แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา เป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยความสมควรแก่เวลา วันนี้เป็นวันที่เรียกกันว่าวันออกพรรษา แล้วก็มีความหมายอีกอย่างหนึ่งเป็นวันปวารณาของพระสงฆ์ พรุ่งนี้ก็เป็นวันเทโวโรหนะ สม ซึ่งสมมติกันว่าเป็นวันที่เสด็จลงจากเทวโลก ก็มีการแห่แหนพระพุทธรูปกัน นี่เป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์เกี่ยวกับการออกพรรษาซึ่งจะได้พิจารณาเป็นลำดับไป
วันออกพรรษาวันนี้ใจความสำคัญก็คือเป็นวันปวารณา ก็จะพูดถึงคำว่าปวารณาก่อน แล้วจึงค่อยพูดถึงคำว่าออกพรรษา คำว่าปวารณามีความหมายตามตัวหนังสือว่าเป็นวันห้ามการคัดค้านเมื่อมีผู้ว่ากล่าวตักเตือน การว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันหรือการหยั่งกันและกันให้ออกจากโทษจากความผิด นี่เป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนา ดังที่ได้กล่าวเป็นหัวข้อข้างต้นว่า เอวัง สังวัฑฒา หิ ตัสสะ ภะคะวะโต ปะริสา บริษัทของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ถึงความเจริญรุ่งเรืองมาด้วยอาการอย่างนี้ ยะทิทัง อัญญะมัญญะวะจะเนนะ กล่าวคือการว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกัน อัญญะวุฎฐาปะเนนาติ การหยั่งกันและกันให้ออกจากความผิด ท่านทั้งหลายลองฟังให้ดี สังเกตดูให้ดีให้เข้าใจความหมายอันนี้ จะเป็นการรู้หลักในพระพุทธศาสนามากขึ้น แล้วยังจะนำเอาไปใช้เป็นประโยชน์ทั่วไปๆ ทุกหนทุกแห่งด้วยก็ยังได้เพราะความหมายของคำว่าปวารณานั่นเอง ตัวหนังสือแปลว่าห้าม ฟังดูก็เกือบจะไม่เข้าใจ ห้ามอะไร ก็ห้ามปากที่จะคัดค้าน เถียงเสียงแข็ง ดื้อดึงในเมื่อมีผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือน ข้อนี้เป็นธรรมดาของปุถุชนผู้มีกิเลส ไม่ชอบให้ใครว่ากล่าวตักเตือน ถ้าใครมาว่ากล่าวตักเตือนก็แสดงอาการโกรธแค้น ต่อต้านขัดขืน บางทีก็ถึงกับด่าเอาทำร้ายเอา ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีระเบียบให้ปวารณา ห้ามปากตัวเองไม่ให้กล่าวคำคัดค้านในเมื่อมีผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือน ซึ่งภิกษุสงฆ์ได้กระทำแล้วในวันนี้ ตามธรรมดาก็ทำปาติโมกข์สวดสิกขาบทเดือนละ ๒ ครั้ง เรียกว่าทำปาติโมกข์ แต่พอมาถึงเดือนนี้เดือนสุดท้ายนี้เปลี่ยนเป็นปวารณาเสียครั้งหนึ่ง คือให้ทุกๆรูปกล่าวคำปวารณาให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ คนที่ไม่เข้าใจก็คิดว่าเป็นเรื่องทำให้ลำบากเปล่าๆ แต่ที่จริงมีความหมายมากอย่างยิ่งหรืออย่างสูงสุดในการดำรงอยู่ได้แห่งสังฆบริษัทในพระพุทธศาสนา ดังหัวข้อบาลีที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นว่าบริษัทของพระผู้มีพระภาคเจ้ารุ่งเรืองอยู่ได้ก็เพราะการที่ว่ากล่าวซึ่งกันและกันได้ ยังกันและกันให้ออกจากความผิดได้ ขอให้ท่านทั้งหลายคิดดูว่าในพระศาสนานี้ไม่ได้มีการลงโทษ จะไปเฆี่ยนตีหรือว่าไปลงโทษ แต่ก็อยู่มาได้โดยที่ไม่มีการลงโทษชนิดนั้น เพราะอาศัยหลักการอันนี้เองคือให้ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้โดยไม่ต้องลงโทษ มันเป็นระเบียบของผู้ดีจึงไม่ต้องลงโทษ ถ้าเป็นเรื่องของผู้เลวมันก็ต้องลงโทษกันตามอย่างที่เขาลงโทษตามกฎหมาย เฆี่ยนตีจองจำอะไรกันไปตามเรื่อง แต่ในพระศาสนานี้ไม่มีการลงโทษชนิดนั้น เพราะบัญญัติขึ้นหรือตราขึ้นมาสำหรับคนผู้ดี ไม่ใช่ผู้ไพร่ผู้เลว กระด้าง ดื้อหัวแข็ง มันสำหรับคนผู้ดี จึงเพียงแต่ว่าถ้าว่ากล่าวตักเตือนกันได้แล้วก็ มันก็พอ พระพุทธศาสนายืนยาวมาได้ตั้งสองพันกว่าปีโดยทางวินัย นี่ก็เพราะเหตุที่ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ ฉะนั้นขอให้สำนึกในความหมายอันสำคัญข้อนี้ไว้ว่าพระพุทธเจ้าท่านตราระเบียบหรือวางระเบียบไว้สำหรับผู้ดี ไม่ใช่สำหรับผู้ไพร่ เพื่อให้ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ แล้วก็เมื่อถูกว่ากล่าวตักเตือนแล้วก็ทำคืน เลิกไม่ทำอีกต่อไป ที่ปรากฏในคำปวารณาว่าให้ว่ากล่าวตักเตือนข้าพเจ้าด้วยความเมตตากรุณา เมื่อข้าพเจ้าเห็นอยู่ว่าเป็นความผิดข้าพเจ้าก็จักทำคืน นี่ระเบียบอย่างนี้ไม่ต้องใช้ความรุนแรง ไม่ต้องลงโทษ แต่ใช้ความเป็นคนซื่อตรง คนจริง คนสุภาพของภิกษุแต่ละรูปๆนั่นแหละเป็นเครื่องดำรงไว้ซึ่งวิธีการอันนี้ แล้วก็อยู่กันมาได้เป็นพัน สองพันกว่าปี นี่ขอให้สนใจว่าระเบียบนี้มันก็แปลกประหลาดอยู่ที่ว่าไม่มีการลงโทษ อาศัยเพียงการว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ มันก็สำหรับผู้ที่มีกิเลสเบาบาง ไม่ใช่กิเลสหนาอย่างปุถุชนที่ดื้อด้าน คอยแต่จะเถียงคอยแต่จะทะเลาะวิวาท นั่นมัน มันไม่ใช่เรื่องในพระพุทธศาสนา ขอให้ถือเป็นหลักว่าเราอยู่ร่วมกันในโลกนี้ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ เมื่อเขาตักเตือนแล้ว เห็นว่ามันถูกแล้ว เป็นความจริงแล้วก็พยายามกลับตัวคืน ไม่ทำอีกต่อไป วิธีนี้ขอให้ได้ใช้กันทั่วไปทั่วบ้านทั่วเมืองหรือทั่วโลกเถิดมันก็จะไม่ต้องถึงกับลงโทษกันอย่างรุนแรง ให้ไปใช้ในครอบครัว ให้มีการเปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ สามีภรรยาตักเตือนกันได้ บิดามารดา ลูกหลานก็ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ทุกคนว่ากล่าวตักเตือนกันได้ตามสมควรโดยฐานะและโดยสุภาพ เพราะมีคำปรากฏชัดอยู่ว่าอาศัยความเมตตากรุณาแล้วจึงตักเตือน ถ้ามันมีการตักเตือนกันได้อย่างนี้มันก็เป็นครอบครัวที่สงบ หรือว่าถ้าเป็นหมู่บ้านหลายครอบครัวตักเตือนกันได้ก็เป็นหมู่บ้านที่สงบ จะเป็นบ้านเมือง เป็นเมือง เป็นนคร เป็นประเทศ ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้มันก็สงบ ไม่ต้องถึงกับทะเลาะวิวาท ด่าทอกัน กล่าวร้ายกัน แล้วก็ทำร้ายกันในที่สุดเพราะความที่ไม่ยอม ขอให้สัง สังเกตดูเถอะความไม่ยอมตัวเดียวเท่านั้นแหละทำให้เกิดเรื่อง บ้านแตกสาแหรกขาด บ้านเมืองวินาศ โลกวินาศก็ได้ อาศัยความไม่ยอม การทำปวารณานี่เป็นการสร้างสรรค์ให้เกิดความยอม ความยินยอมด้วยความสมัครใจ ผู้ทำผิดยอมให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือน ผู้ว่ากล่าวตักเตือนก็ทำไปด้วยความหวังดีไม่ใช่ความหวังร้าย แต่หวังแต่ประโยชน์เกื้อกูลของทั้งหมด จึงทำไป นี่มันก็เป็นการเรียบร้อยราบรื่น ขอให้ถือหลักเกณฑ์อันนี้ไว้ อย่าได้มีการขึ้นเสียงด่าทอกันเลย มีเสียงที่ไม่น่าฟัง แม่ชีแก่ๆก็ด่าทอทะเลาะกับชาวบ้านหรือชีกันเอง อย่างนี้มันเป็นเสียงที่ไม่น่าฟังอย่างยิ่งแหละ ขอให้สนใจกันไว้ด้วย หรือพระเณรทะเลาะวิวาทกัน กระทั่งด่าทอกันยิ่งใช้ไม่ได้ใหญ่ ยิ่งเลวกว่าแม่ชีเสียอีก มันจึงเป็นสิ่งที่จะต้องสำรวมระวังไม่ให้เกิดมีขึ้นมาในหมู่สงฆ์หรือสังฆบริษัทของพระผู้มีพระภาคเจ้า เจริญรุ่งเรืองมาด้วยการว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันแต่ไม่ใช่ทะเลาะวิวาทกัน แล้วข้อที่ว่ายังกันและกันให้ออกจากความผิดนั่นก็เป็นการกระทำอย่างสุภาพ ไม่ใช่ว่าจะต้องจับตัวไปใส่โซ่ตรวนหรือไปลงโทษอย่างที่กฎหมายเขาลงโทษ พยายามทำความเข้าใจกันจนผู้ที่ทำผิดนั้นยอมรับผิด แล้วก็ว่ายอมทำตามความผิด
ทีนี้ก็มีข้อที่จะต้องพูดให้รู้กันไว้ข้อหนึ่งว่าภิกษุทำความผิดในลักษณะนี้ เช่น ว่ากล่าวตักเตือนไม่ได้ เป็นต้นนี้ มันมีความหมายเป็นล่วงเกินพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ล่วงเกินพระพุทธเจ้าคือไม่เชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ล่วงเกินพระธรรมคือไม่ทำตามระเบียบวินัยที่ได้มีไว้เป็นหลัก ล่วงเกินพระสงฆ์ก็คือไม่ทำตามที่พระสงฆ์เขาทำกันมาจนเป็นอริยวังสปฏิปทา ขนบธรรมเนียมประเพณีที่พระสงฆ์ทำกันมา มันก็เลยกลายเป็นล่วงเกินพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือถ้าจะกล่าวให้ชัดกว่านี้ก็ต้องกล่าวว่าเมื่อได้ทำความผิดอะไรออกไป ไม่ถูกธรรมะไม่ถูกวินัยอย่างใดก็ตามมันเป็นการล่วงเกินพระพุทธ ล่วงเกินพระธรรม ล่วงเกินพระสงฆ์ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธประสงค์ แล้วก็ไม่ถือธรรมะก็ล่วงเกินธรรมะ ไม่เคารพสิทธิของสงฆ์ที่เขาประพฤติปฏิบัติกันอยู่ทั่วไปจนเป็นของประจำคณะสงฆ์ มันก็ล่วงเกิน ถ้าทำผิดอย่างนี้มันก็เป็นการล่วงเกินพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้ง ๓ อย่างทีเดียวไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ฉะนั้นขอให้ขอโทษพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยจริงใจโดยบริสุทธิ์ใจ อย่างที่ทำวัตรเย็นทุกวันก็จะมีคำขมาโทษพระรัตนตรัยว่า กาเยนะ วาจายะ วะเจตะสา วา พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยายัง พุทโธ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะ ยันตัง กาลันตะเร สังวะริตุง วะพุทเธ นี่แล้วก็ว่าพระธรรมแล้วก็ว่าพระสงฆ์ นี้อย่าเห็นเป็นเรื่องว่าเพ้อๆไปอย่างนกแก้วนกขุนทอง เป็นความมุ่งหมายที่ว่าให้คนนั้นสำนึกตัวว่าได้ทำผิดอะไรลงไปเถอะ แม้แต่ไปล่วงเกินใครคนใดคนหนึ่งอย่างไม่ถูกต้องตามมรรยาทอย่างนี้แล้วก็เรียกว่าล่วงเกินพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันเป็นเรื่องที่ต้องคิดดูสักหน่อย เช่นว่าไปฆ่าสัตว์ ทำปาณาติบาตก็ข้อหนึ่ง มันก็ล่วงเกินพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปลักทรัพย์เขาสักนิดหนึ่งก็เป็นการล่วงเกินพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ประพฤติผิดกาเม มุสา สุราอะไรก็ตาม เมื่อทำ ทำความผิดความชั่วแล้วถือว่าเป็นการล่วงเกินพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ใช่ละเมิดล่วงเกินแต่บุคคลซึ่งเป็นคู่คดีและคู่เรื่องราวเหล่านั้น เพราะว่าถ้าเขายังเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่มันทำอย่างนั้นไม่ได้ เมื่อทำอย่างนั้นได้ก็เท่ากับเหยียบย่ำละเมิดล่วงเกินพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ขอให้เรามองเห็นแล้วก็เข้าใจหลักเกณฑ์อันนี้ตามที่มีอยู่อย่างไรวางไว้เป็นหลักเกณฑ์ ฉะนั้นถ้าว่าได้ทำผิดอะไรลงไปอย่างใดก็ตามมันเป็นการล่วงเกินพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็จะต้องขมาโทษต่อพระรัตนตรัย เพราะฉะนั้นการที่ว่าอยู่ทุกวันๆมันก็ดีแล้ว ดีอยู่แล้ว กลัวแต่ว่าจะว่าอย่างไม่ยอมรับรู้ในความหมาย ว่าอย่างนกแก้วนกขุนทอง ว่าตามขนบธรรมเนียมประเพณี ว่า กาเยนะ วาจา ทุกวัน แต่ก็มันยังมีการกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่น่าดูไม่งดงามอยู่ด้วยทุกวันเหมือนกัน นี่ปวารณาให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้มันก็จะห้ามกันการกระทำเหล่านี้ การกระทำซึ่งทำผิดไปแล้วเป็นการล่วงเกินพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจความหมายของคำว่าปวารณา แล้วก็นำไปใช้ประพฤติปฏิบัติเป็นประจำทุกหนทุกแห่ง แล้วตลอดเวลาไม่เฉพาะในพรรษาหรือนอกพรรษา คือตลอดเวลาจะมีการประพฤติกระทำที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของการปวารณา ให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ มันจะทำให้มีจิตใจเกลี้ยงเกลาจากความผิด ความชั่วความร้าย ขุ่นข้องอยู่ในจิตใจ นี่คือมันทำให้จิตใจมันเกลี้ยงเกลาไป จะเก็บไว้ทำไม เก็บไว้ให้มันโง่หรือเก็บไว้ให้มันเป็นทุกข์เดือดร้อน ไอ้ความผิด ความไม่ถูกต้องหรือความชั่ว ความละเมิดล่วงเกินเหล่านี้เก็บไว้ทำไม เมื่อไปล่วงเกินเข้าแล้วจะเก็บไว้ทำไมก็ต้องไปขอโทษ ก็ต้องให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ แล้วก็ทำ ทำให้มันหมดไป ทำให้มันสะอาดอย่างเดิม จะเก็บไว้ทำไม ไอ้คำที่เขามาด่าว่าเรา เก็บไว้สำหรับโกรธ สำหรับอาฆาตพยาบาทให้นานๆนี่มันเป็นเรื่องของคนโง่ ถ้าคนฉลาดมันก็รีบสลัดออกไปๆ สลัดออกไปไม่เก็บเอาไว้ เขาด่าจริงหรือเขาด่าเท็จก็เหมือนกันแหละไม่เก็บเอาไว้ เขาด่าจริงหรือเป็นความจริงควรแก่เขาด่า เราก็รับรู้แต่ก็ไม่เก็บความโกรธอันนี้เอาไว้ เขาด่าไม่จริงเขาแกล้งด่าก็ไม่เก็บเอาไว้ก็สลัดออกไป เรียกว่าสิ่งที่เป็นโทษ เป็นความหม่นหมองเศร้าหมองอย่างนี้แล้วจะไม่เก็บเอาไว้ นี่จึงจะเป็นผู้ที่มีหิริโอตัปปะเหมาะสมที่จะเป็นพุทธบริษัทในพระพุทธศาสนา จงว่าจงเป็นผู้ที่ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ และจงเป็นผู้อาศัยความหวังดีและว่ากล่าวตักเตือนผู้อื่นเพื่อความถูกต้องของพระศาสนา ตามพระพุทธประสงค์ที่ตรัสไว้ว่าบริษัทนี้ตั้งอยู่ได้เจริญอยู่ได้เพราะการว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ จะถือเป็นเรื่องไม่รู้ไม่ชี้มันก็ไม่ถูกเหมือนกัน มันก็จะเกิดความไม่ถูกต้อง ความไม่งดงามเพิ่มขึ้นในหมู่ในคณะ คณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนานี่ ฉะนั้นจึงมีการให้ว่ากล่าวตักเตือน แล้วก็ว่ากล่าวตักเตือนอย่างสุภาพ จนถึงกับว่ามีการทำเปิด การเปิดโอกาสให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือน นี่จงดูความลึกซึ้งหลักแหลมของพระพุทธเจ้าผู้ประดิษฐานพระศาสนาให้ยืนยาวได้เป็นพันๆปีโดยไม่ต้องมีการลงโทษประทุษร้ายที่หยาบคาย แต่อาศัยความเป็นสุภาพบุรุษ มีสมบัติผู้ดี ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ ไม่มีการโกรธเคืองขัดแค้นดื้อดึงอะไร ผู้ว่ากล่าวก็ทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อสนองพระพุทธประสงค์ เพื่อว่าบริษัทนี้จะตั้งอยู่ได้เพราะการว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ จงถือเอาเป็นหน้าที่ทั้ง ๒ ฝ่ายว่าจะว่ากล่าวตักเตือน แต่ถ้าถูกว่ากล่าวตักเตือนก็จะไม่ปริปากคัดค้าน จะพิจารณาแล้วก็ทำคืนเสีย ทำให้ถูกต้องเสียถ้าเห็นว่าได้ทำผิดอย่างนั้นจริง ถ้าไม่เห็นว่าผิดมันก็ยังไม่ถือโทษ เพราะเขาทำด้วยความหวังดี แต่มันไม่มีไอ้เรื่องที่ว่ามันไม่มีอะไรผิดแล้วก็จะมาว่ากล่าวตักเตือนกันนั้นมันไม่มี เพราะว่ามันมีทางที่จะให้เกิดไอ้ความรู้สึกว่าควรตักเตือนถึง ๓ ทาง สุเตนะ วา ได้ฟังมา เขาบอกเล่าก็ได้ ทิฎเฐนะ วา ได้เห็นด้วยตน ตาตนเองก็ได้ ปะริสังกายะ วา สังเกตเห็นความน่าที่จะทำผิด สังเกตเห็นด้วยเหตุผลอะไรก็ตามว่าไอ้ ไอ้คนนี้น่าจะทำผิดก็ได้ นี่เพราะฉะนั้นจึงมันไม่มีทางที่จะผิดไปได้ เพราะอย่างน้อยก็มันมีวี่แววและอาการที่แสดงว่าผู้นี้อาจจะทำผิด ส่วนที่เห็นโดยประจักษ์ด้วยตาก็ดี ได้ฟังมาด้วยหูก็ดีนั้นมันแน่นอนแล้ว ดังนั้นการว่ากล่าวตักเตือนกันและกันก็จงอาศัยไอ้ที่ตั้ง ๓ ประการนี้ว่าได้เห็น ได้ยินก็ดี ได้ฟังก็ดี ได้สังเกตเห็นว่าไม่น่าไว้ใจก็ดี ก็เป็นเหตุผลที่จะทำให้ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ ฉะนั้นขอให้เข้าใจความหมายของการปวารณาว่ากล่าวตักเตือนกันและกัน แล้วก็ขอให้นำเอาไปใช้ตลอดเวลาหรือทุกหนทุกแห่งให้มันเกิดอาการอย่างนี้ขึ้นมา โลกนี้ก็จะเต็มไปด้วยผู้มีหิริและโอตัปปะ คือผู้ละอายแก่ความชั่ว เกลียดกลัวความชั่วมากขึ้นๆ เป็นผู้สำรวมระวังอย่างดี ไม่ให้ใครได้ช่องได้โอกาสที่จะตำหนิติเตียนหรือว่ากล่าว นี่ขอให้ดูเถิดว่ามันเป็นเรื่องชั้นหัวใจของธรรมมะของพระศาสนา หัวใจของพระศาสนาอย่างน้อยก็ในข้อที่ว่าพระศาสนาอยู่มาได้เป็นพันปี สองพันปีกว่า สองพันกว่าปี โดยไม่ต้องมีการประทุษร้ายลงโทษโหดร้ายอะไร มีมาได้ด้วยการว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้เท่านั้นเอง ดังนั้นจึงมีการทำปวารณาซึ่งจะขาดเสียมิได้ ทุกคนต้องทำปวารณา โดยภิกษุสงฆ์ก็ต้องมีระเบียบที่ต้องทำอยู่แล้ว ถ้าอุบาสกอุบาสิกาไม่มีระเบียบที่วางไว้ชัดเจนอย่างนั้นก็ทำได้ ก็ทำได้ ถือโอกาสปรับความเข้าใจกัน ให้เป็นที่เข้าใจกันว่าให้ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ แม้คฤหัสถ์อยู่ที่บ้านที่เรือนก็ถือหลักที่ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้ก็จะเป็นการดี คือเป็นการทำให้โลกนี้มันสะอาดอยู่เสมออย่าให้มันเกิดความสกปรก อย่าให้เกิดคนสกปรกขึ้นมา ให้มันสะอาดอยู่เสมอ เพราะการว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันได้และยังกันและกันให้ออกจากโทษความผิดนั้นเสียได้ นี้เป็นเรื่องปวารณาและเป็นเรื่องทางฝ่ายพระวินัย ทางฝ่ายพระวินัย
ทีนี้ก็จะได้กล่าวถึงเรื่องที่ ๒ คือเรื่องออกพรรษา เรื่องออกพรรษานี่มันน่าหัว ออกพรรษามีความหมายสำหรับพระที่มันอยากจะสึกนะมีความหมายอีกอย่างหนึ่งเลย พระที่มันอยากจะสึกนี่คำว่าออกพรรษามีความหมายมาก กิเลสได้สิ่งที่มันต้องการ แต่ว่าออกพรรษานี่มันมีความหมายอย่างอื่นว่าเราจะทำหน้าที่ต่อไปภายหลังที่ถูกเก็บตัวอยู่ด้วยการบังคับของฤดูฝน ให้อยู่เก็บตัว เที่ยวไปไม่ได้ จารึกไปไม่ได้ พอออกพรรษาแล้วจารึกไปได้ก็ไปทำประโยชน์ต่อไป นี้ก็ยังมีความหมายในลักษณะที่ว่าเป็นเรื่องของวินัยอยู่ไม่น้อย ให้ดีกว่านั้นก็ว่าเป็นเรื่องออกจากความทุกข์ ออกจากความชั่ว ออกจากความเลวที่แล้วๆมา ชั้นที่ไม่ควรจะมีออกมาเสียให้ได้ แม้จะไม่หมดสิ้นมันก็ออกมาให้มากที่สุด จบพรรษานี่ก็ขอให้ได้มีการละในสิ่งที่ควรละๆ ละๆมาตามลำดับ ออกมาเสียได้จากสิ่งที่ไม่ควรจะมีเหล่านั้นแหละก็เรียกว่าเป็นการออกพรรษาที่ดีตรงตามความมุ่งหมายของธรรมะ ออกมาเสียจากความทุกข์ ออกมาเสียจากเหตุที่ให้เกิดความทุกข์คือ คือกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ถ้าว่าฝนนี่มันมีความหมายอุปมาทั้ง ๒ ทาง ทางดีก็มีทางชั่วก็มี ทางดีก็รู้กันอยู่แล้วว่าฝนฟ้านี้มันช่วยให้แผ่นดินชุ่มชื้น ทำนาทำไร่ได้ผลดี แต่ไอ้ทางหนึ่ง ฝนนี่เปรียบเหมือนกับกิเลส รั่วรด เปียกแฉะ เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด นี่อย่างนี้ก็เปรียบฝนไปอีกเรื่องของกิเลส จำเป็นที่จะต้องต่อสู้ป้องกันไม่ให้มันรั่วรดจิตใจ คำกล่าวของผู้ที่ได้ประพฤติปฏิบัติดีแล้วหรือถึงกับเป็นพระอรหันต์แล้วก็มีการกล่าวว่าหลังคาของฉันมุงดีแล้ว ฝนเอ๋ยจะตกก็ตกมาเถิด จะรั่วรดก็รั่วรดลงมาเถิด หลังคาของฉันมุงดีแล้ว นี่เป็นเรื่องของพระอรหันต์องค์หนึ่งท้าทายอย่างนี้ แต่ว่าคนทั่วไปก็รับเอามาถือเป็นหลักปฏิบัติได้ว่าจิตใจของฉันมีการคุ้มครองดีแล้ว ไม่มีทางที่กิเลสมันจะรั่วรดเอาง่ายๆ ไม่บันดาลโทสะ ไม่ลุอำนาจแก่โลภะ ไม่หลับตาไปตามอำนาจของโมหะ นี่เรียกว่าได้มุงดีแล้ว หลังคานี้มุงดีแล้ว ฝนเอ๋ยจะรั่วรดก็รั่วลงมาเถิด การออกพรรษานี่พอมันมีการออกกันในความหมายนี้ว่าสิ่งต่างๆได้ทำดีแล้ว ได้จัดแจงแล้ว ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว เป็นเครื่องวัดกันระยะหนึ่งทีเดียว ได้ต่อสู้กันมาตลอดพรรษา พอออกพรรษาก็ท้าทายได้ว่าฉันชนะแล้ว ฉันชนะแล้ว ออกมาจากความทุกข์หรือออกมาจากกิเลสได้ตามสมควร แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตามสมควร ตามสมควรแก่อัตภาพที่ว่ามันตนเป็นอะไร เป็นภิกษุสามเณร เป็นอุบาสกอุบาสิกา เป็นฆราวาส เป็นเด็กเล็ก เป็นคนหนุ่มสาว เป็นผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าอะไรก็ตาม สามารถที่จะเอาชนะไอ้กิเลสได้ตามควรแก่ฐานะของตนๆ นี่ออกพรรษาก็หา ขอให้มันท้าทายได้อย่างนี้ ท้าทายได้อย่างนี้ก็จะเป็นการดี ถ้าออกพรรษาได้อย่างนี้ทุกปีๆไม่กี่ปีก็จะหมด หมดกิเลสหรือหมดฝน หรือฝนรั่วรดไม่ได้อย่างที่พระอรหันต์องค์นั้นท้าทาย ออกพรรษาหนึ่งๆก็ขอให้เรียกว่าอัน อัน มันหลุดไปมากแหละ มันหลุดออกไปมากแหละ สิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในจิตใจได้หลุดออกไปมาก ไม่เก็บสิ่งเลวร้ายไว้ในจิตใจอย่างที่ว่ามาแล้วนะ ไอ้การที่ทำผิด ทำชั่ว ทำไม่ดี คนอื่นด่าว่าเป็นโกรธเป็นแค้นอย่างนี้จะเก็บไว้ทำไม ก็เรียกว่าลอยไปเสียกับการออกพรรษา ลอยน้ำไปเสีย ลอยไอ้ฝนไปเสีย ก็ถูกตามความหมายนี้แน่นอน จึงหวังว่าทุกคนนะจะได้มีการกระทำที่ถูกต้องตามความหมายของคำว่าเข้าพรรษา ออกพรรษา รวมทั้งปวารณา ปวารณา สรุปแล้วมันก็ดีขึ้นกว่าปีก่อน ไอ้คำว่าฝน ฝนนี่มันเป็นไอ้คำที่เอามาใช้เป็นเครื่องนับปี วัสสะ วัสสะ พรร พรรษา พรรษาคำนี้แปลว่าฝน บวชได้กี่พรรษาก็คือบวชได้กี่ฝนนั่นเอง คำว่าฝน ฝนนี่เอามาเป็นเครื่องนับ นับปีหนึ่งๆเพราะว่ามันมีฤดูฝนครั้งหนึ่งในปีหนึ่ง ใช้ฝนเป็นเครื่องวัดปี ฉะนั้นเราก็ทำให้มันดีขึ้นทุกปีๆ ฝนปีนี้ก็ชะล้างเอาไอ้ความไม่ดีไปเสียมาก เหลือน้อย แล้วก็ชะต่อไปทุกปีๆ นี่จะเรียกว่าเป็นผู้ที่ออกพรรษาหรือจำพรรษา หรือออกพรรษาได้ในความหมายที่น่าพอใจ ทีนี้ก็ถือโอกาสพูดไปเสียเลยว่าพรุ่งนี้เป็นวันเทโวโรหนะ รู้โดยสมมติกันแหละที่เท็จจริงอย่างไรก็อย่าไปวินิจฉัย อย่าไปสงสัยให้เสียเวลาเลย ถือเอาประโยชน์ตามความหมายนี้ให้ได้ก็แล้วกันว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลกหลังจากที่ได้โปรดพวกเทวดาเสร็จแล้ว เรียกว่าจำพรรษาตลอดพรรษาแสดงอภิธรรมในเทวโลก จะพูดกันอย่างนั้นก็ได้ จะพูดใน ในความหมายสั้นๆว่าโปรดเทวดาเสร็จแล้วจะกลับลงมาสู่เทวโลก มันเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าที่จะต้องโปรดสัตว์ทั้งหมดคือทั้งเทวดาและมนุษย์ ทั้งคนชั้นธรรมดาและคนชั้นสูง พระพุทธเจ้าท่านโปรดหมดในพวกที่จะโปรดได้ ไอ้ที่มันโง่จนโปรดไม่ได้นั้นก็เป็นธรรมดาแหละมันก็โปรดไม่ได้ แต่พวก ไอ้ที่มันพอจะโปรดได้ก็โปรดหมดทั้งพวกมนุษย์และทั้งพวกเทวดา เมื่อท่านได้ทำหน้าที่โปรดไอ้พวกมนุษย์พอสมควรหรือว่าเท่าที่จะโปรดได้แล้วก็ไปโปรดเทวดา ก็เลยหมดหน้าที่ของท่านคือหน้าที่มันสมบูรณ์ แล้วก็เสด็จลงมาจากเทวโลกเป็นการต้อนรับจนเป็นการใหญ่ แสดงความยินดีในการที่พระพุทธเจ้าทำหน้าที่ของท่านสมบูรณ์นี่คือโปรดได้ทั้งเทวดาและมนุษย์ คนชั้นธรรมดาสามัญก็โปรดแล้ว ไอ้คนชั้นที่สูงขึ้นไปคือเทวดาก็โปรดด้วย ก็โปรดได้ด้วย นี่เป็น เป็นความสมบูรณ์ของหน้าที่ของท่าน แล้วก็เรียกกันว่าเป็นวันเปิดโลก วันที่เสด็จลงมาจากเทวโลกนั้นแหละแล้วก็แสดงธรรมเปิดโลก ตามเรื่องราวกล่าวว่าทำให้โลกทุกโลกกี่โลกกี่หมื่นโลกก็ตามใจแหละเห็นต่อหน้ากันหมดว่ามีกี่โลกๆ เป็นอย่างไร รู้จักกันทั่วถึงหมดว่ามีกี่โลกๆ เราจะถือเอาความหมายว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ทุกโลก ท่านช่วยได้ทุกโลก ท่านแสดงธรรมเหมาะสมแก่ทุกระดับชั้นของสัตว์โลก ทำให้สัตว์โลกเข้าใจซึ่งกันและกัน ไอ้ความหมายที่สำคัญที่สุดมันก็อยู่ตรงที่ว่าทำให้สัตว์โลกนี่รู้จักกันหมดทุกชนิดทุกระดับ ในความหมายที่ว่ามีความทุกข์อย่างเดียวกัน มีปัญหาอย่างเดียวกัน ปัญหาที่เกิดมาจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อย่างนี้มีด้วยกันทั้งนั้นแหละทั้งมนุษย์และทั้งเทวดา เทวดาชั้นต่ำเทวดาชั้นสูงมันก็ยังมีปัญหานี้ มนุษย์ชั้นต่ำมนุษย์ชั้นสูงก็มีปัญหานี้ ปัญหาที่เกิดต่อความทุกข์คือเกิดแก่เจ็บตาย เดี๋ยวนี้ก็มาเห็นว่าเป็นอย่างนี้ ก็เห็นอกเห็นใจกันทั้งหมดเลย ไม่แบ่งแยกเป็นพวกนั้นพวกนี้ เห็นแต่ประโยชน์ตนไม่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น อย่างนั้นมันใช้ไม่ได้ มันไม่เห็นว่าทุกโลกมีปัญหาอย่างเดียวกัน ในโลกไหนจะมีกี่ร้อยโลกกี่พันโลกก็มีปัญหาอย่างเดียวกันและมีความดับทุกข์อย่างเดียวกัน ข้อนี้เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจไว้หรือทำไว้ในใจว่าจะมีมนุษย์สักกี่ชนิด มีเทวดาสักกี่ชนิด อยู่ที่ทางไหน ทิศไหน โลกไหน ยุคไหน กัปกัลป์ไหนก็ตามเถอะไอ้ทั้งหมดนั้นแหละมันมีปัญหาอย่างเดียวกันคือมันเป็นทุกข์ เพราะกิเลสที่เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวตนเรื่องของตน มันเหมือนกันหมดอย่างนี้ ถ้าใครมาเข้าใจว่ามันเป็นอย่างนี้หมดด้วยกันทั้ง ทุกๆโลก ซึ่งตามโบราณเขาว่าสามหมื่นโลกธาตุ สามหมื่นโลกธาตุ คล้ายๆกับว่ามันมีสามหมื่นโลก สามหมื่นชนิดของโลก จะอยู่ที่ไหนบ้างก็สุดแท้แหละ จะเดาเอาเองก็ได้ว่าดวงดาวหรือที่ไหน จักรวาลไหนอะไรที่ไหนมันจะมีเท่าไรก็รวมอยู่ในคำว่าโลก โลกทั้งหมดนี้ เห็นได้ว่ามันมีปัญหาอย่างเดียวกัน คือมีกิเลสเป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่นนั่นนี่ เป็นตัวตนเป็นของตนแล้วก็เป็นทุกข์อย่างเดียวกัน จะดับทุกข์ก็ต้องดับโดยวิธีเดียวกันคือละความยึดมั่นถือมั่นโดยความเป็นตัวตนของตนเสีย นี่คล้ายๆกับเป็นโลกเดียวกัน ถ้ามองในความหมายนี้แล้วก็จะเห็นอกเห็นใจกันทั้งหมด ว่าทั้งโลกและทุกโลกเป็นคนๆเดียวกัน แล้วมันก็จะเบียดเบียนกันไม่ได้ เบียดเบียนกันไม่ลง เพราะว่ามันเป็นคนๆเดียวกัน มีปัญหาอย่างเดียวกัน มีความทุกข์อย่างเดียวกัน ประสบความเกิดแก่เจ็บตายอย่างเดียวกัน นี่ขอให้วันเปิดโลกมันเปิดจริงตามความมุ่งหมายในพระพุทธศาสนาของพระบรมศาสดา ที่ทรงแสดงธรรมไว้เป็นหลักดับทุกข์อย่างไร แล้วกฎเกณฑ์อันนี้ใช้ได้ทุกโลก ทุกโลกและทุกยุคทุกสมัยของโลก นี่เราพุทธบริษัทกล้าท้าทายว่าที่ไหน เวลาไหน ยุคไหน ต้องดับทุกข์อย่างนี้ไม่มีทางอื่น ต้องดับทุกข์โดยวิธีนี้ เดี๋ยวนี้ในโลกนี้จะที่ไหน จะทวีปไหน มุมโลกไหน เป็นชนชาติภาษาไหนมันก็ต้องดับทุกข์อย่างนี้ ทีนี้ต่อไปอีกกี่หมื่นปีแสนปีล้านปีก็ยังจะต้องดับทุกข์อย่างนี้ กล้าพูดอย่างนี้ จึงไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดสถานที่ ไม่ว่าสถานที่ไหนหรือว่ายุคไหนเวลาไหนต้องดับทุกข์อย่างนี้ อย่างอื่นไม่มี นี่กล้าท้าอย่างนี้ จริงไม่จริงก็คอยดูไป แต่มันคงไม่มีใครมีอายุยืนเป็นกัปป์ๆที่จะดูไอ้ ด้วยตนเอง แต่ก็ดูได้ด้วยสติปัญญาว่าเรื่องนี้มันจริงอย่างนี้ ความทุกข์ต้องเกิดมาจากการประพฤติผิดต่อกฎอิทัปปัจจยตาในฝ่ายที่ไม่ให้เกิดทุกข์ แล้วมันก็เกิดทุกข์ขึ้นมา ถ้าจะไม่ให้เกิดทุกข์มันก็ต้องปฏิบัติถูกต้องต่อกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายที่จะไม่ให้เกิดทุกข์ แล้วมันก็ไม่เกิดทุกข์ขึ้นมา นี่พุทธศาสนามีอะไรอย่างนี้ ไม่ต้องดูถูกดูหมิ่นศาสนาอื่น แต่เรากล้ายืนยันว่าเป็นยอดสุดหรือสูงสุดของความรู้ที่เกี่ยวกับความดับทุกข์ มันต้องดับทุกข์อย่างนี้ด้วยกันทุกๆโลก ทุกๆโลกมันจะมีกี่โลก โลกในความหมายทางวัตถุ ทางภาษาคนว่าตัวโลกตัวแผ่นดิน เป็นโลกๆอย่างนี้ก็ได้ หรือว่ามีความหมายทางฝ่ายนามธรรมคือระดับแห่งจิตใจอย่างหนึ่ง ก็เป็นโลกๆหนึ่งอย่างนี้ก็ได้ มันก็จะพูดได้ว่าเวลานี้เดี๋ยวนี้มันมีไม่รู้กี่หมื่นโลกแหละ เพราะว่าระดับจิตใจของคนในโลกนี้ ปัจจุบันนี้ เวลานี้ วันนี้ก็ได้ ว่าคนมันมีระดับจิตใจต่างๆ ต่างๆกัน ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ไอ้ความต่างๆกันนั้นแหละเอามาจัดเป็นโลกๆ โลกๆ โลกของคนโง่ที่สุดอันธพาลที่สุดมันก็เป็นโลกหนึ่ง แล้วโง่น้อยมันก็โลกหนึ่ง แล้วไม่โง่มันก็โลกหนึ่ง ฉลาดน้อยก็โลกหนึ่ง ฉลาดปานกลางก็โลกหนึ่ง ฉลาดที่สุดก็โลกหนึ่ง แล้วทีนี้มันยัง ความโง่ มันยังมีความโง่ความฉลาดตามเหตุตามปัจจัยซึ่งไม่ซ้ำกัน มีเหตุปัจจัยหลายสิบชนิดหลายร้อยชนิดหลายพันชนิดที่ทำให้โง่ให้ฉลาด ให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้ มีระดับจิตใจไม่เหมือนกัน ในโลกนี้มีคนสักสี่พันล้านคนก็ มันก็ไม่เหมือนกันแหละ แต่จะ เป็นจะพูดได้ว่าจะไม่ ไม่ซ้ำกันด้วยซ้ำไป นับเอาชนิดหนึ่งเป็นโลกหนึ่ง ชนิดหนึ่งเป็นโลกหนึ่งมันก็มีมากมายหลายหมื่นหลายพันโลกก็ได้ อย่างนี้ก็ได้ โลกในความหมายอย่างนี้ก็ได้ ทุกโลกในความหมายอย่างนี้ก็ได้ ในความหมายอย่างเป็นแผ่นดินเป็นโลกกลมๆนั้นก็ได้ ทุกโลกไม่พ้นไปจากกฎเกณฑ์ที่ตรัสไว้ว่าดับทุกข์อย่างนี้ เกิดทุกข์อย่างนี้ดับทุกข์อย่างนี้ เกิดทุกข์อย่างนี้ดับทุกข์อย่างนี้ นี่เรื่องเปิดโลก เปิดโลก ขอให้มองเห็นว่าเป็นอาการเปิดโลกทุกโลกให้รู้จักกัน ให้เห็นกัน ให้เข้าใจกันว่ามีความทุกข์อย่างเดียวกัน มีปัญหาอย่างเดียวกัน มีหัวอกอย่างเดียวกัน จะได้รักใคร่เมตตากรุณา เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน พรุ่งนี้เป็นวันเปิดโลก เสด็จลงมาจากเทวโลกมาถึงแผ่นดินนี้ แล้วก็แสดงธรรมที่เป็นการเปิดโลก มีข้อกล่าว ข้อความกล่าวไว้ว่าในเวลานั้น ขณะนั้นสัตว์โลกทั้งหลายในโลกนี้ เหลียวไปทางไหนก็เห็นโลกทั้งหลายต่อหน้ากันไปหมด รู้ว่าโอ้! มันมีอยู่มากมายอย่างนี้ แล้วก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายกันอย่างนี้ แล้วก็รักใคร่เมตตากรุณาต่อกันและกัน ความสำเร็จของพระพุทธเจ้านั่นยิ่งใหญ่อย่างนี้ขอให้เรารู้จักกันไว้ อย่าให้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าเสียเปล่าๆปลี้ๆ จงมีความรู้สึกอย่างนี้จะได้มีความรักใคร่ทุกคนทุกชีวิตเป็นคนๆเดียวกัน เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกัน แล้วมันก็ด่ากันไม่ได้ มันทะเลาะกันไม่ได้ มันพูดร้ายกันไม่ได้ มันอาฆาตมาดร้ายกันไม่ได้ เพราะความที่เห็นว่ามันเป็นสัตว์โลกด้วยกัน
เป็นอันว่าเราได้ความกัน ๓ เรื่องแล้ว วันนี้คือที่เกี่ยวกับวันเสด็จออกพรรษาลงมาจากเทวโลก วันนี้เป็นวันปวารณาในส่วนวินัย เป็นวันออกพรรษา ทั้งส่วนวินัยและส่วนธรรมะ แล้วก็เป็นวันเปิดโลก พรุ่งนี้ คือว่าพรุ่งนี้ เนื่องกันด้วยเหตุการณ์นี้ การออกพรรษานี่เปิดโลก ขอให้ถือเอาความหมายได้ทั้ง ๓ ความหมาย นี่คือธรรมเทศนาสำหรับการออกพรรษาในปีนี้ ในปีนี้ พอสมควรแก่เวลาอย่างนี้ ที่เรียกว่าเทศน์วันออกพรรษา ทีนี้มันก็มีเรื่องหนึ่งซึ่งทำค้างคาอยู่คือการอบรมพระบวชใหม่ โอวาทภิกษุนวกะ ซึ่งทำมาแล้ว ๑๑ ครั้ง แล้วจะทำเป็นครั้งสุดท้ายตามที่สัญญาไว้วันอาทิตย์ เลื่อนมาวันนี้เป็นครั้งที่ ๑๒ นี่ขอให้ฟังดูให้ดีๆสำหรับภิกษุนวกะผู้บวชใหม่ทั้งหลาย ซึ่งเมื่อออกพรรษาแล้วก็จะต้องเปลี่ยนแปลง คือว่าจะต้องจากกันไปหรืออะไรเหล่านี้เป็นต้น ดังนั้นจึงขอบรรยายอบรมภิกษุนวกะเป็นครั้งสุดท้ายต่อกันไปเสียเลย นั่งคราวเดียวกัน เพราะว่ามันๆ มันเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว คือมันเป็นการหยุดการบรรยายเพียงครั้งนี้ครั้งที่ ๑๒ นี้ ในวันนี้จะพูดสำหรับภิกษุนวกะโดยหัวข้อว่าการรับใช้ผู้อื่นเป็นลักษณะของมหาบุรุษ การรับใช้ผู้อื่นเป็นลักษณะของมหาบุรุษ พูดอย่างนี้หลายคนคงไม่เชื่อ ก็นึกๆ นึกคัดค้านขัดแย้งอยู่ในใจว่าเป็นมหาบุรุษสูงสุดจะมารับใช้ผู้อื่นทำไม แต่ขอยืนยันว่าการรับใช้ผู้อื่นนั่นแหละเป็นลักษณะของมหาบุรุษ หรือเป็นหัวใจของความเป็นมหาบุรุษ เดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยมีใครสมัครที่จะรับใช้ผู้อื่น ส่วนมากมันต้องการให้ผู้อื่นรับใช้ตน เอาอกเอาใจตน ช่วยเหลือตนอะไรไปเสียท่าเดียว ความคิดที่จะรับใช้ผู้อื่นนั่นมันไม่ค่อยจะมี สำหรับบางคนมันดูจะไม่มีเลย บางคนก็มีบ้าง ถ้าใครมีมากก็ดี เป็นผู้เดินตามรอยมหาบุรุษ ซึ่งจะต้องมุ่งหมายเอาพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นยอดของมหาบุรุษ คนก็จะไม่เชื่อ เมื่อเราได้ศึกษา สังเกต ทบทวนมาโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วจะพบความหมายแง่หนึ่งว่าพระพุทธเจ้านี่ท่านเกิดมาโปรดๆ โปรดผู้อื่นโปรดสัตว์โลก แต่ที่แท้ก็มารับใช้นั่นเอง ช่วยขนสัตว์ พาสัตว์ไป ขนสัตว์ออกไปจากวัฏสงสาร นี่มันมีลักษณะของความรับใช้ แม้ว่าจะเป็นการช่วยๆ ช่วย แต่การช่วยมันก็คือการรับใช้ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายโดยเฉพาะตามมติฝ่ายมหายานแล้วก็ยิ่งเป็นผู้รับใช้ รับใช้สัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวง จะช่วยขนออกไปเสียให้พ้นจากกองทุกข์ แม้ว่าจะลำบากเหนื่อยยากอย่างไรก็จะทำ แล้วก็ได้พยายามกระทำบำเพ็ญบารมีในความเป็นพุทธ โพธิ เป็นโพธิสัตว์นี่นับด้วยอสงไขยกัป ๔ อสงไขยแสนกัปอะไรแล้ว แล้วแต่จะ จะเชื่อหรือจะไม่เชื่อ แต่ข้อความมันมีอยู่อย่างนั้น ๔ อสงไขยแสนกัป บำเพ็ญบารมีโพธิสัตว์เพื่อจะรื้อขนสัตว์โลก คนที่ยังมีตัวตนยกหูชูหางรับใช้ใครไม่ได้ คนที่หมดตัวตน หมดตัวหมดตน หยุด หมดความยึดมั่นในตัวตนเท่านั้นแหละที่จะรับใช้ผู้อื่นได้ ไอ้คนที่มีอหังการ มมังการ ยกหูชูหางมันรับใช้ใครไม่ได้หรอก แล้วมันจะยกตนข่มท่าน ข่มขี่ผู้อื่นนู่น แล้วมันจะมารับใช้ใครได้อย่างไร นั่นมันอันธพาลถึงขนาดนั้นนะ ฉะนั้นคำว่ารับใช้ผู้อื่นได้นี่มีความหมายมาก มันต้องหมดความเห็นแก่ตน หมดตัวหมดตนมันจึงจะรับใช้ผู้อื่นได้ การรับใช้ผู้อื่นนั่นแหละทำให้หมดความเห็นแก่ตนหรือหมดความถือตัวถือตน ดังนั้นขอให้ใช้บทเรียนอันนี้ ฝึกฝนอันนี้รับใช้ผู้อื่นนั่นแหละจะทำให้หมดตัวหมดตน จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ด้วยการรับใช้ผู้อื่น มันเป็นวิถีทางหนึ่งและทางใหญ่ ทางสำคัญที่สุดด้วยว่าการรับใช้ผู้อื่นมันทำให้หมดตัวกูหมดของกู แล้วมันก็บรรลุมรรคผลนิพพานได้ รับใช้ผู้อื่นนั้นมันมีความหมายมาก ถ้าว่าจะรับใช้พระพุทธเจ้าได้ก็ยิ่งดี ทำทุกอย่างเพื่อรับใช้พระพุทธเจ้า ถ้าอย่างนี้มันก็ยิ่งมีความหมายสูงแหละเพราะว่าพระพุทธเจ้าต้องการจะโปรดสัตว์ให้พ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวง ฉะนั้นเรามาช่วยกันรับใช้พระพุทธเจ้าในความหมายนี้ ทำให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์เพื่อให้ได้รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ให้ได้ปฏิบัติธรรมะได้ แล้วก็หมดความเห็นแก่ตน ไม่มี ไม่มีตัวกูของกู เดี๋ยวนี้เราก็รับใช้พระพุทธเจ้ากันอยู่เป็นอย่างมาก แต่บางคนก็รู้บางคนก็ไม่รู้ อย่างวัดเรานี่ตั้งขึ้นก็เพื่อรับใช้พระพุทธเจ้า สนองพระเดชพระคุณ สนองพระพุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้า คือการทำ การช่วยกันทำให้โลกนี้มีแสงสว่าง การทำให้โลกนี้มีแสงสว่างนั่นแหละเป็นพระพุทธประสงค์สูงสุดหรือทั้งหมดของพระพุทธเจ้า นี่เราก็ทำเพื่อสนองพระพุทธประสงค์อันนั้น เรามีสถานที่อันนี้เพื่อทำหน้าที่อันนี้ ถ้าเราทำหน้าที่อันนี้เท่าไรก็เป็นการรับใช้สนองพระพุทธประสงค์มากเท่านั้น ทีนี้ก็ดูให้ดีว่าใครบ้างที่จะสามารถรับใช้ได้ เมื่อกล่าวให้ยุติธรรมแล้วก็กล่าวได้ว่าทุกคนๆ ทุกคน บางทีจะเลยลงไปถึงสัตว์เดรัจฉานบางตนบางตัวก็ได้ ทุกคนรับใช้พระพุทธเจ้าในแง่นี้ เอาว่าที่อยู่กันในวัดนี้ ถ้าได้ทำให้วัดนี้มันอยู่ได้ แล้ววัดนี้ก็ทำหน้าที่ของวัดนี้คือทำแสงสว่างให้เกิดแก่คนทั่วประเทศหรือทั่วโลก ไอ้คนนั้นก็มีส่วนในการรับใช้สนองพระพุทธประสงค์เพื่อคนทั้งโลก แม้แต่คนกวาดใบไม้ให้มันสะอาดอยู่เสมอ นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วัดนี้อยู่ได้ คนที่ทำครัวเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหลไคลย้อยก็มันเป็นเรื่องที่ทำให้วัดนี้อยู่ได้ เพื่อทำหน้าที่ของวัดนี้ต่อไป เพราะฉะนั้นขอให้เห็น ให้มองเห็น สังเกตเห็นไอ้สิ่งที่เรากระทำอยู่แล้วในการรับใช้ผู้อื่นโดยสมทบกับพระพุทธเจ้าหรือโดยผ่านทางพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านรับใช้ผู้อื่นเพื่อจะช่วยให้เขารอดให้ได้ ลำบากยากเข็ญเท่าไรไม่ว่า แล้วเราก็ผสมโรงกับพระพุทธเจ้าในการที่จะช่วยผู้อื่นให้ได้รับผลดีอย่างนั้น ฉะนั้นการที่มีสวนโมกข์นี้ก็ดี มีสวนโมกข์นอกที่กำลังสร้างอยู่ก็ดี มันเป็นการกระทำด้วยวัตถุประสงค์อันนี้ทั้งนั้น ดังนั้นขอให้ได้รับรู้แล้วก็มีส่วนแห่งการกระทำ อย่างจะพูดว่าเพื่อจะ ช่วยกวาดอยู่เสมอ เป็นงานของนายโซดาและใครอีกหลายคน ช่วยหาเลี้ยงหาดูด้วยการเลี้ยงอาหารอยู่เสมอ พวกแม่ครัวพวกไอ้ทุกคนนะที่ทำด้วยเจตนาอันนี้ เจตนาเพื่อวัดนี้อยู่ได้ รับใช้พระพุทธเจ้า แม้ที่สุดแต่ว่าลำบากในการที่จะหาที่พัก ที่พาอาศัยให้แขกที่มาพัก มันก็มีส่วนแห่งกิจกรรมอันนี้ พระสิงห์ทองนะมันลำบากยากเข็ญ ดึกดื่นอย่างไรมันก็อุตส่าห์หาที่พักให้คนจนได้ คราวละร้อยสองร้อยก็ได้ คราวละไม่กี่คนก็ได้ รวมรวมกันแล้วจะตั้งแสนคนแล้วกระมังที่มันรับใช้ผู้อื่น มันเป็นการรับใช้ผู้อื่นโดยทนยากทนลำบากแหละในการรับใช้ผู้อื่น ทุกอย่างแหละที่ทำในลักษณะอย่างนี้เรียกว่ารับใช้ผู้อื่น นี่ยกตัวอย่างมาเพียงบางคน แต่ที่จริงมันเกือบจะทุกคนแหละ แต่เขาจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก แต่ว่าเจตนาอาจจะเป็นอย่างอื่นเสียก็มี ไม่ได้ทำเพื่อรับใช้ผู้อื่น เพื่อลดความเห็นแก่ตัว เพื่อลดตัวกูของกู ไม่ยกหูชูหาง นี่เราจะต้องถือหลักว่าเกิดมาเพื่อรับใช้ผู้อื่นนั่นแหละเป็นการทำให้ก้าวหน้าไปทางพระนิพพาน เพราะว่ารับใช้ผู้อื่นนี่มันลดความยกหูชูหางของตัว ลดการถือตัว ถ้ามันถือตัวอยู่มันรับใช้ผู้อื่นไม่ได้ บางทีก็ต้องหลอกกันให้รับใช้ผู้อื่นอย่างนี้ก็มี แต่ว่ามันก็ไม่เป็นไร ถ้ามันมีการรับใช้ผู้อื่นอยู่ได้ก็เป็นการดี เพราะมันจะลดกิเลสคือความเห็นแก่ตัว นี่ขอให้พระบวชใหม่ จะสึกก็ตามจะอยู่ก็ตาม จงมองเห็นความจริงอันนี้ว่าการรับใช้ผู้อื่นเป็นลักษณะของมหาบุรุษ ไม่ใช่ว่าเป็นทาสเป็นขี้ข้ารับใช้เขานะไม่ใช่ ไอ้นั้นมันอีกความหมายหนึ่ง ที่มันจำเป็นต้องเป็นทาสเป็นขี้ข้ารับใช้เขานั้นมันอีกความหมายหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้มันทำด้วยความสมัครใจนี่ในการที่จะรับใช้ผู้อื่น มันเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดแต่ไม่มีใครมองเห็นมันก็ไม่สมัครจะทำ แต่ว่าถ้ามันสมัครจะทำแล้วมันจะมีประโยชน์มากที่มันจะลดไอ้ตัวกูของกู ลดอหังการ มมังการ มานานุสัย ตามหลักธรรมะอันสูงสุดว่าถ้าลดอหังการ มะ อหังการะ มมังการะ มานานุสัย เสียได้แล้วก็เป็นพระอรหันต์นั่น อหังการะ มมังการะ มานานุสัย เรียกรวมคราวเดียวกันเป็นคำยาว คือความเคยชินแห่งการสำคัญมั่นหมายเป็นตัวกูเป็นของกู อหังการะ ตัวกู มมังการะ ของกู มานะ ความถือตัว อนุสัย ความเคยชินแห่งจิตใจ ความเคยชินแห่งจิตใจในการที่จะสำคัญมั่นหมายว่าตัวกูว่าของกู ไอ้นี่เรียกเป็นบาลีคำเดียวกันว่าอหังการะ มมังการะ มานานุสัย ยาวเฟื้อยเลย ใครละได้เป็นพระอรหันต์ ทีนี้คนธรรมดาสามัญนี่มันยังไกลมากแหละ แต่วิธีที่จะลดได้ดีแน่นอน ไม่เล่นตลกก็คือรับใช้ผู้อื่น ยอมลดตัวลงไป ทอดตัวลงไปในการรับใช้ผู้อื่น ก็เพื่อลดความถือตัว มีตัว ของตัว ก็เป็นอย่างไร มันเป็นของเล็กหรือของใหญ่ ของต่ำหรือของสูง ที่มันเป็นลักษณะของมหาบุรุษนั่นเพราะมหาบุรุษตั้งใจจะทำอย่างนั้นทั้งนั้น ถ้าเป็นมหาบุรุษแท้จริงมันก็จะตั้งใจเสียสละเพื่อจะทำให้คนในโลกนี้มันได้รับความสุข ได้รับความปลอดภัยก็ได้ แล้วก็รับความสุขก็ได้ ได้รับสิ่งที่ดีที่เขาควรจะได้ก็ได้ ถ้าเป็นมหาจักรพรรดิที่ถูกต้อง ถ้ามันจะครองโลกที่ถูกต้องมันจะต้องทำหน้าที่เพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์ที่สูงสุด ฉะนั้นถ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ท่านตั้งใจจะรับใช้ผู้อื่นด้วยการบำเพ็ญบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขยแสนกัปนู่น ท่านตั้งใจที่จะรับใช้ผู้อื่น แต่เรามาใช้คำว่าโปรดผู้อื่น อันนี้กิเลสของคนมีกิเลสมันก็จะเห็นเป็นแง่ดี เป็นได้เปรียบ ได้กำไร ได้อะไรเป็นเรื่องใช้คำว่าโปรดผู้อื่น แต่เนื้อแท้ เนื้อแท้ของมันแล้วคือช่วยให้เขาพ้นทุกข์ด้วยความเสียสละของตัว ทนยากทนลำบากทุกอย่างทุกประการ ความหมายที่แท้จริงมันก็คือเพื่อรับใช้ผู้อื่น จะใช้คำว่าขนสัตว์ ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันอยู่มาก ขนสัตว์ออกจากกองทุกข์ ขนสัตว์ออกจากกองทุกข์ ฟังดูมันน่าสนุกเมื่อไร มันจะเหนื่อยเท่าไร มันจะลำบากยากเข็ญเท่าไร ถ้าไม่มีจิตใจเสียสละที่จะรับใช้ผู้อื่นมันก็มีไม่ได้ ดังนั้นขอให้มีความคิดจะใช้ชีวิตของตนในการรับใช้ผู้อื่น รับใช้โลกก็ได้ รับใช้โลกแล้วโลกจะรับใช้เราในที่สุด ถ้ามีความเห็นแก่ตัวมันก็รับใช้ไม่ได้ ถ้าเราจะสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาที่เป็นความดีความงามก็ขอให้มันเพื่อประโยชน์แก่ แก่โลก เพื่อประโยชน์แก่โลก เกิดมาเพื่อทำให้โลกนี้มันงดงาม ไม่เอามาเป็นโลกของกูหรือเป็นตัวกู ทุกอย่างมันควรจะถือว่ามีไว้เพื่อให้โลกนี้มันงดงาม ถ้ามันมีโลกเกลี้ยงๆไม่มีอะไรมันก็ไม่งดงาม มันทำให้มีต้นไม้มีอะไรทุกอย่างที่มันมีอยู่ในโลก กระทั่งมีสัตว์มีคนเพื่อให้โลกนี้มันงดงาม เราจงพยายามทำให้ทุกอย่างให้ ให้โลกนี้มันงดงาม รับใช้โลกแล้วโลกจะรับใช้เรา คือจะช่วยให้เราได้พ้นทุกข์ ได้ๆ ได้ใกล้พระนิพพาน ได้เป็นพระอรหันต์ในที่สุดแหละ เพราะว่าการรับใช้โลกนั้นมันทำให้หมดตัวกูของกูอย่างที่ว่ามาแล้วนี่ รับใช้โลก รับใช้โลกไอ้โลกมันจะทำให้หมดตัวกูของกู หมดความเห็นแก่ตัว หมดตัวตนหมดของตน หมดอหังการะ มมังการะ มานานุสัย โลกมันจะให้สิ่งนี้แก่เราถ้าเรารับใช้โลก จงรับใช้โลกแล้วโลกมันก็จะรับใช้เรา ขอให้เห็นว่ามหาบุรุษซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขนั่นมีเจตนาแท้จริงเพื่อจะรื้อขนไอ้สัตว์โลก ในลักษณะที่เป็นการรับใช้ให้เขาพ้นทุกข์ แต่เรามาเรียกเสียให้เป็นฝ่ายได้เปรียบว่าโปรด ผู้โปรดสัตว์ ผู้โปรดสัตว์นั้นแหละคือผู้รับใช้สัตว์ ถ้าไม่มีการรับใช้หรือไม่มีความหมายการรับใช้แล้วไม่มีการโปรดสัตว์แหละ ไอ้การโปรดสัตว์นี้มันต้องพยายาม ต้องลงทุน ต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องลำบาก มีไอ้ความรู้สึกสูงในการที่จะรับใช้โลก ทำหน้าที่สูงสุดเหมือนพระพุทธเจ้าเพราะเป็นการรับใช้พระพุทธเจ้า จะพูดได้เลยว่ารับใช้ผู้อื่นก็คือรับใช้พระพุทธเจ้า รับใช้โลกก็คือรับใช้พระพุทธเจ้า ขอให้เราได้ใช้ชีวิตที่มีอยู่นี้ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะทำได้ ให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะรับได้คือการเสียสละตัวกูของกูออกไปๆ ให้มันละลายไป ละลายไปด้วยการเสียสละ และการที่จะให้ทำได้ง่ายๆ ได้ง่ายก็คือการรับใช้ผู้อื่น มันทำให้เสียสละความเห็นแก่ตัวออกไป มันเป็นบุรุษสูงสุด ผู้รับใช้ผู้อื่นกลายเป็นบุคคลสูงสุด นี่จึงว่า จึงรู้สึกว่าบางคนอาจจะไม่เชื่อ อาจจะไม่ยอมรับว่าการรับใช้ผู้อื่นนั่นแหละคือลักษณะของมหาบุรุษ เดี๋ยวนี้เรามันรับใช้กิเลสของตัวเอง มีอะไรๆก็รับใช้กิเลสของตัวเอง มีภรรยาก็รับใช้ภรรยา มีสามีก็รับใช้สามี มันก็มีแต่เรื่องรับใช้ตัวเอง ซึ่งเป็นกิเลสทั้งนั้น จะต้องมองดูให้ดีๆว่าการรับใช้ตัวเองนี่มันเป็นเรื่องที่เพิ่มตัวกูของกู การรับใช้ผู้อื่นนั่นแหละมันจะลดไอ้ตัวกูของกู ดังนั้นขอให้ทุกคนมองเห็นความจริงข้อนี้ แล้วมีความตั้งใจที่จะทำอย่างนั้น แล้วก็จะรับใช้ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อะไรได้อย่างแท้จริง ถ้ามันไม่มีเจตนาที่จะรับใช้ผู้อื่นแล้วมันก็พูดแต่ปากแหละ จะรับใช้ประเทศชาติ ศาสนานี้มันเป็นไปไม่ได้ มันก็จะเป็นไอ้อะไร พลเมืองที่ดีก็ไม่ได้เพราะมันไม่รับใช้ชาติ จะเป็นข้าราชการที่ดีก็ไม่ได้เพราะมันไม่รับใช้ชาติ หรือจะเป็นอะไรที่มัน ที่ดีแก่ชาติก็ไม่ได้เพราะมันไม่รับใช้ชาติ มันจะต้องมีเจตนาในการรับใช้ผู้อื่นแล้วมันก็จะรับใช้ชาติโดยแท้จริง ถ้ามันยังเล็กไปก็รับใช้โลกเอาเสียเลย โลกนี้ควรจะได้อะไรควรจะเป็นอย่างไร เราจะเสียสละยอมหมดทุกอย่าง อย่างเจตนารมณ์ของโพธิสัตว์แหละที่จะช่วยโลก รับใช้ผู้อื่นให้ถึงที่สุด ฉะนั้นชีวิตนี้มันก็ถูกใช้ให้เป็นประโยชน์สูงสุดหมดทั้งชีวิตเลย ไม่ขยักไว้ในส่วนไหนอีก ถ้าใช้ไปเพื่อรับใช้โลก รับใช้ผู้อื่น รับใช้พระพุทธเจ้าซึ่งมีความหมายเดียวกันกับข้อที่ว่าพระพุทธองค์ก็รับใช้โลก รับใช้สัตว์โลก ในฐานะเป็นบุคคลสูงสุดที่รับใช้โลก เดี๋ยวนี้เรามามองลัดเอา ลัดสั้นเอาตรงที่ว่าไอ้รับใช้ผู้อื่นนั่นมันลดความเห็นแก่ตัว มันลดอัตตา ลดอัตตนียา ลดตัวกูลดของกู มันก็เป็นการมุ่งไปทางพระนิพพานอย่างเร็ว อย่างดีและอย่างเร็ว เพราะมันเป็นการลดตัวกูและของกู ถ้าไปรับใช้กิเลส ปรารถนาอำนาจวาสนา ยศศักดิ์บริวารมันก็ติดตันอยู่ที่นี่แหละ มันก็ติดตันอยู่ที่นี่มันจะมุ่งไปพระนิพพานไม่ได้ เดี๋ยวนี้เราก็ทำพร้อมกันไปได้ จะหาเงินหาทอง หาอำนาจวาสนา บารมีอะไรก็ได้ แต่ถ้ามันมีเจตนาที่จะรับใช้ผู้อื่นแล้วสิ่งเหล่านั้นมันก็เป็นไปเพื่อการรับใช้ผู้อื่นทั้งนั้น มันจะมีเงินมาแล้ว เท่าใดมันก็ใช้ไปในการรับใช้ผู้อื่น มันไม่ได้เอาไปไว้ไอ้เป็นส่วนตัวโดยเฉพาะที่ไหนได้ ซึ่งมันก็เอาไปไม่ได้ ตายไปมันก็เอาไปไม่ได้ ฉะนั้นมันใช้ไปในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ทุกคนรวมทั้งตัวเองด้วย ก็คือรับใช้ผู้อื่น รับใช้โลก ทำให้โลกนี้มันรอดในความประสงค์สูงสุดของมหาบุรุษ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
จึงขอพูดเป็นการอบรมครั้งสุดท้ายว่าการรับใช้ผู้อื่นนั่นแหละเป็นลักษณะของมหาบุรุษ อย่าเห็นเป็นการเสียเปรียบ อย่าเห็นเป็นการพ่ายแพ้หรือเป็นขี้ข้า เป็นบ่าวเป็นทาส มันเป็นเรื่องของคนโง่ที่ไม่ยอมอะไรแก่ใคร ไม่ยอมแก่ใครมันจะเอาแก่ตัว เพื่อตัวอย่างเดียวแหละ มันก็มีเท่านั้นแหละ มันก็มีดีชนิดที่เห็นแก่ตัวนั่นแหละ มันก็ดีไปไม่ได้ แล้วมันก็จะติดอยู่ที่นี่ มันก็เป็นหลักตอที่ปักอยู่ในวัฏสงสารนะในความทุกข์นี่อย่างไม่ถอนขึ้น อย่างไม่เขยื้อนไปได้ มันจะเขยื้อนไปอย่างไรได้เพราะเพียงแต่มันถอนมันก็ยังถอนไม่ได้ มันมีตัวกูของกูปักลงไปๆ ปักลงไป แน่นหนาลงไปเพื่อตัวกูอย่างเดียว มันก็ถึงกับยกหูชูหาง แล้วมันก็จะมีปัญหารอบด้าน ผู้ที่มีความเห็นแก่ตัวจัดจะมีปัญหารอบด้าน จะระแวงจะสงสัยจะอะไรไปเสียหมด แล้วก็ไม่อาจจะเห็นผู้อื่นว่าเป็นมิตร จะเห็นเป็นผู้ศัตรูไปเสียหมดแหละเพราะความเห็นแก่ตัว ถึงขนาดเมามาย นี่มันจะแก้ได้ด้วยการรับใช้ผู้อื่นโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่รับจ้าง ไอ้รับจ้างมันแม้ทำงานให้ผู้อื่นก็ไม่ใช่รับใช้ผู้อื่น เพราะมันทำเพื่อค่าจ้าง เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ทำเพื่อค่าจ้าง มันทำเพื่อความดีสูงสุด ความหมดตัวตน หมดความเห็นแก่ตน แล้วทุกอย่างมันก็ไม่ ไม่ไปไหนเสียหรอก มันจะเป็นคนมีเงิน มีอำนาจวาสนา มีบุญญาบารมี มีอะไรก็ได้ มันก็ทำ ก็มีได้ แต่มันมีอย่างรับใช้ผู้อื่น ไอ้คนอย่างนี้มันเรียกว่ามันเป็นคนของโลก ไม่ใช่เป็นคนของตัวเองหรือของใครเพียงไม่กี่คน มันเป็นคนของโลก โลกเป็นของบุคคลนี้ เมื่อรับใช้โลก โลกก็เป็นของบุคคลนั้น ขอให้คิดกันอย่างนี้เพื่อมันจะได้กว้าง กว้างที่สุดเท่าที่มนุษย์จะมีใจกว้างได้ ถ้าใครชอบคำว่ามีใจกว้างแล้วก็ขอให้มุ่งหน้าในการที่จะรับใช้ผู้อื่นเถิด นั่นแหละคือความมีใจกว้าง ถ้ามันมากขึ้นไปมันก็จะขึ้นไปถึงระดับพระมหากรุณา พระพุทธเจ้ามีพระมหากรุณา นั่นแหละคือความมีใจกว้างสูงสุด พระมหากรุณานี้เพื่อทำอะไร เพื่อขนสัตว์ ในความหมายที่ว่ารับใช้โลก ในฝ่ายศาสนาคริสเตียนเขามีคำที่มีความหมายพิเศษอยู่ในข้อนี้มาก อย่างพระเยซูนี่เขาเรียกว่าพระมหาไถ่ redeemer, great redeemer พระมหาไถ่ เพื่อไถ่โลก ไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ นี่ก็ยิ่งมีความหมายในลักษณะที่รับใช้โลกรับใช้ผู้อื่น ดังนั้นถ้าใครอยากจะมีจิตใจสูง ก้าวไปเร็วๆทางพระนิพพานแล้วก็หันไปหาหลักเกณฑ์อันนี้ สละตัวตนออกไป สละตัวตนออกไป ตัวกูของกูสละออกไป แล้วก็รับใช้ผู้อื่น มันจะเยือกเย็นเป็นสุข เพราะคนชนิดนี้มันจะขยันทำการงานเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น มันก็ไม่ยากจน แล้วมันก็เป็นอันธพาลไม่ได้ มันด่าใครไม่ได้ มันโกรธใครไม่ได้ ถ้ามันตั้งใจอย่างนี้แล้วมันจะด่าใครไม่ได้ จะโกรธใครไม่ได้ จะผูกโกรธใครไว้ไม่ได้ นี่มัน มันมีลักษณะมหาบุรุษมากถึงอย่างนี้แหละ ขอให้เรามองดูให้เห็นว่าไอ้คุณธรรมสูงสุดของมหาบุรุษนั้นคือการรับใช้ผู้อื่น หรือจะเรียกว่าความเมตตากรุณาก็ได้ ถ้าความเมตตากรุณามีจริง ถูกต้องตามความหมายแห่งถ้อยคำนี้จริงก็คือรับใช้ผู้อื่นนั่นแหละความเมตตากรุณา พระพุทธองค์เป็นผู้มีเมตตากรุณาอย่างชั้นมหากรุณา บรม บรมเมตตาอะไรก็ ก็เพื่อความรับใช้ผู้อื่น อย่าได้เห็นเป็นเรื่องเป็นบ่าวเป็นทาส เป็นขี้ข้าน่าละอายไปเสีย เรามีกำลังมีเรี่ยวแรง มีสติปัญญา มีอะไรตามที่เราจะมี เรามีไม่มากเหมือนพระพุทธเจ้า ไปเทียบกันไม่ได้ เรามีน้อย แต่ก็ใช้มันไปในทางที่จะรับใช้ผู้อื่น อย่างทำอะไรไม่ได้ ก็ช่วยอย่างที่ช่วย ที่ช่วยกันอยู่ ที่กล่าวออกมาแล้วว่ากวาดวัด หรือว่าทำให้วัดมันอยู่ได้โดยวิธีใดก็ตาม แล้วนี่ก็จะขอแสดงความขอบใจที่ว่าให้ความร่วมมืออย่างยิ่งในการรับใช้ผู้อื่น และให้รู้ว่าสวนโมกข์นี้มีเจตนารมณ์รับใช้ผู้อื่น หรือที่อื่นก็เหมือนกันแหละเขาก็ทำกันมีความประสงค์ที่ถูกต้อง บริสุทธิ์ใจแล้วมันก็จะรับใช้ผู้อื่นทั้งนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่รับใช้กิเลส รับใช้ตัวเอง ทีนี้กล่าวเฉพาะที่ว่าเราอยู่กันในสวนโมกข์นี้ทุกคนรับใช้ผู้อื่น ซึ่งมิใช่ตัวกูของกู รับใช้โลกนี่คนละไม้คนละมือเท่าที่จะทำได้ เหน็ดเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อยออกมาเท่าไรก็เป็นรับใช้ผู้อื่น เป็นวัด เครื่องหมายที่แน่นอนว่าได้รับใช้ผู้อื่นเพราะเหงื่อมันไหลออกมาแล้ว ไม่ได้หวังอย่างอื่น หวังรับใช้ผู้อื่น นี่คนนี้จะใกล้พระนิพพาน เดินทางไปใกล้พระนิพพาน ถ้ารับใช้เงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง อำนาจวาสนา ค่าจ้างอะไรเหล่านี้แล้วมันก็ไม่ใช่เป็นการรับใช้ผู้อื่นอะไรนัก มันจะเป็นนิดหน่อย หรือมันไม่เป็นเอาเสียเลย จงทำด้วยความหมายมั่นที่ว่าจะรับใช้สัตว์ทั้งปวง สัตว์โลกทั้งปวง เป็นอันเดียวกันกับพระพุทธประสงค์เถิด การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ก็จะได้มีโชคดี มีโอกาสดีที่จะได้สิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ อย่าทำอะไรเพื่อปากเพื่อท้องโดยส่วนเดียว ถ้าทำเพื่อปากเพื่อท้องก็ให้ปากให้ท้องนั้นไปรับใช้ผู้อื่นอีกทีหนึ่ง ถ้าเราจะรับใช้ชีวิตนี้มันมีอยู่ได้ ก็ตั้งให้ชีวิตนี้มันรับใช้ผู้อื่นอีกทีหนึ่ง นี่จึงจะมีโอกาสได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เดี๋ยวนี้มันรับใช้กิเลส หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งมันรับใช้อวิชชา ความโง่ ความมืดความบอด ความหลง ซึ่งทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว นั้นมันก็รับใช้ไอ้ตัวก็คือรับใช้กิเลส คือรับใช้อวิชชา ไม่ ไม่น่าๆ ไม่น่าชื่นใจว่าอย่างนั้นนะ มันรับใช้อวิชชา มันรับใช้กิเลส ได้ด่าเขาแล้วก็สบายใจ นั่นมันก็รับใช้กิเลสคือโทสะ มันก็มีอยู่มากแหละรับใช้กิเลส รับใช้กิเลส รับใช้โลภะ เกิดความเอร็ดอร่อยสนุกสนาน ซึ่งเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวงไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง รับใช้โทสะมันก็ใช้ไอ้ความโกรธ ความอาฆาตพยาบาทเป็นของเอร็ดอร่อยแห่งจิตใจ รับใช้โมหะมันก็หลับตาคลานไป ไม่รู้จะไปทางทิศไหนที่จะพบแสงสว่าง เป็นอันว่าทั้งหมดที่เราทำมาหรือจะทำต่อไป ขอให้หมุนให้ลงร่องลงรอยของพระพุทธเจ้าคือการรับใช้ผู้อื่น จะอยู่เป็นพระต่อไปก็รับใช้ผู้อื่น จะสึกออกเป็นฆราวาสก็รับใช้ผู้อื่นให้ตรงจุดหมายที่สุดเลย จะเป็นการรับใช้ธรรมะ แล้วก็จะได้รับประโยชน์จากธรรมะเป็นความสุขความเจริญออกมาจากการรับใช้ผู้อื่น ยิ่งเป็นเศรษฐีก็ยิ่งรับใช้ผู้อื่นได้มาก คนยากจนก็รับใช้ไปตามมีตามเกิด ถ้ามีเจตนาดีก็รับใช้ผู้อื่นได้ทั้งนั้น ไม่ว่าคนยากจนหรือคนมั่งมี คนมีอำนาจหรือคนไม่มีอำนาจมันรับใช้ผู้อื่นได้ตามกำลังความสามารถของตนๆ ขอให้เป็นอย่างนี้กันทุกคน และมองลงไปถึงว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน เช่นสุนัขไอ้นี้มันก็ช่วยป้องกันความปลอดภัยให้ผู้อยู่ที่นี่ที่จะรับใช้ผู้อื่น แมวมันยังช่วยคุ้มครองสิ่งของให้ปลอดภัยจะได้มีอยู่เพื่อรับใช้ผู้อื่น ไก่มันก็ยังช่วยขันให้ตื่นจากนอนมาไหว้พระสวดมนต์ นี่ถ้าเห็นว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ทำได้ในความหมายที่เป็นการรับใช้ผู้อื่น แล้วเราที่เป็นคนหรือเป็นมนุษย์นี่จะไม่ทำได้อย่างไร มันต้องทำได้ดีกว่านั้นมากแหละ ขอแต่ให้เข้าใจถูกต้อง มีเจตนารมณ์อันสูง อันสูงเหมือนพระพุทธเจ้าที่จะช่วยให้ทุกคนพ้นจากความทุกข์ ทำให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ใดก็เท่ากับรับใช้ผู้นั้น นั่นแหละจึงจะเป็นไอ้การทำดีที่บริสุทธิ์ที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อส่งเสริมกิเลสของตน แต่เพื่อจะลดกิเลสของตน ในที่สุดนี้ก็ขอฝากไว้แก่ทุกคน จะเป็นพระใหม่ก็ดีพระเก่าก็ดี ทายก อุบาสกอุบาสิกาก็ดี จงมองเห็นข้อนี้ว่าจะใช้ชีวิตให้มีค่าที่สุด มีค่าสูงสุดแล้วก็จงใช้ไปในการรับใช้โลก รับใช้ผู้อื่น รับใช้พระพุทธเจ้า ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกัน นี่เป็นการกล่าวบรรยายเฉพาะพระใหม่อย่างที่เคยทำมา เป็นครั้งสุดท้าย ในที่สุดก็สรุปความว่าวันนี้เป็นวันออกพรรษา เป็นวันปวารณาตามกฏเกณฑ์ ระเบียบธรรมวินัย เราจะชำระกันให้มันถูกต้อง ชำระชะล้างไอ้ที่มันไม่ถูกต้องให้มันถูกต้อง หรือที่มันสกปรกมัน ให้มันสะอาด อย่าเก็บไว้ในใจ เรื่องกิเลสแล้วอย่าเก็บไว้ในใจ อย่าผูกโกรธใครไว้ในใจ หรือว่าอย่าเอาความรู้สึกที่มันไม่มีประโยชน์อะไรมาเก็บไว้สำหรับที่จะโง่ให้นานๆ จะโกรธให้นานๆ จะหลงใหลให้นานๆอย่างนี้มันไม่ ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วมันยังเป็นโทษๆ มีโทษโดยส่วนเดียวเพราะความเห็นแก่ตัว เรามุ่งหมายละความเห็นแก่ตัว จะเป็นการกระทำที่ถูกต้องหมดทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือ เป็นไปเพื่อประโยชน์ตน เป็นไปเพื่อประโยชน์ผู้อื่น เป็นการสนองพระพุทธประสงค์ ตอบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า เป็นการรับใช้พระพุทธเจ้าอย่างดีเลิศ การบรรยายในวันนี้มันก็สมควรแก่เวลา ขอยุติการบรรยายไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้