่ได้เอาเป็นสำคัญ เรื่องชนะเพื่อตัว เพื่อพรรคของตัว เพื่ออะไร นักการเมืองทั้งโลกเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ได้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ มันเห็นประโยชน์ตัวก่อนเห็นแก่ประโยชน์ชาติ พรรค แก่เพื่อนของตัวอะไรของตัวก่อนประโยชน์ของประเทศชาติ แล้วก็เป็นอันที่ ๕ เป็นสาวกที่ดีของศาสนา มันก็ถูกทำให้เป็นสาวกโดยพิธีรีตอง โดยพิธีรีตองจับมาทำพิธีให้ว่า ตามพิธีก็เป็นพุทธบริษัทอย่างนี้ เพราะจึงมีพุทธบริษัทชนิดนี้ ไม่เป็นพุทธบริษัทที่รู้ธรรมะจริง ปฏิบัติจริง ได้รับผลจริงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า มันก็ไม่ได้เป็นสาวกที่ดี จนกระทั่งบัดนี้ หรือจนกระทั่งโตแล้ว เป็นพระ เป็นอะไรแล้วนี่ยังไม่เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า คือมันไม่ได้ปฏิบัติเพื่อลดตัวกูของกู มันเอาตัวกูของกูเป็นใหญ่เป็นประธาน จึงไม่ได้ถือธรรมะ ไม่ได้ถือวินัยอย่างถูกต้องเพื่อลดเสียซึ่งอุปาทานว่า ตัวกูของกู มันยังเห็นประโยชน์ มันยังทะลุทุศีล วินัย อะไรเพื่อประโยชน์แก่ตัวกูของกู ทั้งที่เป็นประโยชน์เล็กน้อยแต่มีความเสียหายมากทางวินัยทางอะไรมันก็ไม่สนใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำ ไม่สนใจ เห็นว่าได้ มันก็เป็นดี ไอ้ที่เสียไปตั้งหมด ตั้งเยอะแยะ ไม่เอามาเปรียบเทียบกัน ความเห็นแก่ตัวกูนี่ มันยังเป็นปัญหามาจนกระทั่งมาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ว่าที่จริงการบรรลุมรรคผล คือ การลดตัวกูในรูปแบบต่างๆ ทั้งจะแจกเป็น ๑๐ แบบ ๗ แบบ อะไรก็ตาม มันก็เป็นเรื่องของตัวกู ที่ต้องลด ลด ลด ลดจนหมดจากตัวกูโดยสิ้นเชิง หมดต้นเหตุ มูลเหตุ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ตัวกู คือ อวิชชา อวิชชาทำให้เกิดอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูของกู ตัวกูของกูจะหมดสิ้นไปก็โดยมันหมดอวิชชา เป็นสาวกถูกต้องที่ดีสูงสุดของพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้แต่เพียงแต่ในขั้นศีล วินัย สมาธิ มันก็ยังไม่เป็น มันยังไม่เป็น มันยังจะมีความคิดเห็นสวนทางอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าสอนให้ละตัวตน มันก็จะเพิ่มตัวตน ยึดถือตัวตน เอาตัวตนเป็นใหญ่ ไม่ใช่เอาความถูกต้องเป็นใหญ่ จึงไม่ทำอะไรในทางที่จะลดความยึดถือว่า ตัวกูของกู เอาตัวกูของกูขึ้นมายันไว้ตลอดเวลา มันก็เป็นสาวกที่ดีไม่ได้ มันไม่มีความเป็นชาติที่ถูกต้อง คือเพิ่มขึ้นมาได้ มันเอาตัวกูของกูมายันไว้ตลอดเวลา อะไรๆ ก็ตามเพื่อตัวกูของกู ไม่ใช่เพื่อความถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อลดกิเลส ไม่ใช่เพื่อดับ ดับทุกข์ตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสอน นั่นก็ไม่ได้เป็นสาวกที่ดี ที่นี้ก็ไปทบทวนมาใหม่ เป็นบุตรที่ดีให้เป็นได้ เราก็เป็นบุตรที่ดีมาแล้วหรือเปล่า หรือว่าเราจะ ถ้าเราจะมีบุตรข้างหน้าเราจะอบรมบุตรให้ดีได้อย่างไร จะอบรมให้ศิษย์ที่ดีได้อย่างไร จะมีเพื่อนที่ดีได้อย่างไร จะเป็นพลเมืองที่ดีได้จริงหรือไม่ จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องสมบูรณ์หรือไม่ นี่ขอให้คิดดู ถ้ามันได้ครบ ๕ อย่างนี้นะ เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี มันก็เป็นมนุษย์ที่เต็ม คือเป็นพระอรหันต์ได้ หรือถึงแม้ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็มีเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ตามความหมายที่ถูกต้องของความเป็นมนุษย์ นั่นถ้าใครจะด่าว่า ไม่เต็มบาท ไม่เต็มคน ก็อย่าเพิ่งโกรธเขา ให้ตรวจดูตัวเองเสียก่อนว่า มันเต็มหรือไม่เต็ม ถ้ามันไม่เต็มในข้อไหน จะได้แก้ไขให้มันเต็ม มีความเป็นมนุษย์ที่เต็ม โดยผ่านมาทางความเป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี แล้วก็เป็นมนุษย์ที่เต็ม แม้เราจะมีอายุมากถึงปูนนี้แล้ว เราก็ยังมีความเป็นศิษย์ของครูบาอาจารย์ที่แล้วมาแต่หนหลัง เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งหมายถึงบิดามารดาทางจิตทางวิญญาณด้วยแล้ว ก็ยิ่งตลอดกาลเลย เรายังจะเป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี ด้วยตนเองแล้วก็ชักนำสั่งชักสอนชักจูงผู้อื่นให้เป็น ให้เป็นด้วย จึงจะสมบูรณ์ มันผูกพันกันอยู่อย่างนี้ เป็นเองให้ได้ด้วย ช่วยผู้อื่นให้เป็นได้ด้วยก็จะสมบูรณ์ คอยมองเห็นความเป็นมนุษย์ที่เต็มในฐานะเป็นจุดหมายปลายทาง เป็นวัตถุประสงค์เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เพราะมันมักจะถามกันว่า เกิดมาทำไม ควรจะได้อะไร ก็ดูสิว่าเขาได้อะไรกัน ได้ความเป็นมนุษย์ที่เต็มหรือเปล่า หรือเพียงแต่มีเงินมีทอง มีเกียรติยศ มีอำนาจวาสนาอะไรบ้าง แล้วก็เต็มแล้วหรือยัง ต้องรวมเอาความไม่มี ความทุกข์เอาไว้ด้วย มีจิตใจอยู่เหนือความทุกข์เอาไว้ด้วยจึงจะเรียกว่า เต็ม มีทรัพย์สมบัติมาก มีเกียรติยศชื่อเสียงมาก มีมิตรสหาย อำนาจวาสนาอะไรมาก มันก็ยังไม่เต็มหรอก มันยังถูกเบียดเบียนอยู่ด้วยกิเลส พูดได้ว่า แม้ว่าเราจะครองโลกได้ทั้งโลก แต่กิเลสก็ยังครองเราอยู่นั่นแหละ ดูดีๆ ถ้ากิเลสยังครองเรา เต็มไม่ได้ ธรรมะ ธรรมะจะช่วยให้มีความเต็ม ขอให้ทำตนให้มีธรรมะ มีธรรมะที่หน้าที่ หน้าที่ ที่ถูกต้องแก่ความรอด หรือความหลุดพ้นจากปัญหา ธรรมะคือหน้าที่ของบุตร ของศิษย์ ของเพื่อน ของพลเมืองดี ของสาวกที่ดี มีธรรมะคือ หน้าที่ เพื่อความเป็นอย่างนั้น อันแล้วมันจะดี ดี ดี ดีหมด แล้วมันจะเต็ม เต็มในที่สุด ธรรมะช่วยให้เป็นอย่างนี้ได้ ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอด ไม่ใช่ธรรมะท่องบ่น ไม่ใช่ธรรมะพิธีรีตอง ไม่ใช่ธรรมะบนธรรมาสน์ หรือเป็นเสียงที่แสดงอยู่ ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ คือการปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอด แก่การดับทุกข์ ข้อนี้ก็จะคอยพูดกันให้ชัดเจนในหัวข้อนั้น ธรรมะคือ หน้าที่ เดี๋ยวนี้เรารู้กันแต่ว่าธรรมะนี่จะช่วยให้เราเป็นอะไรได้ตามที่ควรจะเป็น จะได้เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี พลเมืองที่ดี สาวกที่ดี มนุษย์ที่เต็ม ผมเชื่อและกล้าท้าว่า มันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว ขอให้เป็นมนุษย์ที่เต็ม เป็นวัตถุประสงค์มุ่งหมายสูงสุดในทางจริยธรรม หรือทางศีลธรรม ที่นี้มันก็จะมีผลต่อไปในการที่จะเป็นผู้นำที่ดี เป็นผู้นำที่ดีขั้นต้นจะเป็นผู้นำในครอบครัว เป็นผู้นำในครอบครัว เป็นพ่อบ้านที่ดี เป็นผู้นำในครอบครัว เป็นผู้นำนอกครอบครัวไปในการงานที่รวมกันเป็นหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นสมาคม เป็นอะไร หมู่คณะ เป็นผู้นำที่ดี กระทั่งไปเป็นผู้นำประเทศชาติ และถ้าเป็นได้ก็เป็นผู้นำโลก นำโลกที่ดี ถ้ามันไม่เต็มมันก็ไม่รู้จะไปกันทางไหน และนำไม่ได้ ถ้ามันรู้เรื่องความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์และเป็นมนุษย์ที่เต็มได้แล้วและง่าย ง่ายที่สุดที่จะเป็นผู้นำที่ดี แต่เดี๋ยวนี้มันยังเต็มไม่ได้ มันก็ยังเกือบเต็มก็ยังดี หรือครึ่งๆ กลางๆ ก็ยังนำไปได้สักครึ่งหนึ่ง สิ่งใดเราทำได้แล้ว เราก็สามารถที่จะนำผู้อื่นให้ทำได้ พยายามทำให้สุดความสามารถของเรา โดยหลักที่ว่า เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี มันต้องเป็นไปจนตาย แม้บุตรที่ดี ศิษย์ที่ดีมันต้องเป็นไปจนตาย ไม่ใช่พ้นวัยเด็กแล้วจะเลิกกัน ไม่ใช่ เตรียมตัวให้พร้อมที่ว่ามันจะต้องเป็นกันจนตายเลย เป็นได้เท่าไรก็นำผู้อื่นได้เท่านั้นแหละ ถ้าไม่เป็นได้เองก็นำไม่ได้หละ มันก็ไม่มีใครตามด้วยเพราะตัวเองมันไม่เป็นหรือไม่ทำ ไม่มีใครตาม เราทำให้เขาว่าเราทำได้ แล้วพิสูจน์ความมีประโยชน์ด้วย ก็มีคนตาม ก็นำได้ เป็นผู้นำได้ สรุปแล้วมันเป็นผู้นำในการประพฤติที่ถูกต้องไม่ลุอำนาจแก่กิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีหลักเกณฑ์ที่ว่า สุทธิปัญญา เมตตา ขันตี ที่เราพูดกันแล้วเมื่อคืนก่อน นั่นน่ะไม่ลุอำนาจแก่กิเลส นำในเรื่องไม่ลุอำนาจแก่กิเลส ไม่ให้กิเลสนำ แต่ว่าให้ธรรมะเป็นฝ่ายนำอย่าให้กิเลสนำ เดี๋ยวนี้กิเลสมันนำ กิเลสมันครอบงำความฉลาด ไม่ใช่ธรรมะครอบงำความฉลาด ไอ้คนนั้นมีแววว่าฉลาด มีไอคิวสูง ว่าอย่างนี้แหละ แต่แล้วกิเลสมันครอบงำ แล้วมันก็นำ นำ นำ ความฉลาดของเขาตกอยู่ในอำนาจของกิเลสเสียแล้ว กิเลสมันก็นำ แม้มันจะฉลาดอย่างไร ฉลาดวิเศษอย่างไรมันก็ถูกนำไปใช้เป็นทาสของกิเลส ให้ขโมย ให้ประพฤติผิดในกาม ให้พูดเท็จ ให้เบียดเบียนผู้อื่นกระทั่งเบียดเบียนตนเองโดยไม่รู้ตัว หลักพื้นฐานที่เรียกว่า ศีล ๕ ประการ มันก็ไม่มีเหลือ คนคนนี้มันจะไม่มีเหลือ โดยหลักพื้นฐาน ๕ ประการที่เรียกว่า ศีล ๕ ผู้ที่นำครอบครัวได้ก็ต้องเป็นผู้นำในลักษณะอย่างที่ว่านี้ สรุปความแล้วไม่ลุอำนาจแก่กิเลส ก็จะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ เป็นสาวกที่ดีของศาสนา แล้วก็เป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยมอยู่ด้วยความเป็นมนุษย์ คุณธรรมของความเป็นมนุษย์ ผมถือว่า คุณค่าของมนุษย์ คุณค่าของมนุษย์อยู่ที่ความเป็นมนุษย์ของเรานั่นแหละ ค่าแห่งความเป็นมนุษย์นั่นอยู่ที่ความเป็นมนุษย์นั่นแหละ ค่าของคนนั่นก็อยู่ที่ความเป็นมนุษย์นั่นแหละ แต่ถ้าพูดอย่างโลกๆ นี้คล้ายพูดคล้องว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงานอย่างนี้ มันเป็นทางวัตถุ ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ฉะนั้นสะพานก็มีค่าแยะ มันขโมยมาได้แยะ นั่นคำพูดที่ถูกต้องโดยภาษาธรรมะ ต้องมีธรรมะเป็นหลัก ถ้าถูกคำพูดของภาษาคน มันก็เอาความรู้สึกของคนเป็นหลัก มันก็มีดีเป็น ๒ ชนิด คือ ดีอย่างคน หรือดีอย่างธรรมะ ดีอย่างโลกหรือดีอย่างธรรมะ ดีอย่างโลกจะดีเท่าใดๆ ก็มันไม่มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ มันก็เต็มแห่งความเป็นคนชนิดนั้นซึ่งไม่ใช่มนุษย์ เพราะมนุษย์ก็แปลว่าจิตใจมันสูง จิตใจไม่สูงมันก็ไม่ ไม่เป็นมนุษย์ได้ ไม่ได้ถือเอาบทนิยายอันหนึ่งว่า มนุษย์คือ เหล่ากอของพระมนู พระมนูคือ นักปราญช์สูงสุดของชาวอินเดีย ก็เป็นเหล่ากอของพระมนูก็เป็นมนุษย์ ก็เป็นไม่หรอกถ้ามันไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง แล้วก็ยังถือ มนู มนู เป็นคำพูด ต้นรากเง้าของคำพูดว่า มนุษย์ มนูแล้วก็ใส่ยะ ก็เป็นมนุษย์ เป็นเหล่ากอของพระมนู ก็ยังเป็นยอดมนุษย์อยู่นั่นแหละ ความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์นั่นเป็นเรื่องสูงสุดไปอีกกว่านั่นไม่ได้แล้ว มันจบกันแค่นั่น มันไปจบแค่ความเป็นอรหันต์ มันสูงกว่านั้นอีกไม่ได้แล้ว เดี๋ยวนี้เรายังไม่อาจเป็นพระอรหันต์ แต่ให้มีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกัน คือ มีจิตใจสูง อยู่เหนือความทุกข์ ถ้ามันยังแช่ ยังหมก ยังจมอยู่ในกองทุกข์ หรือปัญหารุ้มรุมต่างๆ นานา มันก็ยังไม่มีจิตใจสูง มันมีจิตใจธรรมดา หรือจิตใจต่ำ จมอยู่ หรือกลิ้งเกลือกอยู่ หรือหมักหมมอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน ปัญหานานาประการ ดีใจ เสียใจ ดีใจ เสียใจ ดีใจ เสียใจอยู่แต่อย่างนี้ ไม่เคยสูงเหนือความดีใจ และเสียใจ พอดีใจก็บ้าไปเลยก็มุดหัวหลงไปใต้ความดี หลงดี บ้าดี เมาดี อะไรไปเลย อย่างนี้มันไม่สูงหรอก ระวัง บ้าดี เมาดี หลงดี ไม่ใช่ดีนะ บ้าบุญ เมาบุญ หลงบุญ ก็เหมือนกันแหละ ไอ้บ้าสุข หลงสุข ก็เหมือนกันแหละ ถ้ามันมีคำว่า บ้า แล้วมันใช้ได้ ดีก็ต้องดีชนิดที่ไม่บ้า ไม่หลง ไม่เมา จึงจะมีความใจสูง มีจิตใจสูง อยู่เหนือปัญหา อยู่เหนือความทุกข์ เดี๋ยวนี้มันเห็นแก่ประโยชน์ทางวัตถุ เห็นแต่ประโยชน์ทางวัตถุกันทั้งโลก ไอ้คำว่า ประโยชน์ ประโยชน์นี้มันมีความหมายบางอย่าง ซึ่ง ซึ่งคุณไม่เคยเรียนบาลีอาจจะไม่รู้ก็ได้ คำว่า ประโยชน์มันแปลว่า ผูกพัน ไม่ใช่แปลว่า อร่อย สวยงาม วิเศษวิโส คำว่า ประ-โย-ชะ-นะ ประโยชน์แปลผูกพันรอบด้านเลย ผูกพันรอบด้านเลย ประกอบ รัดรึง ผูกพันไว้รอบด้าน นั่นแหละคือ ประโยชน์ อธิบายได้ง่ายๆ ว่า ไอ้สิ่งที่เราพอใจหนะมันผูกพันจิตใจ เดี๋ยวนี้เขาก็เห็นถือเงิน เป็นสารนะ มุ่งเงินเป็นประโยชน์กัน ไอ้เงินนั่นก็คือ สิ่งผูกพันจิตใจ ที่เปลี่ยนศาสนา ไปถือศาสนาอื่น ก็เพื่อประโยชน์ ทั้งที่ถือพุทธศาสนาอยู่ดีๆ แล้วยังเปลี่ยนไปถือศาสนาอื่น ซึ่งไม่ดีกว่า ก็เพราะเห็นแก่ประโยชน์ ประโยชน์มันผูกพันลากไป ประโยชน์ทำให้ติดอยู่ที่ประโยชน์ ไม่เป็นอิสระ แม้แต่สวรรค์ สวรรค์วิมานนั่นก็เป็นประโยชน์แล้วผูกพันนิพพานไม่ได้หรอก ถ้าประโยชน์ในระดับสวรรค์ วิมาน ทิพยสมบัติอะไรผูกพันอยู่ คือ เป็นประโยชน์ที่ต้องการอยู่ สัตว์ตัวนั้นจะหลุดขึ้นไปสู่นิพพานไม่ได้ คำว่า ประโยชน์เป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างนี้ แต่เราก็บูชาประโยชน์กันทั้งนั่น ความคิดชั่วทุจริตทั้งหลายก็ทำไปเพราะบูชาประโยชน์ ประโยชน์ผูกพันให้จิตอยู่ในกองทุกข์ ให้จิตอยู่ในวัฏสงสาร เวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ คำว่า ประโยชน์ภาษาธรรมดา คือ สิ่งผูกพัน หลุดพ้นจากประโยชน์แล้วจึงจะเป็น โลกุตตระ อยู่เหนือโลกได้ พระอรหันต์ไม่มีประโยชน์เป็นเครื่องผูกพัน เอาทีนี้บางคนเขาใช้ประโยชน์คือพระนิพพาน นี่เป็นคำพูดที่ผิด พระนิพพานไม่ผูกพัน พระนิพพานไม่อาจจะเอามาถือเป็นประโยชน์ แต่เป็นเครื่องที่ทำให้หลุดไปจากอำนาจของประโยชน์ สิ่งที่เรียกว่า ประโยชน์ก็ต้องผูกพันจิตใจมนุษย์ มนุษย์ไม่อาจจะเต็มได้เพราะได้รับประโยชน์ เต็มต่อเมื่อหลุดพ้นจากอำนาจผูกพันของประโยชน์ คงจะไม่เคยฟังเพราะไม่เคยบาลี สำหรับคำว่า ประโยชน์ ก็ถือตามๆ กันไปทุกคนก็ถือประโยชน์กันดีที่สุด ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ชาตินี้ ประโยชน์ชาติหน้า ประโยชน์สูงสุดคือ นิพพาน มันขัดกันอยู่โดยคำพูด นิพพานไม่ใช่สิ่งผูกพัน ไม่ใช่ประโยชน์ ต้องพ้นจากประโยชน์ ถ้าพูดภาษาที่ถูกต้อง ต้องพ้นจากประโยชน์ แต่ถ้าพูดอย่างภาษาคนธรรมดาๆ ได้ ก็เรียก ประโยชน์คือพระนิพพานได้ แต่มันผิดจากไอ้ตัวนั่น ตัวคำพูดว่า ประโยชน์ ประโยชน์ มันจะแปลว่า สิ่งที่ผูกพัน มนุษย์สมบูรณก็พ้นจากการผูกพันของประโยชน์เป็นพระอรหันต์อยู่เหนือความต้องการประโยชน์ใดๆ ถ้ายังมีความผูกพันก็ต้องการประโยชน์ใดๆ อยู่ ยังไม่หลุดพ้น ยังไม่หลุดพ้น มนุษย์ที่เต็มมันออกไปเสียได้จากความผูกพันของประโยชน์ไม่จมอยู่ในการผูกพันบีบคั้นของประโยชน์คอยสนใจ เราเป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี เป็นมนุษย์ที่เต็ม หมายความว่า หลุดไปจากความผูกพันของประโยชน์ จะเอาอันนั้นเป็นประโยชน์อีกก็หมดเลย มันเป็นความผูกพันให้ติดตันอยู่ที่นั่น ก็ไม่หลุดพ้น เพราะเป็นการผูกพัน นั่นจะไม่ยึดมั่นถือมั่นพระนิพพานให้เป็นเครื่องยึดมั่นถือมั่น ให้เป็นเครื่องผูกพันขึ้นมาอีก ก็ต้องหลุดไปจากความผูกพันด้วยประการทั้งปวง มันจึงจะเป็นนิพพาน ถ้ายึดมั่นในนิพพาน ก็ไม่ใช่นิพพาน เป็นนิพพานไม่ได้ แม้ว่าเราจะเป็นผู้นำในครอบครัวก็ดี นำหมู่คณะ สมาคม ก็ดี หรือว่า นำประเทศชาติ นำโลกก็ดี มันมีได้แต่ความเป็นมนุษย์ที่เต็ม เป็นมนุษย์ที่ไม่เต็มมันก็ตกอยู่ใต้อำนาจของความอยาก หรือของประโยชน์ มันเป็นปลาที่ยังกินเบ็ดอยู่เพราะความโง่ของมันนั่นแหละ แต่มันคิดว่าฉลาด มันได้กินเหยื่อเข้าไปมันคิดว่า มันฉลาด แต่แล้วมันก็ติดเบ็ดอยู่กับเบ็ดเพราะเหยื่อ นี้เขาเรียกว่า มันไม่ที่สุด ไม่ถึงจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์ เป็นอันว่า วันนี้เราไม่ได้พูดเรื่องอะไรกันมาก เราพูดเรื่องเดียว คำเดียวว่า ความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ ขอให้สนใจมีความรู้เรื่องนี้ รู้เรื่องความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ พยายามเพิ่มความเป็นมนุษย์ให้เต็มขึ้นในจิตใจ ในอัตภาพนี้ให้มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ทางกายก็ถูกต้อง มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ ทางจิตก็ถูกต้อง มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ ทางสติปัญญา หรือทางวิญญาณ วิญญาณ คำนี้มันรำคาญ พอพูดว่าวิญญาณ แต่ว่ามันไม่รู้จะพูดว่าอะไร ก็พูดว่า ทางวิญญาณ คือทางสติปัญญา ถ้าเต็ม เต็มแห่งความเป็นมนุษย์ ภาษาฝรั่งก็มีคำนี้ใช้ คือทาง spiritual ทางฟิสิกส์ก็คือ ทางกายหรือทางวัตถุ แล้วก็ทาง mental ก็เป็นเรื่องทางจิต แล้วทาง spiritual ก็เป็นเรื่องทางนี้ที่ยังต้องเรียกว่า ทางวิญญาณ แต่คำว่า spirit spirit นี้แปลได้หลายอย่าง มันแปลว่า ผีก็ได้ แปลว่า เหล้าก็ได้ ไปดู dictionary แต่ก็มีคำว่าใช้เฉพาะ spiritual ทางสติปัญญาที่สูงสุด เรื่องจิตมันก็เป็นเรื่องจิต เป็นสมรรถภาพของจิต เป็นความเข้มแข็งของจิต เป็นประโยชน์ของจิต ส่วนวิชาความรู้ของจิต ที่จะทำให้จิตหลุดพ้น เป็นเรื่องทาง spiritual ถ้ามันถูกต้องทั้ง ๓ ทาง ก็เรียกว่า ครบ ทางกายก็ถูกต้อง ทางจิตก็ถูกต้อง ทางวิญญาณก็ถูกต้อง ขอสนใจความเป็นมนุษย์ รักษาความเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง ให้เต็ม เต็ม เต็ม เต็ม เต็มขึ้นไปเท่าที่ใครจะเต็มได้เท่าไรก็เท่านั้นแหละ ถ้าเต็มสุดก็เป็นพระอรหันต์แหละ นี้เราเรียกว่า เราเกิดมาเพื่อเป็นมนุษย์ ไม่ได้เกิดมาเพื่อหา ทำมาหากินพักๆ นึง แล้วก็ตายไป อย่างนั้นจะไปน่าชื่นใจอะไร ใครก็จะต้องเกิดมาทำมาหากิน ทนทุกข์ทรมานไปไม่เท่าไรก็ตาย ได้ชื่อเสียงบ้าง ไม่ได้บ้าง อำนาจวาสนาบ้าง ไม่ได้บ้าง เสร็จแล้วมาแล้วเต้นๆ โดดๆ พักเดียวแล้วก็ตาย อย่างนี้ มันไม่น่าบูชา คือมันไม่มีความถูกต้องอยู่อย่างสมบูรณ์ ขอให้สนใจเรื่องความเป็นมนุษย์ที่เต็ม เกิดมาทำไม ตอบว่า เพื่อได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ก็คือความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ อยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์ เหนืออะไร อะไรที่ไม่พึงปรารถนา ทุกอย่างทุกประการ นั่นก็เรียกว่า ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ผมเรียกเอาว่า เป็นความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ เกิดมาเพื่อให้ได้ความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ ก็พูดได้ว่า ไม่เสียทีเกิด ไม่เสียชาติเกิด ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน เกิดมาหากินไม่เท่าไรก็ตาย เกิดมาหาสิ่งที่ต้องการไม่เท่าไรก็ตาย โดยไม่มีความประเสริฐ วิเศษ น่าบูชา น่าอะไรอยู่ที่ตรงไหน แต่มันก็ใช้คำยากเหมือนกันแหละ มันก็ไม่มาหลงบูชา ยึดมั่นถือมั่นอะไรอยู่ที่ไหน มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์มันหลุดพ้นไปจากไอ้ความผูกพันใดๆ โดยประการทั้งปวงนั่นแหละ ขอให้ถือความหมายนั่น ได้ถึงที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ถึง จะได้จะถึง และการบรรยายเรื่องนี้ก็สมควรแก่เวลา มันเต็มตามเวลาที่เขาให้ ๑ ชั่วโมง ขอยุติการบรรยายสำหรับวันนี้