PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
  • อบรมผู้ปฏิบัติจิตตภาวนาชาวต่างประเทศ 2530 ครั้ง ๑ ความเห็นแก่ตัว
อบรมผู้ปฏิบัติจิตตภาวนาชาวต่างประเทศ 2530 ครั้ง ๑ ความเห็นแก ... รูปภาพ 1
  • Title
    อบรมผู้ปฏิบัติจิตตภาวนาชาวต่างประเทศ 2530 ครั้ง ๑ ความเห็นแก่ตัว
  • เสียง
  • 2159 อบรมผู้ปฏิบัติจิตตภาวนาชาวต่างประเทศ 2530 ครั้ง ๑ ความเห็นแก่ตัว /buddhadasa/2530-17.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันเสาร์, 04 เมษายน 2563
ชุด
อบรมผู้ปฏิบัติจิตตภาวนาสำหรับชาวต่างประเทศ
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ในโอกาสแรกที่สุดนี้  ควรจะทำความเข้าใจกันเป็นข้อแรกว่า  เราจะได้รับประโยชน์อะไรจากการมาศึกษาธรรมและปฏิบัติสมาธิให้ถูกต้องให้ตรงกับความจริงเสียก่อน  อยากจะพูดเป็นคำสั้นที่สุดกันในข้อแรกว่าเราจะได้ชีวิตใหม่ รู้วิถีทางใหม่ของชีวิตชนิดที่ไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  นี่คือความมุ่งหมายของชีวิตใหม่  เราควรจะมองเห็นความจริงข้อหนึ่งว่า  มนุษย์เรามีปัญหา หรือมีความทุกข์หรือมีภาระต่างจิตใจเพิ่มมากขึ้นๆ ตามความเจริญทางวัตถุของโลก  นี่เป็นสิ่งที่ต้องมองกันเป็นข้อแรก

    เราควรจะมองดูลงไปจนเห็นความจริงข้อนี้ว่า  คนเราวิวัฒนาการขึ้นมาจากความเป็นคนป่า แล้วก็เป็นมนุษย์ที่เจริญขึ้นมาตามลำดับๆๆๆ ปัญหาเกี่ยวกับความเป็นอยู่มันเพิ่มมากขึ้นๆ  ตามส่วนของความเจริญโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความทุกข์มากขึ้น เพราะความเห็นแก่ตัวเพิ่มมากขึ้นๆ  ตามความเจริญ     ทุกคนพอจะมองเห็นได้ว่า  ความเจริญๆๆ ขึ้นมานี้  ปัญหาทางวัตถุหรือทางร่างกายอาจจะลดลงไป  ๆ   แต่ปัญหาทางจิตใจ ทางวิญญาณนี่กลับเพิ่มขึ้นๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม อย่างที่มันสมสัดสมส่วนกัน  คือปัญหาทางวัตถุลดลงไปแต่ปัญหาทางจิตใจมันเพิ่มขึ้น   แล้วขอให้พิจารณาดูให้ดีว่า  ปัญหาชนิดไหนมันทรมาณจิตใจของคนเรามากกว่า  ปัญหาทางวัตถุหรือปัญหาทางจิตใจ      ปัญหาทางจิตใจเพิ่มขึ้นๆ เพราะเหตุอย่างเดียวคือ ความเจริญทางวัตถุนี้ทำให้ความเห็นแก่ตัว เพิ่มขึ้นๆ  ขอให้สนใจเป็นพิเศษ เรื่องสิ่งที่เรียกว่า  ความเห็นแก่ตัว ๆ  ใจความสำคัญมันอยู่ที่ตรงนี้  อยู่ที่ความเห็นแก่ตัวมันเพิ่มขึ้น  ตามที่ความเจริญทางวัตถุมันเพิ่มขึ้น  ปัญหาทางด้านจิตใจมันก็เพิ่มขึ้น  ขอให้เรามองไปที่ความเห็นแก่ตัว         

    แต่ก่อนๆมาหรือว่าการศึกษาธรรมดาทั่วๆไปนั้นมองเห็นครึ่งเดียว  คือมองเห็นว่า  ความเห็นแก่ตัวนี้  เป็นโทษเป็นภัยทางศีลธรรม  ทางสังคมเป็นปัญหาทางสังคม และเกลียดกลัวกันในแง่ของปัญหาทางสังคม  ที่นี้อยากจะให้มองเห็นสักหน่อยว่า  ความเห็นแก่ตัวนั้นมันไม่ใช่ปัญหาเฉพาะทางสังคมมันเป็นปัญหาส่วนบุคคล  บุคคลแต่ละคนก็มีอยู่เป็นอันมาก  มันทำให้คนไม่มีการพักผ่อน  มีความวิปริตทางจิต  เป็นโรคประสาท  เป็นบ้า   ฆ่าตัวตาย  อยู่คนเดียวก็ได้ด้วยความเห็นแก่ตัว  ขอให้มองเห็นโทษของความเห็นแก่ตัวในแง่นี้ให้มากกว่าที่เป็นปัญหาทางสังคม   

    ขอย้ำอีกทีว่าอย่ามองเห็นโทษของความเห็นแก่ตัวแต่ในทางอาชญากรรมของสังคม  มันมีอันตรายลึกกว่านั้น  คือมันเป็นการทำร้ายตัวเอง  ความเห็นแก่ตัวมันทำร้ายตัวเองๆ ไม่มีความสงบสุขหรอก เห็นแก่ตัวอยู่คนเดียวก็เป็นทุกข์อยู่คนเดียว  นอนหลับยาก  เป็นโรคประสาท  เป็นบ้า  ฆ่าตัวตายเพราะความเห็นแก่ตัว   ถ้าเรากำจัดโทษที่เป็นส่วนบุคคลนี้ได้  ก็จะกำจัดโทษร้ายที่เป็นส่วนสังคมได้ที่หลังเป็นแน่นอน  

    ความเห็นแก่ตัวทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่ากิเลสทุกชนิด ทุกระดับเป็นอย่างนี้ทุกยุคทุกสมัย  เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจคำว่ากิเลส  กิเลสนี่  อย่างถูกต้องและครบถ้วน  เรารู้จักกิเลสกันน้อยเกินไป  ภาษาก็หายากที่จะใช้ให้ตรงกับคำว่า กิเลสเต็มความหมาย   คำว่ากิเลส ๆ นี่ข้อให้เป็นที่เข้าใจ ตัวมันแปลว่า Defilement แต่ว่าความหมายมันมากกว่านั้นมาก ขอให้รู้จักกิเลสทุกชนิดเสียก่อนและก็รู้ว่ามันมาจากความเห็นแก่ตัว    ความหมายของคำว่า  Defilement นั้นไม่หมดไม่พอสำหรับคำว่ากิเลสในภาษาบาลี  กิเลสๆ  มันมีความหมายเป็นสามทิศทาง  กิเลสประเภทแรก  มันเกี่ยวกับความรัก  ความพอใจ  ความจะได้  ความจะเอา เรียกว่า โลภะ  ราคะ  พวกนี้มันจะดึงเข้ามาหาตัว ๆ  ด้วยความเห็นแก่ตัว            

    กิเลสประเภทที่ ๒  มันมาจากความไม่พอใจ มันก็เป็นความโกรธ  เป็นความเกลียด เป็นการทำร้าย  พวกนี้มันมีอาการผลักออกไปๆ  เป็นพวกที่สอง  คือ  ทำร้าย  ทำอันตราย  ทำเสียให้ตาย   

    ประเภทที่ ๓  มันเป็นความไม่รู้  มันไม่รู้ ๆ  มันก็ทำอะไรไม่ถูก  มันก็เกิดความสงสัย  เกิดความหวังอันไม่มีที่สิ้นสุด  มันก็เลยวิ่งอยู่รอบๆ รอบๆ  ไอ้สี่งที่มันสงสัยนั่น  เพราะฉะนั้นขอให้สนใจว่าอาการมีอยู่สามส่วน  อันหนึ่งดึงเข้ามาหาตัว รับเพราะอยากจะได้ อันหนึ่งผลักออกไปก็จะทำลายให้ตายเสียเพราะมันไม่ชอบไม่พอใจ  อันหนึ่งมันโง่   มันสงสัยไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็เลยวิ่งอยู่รอบๆ รอบๆ  ที่นี้อาการทั้งสามอย่างนี้เป็นปัญหา เป็นความทุกข์   มันมีความหมายมากกว่าคำว่า  Defilement  มากนัก  ขอให้พยายามสนใจให้ดีในกิเลสสามอย่างนี้   

    ถ้าท่านเป็นคริสเตียนท่านก็คงจะรู้จักความหมายของคำว่า  Satan  .... (ไม่แน่ใจนาทีที่19.29) ท่านรู้ความหมายของคำว่า Satan เท่าไหร่ขอให้เอาตัวเลขคูณ  คูณเข้าไป ๒ เท่า ๓ เท่า ต่อความหมายของคำว่า Satan  แล้วท่านจะรู้ความหมายของคำว่า กิเลส ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว  อย่างยิ่ง  ถ้าไม่รู้จักก็ไม่มีอะไร  ไม่มีความหมายอะไร เหมือนกับ Satan ถ้าเราไม่รู้จัก   แต่ถ้าเรารู้จักยิ่งเกลียดยิ่งกลัว ยิ่งอยากจะทำลายเสีย  ขอให้รู้จักความหมายของกิเลส นี้ว่าเป็นสิ่งที่น่าเกลียด  น่ากลัว  น่ารังเกียจที่สุดเลย  แล้วเราจะได้กำจัดกิเลสนี้ โดยตัดต้นเหตุของมันคือความเห็นแก่ตัว       

    มีความลับอีกข้อหนึ่งที่ควรจะรู้ ควรจะเข้าใจว่าชีวิตทั้งหมด ๆ มันมีสัญชาตญาณ    Instinct  ที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า มีตัวเราที่ต้องรักษา  ต้องถนอม  ต้องทำให้รอด  สัญชาตญาณนี้มันต้องการจะไว้ตัว  คือ ตัวตนเอาไว้ มันมีหน้าที่เพียงเท่านี้  คือหน้าที่ของสัญชาตญาณ  แต่พอเราเกิดมาแล้ว  เราก็พบแต่ของเอร็ดอร่อย สวยงาม สนุกสนาน  สัญชาตญาณก็เลยกลายไปเป็นกิเลสชนิดที่เป็นความเห็นแก่ตัว ๆ กลายเป็นกิเลส สัญชาตญาณกลายเป็นกิเลส  อีกทางหนึ่งถ้ามันไม่โง่อย่างนั้น  มันกลายไปเป็นโพธิที่มันเป็นความรู้สึกที่ว่ามีตัว  ถ้ามันเดินทางมาผิดมันมาเป็นกิเลสและมันก็เป็นความเห็นแก่ตัว  ถ้ามันทำมาถูก  เดินมาถูกมันก็เป็นโพธิ ไม่เห็นแก่ตัว แม้มันจะรักษาความมีตัวไว้ มันก็ไม่เห็นแก่ตัว  ส่วนกิเลสนี่มันมีความเห็นแก่ตัว มันกลายเป็นความเห็นแก่ตัว  เพราะฉะนั้นเราจะมีปัญหาว่า ทำอย่างไรให้สัญชาตญาณจะไปเป็นโพธิ แทนที่จะไปเป็นกิเลส  เพราะฉะนั้นเราจึงต้องศึกษาธรรม  หรือปฏิบัติทางจิตใจ  ขอให้มีความแน่ใจว่าเราทำได้  เป็นสิ่งที่ทำได้ในการที่จะควบคุมสัญชาตญาณให้เดินไปทางฝ่ายโพธิๆ นาทีที่ 23.36 ได้ยินไม่ชัด .......  แล้วก็ความเห็นแก่ตัวก็จะไม่เกิด  แต่เดี๋ยวนี้เราทำไม่ได้เรามาในทางฝ่ายเห็นแก่ตัว คือฝ่ายกิเลส เราจงดูให้เห็นกิเลส   ด้วยจิตใจเราที่เที่ยงตรง  ไม่เห็นแก่ตัว  เที่ยงตรงที่ดู  มันเป็นกิเลส  เราอยู่ด้วยกิเลส  เรามีปัญหาด้วยกิเลสนานาชนิด ซึ่งมาจากความเห็นแก่ตัว  ขอให้สนใจกันในข้อนี้ว่ามันมีอยู่อย่างนี้และมันเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ 

    เดี๋ยวนี้เราพอจะเห็นได้แล้วว่า  ถ้าเราจะควบคุมกิเลสเราต้องควบคุมความเห็นแก่ตัว  เราจะควบคุมความเห็นแก่ตัวเราจะต้องควบคุมสัญชาตญาณ  มันต้องมีความรู้ไปถึงเรื่องสัญชาตญาณที่ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวแล้วก็ทำให้เกิดกิเลสแยกเป็นลำดับๆว่าควบคุมกิเลสและการควบคุมความเห็นแก่ตัว  ควบคุมความเห็นแก่ตัวด้วยการควบคุมสัญชาตญาณซึ่งเราจะได้ศึกษากันต่อไป    

    ความรู้สึกตามสัญชาตญาณหรือ  Instinct นั่นมันเป็นเพียงกลางๆ  ยังไม่ใช่กิเลส  ยังไม่ใช่โพธิ  แต่มันเป็นความรู้สึกที่รุนแรงมากสำหรับสิ่งที่มีชีวิต เพราะฉะนั้นต้องมีความรู้สึกว่ามีตัวตน  มีตัวฉัน และก็ต่อสู้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดแห่งตัวฉัน  จะต้องหาอาหาร  จะต้องต่อสู้  จะต้องหลบภัย  จะต้องสืบพันธุ์  ทุกอย่างทุกประการเพื่อมีอยู่แห่งตัวฉันนี่มันเป็นสัญชาตญาณ  แต่แล้วมันก็งอกงามไปเป็นกิเลส  เด็กๆ ในครรภ์  ยังไม่มีความคิดนึก  สัญชาตญาณยังไม่แสดงออก  พอคลอดออกมาเป็นเด็กเล็ก ๆ เป็นเด็กเล็กๆ  แล้วมันก็กินอาหาร  มีของเล่น  มีของชอบใจ  มีการประคบประหงมให้สบาย  เด็กๆรู้สึกสบาย  รู้สึกพอใจ  รู้สึกอยาก  ได้สบาย อย่างนั้นมันมากขึ้นๆ  แล้วก็อยากอย่างนั้น  อยากอย่างนี้เพิ่มมากขึ้นตามที่เด็กมันโตขึ้น  ในความอยากนั่นแหละเป็นตัวการทำให้เกิดความรู้สึกว่าฉันผู้อยาก  ตามธรรมดามีแต่ความรู้สึกอยากตามธรรมชาติ  แต่ถ้าความอยากนี่มันโง่มากเข้าๆ  มันก็สร้างความคิดว่า  ฉัน  ฉัน  ฉัน   ฉันเป็นผู้อยาก  ถ้ามันมีฉัน ฉัน ฉัน อย่างนี้แล้ว  ความเป็นตัวฉันมันก็เกิด  ความเห็นแก่ตัวมันจึงเกิด  เพราะเด็กๆ เขารู้จักอยากจนเกิดความรู้สึกว่ามีตัวฉันผู้อยาก  แล้วก็เป็นอย่างนี้ทุกคนล่ะ ขอให้สังเกตดู       

    สิ่งแวดล้อม  สิ่งแวดล้อมมันทำให้เด็กทารกเกิดความรู้สึกเป็นตัวตนๆ  ออกแรงขึ้นๆ  จาก Self  เฉยๆ  ไปเป็น Selfish    ยกตัวอย่างว่า  เด็กๆเขาถูกอะไรมากระทบ  เจ็บ  ไอ้คนที่เลี้ยงเด็กมันก็ช่วยตี  ที่เมืองฝรั่งจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้นะ  นี่พูดถึงที่เมืองไทย  ถ้าอะไรมาทำให้เด็กเจ็บ  จะเป็นคนหรือไม่ใช่คนก็ได้ไอ้คนเลี้ยงเด็กมันก็ช่วยตี  ทำให้เด็กคิดว่านั่นเป็นฝ่ายนั้น  นี่เป็นฝ่ายนี้  ก็เกิดความคิดว่าฉัน  เห็นแก่ตัวฉันเพิ่มขึ้นๆ  หรือแม้แต่เด็กเองเขาไปโดนเก้าอี้เจ็บเขาก็จะเตะเก้าอี้ๆ เด็กนั้นรู้จักเตะเก้าอี้ เพราะโกรธเห็นเป็นฝ่ายศัตรู  ที่นี้มันก็สร้างความรู้สึกที่เป็น  Selfish    Selfish นี่  มากขึ้นๆ  จนกว่าจะโตขึ้นเป็นหนุ่ม เป็นสาว นี่มันมากมายขึ้น ยิ่งๆขึ้นไป  สิ่งแวดล้อมที่เข้ามาทำให้เด็กรักหรือโกรธ หรือเกลียดหรือกลัวนี้เพิ่มความรู้สึกที่เป็น Selfish มากขึ้นๆ จึงขอสรุปความว่า  สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาตินั้นทำให้เกิดความรู้สึกเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นๆ จนเต็มที่   

    ในชีวิตนี้มันมีมากเรื่องๆ ที่เป็นไปในลักษณะอย่างนี้  นั่นคือทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเกินกว่าที่จะมี Sense ตามธรรมดา จนกลายเป็น Selfish อันนี้มีแล้วก็เป็นเหตุให้เกิดกิเลส  คือความเห็นแก่ตัวนี่มีแล้วก็เป็นเหตุให้เกิดกิเลส  ครั้นเกิดกิเลสแล้วก็ทำไปตามอำนาจของกิเลส  ในสามทิศทางอย่างที่ว่าไว้มาแล้ว  มันก็เกิดการเบียดเบียนตัวเองให้เป็นทุกข์ ให้ลำบาก ให้เดือดร้อน  ทนทรมานมากเข้าก็เป็นโรคทางจิต  เป็นประสาท  เป็นบ้า  ฆ่าตัวตาย  ถ้ามันออกไปถึงผู้อื่นมันก็ทำให้เอาเปรียบผู้อื่น  ทำอันตรายผู้อื่น  แม้กระทั่งเบียดเบียนผู้อื่นจนกระทั่งมันอยากจะครองโลก  มันอยากจะเป็นเจ้าโลก  ปัญหาเรื่องอยากจะเป็นเจ้าโลกนี่  ดูดีๆกำลังอาละวาดมากในเดี๋ยวนี้  ในบัดนี้  สรุปความว่าไอ้ตัวการ  ศูนย์กลางมูลเหตุที่เป็นตัวการนั้นน่ะมันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัวที่มาจากสัญชาตญาณ  มาเป็นเห็นแก่ตัว  มาเป็นกิเลส  และเมื่อทุกคนเป็นอย่างนี้  แล้วคิดดูว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไรถ้าทุกคนมันเป็นอย่างนี้  โลกนี้จะเป็นอย่างไร  ก็กลายเป็นโลกของกิเลส เป็นโลกที่เต็มไปด้วยกิเลส  ราคะ  โทสะ  โมหะ  เต็มไปในโลก  แต่มันก็เป็นความหมายถึงความเห็นแก่ตัวอยู่นั่นล่ะ  ราคะมันก็เพราะรัก อยากจะได้มาเป็นของตัว  โทสะก็เพราะไม่ได้ตามที่ต้องการมาเป็นของตัว  โมหะก็เพราะโง่ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่มันต้องทำเพื่อความเห็นแก่ตัว  เรากำลังมีโลก  โลกแห่งความเห็นแก่ตัว  หรือจริงๆมีโลกแห่งกิเลสเราเป็นสมาชิกในจำนวนคนเหล่านั้นเรียกว่าชีวิตธรรมดา  ชีวิตธรรมดา  เราควรจะมีชีวิตใหม่ที่ไม่มีปัญหานั้น  เราจึงมาศึกษาธรรมะและปฏิบัติสมาธิ  

    ข้อที่เราเป็นสมาชิกของสมาคมผู้เห็นแก่ตัว  เราเป็นสมาชิกของสมาคมโลกผู้เห็นแก่ตัว   มีปัญหาเกิดขึ้นอย่างนี้  บางทีเราทำอย่างเห็นแก่ตัวต่อบิดา  มารดาของเรา  บางทีเราก็กระทำอย่างเห็นแก่ตัวต่อภรรยาหรือสามีของเราเอง  และบางทีเราก็ทำอย่างเห็นแก่ตัวแก่ลูก แก่หลาน  แก่เด็กๆ ของเราเองนี่  ที่เป็นภายในเป็นมาก  เป็นอย่างนี้    ภายนอกก็ไปเห็นแก่ตัวแก่เพื่อนบ้าน  บางทีมันก็เห็นแก่ตัวแก่ทุกๆอย่างที่มาเกี่ยวข้องกับเรา  เราจะเอาข้างเห็นแก่ตัวไว้ก่อน  บางทีเราก็รักชาติแต่ปาก  ใจแท้จริงเราก็รักตัว  นี่เราเป็นสมาชิกของสมาคมผู้เห็นแก่ตัวทั้งโลกอย่างนี้  ขอให้ดูกันในแง่นี้ด้วย  จริงหรือไม่จริง 

    เด็กๆทะเลาะกันก็เพราะความเห็นแก่ตัว  คนหนุ่มสาวทะเลาะกันก็เพราะความเห็นแก่ตัว  คนสูงอายุแล้ว  พ่อบ้านแม่เรือนทะเลาะกันก็เพราะเห็นแก่ตัว  เพื่อนบ้านทะเลาะกันก็เพราะเห็นแก่ตัว  รัฐบาลกับรัฐสภาทะเลาะกันก็เพราะความเห็นแก่ตัว  รัฐบาลทะเลาะกับประชาชนเพราะเห็นแก่ตัว  ประชาชนทะเลาะกับประชาชนก็เพราะเห็นแก่ตัว    คุณไปดูเถอะมันไม่มีอะไรนอกจากความเห็นแก่ตัวทำให้ทะเลาะกัน  ต่อสู้กัน  ทำร้ายกัน  โลกกำลังตกอยู่ในอาการอย่างนี้  

    ในที่สุดเราจะเห็นได้ว่า  โลกได้แบ่งออกเป็นสองซีก  คอมมิวนิสต์ก็เห็นแก่ตัวแบบหนึ่ง  แคบปิตอลลิสต์ก็เห็นแก่ตัวแบบหนึ่ง  คือทุกๆชนิดระบบการเมืองก็มีหลักของความเห็นแก่ตัวตามแบบของตนของตน  ที่นี้พอที่จะพูดได้ว่าความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลก  เขาก็ต้องต่อสู้กันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  เขาก็แสวงหาอาวุธที่จะทำลายฝ่ายตรงกันข้าม  อย่างที่เรารู้ว่าเดี๋ยวนี้เขามีอาวุธนิวเคลียร์  มากมายพอที่จะทำให้โลกวินาศไปสัก ๒ – ๓ หนก็ได้  เพราะความเห็นแก่ตัวก็เตรียมพร้อม  ถ้าความเห็นแก่ตัวนี้บังคับไม่ได้  ถ้าเขาใช้อาวุธกันเมื่อไรก็จะวินาศกันทั้งโลก  โลกกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว    ตั้งแต่จุดเล็กที่สุด   Particle อันเล็กที่สุดไปจนถึงอันใหญ่หมดทั้งโลกมันก็คืออยู่ภายใต้ความเห็นแก่ตัว  นี่ในทางเรื่องโลกๆ   เราคนเดียวก็ล้วนแต่เป็นไปตามความเห็นแก่ตัวของเรา  มีกิเลส  มีความทุกข์  มี  นาทีที่ 53.12 ได้ยินไม่ชัด... of Life  เหลือประมาณเพราะความเห็นแก่ตัว  หมดความเห็นแก่ตัว หมด    นาทีที่ 53.19 … of Life  ภายในส่วนบุคคล และก็หมดอันตรายของโลกๆ ทั้งหมดถ้าหมดความเห็นแก่ตัว  

    เอาล่ะ! เป็นอันว่าถ้าเราเกลียด กลัว  ซาตาน  Satan  อันแท้จริง  เราจงมองไปดูที่ตัวจริงของ  Satan  คือความเห็นแก่ตัว  ทำให้คนแต่ละคนๆนั้นเป็นทุกข์ๆ อยู่ในกองทุกข์  วนเวียนอยู่ในกองทุกข์ แล้วก็ทำให้สังคมหรือทั้งโลกวนเวียนอยู่ในกองทุกข์แล้วมันจะมีอะไรเหลือ  เราจะต้องเอาสิ่งนี้ออกไปได้  ออกไปกำจัดออกไปให้ได้โดยการประพฤติ กระทำที่ถูกต้อง  หลักธรรมะเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น  หัวใจหลักพุทธศาสนาเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัวเท่านั้น  ไม่มีๆ อะไรมากกว่านั้น  แต่คำอธิบายมันพูดได้มาก  แต่ใจความมันเหลือเพียงว่า  กำจัดไอ้ความเห็นแก่ตัว  เรามาศึกษาให้รู้ข้อนี้แล้วเราก็ปฏิบัติเพื่อให้จิตนี้หมดความเห็นแก่ตัว  โดยเฉพาะระบบอาณาปาณสติภาวนา  ทั้งหมดนั้น จะเป็นการกระทำทั้งหมดเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัว  เราจึงสนใจกันให้ดีและปฏิบัติกันให้สำเร็จ  นี่เรียกว่าความมุ่งหมายที่มาที่นี่  เพื่อศึกษาให้รู้และปฏิบัติให้ได้ในการที่จะกำจัดเสียซึ่งความเห็นแก่ตัว   

                   อาณาปาณสติภาวนาทำให้รู้จักทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเรื่องนี้  รู้จักความเห็นแก่ตัว  รู้จักมูลเหตุแห่งความเห็นแก่ตัว  รู้จักดับความเห็นแก่ตัว  รู้จักวิถีทางที่จะดับความเห็นแก่ตัว  นี่คือความมุ่งหมายของอาณาปาณสติ  รู้จักร่างกายนี้ว่าเป็นอย่างไร  รู้จักจิตใจว่าเป็นอย่างไร  รู้จักเวทนาซึ่งหลอกลวงให้คนเราเห็นแก่ตัวนั้นเป็นอย่างไร  รู้จักความจริงของทุกสิ่งๆ ที่มันไม่ใช่ตัว  ไม่ควรจะเห็นว่าเป็นตัวแล้วก็ปล่อยวางไอ้ความเป็นตัว  คล้ายๆ กับว่าเพิกถอนอำนาจของสัญชาตญาณที่จะเห็นแก่ตัวนั้นเสียได้ก็เลยไม่มีกิเลสแล้วก็หมดปัญหาและดับทุกข์ได้แล้วก็หมดปัญหาจนเรารู้ว่าหมดปัญหา  นี่คือระบบอาณาปาณสติ  ท่านก็จะพอมองเห็นได้ว่ามันจำเป็นรู้และก็จะต้องปฏิบัติให้ได้เพื่อพบชีวิตใหม่ที่ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของความเห็นแก่ตัว  ขอให้สนใจเป็นพิเศษ  

                   ที่นี้ก็มีเรื่องที่สอง  แต่ก็ยังเป็นเรื่องแรก ก็ต้องขอเรียกว่าเรื่องแรกที่สองต่อไป  ในการที่ท่านจะปฏิบัติอาณาปาณสติให้มีผลดีนั้น  จะต้องเกี่ยวกับระบบการเป็นอยู่ด้วย  Most  Of  Living  ด้วย  จำเป็นหจะต้องขอร้องให้เปลี่ยนแปลงว่า  เรื่องนี้ก็ควรจะรู้ว่า  Most  Of  Living  ชนิดไหนมันช่วยส่งเสริมการศึกษาธรรมะและปฏิบัติอาณาปณสติ  ขอพูดเป็นเรื่องแรกที่สอง  ออกจะแปลกอยู่ว่าเป็นเรื่องแรกที่สอง เพราะว่าเรื่องแรกมีทั้งสองเรื่อง    ในภาษาบาลีเรียกว่าปัจจัย  ภาษาไทยก็เรียกตามบาลีว่าปัจจัย  ปัจจัยมันมีความหมายเหมือนกับคำว่า Condition  แต่ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น  ขอให้เข้าใจเอาเองว่าปัจจัยเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องมี  ชีวิตจึงจะมีอยู่ได้ เหมือนกับว่าเป็น Factor ของชีวิตที่จะช่วยให้ชีวิตมีอยู่ได้  อันนี้เรียกว่า  ปัจจัย  เราจะต้องมีปัจจัยที่เป็นรากฐานการเป็นอยู่ของชีวิตนี้ที่ถูกต้องด้วย  เราจึงจะศึกษาธรรมะและปฏิบัติสมาธิได้สำเร็จ  จึงขอพูดเรื่องปัจจัย 

    เรามักจะรู้จักกันเพียงปัจจัยฝ่ายวัตถุหรือฝ่ายร่างกาย และก็ถือกันว่าปัจจัยมีเพียง ๔  คือ  อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ที่อยู่อาศัย  ยาแก้โรค  รู้จักกันแต่ปัจจัย ๔ อยากจะพูดว่ายังโง่มาก  ควรจะรู้ปัจจัยที่ ๕   คือปัจจัยแก่จิตใจ  ไอ้ปัจจัยสี่แก่ร่างกายเท่านั้น  ที่นี้ปัจจัยแก่จิตใจโดยเฉพาะนั้นก็คือสิ่งประเล้าประโลมใจให้พอใจอยู่  จะเรียก  Entertainment  หรือจะเรียกอะไรก็ไม่ทราบหรอก  ไม่ค่อยจะรู้  คุณไปคิดเอาเองว่า  สิ่งประเล้าประโลมใจ ให้เป็นที่พอใจอยู่อย่างถูกต้องนี้ก็จำเป็น  ถ้าไม่มีก็คือตายเหมือนกัน  คือตายทางจิตใจ   ถ้าขาดปัจจัยทางร่างกาย ร่างกายก็ตาย  ถ้าขาดปัจจัยทางจิตใจ จิตใจก็ตาย  ขอให้รู้จักปัจจัยทั้งทางฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตใจ  ฝ่ายร่างกายมี ๔  ฝ่ายจิตใจมี ๑  รวมกันเป็น ๕   จึงอยากจะพูดถึงปัจจัยที่ ๕ นี้ที่สำคัญที่สุด  ที่จะต้องมีให้เพียงพอสำหรับหล่อเลี้ยงจิตใจ  เราก็จะได้พูดกันต่อไป  ขอให้รู้จักว่าปัจจัยโดยร่างกายมี ๔  โดยจิตใจมี ๑ อย่างนี้ก่อน   

    เราจะมองกันไปตั้งแต่ต้นคือว่าปัจจัยทางวัตถุข้อที่ ๑  คือ อาหาร  จะต้องกินอาหารให้เป็นอาหาร  อย่าให้เป็นเหยื่อ  อย่าให้เป็นกินเหยื่อ  รู้จักความแตกต่างอย่างยิ่งของอาหารกับเหยื่อ  อาหารนี้กินเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างถูกต้อง  ถ้ากินเหยื่อนั้นกินเพื่อให้อร่อยและเพื่อให้มันโง่ กินด้วยความโง่  เป็นเหยื่อใช้ตกเบ็ดสำหรับปลาโง่กิน  เราจะต้องกินอาหารอย่างอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายโดยแท้จริง  และก็แต่พอดีๆ  ถ้ากินเพื่ออร่อย  เพื่อสนุกสนานซึ่งโดยมากแพงนั่นอย่างนั้นเป็นกินเหยื่อ  อย่างนี้ขอให้เลิก  ขอให้กินเป็นอาหารที่ถูกต้อง  อย่ากินให้เป็นเหยื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างพักอยู่ที่นี่  

    ถ้าท่านกินอย่างเหยื่อ  ท่านจะหิวเรื่อยทั้งกลางวันกลางคืน  ต้องหนีไปกิน  ถ้ากินอย่างอาหารก็เป็นเวลาๆ ในกำหนดที่เพียงพอก็เลยไม่เสียอะไรมาก  ไม่มีอันตรายอะไร  นี่เรียกว่ากินอาหารอย่ากินเหยื่อ  ถ้ากินเหยื่อจะทำให้จิตใจเสียสมรรถภาพ   จิตใจพ่ายแพ้แก่เหยื่อ  จิตใจนี้ก็ไม่เหมาะที่จะศึกษาและปฏิบัติธรรมะ 

    ทีนี้ปัจจัยที่ ๒  ก็คือเครื่องนุ่งห่ม  เครื่องนุ่งห่ม  ขอให้มีเครื่องนุ่งห่มตรงตามความหมายของเครื่องนุ่งห่ม  คือ เพื่อความสะดวกสบาย  เพื่อสุขภาพอนามัย  ป้องกันสิ่งรบกวนต่างๆ ให้พอสะดวกสบายและเป็นเครื่องแสดงวัฒนธรรม     ขอให้มีการนุ่งห่มอย่างสะดวกสบายและแสดงวัฒนธรรม  ขออย่าได้มีการนุ่งห่มที่เป็นการทำลายวัฒนธรรมของตนเองหรือของผู้อื่น  มันจะทำให้เกิดความไม่ถูกต้องอยู่ภายใน  และเป็นข้าศึกแก่ความสงบของจิตใจ  ขอให้นึกไว้ด้วย  ปัจจัยที่ ๒ คือเครื่องนุ่งห่ม 

    ทีนี้ก็มาถึงปัจจัยที่ ๓  ที่อยู่อาศัย  ควรจะพอดีพอเหมาะ  ต้องไม่มากเกินไป  ทีนี้คนในโลกต้องการที่อยู่อาศัยที่เกินพอดี  แพงมาก  ยุ่งยากมาก  ลำบากมาก  เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัวมากขึ้นไปอีก  การเป็นอยู่อาศัยที่เหมาะสมแก่การศึกษาธรรมะนั้น  คล้ายๆกับธรรมชาติที่สุด  จนเรียกได้ว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติ  เราต้องพูดว่าพวกฝรั่งไม่ค่อยจะเกลอ  อยู่กะดินหรือว่าเป็นอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ  มักจะอยู่ที่ที่สวยงาม  หรูหรา  แพง  พักก็ต้องพักโฮเตล  จะพักกลางดิน  ศาลาวัดไม่ได้  ทีนี้ก็ขอให้ปรับปรุงเสียใหม่ว่า  ที่อยู่นี่ขอให้มันเป็นที่อยู่ที่ใกล้ธรรมชาติ  ใกล้ชิดธรรมชาติ  ง่าย ๆ ๆ  ๆ  ที่จะเข้าใจธรรมชาติ  รู้จักธรรมชาติ  และปฏิบัติให้กลมกลืนกับธรรมชาติ  ขอให้ยินดี  พอใจที่จะเป็นอยู่อย่างง่าย  อย่าง  Friend Living  กัน  ธรรมชาติจะมีประโยชน์  ส่งเสริมการศึกษาและการปฏิบัติ

    พุทธบริษัทเรามีหลักเกี่ยวกับเรื่องนี้  โดยถือพระพุทธเจ้าเป็นหลัก  พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน  ตรัสรู้นั่งกลางดิน  สอนนั่งกลางดิน  อยู่กลางดิน  ที่พักที่อยู่ก็กลางดิน  แล้วก็ตายคือนิพพานก็กลางดิน  นี่เรียกว่าใกล้ชิดธรรมชาติถึงขนาดนี้  เราถือหลักนี้เป็นเกณฑ์  จึงพอใจชีวิต  ง่ายตามธรรมชาติและเชื่อว่าพระศาสดาของทุกๆศาสนานั้นมีชีวิต  Friend Living  อย่างนี้ทั้งนั้น  ไม่เฉพาะแต่พุทธบริษัท  แต่จะไม่มากเหมือนพระพุทธเจ้าว่า  ประสูติกลางดิน  ตรัสรู้กลางดิน  สอนกลางดิน  อยู่กลางดิน  ตายกลางดิน  เอาล่ะเป็นอันว่าเราจะมีการอยู่  ที่อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ  สะดวกกับธรรมชาติที่จะบอกอะไรให้เรา  ถ้าเราฉลาดที่จะฟัง  เราจะได้ยินธรรมชาติมากกว่าที่จะอยู่ไกลธรรมชาติ  ขอสรุปความว่าอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติก็แล้วกัน

    สรุปความว่าปัจจัยทางฝ่ายวัตถุมี ๔ อย่าง  ซึ่งเราจะต้องทำให้ถูกต้อง  ที่เรียกว่า พอดี ๆ  Right  คือ  พอดี  ในภาษาไทยมันกำกวมที่ว่าพอดีนั้นมีความหมายอย่างนี้  คำว่า  ดี  เฉยๆ มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง  เราไม่ชอบกินดี  อยู่ดี   กินดี  อยู่ดี ซึ่งมันไม่มีขอบเขต  เราชอบกินอยู่แต่พอดีคือถูกต้อง  นี่ปัจจัยทั้ง ๔ มีหลักว่าให้พอดีให้ถูกต้อง  อย่าให้ดีๆๆ จนเป็นเกิน เป็นเฟ้อ  เป็น Dangerous นั้นไม่ถูกหรอก  ขอให้รับรู้ปัจจัย ๔ ทางฝ่ายวัตถุว่าอย่างนี้

    ทีนี้เราก็มาถึงปัจจัยที่ ๕ ปัจจัยที่ ๕นี้ไม่ค่อยจะมีใครพูด  ขอให้จำไว้ว่า ปัจจัยที่ ๕ สำคัญกว่าปัจจัยทั้ง ๔   คือสิ่งประเล้าประโลมใจให้พอใจ ให้ไม่กระวนกระวาย ไม่ให้หิวจนเหมือนจะขาดใจตาย ให้ประเล้าประโลมใจ  ให้มีจิตใจพอใจยินดี นี่ก็สำคัญเป็นปัจจัยฝ่ายด้านจิตใจ ขอเรียกว่าสิ่งประเล้าประโลมใจ ในภาษาไทย  ภาษาอังกฤษจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่  เหรือเราจะเรียกว่า Entertainment หรืออะไรก็ตามใจเถิด  แต่ต้องถูกต้องแก่จิตใจ  เรียกว่าเป็นอาหารแก่จิตใจ  เช่นเดียวกับปัจจัยทั้ง ๔  เป็นอาหารแก่ฝ่ายกาย แต่นี่เป็นอาหารฝ่ายจิตใจ  แต่โดยมากเท่าที่เราเห็นๆกันอยู่  ปัจจัยที่ ๕ ของคนในโลกนั้นกลายเป็นเรื่องกามารมณ์   ขอให้แยกออกไป  กามารมณ์อย่างหนึ่งเป็นสิ่งประเล้าประโลมใจ  แต่ทีนี้เราจะให้มีธรรมะๆๆ  เป็นสิ่งประเล้าประโลมใจคือความถูกต้อง  รู้สึกว่าถูกต้องและพอใจๆๆ โดยไม่เกี่ยวกับกามารมณ์  เป็นสิ่งประเล้าประโลมใจ  ตึกหลังนี้เราเรียกว่าโรงมหรสพทางวิญญาณที่จะให้  Entertainment  ทางจิตใจ  มีแต่รูปภาพสอนธรรมะทั้งนั้น  ก็ได้ความเพลิดเพลิน  ได้ความพอใจ  นี่ก็เป็นปัจจัยที่ ๕ ด้วยเหมือนกัน  ขอให้รู้จักปัจจัยที่ ๕ ในลักษณะอย่างนี้ก่อน  ไม่ใช่กามารมณ์แต่เป็นธรรมะ  แต่โดยมากเอากามารมณ์เป็นปัจจัยที่ ๕ แล้วมันยุ่งไม่มีที่สิ้นสุด

    เอาล่ะเป็นอันว่า ขอร้องให้ปรับปรุง Mode of living ที่เหมาะสมแก่การศึกษาและการปฏิบัติสมาธิ  แล้วมันก็จะสะดวกและง่ายสำหรับท่านทั้งหลายที่จะศึกษาและปฏิบัติสมาธิได้สำเร็จแล้วท่านก็จะได้พบชีวิตใหม่ซึ่งอยู่เหนืออิทธิพลของ Positive Lesson และ Negative Lesson (นาทีที่ 01.32.55) ที่จะต้องค่อยพูดกันต่อไปให้ละเอียด  และก็ชีวิตใหม่เหนือปัญหาเหนือความทุกข์เกิดจากการ.... (ฟังไม่ชัดนาทีที่ 01.33.06)  มีความเป็นอิสระ  มีเสรีภาพ  มีความหลุดพ้น เพราะเหตุว่าเรามีธรรมะ  ปฏิบัติธรรมะ  โดยมีปัจจัยครบทั้ง ๕ เป็นเครื่องสนับสนุน  ขอให้จำไว้ว่าทำให้ถูกต้องทั้ง ๕ ปัจจัย   ขอยุติการบรรยายวันนี้เพียงเท่านี้

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service