แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในโอกาสแรกที่สุดนี้ ควรจะทำความเข้าใจกันเป็นข้อแรกว่า เราจะได้รับประโยชน์อะไรจากการมาศึกษาธรรมและปฏิบัติสมาธิให้ถูกต้องให้ตรงกับความจริงเสียก่อน อยากจะพูดเป็นคำสั้นที่สุดกันในข้อแรกว่าเราจะได้ชีวิตใหม่ รู้วิถีทางใหม่ของชีวิตชนิดที่ไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นี่คือความมุ่งหมายของชีวิตใหม่ เราควรจะมองเห็นความจริงข้อหนึ่งว่า มนุษย์เรามีปัญหา หรือมีความทุกข์หรือมีภาระต่างจิตใจเพิ่มมากขึ้นๆ ตามความเจริญทางวัตถุของโลก นี่เป็นสิ่งที่ต้องมองกันเป็นข้อแรก
เราควรจะมองดูลงไปจนเห็นความจริงข้อนี้ว่า คนเราวิวัฒนาการขึ้นมาจากความเป็นคนป่า แล้วก็เป็นมนุษย์ที่เจริญขึ้นมาตามลำดับๆๆๆ ปัญหาเกี่ยวกับความเป็นอยู่มันเพิ่มมากขึ้นๆ ตามส่วนของความเจริญโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความทุกข์มากขึ้น เพราะความเห็นแก่ตัวเพิ่มมากขึ้นๆ ตามความเจริญ ทุกคนพอจะมองเห็นได้ว่า ความเจริญๆๆ ขึ้นมานี้ ปัญหาทางวัตถุหรือทางร่างกายอาจจะลดลงไป ๆ แต่ปัญหาทางจิตใจ ทางวิญญาณนี่กลับเพิ่มขึ้นๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม อย่างที่มันสมสัดสมส่วนกัน คือปัญหาทางวัตถุลดลงไปแต่ปัญหาทางจิตใจมันเพิ่มขึ้น แล้วขอให้พิจารณาดูให้ดีว่า ปัญหาชนิดไหนมันทรมาณจิตใจของคนเรามากกว่า ปัญหาทางวัตถุหรือปัญหาทางจิตใจ ปัญหาทางจิตใจเพิ่มขึ้นๆ เพราะเหตุอย่างเดียวคือ ความเจริญทางวัตถุนี้ทำให้ความเห็นแก่ตัว เพิ่มขึ้นๆ ขอให้สนใจเป็นพิเศษ เรื่องสิ่งที่เรียกว่า ความเห็นแก่ตัว ๆ ใจความสำคัญมันอยู่ที่ตรงนี้ อยู่ที่ความเห็นแก่ตัวมันเพิ่มขึ้น ตามที่ความเจริญทางวัตถุมันเพิ่มขึ้น ปัญหาทางด้านจิตใจมันก็เพิ่มขึ้น ขอให้เรามองไปที่ความเห็นแก่ตัว
แต่ก่อนๆมาหรือว่าการศึกษาธรรมดาทั่วๆไปนั้นมองเห็นครึ่งเดียว คือมองเห็นว่า ความเห็นแก่ตัวนี้ เป็นโทษเป็นภัยทางศีลธรรม ทางสังคมเป็นปัญหาทางสังคม และเกลียดกลัวกันในแง่ของปัญหาทางสังคม ที่นี้อยากจะให้มองเห็นสักหน่อยว่า ความเห็นแก่ตัวนั้นมันไม่ใช่ปัญหาเฉพาะทางสังคมมันเป็นปัญหาส่วนบุคคล บุคคลแต่ละคนก็มีอยู่เป็นอันมาก มันทำให้คนไม่มีการพักผ่อน มีความวิปริตทางจิต เป็นโรคประสาท เป็นบ้า ฆ่าตัวตาย อยู่คนเดียวก็ได้ด้วยความเห็นแก่ตัว ขอให้มองเห็นโทษของความเห็นแก่ตัวในแง่นี้ให้มากกว่าที่เป็นปัญหาทางสังคม
ขอย้ำอีกทีว่าอย่ามองเห็นโทษของความเห็นแก่ตัวแต่ในทางอาชญากรรมของสังคม มันมีอันตรายลึกกว่านั้น คือมันเป็นการทำร้ายตัวเอง ความเห็นแก่ตัวมันทำร้ายตัวเองๆ ไม่มีความสงบสุขหรอก เห็นแก่ตัวอยู่คนเดียวก็เป็นทุกข์อยู่คนเดียว นอนหลับยาก เป็นโรคประสาท เป็นบ้า ฆ่าตัวตายเพราะความเห็นแก่ตัว ถ้าเรากำจัดโทษที่เป็นส่วนบุคคลนี้ได้ ก็จะกำจัดโทษร้ายที่เป็นส่วนสังคมได้ที่หลังเป็นแน่นอน
ความเห็นแก่ตัวทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่ากิเลสทุกชนิด ทุกระดับเป็นอย่างนี้ทุกยุคทุกสมัย เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจคำว่ากิเลส กิเลสนี่ อย่างถูกต้องและครบถ้วน เรารู้จักกิเลสกันน้อยเกินไป ภาษาก็หายากที่จะใช้ให้ตรงกับคำว่า กิเลสเต็มความหมาย คำว่ากิเลส ๆ นี่ข้อให้เป็นที่เข้าใจ ตัวมันแปลว่า Defilement แต่ว่าความหมายมันมากกว่านั้นมาก ขอให้รู้จักกิเลสทุกชนิดเสียก่อนและก็รู้ว่ามันมาจากความเห็นแก่ตัว ความหมายของคำว่า Defilement นั้นไม่หมดไม่พอสำหรับคำว่ากิเลสในภาษาบาลี กิเลสๆ มันมีความหมายเป็นสามทิศทาง กิเลสประเภทแรก มันเกี่ยวกับความรัก ความพอใจ ความจะได้ ความจะเอา เรียกว่า โลภะ ราคะ พวกนี้มันจะดึงเข้ามาหาตัว ๆ ด้วยความเห็นแก่ตัว
กิเลสประเภทที่ ๒ มันมาจากความไม่พอใจ มันก็เป็นความโกรธ เป็นความเกลียด เป็นการทำร้าย พวกนี้มันมีอาการผลักออกไปๆ เป็นพวกที่สอง คือ ทำร้าย ทำอันตราย ทำเสียให้ตาย
ประเภทที่ ๓ มันเป็นความไม่รู้ มันไม่รู้ ๆ มันก็ทำอะไรไม่ถูก มันก็เกิดความสงสัย เกิดความหวังอันไม่มีที่สิ้นสุด มันก็เลยวิ่งอยู่รอบๆ รอบๆ ไอ้สี่งที่มันสงสัยนั่น เพราะฉะนั้นขอให้สนใจว่าอาการมีอยู่สามส่วน อันหนึ่งดึงเข้ามาหาตัว รับเพราะอยากจะได้ อันหนึ่งผลักออกไปก็จะทำลายให้ตายเสียเพราะมันไม่ชอบไม่พอใจ อันหนึ่งมันโง่ มันสงสัยไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็เลยวิ่งอยู่รอบๆ รอบๆ ที่นี้อาการทั้งสามอย่างนี้เป็นปัญหา เป็นความทุกข์ มันมีความหมายมากกว่าคำว่า Defilement มากนัก ขอให้พยายามสนใจให้ดีในกิเลสสามอย่างนี้
ถ้าท่านเป็นคริสเตียนท่านก็คงจะรู้จักความหมายของคำว่า Satan .... (ไม่แน่ใจนาทีที่19.29) ท่านรู้ความหมายของคำว่า Satan เท่าไหร่ขอให้เอาตัวเลขคูณ คูณเข้าไป ๒ เท่า ๓ เท่า ต่อความหมายของคำว่า Satan แล้วท่านจะรู้ความหมายของคำว่า กิเลส ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว อย่างยิ่ง ถ้าไม่รู้จักก็ไม่มีอะไร ไม่มีความหมายอะไร เหมือนกับ Satan ถ้าเราไม่รู้จัก แต่ถ้าเรารู้จักยิ่งเกลียดยิ่งกลัว ยิ่งอยากจะทำลายเสีย ขอให้รู้จักความหมายของกิเลส นี้ว่าเป็นสิ่งที่น่าเกลียด น่ากลัว น่ารังเกียจที่สุดเลย แล้วเราจะได้กำจัดกิเลสนี้ โดยตัดต้นเหตุของมันคือความเห็นแก่ตัว
มีความลับอีกข้อหนึ่งที่ควรจะรู้ ควรจะเข้าใจว่าชีวิตทั้งหมด ๆ มันมีสัญชาตญาณ Instinct ที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า มีตัวเราที่ต้องรักษา ต้องถนอม ต้องทำให้รอด สัญชาตญาณนี้มันต้องการจะไว้ตัว คือ ตัวตนเอาไว้ มันมีหน้าที่เพียงเท่านี้ คือหน้าที่ของสัญชาตญาณ แต่พอเราเกิดมาแล้ว เราก็พบแต่ของเอร็ดอร่อย สวยงาม สนุกสนาน สัญชาตญาณก็เลยกลายไปเป็นกิเลสชนิดที่เป็นความเห็นแก่ตัว ๆ กลายเป็นกิเลส สัญชาตญาณกลายเป็นกิเลส อีกทางหนึ่งถ้ามันไม่โง่อย่างนั้น มันกลายไปเป็นโพธิที่มันเป็นความรู้สึกที่ว่ามีตัว ถ้ามันเดินทางมาผิดมันมาเป็นกิเลสและมันก็เป็นความเห็นแก่ตัว ถ้ามันทำมาถูก เดินมาถูกมันก็เป็นโพธิ ไม่เห็นแก่ตัว แม้มันจะรักษาความมีตัวไว้ มันก็ไม่เห็นแก่ตัว ส่วนกิเลสนี่มันมีความเห็นแก่ตัว มันกลายเป็นความเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นเราจะมีปัญหาว่า ทำอย่างไรให้สัญชาตญาณจะไปเป็นโพธิ แทนที่จะไปเป็นกิเลส เพราะฉะนั้นเราจึงต้องศึกษาธรรม หรือปฏิบัติทางจิตใจ ขอให้มีความแน่ใจว่าเราทำได้ เป็นสิ่งที่ทำได้ในการที่จะควบคุมสัญชาตญาณให้เดินไปทางฝ่ายโพธิๆ นาทีที่ 23.36 ได้ยินไม่ชัด ....... แล้วก็ความเห็นแก่ตัวก็จะไม่เกิด แต่เดี๋ยวนี้เราทำไม่ได้เรามาในทางฝ่ายเห็นแก่ตัว คือฝ่ายกิเลส เราจงดูให้เห็นกิเลส ด้วยจิตใจเราที่เที่ยงตรง ไม่เห็นแก่ตัว เที่ยงตรงที่ดู มันเป็นกิเลส เราอยู่ด้วยกิเลส เรามีปัญหาด้วยกิเลสนานาชนิด ซึ่งมาจากความเห็นแก่ตัว ขอให้สนใจกันในข้อนี้ว่ามันมีอยู่อย่างนี้และมันเป็นสิ่งที่แก้ไขได้
เดี๋ยวนี้เราพอจะเห็นได้แล้วว่า ถ้าเราจะควบคุมกิเลสเราต้องควบคุมความเห็นแก่ตัว เราจะควบคุมความเห็นแก่ตัวเราจะต้องควบคุมสัญชาตญาณ มันต้องมีความรู้ไปถึงเรื่องสัญชาตญาณที่ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวแล้วก็ทำให้เกิดกิเลสแยกเป็นลำดับๆว่าควบคุมกิเลสและการควบคุมความเห็นแก่ตัว ควบคุมความเห็นแก่ตัวด้วยการควบคุมสัญชาตญาณซึ่งเราจะได้ศึกษากันต่อไป
ความรู้สึกตามสัญชาตญาณหรือ Instinct นั่นมันเป็นเพียงกลางๆ ยังไม่ใช่กิเลส ยังไม่ใช่โพธิ แต่มันเป็นความรู้สึกที่รุนแรงมากสำหรับสิ่งที่มีชีวิต เพราะฉะนั้นต้องมีความรู้สึกว่ามีตัวตน มีตัวฉัน และก็ต่อสู้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดแห่งตัวฉัน จะต้องหาอาหาร จะต้องต่อสู้ จะต้องหลบภัย จะต้องสืบพันธุ์ ทุกอย่างทุกประการเพื่อมีอยู่แห่งตัวฉันนี่มันเป็นสัญชาตญาณ แต่แล้วมันก็งอกงามไปเป็นกิเลส เด็กๆ ในครรภ์ ยังไม่มีความคิดนึก สัญชาตญาณยังไม่แสดงออก พอคลอดออกมาเป็นเด็กเล็ก ๆ เป็นเด็กเล็กๆ แล้วมันก็กินอาหาร มีของเล่น มีของชอบใจ มีการประคบประหงมให้สบาย เด็กๆรู้สึกสบาย รู้สึกพอใจ รู้สึกอยาก ได้สบาย อย่างนั้นมันมากขึ้นๆ แล้วก็อยากอย่างนั้น อยากอย่างนี้เพิ่มมากขึ้นตามที่เด็กมันโตขึ้น ในความอยากนั่นแหละเป็นตัวการทำให้เกิดความรู้สึกว่าฉันผู้อยาก ตามธรรมดามีแต่ความรู้สึกอยากตามธรรมชาติ แต่ถ้าความอยากนี่มันโง่มากเข้าๆ มันก็สร้างความคิดว่า ฉัน ฉัน ฉัน ฉันเป็นผู้อยาก ถ้ามันมีฉัน ฉัน ฉัน อย่างนี้แล้ว ความเป็นตัวฉันมันก็เกิด ความเห็นแก่ตัวมันจึงเกิด เพราะเด็กๆ เขารู้จักอยากจนเกิดความรู้สึกว่ามีตัวฉันผู้อยาก แล้วก็เป็นอย่างนี้ทุกคนล่ะ ขอให้สังเกตดู
สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมมันทำให้เด็กทารกเกิดความรู้สึกเป็นตัวตนๆ ออกแรงขึ้นๆ จาก Self เฉยๆ ไปเป็น Selfish ยกตัวอย่างว่า เด็กๆเขาถูกอะไรมากระทบ เจ็บ ไอ้คนที่เลี้ยงเด็กมันก็ช่วยตี ที่เมืองฝรั่งจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้นะ นี่พูดถึงที่เมืองไทย ถ้าอะไรมาทำให้เด็กเจ็บ จะเป็นคนหรือไม่ใช่คนก็ได้ไอ้คนเลี้ยงเด็กมันก็ช่วยตี ทำให้เด็กคิดว่านั่นเป็นฝ่ายนั้น นี่เป็นฝ่ายนี้ ก็เกิดความคิดว่าฉัน เห็นแก่ตัวฉันเพิ่มขึ้นๆ หรือแม้แต่เด็กเองเขาไปโดนเก้าอี้เจ็บเขาก็จะเตะเก้าอี้ๆ เด็กนั้นรู้จักเตะเก้าอี้ เพราะโกรธเห็นเป็นฝ่ายศัตรู ที่นี้มันก็สร้างความรู้สึกที่เป็น Selfish Selfish นี่ มากขึ้นๆ จนกว่าจะโตขึ้นเป็นหนุ่ม เป็นสาว นี่มันมากมายขึ้น ยิ่งๆขึ้นไป สิ่งแวดล้อมที่เข้ามาทำให้เด็กรักหรือโกรธ หรือเกลียดหรือกลัวนี้เพิ่มความรู้สึกที่เป็น Selfish มากขึ้นๆ จึงขอสรุปความว่า สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาตินั้นทำให้เกิดความรู้สึกเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นๆ จนเต็มที่
ในชีวิตนี้มันมีมากเรื่องๆ ที่เป็นไปในลักษณะอย่างนี้ นั่นคือทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเกินกว่าที่จะมี Sense ตามธรรมดา จนกลายเป็น Selfish อันนี้มีแล้วก็เป็นเหตุให้เกิดกิเลส คือความเห็นแก่ตัวนี่มีแล้วก็เป็นเหตุให้เกิดกิเลส ครั้นเกิดกิเลสแล้วก็ทำไปตามอำนาจของกิเลส ในสามทิศทางอย่างที่ว่าไว้มาแล้ว มันก็เกิดการเบียดเบียนตัวเองให้เป็นทุกข์ ให้ลำบาก ให้เดือดร้อน ทนทรมานมากเข้าก็เป็นโรคทางจิต เป็นประสาท เป็นบ้า ฆ่าตัวตาย ถ้ามันออกไปถึงผู้อื่นมันก็ทำให้เอาเปรียบผู้อื่น ทำอันตรายผู้อื่น แม้กระทั่งเบียดเบียนผู้อื่นจนกระทั่งมันอยากจะครองโลก มันอยากจะเป็นเจ้าโลก ปัญหาเรื่องอยากจะเป็นเจ้าโลกนี่ ดูดีๆกำลังอาละวาดมากในเดี๋ยวนี้ ในบัดนี้ สรุปความว่าไอ้ตัวการ ศูนย์กลางมูลเหตุที่เป็นตัวการนั้นน่ะมันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัวที่มาจากสัญชาตญาณ มาเป็นเห็นแก่ตัว มาเป็นกิเลส และเมื่อทุกคนเป็นอย่างนี้ แล้วคิดดูว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไรถ้าทุกคนมันเป็นอย่างนี้ โลกนี้จะเป็นอย่างไร ก็กลายเป็นโลกของกิเลส เป็นโลกที่เต็มไปด้วยกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ เต็มไปในโลก แต่มันก็เป็นความหมายถึงความเห็นแก่ตัวอยู่นั่นล่ะ ราคะมันก็เพราะรัก อยากจะได้มาเป็นของตัว โทสะก็เพราะไม่ได้ตามที่ต้องการมาเป็นของตัว โมหะก็เพราะโง่ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่มันต้องทำเพื่อความเห็นแก่ตัว เรากำลังมีโลก โลกแห่งความเห็นแก่ตัว หรือจริงๆมีโลกแห่งกิเลสเราเป็นสมาชิกในจำนวนคนเหล่านั้นเรียกว่าชีวิตธรรมดา ชีวิตธรรมดา เราควรจะมีชีวิตใหม่ที่ไม่มีปัญหานั้น เราจึงมาศึกษาธรรมะและปฏิบัติสมาธิ
ข้อที่เราเป็นสมาชิกของสมาคมผู้เห็นแก่ตัว เราเป็นสมาชิกของสมาคมโลกผู้เห็นแก่ตัว มีปัญหาเกิดขึ้นอย่างนี้ บางทีเราทำอย่างเห็นแก่ตัวต่อบิดา มารดาของเรา บางทีเราก็กระทำอย่างเห็นแก่ตัวต่อภรรยาหรือสามีของเราเอง และบางทีเราก็ทำอย่างเห็นแก่ตัวแก่ลูก แก่หลาน แก่เด็กๆ ของเราเองนี่ ที่เป็นภายในเป็นมาก เป็นอย่างนี้ ภายนอกก็ไปเห็นแก่ตัวแก่เพื่อนบ้าน บางทีมันก็เห็นแก่ตัวแก่ทุกๆอย่างที่มาเกี่ยวข้องกับเรา เราจะเอาข้างเห็นแก่ตัวไว้ก่อน บางทีเราก็รักชาติแต่ปาก ใจแท้จริงเราก็รักตัว นี่เราเป็นสมาชิกของสมาคมผู้เห็นแก่ตัวทั้งโลกอย่างนี้ ขอให้ดูกันในแง่นี้ด้วย จริงหรือไม่จริง
เด็กๆทะเลาะกันก็เพราะความเห็นแก่ตัว คนหนุ่มสาวทะเลาะกันก็เพราะความเห็นแก่ตัว คนสูงอายุแล้ว พ่อบ้านแม่เรือนทะเลาะกันก็เพราะเห็นแก่ตัว เพื่อนบ้านทะเลาะกันก็เพราะเห็นแก่ตัว รัฐบาลกับรัฐสภาทะเลาะกันก็เพราะความเห็นแก่ตัว รัฐบาลทะเลาะกับประชาชนเพราะเห็นแก่ตัว ประชาชนทะเลาะกับประชาชนก็เพราะเห็นแก่ตัว คุณไปดูเถอะมันไม่มีอะไรนอกจากความเห็นแก่ตัวทำให้ทะเลาะกัน ต่อสู้กัน ทำร้ายกัน โลกกำลังตกอยู่ในอาการอย่างนี้
ในที่สุดเราจะเห็นได้ว่า โลกได้แบ่งออกเป็นสองซีก คอมมิวนิสต์ก็เห็นแก่ตัวแบบหนึ่ง แคบปิตอลลิสต์ก็เห็นแก่ตัวแบบหนึ่ง คือทุกๆชนิดระบบการเมืองก็มีหลักของความเห็นแก่ตัวตามแบบของตนของตน ที่นี้พอที่จะพูดได้ว่าความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลก เขาก็ต้องต่อสู้กันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขาก็แสวงหาอาวุธที่จะทำลายฝ่ายตรงกันข้าม อย่างที่เรารู้ว่าเดี๋ยวนี้เขามีอาวุธนิวเคลียร์ มากมายพอที่จะทำให้โลกวินาศไปสัก ๒ – ๓ หนก็ได้ เพราะความเห็นแก่ตัวก็เตรียมพร้อม ถ้าความเห็นแก่ตัวนี้บังคับไม่ได้ ถ้าเขาใช้อาวุธกันเมื่อไรก็จะวินาศกันทั้งโลก โลกกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว ตั้งแต่จุดเล็กที่สุด Particle อันเล็กที่สุดไปจนถึงอันใหญ่หมดทั้งโลกมันก็คืออยู่ภายใต้ความเห็นแก่ตัว นี่ในทางเรื่องโลกๆ เราคนเดียวก็ล้วนแต่เป็นไปตามความเห็นแก่ตัวของเรา มีกิเลส มีความทุกข์ มี นาทีที่ 53.12 ได้ยินไม่ชัด... of Life เหลือประมาณเพราะความเห็นแก่ตัว หมดความเห็นแก่ตัว หมด นาทีที่ 53.19 … of Life ภายในส่วนบุคคล และก็หมดอันตรายของโลกๆ ทั้งหมดถ้าหมดความเห็นแก่ตัว
เอาล่ะ! เป็นอันว่าถ้าเราเกลียด กลัว ซาตาน Satan อันแท้จริง เราจงมองไปดูที่ตัวจริงของ Satan คือความเห็นแก่ตัว ทำให้คนแต่ละคนๆนั้นเป็นทุกข์ๆ อยู่ในกองทุกข์ วนเวียนอยู่ในกองทุกข์ แล้วก็ทำให้สังคมหรือทั้งโลกวนเวียนอยู่ในกองทุกข์แล้วมันจะมีอะไรเหลือ เราจะต้องเอาสิ่งนี้ออกไปได้ ออกไปกำจัดออกไปให้ได้โดยการประพฤติ กระทำที่ถูกต้อง หลักธรรมะเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น หัวใจหลักพุทธศาสนาเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัวเท่านั้น ไม่มีๆ อะไรมากกว่านั้น แต่คำอธิบายมันพูดได้มาก แต่ใจความมันเหลือเพียงว่า กำจัดไอ้ความเห็นแก่ตัว เรามาศึกษาให้รู้ข้อนี้แล้วเราก็ปฏิบัติเพื่อให้จิตนี้หมดความเห็นแก่ตัว โดยเฉพาะระบบอาณาปาณสติภาวนา ทั้งหมดนั้น จะเป็นการกระทำทั้งหมดเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัว เราจึงสนใจกันให้ดีและปฏิบัติกันให้สำเร็จ นี่เรียกว่าความมุ่งหมายที่มาที่นี่ เพื่อศึกษาให้รู้และปฏิบัติให้ได้ในการที่จะกำจัดเสียซึ่งความเห็นแก่ตัว
อาณาปาณสติภาวนาทำให้รู้จักทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ รู้จักความเห็นแก่ตัว รู้จักมูลเหตุแห่งความเห็นแก่ตัว รู้จักดับความเห็นแก่ตัว รู้จักวิถีทางที่จะดับความเห็นแก่ตัว นี่คือความมุ่งหมายของอาณาปาณสติ รู้จักร่างกายนี้ว่าเป็นอย่างไร รู้จักจิตใจว่าเป็นอย่างไร รู้จักเวทนาซึ่งหลอกลวงให้คนเราเห็นแก่ตัวนั้นเป็นอย่างไร รู้จักความจริงของทุกสิ่งๆ ที่มันไม่ใช่ตัว ไม่ควรจะเห็นว่าเป็นตัวแล้วก็ปล่อยวางไอ้ความเป็นตัว คล้ายๆ กับว่าเพิกถอนอำนาจของสัญชาตญาณที่จะเห็นแก่ตัวนั้นเสียได้ก็เลยไม่มีกิเลสแล้วก็หมดปัญหาและดับทุกข์ได้แล้วก็หมดปัญหาจนเรารู้ว่าหมดปัญหา นี่คือระบบอาณาปาณสติ ท่านก็จะพอมองเห็นได้ว่ามันจำเป็นรู้และก็จะต้องปฏิบัติให้ได้เพื่อพบชีวิตใหม่ที่ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของความเห็นแก่ตัว ขอให้สนใจเป็นพิเศษ
ที่นี้ก็มีเรื่องที่สอง แต่ก็ยังเป็นเรื่องแรก ก็ต้องขอเรียกว่าเรื่องแรกที่สองต่อไป ในการที่ท่านจะปฏิบัติอาณาปาณสติให้มีผลดีนั้น จะต้องเกี่ยวกับระบบการเป็นอยู่ด้วย Most Of Living ด้วย จำเป็นหจะต้องขอร้องให้เปลี่ยนแปลงว่า เรื่องนี้ก็ควรจะรู้ว่า Most Of Living ชนิดไหนมันช่วยส่งเสริมการศึกษาธรรมะและปฏิบัติอาณาปณสติ ขอพูดเป็นเรื่องแรกที่สอง ออกจะแปลกอยู่ว่าเป็นเรื่องแรกที่สอง เพราะว่าเรื่องแรกมีทั้งสองเรื่อง ในภาษาบาลีเรียกว่าปัจจัย ภาษาไทยก็เรียกตามบาลีว่าปัจจัย ปัจจัยมันมีความหมายเหมือนกับคำว่า Condition แต่ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ขอให้เข้าใจเอาเองว่าปัจจัยเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องมี ชีวิตจึงจะมีอยู่ได้ เหมือนกับว่าเป็น Factor ของชีวิตที่จะช่วยให้ชีวิตมีอยู่ได้ อันนี้เรียกว่า ปัจจัย เราจะต้องมีปัจจัยที่เป็นรากฐานการเป็นอยู่ของชีวิตนี้ที่ถูกต้องด้วย เราจึงจะศึกษาธรรมะและปฏิบัติสมาธิได้สำเร็จ จึงขอพูดเรื่องปัจจัย
เรามักจะรู้จักกันเพียงปัจจัยฝ่ายวัตถุหรือฝ่ายร่างกาย และก็ถือกันว่าปัจจัยมีเพียง ๔ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยาแก้โรค รู้จักกันแต่ปัจจัย ๔ อยากจะพูดว่ายังโง่มาก ควรจะรู้ปัจจัยที่ ๕ คือปัจจัยแก่จิตใจ ไอ้ปัจจัยสี่แก่ร่างกายเท่านั้น ที่นี้ปัจจัยแก่จิตใจโดยเฉพาะนั้นก็คือสิ่งประเล้าประโลมใจให้พอใจอยู่ จะเรียก Entertainment หรือจะเรียกอะไรก็ไม่ทราบหรอก ไม่ค่อยจะรู้ คุณไปคิดเอาเองว่า สิ่งประเล้าประโลมใจ ให้เป็นที่พอใจอยู่อย่างถูกต้องนี้ก็จำเป็น ถ้าไม่มีก็คือตายเหมือนกัน คือตายทางจิตใจ ถ้าขาดปัจจัยทางร่างกาย ร่างกายก็ตาย ถ้าขาดปัจจัยทางจิตใจ จิตใจก็ตาย ขอให้รู้จักปัจจัยทั้งทางฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตใจ ฝ่ายร่างกายมี ๔ ฝ่ายจิตใจมี ๑ รวมกันเป็น ๕ จึงอยากจะพูดถึงปัจจัยที่ ๕ นี้ที่สำคัญที่สุด ที่จะต้องมีให้เพียงพอสำหรับหล่อเลี้ยงจิตใจ เราก็จะได้พูดกันต่อไป ขอให้รู้จักว่าปัจจัยโดยร่างกายมี ๔ โดยจิตใจมี ๑ อย่างนี้ก่อน
เราจะมองกันไปตั้งแต่ต้นคือว่าปัจจัยทางวัตถุข้อที่ ๑ คือ อาหาร จะต้องกินอาหารให้เป็นอาหาร อย่าให้เป็นเหยื่อ อย่าให้เป็นกินเหยื่อ รู้จักความแตกต่างอย่างยิ่งของอาหารกับเหยื่อ อาหารนี้กินเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างถูกต้อง ถ้ากินเหยื่อนั้นกินเพื่อให้อร่อยและเพื่อให้มันโง่ กินด้วยความโง่ เป็นเหยื่อใช้ตกเบ็ดสำหรับปลาโง่กิน เราจะต้องกินอาหารอย่างอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายโดยแท้จริง และก็แต่พอดีๆ ถ้ากินเพื่ออร่อย เพื่อสนุกสนานซึ่งโดยมากแพงนั่นอย่างนั้นเป็นกินเหยื่อ อย่างนี้ขอให้เลิก ขอให้กินเป็นอาหารที่ถูกต้อง อย่ากินให้เป็นเหยื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างพักอยู่ที่นี่
ถ้าท่านกินอย่างเหยื่อ ท่านจะหิวเรื่อยทั้งกลางวันกลางคืน ต้องหนีไปกิน ถ้ากินอย่างอาหารก็เป็นเวลาๆ ในกำหนดที่เพียงพอก็เลยไม่เสียอะไรมาก ไม่มีอันตรายอะไร นี่เรียกว่ากินอาหารอย่ากินเหยื่อ ถ้ากินเหยื่อจะทำให้จิตใจเสียสมรรถภาพ จิตใจพ่ายแพ้แก่เหยื่อ จิตใจนี้ก็ไม่เหมาะที่จะศึกษาและปฏิบัติธรรมะ
ทีนี้ปัจจัยที่ ๒ ก็คือเครื่องนุ่งห่ม เครื่องนุ่งห่ม ขอให้มีเครื่องนุ่งห่มตรงตามความหมายของเครื่องนุ่งห่ม คือ เพื่อความสะดวกสบาย เพื่อสุขภาพอนามัย ป้องกันสิ่งรบกวนต่างๆ ให้พอสะดวกสบายและเป็นเครื่องแสดงวัฒนธรรม ขอให้มีการนุ่งห่มอย่างสะดวกสบายและแสดงวัฒนธรรม ขออย่าได้มีการนุ่งห่มที่เป็นการทำลายวัฒนธรรมของตนเองหรือของผู้อื่น มันจะทำให้เกิดความไม่ถูกต้องอยู่ภายใน และเป็นข้าศึกแก่ความสงบของจิตใจ ขอให้นึกไว้ด้วย ปัจจัยที่ ๒ คือเครื่องนุ่งห่ม
ทีนี้ก็มาถึงปัจจัยที่ ๓ ที่อยู่อาศัย ควรจะพอดีพอเหมาะ ต้องไม่มากเกินไป ทีนี้คนในโลกต้องการที่อยู่อาศัยที่เกินพอดี แพงมาก ยุ่งยากมาก ลำบากมาก เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัวมากขึ้นไปอีก การเป็นอยู่อาศัยที่เหมาะสมแก่การศึกษาธรรมะนั้น คล้ายๆกับธรรมชาติที่สุด จนเรียกได้ว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติ เราต้องพูดว่าพวกฝรั่งไม่ค่อยจะเกลอ อยู่กะดินหรือว่าเป็นอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ มักจะอยู่ที่ที่สวยงาม หรูหรา แพง พักก็ต้องพักโฮเตล จะพักกลางดิน ศาลาวัดไม่ได้ ทีนี้ก็ขอให้ปรับปรุงเสียใหม่ว่า ที่อยู่นี่ขอให้มันเป็นที่อยู่ที่ใกล้ธรรมชาติ ใกล้ชิดธรรมชาติ ง่าย ๆ ๆ ๆ ที่จะเข้าใจธรรมชาติ รู้จักธรรมชาติ และปฏิบัติให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ขอให้ยินดี พอใจที่จะเป็นอยู่อย่างง่าย อย่าง Friend Living กัน ธรรมชาติจะมีประโยชน์ ส่งเสริมการศึกษาและการปฏิบัติ
พุทธบริษัทเรามีหลักเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยถือพระพุทธเจ้าเป็นหลัก พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้นั่งกลางดิน สอนนั่งกลางดิน อยู่กลางดิน ที่พักที่อยู่ก็กลางดิน แล้วก็ตายคือนิพพานก็กลางดิน นี่เรียกว่าใกล้ชิดธรรมชาติถึงขนาดนี้ เราถือหลักนี้เป็นเกณฑ์ จึงพอใจชีวิต ง่ายตามธรรมชาติและเชื่อว่าพระศาสดาของทุกๆศาสนานั้นมีชีวิต Friend Living อย่างนี้ทั้งนั้น ไม่เฉพาะแต่พุทธบริษัท แต่จะไม่มากเหมือนพระพุทธเจ้าว่า ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน เอาล่ะเป็นอันว่าเราจะมีการอยู่ ที่อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ สะดวกกับธรรมชาติที่จะบอกอะไรให้เรา ถ้าเราฉลาดที่จะฟัง เราจะได้ยินธรรมชาติมากกว่าที่จะอยู่ไกลธรรมชาติ ขอสรุปความว่าอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติก็แล้วกัน
สรุปความว่าปัจจัยทางฝ่ายวัตถุมี ๔ อย่าง ซึ่งเราจะต้องทำให้ถูกต้อง ที่เรียกว่า พอดี ๆ Right คือ พอดี ในภาษาไทยมันกำกวมที่ว่าพอดีนั้นมีความหมายอย่างนี้ คำว่า ดี เฉยๆ มันก็มีอีกความหมายหนึ่ง เราไม่ชอบกินดี อยู่ดี กินดี อยู่ดี ซึ่งมันไม่มีขอบเขต เราชอบกินอยู่แต่พอดีคือถูกต้อง นี่ปัจจัยทั้ง ๔ มีหลักว่าให้พอดีให้ถูกต้อง อย่าให้ดีๆๆ จนเป็นเกิน เป็นเฟ้อ เป็น Dangerous นั้นไม่ถูกหรอก ขอให้รับรู้ปัจจัย ๔ ทางฝ่ายวัตถุว่าอย่างนี้
ทีนี้เราก็มาถึงปัจจัยที่ ๕ ปัจจัยที่ ๕นี้ไม่ค่อยจะมีใครพูด ขอให้จำไว้ว่า ปัจจัยที่ ๕ สำคัญกว่าปัจจัยทั้ง ๔ คือสิ่งประเล้าประโลมใจให้พอใจ ให้ไม่กระวนกระวาย ไม่ให้หิวจนเหมือนจะขาดใจตาย ให้ประเล้าประโลมใจ ให้มีจิตใจพอใจยินดี นี่ก็สำคัญเป็นปัจจัยฝ่ายด้านจิตใจ ขอเรียกว่าสิ่งประเล้าประโลมใจ ในภาษาไทย ภาษาอังกฤษจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ เหรือเราจะเรียกว่า Entertainment หรืออะไรก็ตามใจเถิด แต่ต้องถูกต้องแก่จิตใจ เรียกว่าเป็นอาหารแก่จิตใจ เช่นเดียวกับปัจจัยทั้ง ๔ เป็นอาหารแก่ฝ่ายกาย แต่นี่เป็นอาหารฝ่ายจิตใจ แต่โดยมากเท่าที่เราเห็นๆกันอยู่ ปัจจัยที่ ๕ ของคนในโลกนั้นกลายเป็นเรื่องกามารมณ์ ขอให้แยกออกไป กามารมณ์อย่างหนึ่งเป็นสิ่งประเล้าประโลมใจ แต่ทีนี้เราจะให้มีธรรมะๆๆ เป็นสิ่งประเล้าประโลมใจคือความถูกต้อง รู้สึกว่าถูกต้องและพอใจๆๆ โดยไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ เป็นสิ่งประเล้าประโลมใจ ตึกหลังนี้เราเรียกว่าโรงมหรสพทางวิญญาณที่จะให้ Entertainment ทางจิตใจ มีแต่รูปภาพสอนธรรมะทั้งนั้น ก็ได้ความเพลิดเพลิน ได้ความพอใจ นี่ก็เป็นปัจจัยที่ ๕ ด้วยเหมือนกัน ขอให้รู้จักปัจจัยที่ ๕ ในลักษณะอย่างนี้ก่อน ไม่ใช่กามารมณ์แต่เป็นธรรมะ แต่โดยมากเอากามารมณ์เป็นปัจจัยที่ ๕ แล้วมันยุ่งไม่มีที่สิ้นสุด
เอาล่ะเป็นอันว่า ขอร้องให้ปรับปรุง Mode of living ที่เหมาะสมแก่การศึกษาและการปฏิบัติสมาธิ แล้วมันก็จะสะดวกและง่ายสำหรับท่านทั้งหลายที่จะศึกษาและปฏิบัติสมาธิได้สำเร็จแล้วท่านก็จะได้พบชีวิตใหม่ซึ่งอยู่เหนืออิทธิพลของ Positive Lesson และ Negative Lesson (นาทีที่ 01.32.55) ที่จะต้องค่อยพูดกันต่อไปให้ละเอียด และก็ชีวิตใหม่เหนือปัญหาเหนือความทุกข์เกิดจากการ.... (ฟังไม่ชัดนาทีที่ 01.33.06) มีความเป็นอิสระ มีเสรีภาพ มีความหลุดพ้น เพราะเหตุว่าเรามีธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ โดยมีปัจจัยครบทั้ง ๕ เป็นเครื่องสนับสนุน ขอให้จำไว้ว่าทำให้ถูกต้องทั้ง ๕ ปัจจัย ขอยุติการบรรยายวันนี้เพียงเท่านี้