แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การพูดกันในวันแรกนี้จะพูดโดยหัวข้อว่า ไอ้ชีวิตใหม่ชีวิตใหม่เป็นสิ่งที่มีได้โดยแน่นอนและแน่ยิ่งกว่าแน่ (00:30-00:59) แต่ว่าท่านต้องมีความสนใจที่เพียงพอ มองอย่างลึกซึ้งจึงจะเห็นจะรู้จักและจะต้องการ (01:32-01:54) คำว่าใหม่ๆ นี่มันเป็นปัญหามันฟังยากมันกำกวม ท่านเคยได้ยินแต่คำว่าบ้านหลังใหม่รถยนต์คันใหม่ภรรยาคนใหม่สามีคนใหม่ มาอย่างนี้มันไม่ใช่ใหม่นะก็มองเห็นอยู่แล้วมันในความหมายเดิมเพียงแต่เปลี่ยนนะอย่างนี้ไม่ใช่ใหม่ ไอ้ใหม่ของเรานะมากกว่านั้นลึกซึ้งกว่านั้นหรือจะตรงกันข้ามกันเลยทีเดียวนี่คำว่าใหม่ (02:38-03:34) เพื่อจะรู้จักชีวิตใหม่ก็จะต้องรู้จักชีวิตเก่าอย่างถูกต้อง ชีวิตเก่าที่กำลังมีมาแล้วและกำลังมีอยู่เป็นอย่างไรนี่เราจะต้องรู้จักกันอย่างถูกต้องและทุกแง่ทุกมุม หรือว่าอย่างแท้จริง (04:09-04:42) กล่าวอีกทีหนึ่งก็ว่าท่านต้องหาตัวเองให้พบเสียก่อนหาตัวเองให้พบฟังดูก็น่าหัว ใครๆ ก็รู้จักว่าเรารู้จักตัวเอง แต่มันก็ไม่รู้จักโดยแท้จริงตัวเองเป็นอย่างไรอยู่ที่ไหนอาจจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำไป จงดูไอ้สิ่งที่ตัวเองเรียกว่าตัวเองตัวฉันนั่นล่ะคืออย่างไรหาให้พบตามที่เป็นจริงกันเสียก่อน บางคนอาจจะไม่เห็นมองไม่เห็นไม่เห็นตัวจริงของตัว เห็นแต่มายาไอ้ความหลอกลวงหรือสิ่งที่หลอกลวงเป็นภาพหลอกลวงของตัวเองอย่างนี้เรียกว่ายังไม่พบตัวเองยังไม่เห็นตัวเอง (05:41-06:38) ความหมายสำคัญที่สุดของชีวิตเก่านะ หมายความว่ามันเป็นชีวิตที่อยู่ด้วยความทุกข์เป็นอยู่ด้วยความทุกข์ มีลักษณะสังเกตเห็นได้ง่ายๆ คือว่าทรมานๆ เปรียบเหมือนกับว่าข้างบนนี่ก็ถูกเชือกผูกคอลากขึ้นไปข้างล่างก็ถูกเอาเชือกผูกเท้าลากลงไปและตรงกลางก็เอาไฟลนเข้ารอบข้าง ถ้าเข้าใจความหมายนี้ได้ว่ามีอยู่จริงกับชีวิตนี้ก็จะเรียกว่ามองเห็นชีวิตเก่าอย่างถูกต้องอย่างลึกซึ้งถึงที่สุด (07:44-08:47) ความรักความหวังความต้องการใน positivism (09:00) ดึงขึ้นไปข้างบน ความกลัวความหวาดระแวงโดย negativism (09:07) ดึงลงไปข้างล่าง แล้วก็ความหวาดกลัวรบกวนวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ต่างๆ นาๆ เหมือนกับไฟมันลนอยู่รอบๆ อย่างนี้มีจริงหรือเปล่ามีหรือเปล่าท่านลองดูลองสังเกตดู ถ้าไม่เห็นก็เรียกว่ายังไม่รู้ยังไม่เห็นมันมีแต่ไม่เห็น มันต้องเห็นต้องรู้ไอ้สภาพแท้ของชีวิตเก่านั้นเป็นอย่างไร นี่ขอให้รู้จักชีวิตเก่าในส่วนลึกเป็นปกติอย่างนี้ก่อน (09:54-11:14) ดูเป็นแง่ๆ ไปเราจะเห็นว่าเราอยู่ใต้อิทธิพลของโลกหรือสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกซึ่งมีอยู่เป็นของหลอก เพราะเราไม่รู้จักมันโดยแท้จริงเราไปเห็นมันมีเป็นคู่ๆ เป็น positive กับเป็น negative ทั้งที่แท้มันก็เป็นธรรมชาติเหมือนกันไม่ต้องไปน่ารักหรือน่าเกลียดไม่ต้องเป็นบวกหรือเป็นลบ แต่เรามาเห็นเป็นบวกเป็นลบมันก็มีความหมายอย่างรุนแรงในการที่จะรบกวนเรานี่เรียกว่าเราอยู่ใต้อิทธิพลของโลกซึ่งมีของหลอกอยู่เป็นคู่ๆ (12:15-13:35) หรืออีกแง่หนึ่งเรามองให้ดีจะเห็นว่าที่เราเป็นทาสของอายตนะเป็นคำบาลีที่ขอให้จำไว้ในฐานะภาษาบาลีเป็นทาสของอายตนะภายในคือเป็นทาสของตาหูจมูกลิ้นกายใจ และเป็นทาสของอายตนะภายนอกคือเป็นทาสของรูปเสียงกลิ่นรสโผฐฐัพพะธรรมารมณ์ เราเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้คือมันมีอำนาจบีบบังคับเราให้ทำอะไรเหมือนกับว่าเป็นทาส เราเป็นทาสของอายตนะอยู่ทั้งภายนอกและภายในหาความเป็นอิสระมิได้เลย (14:38-15:29) เรารับใช้ตาหูจมูกลิ้นกายใจตามที่มันต้องการให้อร่อยให้สวยงามให้นิ่มนวลให้พอใจไม่เป็นอิสระแก่ตัว เอามากินมาใช้อย่างกับของที่เป็นเหยื่อล่อให้หลงไม่ใช่เป็นเพียงอาหารหรือสิ่งบริหารล้วนๆ นี่เราเป็นทาสของอายตนะภายในและเป็นทาสของอายตนะภายนอกเที่ยวแสวงหาๆๆๆ รูปเสียงกลิ่นรสโผฐฐัพพะธรรมารมณ์ที่ยั่วยวนที่สุดนะ โดยเฉพาะว่ายั่วยวนกิเลสที่สุดนี่เราในที่นี้มันคือกิเลสซะแล้ว ขอให้ดูให้ดีว่าชีวิตเก่านี่มันเต็มไปด้วยความเป็นทาสของอายตนะภายในและภายนอกเช่นนี้ (16:40-17:43) ผลที่ได้มามีเพียงหัวเราะกับร้องไห้เมื่อได้อย่างถูกใจก็หัวเราะเมื่อไม่ถูกใจก็ร้องไห้มีผลเพียงเท่านั้น ดีใจหรือเสียใจก็ตามไม่ใช่ความสงบ ดีใจก็ตื่นเต้นไปอย่างเสียใจก็ซบเซาวุ่นวายไปอย่างหนึ่งไม่ใช่ความสงบ ไม่เป็นอิสระเลยนี่ชีวิตเก่าเต็มไปด้วยความดีใจเสียใจหัวเราะร้องไห้สลับกันไปเพราะว่ามันเป็นทาสของอายตนะอย่างที่กล่าวแล้ว (18:33-19:40) เราและเพื่อนของเราทั้งโลกบูชาๆ world ship positivism (19:51) เป็นพระเจ้าเหมือนกับพระเจ้าหรือบางทีก็ยิ่งกว่าพระเจ้า ดูโดยจิตใจแท้จริงเราบูชาไอ้ positivism ของเรายิ่งกว่าพระเจ้า ที่เราเป็นทาสโดยเฉพาะของ positivism ไม่มีเวลาพักผ่อนเลยแล้วก็ดิ้นรนๆ ที่ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอเท่าไรๆ ก็ไม่รู้จักพอ แม้จะให้ได้มามากๆๆ เท่าไรมันก็ยังไม่รู้จักพอนี่เราบูชาไอ้ positivism กันมากถึงอย่างนี้ (20:36-21:49) เราหิวเรากระหายเราหวังเราพยายามอย่างสุดความสามารถมี (22:01-22:03) อย่างไม่มีขอบเขตนั่นนะเราเป็นอะไรเราเป็นทาสของ positivism จนชินๆๆเป็นนิสัยอย่างนี้พอที่จะเรียกว่าชีวิตเก่าได้หรือไม่ ถ้าจะเป็นชีวิตใหม่ต้องคำนวณดูให้ดีว่ามันจะตรงกันข้ามอย่างไร มันไม่ใช่เพียงแต่รถยนต์คันใหม่บ้านหลังใหม่ภรรยาคนใหม่อะไรไม่ใช่ มันมีลักษณะใหม่ชนิดที่ตรงกันข้ามอย่างนี้ (22:46-24:15) เมื่อชีวิตเก่าเต็มไปด้วยความกระหายและความหิว ชีวิตใหม่มันต้องอิ่มต้องมีความอิ่ม ไอ้ความอิ่มนี่ตามหลักธรรมะนั้นยิ่งแปลก ไม่ใช่อิ่มเพราะว่ารับประทานเข้าไปกินเข้าไปดื่มเข้าไปแล้วจะได้อิ่มไม่ใช่ มันเป็นความอิ่มเพราะไม่อยากแล้วไม่ต้องกินนั่นมันเป็นความอิ่มแบบธรรมะแบบใหม่ ชีวิตเก่ามันร้อนๆๆ แต่ชีวิตใหม่มันต้องเย็นๆๆ ชีวิตเก่ามันกระเสือกกระสนดิ้นรนไม่มีการพักผ่อน ชีวิตใหม่จะต้องเป็นการพักผ่อนอย่างยิ่ง ขอให้เรารู้จักแยกออกจากกันให้ดีๆ อย่าให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับคำว่าใหม่ว่าเก่าเลย (25:21-27:10) อย่างนี้สรุปเรียกว่าไอ้ชีวิตเก่านะวิ่งไปวิ่งมาๆๆ เดี๋ยววิ่งมาก็ positive เดี๋ยววิ่งไปวิ่งหนีก็ negative วิ่งไปวิ่งมาๆ แม้จะหยุดอยู่ก็หิวก็กระหายมันเป็นการไม่พักผ่อนเอาซะเลย ถ้าท่านมองเห็นไอ้ความน่าเบื่อของชีวิตเก่าแล้วก็คงจะสนใจชีวิตใหม่ได้จะเข้าใจได้แล้วก็จะแสวงหาพบด้วย (28:05-29:26) มีคำกลอนอยู่บทหนึ่งให้ซึ่งให้ความหมายดีว่า (29:39-29:54) ท่านเข้าใจได้และก็จะเข้าใจไอ้ทั้งหมดนี่ได้ ชีวิตบ้านเรือนเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ชีวิตที่ไม่บ้านเรือนเหนือความเป็นบ้านเรือน free ว่างเหมือนกับท้องฟ้า (30:21-32:06) ทีนี้ก็มาถึงความลับอย่างหนึ่งที่จะต้องเอามาพูดกันที่เรียกว่าความลับเพราะว่าไม่มีใครคอยสังเกตเห็นหรือจะสนใจ ถ้าท่านเป็นคริสเตียนมาก่อนแล้วท่านปฏิบัติตามคำสอนเชื่อฟังคำที่พระเจ้าสั่งเอง พระเจ้าสั่งเอง ไม่ใช่เพราะใครสั่ง พระเจ้าสั่งเองอาดัมกับอีฟว่าอย่ากินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว ถ้ากินเข้าไปจะตายรู้ดี attach(32:50) ดี รู้ชั่ว attach ชั่ว แล้วมันก็ตายคือความทุกข์ที่เรียกว่า original sin (32:56) ของ (32:58-33:02) คือเป็นทาสของ positivism and negativism ถ้าท่านเป็นคริสเตียนที่ดีท่านก็มีชีวิตใหม่เต็มที่อยู่แล้วเหมือนกัน นี่เป็นความลับที่ขอเอามาพูด (33:18-34:45) ถ้าเป็นคริสเตียนที่ถูกต้องและสำเร็จแล้วก็ย่อมจะมีชีวิตใหม่ในความหมายเดียวกันกับพุทธศาสนา แต่ว่าคนมนุษย์ทั้งหลายไม่ได้เชื่อฟังแม้แต่อาดัมกับอีฟก็ไม่ได้เชื่อฟังมันก็กินเข้าไปมันก็เลยไปหลง attach good and evil (35:21) เป็น original sin จนกระทั่งบัดนี้ จนกระทั่งวันนี้ วันนี้ถ้าเราเลิกๆ เพิกถอนไอ้บาปอันนี้เสียได้ เรากลับได้ชีวิตใหม่ซึ่งเก่าที่สุด ซึ่งเก่าที่สุดมาตั้งแต่ไม่รู้อะไรแต่มันใหม่ถ้าเราไม่เคยเห็นไม่เคยชิมไม่เคยได้นี่มันจึงเป็นของใหม่ (35:50-37:35) ทีนี้เราก็มาชมๆ เชยชีวิตใหม่มันตรงกันข้ามกับชีวิตเก่าทุกอย่าง เช่นว่ามันไม่ถูกเชือกดึงข้างบนเชือกดึงข้างล่างเอาไฟลนตรงกลางมันไม่มีอาการอย่างนี้ มันไม่อยู่ใต้อิทธิพลของ negative กับ positive ไม่เป็นทาสของอายตนะภายนอกภายใน แล้วก็ไม่บูชา positivism เหมือนกับคนบ้า ชีวิตใหม่มีลักษณะที่น่าพอใจอย่างนี้ (38:21-39:10) ชีวิตใหม่มีศาสนาชนิดที่เป็น evolution niche (39:23)ไม่ใช่ creation niche ไม่มีผู้สร้างไม่มีพระเจ้าผู้สร้างคือไม่ใช่ creation niche แต่เป็น evolution niche คือ Law of nature evolution evolution niche (39:38) ถือกฎของ evolution เป็นหลักนี่เรียกว่าชีวิตใหม่ เรามีศาสนาชนิด evolution niche แล้วก็มิใช่ creation niche (39:38-40:40) ความคิดที่จะพึ่งพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็นตัวนั้นมันเกิดก่อนเกิดนานมากเก่าแก่นานมากเป็นของง่ายสำหรับจะคิดจะเชื่อ ส่วนความคิดที่ฉลาดถึงจะมองเห็นกฎ evolution นี่มาทีหลัง มันเกิดทีหลังนี่เป็นยุควิทยาศาสตร์ นั้นชีวิตใหม่มันก็เป็นชีวิตที่เหมาะสำหรับยุควิทยาศาสตร์ยุคปรมาณูยุคนิวเคลียร์ก็แล้วแต่ นี่เราเห็นได้ในตัวว่ามันเป็นเก่าและเป็นใหม่กันอย่างนี้ (41:29-42:46) ขอย้ำที่ตรงนี้ว่าสิ่งที่เรียกว่าศาสนาๆ หรือ religion นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นๆ ที่จะต้องมี religion แปลว่าวิธีการที่จะทำให้เกิดการผูกพันระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุด ระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุด วิธีใดที่จะทำให้เกิดความผูกพันระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุดนี่เราเรียกว่า religion ถ้าเป็นแบบเก่าเราก็เป็น creation niche ก็อ้อนวอนพระเจ้า ถ้าเป็นแบบใหม่เราก็ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของ evolution แต่ก็ยังเรียกว่าศาสนาอยู่ดีเรียกว่า religion อยู่ดี ดังนั้น religion เป็นสิ่งที่จะต้องมีเลิกไม่ได้เพียงแต่ว่าจะมีอย่างวิธีเก่าหรือวิธีใหม่ที่จะให้ผลต่างกันมากทีเดียว ขอให้ท่านทั้งหลายมี religion ชนิดที่จะเป็นที่พอใจที่สุด (43:50-45:05) เมื่อพูดถึงสิ่งสูงสุดสิ่งสูงสุดพวกที่เป็น creation niche เขาก็หมายถึงพระเจ้าคือสวรรค์ของพระเจ้าคือการได้อยู่กับพระเจ้าเป็น creation niche ส่วนสิ่งสูงสุดของเราพวก evolution niche นั้นสิ่งสูงสุดก็คือการอยู่เหนืออิทธิพลของ positivism และ negativism นี่คือสิ่งสูงสุด (45:40-46:28) นี่แม้แต่ว่าสิ่งสูงสุดสิ่งสูงสุดก็ยังมีให้แบ่งได้เป็นสำหรับชีวิตเก่าหรือสำหรับชีวิตใหม่ สำหรับชีวิตใหม่เป็นอย่างนี้เราจะอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งเป็นคู่ๆ ทุกคู่ไม่ทำให้เราต้องหัวเราะไม่ต้องทำให้เราต้องร้องไห้ดีใจหรือเสียใจอีกต่อไปนี่ประโยชน์ของชีวิตใหม่ (47:00-47:31) มีข้อสังเกตได้หลายอย่างเช่นในชีวิตใหม่มีศรัทธาภายหลังสัมมาทิฏฐิ มีศรัทธา faith นะภายหลังสัมมาทิฏฐิ ถ้าเป็นชีวิตเก่าก็มีศรัทธาก่อนมีสัมมาทิฏฐิต่างกันมาก นั้นจึงมีศรัทธาที่งมงายในชีวิตเก่ามีศรัทธาที่ฉลาดที่ไม่โง่เขลาในชีวิตใหม่อย่างนี้เป็นต้น (48:12-48:53) ที่ลึกซึ้งที่สุดที่สำคัญที่สุดก็คือรู้ ชีวิตใหม่นี้มีความรู้ถึงกับรู้ว่าชีวิตๆ นี่ที่ประกอบไปด้วยร่างกายและจิตใจสองอย่างเท่านั้นไม่ต้องมี soul ไม่ต้องมี sense มีแต่ร่างกายกับจิตใจที่ครบถ้วนมีอายตนะครบถ้วนก็คิดนึกรู้สึกทำพูดคิดอะไรได้ทุกอย่างเลยจนทำให้เราหลงไปว่ามี soul หรือมี sense ไม่ต้องมี sense ไม่ต้องมี soul มันก็ทำอย่างนั้นได้ ดังนั้นชีวิตใหม่จึงเลิกๆ ถอนไอ้ความเชื่อที่ว่ามีอัตตามี (49:41-49:43) ใดๆ ไม่มีนี่ต่างกันอย่างนี้ (49:49-50:55) ความเชื่อที่ว่ามีๆ sense มีอาตมันนี่มันทำให้เกิดความคิดหรือความรู้สึกประเภท selfish selfish selfishness มันทำให้เกิด selfishness ถ้าเกิด selfishness แล้วมันก็มีเรื่องมากมายเป็นปัญหาเป็นความทุกข์ยุ่งยากลำบาก ถ้ามองเห็นว่าไม่มี sense ไม่มี soul มันไม่มีทางที่จะเกิด selfishness มันก็ไม่มีปัญหามันก็ไม่มีความทุกข์มันเดินกันคนละทางอย่างนี้ (51:43-52:33) ความเห็นแก่ตัวทำให้เกิดกิเลสโลภะโทสะโมหะแล้วมันเกิดอะไรก็รู้ได้เองมีกิเลสเกิดแล้วมันทำอะไรเป็นไฟไปทั้งนั้น นี่เราไม่ประสงค์ selfishness กันทั้งโลกเลยทั้งโลกเลยไม่มีใครต้องการ แต่ว่าน่าหัวที่ว่าทุกคนมี selfishness ทั้งที่ทุกคนบอกว่าไม่ชอบคือเกลียด selfishness แต่ทุกคนมี selfishness นี่มันเป็นชีวิตเก่าเต็มไปด้วย selfishness เราอยากจะมีชีวิตใหม่ที่ไม่มีไอ้ selfishness ไม่เกิดกิเลสไม่เกิดความทุกข์ (53:22-54:26) เมื่อไม่มีกิเลสเมื่อไม่มีความเห็นแก่ตัวมันก็ไม่มีกิเลสมันก็คือไม่มีไฟหรือของร้อนมันจึงเย็นๆ เพราะไม่มีกิเลสนี่คือนิพพาน นั้นในชีวิตใหม่ของเราจึงมีนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางหรือเป็น supreme thing (54:50)เป็น final hole (54:52) ชีวิตใหม่เป็นอย่างนี้ (54:58-55:40) ในที่สุดก็เป็นที่แน่นอนว่าถ้าท่านรู้จักชีวิตเก่าของท่านเองหรือว่าค้นพบตัวเองซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตแบบเก่าแล้ว ชีวิตใหม่ก็มีหวังถ้าท่านมองเห็นรู้จักชีวิตเก่าโดยแท้จริงแล้วไอ้ชีวิตใหม่ก็มีหวัง ถ้าท่านเห็นชีวิตเก่าในลักษณะอย่างไรแล้วก็เบื่อหน่ายนี่มันก็ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายชีวิตเก่า ก็คลายความรักในชีวิตเก่าแล้วก็จะเกิดการปล่อยวางเกิดความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด แล้วมันก็จะได้ชีวิตใหม่คือเย็นเป็นนิพพาน (56:41-57:45) เท่าที่พูดมาทั้งหมดนี้เป็นปริทัศน์ๆ เป็น outline เป็น bird eye view (57:55) ทั้งหมดของสิ่งที่เรียกว่าชีวิตมันเป็นสิ่งที่ท่านจะต้องเห็นจะต้องมีแล้วมันจะช่วยได้ ขอให้มองๆ ให้กว้างให้ไกลให้ทั่วให้รอบในทุกสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตแล้วชีวิตใหม่ก็จะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ (58:22-58:55) ความสำเร็จในเรื่องนี้มีอยู่ที่การมีหรือกระทำวิปัสสนา meditation อย่างถูกต้องมีวิปัสสนาอย่างถูกต้อง ชีวิตใหม่ก็อยู่ในกำมือเรา (59:26-01:00:04) ในที่สุดท่านต้องมองให้เห็นตัวเองว่ากำลังอยู่ที่จุดไหน เดี๋ยวนี้เรากำลังอยู่ที่จุดไหนจะดิ้นไปทางไหนจะเดินไปทางไหนให้รู้จักว่าเราอยู่ที่จุดไหนอย่างถูกต้องเสียก่อนนั่นก็คือรู้จักชีวิตเก่านั่นเอง รู้จักชีวิตเก่าว่ามันมีอยู่ที่จุดไหนแล้วก็มีหวังว่าจะพบชีวิตใหม่ได้โดยไม่เหลือวิสัย ขอยุติการบรรยายในวันนี้มีเพียงเท่านี้