แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการพูดกันครั้งที่ ๒ นี้ จะได้พูดถึงประโยชน์หรืออานิสงส์ของชีวิตใหม่ หรือการมีชีวิตใหม่ มันกินความไปถึงสิ่งที่เรียกว่ารส คือความอร่อย หรือเสน่ห์อัสสาทะ เสน่ห์หรืออัสสาทะ แอตแทรกทีฟเนส (Attractiveness) นั่น ขอให้สนใจในแต่ละคำๆ ความยากลำบากมันมีอยู่ที่คำพูด คำพูดไม่พอก็มี คำพูดไม่มีใช้อยู่ก็มี แม้คำพูดที่ใช้อยู่มันใช้ไม่ได้ก็มี นี่เราจะต้องพูดกันหลายคำเพราะเหตุนี้ ขอให้สนใจฟังให้ดีๆทีละคำๆ ยกตัวอย่างเช่นคำว่าความสุข ความสุขในกรณีทั่วไปก็เป็นความหมายที่ทุกคนพอใจ แต่แล้วสิ่งนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ ในเมื่อเราต้องการความสงบ มันเลยมีคำพูดที่จะต้องพูดขึ้นมาใหม่ว่าความสุขที่แท้จริง และความสุขที่แท้จริงมันก็ไม่เป็นอย่างที่คนทั่วไปคิดนึก ในความสุขน่ะเป็นโพสิทีฟ (Positive) ทีนี้เราต้องการความสุขที่แท้จริง มันอยู่เหนือเหนือโพสิทีฟ เราเลยไม่มีคำพูดจะใช้ เพราะฉะนั้นความสุขจึงเป็นคำที่ทำความลำบากให้มากทีเดียว คำว่าเหนือความสุขจึงจะเป็นความสุข แม้เราจะใช้คำว่าความสุขที่แท้จริง หรือความสุขที่สูงสุดก็ตาม มันก็ยังมีลักษณะเป็นโพสิทีฟอยู่นั่นเอง เราได้พูดกันแล้วว่าชีวิตใหม่อยู่เหนือโพสิทีฟหรือเนกาทีฟ (Negative) จึงยังมีความยากลำบากในการที่เราจะมีคำใช้ให้ถูกต้อง เราจึงขอให้ท่านทำความเข้าใจให้พอกันว่าเรามีคำที่จะใช้เรียกความสุขชนิดที่อยู่เหนือโพสิทีฟหรือเนกาทีฟ ซึ่งเราจะขอเรียกมันว่านิพพาน จึงต้องขอร้องให้ท่านทั้งหลายทุกคนรับเอาคำใหม่สักคำ หรือเพิ่มคำใหม่จะมาสำหรับมีไว้ รู้ไว้สำหรับศึกษาคือคำว่านิพพาน ในภาษาไทยเรียกว่านิพพาน ในภาษาบาลีเรียกว่านิพพานะ สันสกฤตก็นิรวาณ อยากจะใช้คำสั้นๆว่านิพพานในภาษาไทย ให้เขาสนใจคำนี้ รับในคำนี้ แม้จะเป็นคำใหม่ ถึงจะแปลกหรือจะยากลำบากบ้างก็ขอให้สนใจที่จะรับใช้คำๆนี้ ในชั้นแรกก็จะรู้ความหมายหรือคำแปลของนิพพาน แล้วจะค่อยรู้เองว่าจะเป็นโพสิทีฟหรือไม่ คำว่านิพพานโดยตัวหนังสือ โดยตัวพยัญชนะ โดยรูปของศัพท์แปลว่าดับแห่งความร้อน มีความหมายของคำว่าเคว้นช (quench) มากที่สุดเลย เคว้นชิ่งออฟเดอะฮีท ออฟเดอะเธิร์สท ออฟเดอะทุกขะ (Quenching of the heat, of the Thirst, of the Dukkha) นิพพานดับแห่งความร้อนความทุกข์ ใจความสำคัญอยู่ที่ตรงนี้ เอาใจความสำคัญที่จะได้ก่อนว่า ดับเย็นแห่งความร้อนหรือความทุกข์ ท่านทั้งหลายก็สังเกตดูเอาเองว่ามีความต่างกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อยระหว่างคำว่าเคว้นชิ่ง เอ็กซติงควิชชิ่ง (Extinquishing) หรือว่าเอ็กซติงชั่น (Extinction) มันต่างกันอยู่ และคำว่าเคว้นชิ่งนี่มีลักษณะที่ชวนให้สนใจหรือน่ารักน่าสนใจอยู่บ้าง คือมันมีลักษณะของโพสิทีฟเหลืออยู่ ถ้าเป็นเอ็กซติงชั่น มันก็จะไม่มีเหลือเลย แต่นี่เราก็เล็งเอาความประสงค์แท้จริงของคำๆนี้ที่เขาใช้กันอยู่ในครั้งพุทธกาล ครั้งโบราณ มันมีความหมายของคำว่าเคว้นชิ่งมากกว่าที่จะเป็นเอ็กซติงชั่น เคว้นชิ่งออฟเดอะฮีท แล้วก็ดูฮีทน่ะ อะไรบ้างๆ แล้วมันเคว้นชไป มันก็สบาย สบายอยู่ไม่ใช่สูญหายหมดสิ้น ขอให้ทุกคนน่ะ สังเกตเอาเองรู้ความหมายเอาเองว่าเราควรจะให้ความหมายอย่างไรสำหรับคำว่านิพพาน ในที่นี้ขอเสนอคำว่าเคว้นชิ่งออฟเดอะฮีท เธิร์สท หรือ….(นาทีที่ 14.26) นิพพานไม่ใช่ความตาย ไม่ใช่เกี่ยวกับความตาย แต่ก็ได้ใช้กันผิดๆแม้ในประเทศไทยนี่ก็ใช้คำว่านิพพานผิดความหมาย ใช้เป็นความตายของพระอรหันต์หรือของใครก็ตาม หมายถึงความตาย ….(นาทีที่ 16.34) ขอให้เข้าใจให้ถูกว่าไม่เกี่ยวกับความตายและไม่ใช่ความตาย แต่มันเป็นความดับลง เย็นลงแห่งความร้อน นี้จะต้องเข้าใจคำว่านิพพานกันเสียให้ถูกต้องก่อนว่าไม่เกี่ยวกับความตาย ความตายจะเคว้นชอะไรไม่ได้ และบรรลุนิพพานแล้วไม่ต้องตาย ไม่ต้องตาย แม้บรรลุนิพพานไม่ต้องตาย แต่ก็มีภาวะเปลี่ยนแปลงไปเป็นว่าปราศจากความร้อนคือความทุกข์ เพื่อให้เข้าใจมากพอ ควรจะเข้าใจว่า คำว่านิพพานนี้เป็นภาษาธรรมดา พูดอยู่ในบ้านเรือนนี่หมายถึงความดับแห่งความร้อนมาก่อน เช่นกับไฟ ดับลง นั่นคือว่าไฟนิพพาน ใช้คำเดียวกันเลยกับคำว่านิพพาน อาหารเช่นซุปเป็นต้น ร้อนกินไม่ได้ ต้องรอให้นิพพานพอสมควรจึงจะกินได้ ใช้กับแม้แต่อาหาร หรือว่าเมื่อช่างทองเขาเอาน้ำรดทองที่หลอมอยู่ในเบ้าให้เย็น ก็ใช้คำนี้ว่าทำให้นิพพาน ไม่เกี่ยวกับความตาย จนกระทั่งว่าสัตว์เดรัจฉานนำมาจากป่า ฝึกมาดีแล้ว ไม่มีอันตรายต่อไป ก็เรียกว่าสัตว์เดรัจฉานนี่มันเป็นนิพพาน มันเคว้นชอะไรของมันออกไปหมดด้วยเหมือนกัน นี่คำธรรมดาเขาใช้อยู่ในบ้านเรือนอย่างนี้ ต่อมาผู้รู้เรื่องทางจิตทางวิญญาณขอยืมไปใช้เพราะไม่มีคำอื่นจะใช้ ต้องขอยืมคำชาวบ้านไปใช้ ถ้าตั้งคำอื่นเข้ามาก็ฟังไม่ถูก จึงไม่ตั้งคำใหม่ขึ้นมา เอาคำเก่านี่ไปใช้ในความหมายใหม่ที่สูงๆขึ้นไป จึงกลายเป็นดับเย็น เชิดของกิเลส ของความทุกข์ นี่คำว่านิพพานมีความหมายอย่างนี้และใช้กันอยู่อย่างนี้ และขอให้เข้าใจต่อไปว่ามากคำ เกือบจะทั้งหมดก็ได้ คำธรรมะนั่นน่ะยืมมาจากคำชาวบ้านเอาไปใช้เป็นคำธรรมะ คำอื่นๆอีกมากมาย ยกตัวอย่างคำว่านิพพานในฐานะที่เป็นคำสำคัญที่เราจะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ขอให้ท่านทราบไว้แต่ว่าคำธรรมะทั้งหลายยืมคำชาวบ้านไปใช้ อย่างเช่นคำว่าทางเดินนี่ เอาไปใช้เป็นทางไปนิพพานเรียกว่ามรรค มรรคา มรรค เหมือนกัน ทางเดินก็มรรค ทางไปนิพพานก็มรรค อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเข้าใจคำเดิมในภาษาคนก็ง่ายที่จะเข้าใจในคำทีหลังที่เป็นภาษาธรรม ก็เข้าใจได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจคำว่านิพพาน เคว้นชิ่งออฟเดอะฮีท แล้วก็จะค่อยๆเข้าใจไกลออกไปๆว่า ฮีทนี่หมายถึงอะไร ภาษาไทยก็พูดด้วยคำนี้เหมือนกันน่ะว่าทุกข์ร้อน ถ้าทุกข์แล้วก็ร้อนถ้าเป็นความทุกข์ก็เป็นความร้อน ถ้าเป็นความร้อนก็เป็นความทุกข์ โดยพูดว่ามีความทุกข์ร้อน แต่ความร้อนนั่นล่ะที่มันจะต้องเคว้นชออกไป นิพพานคือเคว้นชิ่งของสิ่งที่ร้อน ร้อนแล้วก็เป็นทุกข์ ทีนี้เราก็หันมาดูในความหมายที่สำคัญที่สุดต่อไปอีก นิพพาน เคว้นชิ่งออฟเดอะฮีท นิพพานนี้หรือเคว้นชิ่งออฟเดอะฮีทนี่คือสิ่งที่ทำให้เราไม่ตาย นิพพานไม่ใช่ตายแต่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่ตาย คือถ้าเราไม่มีเคว้นชิ่งออฟเดอะเธิร์ทส เราก็ตาย เดี๋ยวนี้ทุกวันนี้ ถ้าเราอยาก หรือว่าหิวหรือว่าร้อน หรือว่าอะไรเราก็ตาย คือการเคว้นชิ่งของมันมีอยู่น่ะ จึงทำให้ไม่ตาย ขอให้ขอบคุณนิพพาน ทุกคนนี่รอดชีวิตอยู่ได้เพราะสิ่งที่เรียกว่านิพพาน ที่….(นาทีที่ 26.46) ชีวิตเอาไว้ นิพพานเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้มีอยู่เดี๋ยวนี้ ที่นี่ ตลอดเวลา ดูความหมายนี่กันก่อน ถ้าความกระหายความอยากของเรามันไม่มีเคว้นชเลย ไม่กี่ชั่วโมงเราก็ตาย เวลาที่มันเคว้นชหรือไม่มีเธิร์ทส มันมีมากพอ มากพอตรงสัดตรงส่วนที่ทำให้เราอยู่ได้ คือทำให้เรานอนหลับได้ พักผ่อนได้ เราจึงไม่ตาย ถ้ามันเธิร์ทสหรือหิวหรือฮีทอยู่เรื่อยแล้วเราก็นอนไม่หลับ เราก็จะเป็นโรคประสาท แล้วเราก็จะเป็นบ้า แล้วเราก็จะตาย พูดว่าที่เราไม่เป็นโรคประสาทไม่เป็นบ้าไม่ตายไม่ฆ่าตัวตายกันนี่ก็เพราะเคว้นชิ่งออฟเดอะเธิร์ทสหล่อเลี้ยงเอาไว้ นี่ก็จะรู้จักนิพพานในความหมายอย่างนี้ซึ่งสำคัญที่สุดและควรจะมีให้ถูกต้องให้มากยิ่งขึ้นไป ขอให้คำนวณดูว่า ๒๔ ชั่วโมง เคว้นชอยู่กี่ชั่วโมง แล้วไม่เคว้นชอยู่กี่ชั่วโมง จะเห็นได้ง่ายๆไม่ยากเลย มันต้องพอ พอเหมาะที่จะอยู่ได้ นั่นเราเคว้นชอยู่หลายๆชั่วโมง หรือว่าเป็นระยะๆๆก็ได้ มันจึงไม่ตาย ถึงได้ให้ความเป็นธรรมแก่นิพพานบ้าง คือขอบคุณในนิพพานบ้างที่ทำให้เราไม่ตาย เดี๋ยวนี้คนโง่มันแปลนิพพานว่าความตาย มันไม่ใช่ความตาย ไม่เกี่ยวกับความตายทุกอย่างทุกประการ นี่ รู้จักนิพพานในฐานะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตอยู่ได้ไม่ตายและเย็นด้วย ทีนี้เกี่ยวกับชีวิตใหม่ ก็ขอให้เข้าใจว่ามันเคว้นชมากกว่าชีวิตเก่าหรือมันเคว้นชตลอดไปก็ได้ ชีวิตใหม่ที่เราพูดถึงว่าเราจะศึกษาค้นคว้าแสวงหาให้ได้ชีวิตใหม่ ชีวิตใหม่ก็มีเคว้นชิ่งเป็นความหมายเป็นสาระ ถ้าเห็นอย่างนี้ก็ช่วยกันแสวงหาชีวิตใหม่ให้ได้ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนานี่ ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนานี่จะได้ชีวิตใหม่ที่เคว้นชมากหรือเคว้นชตลอดไป ขอให้ช่วยจำคำว่านิพพานไว้โดยเสียงออกว่านิพพาน นิพพาน ไม่ต้องแปลเป็นภาษาอะไรกันให้ลำบากแล้วมันจะผิด ค่อยๆผิด ใช้คำว่านิพพาน สรุปเป็นข้อแรกว่านิพพานเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตไว้ โดยการให้เคว้นชิ่งที่เพียงพอสำหรับที่จะมีชีวิตอยู่และเป็นชีวิตเย็นด้วย นี่เป็นข้อที่ ๑
ทีนี้ข้อที่ ๒ นิพพานนี่คือ ซัมมัม โบนัม (Summum bonum) ขอใช้คำเดิมๆของเขา ซัมมัม โบนัม แห่งพุทธศาสนา ต้องใช้คำนี้ก็เพราะว่าเป็นที่เข้าใจกันดีอยู่แล้วว่าที่สูงสุด ที่ประเสริฐที่สุด นั่นเรียกว่า ซัมมัม โบนัม อัทโมสกู๊ดเนสแด๊ดแมนแคนเก๊ดอินดิสเรดดี้ไลฟ์ (Summum bonum utmost goodness that man can get in this ready life)ซัมมัม โบนัม ยังรู้จักนิพพานว่าเป็น ซัมมัม โบนัม ของพุทธบริษัท ถ้าเป็นซัมมัม โบนัม ในจริยธรรมสากลก็ได้ ก็ยังไปกันได้ ก็ความหมายเดียวกัน เพราะเป็นสิ่งสูงสุดด้วยกัน ซัมมัม โบนัม ทั่วไปในจริยธรรมน่ะ ในมอรัลลิตี้อินเนกาทีฟ (Morality in negative) นี่คือแฮปปิเนส (happiness) เขาใช้คำว่า แฮปปิเนส แต่เราก็ได้ดิสคัส (discuss) กันแล้วว่าแฮปปิเนสน่ะมันกำกวมใช้ไม่ได้ ถ้าแฮปปิเนส ต้องเป็นแฮปปิเนสอย่างนิพพานซึ่งเป็นทุกข์ไม่ได้ แฮปปิเนสที่แท้จริงที่เป็นทุกข์ไม่ได้ก็มีความหมายอยู่เหนือโพสิทีฟนี่ คือนิพพาน อย่างนี้ก็เป็นซัมมัม โบนัม ของฮิวแมนิตี้ (Humanity) ก็ได้ พิสูจน์ได้ ยิ่งอธิบายเท่าไรก็ยิ่งพบว่าเป็นของฮิวแมนิตี้มากกว่าจะเป็นของเฉพาะตัวบุดดิสท์ (Bhuddist) ก็ขอให้กำหนดความเข้าใจไปอย่างว่านิพพานเป็น ซัมมัม โบนัม เราจะต้องสังเกตดูให้ดีว่าเรามีคำว่าสุพรีม (Supreme) บ้าง ยูนีค (Unique) บ้าง อันนี้ล่ะมันไปถึงไหน มันสูงขึ้นไปจนเหนือดีหรือเปล่า ถ้ามันยังไม่เหนือชั่วไม่เหนือดี มันไม่สุพรีมไม่ยูนีค ฉะนั้นคำว่าอัทโมสกู๊ดเนส (Utmost Goodness) นี่มันยังไม่ถูกต้อง แต่เราก็ไม่มีคำจะพูด ยังใช้คำว่ากู๊ด (Good) กู๊ดเนส (Goodness) อยู่นั่นเอง ต้องเหนือนั่นขึ้นไปอีก เหนือกู๊ด เหนือกู๊ดจนไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไร จนต้องย้ำจำเป็นต้องมาใช้คำว่ากู๊ดอีก นี่เป็นภาษาที่ไม่ถูกต้อง เป็นภาษาที่หลอกให้เข้าใจผิด เหนือดีพ้นดีก็ยังจะต้องพูดว่าดีที่สุดอีก ดังนั้นขอให้ทุกคนเข้าใจว่า ดีที่สุด ดีที่สุดนั้นน่ะ ต้องเหนือดีต้องพ้นดี เหนืออิทธิพลแห่งความดีเหนือค่าเหนือความหมายแห่งความดี นั่นน่ะจึงจะเป็นสุพรีมชนิดที่เป็นความหมายของนิพพาน นิพพาน จึงได้พูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า เหนือโพสิทีฟอีสซัม เนกาทีฟอีสซัม (นาทีที่ 44.52) นอกเหนือสิ่งที่เป็นคู่ๆ รู้จักพระนิพพานเอาไว้ด้วยถูกต้องในความหมาย แม้เราจะต้องพูดจาว่าดี ดีที่สุดอยู่ก็ให้รู้ว่ามันพ้นดีเหนือดีจึงจะเป็นนิพพาน มนุษย์เรามีคำพูดที่ใช้พูดเฉพาะแต่สิ่งที่เรารู้จักเท่านั้นเอง เฉพาะแต่สิ่งที่เรารู้จักเท่านั้นเราจึงมีคำพูด ฉะนั้นคำพูดทุกคำมันแสดงถึงสิ่งที่มนุษย์รู้จัก เมื่อมนุษย์ไม่รู้จักอย่างมากที่สุดก็ดี กู๊ด ดี ไอ้เหนือดีขึ้นไปไม่เคยรู้จัก ฉะนั้นคำพูดไม่มี เดี๋ยวนี้เรามามีความคิดหรือความรู้ด้วยการคำนวณก็ตามว่ามันยังมีสิ่งที่เหนือดี แม้จะหมดปัญหา ถ้าดีก็มีปัญหาแบบดี ไม่ดีก็มีปัญหาแบบดี ถ้าเหนือชั่วเหนือดี จะไม่มีปัญหาเลย เราก็รู้ พอจะคำนวณได้ว่าเป็นอย่างไร แล้วเราก็ไม่มีคำพูด เราก็เลยต้องใช้คำว่าดี ดี ถึงแม้จะเหนือดีแล้ว ต้องใช้คำว่าดีที่สุด อย่างมากก็ว่าดีที่สุด ไม่มีคำพูดว่าเหนือดี ดังนั้น เดี๋ยวนี้มามีคำพูดว่าเหนือดี เหนือดีกันสักทีก็คือนิพพานนั่นน่ะ มันก็เคว้นชิ่งอัทโมส อัทโมสเคว้นชิ่ง ทำให้อาจจะบัญญัติว่าชั่วหรือดี อย่างที่เคยพูดเตือนให้ชาวคริสเตียนทั้งหลายว่าขอให้เหนือกู๊ดแอนด์อีวิล (Good and Evil) นั่นน่ะจึงจะที่สุด จึงจะถึงที่สุด สุดจะเหนือดี เข้าใจคำว่าเหนือดี เหนือชั่ว เหนือบุญ เหนือบาป เหนือสุข เหนือทุกข์กันไว้บ้าง เดี๋ยวนี้เรามีคำใช้กันแล้ว เห็นไหม เรามีคำใช้ ถ้าท่านคิดถึงสิ่งที่เหนือชั่วเหนือดี เหนือชั่วเหนือดี เหนือกู๊ดแอนด์อีวิลแล้วก็ เราก็มีคำใช้คือคำว่านิพพาน เดอะเคว้นชิ่งออฟกู๊ดแอนด์อีวิล (The Quenching of Good and Evil) เหนือชั่ว เหนือดี ในพุทธศาสนาก็มีคำพูดที่พอให้สังเกตได้ว่า นิพพานเป็นสิ่งสูงสุด สูงสุดหมดน่ะ สูงสุด ไม่พูดว่าชั่วหรือดี เพราะว่ามันสูงพ้นชั่วพ้นดี เคว้นชิ่งออฟกู๊ดแอนด์อีวิล เดี๋ยวนี้เรามีคำใช้แล้ว ขอร้องให้ทุกคนมีคำพูดคำนี้ใช้ นิพพาน นิพพาน จะได้อยู่เหนือโพสิทีฟแอนด์เนกาทีฟ เหนือทุกคู่ ทุกแพร์ออฟออบโพสิท (Pair of opposite) ทุกๆคู่ เรามีคำใหม่อีกคำหนึ่งแล้ว นั่นน่ะประโยชน์ของชีวิตใหม่ที่จะมีได้ เป็นข้อที่ ๒ ทีนี้ต้องเข้าใจลงไปให้ลึกถึงว่ากู๊ดก็มีฮีท อีวิลก็มีฮีท คือฮอท (Hot) ทั้งกู๊ดทั้งอีวิล แล้วมันจึงตามมาเก็บเคว้นช ลงไปทั้งกู๊ดแอนด์อีวิล ขอให้เข้าใจเถอะ ขอให้เข้าใจคำนี้เถอะมีประโยชน์คุ้มค่าคุ้มเวลา ขอให้สนใจยอมเสียเวลาที่จะเข้าใจเคว้นชิ่งออฟกู๊ดแอนด์อีวิล กู๊ดมันก็มีฮีท อีวิลก็มีฮีท ต้องเคว้นชกันทั้ง ๒ อย่าง เราจะต้องศึกษาให้รู้จักของเป็นคู่ โดยเฉพาะคู่สำคัญที่สุดคือโพสิทีฟก็มีฮีท เนกาทีฟก็มีฮีท โพสิทีฟมันก็มีเว็ทฮีท (Wet heat) เนกาทีฟก็มีดรายฮีท (Dry heat) ฮีทด้วยกันทั้งนั้น ทั้งดีทั้งชั่ว มีฮีทตามแบบของตนๆ ต้องเคว้นชมันทั้งนั้นเลย ขอให้สนใจศึกษาให้รู้จักสิ่งที่เป็นคู่ๆ ดูอัลลิซึ่ม (Dualism) ทุกคู่ๆจนเห็นชัดว่าทุกคู่มีฮีทคือมันเป็นฮอท ทั้งนั้นเลย ดีกับชั่ว กู๊ดแอนด์อีวิล ใช้คำๆนี้จะได้กินความหมดเลย ทั้งคำในไบเบิล (Bible) คริสเตียนไบเบิล กู๊ดแอนด์อีวิล มันก็มีฮีทแล้วมันก็เป็นฮอท สุขหรือทุกข์มันก็มีฮีทและฮอททั้งนั้น แฮปปิเนสในความหมายธรรมดานี่มันเป็นเรื่องของกิเลส มันต้องยินดี มันต้องพอใจ มันมีปัญหา ไอ้ความทุกข์ก็มีปัญหา ทีนี้ทุกคู่ๆ บุญหรือบาปนี่ความหมายเหมือนกันจะเป็นอย่างเอเชียหรืออย่างยุโรป อเมริกา มันก็ได้ก็เสีย เกนอะล้อท (Gain a lot) มันก็มีฮีทและฮอททั้งนั้น แพ้และชนะมันก็มีฮีทและฮอททั้งนั้น ทุกคู่หลาย ๑๐ คู่ ขอให้จงใจศึกษาเรื่องแพร์ออฟออบโพสิทนี่ให้มากๆเถอะ แล้วมาดูทุกคู่ๆ จะมีฮีทและฮอทกันทั้งนั้น มันต้องอยู่เหนือนั้น อยู่เหนือความหมายของแพร์ออฟออบโพสิทน่ะ จึงจะไม่มีฮีทและไม่ฮอท เรียกว่าเคว้นชมันได้ เราสามารถที่จะมีชีวิตเย็น ทีนี้ก็มาถึงคำที่มันหลอกลวงเราอีกคำหนึ่งซึ่งสำคัญมาก เราพูดเมื่อสักครู่นี้ว่าต้องการชีวิตเย็น คำว่าเย็นนี่มันหลอกลวง เป็นคำหลอกลวงเช่นเดียวกับคำว่ากู๊ด เย็นในภาษาธรรมดาที่คู่กับร้อน ดูอัลลิซึ่ม เย็นร้อนดูอัลลิซึ่มนี้ ทั้ง ๒ อันก็ฮอท เย็นในภาษาที่เราพูดกันนี่ มันยังมีร้อน คือมันมีเทมเปเรเจอร์ (Temperature) น้อยเท่านั้นเอง ฮอทคือมันมีเทมเปเรเจอร์มาก เย็นในภาษาธรรมดานี่ไม่ใช่เย็น ยังเป็นฮอท ฉะนั้นต้องเหนือเย็น พ้นจากเย็นในภาษาธรรมดานี่จึงจะเป็นเย็น นั่นจึงจะเป็นเย็นอย่างนิพพาน ถ้าว่าชีวิตเย็นต้องเป็นชีวิตแบบนิพพาน เย็น เย็นธรรมดานี่มันคู่กับฮอท มันยังฮอทอยู่นั่นล่ะ แม้จะเย็นก็ยังร้อนอยู่นั่น ฉะนั้น คำว่าเย็นมันก็หลอกลวงเช่นเดียวกับคำว่ากู๊ดหรือคำว่าสุข เราต้องการชีวิตเย็น มันก็เป็นเย็นชนิดที่เหนือเย็น พ้นเย็น เหนือเย็น เหนือร้อน พ้นเย็น พ้นร้อน จึงจะเย็น เราก็ต้องการชีวิตเย็นชนิดนี้ จะพูดว่าไม่มีเทมเปเรเจอร์เลยก็ได้เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยถูกนัก แต่เราก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไร เราจึงพูดได้แต่ว่าเหนือเย็น นอกเย็น พ้นจากเย็น นั่นน่ะคือเย็นที่เราต้องการ อย่าให้มันหลอกเราได้สำหรับคำว่าเย็น นี่ถ้านึกถึงสิ่งที่อยู่เหนืออิทธิพลของของเป็นคู่ ที่อยู่นอกเหนืออิทธิพลของสิ่งที่เป็นคู่ๆ แล้วจงนึกถึงคำว่านิพพานว่านิพพานไม่มีคู่ ไม่มีคู่ ไม่เป็นดูอัลลิซึ่ม คือมันเป็นพ้นไปจากดูอัลลิซึ่ม ถ้าเราจะนึกถึงสิ่งที่ไม่เป็นคู่ ไม่มีฮีท ไม่ฮอทนี่ก็ต้องนึกถึงนิพพาน และนั่นล่ะคือผลของการที่ได้รับชีวิตใหม่ ซัมมัม โบนัม ตามความหมายของพุทธบริษัทนั่นน่ะ มันไม่ยอมพูดกันเสียอีก อย่างภาษาละตินจะไม่มีคำนี้ จะไม่มีคำนี้ก็ได้ในภาษาละติน จึงมีคำว่าซัมมัม โบนัม อัทโมสกู๊ดเนส ไม่มีคำว่าเหนือกู๊ดเนส แต่พุทธศาสนา พุทธบริษัทมีคำว่าเหนือขึ้นไปอีก ฉะนั้น ซัมมัม โบนัม จึงมีความหมายต่างกันจากซัมมัม โบนัม ทั่วไป ที่มันยังอยู่ที่ดีๆๆ เหนือดี เหนือชั่ว เหนือดี เหนือทุกอย่างสมกับที่เรียกว่าบรมธรรม นิพพานัง ปรมัง วัฏฏันติ พุทธาหะ (นาทีที่ 1.07.27) พูดถึงเหล่านิพพานว่าเป็นปรมัตถ์ สุพรีม อย่างยิ่ง เหนือทั้งหมดเลย ...(นาทีที่ 1.07.38)จากนิพพานเป็นซัมมัม โบนัม เฉพาะของพุทธศาสนา มีคำพูดที่จะช่วยให้เราเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นไปอีกคำหนึ่งซึ่งอยากจะให้พิจารณาคือคำว่าหิว เราหิว เราก็ต้องมีอะไรมากินให้หายหิว นี่ หิวต้องมีอะไรมากินให้หายหิว นี่อีกอันหนึ่ง เราไม่หิว ไม่หิว ไม่รู้สึกหิว ไม่มีการหิว ไม่ต้องมีอะไรมากินให้หายหิว อันไหนมันเคว้นชิ่งกว่า เคว้นชิ่งกว่ากัน หิวต้องมีอะไรมากินให้หายหิว กับที่เราไม่หิวเลย อันไหนเคว้นชกว่ากัน ถ้าเรารู้จักอันไหนมันเคว้นชจริงๆ นี่คือมันไม่หิวล่ะ และนั่นน่ะคือนิพพาน ความหมายของนิพพาน มันทำให้ไม่หิวและไม่หิวอะไร ไม่หิวอะไร ไม่หิว ถ้ายังไม่นิพพานมันยังต้องหิวแล้วหาอะไรมากินเพื่อให้มันเคว้นชิ่ง ไปเคว้นชมัน แต่ถ้านิพพาน มันเคว้นชยิ่งไปกว่านั้นคือมันไม่หิว นี่คำว่าเคว้นชของนิพพานมันเป็นอย่างนี้ ความต้องการที่จะเคว้นช ความต้องการเคว้นชิ่ง เป็นอินสติงท์ (Instinct) เป็นสัญชาตญาณ ชีวิตทุกชีวิตมีอินสติงท์ที่ต้องการจะเคว้นช สิ่งที่มันไม่ต้องการหรือฮีทหรือเธิร์สท เราจงสนองความต้องการของสัญชาตญาณนี้ให้ถูกต้อง มันทนไม่ได้ล่ะ สิ่งมีชีวิตต้องการที่จะเคว้นชทั้งนั้น ยกตัวอย่างว่ายุงมันหิวมันก็เที่ยวเจาะเลือดมนุษย์กิน เด็กทารกมันหิวมันก็ต้องกินนมแม่ จะเคว้นชทั้งนั้นน่ะ ถ้าไม่เคว้นชมันตาย เคว้นชิ่งเป็นสิ่งที่ต้องการของสัญชาตญาณ เราโตขึ้นมานี่ก็ต้องมีเคว้นชๆๆๆเรื่อยไป ถ้าเราหิวอาหาร เราก็ต้องหาอาหารมา ถ้าเราต้องการทรัพย์สมบัติมา ก็ต้องหามา ก็จะเคว้นชความต้องการ ต้องการชื่อเสียง ก็ต้องหามาเพื่อจะเคว้นชความต้องการมีชื่อเสียง ต้องการกามารมณ์ ก็ต้องหามา เพื่อจะเคว้นชมัน หรือว่าต้องการอะไรที่มันดีกว่าไปนั้น ต้องการบุญต้องการกุศลต้องการพระเจ้าอะไร ก็ต้องไปหามาเคว้นชมันเป็นลำดับๆกันไป ความต้องการที่จะเคว้นชนี่เป็นอินสติงท์ เราหลีกไม่พ้น เราต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเคว้นชได้ดีที่สุดก็คือเคว้นชหมดเลย หมดปัญหาเลย สนองความต้องการของสัญชาตญาณกันให้ถูกต้อง ความต้องการ ความอยากที่รุนแรงที่สุดก็คือความต้องการของกิเลสของอวิชชา ความโง่ที่ทำให้ต้องการความต้องการในอวิชชาน่ะมันเป็นความต้องการสูงสุด เป็นความร้อนที่สุด ถ้าดับอันนี้จะได้เป็นนิพพานสมบูรณ์ นิพพานในขั้นสมบูรณ์ในขั้นเต็มที่ ฉะนั้นนิพพานก็คือมันเคว้นชอันที่สุด อันสุดท้ายนี่ก็นิพพาน จงรู้จักนิพพานไว้ในฐานะที่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เคว้นชอันสุดท้าย
ทีนี้เราก็มาถึงความหมายที่ ๓ ที่ว่านิพพานเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิต ประโยชน์ประการที่ ๓ ของนิพพานก็คือเป็นจุดสุดท้ายปลายทางเป็นไฟนัลโกลล์ (Final Goal) ของชีวิต ชีวิตนี่ไม่มีทางไปทางไหนนอกจากต้องไปนิพพาน ถ้ามันไม่ถึงนิพพาน มันจะต้องดิ้นรนอยู่เรื่อย ต้องไปอยู่เรื่อย การไป การพ้น การแสวงหา การดิ้นรน การต่างๆจะหยุดจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อมีนิพพาน ฉะนั้นจึงเป็นจุดหมายปลายทางเป็นไฟนัลโกลล์ ...(นาทีที่ 1.21.46) ว่าชีวิตของใครก็ตาม ชีวิตของใครระดับไหนก็ตามจะต้องเดินทางไปสู่จุดสุดท้ายคือนิพพาน ชีวิตอย่างต้นไม้ ชีวิตอย่างสัตว์เดรัจฉาน ชีวิตอย่างคนอย่างมนุษย์นี่ มันจะดิ้นรนไปๆๆจนถึงไฟนัลโกลล์ และไฟนัลโกลล์นั้นไม่มีอะไรนอกจากนิพพาน ไม่ถึงนิพพานไม่มีหยุด ไม่ถึงนิพพานไม่มีการหยุด เพราะฉะนั้นมันมีการหยุด หยุดการท่องเที่ยวไปนั่นน่ะที่นิพพาน นิพพานจึงเป็นจุดหมายปลายทางของทุกชีวิต มันจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม มันเป็นจุดหมายปลายทางอยู่ที่นิพพานทั้งนั้น เดี๋ยวนี้แม้ว่าท่านทุกคนไม่รู้เรื่องนิพพาน ไม่ต้องการนิพพาน แต่ชีวิตแท้ของท่านมันสตรักเกิลล์ (Struggle) สตรักเกิลล์เพื่อนิพพานในตัวมันเอง มันต้องการจะเคว้นชๆๆๆๆไปตามลำดับๆๆจนอันสุดท้าย ฉะนั้นท่านจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม จะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม จะไม่สนใจ สนใจไม่สนใจก็ตามไอ้ชีวิตนี่มันมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่นิพพานอย่างไม่มีทางเป็นอย่างอื่น ฉะนั้นขอให้เราตกลงกัน ร่วมมือกันกับชีวิตที่ว่ามันจะต้องไปสู่นิพพาน แล้วก็คือจุดสุดท้ายของชีวิต นั่นน่ะเพียงแต่ว่าได้ถึงจุดสุดท้าย หรือจะพูดอีกทีหนึ่งว่าได้สิ่งที่ควรจะได้ หรือพูดว่าดีที่สุดที่ควรจะได้ เอาอีกแล้วมันมาโพสิทีฟอีกแล้ว คำพูดมันไม่มี ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะได้ ที่จริงมันพ้นดีเหนือดีก็ว่าจะได้นั่นน่ะ จึงจะเป็นจุดสุดท้ายแล้วมันจะหยุด หยุดการดิ้นรน หยุดการเดินทาง ท่านจะรู้หรือไม่รู้ แต่ชีวิตมันต้องการจะไปสู่นิพพาน และนี่มารู้กันเสียทีเถิดว่า จุดปลายทางที่นั่น หลีกไม่พ้นน่ะ เราจะปรารถนาจะไม่ปรารถนา มันหลีกไม่พ้นก็ต้องไปที่นั่นน่ะ นั่นน่ะคือนิพพานในฐานะเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิต เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วได้ชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์ สมบูรณ์ที่สุด สูงสุด
เป็นอันว่าเรารู้จักนิพพานใน ๓ ความหมาย ในฐานะที่เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ทุกวันๆ ทุกขณะๆน่ะเคว้นชิ่งให้ไลฟ์ (Life) อยู่ได้ นิพพานเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่ได้นี่อย่างหนึ่ง และนิพพานเป็น ซัมมัม โบนัม ในพุทธศาสนา เพราะมันสามารถจะเคว้นชให้มันเย็นได้ ให้ชีวิตเย็นได้ และนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องไปถึงโดยแน่นอน ถ้าไม่ถึงก็ไม่มีหยุด ไม่มีทางที่จะหยุดจนกว่าจะไปถึงนิพพานจึงจะหยุดและก็เป็นเคว้นชิ่งอันสุดท้าย นิพพานนี่จะเรียกว่าอะไรดี จะเรียกว่าเคว้นเชอร์ (Quencher) ได้หรือไม่ก็ไปคิดดูเอาเอง รู้จักนิพพานในลักษณะอย่างนี้ นั่นก็จะเรียกว่ารู้จักประโยชน์และอานิสงส์ของนิพพานนั้นหรือชีวิตใหม่หรือต้องการมีชีวิตใหม่ ทีนี้ปัญหาสุดท้ายของเราที่นี่ก็มีว่าทำอย่างไรถึงจะนิพพาน ทำอย่างไรถึงจะมีนิพพาน คำตอบก็คือทำวิปัสสนาที่ถูกต้อง ที่แท้จริง ชนิดที่พระพุทธเจ้าเคยทำมาแล้ว ทำวิปัสสนาที่ถูกต้องอย่างนี้เท่านั้นน่ะจึงจะสามารถมีนิพพาน ดังนั้นจึงขอร้องให้ท่านสนใจวิปัสสนา ปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้ได้รับผลของวิปัสสนาโดยแท้จริง แล้วก็ได้นิพพาน ขอยุติการบรรยายในวันนี้เพียงเท่านี้