แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิกทั้งหลาย ขอให้ทำในใจอย่างเดียวกับเมื่อวานว่า ผมพูดกับท่านทั้งหลายอย่างเพื่อนสหธรรมิกไม่ใช่พูดอย่างอาจารย์กับศิษย์ ข้อนี้หมายความว่า เพื่อจะได้วิพากษ์วิจารณ์ได้เต็มที่ เป็นการปรึกษาหารือวิพากษ์วิจารณ์ได้เต็มที่ ก็เท่ากับว่าขอร้องให้เอาไปวิพากษ์วิจารณ์ ความคิดความเห็นเหล่านี้ แสดงออกไปเพื่อได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อเห็นด้วยแล้วก็จะได้รับการร่วมมือ ไม่มีข้อขัดแย้งในการช่วยกัน ช่วยกันๆ ทุกอย่างทุกประการในการเผยแพร่พระศาสนา พูดให้แรงกว่านั้น ก็ว่าในการดำรงชีวิตของพระศาสนาดีกว่า พระศาสนาจะมีอยู่ได้ ก็เพราะว่า มีคนบวช มีคนเรียน มีคนปฏิบัติ มีคนได้รับผลของการปฏิบัติ แล้วก็สั่งสอน สืบๆ ต่อๆ กันไป ถ้าทำได้อย่างนี้ ศาสนาของเราก็มีชีวิตอยู่ ไม่ดับ ไม่ดับสูญ แล้วก็ขอให้สังเกตดูเถิดว่า ไอ้เรื่องที่นำมาพูดนี้ มันมีลักษณะเป็นความคิดความเห็น เสนอขึ้นมาในส่วนที่มันยังขาดอยู่ หรือว่า ในส่วนที่มันจะต้องปรับปรุงให้ดี ให้ถูกยิ่งๆ ขึ้นไป ก็เลยมีหัวข้อที่จะพูดในวันนี้ว่า การศึกษาที่ต้องปรับปรุงเพื่อความสมบูรณ์เหมาะแก่โลกปัจจุบัน ปรับปรุงเพื่อความสมบูรณ์ในโลกปัจจุบัน
อยากจะเล่าเรื่องปลีกย่อยว่า เมื่อไม่นานมานี้ถูกด่า เรื่องฉีกพระไตรปิฎก ความจริงก็ไม่ได้ฉีกพระไตรปิฎกอะไรหรอก เพียงแต่ว่าบางอย่าง เว้นเสียเถิด ไม่ต้องเอามาสอนคนในโลกปัจจุบัน เรื่องสุริยคราส จันทรคราส เรื่องเมืองยักษ์ เรื่องพานยักษ์ คือมันก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก เหล่านี้ก็เว้นเสียได้ หรือพระอภิธรรมปิฎกมันไม่มีการดับทุกข์โดยตรง มันก็เป็นบัญชีหางว่าวเกี่ยวกับเรื่องรูป เรื่องจิต เรื่องเจตสิก เรื่องอะไรเหล่านั้น มันเป็นแคตตาล็อก ก็เว้นเสียก็ได้ แต่ว่าเรื่องใดที่มันจะกำจัดความเห็นแก่ตัว ที่มันเป็นความทุกข์แก่บุคคลนั้นและบุคคลอื่น นั้นเอามา รวบรวมเอามา ประมาณสัก ๔๐ เปอร์เซ็นต์ ก็พอแล้วๆ ๖๐ เปอร์เซ็นต์นั้นเก็บไว้เงียบๆ ถ้าเอาออกมาเขาอาจจะไม่อ่าน แล้วก็จะพาลไม่อ่านไปเสียด้วยทั้งหมด ฉะนั้นเอาที่มันน่าสนใจ พออ่านเข้าแล้วจับใจ ก็อยากจะติดตาม นั่นแหละเอาเรื่องเหล่านี้มาเผยแผ่กัน โดยระลึกถึงคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า ปุพเพ จาหัง ภิกขะเว เอตะระหิ จะ ทุกขัญเจวะ ปัญญาเปมิ ทุขขัสสะ จะ นโรธัง ภิกษุทั้งหลาย แต่ก่อนนี้ก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี ตถาคตบัญญัติแต่เรื่องทุกข์ กับ ความดับทุกข์เท่านั้น เรื่องอื่นก็ไม่พูด แต่ทำไมในพระไตรปิฎกมันจึงมีไอ้เรื่องที่เหลือเฟือเกินนั้น เกินนั้น และบางทีก็ยุ่งยากลำบากแก่การศึกษา แก่การเข้าใจ เพิ่มให้มากออกไป
ผมจะเปรียบเทียบให้ฟังสัก ๒ สูตร เช่นคำว่า สติปัฏฐาน นี่สำคัญมากแหละคำนี้ เป็นจุดตั้งต้นของโพธิปักขิยธรรม แต่แล้วใน มัชฌิมนิกาย ในอานาปาสติสูตร พูดอย่างรัดกุม เป็นระเบียบปฏิบัติ ตั้งแต่ต้นจนปลาย มี ๑๖ ขั้น ปฏิบัติหมดนั้นแล้วเรียกว่า สติปัฏฐาน สมบูรณ์แล้วทำให้โพชฌงค์สมบูรณ์ โพชฌงค์สมบูรณ์แล้ว มรรคมีองค์ ๘ ก็สมบูรณ์ ความดับทุกข์ก็เป็นไปได้ สูตรนั้นมันก็สั้น ส่วนมหาสติปัฏฐานสูตรในทีฆนิกาย ซึ่งนิยมกันนัก ยกย่องกันนัก เน้นกันนัก ไปอ่านดูเถอะ มันเฟ้อ มันน่าสงสัยว่ามันเพิ่มเติมกันทีหลัง มันเป็นบัญชีหางว่าว ของข้อธรรมะ มันไม่ได้แสดงหลักปฏิบัติชัดเจน รัดกุมแต่ต้นจนปลาย เหมือนกับในอานาปานสติสูตร นี่เราจึงไม่ยึดเอาสูตรที่ยาวอย่างนั้น อ่านเป็นชั่วโมงๆ แล้วก็ไม่แสดงวิธีการปฏิบัติอะไร มีแต่ชื่อ มีแต่ออกแต่ชื่อ มันเป็นบัญชีหางว่าว เป็นแคตตาล็อกสำหรับเลือกให้นั่นเอาเองมากกว่า อย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่แสดงสติปัฏฐาน ๔ แก่ประชาชนในโลก ก็แสดงอย่างที่ตรัสไว้ในอานาปานสติสูตร ซึ่งพระองค์ก็ตรัสว่า ตถาคต บรรลุการตรัสรู้เพราะอานาปานสติ ท่านใช้คำอย่างนี้นะ ท่านไม่ได้ใช้คำว่า สติปัฏฐานนะ เพราะอานาปานสติ ฉะนั้นคำว่าอานาปานสตินั่นแหละมันได้ใช้กันมาเรื่อยๆ จนมาถึงชั้นหลังถ้าพูดถึงสมาธิภาวนาแล้วก็จะ เอ่ยถึงอานาปา อานาปา อานาปานสติ นั่นเอง ไม่เอ่ยถึงคำว่า สติปัฏฐานเลย หนังสือที่แต่งชั้นหลังเช่น หนังสือพระมาลัย เรื่องยืดยาว สนทนากับเทวดา หรือพระศรีอารย์ หรือใครๆก็ตาม พระมาลัยใช้คำว่า อานาปา ไม่มีคำว่า สติปัฏฐาน แต่มีใช้คำว่า อานาปาๆๆ นี้แสดงว่าสมัยหนึ่ง อานาปานสตินั้น แพร่หลายมาก เป็นที่เข้าใจกันมากในหมู่พุทธบริษัทเรา จนติดปาก หรือใช้สำเร็จประโยชน์ จึงบอกได้เลยว่า ถ้าจะปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ แล้วก็จงถือตามหลักอานาปานสติสูตร ปฏิบัติอาณาปนสติ ก็แปลว่าเป็นสติปัฏฐาน ๔ ที่สมบูรณ์ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส นี่เราจะเลือกคัดเอาแต่ของที่มองเห็นชัด สำเร็จประโยชน์อย่างนี้มารวมกัน เสนอแก่โลกปัจจุบัน มันจะสำเร็จประโยชน์ เก็บมหาสติปัฏฐานสูตร เงียบๆ ไว้เลยก็ได้ แล้วก็แสดงอานาปานสติสูตรแทน จะกะทัดรัด compact ที่สุดเลย ที่จะศึกษา ที่จะปฏิบัติ และได้รับผลของการปฏิบัติ นี่ผมจึงถือว่ามีส่วนที่จะปิดไว้ เก็บไว้ไม่ต้องแสดง แต่ใช้คำให้มันสนใจว่า “ฉีก” ออกเสีย เลยกลายเป็นอันธพาลฉีกพระไตรปิฎก เขาด่ากันใหญ่
นี่ก็เพื่อจะแสดงความคิดไปอย่างหนึ่งว่า ไอ้การศึกษาที่ต้องปรับปรุงให้สมบูรณ์ ที่ต้องปรับปรุงให้สมบูรณ์ นี่ก็ยังมีความหมายไปถึงว่า ถ้าสมบูรณ์ถูกต้อง สมบูรณ์จะไม่เกิดการความขัดแย้งเลย ไม่มีการขัดแย้ง แม้ไนวงใน ว่าปฏิบัติอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ปฏิบัติอย่างสำนักนั้น ปฏิบัติอย่างสำนักนี้ เดี๋ยวนี้ก็น่าหัว ที่ว่าเขายินดีสมัครใจที่จะพูดว่า เป็นศิษย์สำนักนั้น สำนักนี้ อย่าออกชื่อเลย แต่เขายืนยันว่าเป็นศิษย์อาจารย์คนนั้น อาจารย์คนนี้ สำนักนั้น สำนักนี้ เขาพูดกับผมอย่างนี้ ผมก็เลยถามว่า แล้วเอาพระพุทธเจ้าไปไว้เสียที่ไหน เป็นศิษย์อาจารย์คนนั้น อาจารย์คนนี้กันเสียหมด ที่นี่เราเป็นศิษย์พระพุทธเจ้า เราจะเลือกเฟ้นคัดกรองเอาแต่ส่วนที่เราเชื่อได้ว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้จริง โดยหลักที่พระองค์ตรัสว่า เราบัญญัติแต่เรื่องทุกข์ กับดับทุกข์ไม่เหลือเท่านั้น ถ้าอย่างนี้แล้วก็มุ่งตรงไปยังดับทุกข์ มันต้องรู้ทุกข์ ต้องมีทุกข์ที่เป็นปัญหา มันจึงจะดับทุกข์ โผล่ขึ้นมาจะไปพูดเรื่องดับทุกข์ มันก็แปลก เพราะมันไม่มีทุกข์ จะดับทุกข์ยังไง มันต้องเป็นที่แน่นอนว่ามันมีความทุกข์อยู่ เฉพาะหน้า เป็นปัญหา จึงต้องสอนให้สมบูรณ์ว่ามีความทุกข์อย่างไร บางคนเขาไม่มีความทุกข์เลย เขามาศึกษาธรรมะนี้ เพื่อให้มีบุญได้บุญ รวย สวย อะไร ร่ำรวยเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ใช่เพื่อดับทุกข์ ผมสังเกตดูที่มาหา และก็มากเหลือประมาณที่ว่า ช่วยเป่าหัวที ช่วยรดน้ำที มันก็พิสูจน์ไปไกลเสียแล้ว พุทธบริษัทนี่ไปไกลเกินไปเสียแล้ว จะดับทุกข์ด้วยการช่วยเอาน้ำช่วยรดหัวที เป่าหัวที อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็จะเป็นปัญหาแหละ ฉะนั้นขอให้คอยเตรียมพร้อมไว้ ถ้าว่าเขามาให้เป่าหัวที แล้วก็เป่าหัวนี้ บอกให้มันรู้ ให้มันมีความรู้ มีปัญญาที่จะดับทุกข์ บอกว่านี่คือเป่าหัว นี่คือน้ำรดหัวแหละ แล้วก็จะรักษาความเป็นพุทธบริษัทไว้ได้ อย่าไปผสมโรง เป่าหัว เป่าหู พรูดพราดออกไป มันจะเป็นการผลักดันให้ไกลออกไป ทำความเลอะเลือนให้เกิดขึ้นในพุทธศาสนา เมื่อตะกี้ ฝรั่งคนนั้นถามว่า ทำไมในพระพุทธศาสนามี superstition มองเหมือนกับว่าศาสนามี superstition เพราะมันเห็น ผมก็บอกว่า ไม่ใช่ๆ นั่นมันไม่ใช่ นั่นมันเนื้องอก มันเปลือกนอก เพิ่งเข้ามา เราจะต้องมุ่งตรงไปยังการความดับทุกข์ ถึงแม้ว่า จะทำกับคนโง่ที่สุด มันก็ไม่ใช่ด้วยการพ่นน้ำลายใส่หัว มันต้องพ่นอย่างอื่นลงไป เป่าหัว เป่ากะหม่อม ด้วยความรู้ที่ถูกต้องว่า ทุกข์เป็นอย่างนี้ เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้ ดับทุกข์เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ก็ยังพอใช้ได้ แล้วก็ไม่เป็นไสยศาสตร์ แม้จะยังไม่ถึงตัวพระพุทธศาสนา มันก็เครื่องดึงเข้าไปหาพุทธศาสนา ดึงเข้าไปหาพุทธศาสนามากขึ้นๆ
จุดศูนย์รวมที่จะต้องดิ่งลงไปให้ถึงก็คือว่า การกำจัดความเห็นแก่ตัว ขอร้องอย่างยิ่ง ช่วยไปพิจารณาคำๆ นี้ให้ละเอียดต่อไปข้างหน้า ว่าไอ้สิ่งเลวร้ายที่สุด เป็นปัญหาที่สุด ทำความยุ่งยากให้แก่มนุษย์มากที่สุด คือสิ่งที่เรียกสั้นๆ ว่า ความเห็นแก่ตัว ถ้าอันนี้ยังมีอยู่เพียงใดในบุคคล บุคคลนั้นหาความสงบสุขไม่ได้ ถ้ายังมีอยู่ในโลก โลกนี้หาความสงบสุขไม่ได้ และเมื่อทุกคนในโลกมันมีความเห็นแก่ตัว มันก็เป็นโลกแห่งการเห็นแก่ตัว ฟังดูให้ดีๆสิ แล้วมันจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าทุกคนในโลกมันเห็นแก่ตัว ไอ้โลกนี้ทั้งโลกมันกลายเป็นโลกของคนเห็นแก่ตัว มันก็บูชาประโยชน์ มันก็ทำร้ายผู้อื่นเพื่อเอาประโยชน์มาเป็นของตัว ถึงขนาดที่มันจะแย่งกันครองโลก เดี๋ยวนี้มันมีองค์การ ถึงขนาดที่มันจะครองโลก แล้วมันก็จะแย่งกันครองโลก ต่างแข่งขันกันสร้างอาวุธ สร้างเครื่องมือ ถ้าครองโลกแล้วมันก็พอใจ เขาไม่ได้ต้องการสันติภาพในโลก เขาต้องการจะครองโลกเพื่อประโยชน์แก่เขา โลกกำลังมีภาวะอย่างนี้ เลยหาสันติสุข สันติภาพไม่ได้ แล้วการศึกษาทั้งหลายในโลก มันก็เป็นไปแต่เพื่อประโยชน์อย่างนี้ การศึกษาในโลก ระดับต้น ระดับต่ำ ระดับสูงสุด มันก็เพื่อประโยชน์แก่การสร้างกำลัง สร้างอำนาจ สร้างอะไรให้ชนะๆ อย่างนั้น อย่างดีที่สุดก็เพื่อตัวเองนี้จะได้ประโยชน์ ได้ชนะผู้อื่นในการกอบโกยประโยชน์ ระวังให้ดี ไม่ใช่พูดจาดูถูกเหยียดหยามว่าเขาหรอก แต่ระวังให้ดีว่า การศึกษาในยุคปัจจุบัน ตั้งแต่ชั้นต่ำสุดจนถึง ระดับ academic study ของมหาวิทยาลัยทั้งหลาย มันเพื่อเสริมความเห็นแก่ตัว และพรรคพวกของตัว ประโยชน์ของตัว การศึกษามันกลายเป็นรับใช้การเมือง การศึกษาไม่ได้รับใช้สันติภาพของพระศาสดาใดๆ การศึกษาไปรับใช้การเมืองของนักการเมืองที่มันชักชวนกันที่จะครองโลก เป็นศาสนาขี้ข้า เอ้ย, เป็นการศึกษาขี้ข้าของกิเลส การศึกษาที่เป็นทาสของกิเลส มันไม่ช่วยโลกได้หรอก นี่การที่จะปรับปรุงกันเสียใหม่ ให้การศึกษาในโลกมันเป็นประโยชน์แก่โลก ไม่เป็นทาสของกิเลส แต่จะช่วยปลดเปลื้องโลกออกจากวิกฤตการณ์ นี่เป็นสิ่งที่ควรคิดนึก ไหนๆ ที่เราทอดตัวเพื่อการศึกษามาด้วยกันทั้งนั้น ก็รับใช้พระพุทธเจ้าด้วย ก็ดูให้ดีสิ่งที่เราศึกษาอยู่นั้นเป็นอย่างไร ทีนี้การศึกษาของประเทศเล็กๆ เช่นเรา มันก็ตกอยู่ใต้อำนาจของประเทศใหญ่ๆ มันก็ตามก้นประเทศใหญ่ๆ มันเรียนกันอย่างไร เราก็มักจะเรียนกันเพียงเท่านั้น ความเป็นพุทธบริษัทมันก็ไม่ค่อยมี มาตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้ ในการที่จะให้การศึกษามันเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ เพื่อความสุขของมหาชน ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ นี่ผมยืมคำพระพุทธเจ้ามาพูดนะ ประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่มหาชน จะเป็นเทวดา มาร พรหม หรืออะไรก็ตาม แก่มหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์ ท่านว่าอย่างนี้ เราชั้นต่ำที่เป็นมนุษย์ก็ต้องได้ประโยชน์ ที่เป็นสูงอย่างเทวดาก็ต้องได้รับประโยชน์ เดี๋ยวนี้ เห็นได้ง่ายๆ ในโลกนี้ ในโลกนี้ ไม่ต้องไปโลกอื่นที่มองไม่เห็น ในโลกนี้ มันมีคนที่เหมือนกับเทวดา และก็มันมีคนเหมือนกับเป็นมนุษย์ คืออาบเหงื่ออยู่ ดิ้นรนอาบเหงื่ออยู่ นี่เป็นมนุษย์ มันไม่รู้จักเหงื่อเลย ๆ นี่พวกหนึ่งมันเป็นเทวดา แต่ธรรมะยังจำเป็นแก่คนทั้งสองพวกนี้ แม้มันจะเป็นผู้ไม่รู้จักเหงื่อ หรือเป็นผู้อาบเหงื่อ แต่แล้วมันก็มาทะเลาะกันเสีย สร้างปัญหาให้มากขึ้น คือปัญหาระหว่างคนมั่งมี กับคนยากจน คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัวจัด คนยากจนก็เห็นแก่ตัวจัด แล้วมันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง มันก็สร้างสิ่งที่เป็นวิกฤตการณ์ขึ้นมาในโลก ถ้ามันเอาความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี้ออกไปเสียได้ มันก็รักกันได้ ช่วยกันได้ ฉะนั้นโลกนี้ก็มีผาสุก เท่าที่ผมสังเกตดูในเรื่องราวในพระบาลี ในอะไรก็ตาม ในยุคที่มันมีความเห็นแก่ตัวน้อย หรือมันไม่มีความเห็นแก่ตัว มันไม่มีปัญหาหรอก อย่างครั้งพุทธกาลนี่ ไม่มีปัญหาระหว่างคนมั่งมี กับคนยากจน คือไม่มีปัญหาอย่างที่กำลังมี คือระหว่าง นายทุน กับชนกรรมาชีพ มันไม่มี ช่วยศึกษาดูให้ดีๆ ถ้าว่า มันเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วมันมีโรงทานทั้งนั้น ไม่มีโรงทานแล้วไม่มีใครเรียกเศรษฐี แล้วก็มีเลี้ยงข้าทาสบริวาร แต่มันก็เลี้ยงอย่างลูกอย่างหลานนะ ไม่ใช่เลี้ยงอย่างทาส เอาเทียมแอก ลากไถไม่ใช่อย่างนั้น มันทำนาด้วยกัน หรือบางทีไปวัด ก็ไปวัดด้วยกัน แบ่งปันกันให้ได้กินดีอยู่ดี ก็เรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ เสมอกัน แล้วยังมีส่วนที่เหลือ ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า ทำบุญคือตั้งโรงทาน พวกข้าทาสกรรมกรบริวารก็ยินดีที่ว่าเงินที่เหลือนี้เอาไปตั้งโรงทาน เศรษฐีเองก็มีความตั้งใจว่าเงินนี้ ที่เหลือกินเหลือใช้จะเอาไปตั้งโรงทาน แล้วก็ตั้งโรงทาน ส่วนหนึ่งฝังไว้ๆ ว่าจะได้เอามาใช้เมื่อมันขาดแคลนที่โรงทาน มันไม่มีคำว่านายทุน มันมีไม่ได้ มันไม่มีคำว่า ชนกรรมาชีพผู้กระเหี้ยนกระหือรือนี้ มันก็ไม่มี และปัญหามันก็ไม่เกิด ปัญหาชนกรรมชีพ นายทุนมันก็ไม่เกิด เดี๋ยวนี้โลกเจริญขึ้นๆ สิ่งที่ทำให้คนเห็นแก่ตัวก็คือ ความเอร็ดอร่อย อันเกิดจากวัตถุที่ผลิตขึ้นมานั่นแหละ ตลอดเวลาที่ยังไม่เจริญในวัตถุ ความเห็นแก่ตัวมันยังมีน้อยๆ มันไม่เป็นปัญหา เดี๋ยวนี้ ใครๆ ผลิตวัตถุอันเอร็ดอร่อย ที่เป็นปัจจัยแก่กิเลสมากขึ้นๆ คนก็เมาก็บ้าก็หลงกันในเรื่องอย่างนี้ ความเห็นแก่ตัวมันก็มากขึ้น มันก็เลยพูดกันไม่รู้เรื่อง มันปรองดองกันไม่ได้ เศรษฐีกับบริวาร ก็เลิกเป็นเพื่อนๆ เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายหมดไป เหลือมาแต่ มึงก็มึง กูก็กู มันก็มีปัญหาอย่างนี้ นายทุนก็เห็นแก่ตัว กรรมกรก็เห็นแก่ตัว โดยเท่ากัน และ กรรมกรก็อยากจะมีอะไรๆ เหมือนนายทุน ซึ่งสมัยก่อนสมัยพุทธกาล มันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่ว่ากรรมกรจะมีรถยนต์ จะมีวิทยุ จะมีตู้เย็น จะมีอะไรๆ อย่างที่คนมั่งมีเขามี มันเป็นไปไม่ได้ และมันไม่มีความคิดที่จะมี ปัญหามันก็ไม่เกิด เดี๋ยวนี้ที่สลัมก็มีโทรทัศน์ ตู้เย็น ผมเคยเห็นกับตา ในสลัมแท้ๆ มันก็มีตู้เย็น มีโทรทัศน์ มีอะไรๆ อีก หลายอย่าง เป็นอันว่า เขาต้องดิ้นรนต้องต่อสู้เพื่อที่จะให้ได้สิ่งเหล่านี้มา อาศัยความเห็นแก่ตัวเป็นรากฐาน ก็ทำๆๆๆ แล้วก็มีการต่อสู้ มันพร้อมยิ่งกว่าพร้อม ที่สหพันธ์กรรมกรจะสไตร์ค หรือจะต่อต้าน แม้แต่รัฐบาลก็พร้อม ไม่เพียงแต่ต่อต้านนายทุน ก็ต่อต้านรัฐบาลด้วย ถ้ารัฐบาลไม่เอออวยมาข้างกรรมกร ไปเอออวยข้างนายทุนนี้ ทำนองนี้ มันก็ต่อต้านรัฐบาล เลยมันยุ่งเหลือที่จะยุ่ง ทีนี้เพราะว่า เราไม่ได้ลด หรือไม่อาจจะลดความเห็นแก่ตัว
ที่นี้ หันมาดูการศึกษา เปล่าเลยๆ ยังไม่เป็นการศึกษาเพื่อลดความเห็นแก่ตัว เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว ยิ่งศึกษามาก ยิ่งมีโอกาสที่จะกอบโกยมาก ก็เลยยิ่งเป็นปัจจัยแก่ความเห็นแก่ตัว ยิ่งมีความรู้มาก มันก็ยิ่งกอบโกยเก่ง เพราะว่าความรู้มันเรียนกันไปแต่ในทางนั้น ความรู้มันเรียนไปในทางที่จะผลิตวัตถุ อันส่งเสริมกิเลสออกมา ให้แปลกออกมาให้มาก แล้วก็ส่งเสริมพอใจกันทั้งโลก มันเลยก้าวหน้ากว่าสิ่งใด เห็นไหม วัตถุที่ส่งเสริมกิเลสทางวัตถุนิยมนี้ มากกว่าสิ่งใดในโลก และกำลังยิ่งขึ้นๆๆๆ ใครจะเป็นคนซื้อ ก็คนในโลกนี้ ที่จะมาบำรุงบำเรอความสุข สนุกสนานเอร็ดอร่อย ซึ่งส่งเสริมความเห็นแก่ตัว นี่เรียกว่า มันเหมือนกับมีผี หรือปีศาจ หรืออะไรก็ไม่รู้ อยู่เบื้องหลังเป็นพื้นฐานที่จะสร้างความวุ่นวายขึ้นมาในโลก มันก็ไม่ต้องสงสัย มันก็เกิดอาการขัดแย้งๆ ประโยชน์อันขัดแย้งแก่กันและกัน ที่คุม คุมกันเป็นพวก มันก็เลยยกพวกต่อสู้กัน อย่างใต้ดิน อย่างบนดิน หรืออย่างเปิดเผย อย่างเร้นลับ แล้วก็ แม้ภายในประเทศนี่ มันก็ยังคิด ที่จะต่อต้าน ต่อสู้เพื่อความเห็นแก่ตัว เมื่อความเห็นแก่ตัวเป็นไปมากพอแล้ว มันก็ไม่รักผู้อื่น อย่างพรรคการเมืองของสมาชิกที่ปรี่ด้วยความเห็นแก่ตัว มันก็รักตัว ไม่รักชาติ มันก็รักพรรคของตัว ไม่ใช่รักชาติ มันจะเห็นแก่พรรค หรือแก่ตัว ยิ่งกว่าเห็นแก่ชาติ ผมพูดอย่างนี้ก็ถูกด่าเหมือนกัน ได้ยินว่าเขาด่าเหมือนกัน เพราะมันเห็นแก่ตัว เห็นแก่พรรคของมันยิ่งกว่าเห็นแก่ชาติ เรียกว่าพรรคการเมืองรักพรรคของมันยิ่งกว่ารักชาติ มันจะเป็นทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง ดูโทษของความเห็นแก่ตัวสิ บางทีมันก็กัดกันในครอบครัว ถ้ามันมีความเห็นแก่ตัว เป็นคนๆไป ไม่มีอะไรจะเลวร้ายยิ่งไปกว่าความเห็นแก่ตัว มีอยู่เฉยๆ ฝ่ายเดียวก็ทรมานใจที่สุดเลย ไม่ได้อย่างที่ตัวต้องการ ฝันอยู่เรื่อย แล้วถ้ามันไปคืบถึงผู้อี่น ก็เบียดเบียนผู้อื่น ก็เดือดร้อนทั้งบ้านทั้งเมือง เก็บไว้เป็นส่วนตัวก็เดือดร้อนตัว พอปล่อยให้ออกไปถึงผู้อื่น ก็เดือดร้อนผู้อื่น นี่ว่ามันจะคลี่คลายได้อย่างไรปัญหานี้ พูดอย่างกำปั้นทุบดิน ก็ต้องว่า ก็ความไม่เห็นแก่ตัวนั่นแหละต้องกลับมา คำว่า ศรีอริยเมตไตรย เมตไตรยะ เกื้อกูลแก่มิตร เกื้อกูลแก่ความเป็นมิตร คือไม่มีเห็นแก่ตัว เห็นแก่มิตร มิตรก็คือ เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายในโลก ไปอ่านดูเรื่องศาสนาพระศรีอารย์ แม้ไม่มีในบาลี ก็มีในหนังสือทแต่งขึ้นใหม่ เขาวาดไว้ดีมากเลย มันไม่มีอุปัทวะ ไม่มีความขัดแย้งเลย แล้วมันก็มีแต่มิตร เดินไปทางไหนก็มีแต่คนยกมือขึ้น ถามว่า จะให้ช่วยอะไรๆ ก็เป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อ เดินไปทางไหน ก็มีแต่คนยกมือขึ้นถามว่าจะให้ช่วยอะไรๆ โลกบน พระศาสนาพระศรีอารย์ ก็มีกัลปพฤกษ์ กัลปพฤกษ์ก็เรียก กัลปทุมมะ กัลปทรูมะ ก็เรียก ทุมมะๆ ที่แปลว่าต้นไม้ กัลปทุมมะ ที่นั่นไปเอาอะไรได้ทุกอย่าง หมายถึงว่ามันจัดสวัสดิการดีที่สุด ได้อะไรก็ตามใจ แต่จะมีอยู่ในศาสนาพระศรีอารย์ ไปที่ไหนมีแต่คนถามจะให้ช่วยอะไร ขาดแคลนอะไร ไปเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ หรือตันกัลปทุมมะ
สรุปแล้วหัวใจอยู่ที่ความเป็นมิตร ไม่มีความเห็นแก่ตัว ผมจึงพูดโดยไม่มีใครเชื่อว่า พอเราหมดความเห็นแก่ตัวกันเท่านั้นแหละ โลกนี้ก็กลายเป็น โลกพระศรีอริยเมตไตรย ขึ้นมาในพริบตาเดียวเลย ไม่มีใครเชื่อ เพราะมันทำไม่ได้ เพราะมันยังพิสูจน์ไม่ได้ มันได้ด้วยเหตุผลว่า ถ้ามีแต่ความรักผู้อื่น โลกนี้ก็กลายเป็นโลกศรีอริยเมตไตรยขึ้นมาทันที เดี๋ยวนี้การศึกษามันไม่เป็นอย่างนี้ คือมันไม่ส่งเสริมการไม่เห็นแก่ตัว มันไม่ตัดทำลายความเห็นแก่ตัว มันไปส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ทั้งโลก มหาวิทยาลัยไหนก็ตาม มันให้เรียนสิ่งที่ประกอบอาชีพทั้งนั้น สร้างประโยชน์ สร้างอะไรเพื่อเป็นเครื่องมือในการครองโลกด้วยกันทั้งนั้น อย่างขนาดไปโลกพระจันทร์ได้นี้ มันไม่มีประโยชน์อะไรต่อสันติภาพของโลกเห็นไหม มันกลับจะใช้ความรู้นี้เป็นเครื่องมือเพื่อจะการปราบปรามคนอื่น แล้วจะเอาอะไรกับมัน สันติภาพจะมาจากไหน นี่เราระวังกันให้ดีๆ เถอะขอให้เราได้มีการศึกษาชนิดที่บรรเทาความเห็นแก่ตัว ทำลายล้างความเห็นแก่ตัว หมดความเห็นแก่ตัว มันก็รักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ โดยไม่เจตนา มันก็จะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ จะทำลายความเห็นแก่ตัว โดยลัทธิความเชื่อ เชื่อพระเจ้าก็ยังได้ จะทำลายความเห็นแก่ตัวโดยบังคับจิต บังคับจิตให้อยู่แต่ในร่องรอยของความไม่เห็นแก่ตัวอย่างนี้ก็ได้ จะทำด้วยปัญญาๆ มองเห็นความไม่มีตัว ไม่ใช่ตัว และมันก็หมดความเห็นแก่ตัว อย่างนี้ก็ได้ มันร่วมมือกันได้ทุกศาสนา อย่างที่พูดมาแล้วเมื่อวาน ไม่ต้องมีการขัดแย้งระหว่างศาสนา ถ้าเขามาปล้นสมาชิกของเราไป ก็เอ้อ, ดีแล้วๆ เอาไปเถอะ เอาไปช่วยทำให้หมดความเห็นแก่ตัว ถ้ามันมีความเชื่อเป็นเครื่องมือ คนนี้มันเหมาะแล้ว เอาไปเถอะๆ เอาไปทำให้มันหมดความเห็นแก่ตัว ไม่ต้องหวงหรอก เมื่อมันอยู่ที่นี่ มันเข้าถึงไม่ได้เพราะมันดีเกินไป หรืออะไรก็ให้เขาไปเถอะ เราไม่ต้องทะเลาะกันเรื่องแย่งสาวก แย่งสมาชิก เป็นอันว่า การศึกษาจะต้องหันหน้าไปหาการทำลายล้างความเห็นแก่ตัว ซึ่งทุกๆ ศาสนา จัดไว้ในฐานะเป็นซาตาน มารร้าย ทุกศาสนาแหละ ศาสนาไหนเอามาสิ เอามาวินิจฉัยสิ มันจะพบว่ามันมุ่งจะกำจัดความเห็นแก่ตัว จะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม พราห์มอะไรก็ตาม จะเป็นเล่าจื้อ ขงจื้อ เป็นอะไรก็ตาม ล้วนแต่ต้องการจะกำจัดความเห็นแก่ตัว แต่แล้วโลกนี้มันก็ยิ่งห่างไกลๆ จากความไม่เห็นแก่ตัว เพราะว่า การก้าวหน้าทางวัตถุมันดึงไปๆ ให้เกิดความเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นๆๆ พูดแล้วอาจจะไม่เชื่อว่า ไอ้ที่มันฆ่าตัวตาย นั่นก็เพราะความเห็นแก่ตัว คุณมองออกไหม ที่มันฆ่าตัวตายกันมากขึ้นๆ มูลเหตุแท้จริงเพราะมันเห็นแก่ตัว ใน ความหมายหนึ่งซึ่งมองยาก ฆ่าลูกเ ฆ่ามียด้วย ฆ่าตัวเองตายในที่สุดด้วย ความเห็นแก่ตัวบังคับให้ทำอย่างนั้น ส่วนที่จะเบียดเบียนผู้อื่นนั้นไม่ต้องพูดแล้ว มันเป็นได้มากจนถึงกับว่ามันทำลายตัวเองเพราะความเห็นแก่ตัว ขี้เกียจไม่อยากทำงาน นอนเสีย จนว่างงาน อย่างนี้ก็เพราะความเห็นแก่ตัว จบปริญญาแล้ว ไม่มีงานทำ เพราะมันเห็นแก่ตัวในความหมายหนึ่งที่มันไม่ถูกต้อง ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัว มันก็หางานได้ กวาดถนนก็ทำได้
เอาแล้ว, เรามาพูดกันเรื่อง ปรับปรุงการศึกษา เพื่อความสมบูรณ์แก่สติปัญญา สำหรับคนในโลกปัจจุบัน ดูทีแรกก็ว่า เดี๋ยวนี้เรามีกันแต่ศึกษาจากตำรา จากบุคคล ตำรานี่ล้วนแต่เป็นการบันทึก เรื่องความเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ ไม่มีเรื่องภายในจิตใจ ชนิดที่จะทำลายกิเลส แล้วก็ยังเรียกว่า การศึกษาๆ ผมอยากจะเสนอคำว่า “สิกขา” สิกขา ในภาษาบาลี ซึ่งมันก็ต้องเป็นอย่างเดียวกับ ศึกษา ศิกษา ในสันสกฤต เราเรียนบาลีกัน เอาบาลีเป็นหลักใครจะว่าอย่างไรก็ตามใจ ใครจะว่า ว่าเอาเองก็ตามใจ แต่ผมขอยึดหลักคำว่าสิกขา พวกเราก็เคยเรียนบาลี คงจะแยกศัพท์ออก มันมาแต่คำว่า “สะ” กับคำว่า “อิกขะ”ๆ อิกขะก็แปลว่าเห็น ต้องดูแล้วเห็น เรียกว่า อิกขะ คำว่า สะๆ นี่มันแปลว่า เอง ในตัวเอง อะไรเอง หรือ ในภายใน ฉะนั้นคำว่า สิกขา สิกขานี้ก็คือว่า เห็นตัวเอง อย่างหนึ่งแล้ว แล้วก็โดยตัวเอง เห็นโดยตัวเอง คนอื่นมาเห็นแทนไม่ได้ แล้วมันก็เห็นอยู่ในตัวเองนั่นแหละ ดูตัวเอง โดยตนเอง เห็นในตัวเอง และก็เพื่อประโยชน์แก่ตัวเอง เห็นเพื่อประโยชน์อันแท้จริงแก่ตัวเอง เห็นในภายใน เห็นตนเอง เห็นเรื่องราวของตนเอง แล้วจึงไปเห็นเรื่องราวภายนอกของผู้อื่น เหมือนกับที่เห็นกับตนเอง แล้วก็เห็นด้วยตนเอง อิกขะ เห็น, สะ เอง ด้วยตนเอง และก็เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง คือช่วยตนเอง เราต้องช่วยตนเองก่อนจึงจะช่วยผู้อื่นได้ ประโยชน์ของผู้อื่นก็ขึ้นอยู่ด้วยประโยชน์ของเราแหละ ถ้าเราทำประโยชน์เราไม่สำเร็จ เราก็ช่วยผู้อื่นไม่ได้ นี่คำว่าสิกขานี่มันเหลือประมาณ มันสูงสุดเหลือประมาณ สมกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าเรื่องอะไรๆ โลกใน ๔ ความหมาย ตถาคตบัญญิตไว้ใน กายยาววาหนึ่ง ที่ยังมีจิตใจและสัญญา เอาสิ มาตั้งต้นศึกษาด้วยตนเอง มองดูตนเอง ในภายในแห่งตนเอง แล้วมันจะรู้อะไร มันจะรู้จักอะไร มันก็จะรู้ความจริงๆ ว่าสังขารเป็นการปรุงแต่ง ตนเองๆ นี้เป็นความโง่เขลาที่เกิดมาจากอวิชชา ตามสัญชาติญาณ มันจะมาหลงรักกันนักทำไม ทีนี้การศึกษาในโลก มันไม่มีอย่างนี้ การศึกษาในระบบไหน ระดับไหน มันเป็นเรื่องทางวัตถุไปเสียหมด แม้เป็นเรื่องทางจิตใจมันก็ศึกษาอย่างวัตถุ เอาวิธีศึกษาอย่างวัตถุมาศึกษาเรื่องทางจิตใจ คำว่า Philosophy มันก็เป็นเรื่อง เดินไปตามหลักของวัตถุ มันจึงต้องตั้งสมมติฐาน (hypothesis) ขึ้นมาให้เป็นวัตถุ เป็นเหมือนกับวัตถุ แล้วก็มาพิจารณาใคร่ครวญศึกษา เรียกว่ามันไม่ถึงส่วนลึกในทางจิต ในทางวิญญาณ มันก็อยู่แค่ mental นี่ไม่ถึง spirituality มันไม่ในถึงที่สุด เราจึงกล้าพูดว่า การศึกษาในโลกปัจจุบันมันเป็นเรื่องภายนอกไปเสียหมด แล้วมันก็ไม่รู้เรื่องในภายใน ไม่ได้รู้จักตัวเองในภายใน ไม่ได้ดูตนเองในภายใน
ทีนี้ก็ดูคำว่า ศึกษาๆ นี่ เรารู้กันอยู่มันเรียกว่า study บ้าง education บ้าง แล้วไปแยกคำ education เป็นต้น ดูเถอะมันไม่มีการมองภายในเลย มันมองข้างนอก ท่องจำข้างนอก อัดเข้าไปจากข้างนอก ทั้ง education ทั้ง study หรืออะไรก็ตาม ที่เรียกกันว่า การศึกษาๆ อยู่ในโลก มันไม่มีความหมายของคำว่า สิกขา ในภาษาบาลีของเราเลย มันมีเหตุผลไหม ที่ว่าเราจะต้องปรับปรุงการศึกษากันเสียใหม่ ทั้งโดยอรรถะ ทั้งโดยพยัญชนะ ให้มันมีความหมายเป็นการมองโดยภายใน ศึกษาในภายใน ด้วยเรื่องในภายใน ด้วยตนเอง ของตนเอง ได้ประโยชน์เป็นชนิดที่เป็นเรื่องทางจิตใจในภายใน ภายในถูกต้อง จิตใจถูกต้อง ภายนอกมันก็จะถูกต้อง เดี๋ยวนี้มันเป็นการบังคับความถูกต้องไปจากภายนอก มันไม่มีหวังหรอก เราพยายามให้มันมีการศึกษาอย่าง ของพุทธศาสนาเราไว้ให้มาก เราเรียนอย่างภายนอก ตามพวกฝรั่งเขาเรียน ก็เรียนเถิดไม่เป็นไร แต่ว่าในมหาวิทยาลัยสงฆ์ของเรานี้ควรจะต้องไม่ขาดการศึกษาที่เป็นภายใน แม้ว่าดูแทนกันไม่ได้ ก็สอนให้รู้จักดูตัวเอง สอนให้รู้จักดูตัวเอง วิชาความรู้ สาขาศึกษาเรื่องทางจิตใจในภายในจะต้องมีอยู่อย่างเป็นหลักเป็นฐาน แล้วก็ทำให้มันสำเร็จประโยชน์ โดยมหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนานี่ต้องมีสวนกรรมฐาน เรียกว่า สวนอุทยานกรรมฐาน ที่สะดวกแก่การที่จะศึกษาในภายใน เรียนในอาคารเพื่อจะศึกษาในภายใน แล้วก็ไปนั่งศึกษาในภายในที่กลางดิน เป็นการศึกษาในภายใน แล้วก็จะรู้เรื่องต่างๆ ที่เราศึกษาชนิดภายนอกได้ดีขึ้น จะมองเห็นปัญหาทั้งหมด และที่เกิดแห่งปัญหาทั้งหมด ซึ่งพระพุทธเจ้า ก็ตรัสใช้คำว่า โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับสนิทแห่งโลกก็ดี ทางให้ถึงความดับสนิทแห่งโลกก็ดี มีอยู่ในร่างกายที่ยาวคืบหนึ่ง เอ้ย, ยาววาหนึ่ง ที่มีทั้งสัญญาและใจ หมายความว่า เป็นๆ เป็นๆ นี่เรามักจะไปศึกษาจากซากศพ แล้วมันก็ไม่ค่อยจะเห็นความจริงอันนี้ ต้องศึกษาจากที่ยังเป็นๆ ถ้าจะศึกษาจากชีวิตที่มันเป็นๆ มันก็ต้องศึกษาจากของตัวเองแหละ จะไปศึกษาของคนอื่นอย่างไรได้ แล้วมันก็มา วกเข้ามาหาคำว่า เอง เองๆ ในตัวเอง โดยตัวเอง เพื่อตัวเอง อะไร ตามความหมายว่า ในภายใน เพียงแค่ยาววาหนึ่งนี้มันไม่เหลือวิสัย มันจะดูได้ทั่ว ดูได้ทั่ว แล้วก็มีความรู้ว่าจะควบคุมกิเลส หรือความเห็นแก่ตนได้อย่างไร ข้อนี้การศึกษามันมีมาก จะต้องเรียนบนชั้นเรียน ในมหาวิทยาลัยก็ได้ ที่เป็นการศึกษาเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท นี้เราจะต้องศึกษาเป็นชัวโมงๆ เขียนเป็น ๑๐๐ หน้า ๑๐๐๐ หน้า แต่พอถึงการปฏิบัติ การปฏิบัตที่เป็นการศึกษาจริงเหลือนิดเดียว ควบคุมผัสสะอย่าให้ผิดได้ จำไว้เถอะว่าไอ้การปฏิบัตินั้น มันมีนิดเดียว ควบคุมผัสสะอย่าให้อวิชชาครอบงำ เป็นผัสสะโง่ เมื่อมีผัสสะโง่ ก็มีเวทนาโง่ ก็มีตัณหาโง่ มีความอยากโง่ คือตัณหา มันก็มีอุปาทาน มีความทุกข์เท่านั้นแหละ ถ้าควบคุมผัสสะไว้ได้ อย่าให้อวิชชามายึดครอง มันก็ทำไม่ผิด คือว่ามันรู้จริงว่า อะไรเป็นอะไร อารมณ์ที่เข้ามากระทบเป็นอย่างไร ปรุงแต่งอย่างไร ก็ไม่หลงยินดียินร้าย ไม่หลงยินดียินร้าย มันก็จะไม่เกิดกิเลสประเภทใดได้ น่าหัวว่า พอถึงคราวปฏิบัตินี่เหลือนิดเดียว ควบคุมผัสสะให้ได้ ก็จะควบคุมปฏิจจสมุปบาทอันยืดยาวได้
ตรงนี้พอพูดถึง ปฏิจจสมุปบาท ผมก็จะต้องขอโอกาสพูด เรื่องปฏิจจสมุปบาท นั่น ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทรงมุ่งหมายนั้น มันมีอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่ต้องข้ามภพข้ามชาติ แล้วก็ไม่ต้องมีตัวตน ขุดค้นมาจากพระพุทธวัจนะทั้งหมดที่เกี่ยวกับ ปฏิจจสมุปบาท จะรู้สึกอย่างนี้ เมื่อใดมีตัณหา ซึ่งมีปฏิจจสมุปบาทครบชุด เมื่อใดมีผัสสะโง่ เป็นมีตัณหาแน่ พูดได้ว่าวันหนึ่ง มีตัณหากี่ครั้ง ก็มีปฏิจจสมุปบาทเท่านั้นครั้ง เป็นเรื่องปรมัตถธรรม และ สำหรับไม่มีตัวตน ที่นี้มันมีเกิดคำอธิบายกันใหม่ โดยเฉพาะวิสุทธิมรรค นี่ไม่ใช่ดูหมิ่น ดูถูกอะไร ถ้ามันอธิบายอย่างนี้ มันมีลักษณะเหมือนกับมีตัวตน ข้ามภพข้ามชาติ และการสอนสืบๆ กันมา ได้ยึดถึอคำอธิบายในวิสุทธิมรรคเป็นหลักใหญ่ และที่เรามาสอนในหลักสูตรนักธรรมโท นี่ก็ยึดถือสายนี้ แนวนี้ มันจึงมีลักษณะเหมือนกับมีตัวตนข้ามภพข้ามชาติ ไม่มีใครสนใจเรื่องเดิมของพระพุทธเจ้าที่ว่า มันหมายถึงอะไร มันไม่ได้หมายถึง ตัวตน ร่างกาย ข้ามภพข้ามชาติอะไร แต่ก็มันมีอาการครบถ้วนทั้ง ๑๑ อาการ หรือ ๑๒ อาการ ในพฤติของจิต ในกรณีหนึ่งๆ ที่เกี่ยวกับ อวิชชามาครอบงำผัสสะ เลยเป็นปฏิจจสมุปบาทที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ในฐานะที่เป็นปรมัตถธรรม แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อมีปฏิจจสมุปบาท มาสอนอย่างมีตัวตน ข้ามภพข้ามชาติ มันก็มีประโยชน์ในทางศีลธรรม ฉะนั้นขอให้ยอมรับไว้ทั้ง ๒ แบบ คำอธิบายของวิสุทธิมรรค ได้รับการยึดถือแน่นแฟ้นกันทั่วโลกกระมัง ทั่วโลกนั่นแหละ คำอธิบายอย่างที่ผมอธิบายนี่ เกือบจะไม่มีใครยอมรับ ก็เคยมีเหมือนกัน มีวี่แววว่าเคยมีความคิดอย่างนี้ กันในพุทธบริษัทบางนิกาย หรือบางทีจะเป็นฝ่ายมหายานหรืออะไรด้วยซ้ำไป ไม่ต้องมีตัวตน สัตว์ บุคคล มันต่างกันอยู่ตรงที่คำว่า ชาติๆ ถ้าชาตินั้น หมายถึงการเกิดจากท้องแม่ แล้วมันก็ต้องอธิบายกันตามแบบที่เรียนในโรงเรียนนักธรรม ถ้าคำว่าชาติหมายถึง เกิดแห่งอุปาทาน ว่า ตัวกูของกู นี่ก็จะตรงกับ ปฏิจจสมุปบาทความหมายเดิมของพระพุทธเจ้า มีอุปาทาน แล้วก็มีภพ แล้วก็มีชาติ ไม่ต้องตาย ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตาย มันมีความเกิดใหม่แห่งตัวกู ก็มีความทุกข์แหละ ทุกทีที่มันมีการเกิดใหม่อย่างตัวกู มันก็มีความทุกข์แหละ ฉะนั้นวันหนึ่งมีปฏิจจสมุปบาทได้หลายวง หลายรอบก็ได้ หลายวงหลายรอบก็ได้ กว่าจะตาย ก็มีไม่รู้ว่ามีกี่ ๑๐๐ วง ๑๐๐๐ วง นั่นแหละ ความรู้ในอภิธรรมก็ยังเหลืออยู่นิดหนึ่ง ว่า เมื่อใดจิตเป็นอกุศล เมื่อนั้นปฏิจจสมุปบาท ตั้งต้น ความรู้ส่วนนี้ มันยังเข้ากับพระพุทธวัจนะ เดิมๆ พอจิตเป็นอกุศล ปฏิจสมุทปบาทตั้งตน และก็ไปได้รอบวง ไม่ต้องรอให้ถึงตาย ถึงอะไรกัน คำว่าชาติ ชาตินี่มีความหมาย ๒ อย่าง อย่างนี้ ชาติทางวัตถุก็เกิดในท้องแม่ ทางร่างกาย ชาติในทางจิต ก็ไม่ต้องท้องแม่ แล้วมันก็จะเนื่องไปถึงคำอีกคำหนึ่ง ซึ่งผมถูกด่าอยู่เป็นประจำ คือคำว่า โอปปาติกะ ชาติที่มันเกิดมาจากความคิดยึดมั่นด้วยอุปาทาน เกิดผลุงขึ้นมาเป็นอะไร ผลุงขึ้นมาเป็นอะไร นี่ก็คือโอปปาติกะกำเนิด ไม่ต้องมีพ่อ มีแม่ ไม่ต้องเข้าท้องแม่ ท้องพ่ออะไร ไม่ต้องเป็นเด็กก่อนแล้วถึงโต ไม่ใช่ ผลุงขึ้นมาก็โตเต็มที่ มีความคิดอย่างอันธพาล มันก็เกิดเป็นอันธพาลผลุงขึ้นมา ไม่ต้องรอให้ค่อยโต หรือว่า ทำความเพียรสำเร็จ เกิดเป็นพระอรหันต์ ก็ผลุงขึ้นมาทันทีเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องเข้าท้องแม่แล้วเกิดมาเป็นเด็ก แล้วโตเป็นพระอรหันต์ ความหมายของคำว่า โอปปาติกะ คือการเกิดผลุงขึ้นมาโดยสมบูรณ์เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งโดยจิตใจๆ นี่ผมอธิบายอย่างนี้ แล้วเขาหาว่า อธิบายเองอธิบายผิด ยกเลิกคำสอนของพระพุทธเจ้า ผมก็ยืนยันว่า นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องโอปปาติกะ โอปปาติกะไม่ใช่ชื่อของสัตว์นะ แต่เขาไปเป็นชื่อของสัตว์ เชิญมาได้ ขับรถยนต์ก็ได้ ถ้าเป็นชื่อของสัตว์ เดี๋ยวนี้ โอปปาติกะไม่ได้เป็นชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่ง แต่มันเป็นชื่อของอาการเกิดชนิดหนึ่ง อาการเกิดชนิดหนึ่ง โยนิ ๔ ถ้าเรียนนักธรรมโทมาแล้ว มันก็พบแหละ ชลาพุชชะ อัณฑชะ สังเสทชะ โอปปาติกะ ทั้ง ๔ คำนี้ไม่ได้เป็นชื่อของสัตว์ แต่เป็นชื่อกริยาของอาการที่มันเกิด พระพุทธเจ้าเกิด ก็ไม่ได้ใช้คำว่า ชา-ติ หรือ ชาติ ใช้คำว่า อุบัติ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก ไม่ได้ใช้คำว่า ชา-ติ แต่ใช้คำว่า อุปัตติ มันเกิดชนิดอุบัติ มันเป็นการเกิดทางจิตใจ เกิดผลุงขึ้นมาก็เป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระสิทธัตถะก็เกิดผลุงขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ต้องเข้าท้องแม่ ไม่ต้องต้องเป็นเด็กอ่อน จะเกิดเป็นพระอรหันต์ชั้นไหน โสดาบันชนิดไหน มันก็โดยโอปปาติกะ คือการเกิดทางจิตใจ ในฝ่ายเลวก็เหมือนกัน จะเกิดเป็นโจรอันธพาลอย่างไร จะเกิดเป็นคนบ้า พริบตาเดียวฆ่าพ่อ ฆ่าแม่มันเลย มันก็โดยโอปปาติกะ คือรวดเร็วอย่างนี้ ฉะนั้นเรื่องโอปปะสิกขะเราไม่ต้องไปสนใจว่ามันเป็นเรื่องสัตว์ที่มองไม่เห็น ที่ล่องลอย ไปอยู่ที่ไหนหรอก สนใจแต่ว่า ระวังอย่าให้มีการเกิดอย่างนี้ในทางเลว อย่าให้มีโอปปาติกะกำเนิดในทางเลว ในทางต่ำ ลงนรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน คิดอย่างสัตว์เกิดเป็นสัตว์ คิดอย่างเปรตเกิดเป็นเปรต คิดอย่างนรกเป็นนรก แต่ขอให้มีโอปปาติกะ ในฝ่ายบน ฝ่ายสูง เกิดเป็นบัณฑิต เกิดเป็นอริยชน กระทั่งเกิดเป็นอรหันต์ แม้ที่สุดแต่ว่าความคิดชั่วขณะ มันก็เป็น เมื่อคิดว่าแม่ กูเป็นแม่ มันก็เกิดโอปปาติกะ เป็นแม่ มันก็จะจัดการกับลูกในฐานะที่เป็นแม่ อย่างนี้มันก็มีอยู่เกือบจะตลอดวันแหละ เดี๋ยวเกิดเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวเกิดเป็นอย่างนี้ เกิดความยึดมั่นหมายว่า กูเป็นอาจารย์ กูจะเอาตามที่กูต้องการ ก็เล่นงานให้ลูกศิษย์แย่ไป อย่างนี้ระวัง อย่าให้โอปปาติกะ มันครอบงำเอาแบบนี้ เอาละว่าทีนี้ ถ้าว่ามันมีสัตว์ชนิดนั้น เป็น อทิสสมานกาย เที่ยวล่องลอยอยู่ เป็นเทวดา เป็นกายทิพย์ เป็นอะไรก็ตาม ก็ตามใจเถอะ ไม่สนใจหรอก เราไม่สนใจ เราไม่ต้องการจะเป็นอย่างนั้น เพราะเรารู้ว่า แม้มันจะเกิดอย่างนั้น มันก็ยังมีปัญหาอย่างเดียวกับเกิดอย่างนี้แหละ มีกิเลส มีความทุกข์ มีความทุกข์เพราะกิเลส ต้องใช้หลักสูตรเดียวกันแหละ มันจะมีเทวดา อทิสสมานกาย มันก็มีทุกข์อย่างเดียวกัน มีเรื่องดับทุกข์อย่างเดียวกัน ถ้าเรามีความรู้เรื่องดับทุกข์ของเราอย่างเพียงพอ เราก็ไม่ต้องไปสนใจกับพวกนั้น แม้ว่ามีอยู่จริง แล้วทีนี้ มันจะมีอยู่จริง หรือไม่จริง นี่มันไม่ใช่ปัญหา เพราะว่าเราไม่ต้องการจะเป็นอย่างนั้น เราต้องการดับทุกข์ที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องการจะไปเกิดเป็นพวกนั้นเสียก่อน แต่ก็มีคนบางพวกอยากจะให้ไปยึดมั่นถือมั่น ศึกษาเรื่องนั้น เอามาเป็นหลักดับทุกข์ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะหลักดับทุกข์มันมีอยู่แล้ว สำหรับพวกธรรมดาพวกนี้ พวกมนุษย์นี้ มันจะเกิด เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นอะไรสูงสุดอย่างไร มันก็ต้องใช้หลักนี้ ต้องตัดอุปาทาน ไม่มีอุปาทานในเบญจขันธ์ หรือ ในสิ่งใด แล้วมันก็ดับทุกข์ ในพระบาลี มันก็มีเรื่องที่เป็นเครื่องรับรองว่า มันมีสัตว์ประเภทนั้น แต่ผมก็ไม่อยากจะเชื่อว่าข้อความนั้น มันมีของเดิม ของจริงมาแต่เดิม มันอาจจะเป็นของเพิ่มเติมเข้ามาก็ได้ แต่เอาหละ แม้ว่ามันจะมีอย่างนั้น มีสัตว์ประเภทนั้น เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสขับไล่พระอุปะวาณะว่าออกไปๆ มีเทวดาไม่รู้กี่โกฏิ กี่ล้าน ในชั่วขนทราย ก็นับไม่ไหว มารอที่จะพบเราอยู่ เห็นเราอยู่ แกอย่ามายืนบังหน้า นี่มันมีพุทธภาษิตยืนยันว่ามีสัตว์ชนิดนั้น แต่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นของจริงของเดิม หรือไม่ก็ตาม แต่เราก็ตัดบทว่ามันจะมีจริง มันก็ต้องศึกษาอย่างเรานี่แหละ ดับกิเลสอย่างเรานี่แหละ ก็ไม่ต้องไปสนใจ ทำของเราให้ดีก็แล้วกันเถิด ให้เราดับทุกข์กันได้ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ สัตว์พวกอื่นมันจะมีอย่างไร เท่าไร อย่างไร มันก็ต้องดับทุกข์โดยวิธีนี้ ก็ไม่ต้องไปสนใจเสียเวลาให้เหนื่อยสมอง สนใจแต่เรื่องจะดับทุกข์ของเราที่นี่อย่างไร พระพุทธเจ้าทรงมองเห็นข้อนี้ว่า ปิฎกๆ ตำราๆ นั้นมันอยู่ในกำมือของคนที่เขียน ของคนที่จะดัดแปลงแก้ไข ของคนที่จดจำมาผิด เขียนผิดๆ ฉะนั้นอย่ามา มาปิฎกสัมปะทาเนนะ อย่าเชื่อเพราะเหตุว่า มันมีที่อ้างในปิฎก ไม่ได้ใช้คำว่า ไตร ใช้คำว่า ปิฎก มาปิฎกสัมปะทาเนนะ เป็นกาลามาสูตร ข้อที่ ๔ เราจะอ้างว่ามีในปิฎก แล้วก็เชื่อหมด มันก็ผิดกาลามาสูตร และถ้าเปรียบเทียบด้วยหลัก มหาปเทส ๔ มันเข้ากันไม่ได้ แล้วจึงใช้ไม่ได้ใหญ่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าเชื่อเพราะว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา กาลามสูตรข้อสุดท้าย มา สมโณ โน ครูติ อย่าเชื่อถือเอาเพราะว่าสมณะผู้พูดนี้เป็นครของเรา ในหลักมหาปเทส ๔ ก็ว่า แม้ว่าคนนั้นเขาจะอ้างว่า เขาได้ฟังมาจากพระพุทธเจ้า ก็อย่ารับ อย่าปฏิเสธ อย่ารับ แต่เอามาเทียบดู แล้วหยั่งลงดูในสูตร แล้วเทียบดูในวินัย สุตเต โอสาเร ตัพพัง และ วินเย สันทัสเส ตัพพัง ถ้ามันเข้ากันได้กับหลักทั่วไปแล้วก็เอา เขาจำมาถูกแล้ว แต่ถ้ามันเข้ากันไม่ได้ให้ถือว่าเขาจำมาผิดแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดอย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น ถ้าถือหลักอย่างนี้อยู่แล้วก็ไม่มีทางที่จะผิดพลาด ไม่มีทางที่จะเขว้ออกไปนอกพระพุทธศาสนา นี่การศึกษามันอยากลำบากอย่างนี้ บางคนพูดว่า อักษรตัวหนึ่งก็แตะต้องไม่ได้ ในพระไตรปิฎก บาป ตกนรก หรือว่าอะไร เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นอะไร อักษรตัวหนึ่งก็แตะต้องไม่ได้ ถ้ามันจริงอย่างนี้แล้ว ผมแย่แล้วแหละ ผมไปอยู่นรกก้นบึ้ง อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เพราะผมมันแตะต้องทุกตัวอักษรเลย แล้วก็ไม่ค่อยเชื่อง่ายๆ ว่ามันมีอยู่ในปิฎก
เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ก็ถือเอาคำสั่งสอนที่ถูกต้อง ที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนามาให้ได้ ในหลักที่ตรงกับว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสแต่เรื่องทุกข์ ความดับทุกข์ เท่านั้น ความทุกข์จะต้องเกิดจากผัสสะที่อวิชชายึดครอง แม้ในตัวพระบาลีจะไม่ใช้คำว่าอวิชชายึดครอง มันก็มี มันตั้งต้นมาจากอวิชชา ถ้าผัสสะนั้นวิชชายึดครอง มันไม่เป็นไปตามปฏิจจสมุปบาทฝ่ายทุกข์หรอก มันดับๆๆๆๆ ไปหมด เมื่อผัสสะมีวิชชา มีปัญญา มีความรู้ในเรื่อง เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ เข้ามายึดครองแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ปฏิจจสมุป-บาท สูตร มันมี ๒ แบบ แบบที่เข้าใจง่ายไม่ค่อยสนใจกัน แบบที่เข้าใจยากอย่างที่เรียนในหลักสูตรนักธรรมนี่เข้าใจยาก แต่ก็มีความหมายเหมือนกันถ้ารู้จักอธิบาย แบบที่ผมว่าเข้าใจง่าย ผมเอามาเรียกชื่อว่า แบบฮัมเพลง คือครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่พระองค์เอง พระองค์เดียว ก็ท่องขึ้นมา กล่าวสาธยายขึ้นมาว่า จักขุงจะ ปฏิจะ รูเปจะ อุปัชชติ วิญญาณัง ติณณัง ธัมมานัง สังฆาฏิผัสโส ผัสสะ ปัจจะยา เวทนา เวทนา ปัจจะยา ตัณหา ตัณหา ปัจจะยา อุปาทานัง อุปาทานัง ปัจจะยา ภโว ภวะ ปัจจะยา ชาติ ชาติ ปัจจะยา ชรามรณัม เหมือนกัน มันขึ้นต้น ตรงที่ขึ้นต้นไม่เหมือนกัน ไม่ได้ว่า อวิชชาปัจจะยา สังขารา สังขาราปัจจะยาวิญญาณัง ไม่ขึ้นอย่างนั้น ท่านเอาหมายว่า พูดว่า อาศัยรูป อาศัยตากับรูป เกิดจักษุวิญญาณ ๓ ประการนี้ ติณณัง ธัมมานัง สังฆาฏิ ผัสโส ๓ ประการนี้ ถึงกันอยู่ เรียกว่า ผัสสะ ผัสสะปัจจะยาเวทนา เวทนาปัจจะยา นี้ไปเหมือนกับปฏิจจสมุปบาทที่เราเรียนกัน เห็นได้ว่าเมื่อ อายตนะภายใน กับภายนอก ถึงกันเข้า มันจึงเกิดวิญญาณๆ วิญญาณอย่างนี้ ไม่ใช่วิญญาณ soul ไม่ใช่วิญญาณอัตตา หรือมันมีอัตตาให้เกิดวิญญาณ มันเป็นผลของการกระทบกันระหว่าง อายตนะภายในกับอายตนะภายนอก แล้วคำนี้ก็สำคัญ คือว่า ติณณัง ธัมมานัง สังฆาฏิ ผัสโส ช่วยจำไว้ให้ดีๆ ท่านว่า ติณณัง ธัมมานัง สังฆาฏิ ผัสโสนามะ ต้องประกอบกัน ๓ อย่าง จึงจะเรียกว่า ผัสสะ ครูของเราในโรงเรียนมักจะสอนกันง่ายๆ ว่า อายตนะภายในกับภายนอก ถึงกันเรียกว่าผัสสะ มันต้องเกิดวิญญาณเท่านั้น เกิดวิญญาณ มีขึ้นมาเป็น ๓ อย่าง คือ วิญญาณ กับ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก ถึงกันอยู่ ๓ อย่างนี้ จึงจะเรียกว่า ผัสสะ ถ้าจะสอนหรือจะพูดอะไรต่อไปก็อย่า อธิบายผัสสะผิดๆ เกิดเพียงว่า ตากระทบรูป เรียกว่า ผัสสะ มันต้อง ๓ อย่างแล้ว แล้ว ๓ อย่างมาทำงานถึงกันอยู่ ร่วมกันอยู่ คือจักษุ สัมผัส เข้าที่ อายตนะภายนอกโดยอาศัยวิญญาณ เป็นผู้สัมผัส วิญญาณสัมผัสที่อายตนะภายนอกโดยอาศัยตา นี้จึงเรียกว่าผัสสะ ที่ตอนนี้ ตอนที่สำคัญ เป็นผัสสะแล้ว ถ้าปราศจากวิชชา มันก็คือมีอวิชชา มันก็โง่ โง่เมื่อผัสสะ ผัสสะโง่ๆ เรียกว่า อวิชชาสัมผัส มันก็คลอดเป็นเวทนาโง่ออกมา โง่แก่จิตใจนั้น เพื่อให้หลงรัก ที่น่ารัก เพื่อให้หลงโกรธที่น่าเกลียดน่าโกรธ มันก็เลยเป็นยินดียินร้าย เพราะมีอวิชชาที่ผัสสะ ถ้ามันมีวิชชาที่ผัสสะ มันจะมาจากไหนก็ตาม ถ้ามีวิชชา ความเข้าใจถูกต้อง เมื่อมีผัสสะ แล้วมันไม่เกิดเวทนาโง่ มันเกิดเวทนาที่ฉลาด รู้ว่าเวทนานี้เป็นอย่างไร มาจากอะไร จะต้องทำอย่างไร หรือไม่ต้องทำอย่างไร มันก็เป็นเวทนาฉลาดอย่างนี้ มันก็ไม่เกิดยินดียินร้าย ในสุขเวทนา ในทุกขเวทนา หรือในอทุกขมสุขเวทนา เห็นไหมไอ้ตรงผัสสะนั่นแหละเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อแหละ ถ้าวิชชาเข้ามาแล้วเป็นรอดตัว ถ้าไปตามเดิม เป็นอวิชชาโดยสัญชาตญาณ แล้วก็แย่ เกิดเวทนาโง่ ยินดียินร้าย ทีนี้มันก็มีตัณหา ไปตามเวทนายินดี เวทนายินร้าย ก็เกิดตัณหาคือ ความอยากที่โง่ เมื่อมีความอยากที่โง่ คือตัณหาแล้ว มันก็มีอุปาทาน มีภพ มีชาติ ก็เป็นทุกข์ มีตัวกูของกูเกิดเป็นชาติขึ้นมา แล้วก็รับเอามาทั้งหลายมาเป็นตัวกูของกู มันก็เป็นทุกข์ ด้วยเป็นอุปาทานนั้น ช่วยรู้จัก หรือจดจำไว้ด้วยว่า ปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ พระพุทธเจ้าเองถึงกับทรงเอามาสาธยายอยู่คนเดียว องค์เดียว ทว่าเมื่อตรัสรู้ใหม่ พิจารณาธรรม แต่ในรัตนฆรเจดีย์ หากว่าพิจารณาธรรม ผมว่า ปฏิจจ ท่านพิจารณาอย่างนี้ ข้อนี้ ไม่ใช่สูตรใหญ่ ที่ว่า อวิชชาปัจจะยาสังขารา สังขาราปัจจะยาฯลฯ เพราะว่าเดี๋ยวนี้มันก็มีหลักอย่างนี้ บันทึกอยู่อย่างนี้ ว่าพระพุทธเจ้าทรงสาธยายอยู่อย่างนี้ อยู่พระองค์เดียว ที่นี้มันบังเอิญว่า พระองค์หนึ่งมันแอบมาอยู่ใต้ หลังกุฏิ หรือว่าหลัง ที่ข้างหลัง ไม่มีใครรู้ พระพุทธเจ้าทรงเหลียวไปเห็นเข้า อ้าว, แกอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงท่องสูตรคูณอยู่นี่ แกมาอยู่ที่นี่ ก็เลย อ้าว, ดีแล้ว แกจงถือเอาไป รับเอาไป แล้วว่า นี่คือ อาทิพรหมจรรย์ ทำอย่างนี้ มันสะดุดใจ จำไม่ลืมว่า นี่คืออาทิพรหมจรรค์ แกจงรับเอาไป เอาไปศึกษา ไปปฏิบัติ นี่เรื่องปฏิจจสมุปบาท กลายเป็นอาทิพรหมจรรย์ จุดตั้งต้นของการศึกษาและปฏิบัติ เรามักจะไปเชื่อข้อความตอนหนึ่ง ว่าเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องลึกๆ เหลือประมาณ เข้าใจไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้ากลับบอกว่า นี่คือจุดตั้งต้นของพรหมจรรย์ แกจงรู้ข้อนี้ จงปฏิบัติข้อนี้ ช่วยจำคำว่า อาทิพรหมจรรย์ไว้ด้วย จุดตั้งต้นของพรหมจรรย์ คือรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท แล้วมันก็ไม่ผิดไปจากรู้เรื่องทุกข์ และเรื่องดับทุกข์ ถ้าเอาเรื่องปฏิจจสมุปบาทไปไว้รั้งท้าย แล้วมันผิดๆ หลักนี้ ที่พระพุทธเจ้าว่า นี่คืออาทิพรหมจรรย์ แกจงเอาไป จงถือเอาไป จงปฏิบัติ แล้วมันก็เห็นได้ง่ายแหละ พอตากระทบรูปเมื่อไร เกิดจักษุวิญญาณ หูก็เหมือนกัน จมูก ลิ้นก็เหมือนกัน มีวิญญาณขึ้นมา ๓ประการนี้ ทำงานถึงกันอยู่เรียกว่าผัสสะ ถ้ามีอวิชชาเข้ามา ก็เป็นอวิชชาสัมผัส ถ้ามีวิชชาเข้ามา ก็เป็นวิชชาสัมผัส มันจะแยกทางเดินกันตรงนี้ ถ้าเป็นอวิชชาสัมผัสก็มีเวทนาโง่ เกิดตัณหาอุปาทาน เป็นทุกข์ ถ้ามีวิชชาสัมผัส มันไม่เกิดเวทนาโง่ มันไม่หลงยินดียินร้าย ไม่เกิดตัณหา ไม่เกิดอุปาทาน กลายเป็นปฎิจสมุปทบาท ดับๆๆๆ นี่เข้าใจง่าย สอนผู้อื่นก็ง่าย แล้วก็ ปฏิบัตินิดเดียว เรียกว่าข้อเดียว คือควบคุมผัสสะไว้ ศึกษาเอาไว้ให้มันพอ พอมีผัสสะแล้วมีสติสัมปชัญญะ เอาปัญญา เอาวิชชามา ควบคุมผัสสะนั้น ให้เป็นวิชชาสัมผัส ก็หมดปัญหา มันไม่ใช่มากมายอะไร อาทิพรหมจรรย์ มีวิชชา มีปัญญามาควบคุมผัสสะ โดยมีสติสัมปชัญญะ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่พอ ก็จงฝึกในส่วนนี้ แล้วก็ฝึกอานาปานสติอีกนั่นแหละ มันจะมีสติสัมปชัญญะมากพอ ก็แก้ปัญหาได้ ฉะนั้นขอให้ถือว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่แท้จริงอย่างนี้ เป็นเรื่องชีวิตประจำวัน ในชีวิตประจำวัน ทุกคนมีปัญหาในชีวิตประจำวัน คือต้องสัมผัสทางอายตนะอยู่เสมอ ก็สอนให้เขารู้ ทางปัญญา เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสังขารปรุงแต่ง ตามเหตุตามปัจจัย ระลึกได้อย่างนี้ อย่าไปหลงเป็นเวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา ซึ่งมันจะเกิดกิเลส ฉะนั้นขอให้เรื่องปฏิจจสมุปบาทมาอยู่ที่นี่ ที่ปลายปาก ปลายลิ้น ที่จะพูดกันอยู่เสมอ อย่าให้เป็นเรื่องลึกลับอย่างยิ่ง เก็บไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ มันมีแต่เถียงกันเรื่องปฏิจสมุปบาท ว่ายึดถือไม่ได้ ไปเป็นเรื่องระหว่างชาติ เกิดตายแล้ว อย่างนั้นก็ได้ นั้นมันเหมาะสำหรับประชาชนที่ยึดถือตัวตนอยู่แล้ว มีผลดีทางศีลธรรม แต่ไม่ใช่ทางปรมัตถธรรมที่ถูกต้อง แต่ก็มีผลดีทางศีลธรรม เอาไว้สอนเพื่อประโยชน์แก่ศีลธรรม หลายประเทศ พม่า ลังกา อะไรก็ ยอมรับคำอธิบายปฏิจจสมุปบาทแบบวิสุทธิมรรค ผมก็ไม่ได้คัดค้าน เพราะท่านอธิบายอย่างนั้นก็มีประโยชน์ทางศีลธรรม แต่ผมขอย้อนวกกลับไปหาความหมายของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ว่าเมื่อใดมีสัมผัสโง่ แล้วก็มีปฏิจจสมุปบาททันที วันหนึ่งมีปฎิจสมุปทบาทกี่วง กี่สิบรอบกี่สิบวงก็ได้ ขอให้ระวัง อย่าให้มันมี มันจะมีความทุกข์ นี่เห็นไหมว่ามันเป็นเรื่องดูภายในโดยตนเอง เพื่อตัวเอง ตรงกับความหมายว่า สิกขาๆๆๆ เห็นในภายใน เห็นเพื่อตนเอง เห็นโดยตนเอง รู้จักตนเอง แล้วจะเลยไปถึงดับทุกข์ของตนเอง อย่าเอาคำว่าสิกขาไปอยู่ในความหมายของคำว่า study หรือ education เป็นต้นเลย ขอให้ สิกขา เป็นสิกขาๆ โดยอิสระ คือดูอยู่ที่ตนเอง ในภายใน ดูเห็นอยู่เพื่อตนเองในภายใน สามารถที่จะจัดการกับตัวเองในภายในให้ถูกต้อง และเพื่อประโยชน์แก่ตนเองอย่างถูกต้องและสามารถจะช่วยผู้อื่นได้ นี่เป็นสิกขาๆๆ ที่สมบูรณ์ การศึกษาที่หมายถึงการเรียนหนังสือ ไม่ใช่สิกขา ภาษาไทยมีคำแยกกันแล้วเป็นศึกษาๆ การเรียนหนังสือหนังหาลูกเด็กๆ เป็นศึกษาไป แต่มันไม่ใช่สิกขาๆ ตามแบบนี้ ขอร้อง ขออ้อนวอนให้พิจารณากันเสียใหม่อย่างยิ่งๆ ที่สุด สำหรับคำว่า สิกขา เป็นเรื่องการศึกษาในภายใน การเห็นแจ้งในภายใน การรู้สึกถูกต้องอยู่ในภายใน ดับทุกข์ถูกต้องในภายใน สมตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า การพูดไว้ในกายยาววาหนึ่งนี้ ทั้งหมดทุกเรื่อง อริยสัจทั้ง ๔
อ้าว, ทีนี้ คงจะมีผู้คัดค้านขึ้นมาแล้วว่า ทำไมท่านถึงกล่าวว่า ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา นั้นจะเป็นเรื่องภายในอย่างไร ผมก็ตอบว่า ทั้งสองเรื่อง ทั้งศีล และ ทั้งจิตตะและสมาธิ มันเป็นอุปกรณ์ของปัญญาสิกขา ถ้าไม่มีศีลสิกขา จิตสิกขา, ปัญญาสิกขา มันเป็นไปไม่ได้ จึงผนวกมันไว้ในปัญญาสิกขา ศีลสิกขาต้องมีความเป็นอยู่ในพื้นฐานที่ถูกต้อง ไม่มีเรื่องรบกวน เพื่อจะเป็นอุปกรณ์แก่จิตสิกขา คือทำจิตให้เป็นสมาธิได้ ฉะนั้นถ้าจิตเป็นสมาธิได้แล้ว ก็จะเป็นอุปกรณ์แก่ปัญญาสิกขา ที่จะมองเข้าไปในตน เห็นแจ้ง รู้จักตน และก็ได้รับประโยชน์สูงสุด มันไม่ใช่ ๓ สิกขา มันมีสิกขาเดียว คือปัญญาสิกขา อีก ๒ สิกขา มันเป็นอุปกรณ์ เป็นบริวารเป็นบุพภาค เป็นสิ่งที่จะต้องผ่านไป มีคำกล่าวว่า เมื่อ ศีล อันบุคคลอบรมดีแล้ว สมาธิก็มีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ มีสามารถใหญ่ เมื่อสมาธิอันบุคคลอบรมดีแล้ว ปัญญาก็มีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ปัญญาอบรมดีแล้ว ก็ทำร้ายอาสวะทั้ง ๓ ให้สิ้นไป กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ อย่างนี้ จึงเป็นคำเตือนผู้บวชใหม่ คำสอนผู้บวชใหม่ในการอุปสมบท ไม่ค่อยจะเข้าใจกันว่าอย่างไร บางนิกาย บางสำนัก มันไป เน้นแต่เรื่องศีลสิกขา พ้นด้วยศีล บางนิกาย บางสำนัก ก็เน้นแต่เรื่องสมาธิ พ้นด้วยสมาธิ เลยไม่ไปถึงปัญญาสิกขา พระพุทธเจ้าตรัสว่า จะบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ไม่ใช่บริสุทธิ์ได้ด้วยศีลหรือสมาธิ เรียกว่า ดับทุกข์ทั้งปวงได้ด้วยสัมมาทิฎฐิ สัมมาทิฎฐิ สมาทานา สัพพัง ทุกขัง อุปปัจจคุง ประโยคนี้ช่วยจำไว้ให้แม่นๆ เพื่อจะไปต่อสู้ระหว่างประเทศ ระหว่างศาสนาเลย เราดับทุกข์ได้ เพราะสมาทาน สัมมาทิฎฐิ สัมมาทิฎฐิ สมาทานา สัพพัง ทุกขัง อุปปัจจคุง ก้าวล่วงทุกข์ทั้งปวงได้เพราะสมาทานสัมมาทิฎฐิ คือถือสัมมาทิฎฐิไว้เป็นอย่างดี ไม่ใช่ถือด้วยอุปาทานนะ คำนี้ก็ใช้ให้ถูกต้องนะ อุปาทาน กับสมาทานต่างกันลิบ พวกชาวบ้านมีแต่อุปาทานศีล ทั้งนั้นแหละ น่าสงสาร ไม่มีสมาทานศีล ที่มันเรียกว่าสมาทานศีลนั้น เป็นอุปาทานศีลทั้งนั้น น่าสงสารที่สุด ช่วยไปแก้ไขข้อนี้ด้วย ให้เขาได้สมาทานศีลอย่างถูกต้อง ดับทุกข์ได้จริง ทีนี้การสมาทาน หมายถึงเคร่งเครียด ศักดิ์สิทธิ์ ไปสวรรค์วิมาน อะไรไม่รู้ มันเกินไป เรียกว่าเป็นอุปาทานด้วยอวิชชา ในสิ่งที่เรียกว่า ศีล พอไปทำสมาธิก็อย่างเดียวกันอีก ถ้าอย่างนี้ไม่ไปถึงปัญญา เห็นแจ้งสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงได้ เพราะมันไม่ได้เป็นศีลจริง เพราะมันไม่ได้เป็นสมาธิจริง มันเป็นสีลัพพตปรามาส เป็น สีลพตุปาทาน หมด แล้วก็เป็นปัญหาเบื้องต้นแท้ๆ ญาติโยมของเราที่เลี้ยงให้เรากินแต่ละวันๆ ท่านยังมีความหลงในเรื่องอุปาทานในศีล ไม่มีสมาทานในศีล ถ้าสมาทานแล้วไม่มีโทษ ถ้าอุปาทานแล้วเต็มไปด้วยโทษ แม้จะอุปาทานในนิพพาน มันก็มีโทษๆ มันว่าเอาเอง มันยึดเอาเอง เป็นอวิชชา เล่าอีกทีหนึ่งก็ได้ ผมถามผู้หญิงแก่ๆ คนหนึ่ง ไม่แก่นัก ว่าอยากไปนิพพานไหม ต้องการไหม? อุ้ย, ต้องการเนื้อตัวสั่น ผมก็บอกว่า ในนิพพานไม่มีรำวงนะ ชะงักเลย แล้วบอกคืนเลย ขอคืนไม่ต้องการ เพราะแกชอบรำวง นี่ถ้าว่าหวังอุปาทาน เชื่อในอุปาทานนี้ มันอุปาทานในนิพพาน ไม่ได้สมาทานด้วยปัญญา สิกขา คำว่าอุปาทานใช้ไม่ได้ ให้โทษ คำว่าสมาทานใช้ได้ และจำเป็น อุปาทานนั่นมันยึดมั่นด้วยอวิชชาความโง่ สมาทานมันก็ถือเอาไว้อย่างดีด้วยปัญญา ด้วยวิชชา มันเดินคนละแนว เพราะฉะนั้นพวกเราจงมีสมาทาน อย่ามีอุปาทาน แม้ในพรหมจรรย์ แม้ในความเป็นบรรพชิต ศีล สมาธิ ปัญญา อะไร ก็อย่าทำด้วยอุปาทาน ทำด้วยสมาทาน นี่ก็เป็นความจริงที่ต้องรู้ เป็นความจริงที่จะต้องพูดกันใหม่ ปรับปรุงกันเสียใหม่ ให้มันมีความถูกต้อง จุดใหญ่มันอยู่ที่จะละอุปาทาน ถ้าไม่มีตัวละอุปาทาน แล้ว ไม่ใช่พุทธศาสนา ช่วยจำอันนี้ไว้เถอะ แล้วเอาไปใคร่ครวญดูเถิด มันจะออกเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น เหมือนกับที่พูดให้ฟังแล้ววันก่อนว่า ทุกแขนง ทุกนิกาย แม้แต่ นิกายอมิตา พระของอาซิ้ม มันก็จะมุ่งหมายให้อาซิ้มละอุปาทานเหมือนกัน แต่มันยังต่ำ ยังโง่เกินไป เข้าใจไม่ได้ จึงให้ท่องคำว่า ....(1.17.45) เสียงหาย .............. ในเรื่องนี้มากเถิด จะเป็นการสืบอายุศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ตามพระพุทธประสงค์ ธรรมวินัยนี้ ตถาคตกล่าวไว้เพื่อสาวก จะศึกษาและเผยแพร่ สั่งสอน สืบต่อๆ กันไปเป็นประโยชน์เกื้อกูล แก่สัตว์ หมู่สัตว์ ทั้งเทวดาและมนุษย์อีกแหละ คถาคตเกิดขึ้นก็เพื่อสิ่งนี้ ตถาคตสั่งสอนก็เพื่อสิ่งนี้ ตถาคตมีสาวก มีบริวารก็เพื่อสิ่งนี้ ฉะนั้นขอให้เราทำหน้าที่สิ่งนี้ คือสอนเรื่องทำลายอุปาทาน พอพูดว่า egoism นี้ พวกฝรั่งเขาฟังถูกทันที เราจะไม่มีชีวิต ชนิดที่ไม่มี egoism เราจะมีชีวิตที่สะอาดที่บริสุทธิ์ ไม่มี egoism ละ เออไม่ใช่ละ พัฒนาๆ ชีวิตที่มี egoism ให้มันเปลี่ยนเป็นชีวิตที่ไม่มี egoism ชีวิตมี ๒ รูปแบบ คือมีอุปาทาน หรือไม่มีอุปาทาน ชีวิตที่มี egoism หรือชีวิตที่ไม่มี egoism with หรือ without นี่ แยกกันตรงนี้ แล้วมันก็จะพูดกันได้ง่าย เร็ว ในเวลาอันสั้น เพราะว่าเขารู้จัก egoism ดี และบางคนรู้จักโทษของ egoism ดี เท่าที่ผมลองคุยดู ถึงแม้การศึกษาในโลก มันก็ตั้งข้อรังเกียจ egoism กันทั้งนั้น แต่ยังไม่รู้วิธีที่จะละมัน หรือบรรเทามัน ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะสั่งสอนให้พวกเขารู้จักวิธีที่จะละมัน บรรเทามัน บรรเทามัน และละมัน ในที่สุด ถ้าเมื่อไรการศึกษาระดับสูงของโลก academic study ทั้งหลาย และในมหาวิทยาลัยทั้งปวง มีสอนกันเรื่องนี้ และก็มันเป็นโชคดี เป็นมิ่งขวัญของโลกเป็นอย่างยิ่ง คือได้มีความรู้ชนิดที่เป็นที่พึ่งแก่โลกได้ ขอให้ช่วยกันพยายามเถิด เมื่อเรายังทำที่อื่นไม่ได้ เราก็ทำกันในวงที่เรากระทำกันได้ในมหาวิทยาลัยของเรานี่ จะสอนเรื่องวิธีกำจัด egoism ละ egoism ให้มากขึ้นๆๆ ให้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกว่าเราสอนอย่างนี้ มีการศึกษาอย่างนี้ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าในลังกา ในพม่า เขาไม่สอนก็ตามใจเขา หรือในอังกฤษ ในยุโรป ในอเมริกา ไม่สอน ก็ตามใจเขา แต่เราก็จะบอกแก่เพื่อนมุนษย์ว่า นี่ความรู้สูงสุดของมนุษย์ รู้แล้วทำลายความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวหมดไปจากโลก วิกฤตการณ์ทั้งหลายก็หมดไปจากโลก ศาสนาพระพระศรีอริยเมตไตรย ก็จะเกิดขึ้นภายในพริบตาเดียว พวกคริสเตียนเขาก็มีคำคล้ายๆ กับ ศรีอริยเมตไตรย เขาใช้คำว่า Messiah แต่ผมไม่ได้ศึกษาโดยละเอียดว่ามันจะตรงกันเผลงหรือไม่ Messiah นั่น แต่มันก็เป็นผลของการปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูที่ว่า รักผู้อื่น รักผู้อื่น แม้ว่ายังไม่มีใครเห็นด้วย เราก็ทำของเราคนเดียวได้ เราทำของเราคนเดียวได้ในการศึกษา เรื่องความเห็นแก่ตัวนี่ ที่มาจากการยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัว มีความรู้ความเข้าใจเรื่องอนัตตา เรื่องตถตา แล้วก็จะลด และสิ้นความเห็นแก่ตัว ปัญหาก็หมดๆๆ ทั้งแก่เรา ทั้งแก่สังคม หมดแก่โลก วิชาความรู้อันประเสริฐสุดของพระพุทธศาสนาที่จะช่วยโลกได้ โลกยังสนใจน้อยเกินไป แม้พวกเราที่นับถือพระพุทธศาสนาอยู่ มันก็ทำแต่สักว่า ทำเป็นพิธี ทำตามๆ กันมา กลายเป็น tradition เดี๋ยวนี้จะกลายเป็นแฟชั่นด้วยซ้ำไป น่าสงสาร เราอุทิศชีวิตเพื่ออันนี้แหละ จะได้ประโยชน์มากกว่า สึกออกไปๆ เพิ่มความเห็นแก่ตัวในโลก อุทิศชีวิตเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัวในโลกเสียให้ได้ เดี๋ยวนี้ที่โลกมันมีสันติภาพไม่ได้ ก็เพราะเรื่องนี้แหละ ไม่มีใครที่จะสละความเห็นแก่ตัว กูจะเอาที่กูชอบ กูอร่อย กูต้องการ ความสุขที่แท้จริง กลายเป็นของไม่มีใครเหลียวแล
จิตที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว มันมีในบางคราวนะ ผมขอร้องว่าจริงๆนะว่า ช่วยสังเกตที บางคราวมันมี มันฟลุ๊ก หรืออะไรของมันก็ไม่รู้ มันว่างจากความเห็นแก่ตัว แล้วเวลานั้น เราจะรู้สึก แหม สบายที่สุดๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไร ตัวเองก็ไม่รู้ว่าสบายที่สุดเพราะเหตุอะไร แต่ความจริงก็คือว่ามันฟลุ๊ก หรือมันบังเอิญ ที่เวลานั้น อุปาทาน egoism มันไม่เกิดขึ้นมา การไปเที่ยวที่ริมทะเล หรือบนยอดเขา หรืออะไรที่ธรรมชาติมันดึงความรู้สึก ไปในทางอื่น คือว่าง ความเห็นแก่ตัว อุปาทานมันเกิดไม่ได้ มันก็รู้สึกสบาย ไปนั่งบนยอดเขา หรือริมทะเล หรืออะไร มันก็รู้สึกว่าง สบาย มันเพราะอะไร เพราะความเห็นแก่ตัวไม่เกิด อัสมิมานะ อัตวาทุปาทาน egoism อะไร มันไม่เกิด มันจะรู้สึกสบาย แต่แม้ว่าเราอยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปทะเล ไปภูเขา บางเวลา สักแวบหนึ่ง ก็มีเหมือนกัน เอ๊ะ, ทำไมมันสบายใจที่สุด มันว่าง ว่างอย่างยิ่ง สบายใจที่สุดไม่รู้ว่าเป็นอะไร แล้วก็ลืมเสียไม่สนใจ มันก็ยุ่งต่อไป แต่มันมีมาเยี่ยมบ่อยๆ แหละ สังเกตดูให้ดี ถ้าไม่สังเกตมันก็ไม่เห็น แต่ถ้าสังเกตเห็น ก็รีบเอาทันที รีบจับไว้ให้ได้ รีบทำอย่างนั้นให้มากขึ้น ให้มันกว้างออกไป ความว่าง เพราะไม่มีตัว ให้มันมากออกไป ผมใช้คำว่า ทำนิพพานชั่วคราวให้ขยายตัวออกไปกว่าจะเป็นนิพพานที่สมบูรณ์ ความที่กิเลสไม่เกิดขึ้น ชั่วคราว ว่าง เยือกเย็นเป็นสุข สะอาดบริสุทธิ์ มีความหมายแห่งนิพพาน แล้วก็สบายใจที่สุด จับฉวยไว้ให้ได้ อย่าเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แวดล้อมด้วยเครื่องแวดล้อมอย่างไร บุคคลอย่างไร สถานที่อย่างไร อาหารอย่างไร แวดล้อมด้วยเครื่องแวดล้อมอย่างไร จิตเป็นอย่างนี้ได้ และก็ช่วยสนใจให้มาก อยู่กับเครื่องแวดล้อมอย่างนี้ให้มากๆ อย่าให้มีเครียด อย่าให้มีอุปาทาน อย่าให้มีอุปาทานแม้ในพระไตรปิฎก อย่าให้มีอุปาทานแม้ในปริญญา อย่าให้มีอุปาทานแม้ในเรื่องที่คาดคะเนเอาเอง เรื่องนิพพานเรื่องอะไรก็ตาม มันต้องหยุดอุปาทาน มันจึงจะเป็นนิพพาน แล้วก็พูดได้เลยว่า ต้องหมดอยากไปนิพพาน มันจึงจะนิพพาน ถ้ามันยังอยากไปนิพพานอยู่ ไม่มีหวังหรอก เอาตัวกูที่จะไปอยู่กับนิพพาน แล้วไม่มีรำวงให้เต้น แล้วมันก็ไม่อยากหรอก นี่ผมพูดว่า การศึกษาที่ต้องปรับปรุงเพื่อความสมบูรณ์สำหรับโลกในปัจจุบัน อ้าว, วันนี้ลืมหยุดฉันเพล เลยแล้ว (หัวเราะ) การศึกษาที่ต้องปรับปรุงเพื่อความสมบูรณ์สำหรับโลกในปัจจุบัน โลกปัจจุบัน มันไม่เหมือนกับโลกครั้งพุทธกาล ไอ้สิ่งแวดล้อมในครั้งพุทธกาลมันส่งเสริมความเห็นแก่ตัวน้อย เดี๋ยวนี้อะไรก็ล้วนแต่เป็นปัญหา คนมันก็มากขึ้น สิ่งยั่วยวนมากขึ้น รุนแรงๆๆ จึงหลงในสิ่งยั่วยวนเหล่านี้ ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งลูก ทั้งหลาน ทั้งเหลน ทำไม่ได้ ทำยากขึ้นมา แต่ดูจะไม่มีที่พึ่งไหนนอกจากพระพุทธศาสนา แล้วก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ไหนอีก นอกจากพวกเราๆ เจ้าหน้าที่ที่จะสนองพระพุทธประสงค์ ไม่มีที่ไหนนอกจากพวกเรา ฉะนั้นขอให้เหลือบตาดู มองสิ่งที่เรียกว่า สิกขาๆ ซึ่ง มันกรอกหูเรามาตั้งแต่วันบวชๆ แล้วทำไมมันถึงเงียบ ทำไมมันจึงเลือนหายไป ทำไมมันถึงออกไปข้างนอก เป็นเรื่องไม่มองดูข้างใน ตามความหมายของคำว่าสิกขา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจนว่า ฉันบัญญัติไว้ข้างใน ในกายที่ยาววาหนึ่งนี่ ตรัสอย่างนี้ อย่าลืมเสีย มองเข้าไปข้างใน ในกายที่ยาววาหนึ่ง ที่ยังเป็นๆ ที่ไม่ตาย แค่ไปดูซากศพนี้มันไม่พอหรอก มันตายแล้ว อย่างเราก็เหมือนกัน ถ้าตายแล้ว มันก็ไม่มีทางจะมอง มันยังเป็นๆ ยังสามารถที่จะมอง มองดูๆ ประพฤติของจิตทั้งหลาย ที่วุ่นวายอยู่ในภายในการปรุงแต่ง หยุดกันเสียให้ได้
อีกคำหนึ่งที่ฝากไว้ว่าระวังอย่าสับสน คือคำว่า สังขาร คุณย่า คุณยายของเรารู้จักคำว่าสังขารแต่ร่างกายเท่านั้น ดับสังขารก็คือตาย แม้เราจะสวดกรอกหู ว่า เตสัง วูปะสะโม สุโข แกก็คิดว่าตาย ตายแหละคือสุโข คำว่า ดับสังขารๆ ก็มีความหมายมาก มันหมายความว่า หยุดการปรุงแต่งเสีย คำว่าสังขาร มี ๓ ความหมาย ช่วยจำไว้ดีๆ เถิด หนึ่ง สิ่งที่ทำหน้าที่ปรุงแต่ง คือผู้ปรุงแต่ง ก็เรียกว่าสังขาร, สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง ก็เรียกว่าสังขาร, กิริยาอาการที่ปรุงแต่ง ก็เรียกว่าสังขาร คำว่าสังขารจึงหมายถึงการปรุงแต่ง มิใช่หมายถึง เนื้อหนังร่างกาย เนื้อหนังร่างกายเป็นสังขารถูกแล้ว ในฐานะผู้ที่ถูกปรุงแต่ง นี่คือสังขารนี้ ส่วนสังขารปรุงแต่ง ก็คือกิเลส ตัณหา อวิชชา อุปาทาน มีการปรุงแต่งๆๆ ในฐานะผู้ปรุงแต่งและมันก็ปรุงแต่งสิ่งอื่นต่อไปอีก จึงมีผู้ปรุงแต่ง สิ่งที่ปรุงแต่ง และ สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง และ มีกิริยาอาการแห่งการปรุงแต่ง ทั้ง ๓ สิ่งนี้เรียกว่า สังขาร หยุดมันเสียเถิด มันก็ไม่มีการปรุงแต่ง มันก็ เตสัง วูปะสะโม สุโข แล้วจริงด้วยๆ ถ้ายังมีการปรุงแต่ง คิดนึกอย่างนั้นอย่างนี้ ยึดมั่นนั่น ยึดมั่นนี่ นั่นแหละคือ การปรุงแต่งอย่างยิ่ง อวิชชาทำให้เกิดการปรุงแต่ง เพราะมันไม่รู้ว่า การปรุงแต่งมันเป็นทุกข์ มันก็เลยปรุงแต่ง เหมือนกับเด็กไม่มีความรู้เรื่อง เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุต มาแต่ในท้อง มันก็ปรุงแต่งไปตามสัญชาตญาณ อวิชชา สภาวะปราศจากความรู้ ทำให้เกิดการปรุงแต่ง พอปรุงแต่งแล้ว มันก็ไปหยิบเอาวิญญาณธาตุตามธรรมชาติมาปรุงแต่งเป็นวิญญาณที่จะรู้ทางตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ นี่สังขารปรุงแต่งให้เกิดวิญญาณ พอวิญญาณธาตุตามธรรมชาติเอามาทำเป็นวิญญาณอย่างนี้ได้ ไอ้ร่างกายนี้มันมีครบขึ้นมาเป็นนามรูป ส่วนที่เป็นกาย และส่วนที่เป็นนาม คือจิตใจ พอเป็นนามรูป มันก็พร้อมที่จะมีปม ที่จะรับอารมณ์ คืออายนะทั้ง ๖ เมื่อมีอายนะทั้ง ๖ มีอายตนะสำหรับสัมผัส สำหรับรู้อารมณ์ทั้ง ๖ มันก็มีผัสสะ มีเวทนาไปตามลำดับ ถ้าจะอธิบาย ปฏิจจสมุปบาท ชุดใหญ่ ก็อธิบายอย่างนี้ก็ได้ แล้วมันก็ไปเข้ากับชุดเล็กที่มีน้อยกว่า เพราะอวิชชาเป็นตัวเหตุ มีอวิชชาสัมผัส มันก็ทำหน้าที่เต็มเหมือนกับปฏิจจสมุปบาท ยาวเฟื้อย มีตั้ง ๑๑, ๑๒ อาการ ถ้ารับสั้นก็ว่าเกิดเนื่องกันทางอายตนะเกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา แต่ความหมายก็เดียวกัน ปัญหาใหญ่อยู่ที่อวิชชา ช่วยสงสารคุณย่าคุณยาย อธิบายคำว่าสังขารให้แกเข้าใจให้ถูกต้อง ว่ามันหมายถึงการปรุงแต่ง ที่ปรุงข้าวปรุงแกงอยู่ในครัวทุกวันนั้นก็คือสังขารเหมือนกันแหละ และขึ้นชื่อว่าสังขารแล้ว มันจะเป็นทั้งผู้ปรุงแต่ง และถูกปรุงแต่ง เหมือนกับอิฐมากองซ้อนกันอยู่อย่างนี้ อิฐก้อนหนึ่งก็เป็นผู้ซ้อน อิฐก้อนหนึ่งก็เป็นผู้ถูกซ้อน แล้วก็มันมีกิริยาอาการซ้อนอยู่ในอิฐแถวนั้น มันต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นผู้ปรุงแต่ง สิ่งใดขึ้นมา สิ่งนั้นจะปรุงแต่งสิ่งอื่นต่อไป จะปรุงแต่งสิ่งอื่นต่อไป ตลอดสายยาวยืด มีอาการแห่งการปรุง นี้เรียกว่าสังขาร หยุดไอ้บ้าๆ นี้เสีย หยุดปรุงแต่งเสีย ก็เป็นสุขอย่างยิ่ง หยุดมีอวิชชา ตัณหาอุปทานที่เป็นเครื่องปรุงแต่ง อันเป็นกิเลสเสีย นั้นนตอนสำคัญ แล้วมันก็หยุดกรรม หยุดวิบากได้ วัฏสงสารมันก็ไม่มี มีคำอีกคำ ว่า วิสังขาร เข้ามา คือปราศจากการปรุงแต่ง ให้จิตเข้าถึงสภาพที่ปราศจากการปรุงแต่ง คือวิสังขาร คือนิพพาน คืออะไรก็แล้วแต่จะเรียก ให้มันตรงกันข้ามกับสังขาร เดี๋ยวนี้เราจมปลักอยู่ในกองแห่งสังขาร การปรุงแต่ง มีผู้ปรุงแต่ง มีผู้ถูกปรุงแต่ง ในภายในจะเป็นขันธ์ทั้ง ๕ เป็น อายตนะทั้ง ๖ เป็นกิเลส เป็นแถว ล้วนแต่มีการปรุงแต่งอย่างนี้ โดยหลักสำคัญก็คือ ปฏิจจสมุปบาท เป็นการปรุงแต่ง มีสังขารอยู่คำเดียวคือตอนต้น แต่ที่จริงทั้งหมดนั้นเป็นสังขาร ทั้งสายปฏิจจสมุปบาทเป็นสังขารหมด เป็นการปรุงแต่ง
ขอสรุปความว่า ขอร้องให้ช่วยปรับปรุง สิ่งที่เรียกว่า การศึกษาของตนเองๆ ให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ใช้สำเร็จประโยชน์ได้ และใช้เพื่อเพื่อนมนุษย์ทั้งโลกได้ด้วย นี่คือ หน้าที่ของเราๆ ไม่เฉพาะเวลานี้ และขอให้ทุกองค์ ได้รับปริญญาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปริญญามี ๓ นั้น ๓ อะไร ราคะภะโย โทสะภะโย โมหะภะโย อันนี้คือ ปริญญา ๓ ใช้คำอย่างนี้จริงๆ ใช้คำว่า ปริญญาๆ ขอให้เราได้รับปริญญาของพระพุทธเจ้าด้วย อย่ารับปริญญาจากกองมหาจุฬาเลย ให้ได้รับปริญญาของพระพุทธเจ้าด้วยในที่สุด แม้แต่บรรเทาก็ยังดี ไม่สิ้นราคะ โทสะ โมหะ แต่ว่าบรรเทาลง บรรเทาลง ก็ยังนับว่าอยู่ในการรับปริญญาของพระพุทธเจ้า มีความรู้ที่ทำให้สิ้นราคะ โทสะ โมหะ เพิ่มขึ้นๆ นี่เป็นการศึกษา หรือสิกขาๆๆ ในความหมายที่ถูกต้อง การศึกษาอย่างเรียนหนังสือในโรงเรียนนั้น ไม่ใช่สิกขาหรอก ขอให้ใช้คำว่า ศึกษาต่อไปตามอย่างเดิม แม้จะมีรากศัพท์เกี่ยวกับสิกขา ก็เป็นภาษาไทยที่หมายถึงการเรียนหนังสือไปแล้ว ขอเพิ่มคำสิกขาเข้ามาอีกคำ เรียนด้วยตนเองในภายใน ดูในภายในด้วยตนเอง ท่านก็จะได้รับปริญญาของพระพุทธเจ้า
การพูดกันในวันนี้ ก็หมดเวลาด้วย หมดแรงด้วย ไม่ค่อยสบาย จึงต้องขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ ขอบอกว่า พรุ่งนี้ตอนเช้าอย่างนี้ไม่มี เพราะว่าผมต้องบรรยายตอนบ่าย ทำประจำตามปกติ ถ้าสนใจขอให้มาร่วมฟังละกัน เวลาบ่ายสองโมง