แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้า ตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาเป็นบุพพาปรลำดับสืบเนื่องจากธรรมเทศนาที่แสดงแล้วในตอนเย็น คือธรรมเทศนาเนื่องด้วยมาฆบูชา อันมีหัวข้อว่า สฺพพปาปสฺส อกรณํ การไม่ทำบาปทั้งปวง กุสลสฺสูปสมฺปทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม สจิตฺตปริโยทปนํ การทำจิตให้ขาวรอบ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ข้อสุดท้าย คือการทำจิตให้ขาวรอบ เป็นธรรมะสำคัญในฐานะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เรื่องการไม่ทำบาป เรื่องการทำบุญนั้น ก็มีทั่ว ๆ ไปในทุกศาสนา หรือก็จะก่อนพระพุทธเจ้ามาเสียอีก แต่คำว่าทำจิตให้ขาวรอบ คือเป็นจิตล้วน ๆ จริง ๆ นี่ ยังไงก็ไม่ทราบแน่ แต่ว่าในที่นี้เป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนา ถ้าจะมีในศาสนาอื่น ก็มีอย่างเป็นตามแบบของตน ของตน ของแต่ละศาสนา ในที่นี้เราจะวิสัชนากัน เฉพาะในพระพุทธศาสนาว่ามีอย่างไร และจะนำมาใช้สำเร็จประโยชน์ในโลกนี้ได้อย่างไร แต่การทำจิตให้ขาวรอบ คือ ปริโยทปนะ ปริโยธาตะ แปลว่าขาวรอบ ฟังก็แปลกหูอยู่ มันก็อย่างเดียวกับคำว่าบริสุทธิ์นั่นแหล่ะ แต่ท่านใช้คำให้มันธรรมดา ๆ ที่สุดว่าขาวรอบ รอบด้าน รอบตัว ขาวรอบ ข้อนี้มีใจความเฉพาะ ของคำว่าขาวรอบ คือ ไม่มีสิ่งเศร้าหมอง อะไรเป็นสิ่งเศร้าหมอง พูดกันโดยทั่วไปก็คือกิเลส เพราะกิเลสแปลว่าสิ่งเศร้าหมอง หรือจะชี้ระบุตัวลงไปชัดเจนในที่นี้ ก็อยากจะชี้ไปที่ ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมาจากอะไร มันก็มาจากความยึดถือว่ามีตัว มีตัว มีตัวตนคืออัตตา มีของ ๆ ตน เรียกว่าอัตตนียา มีตัวตน แล้วก็มีของๆตน มาจากความมีตัว คือความรู้สึกว่ามีตัวของตัว อันนี้มาจากอะไร มันก็ต้องพูดว่ามาจาก สัญชาตญาณ ความรู้สึกที่เกิดได้เองตามธรรมชาติของสิ่งที่มีชีวิต สิ่งใดมีชีวิต สิ่งนั้นจะต้องมีสัญชาตญาณ คือญาณจำพวกหนึ่งที่มันเกิดได้เองในชีวิต เป็นพื้นฐาน ปัจจัยสำคัญที่สุดแห่งชีวิต ถ้าไม่มีสัญชาตญาณ มันก็ไม่เป็นชีวิตขึ้นมาได้ ที่นี้สัญชาตญาณเหล่านี้ยังปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง มันเป็นเพียงญาณที่เกิดเองตามธรรมชาติ และมันยังร้ายกาจตรงที่ว่า ไอ้สัญชาตญาณที่เป็นแม่บทที่สุดนั้น ก็คือสัญชาตญาณว่ามีตัวตนนั่นเอง และก็ให้คลอดสัญชาตญาณอื่นมาด้วยกันเป็นอันมากหลายอย่าง สัญชาตญาณแห่งการต้องการอาหาร แสวงหาอาหาร กินอาหาร สัญชาตญาณแห่งการขี้ขลาดหนีภัย สัญชาตญาณแห่งการต่อสู้ สัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์ ทุก ๆ สัญชาตญาณมันมาจากสัญชาตญาณแม่บท คือความรู้สึกว่ามีตัว มีตัว มีตัวฉัน เพราะมันปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง มันจึงมีความรู้สึกว่ามีตัวฉัน ถ้ามันมีความรู้ที่ถูกต้อง เหมือนอย่างที่เราศึกษาปฏิบัติกันจนถึงที่สุดตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ความรู้นั้นก็บอกว่าไม่มีตัว มีแต่ธรรมชาติ และความเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีสิ่งใดที่ควรจะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตน เมื่อมันไม่มีความรู้อย่างนี้มันก็ต้องเป็นไปตามสัญชาตญาณล้วน ๆ คือรู้ไปตามสัญชาตญาณ อย่างไรจะเป็นรากฐานของความมีชีวิตอยู่ มันก็ออกมาเป็นสัญชาตญาณแห่งการมีตัว และมันก็จะได้รักตัว ถนอมตัว บำรุงบำเรอตัว ต่อสู้ป้องกันตัว และก็สืบพันธุ์ไว้ ไม่ให้หมดไปแห่งตัว อย่างนี้เป็นต้น สัญชาตญาณแห่งความมีตัวนี้ มีอยู่เป็นพื้นฐานของชีวิตอย่างนี้ เรียกว่ามันคู่กันมากับชีวิต มันเป็นความรู้ที่เกิดเอง และมันก็ถ่ายทอดจากชีวิตไปสู่ชีวิต และก็มันมีมาด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นมันจึงทำสิ่งเหล่านี้ได้ โดยไม่มีใครสอน เช่นนกบางชนิดทำรังได้น่าประหลาดอัศจรรย์ แมลงผึ้งทำรังได้อย่างน่าอัศจรรย์ นี่มันก็เป็นความรู้ที่ติดมากับชีวิต โดยไม่ต้องมีใครสอน ไม่ได้เข้าโรงเรียน ไม่ต้องเข้าโรงเรียนมันก็ทำได้ สัญชาตญาณทั้งหลายไม่ต้องมีใครสอนก็ทำได้ สัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์เหล่านี้ พอถึงขนาดถึงเวลา มันก็แสดงออกมาอย่างเต็มที่ และก็ทำให้เกิดปัญหาขึ้นอีกหลาย ๆ อย่าง เพราะว่ามันยึดมั่นถือมั่นมากเกินไป แต่ว่าสิ่งที่ควรจะสนใจอย่างยิ่งก็คือสัญชาตญาณแห่งความมีตัว มีตน เป็นรากฐานแห่งชีวิต เพื่อให้เกิดสัญชาตญาณอื่น ๆ สืบเนื่องกันไป จงจำไว้เป็นหลักว่า ความรู้สึกว่ามีตัว มีตัว มีตัว แล้วก็มีความรู้สึกว่าตัว ตัว นั้นของฉัน นี่มันจึงเกิดเป็นสองอย่างขึ้นมา มีตัวและของตัว ตัวเรียกว่าอัตตา ของตัวเรียกว่าอัตตนียา มันมีความยึดมั่นเป็นตัวและเป็นของตัวอย่างนี้ และเมื่อเรียนศึกษาหลักพระพุทธศาสนา จึงจะรู้ว่ามันไม่มีตัว มันไม่มีของตัว มันว่างจากตัว ว่างจากของตัว แต่ว่าสัตว์มันไม่มีความรู้ข้อนี้ มีแต่ความรู้อย่างสัญชาตญาณ มันก็รู้สึกว่ามีตัว ว่าของตัว ถ้าจะรู้ความจริงกว่านี้ มันต้องมีความรู้ที่ศึกษา ที่ประพฤติ ที่กระทำเพิ่มขึ้นมา ซึ่งอยากจะเรียกว่า ภาวิตญาณ ได้ปฏิบัติ ได้บำเพ็ญ ได้กระทำให้เกิดมีขึ้นมา เรียกว่าภาวิตญาณ ญาณที่ได้ทำให้เจริญขึ้นมา จึงจะรู้ว่าไม่มีตัว ไม่มีของตัว เป็นธรรมชาติเช่นนั้นเอง และมันรู้สึกขึ้นมาได้เอง ตามลำพังของไอ้ชีวิตที่มีสัญชาตญาณอยู่เป็นพื้นฐาน ขอให้สังเกตดูว่าเด็ก ๆ เกิดมาจากท้องมารดา มันก็ไม่ได้มีความรู้สึกคิดนึกอะไรก่อน แต่ว่าก็มีสัญชาตญาณแห่งความมีตัว มีของตัว พอเกิดมาแล้ว มันก็เจริญเติบโตจนว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่มันทำหน้าที่ของมันได้ ก็คือรับอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจเองได้ ตัวอย่างเช่นว่า พอคลอดออกมา ไม่ทันไรก็กินนมแม่ก็พอใจ และก็อร่อย ก็พอใจ เมื่อพอใจมากเข้า ๆ มันก็เกิดความรู้สึกว่ามีตัวผู้พอใจ มีตัวผู้พอใจ หรือว่าเมื่อมันหิว มันก็เกิดความรู้สึกว่ามีตัวกูผู้หิว มันก็ออกมาจากไอ้สัญชาตญาณแห่งความมีตัวในรูปแบบต่าง ๆ กัน อย่างนั้นอย่างนี้ ความมีตัว เป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกว่าของตัว แล้วก็งอกงามออกไปเป็นอันอีกอันหนึ่งซึ่งร้ายกาจที่สุดก็คือ ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว ซึ่งเราต้องการจะพูดกันในวันนี้เรื่องความเห็นแก่ตัว แต่จะต้องทำความเข้าใจกันมาตั้งแต่ต้นว่ามันมาจาก มันเกิดมาจากความเห็นว่ามีตัว และของตัว ดังนั้นเด็ก ๆ จึงรัก ค่อย ๆ มีความรักเป็น ค่อย ๆ มีความโกรธเป็น ค่อย ๆ มีความหลงเป็น มาตามลำดับ ตามลำดับ เมื่อได้กินของอร่อยก็พอใจ ก็ยินดี มันก็อยากจะกินให้มาก อยากจะกินอีก รู้สึกว่ากูอร่อย กูได้สบาย ได้พอใจ ถ้ามันเกิดไม่ได้หรือไม่อร่อย มันก็โกรธ กูไม่ได้ แล้วก็ดิ้นรน จนเกิดกิเลสประเภทที่สอง ก็คือความโกรธ หรือโทสะ ครั้นเมื่อไม่แน่ใจว่าเป็นอย่างไร ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างไร ก็มีความพะวง หลงใหล หวังอยู่ว่ามันจะมีอะไร ก็พะวงหลงใหลอยู่ในสิ่งที่ตัวหวังว่าจะมีอะไร มันก็เกิดความ เกิดกิเลสประเภทที่สามคือโมหะ ตามกฎของธรรมชาติ เมื่อมันพอใจ มันก็ต้องการที่จะดึงเข้ามาหาตัว ก็เรียกว่าโลภะ หรือราคะ นี่กิเลสประเภทที่หนึ่งคืออาการที่ทำให้รู้สึกจะเอา จะเอาเข้ามาหาตัว ทีนี้ถ้ามันตรงกันข้าม ก็เกิดกิเลสประเภทที่สอง คือโทสะ หรือโกรธะ ที่จะผลักออกไป หรือที่จะตีเสียให้ตาย ฆ่าเสียให้ตาย ถ้ายังไม่แน่ ก็เป็นเรื่องพะวงหลงใหล วนเวียนอยู่รอบ ๆ วนเวียนอยู่รอบ ๆ ไม่มีลักษณะดึงเข้ามาหรือผลักออกไป ก็วนเวียนอยู่รอบ ๆ มีราคะ โทสะ โมหะ กันสามชนิดขึ้นมาอย่างนี้ อันหนึ่งจะเอาเข้ามา อันหนึ่งจะผลักออกไป อันหนึ่งจะดึง จะวิ่งอยู่รอบ ๆ เมื่อเด็กเขาพอใจในสิ่งที่เข้ามากระทบทางตา สวยงาม อย่างที่เราชอบให้ทารกได้เห็นของสวยงามเป็นพวง ดอกไม้ ปลาตะเพียนอะไร และก็ทางหูก็ได้รับการขับกล่อมอย่างนั้น อย่างนี้ ทางจมูกก็ให้ดม ได้กลิ่นของหอม ของพอใจ ทางลิ้นก็ของที่เอร็ดอร่อย ทางผิวหนังก็ประคบประหงม ลูบเล้า เอ่อ, ลูบไล้ให้ได้รับความอบอุ่นสบาย มันเป็นที่ต้องการ ทางใจก็มีสิ่งที่ทำให้เกิดความคิดนึกรู้สึกพอใจ แม้ที่สุดแต่การขับกล่อมอันไพเราะทางหู มันก็เข้าไปขับกล่อมจิตใจ นี่เขาก็ค่อย ๆ เจริญ ด้วยความรู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ทุกคราวที่มันพอใจ มันก็มีตัวกูพอใจ ทุกคราวที่มันไม่พอใจ ตรงกันข้ามมันก็เกิดตัวกูที่ไม่พอใจ ทุกคราวที่มันหลงใหลวนเวียน มันก็มีตัวกูที่หลงใหลวนเวียนนี่ ขอให้รู้สึกว่าตัวตน ความรู้สึกว่าเป็นตัวตนนี่มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ จะเห็นได้ที่ว่าเด็ก ๆ เมื่อโตเต็มที่ วิ่งได้ เดินได้ หากมันวิ่งไปชนเก้าอี้ หรือมันเดินไปชนเก้าอี้ มันเจ็บ มันก็โกรธเก้าอี้ มันก็เตะเก้าอี้ โดยไม่ต้องมีใครสอน จงดูอาการที่ไม่ต้องมีใครสอน สังเกตที่ว่ามันไม่ต้องมีใครสอน นี่เพราะว่าไอ้ความรู้สึกยึดถือว่าเป็นตัวกู ตัวกูมันมีอยู่แล้ว มีพอ มีมากพอแล้วในเด็กที่มันโตถึงขนาดนี้ มันก็มีความคิดเป็นตัวกู ของกู เจ็บ เก้าอี้เป็นสิ่งที่ทำให้กูเจ็บ เป็นตัวตนของเก้าอี้ แล้วมันก็เตะเก้าอี้ ด้วยความรู้สึกว่ามีตัวกูที่ถูกประทุษร้าย ความรู้สึกอย่างนี้ไม่ต้องสอน ไม่ต้องสอน มันเป็นความรู้สึกที่ออกมาได้เองจากสัญชาตญาณแห่งความมีตัวกู มีความเห็นแก่ตัวกู จนมืดมัวไปหมด ไม่เห็น ไม่เห็นตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร หรือว่ามันจะเห็นไอ้ของที่เคลื่อนไหวได้ มันก็จะรู้สึกว่าเป็นตัวตน มีชีวิต เช่นว่าเปิดฝานาฬิกาด้านหลังดู นาฬิกาพก เห็นมันกระดิกได้หมุนได้ ก็คิดว่านาฬิกาก็เป็นสิ่งที่มีชีวิต มันก็คิดได้เอง ด้วยความไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีชีวิต เข้าใจว่านาฬิกาก็เป็นสิ่งที่มีชีวิต มันเห็นรถยนต์วิ่งได้ ไม่เข้าใจ สมมติว่าเป็นคนป่า เห็นรถยนต์วิ่งไปได้ ไม่รู้จัก ก็คิดว่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งวิ่งไปได้ มันดูคล้าย ๆ กับเต่า มันก็คิดว่าเป็นเต่าอีกชนิดหนึ่งซึ่งเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก มันวิ่งได้ ความรู้สึกว่าเป็นตัวตน หรือมีชีวิตเป็นตัวตน มันมาจากสัญชาตญาณแห่งความมีตัวตน เป็นเชื้อ เป็นราก อยู่ในจิตใจ เพราะฉะนั้นมันจึงเกิดได้โดยง่าย เป็นที่ยุติได้ว่าไอ้ความรู้สึกว่ามีตัวตน นี่มันเป็นสิ่งที่เกิดได้ง่ายที่สุด เพราะสัญชาตญาณที่จะทำให้รู้สึกว่ามีตัวตนนั้น มันมีอยู่ในจิตใจ เป็นแม่บทแห่งสัญชาตญาณทั้งหลาย มันไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ว่ามีตัวตน มันเลยไปถึงว่าเห็นแก่ตน เห็นแก่ตน ความรู้สึกว่ามีตัวตน ทำให้เห็นแก่ตน อันนี้แหละ เป็นสิ่งที่เราต้องศึกษากันให้ดีที่สุด มันเป็นตัวปัญหา มันเป็นตัวร้ายกาจยิ่งกว่าสิ่งใด คือเห็นแก่ตน
ข้อแรกก็ว่า มีความเห็นแก่ตนแล้ว โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้ใดใคร ๆ เลย มันก็มีปัญหาและมีความทุกข์ มันเห็นแก่ตน มันก็เป็นห่วงตน ที่เป็นเหตุให้กลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวไข้ มีปัญหาอีกนานาประการ รู้สึกสะดุ้ง หวาดเสียว ขี้ขลาด โดยไม่ต้องมีอะไร มาใคร ไม่ต้องมีบุคคลที่สอง มันก็เป็นทุกข์ทรมานตนอยู่ในตัว อย่างยิ่ง นี่ก็ประเภทหนึ่งโดยที่ว่าไม่ต้องไปเกี่ยวไปข้องกับใคร ถ้าความเห็นแก่ตนนั้นมันไปเกี่ยวข้องกับคนอื่น มันก็ทำร้ายคนอื่น เอาเปรียบคนอื่น ก็เป็นทุกข์กันไกลออกไปถึงผู้อื่น และตัวเองก็ต้องมีความทุกข์ด้วย เพราะความเห็นแก่ตน เป็นความทุกข์ขึ้นมาทั้งสองคน แม้อยู่คนเดียวมันก็เป็นความทุกข์ทรมาน และเป็นเหตุให้ทำผิดอีกนานาประการเหลือที่จะกล่าว นี่ ขึ้นชื่อว่าความเห็นแก่ตนแล้ว มันก็เป็นทุกข์ หรือเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ มันเป็นเหตุให้เกิดกิเลส ให้เกิดความโลภเมื่อได้พอใจตน ให้เกิดความโกรธเมื่อไม่ได้พอใจตน ให้เกิดความหลงเมื่อยังพะวงหลงใหลอยู่ว่ามันเป็นประโยชน์แก่ตนหรืออาจจะเป็นประโยชน์แก่ตน ความเห็นแก่ตนให้เกิดกิเลสได้ทุกชนิดเลย นี่ควรจะรู้จักกันไว้ แล้วมันก็ทรมานผู้นั้นแหละ การอยากได้จนนอนไม่หลับ การหวาดผวาจนนอนไม่หลับ ความคิดที่เป็นห่วงตน ที่เป็นห่วงตน เห็นแก่ตนนี่มันทรมานตลอดเวลา รู้ไว้ว่าเป็นทุกข์ เพราะความเห็นแก่ตนอยู่ตามลำพัง ดูให้ดีเถิด แม้แต่คนที่ขี้เกียจทำงาน ขี้เกียจทำงาน มันก็เพราะความเห็นแก่ตนอย่างโง่เขลาที่สุด มันจึงขี้เกียจทำงาน ทั้งที่ตนมันอยากได้อะไร แต่แล้วมันก็ยังขี้เกียจทำงาน มันอยากจะนอน มันอยากจะไม่ต้องทำงาน มันเห็นแก่ตนมันก็ไม่ทำงาน มันไม่เคลื่อนไหวไปในทางที่ควรจะเคลื่อนไหว นี่มันก็ทำอันตรายผู้นั้นอย่างมาก ทีนี้ส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น มันก็มากไปกว่านั้น มันไกลไปกว่านั้น มันก็คิดที่จะเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน ถ้าถึงกับจะต้องฆ่าผู้อื่น มันก็คิดว่าจะฆ่า หรือควรจะฆ่าเขาเพื่อเอามาเป็นของตน นี่ มันก็ลุกลามออกไปเป็นการฆ่า เป็นปาณาติบาต เป็นอทินนาทาน เป็นอะไรไปต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด เพราะความเห็นแก่ตน นี่เราไม่รู้จักข้าศึกอันร้ายกาจที่สุดของมนุษย์ คือความเห็นแก่ตน ก็ไม่สนใจที่จะทำลายความเห็นแก่ตน แล้วกลับทำในทางตรงกันข้าม เพิ่มความเห็นแก่ตนไปเสียอีก จะยกตัวอย่างเช่นว่าการให้ทาน ผู้รู้ผู้บัญญัติเรื่องการให้ทานนั้น มุ่งหมายจะให้ทำลายความเห็นแก่ตน ให้การให้ทานนั้นทำลายความเห็นแก่ตน เห็นแก่ผู้อื่น แต่แล้วมันไม่ตรงกับความต้องการของคนเหล่านั้น ก็ไม่ยอมรับเอาในความหมายนี้ พอบอกว่าให้ทาน มันจะได้สิ่งที่น่ารัก น่าพอใจ น่าต้องการอีกมากมายหลายสิบเท่า มันก็พอใจมันก็เอา ฉะนั้นการที่จะให้ทานเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัวนั้นไม่มีใครชอบ แต่ถ้าให้ทานก็ได้วิมานในสวรรค์คนเขาชอบ มันก็ทานด้วยกัน ไอ้ทานที่ว่าจะทำลายความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่นั้นมันก็ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่งเพื่อจะลดความเห็นแก่ตัว แล้วจะอยู่กันสบายในโลกนี้ ไม่มีใครชอบ ถ้าพูดว่า ตักบาตรสักช้อน ได้วิมานสักหลัง มันก็ชอบเกินที่จะชอบ แล้วได้อะไรมา มันก็ได้ความเห็นแก่ตัวเพิ่มเข้ามา เมื่อก่อนมันยังมีน้อยหน่อย พอได้อย่างนี้เข้ามามันก็เลยมีความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น ๆ ไอ้เรื่องสวรรค์วิมานน่ะ ระวังให้ดี ๆ มันเพิ่มความเห็นแก่ตัว หรือเพิ่มกิเลสได้มากไปกว่าเดิม แต่ถ้าไม่พูดอย่างนี้ ต้องใช้คำว่าคนโง่มันไม่ชอบ คนที่ไม่เห็นโทษของความเห็นแก่ตัวน่ะ มันไม่ชอบ จึงต้องพูดอย่างนี้ พูดว่าจะได้ของตอบแทน ตักบาตรช้อนเดียว ได้วิมานทั้งหลัง นี่มันไปค้าขายที่ไหนได้กำไรมากอย่างนี้มันไม่มี เพราะฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องการค้ากำไรเกินควรยิ่งกว่าควร แล้วมันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว ถ้ายังอยู่กันอย่างนี้แล้ว มันก็ไม่มีทางจะลดความเห็นแก่ตัว จึงถือเอาความหมายให้ถูกต้องว่า การให้ทาน การรักษาศีลก็ดี มันจะทำลาย เพื่อจะทำลายความเห็นแก่ตัว นี่ก็ต้องบอกว่าจะได้สวรรค์วิมานอย่างนั้นอย่างนี้ จึงจะเอา ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่เอา นี่คิดว่ายังไม่เป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง ที่ไม่รู้จักโทษของความเห็นแก่ตัว ไม่พอใจในการจะประพฤติปฏิบัติเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว ยิ่งทำไป จิตก็ยิ่งเศร้าหมอง ไม่ถูกต้องตามข้อที่ว่า ทำจิตของตนให้ขาวรอบ แทนที่จะทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใสขาวรอบ มันก็กลายเป็นตรงกันข้าม นี่มันพูดความจริง ไม่ได้พูดเพื่อโฆษณาชวนเชื่อ มันหลงกันอยู่มากพอแล้ว ไม่ต้องไปส่งเสริมเข้าอีก แต่จะบอกไปในทางที่ถูกต้องว่า พุทธศาสนาต้องการจะทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้าใครจะให้ทาน ก็จงให้ทานด้วยความมุ่งหมายจะทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้าใครจะรักษาศีล ก็ต้องให้มุ่งหมายเพื่อจะทำลายความเห็นแก่ตัว จะทำสมาธิ ทำวิปัสสนา ก็ให้เป็นเรื่องของการทำลายความเห็นแก่ตัวโดยตรงโดยเฉพาะ จึงจะเป็นหลักของพระพุทธศาสนาคือบุคคล ศาสนาของบุคคลผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อยากเป็นพุทธบริษัทจงจำคำสามคำนี้ไว้ให้แม่นยำ พุทธะ พุทธะ แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้คือรู้อะไรเป็นอะไร ตื่นคือไม่หลับ เบิกบานคือว่างอกงาม เป็นสุข เบิกบาน ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สามคำนี้เป็นความหมายของคำว่า พุทธะ พุทธะ ใจความสำคัญก็อยู่ตรงที่คำว่าตื่นนั่นแหละ ตามธรรมดาในภาษาบาลีนั้น คำว่าพุทธะ แปลว่าตื่น คือไม่หลับ ถ้าหลับก็เป็นไสยะ ไสยะ ไสยศาสตร์ คือความรู้ของคนหลับ พุทธศาสตร์ ความรู้ของคนตื่น จงรู้ตัวเองไว้ว่าเป็นพุทธบริษัทต้องมีพุทธศาสตร์ คือความรู้ของคนตื่น ไม่หลับตามันก็เห็นอะไรได้ และเห็นอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง มันก็ทำถูกต้องตามที่เป็นจริง มันก็ต้องเป็นคนที่มีตา มีปัญญา ตื่นแล้วจากความหลับ คืออวิชชา แต่คนโดยมากไม่เป็นอย่างนั้น เขายังหลับอยู่ด้วยอวิชชา เขาก็ต้องมีไสยศาสตร์ เขาต้องถือไสยศาสตร์ ดังนั้นไสยศาสตร์จึงไม่หมดไปจากโลกนี้ได้ เพราะในโลกมันยังมีคนหลับ คลอดออกมาใหม่ๆ ไม่มีความรู้มาจากในท้องมันก็เป็นคนหลับ มันเหมาะสำหรับไสยศาสตร์ และยิ่งพ่อแม่ส่งเสริมให้มีความเชื่ออย่างนั้นกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นไสยศาสตร์เต็มตัว ก็เลยมีปัญหาเรื้อรังไปจนตลอดชีวิต พุทธบริษัทจะอบรมลูกหลานให้มีความรู้มีความฉลาด เข้าใจถูกต้องได้มาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ก็ยิ่งดี ให้รู้ความที่ว่ามันไม่ใช่ตัว มันไม่มีตัวที่แท้จริง และก็อย่าให้ อย่าส่งเสริมให้เป็นไปในทางของกิเลส เดี๋ยวนี้พอเด็กคลอดออกมา บิดามารดาก็ส่งเสริมไปในทางให้เกิดความเข้าใจผิด พูดกรอกหูแต่เรื่องมีตัว ของตัว นี้ของหนู พ่อแม่ของหนู พ่อแม่ของแก บ้านเรือนของแก อะไรของแก แกต้องการอะไรฉันจะหามาให้ และก็ลูก ลูกจะต้องการอะไรเกินขอบขีดก็ยังหามาให้ บางทีลูกไม่ได้ต้องการ พ่อแม่เสียเองกลับอยากจะให้มันมี ไปซื้อของแพง ๆ มาให้มันเล่น โดยไม่ได้ทำให้มันฉลาดขึ้นมาเลย หาของอร่อยที่เกินความพอดีมาให้มันกิน มันก็จะได้ยึดมั่นถือมั่นมากขึ้นไปอีก นี่เรียกว่ามันถูกแวดล้อมไปด้วยสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ว่ามีตัว ว่าของตัว มันไม่มีวัฒนธรรมไหนนะ ยังไม่มีวัฒนธรรมไหนที่พ่อแม่จะสอนลูกเด็ก ๆ ว่า ไม่มีตัว ไม่ใช่ตัวมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก มันก็ไม่ได้สอน แล้วมันก็ไม่ได้สอนกันเรื่อยมาจนบัดนี้ มันก็เป็นของประหลาดอยู่เหมือนกันถ้าใครจะเกิดไปสอนอย่างนั้น คนเขาก็จะหาว่าบ้า แล้วไอ้ลูกเด็ก ๆ มันจะรับได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้ แต่ถ้าว่าพยายามกันอย่างดี อย่างจริง มันก็คงจะมีผลบ้าง ที่มันจะเริ่มรู้จักว่าไม่มีตัว ไม่ใช่ของตัว ไปตามสมควรแก่สติปัญญาของเด็ก แต่นี่มันไม่มีวัฒนธรรมไหน ชาติไหนที่สอนลูกเด็ก ๆ ให้รู้จักความไม่มีตัว มันก็สอนแต่เรื่องความมีตัว ทารกเขาก็มีสัญชาตญาณติดมาแต่กำเนิดแล้ว เป็นสัญชาตญาณแห่งความมีตัว มันก็เข้ารูปกันพอดี มีตัวหนาแน่นขึ้น ก็มีของตัวหนาแน่นขึ้น แล้วก็มีความเห็นแก่ตัวหนาแน่นขึ้น ทุกคนจึงมีความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐานแห่งชีวิตจิตใจ แห่งความรู้สึกคิดนึก ออกมาเป็นของการกระทำ คำพูดต่างๆ มันมีลักษณะเป็นความเห็นแก่ตัว พร้อมที่จะเห็นแก่ตัว มีสิ่งที่มายั่วให้เห็นแก่ตัวมากขึ้นคือ สิ่งประดิษฐ์อันสวยงามไพเราะ สนุกสนาน เอร็ดอร่อยต่าง ๆ เหล่านี้ มันก็ถูกประดิษฐ์กันมากขึ้น มันก็ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ดังนั้นโลกของความเจริญ มันก็คือโลกของความเห็นแก่ตัว น่าเวทนา น่าสงสาร ยิ่งเจริญยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะคนมันโง่ มันบูชาเหยื่อของกิเลส ส่งเสริมกิเลสมันก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ความเจริญทางวัตถุ ที่มีขึ้นมากมายนี้ มันไม่ได้ถูกไช้ไปในการทำลายความเห็นแก่ตัว มันถูกใช้ไปในการทำลาย เพิ่มความเห็นแก่ตัว เครื่องมือเครื่องใช้อันวิเศษก็ดี เครื่องจักรเครื่องกลก็ดี เครื่องช่วยสมอง คอมพิวเตอร์ พิวต้าอะไรก็ไม่รู้ มันไม่มีใครเคยเอามาใช้เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว แต่มันก็ได้ใช้เพื่อส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ดังนั้นก็เอากันใหญ่เลย ขวนขวายกันใหญ่เลย เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้มา แล้วก็ยิ่งๆ นิยมกันมาก มากเท่าไรมันก็ยิ่งอยากจะมีประกวดประขันกันเท่านั้น มันก็ซื้อหาสิ่งส่งเสริมความเห็นแก่ตัวมาอย่างมากมาย มันกลายเป็นโลกของความเห็นแก่ตัว ยิ่งอย่างยิ่งเหลือที่จะกล่าว จะเรียกว่าซาตาน จะเรียกว่าพญามาร ยังน้อยไป มันมากกว่านั้นมาก ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์นั่นแหละ คือสิ่งเลวร้ายที่สุดของมนุษย์ ที่ทำให้มนุษย์มันเป็นทุกข์ด้วยกันทั้งตัวเองและผู้อื่น ศาสนาเกิดขึ้นมาก็เพื่อจะทำลายความเห็นแก่ตัว ได้สังเกตดูทุก ๆ ศาสนาแล้ว จุดมุ่งหมายตรงกันหมดทุกศาสนา เพื่อจะทำลายความเห็นแก่ตัว หากแต่ว่ามีวิธีการที่มันแตกต่างกัน ศาสนาที่เกิดมาสำหรับคนโง่ ก็มีวิธีการทำลายความเห็นแก่ตัวตามแบบคนโง่ ไม่สู้โง่ ก็มีตามแบบไม่สู้โง่ ฉลาดน้อยก็มีตามแบบฉลาดน้อย ฉลาดมากก็มีตามแบบฉลาดมาก มันรับแทนกันไม่ได้ ดังนั้นศาสนาที่เกิดขึ้นเพื่อหมู่ชนชนิดไหน ระดับไหน มันก็จะต้องมีระบบปฏิบัติที่พอเหมาะแก่หมู่ชนในระดับนั้น เราจึงมีศาสนาต่าง ๆ ๆ กันอย่างยิ่ง แต่แล้วก็ดูความมุ่งหมายเหมือนกัน ที่จะทำลายสิ่งเลวร้ายของมนุษย์ คือความเห็นแก่ตัว ความจริงมันเป็นอย่างนี้ แต่แล้วมันก็ไม่ได้เป็นไปในลักษณะอย่างนี้ กลายเป็นว่าศาสนาเองคือเจ้าหน้าที่ เป็นผู้เห็นแก่ตัว ศาสนาทั้งหลายก็ตกอยู่ในมือเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติ เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ มันมีความเห็นแก่ตัว มันก็ใช้ศาสนามันไปอย่างเห็นแก่ตัว ดังนั้นการขัดแย้งระหว่างศาสนาก็มีขึ้น การต่อสู้ระหว่างศาสนาก็มีขึ้น การแย่งชิงสาวกระหว่างศาสนามันก็มีขึ้น เพราะการเห็นแก่ตัว แล้วทีนี้จะพึ่งใคร ทีแรกก็ว่าจะพึ่งศาสนาเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นศาสนาโดยการกระทำของเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย มันเป็นผู้เห็นแก่ตัวเสียเอง มันก็เท่ากับว่าศาสนามันหมดไปแล้ว มันเหลือแต่ชื่อ สำหรับให้ยึดถือ ก็ยิ่งยึดถือก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ในการยึดถือชื่อของศาสนาเหล่านั้น จิตใจมันก็เศร้าหมองหนักขึ้น เศร้าหมองมากขึ้น เพราะความเห็นแก่ตัว วันนี้เป็นวันมาฆบูชา มีหลักใหญ่ ๆ แสดงไว้ว่า ไม่ทำชั่วทั้งปวง ทำดีให้ถึงพร้อม ทำจิตให้ผ่องแผ้ว ทำจิตให้ผ่องแผ้วนี่ คือให้มันผ่องแผ้วจากความเห็นแก่ตัว พุทธบริษัทก็มีความรู้หรือการปฏิบัติ ตามแบบของพุทธบริษัท ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในศาสนาที่เขาใช้ความเชื่อเป็นหลัก เขาก็ใช้ความเชื่อทำลายความเห็นแก่ตัว ในศาสนาที่อาศัยกำลังจิตเป็นหลัก ก็ใช้กำลังจิตเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว พุทธศาสนามีปัญญาเป็นหลัก ก็ใช้ปัญญาเป็นเครื่องทำลายความเห็นแก่ตัว คือมองให้เห็นว่ามันไม่มีตัว ถ้ามองเห็นความไม่มีตัว มันก็หมดความเห็นแก่ตัวไปได้เอง ฉะนั้นพุทธบริษัทก็มีวิธีการทำจิตให้ผ่องแผ้วจากความเห็นแก่ตัว โดยการใช้ปัญญาเจริญปัญญา ปฏิบัติปัญญา มองเห็นความไม่มีตัว เป็นแต่ธรรมชาติ เป็นแต่ความเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เป็นธรรมชาติ อย่าไปหลงเอามาเป็นตัว นี่ก็จะเป็นวิธีของพุทธบริษัท คือพุทธศาสนา ศาสนาอื่นเขาก็มีวิธีการอย่างอื่น ที่มันเหมาะกับบุคคลที่นั่น และก็ทำลายความเห็นแก่ตัวได้ในระดับนั้น มันก็มีประโยชน์เหมือนกัน ฉะนั้นมองดูแล้วก็เห็นว่า ศาสนาไหนก็มุ่งจะทำลายความเห็นแก่ตัว ทำให้คนรักกัน ให้มีการรักกัน ให้มีการไม่เห็นแก่ตัว และจะอยู่กันเป็นผาสุก เรื่องของศาสนาอื่น เราก็ขอยกไว้ให้ศาสนาอื่น เราเป็นพุทธบริษัท ก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาตามแบบของพุทธบริษัท ให้เห็นชัดในความไม่มีตัว รู้จักว่าทุกอย่างเป็นสังขารปรุงขึ้นมาตามกฎของธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงอยู่เนืองนิจ เรียกว่ารู้จักอนิจจัง รู้จักว่าความเปลี่ยนแปลงอยู่เนืองนิจ นี่มันบีบคั้นจิตใจของบุคคลผู้ยึดมั่น ถือมั่น นี่ก็เรียกว่าทุกขสัจ คือทุกขตา ทุกขตา ความเป็นทุกข์ ความที่มันเปลี่ยนแปลง มันก็บีบคั้นสิ่งที่มีชีวิตให้เป็นทุกข์ ไม่มีใครจะทนได้ หรือจะหลีกออกไปได้ ถ้าอยู่ในขอบวงของโง่ ของความโง่ ของอวิชชา ว่ามีตัว มันก็จะต้องมีความทุกข์ ดังนั้นก็จะต้องรู้จักเรื่องถอนตัว เรื่องปลดปล่อยตัว เพื่อจะไม่ต้องเป็นทุกข์ รู้ว่ามันเป็นอนัตตา มันไม่ใช่เป็นตัว ร่างกายก็ไม่ใช่ตัวตน จิตใจก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเป็นร่างกาย เป็นไปตามแบบของร่างกาย ปรุงแต่งตามแบบของร่างกาย ตั้งอยู่ตามแบบของร่างกาย ซึ่งจะเป็นเหมือนเปลือกที่รองรับจิตใจ จิตนี้ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธาตุอันหนึ่งของธรรมชาติ ได้อาศัยร่างกายและก็ทำงานได้ แสดงบทบาทได้ มันก็ไม่ใช่ตัว มันเป็นธาตุตามธรรมชาติเช่นนั้น ได้รับการปรุงแต่งอย่างนั้น มันก็ทำหน้าที่อย่างนั้นได้ มันก็คิดนึกได้ต่าง ๆ อย่าว่าแต่เห็นแก่ตัวหรือมีตัวเลย มันยิ่งกว่านั้นมันก็ทำได้ การที่จิตมันคิดนึกว่ามีตัวนั้น ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องโง่สำหรับจิตที่มันไม่มีการศึกษา มันอยู่ใต้อำนาจของสัญชาตญาณเกินไป มันไม่มีภาวิตญาณเสียเลย รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจริง ๆ แล้วจะมองเห็นว่ามันไม่มีตัว พอไม่มีตัวมันก็ไม่มีทางที่จะยึดถือเป็นของตัว ความเห็นแก่ตัวมันก็สิ้นไป เพราะมันไม่เห็นแก่ตัว เพราะมันไม่มีตัว เมื่อมันไม่มีตัว ไม่มีความเห็นแก่ตัว มันก็รักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเข็นกันให้ไปรักผู้อื่น มาเข็นกันในข้อที่ว่าให้มองเห็นความไม่มีตัว หมดความเห็นแก่ตัว แล้วมันก็รักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ ฉะนั้นหลักคำสอนในพระพุทธศาสนามุ่งหมายอย่างนี้ ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีตัว ไม่มีของตัว และก็ไม่เห็นแก่ตัว และมันก็รักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ การอยู่ในโลก มันก็อยู่ได้โดยสะดวกสบาย ทุกคนมีแต่ความรักซึ่งกันและกัน อย่างที่เรียกในพระศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรย ศาสนาแห่งความรัก เมตไตรยนั้นแปลว่าปัจจัยแห่งความเป็นมิตร เมตไตรยะแปลว่าปัจจัยแห่งความเป็นมิตร เมตไตรย เมตไตรย ทีนี้มันก็ไม่มีความเห็นแก่ตัว มันก็รักผู้อื่นได้ มีปัจจัยแห่งความเป็นมิตรเหลือประมาณ เพราะความไม่เห็นแก่ตัว นี่คือหลักพระพุทธศาสนาที่วางไว้อย่างถูกต้องแล้ว จะช่วยบุคคลได้ ช่วยโลกทั้งหมดก็ได้ แต่จะไปโทษใครถ้าถือเอาไม่ได้ อย่าว่าแต่จะถือเอาเลย เข้าใจก็ยังไม่เข้าใจ พอมันแนะให้ มันก็ขัดกับความรู้สึกที่มันเห็นแก่ตัว มันสร้างมาแต่ความเห็นแก่ตัวหรือความมีตัว หนาแน่น เหนียวแน่น พอได้ยินได้ฟังเรื่องไม่เห็นแก่ตัว มันก็ฟังไม่รู้เรื่อง จึงต้องหลอกหลายชั้น หลายระดับเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว นี่มันก็ ก็เป็นความจำเป็นที่จะต้องมีปัญญา ในการที่ทำลายความเห็นแก่ตัวตามที่ต้องการ เด็ก ๆ มันมีความเห็นแก่ตัว ได้รับคำสั่งสอนมาให้ยึดมั่นตัว ให้ยกตัว ให้อะไรตัว ก็มีปัญหาเพิ่มขึ้นๆ แล้วจะมาสอนกันให้หมุนกลับ มันก็ยากอย่างนี้แหละ เรียกว่าธรรมชาติมันก็แปลกเหมือนกัน มันมีสัญชาตญาณ ให้เห็นแก่ตัว มีภาวิตญาณเก็บไว้ข้างหลัง สำหรับคนจะศึกษาจะเข้าถึงแล้วจะทำลายความเห็นแก่ตัว ขอให้เรารู้ความจริงในข้อที่ว่า สัตว์ที่มีชีวิตมันมีปัญหาอย่างนี้ มีปัญหาอย่างนี้ ใครจะแก้ปัญหานี้ตก แก้ปัญหานี้ได้ก็ดูเอาเอง ถ้าใครแก้ได้ คนนั้นก็มีความเป็นพุทธบริษัทมากขึ้น คือลดความเห็นแก่ตัว โดยรู้ว่ามันไม่มีตัว มันไม่มีของตัว รู้ตามที่เป็นจริงอย่างนี้แล้ว จิตมันก็ไม่ถูกกระทำให้เกิดโลภะ โทสะ โมหะ มากเหมือนแต่ก่อน ขอให้มองเห็นความไม่มีตัวเถิด จะเกิดความไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็จะดำเนินไปในทางที่เป็น อะไรล่ะ สิ่งที่ ที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ ไม่เห็นแก่ตัว รักผู้อื่น อยู่กันเป็นผาสุก ดังที่ได้บอกแล้วข้างต้นว่าไอ้เรื่องความเห็นแก่ตัวนี้ แม้ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น มันก็ทรมานผู้นั้นอยู่คนเดียว ให้นอนหลับยาก ให้หวาดผวา ให้วิตกกังวล ให้รู้สึกว่ามันเต็มไปด้วยภาระ เต็มไปด้วยสิ่งที่กระตุ้นไม่ให้มีความสงบเลย เพียงแต่ไม่เห็นแก่ตัวก็เป็นสุขตามลำพังได้อย่างยิ่ง แล้วก็ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ผู้อื่นก็พลอยเป็นสุขกันทั้งโลก เพราะความไม่เห็นแก่ตัว ปัญหาของมนุษย์มีเท่านี้ มีความทุกข์ ลำบาก ยุ่งยาก โดยส่วนตัวและโดยส่วนรวม เพราะความเห็นแก่ตัว ศาสนาเกิดขึ้นโดยผู้รู้ที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัว ตามยุคนั้น ๆ สมัยนั้น ๆ ถิ่นประเทศนั้น ๆ มันก็ยังไม่ค่อยจะมีผล มันสู้กิเลสของสัญชาตญาณไม่ได้ นี่เราจึงพบกันแต่ความยุ่งยาก ลำบาก เป็นวิกฤตการณ์อยู่ในโลก ทีนี้มาดูทีว่าโลก โลกนี้มันคืออะไร ถ้ามันเป็นโลกของคนโง่ มันก็คือความโง่ รวมกันทั้งหมด ถ้ามันเป็นโลกของคนมีสติปัญญา มันก็มีสติปัญญาเต็มไปในโลก เดี๋ยวนี้สติปัญญา มันไม่มีมากพอที่จะควบคุม ไอ้ความโง่ กิเลสตามสัญชาตญาณ กิเลสเกิดจากสัญชาตญาณมันมีมาก ไอ้โพธิ โพธิ ที่เกิดจากภาวิตญาณมันมีน้อย การศึกษา การอบรมฝึกฝนให้เกิดโพธิ โพธิ คือปัญญาอันถูกต้อง เพื่อควบคุมสัญชาตญาณฝ่ายกิเลสนั้นน่ะ มันมีน้อย โพธิจึงมีน้อย ไม่อาจจะควบคุมกิเลส ซึ่งมีสัญชาตญาณเป็นพื้นฐาน และความโง่ของมนุษย์ก็ส่งเสริมกันเป็นการใหญ่ มีความเจริญทางวัตถุซึ่งบูชากันนัก ความเจริญทางวัตถุ เจริญทางวัตถุ ทุกประเทศแข่งขันกันสร้างความเจริญทางวัตถุ มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากอย่างยิ่ง ความเจริญนั้นกลายเป็นความวินาศ ไอ้ที่เขาเรียกกันว่าความเจริญ มันกลายเป็นความวินาศ เพราะอะไร เพราะมันบังคับไว้ไม่ได้ มันบังคับไม่อยู่ ขอพูดว่าไอ้ความเจริญที่บังคับไว้ไม่ได้ ควบคุมไม่ได้นั้นแหละคือความวินาศ เดี๋ยวนี้ในโลกเต็มไปด้วยความเจริญที่บังคับไม่ได้ เพราะฉะนั้นโลกนี้ก็มีความวินาศทางจิต ทางวิญญาณมากขึ้นทุกที มากขึ้นทุกที เพราะมันควบคุมความเจริญไม่ได้ แล้วความเจริญให้เหยื่อแก่กิเลสนี่ มันก็เพิ่มกำลังให้แก่กิเลส กิเลสมันก็ครองโลก มันก็ชักนำไปแต่ในทางที่จะให้เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ธรรมะ ถ้ามันเห็นแก่ตัว ก็เห็นแก่กิเลส มันก็ไม่เห็นแก่โพธิ โพธิมันสู้ไม่ได้ มันมีกำลังน้อยกว่ากิเลส กิเลสมันก็ครองโลก และครองโลกยิ่งขึ้นทุกที เราพูดอย่างนี้คงมีคนโกรธ มีคนเกลียด ว่าเราพูดว่ากิเลสกำลังครองโลกมากยิ่งขึ้นทุกที ตามความเจริญของมนุษย์แห่งสมัยปัจจุบัน ค้นคว้าประดิษฐ์สิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องมี ไม่จำเป็นจะต้องมีขึ้นมาเรื่อยไป ไม่อยู่กันแต่พอดี มันมีอะไรที่จะส่งเสริมความเอร็ดอร่อย สนุกสนาน สะดวกสบายอย่างไม่มีขอบเขต จนทุกคนบูชาสิ่งนี้ บูชาความเอร็ดอร่อย ซึ่งเป็นเหยื่อของกิเลส บูชาของกิเลส หันหลังให้พระเจ้า หันหลังให้ศาสนา หันหลังให้ธรรมะยิ่งขึ้นทุกทีนี้ คือมนุษย์มันโง่ มันไปส่งเสริมเหยื่อของกิเลส และก็เรียกว่าความเจริญ ความเจริญที่ควบคุมไว้ไม่ได้ เป็นไปด้วยความโง่ อย่างนี้คือความวินาศ เดี๋ยวนี้มนุษย์จึงไม่มีธรรมะ ไม่มีศีลธรรม ไม่มีความรักซึ่งกันและกัน จนไอ้กิเลสนี่ครองโลก ความเห็นแก่ตัวครองโลก ฝ่ายนายทุน ก็เห็นแก่ตัวจัด ไปครึ่งโลก ฝ่ายกรรมกร ชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัวจัด ไปครึ่งโลก พอดีทั้งโลกมีแต่ความเห็นแก่ตัว แล้วเมื่อไหร่มันจะพูดกันรู้เรื่อง มันจะพูดกันรู้เรื่องได้อย่างไร มันมีแต่ความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งสองฝ่าย มันก็บิดพลิ้ว ไม่ยอมรับในส่วนที่เป็นธรรมะ ที่ควรจะยอมรับ คือความไม่เห็นแก่ตัว อยากจะเห็นแก่ตัว อยากจะชนะอยากจะครองโลกเสียคนเดียว ใครมาชวนเพื่อความสงบ ไม่ต้องการ ชวนให้ถือศาสนา ไม่เอา เพราะรู้สึกว่าจะเสียเปรียบ ใครที่มามัวถือศาสนาอยู่จะเสียเปรียบอีกฝ่ายนู้น ฝ่ายที่มันไม่ถือศาสนา มันก็ไม่กล้าถือศาสนา ศาสนามันก็เหลือแต่ชื่อ ในโลกนี้ศาสนามันก็เหลือแต่ชื่อ ไม่สามารถจะช่วยคุ้มครองโลก องค์การโลก มีกี่องค์การ มันก็ไม่รู้จักเรื่องนี้ มันก็ไม่รู้จักว่าปัญหาของโลกนี้ จะต้องแก้ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว บางทีมันก็เป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัวไปเสียอีก สนับสนุนความเห็นแก่ตัวของฝ่ายนี้ ให้ความลำเอียงแก่ฝ่ายโน้น นี้มันก็เป็นเรื่องความเห็นแก่ตัว องค์การโลกยังไม่เหมาะสมที่จะทำหน้าที่ให้เกิดสันติภาพขึ้นมาในโลก และก็พูดกันเท่านั้นเอง มันก็พูดกันเท่านั้นเอง อย่ามีความเห็นแก่ตัว โลกก็มีสันติภาพอยู่ตามธรรมชาติ เมื่อมนุษย์ยังไม่เห็นแก่ตัว มันไม่ทำลายอะไร ทางวัตถุก็ดี ทางจิตใจก็ดี อะไรก็ดี มันไม่มีการทำลาย พอมันเห็นแก่ตัว มันทำลายหมด ไอ้โลกนี้มันก็เลยหมดไอ้ภาวะที่น่าจะพอใจ เป็นโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งเศร้าหมอง ด้วยผลนานาชนิดที่เกิดมาจากความเห็นแก่ตัวนั่นเอง นี่เรียกว่าเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตใจ จิตใจไม่ผ่องแผ้ว ไม่ขาวรอบ เพราะว่ากำลังถูกครอบงำอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว เมื่อไรเห็นชัด ความจริงของธรรมชาติว่าความเห็นแก่ตัวเป็นอุปสรรคของความสงบสุขหรือสันติภาพ พร้อมใจกันกำจัดความเห็นแก่ตัว ทุกคนในโลกมองเห็นเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเหมือนกับคน ๆ เดียว ศาสนาทุกศาสนาในโลกมารวมกันสำนึกในหน้าที่ว่าจะต้องกำจัดความเห็นแก่ตัว มารวมกันกำจัดความเห็นแก่ตัว ไอ้โลกนี้มันก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นโลกที่มีความบริสุทธิ์ ผ่องใส ขาวรอบ มีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสขาวรอบ รู้ตามที่เป็นจริง อะไรควร อะไรไม่ควร อะไรเป็นทาสของกิเลส อะไรไม่เป็นทาสของกิเลส อะไรเป็นหนทางรอดจากอำนาจของกิเลส มันก็รอดได้ รอดได้ทางจิตใจ และทางกายนั้นไม่เป็นไร มันก็รอดตามไปเอง ขอให้รอดทางจิตใจกันเถิด มีความเข้าใจอันถูกต้อง ๆ ๆ อย่าใช้คำว่าดี ๆ ๆ เลย มันบ้าดี เมาดี หลงดี แล้วมันวินาศ ใช้คำว่าถูกต้อง ๆ กันเถิด มันไม่เมา ไม่บ้า ไม่หลง มันก็รอดตัว ธรรมะคือหน้าที่อันถูกต้องในการช่วยให้รอด หน้าที่ก็คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด จะต้องมีความถูกต้อง อย่าไปหลงความหมายแห่งตัวตน ซึ่งมันต้องการดี ๆ ๆ ๆ เพื่อกิเลส ต้องการดีของกิเลสนั้นมันเป็นความผิด เป็นความทุกข์ ถ้าต้องการดีของโพธินั่น มันจึงจะรอด ฉะนั้นเราหลีกเลี่ยงไอ้สิ่งที่เมาได้ บ้าได้ หลงได้เสียหมด มาอยู่ในสิ่งที่ไม่อาจจะบ้า ไม่อาจจะเมา ไม่อาจจะหลงคือความถูกต้อง พระพุทธศาสนาจึงยึดหลักความถูกต้อง ไม่ได้ยึดคำว่าดี ๆ เป็นหลักเลย เนื้อตัวของพุทธศาสนาก็คือความถูกต้อง ส่วนเหตุมีอยู่ ๘ ประการ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ๘ ประการนี้ ท่านทั้งหลายก็รู้กันอยู่ดีแล้ว นั่นยึดความถูกต้อง ๘ ประการเป็นส่วนเหตุ เป็นหลักปฏิบัติ ไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู แล้วอีกสองถูกต้องคือ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ มีความรู้ถูกต้องมีความรอดถูกต้อง วิมุตติคือรอด หรือหลุดพ้น เพิ่มขึ้นมาอีกสองอย่าง รวมเป็นสิบอย่าง ก็เป็นตัวพุทธศาสนาที่สมบูรณ์ แต่มันก็สำคัญอยู่ที่ตัวเหตุ ๘ อย่าง เราจึงพูดกันแต่เรื่องตัวเหตุ ๘ อย่าง ถ้าทำส่วนที่เป็นตัวเหตุ ๘ อย่าง ครบถ้วนถูกต้องแล้ว ไอ้ผลสองอย่างก็เกิดมาเอง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยมีใครเอาพูดกัน ว่าความถูกต้องนั้นมีอยู่ ๑๐ อย่าง คือเติมสัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติเข้าไปอีกสอง อย่าง รวมเป็น ๑๐ อย่าง เป็นตัวธรรมะหรือพระพุทธศาสนาที่สมบูรณ์ ทั้งส่วนเหตุ และทั้งส่วนผล เมื่อนั้นมันจะหมดความเห็นแก่ตัว สัมมาญาณะ มีความรู้ถูกต้อง สัมมาวิมุตติ หลุดพ้นออกมาเสียจากความยึดมั่นถือมั่น ความไม่รู้ ความโง่ ความหลงต่าง ๆ รอดออกมาเสียได้ เรื่องมันก็จบแหละ รอดออกมาเสียได้จากอวิชชา ความโง่ ความหลง ความเข้าใจผิดหรือมันไม่ถูกต้อง และเป็นอันว่าขอให้ถือเป็นหลักได้เลยว่าจะไม่หลงไปกับไอ้สิ่งที่เมาได้ บ้าได้ แต่จะยึดถือสิ่งที่ไม่บ้า ไม่เมา ไม่หลง นี่เป็นหลักสำหรับประพฤติปฏิบัติ คือความถูกต้อง แล้วก็จะได้รับผลข้อสุดท้ายของโอวาทปาฏิโมกข์ที่ว่า สจิตตปริโยทปนัง การทำจิตให้บริสุทธิ์ขาวรอบ ซึ่งเป็นหลักประการสุดท้ายของโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงในวันนี้ ในท่ามกลางพระอรหันต์จำนวนมากมาย ถือเป็นหลักปฏิบัติทั่วไปๆ ในการที่จะช่วยสัตว์โลก ช่วยสัตว์โลกนานาชนิดให้รอดพ้นจากความทุกข์และปัญหาทั้งปวง ทำจิตให้บริสุทธิ์ขาวรอบ อย่าให้ยึดมั่นอยู่ด้วยตัวกู หรือของกู และก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวก็เป็นทุกข์ไปพลาง แล้วเผลอเข้าก็ทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ด้วย ความเห็นแก่ตัวเป็นเครื่องทำลายโลกอย่างนี้ มนุษย์ ถ้ามีจิตใจเป็นมนุษย์ คือมีจิตใจสูงจริง ก็ไม่ควรต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจสิ่งเลวร้ายอันนี้ นั้นคือความเห็นแก่ตัว ที่เรียกว่ามาร หรือพญามาร หรืออะไรที่มันเลวร้ายที่สุดนั่นน่ะ ที่แท้จริงก็คือความเห็นแก่ตัวของมนุษย์นั่นเอง ไม่ใช่เป็นสัตว์ชนิดที่น่าเกลียดน่ากลัว เหมือนกับเขียนในรูปภาพ นั่นมันจะน่าเกลียดอะไรจะน่ากลัวอะไร มันน่ากลัวอย่างยิ่งก็คือความเห็นแก่ตัว ซึ่งมันมีอยู่ในจิตใจของคน และก็ซึ่งบุคคลเหล่านั้นถือเอาเป็นตัวกู เอาตัวสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือความเห็นแก่ตัวนั่นล่ะ ว่าเป็นตัวตนของตน นี่มันแสนจะมืด แสนจะบอด แสนจะโง่ แสนจะหลง มันเอาสิ่งที่มิใช่ตน เป็นข้าศึกนั่นมาเป็นตัวตน เพราะมันมีสัญชาตญาณผิดพลาด ก้าวหน้า สูงสุด เป็นความเห็นแก่ตน รู้จักตัวเองว่ามีสัญชาตญาณอย่างนี้ เดินผิดมามากแล้ว เวลาที่เหลืออยู่ต่อไปนี้ก็จะแก้ไข จะควบคุมสัญชาตญาณแห่งตัวตนด้วยโพธิปัญญา รู้แจ้งว่าตามธรรมชาติ เป็นธรรมชาติ เอามาเป็นตัวตนไม่ได้ มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ส่วนที่น่าเอร็ดอร่อยนั่นแแหละ มันทำให้โง่ให้หลง แล้วทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวตน แล้วเห็นแก่ตน ฉะนั้นอย่าไปหลงความเอร็ดอร่อยทางอายตนะ คือทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ กันนักเลย มันจะเกิดการทำผิดพลาดทางอายตนะนั้น ๆ คือนรกที่แท้จริง เมื่อทำผิดทางอายตนะ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นนรก เมื่อทำถูกทางอายตนะ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นสวรรค์ แต่ทั้งนรกทั้งสวรรค์มันยังมีความเปลี่ยนแปลง โยกโครง เอาพ้นนั้นขึ้นไปดีกว่า เหนือนรก เหนือสวรรค์ ไม่หลงใหลในของที่มันเป็นคู่ ๆ ตรงกันข้าม ขึ้นเหนือของที่เป็นคู่ ๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลก เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องได้ เรื่องเสีย เรื่องแพ้ เรื่องชนะ เรื่องกำไร เรื่องขาดทุน เรื่องได้เปรียบ เรื่องเสียเปรียบ กี่ กี่ กี่คู่ อย่าไปเอากับมันเลย อยู่เหนือความเป็นคู่ จิตใจจึงจะบริสุทธิ์และขาวรอบ แม้ที่สุดแต่คู่ที่สำคัญที่สุด ทั้งความเป็นหญิงเป็นชายอย่างนี้ ก็อย่าไปหมายมั่น ยึดมั่น ให้มันมากมายจนโง่ จนหลงเลย มันก็เป็นอย่างนั้นเอง ไปยึดมั่นถือมั่นเข้าแล้วก็เป็นทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปฏิบัติหน้าที่ไปตามที่ควรจะทำ โดยไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น ก็ไม่ต้องมีทุกข์ ชาวนาก็ทำนา โดยไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์ ชาวสวนก็ทำสวน โดยไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์ พ่อค้าก็ค้าขาย โดยไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์ ข้าราชการก็ทำราชการ โดยไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์ กรรมกรก็ทำกรรมกร โดยไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์ กระทั่งว่าคนขอทาน ก็นั่งขอทาน โดยไม่ต้องยึดมั่นให้เป็นทุกข์ มันเป็นศิลปะที่งดงามอย่างยิ่ง ก็ต้องค่อนข้างจะทำยากเป็นธรรมดา ให้มันเป็นเรื่องของกายกับใจล้วน ๆ ไม่มีตัวกู ไม่มีตัวตน ให้มันเป็นเรื่องของกายและใจล้วน ๆ และใจนั้นเต็มไปด้วยสติปัญญา เห็นความไม่มีตัวตน ไม่เห็นแก่ตน ใจมันก็สั่งร่างกายทำไปโดยถูกต้อง โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ อย่าเอาตัวตนเข้ามาใส่ลงไปเป็นตัวที่สาม มีกายอันหนึ่ง แล้วก็มีจิต หรือใจอันหนึ่ง ให้มีความถูกต้อง ควบคุมกันไปดี ๆ จิตนั่นแหละศึกษาอยู่ตลอดเวลา เป็นทุกข์อย่างไร ไม่เป็นทุกข์อย่างไร เพราะมันผ่านอยู่ตลอดเวลา ให้จิตมันช่วยตัวเอง คือฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น อย่างนี้เรียกว่าพุทธศาสนา คือการช่วยตัวเอง จิตมันสัมผัสอารมณ์อยู่ตลอดเวลา แต่ทุกคราวที่มันสัมผัสอารมณ์ดีร้าย แสบเผ็ดหอมหวานอะไรก็ตาม ให้มันก็จะฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น จนรู้แต่เรื่องที่ดับทุกข์ ไม่มีทุกข์ ไม่ไปโง่ ไปหลงในสิ่งที่เอร็ดอร่อย สวยงามและหลอกลวง เอาแต่เรื่องที่มันดับทุกข์ ดับทุกข์แล้วมันควรจะพอแล้ว ในพุทธศาสนา เมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัสด้วยภาษาธรรมะ แท้จริง ท่านจะตรัสแต่ว่า ที่สุดแห่งความทุกข์ คือทุกข์ กับความดับทุกข์เท่านั้น ไม่พูดถึงความสุขหรอก แต่ถ้าพูดภาษาคน ให้คนโง่ๆ ทั้งหลายสนใจนี่ ท่านจึงจะพูดว่าความสุขบ้าง ความสุข ที่คนมันชอบกันนัก มันยึดถือกันนัก ท่านก็ใช้คำนั้นมาใช้กับไอ้ผลของพระศาสนา ผลของการปฏิบัติ แต่โดยแท้จริงท่านจะพูดแต่ หมดสิ้นแห่งความทุกข์ หลุดรอดหลุดพ้นจากความผูกพันของความทุกข์ เป็นความรอดสูงสุดในพระพุทธศาสนา แล้วก็ไม่ไปเข้าคอกอะไรที่ไหนอีก ที่จะยึดมั่นถือมั่นอีก เป็นไม่มี จึงไม่ยึดมั่นแม้ในพระนิพพาน ไม่ยึดมั่นในสิ่งใด จึงจะเป็นนิพพาน ถ้ายึดมั่นในนิพพาน ก็ไม่มีหวังที่จะนิพพาน เพราะว่าไอ้ความหลุดพ้นที่แท้จริง คือความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด และก็เป็นนิพพาน หวังว่าท่านทั้งหลาย คงจะมีความรู้ความเข้าใจ ในการทำจิตให้บริสุทธิ์ขาวรอบ เป็นธรรมะองค์ที่ ๓ ที่จัดแสดงในวันมาฆปุรณมีเช่นวันนี้ และก็ยึดถือเป็นหลักตลอดไป ที่จะทำลายสิ่งเศร้าหมองของจิตใจให้บริสุทธิ์ขาวผ่องจากความยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวกูว่าของกู การแสดงธรรมเทศนาในวาระที่สองนี้ ก็ต่อเนื่องมาจาก ที่บรรยายแล้วในวาระที่หนึ่ง เมื่อตอนเย็นบนภูเขา ก็พอสมควรแก่เวลาในตอนนี้ อาตมาก็ขอยุติการบรรยาย ในตอนที่สองนี้ไว้เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้