แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การพูดกันในวันนี้จะพูดถึงเรื่อง ความเป็นหนี้และไม่เป็นหนี้ โดยที่รู้สึกว่าคนยังไม่ค่อยรู้จักสิ่งนี้กันนัก และก็อาจจะเห็นเป็นว่ามันไม่เกี่ยวกับธรรมะก็ได้ เกี่ยวกับกู้หนี้ยืมสินใช้เขาเท่านั้นไม่เกี่ยวกับธรรมะ ที่จริง เอ, ความหมายนี้สำคัญมาก อ้า, เพราะว่าไอ้ความเป็นหนี้นั้นแหละมันก็ไม่ใช่ธรรมะ ความไม่เป็นหนี้จึงจะเป็นธรรมะ คนบางคนไม่รู้จักกล่าวแม้แต่คำว่า ขอบใจ หรือขอบคุณ เพราะมันไม่รู้สึก ถ้ามันรู้สึกมันก็จะกล่าวคำว่าขอบคุณ ขอบใจ อย่างน้อยก็ยังเป็นการใช้หนี้ไปตามแบบ ตาม เอ้อ, โอกาส อา, คนที่มีแต่รับเอาๆ ไม่มีให้เลยนี่มันเป็นที่เกลียดชัง เอ้อ, ของครู ของคนทั้งหลาย มันมีแต่รับเอาๆ มันก็คือเป็นหนี้ แล้วมันไม่เคยให้เลย ทว่าดีแต่เอาไม่มีให้นั้นน่ะคือคนเป็นหนี้ แต่คนนั้นมันกลับรู้สึกตัวว่าเราได้ เราได้เปรียบ เราได้อะไรอยู่คนเดียว มันก็กลายเป็นไม่มีธรรมะ ก็คือไม่มีหิริและโอตตัปปะนั่นเอง ถ้ามันมีหิริและโอตตัปปะอยู่บ้าง มันจะทำอย่างนั้นไม่ได้ ดังนั้นการที่ไม่รู้จักตอบแทนคุณเขานั้นก็คือความไม่มีหิริและโอตตัปปะ หรือมักจะเรียกกันอย่างหนึ่งว่าเป็น คนอกตัญญู เป็นคนอกตัญญูก็คือคนที่ไม่ใช้หนี้ นี้ขอให้สังเกตดูให้ดีว่าเรานี่มันเป็นหนี้กันอย่างไร เป็นหนี้กันอย่างไร มันหลีกไหวไหมที่จะไม่เป็นหนี้ มันจะเป็นหนี้เรื่อยไปๆ จะใช้กันไปมา หรือ หรือไม่ใช้ก็แล้วแต่ มันจนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ หรือว่าหมดตัวตน หมดอัตตา ตัวตนแล้วมันจึงจะพ้นจากความเป็นหนี้ ตลอดเวลาที่มันยังมีตัวตน ยังไม่เป็นพระอรหันต์ มันก็ยังมีการเป็นหนี้ มันก็เป็นหนี้ โดยธรรมชาติ เป็นหนี้ตามธรรมชาติ นี้ก็อย่างหนึ่ง แล้วก็เป็นหนี้ เอ้อ, ตามสมมุติหรือบัญญัติกัน ตามกฎหมาย ตามประเพณีนี้มันก็อย่างหนึ่ง มันมีอยู่ ๒ หนี้ ไอ้หนี้ เออ, ตามกฎหมายตามประเพณีนั้นมันจำเป็นต้องใช้เพราะมันไปทำสัญญากู้ สัญญายืมอะไรเขาไว้ ไม่ใช้เขาก็ฟ้องร้อง เขาก็ยึดทรัพย์ให้มันยุ่ง มันก็ต้องใช้ มันก็รู้จักกันดี ไอ้หนี้ชนิดนี้ แต่หนี้ที่เป็นโดยธรรมชาตินี่ไม่ค่อยจะรู้จักกัน แล้วก็ไม่สำนึกในหน้าที่ มันก็กลายเป็นคนที่ไม่มีหิริ และโอตตัปปะ ฉะนั้นอย่ารู้จักกันแต่เรื่องว่าเราไม่ติดหนี้ใครตามกฎหมาย ให้รู้เสียว่าเรายังเป็นหนี้หรือติดหนี้คน หรืออะไรอีกเป็นอันมาก เป็นอันมาก แต่มิใช่ตามกฎหมาย แต่ว่าตามธรรมชาติ มันเป็นการไม่ใช้หนี้ก็เรียกว่าติดหนี้ แล้วมันก็ยังมากไปกว่านั้นอีกคือว่า ถ้ามันทำงานไม่คุ้มค่ามันก็เป็นหนี้ เออ, เช่นที่เขาพูดกันเป็นประจำว่าทำงานไม่คุ้มค่าข้าวสุก ถ้าใครทำงานไม่คุ้มค่าข้าวสุกมันก็คือเป็นหนี้นั่นเอง ฉะนั้นขอให้สนใจว่าไอ้คำว่าเป็นหนี้นั่นก็คือมันทำงานไม่คุ้มค่า นั่นแหละมากกว่าหรือสำคัญกว่าที่มันจะไปติดหนี้ใครจริงๆ เดียวนี้ถ้าทำงานไม่คุ้มค่า ในการที่ธรรมชาติให้มัน ให้เขาเกิดมาเป็นคนๆหนึ่ง เขาทำงานไม่คุ้มค่า ไม่เต็มตามความหมายแห่งมนุษย์ อันเหล่านี้ เป็นต้น ก็เรียกว่าเป็นหนี้ เป็นหนี้ใคร เป็นหนี้ธรรมชาติก็ได้ เป็นหนี้ความที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ธรรมชาติลงทุนให้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ทำงานไม่คุ้มค่า การที่ทำอะไรไม่คุ้มค่าอย่างนี้ก็เรียกว่า อา, เป็นหนี้ อย่ารู้จักกันแต่ว่าเป็นหนี้ตามกฎหมาย ตามประเพณี เกิดมาชาติหนึ่งทำงานไม่คุ้มค่าก็ต้องถือว่าเป็นหนี้ที่จะต้องใช้ต่อไป และก็เชื่อว่าการเกิดใหม่ในครั้งหน้ามันก็ ก็เรียกว่าเป็นหนี้ใช้กันในชาติหน้า คนโบราณเขาพูดกันมาเป็นธรรมเนียมหรือว่าเป็นที่รู้จักกันว่า พระ เณรที่ฉันอาหารไม่ปัจจเวก ไม่ปัจจเวก ยถา ปัจจยัง ปฏิสังขาโย นี่ไม่ปัจจเวกนี่ ตายไปจะต้องไปเป็นหนี้ ใช้หนี้ทายก ทายิกาที่ได้ใส่บาตรให้ฉันหรือถวายอาหารให้ฉัน เขารับผิดชอบกันมากถึงขนาดนี้ ก็หมายความไม่ทำหน้าที่ที่ถูกต้องของพระ ของเณรแม้แต่ฉันก็ไม่ปัจจเวกนี้ มันก็เลยเป็นหนี้ อย่างนี้ก็คิดดูเถิด ไอ้ความเป็นหนี้นี้มันละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เอ้อ, แยบคาย กว้างขวาง ภิกษุจะต้องมีอะไรที่คุ้มค่า ทำอะไรที่คุ้มค่า แล้วก็เกินค่า เกินค่า จนกระทั่งเกินๆ เหลือที่จะกล่าวได้ เหมือนกับเป็นพระอรหันต์อย่างนี้ อย่างนี้ก็เรียกว่าบริโภคอย่างเจ้าหนี้ อา, ถ้าเป็นขอทาน ไปขอทานเขามาฉันมากิน ก็เรียกว่า บริโภคอย่างลูกหนี้ เพราะว่าขอทานไม่ได้ทำอะไรให้คนเหล่านั้น ถ้าจะพูดโดยอ้อม โดยอันนั้นมันก็ได้ แต่นี่มันก็พูดกันตรงๆ ว่า ถ้าภิกษุนี้มีทำอะไรให้แก่มนุษย์ในโลกนี้มาก มาก หรือมากกว่าไปรับอาหารอะไรมาฉันมาบริโภคก็เลยไม่เป็นหนี้ เพราะเราได้ให้เขาไปมากกว่า ยิ่งเป็นพระอรหันต์แล้วก็ให้มากกว่า ยิ่งเป็นพระพุทธเจ้าแล้วยิ่งให้มากกว่า ดังนั้นจึงเกิดคำพูดขึ้นมาเป็น ๒ คำว่า บริโภคอย่างลูกหนี้ คำหนึ่ง และก็บริโภคอย่างเจ้าหนี้ คำหนึ่ง ภิกษุต้องเป็นผู้บริโภคอย่างเจ้าหนี้ คือทำอะไรให้คุ้มค่าหรือเกินค่า ไม่เหมือนคนขอทาน อา, คนขอทาน นักพูด นักพูดโวหารกล้าก็คงจะพูดว่า เอ้อ, มาขอทานเพื่อให้เขาได้บุญ อย่างนี้จะเป็นการเอ่อ, ให้ได้เหมือนกัน แต่ว่าจะแก้ตัวกันอย่างนั้นมันก็ได้เหมือนกันละ มันก็ข้างๆคูๆไปตามเรื่อง ให้สัตว์เดรัจฉานมันก็ไปในรูปนั้น ได้บุญ ได้ลดความเห็นแก่ตัว แต่ถวายแก่บรรพชิตผู้ปฏิบัติหน้าที่ของบรรพชิตสมบูรณ์นี้ มันไม่ได้สร้างหนี้ อ่า, เพราะบรรพชิตที่ทำหน้าสมบูรณ์นั้นเป็นเจ้าหนี้ ข้อนี้มันก็ต้องดูกันหน่อยว่าบรรพชิตนั้นมีหน้าที่อะไร มันจะพูดได้มากกระมัง ถ้าว่าเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาก็มีหน้าที่สืบอายุพระศาสนา ถ้าเป็นบรรพชิตในอย่างอื่นก็ว่ามี เอ้อ, การปฏิบัติให้ดู ดับทุกข์ให้เห็นเป็นเครื่องอุ่นใจ หรือว่าสั่งสอนให้รู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องที่ควรจะรู้ แต่เขาถือกันมากกว่านั้น อ้า, ถือว่าแม้แต่เพียงเป็นอยู่ให้ดูในโลกนี้ มีผู้ที่ไม่มีความทุกข์เป็นอยู่ให้ดู นี้ก็เรียกว่าคุ้มค่าแล้ว เพียงแต่ได้เห็นสมณะผู้สงบ ไม่มีความทุกข์ก็นับว่าได้ประโยชน์มหาศาล ทำให้จิตใจสงบเยือกเย็นแล้วก็อยากจะเป็นไปตามนั้นด้วย ดังนั้น ถ้าว่าเป็นบรรพชิตเป็นสมณะ เอ้อ, ที่แท้จริง มันก็มีการกระทำที่คุ้มค่าอยู่ในตัว แต่ถ้าว่าไม่ทำหน้าที่ที่แท้จริง ที่ถูกต้อง มันก็ไม่คุ้มค่า มันก็เป็นลูกหนี้ ฉะนั้นอย่าได้คิดหวัดๆไปว่าเราบวชแล้วก็แล้ว แล้วก็แล้วกัน ก็มีหน้าที่จะบิณฑบาต ฉันหรือเขาว่ากันอย่างนั้น นี้ก็ไม่ถูกนัก เพราะว่ามันไม่ได้เป็นบรรพชิตนั่นเองล่ะ มันไม่ได้เป็นสมณะนั่นเอง แม้จะบวชแล้วมันก็ไม่เป็นบรรพชิต ไม่เป็นสมณะ ถ้าอย่างนี้มันก็ ไม่ ไม่ใช่เจ้าหนี้ ต่อเมื่อได้ทำหน้าที่ที่ถูกต้องของบรรพชิตของสมณะ เอ่อ, นั่นแหละจึงจะมีความเป็นเจ้าหนี้เกิดขึ้น จึงต้องทำหน้าที่บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง สั่งสอนจริงไปตลอดเวลาเรียกว่า จะเป็นผู้บริโภคอย่างเจ้าหนี้ เอ้อ, ขึ้นมา อา, ภิกษุต้องไม่มีคำว่าเป็นหนี้ ถ้ายังเป็นหนี้มันก็ใช้ไม่ได้แหละ มันไม่ใช่ภิกษุ มันยังมีอะไรที่ผูกพันอยู่ในโลก มันต้องไม่มีหนี้ จะเป็นหนี้ทางไหนก็ตาม คือจะไม่มีหนี้โดยประการทั้งปวง หนี้กู้ หนี้ยืม นี้ก็ไม่มี จนหนี้ที่ทำงานไม่คุ้มค่าก็ไม่มีเหมือนกัน ขอให้เราสนใจกันให้ดีๆ เรื่องความเป็นหนี้ หรือความไม่เป็นหนี้ ถ้ามีความเป็นหนี้ มันก็ไม่ใช่ผู้หลุดพ้น ไม่ใช่ผู้สมณะที่หลุดพ้นเพราะมันยังเป็นหนี้ อา, ที่ผูกพันอยู่ แม้แต่ความเป็นฆราวาสนี่ก็ถือกันว่าความเป็นหนี้นั้นเป็นทุกข์ อินา ทานัง ทุกขัง โลเก อ่า, ความเป็นหนี้ เป็นทุกข์ในโลกนี้ แล้วก็ ก็ ก็เป็นจริงอย่างนั้นน่ะ ตามที่เขาถือปฏิบัติกันอยู่ ถ้าเป็นหนี้ มันก็ร้อนใจ มันก็นอนหลับยาก มันไม่สร้างหนี้ ไม่ก่อหนี้นั่นแหละเป็นการดี แต่ที่ไปยืมเขามาทำการงานลงทุนมีกำไรอย่างนี้ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่เป็นไร มันไม่ใช่เรื่องร้อนใจ แต่มันก็มีบ้างที่เป็นห่วงวิตกกังวล สู้ไม่เป็นหนี้ไม่ได้ เกียรติของความไม่เป็นหนี้ สูงมาก สูงมากที่ว่าอยู่เหนือ เหนือข้อผูกพัน แต่แล้วเดี๋ยวก็จะต้องพูดกันถึงเรื่องไอ้ความเป็นหนี้ชนิดที่มัน มันยากที่จะเปลื้อง คือความเป็นหนี้โดยธรรมชาติ เรารับผิดชอบในการที่ได้เกิดมา แล้วมันก็พูดได้ว่าพอเกิดมาลืมตาขึ้นมาในโลก มันก็เป็นหนี้แล้ว เสร็จแล้ว เป็นหนี้แล้ว คิดดูเองก็มองเห็นได้ง่าย พอเกิดออกมาก็เป็นหนี้บุญคุณบิดามารดาผู้ให้เกิดมาแล้ว แล้วก็ยังเป็นหนี้อะไรๆ อีกหลายๆ อย่างที่เขาทำไว้ดี ทำไว้ถูกต้อง เราก็เกิดมากัน ได้อาศัย ได้ความรู้ หยูกยา การบำบัดโรคภัยไข้เจ็บเหล่านี้ พอเกิดมาเราก็ได้ใช้ ได้กิน ได้ใช้ ก็เป็นหนี้บุค บุคคลผู้ได้คิดค้นสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาใส่ไว้ในโลก พอทารกเกิดมาจากท้องมารดาก็ได้ใช้ ได้กิน ได้ใช้ ก็เป็นหนี้ไปแล้ว ก็เป็นหนี้บุญคุณของบิดามารดาไปแล้ว แล้วมันก็ได้รับการคุ้มครองดูแลรักษาเรื่อยมาๆ เช่นว่า ประเทศชาติมีระบบการปกครองดี มีกฎหมายดี มี เออ, มีการทำหน้าที่ดี มีความปลอดภัย เราก็อยู่อย่างปลอดภัย ถ้ามันไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็ ก็ ก็มีคนมาฆ่าตายเมื่อไหร่ก็ได้ จะมีคนมาบุกรุก จะมีคนมาเหยียบย่ำ มาปล้น มาชิง มาอะไรไปเสียก็ได้ นี่ก็เรียกว่า มันก็เป็นหนี้ เอ่อ, โดยไม่รู้ตัวแล้ว บางคนก็ไม่อาจจะรู้หรือไม่คิด ไม่คิด ไม่ยอมรับรู้ก็มี มันก็มี มีไปตามแบบอันธพาล ฉะนั้นเราควรจะระลึกถึงข้อที่ว่า เออ, มันอยู่คนเดียวไม่ได้ในโลกนี้ มันจะต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ใครลองคิดอยู่คนเดียวดูสิ ลองคิดอยู่คนเดียวในโลกนี้จะอยู่ได้ไหม มันจะอยู่ได้อย่างไร อยู่ในโลกนี้คนเดียว ให้เขา แม้ว่าเขาจะให้ยกโลกทั้งโลกนี้ให้เราเป็นเจ้าของครองคนเดียวมันก็อยู่ไม่ได้นั่นแหละ นี้เรียกว่ามันต้องสัมพันธ์กัน ก็ทุกอย่าง เราจะรู้บุญคุณของสิ่งต่างๆที่เราได้อาศัยนี่ คำว่าอาศัยนี้ ก็ได้อาศัยกิน ได้อาศัยใช้สอย ได้อาศัยร่มเงา ได้อาศัย อ้า, เพื่อความปลอดภัย ความสะดวกสบาย คนโบราณเขาจึงมีการสั่งสอนอบรมให้รู้บุญคุณไปเสียหมด แล้วก็จะได้ไม่ทำผิดต่อสิ่งเหล่านั้น อา, ผมนี้เกิดมาในครอบครัวที่แม่สอนให้รู้จักบุญคุณ อ่า,ของน้ำ ของไม้ฟืน หรือว่าไม่ใช้ให้มันเปลือง ไอ้น้ำก็ดี ไม้ฟืนก็ดี อะไรก็ดีที่มันใช้แล้วมันเปลืองน่ะ ต้องรู้จักบุญคุณของมัน ไม่ใช้ให้เปลือง รักษาทะนุถนอมเอาไว้ ล้างเท้าด้วยน้ำมากเกินไปก็ไม่ได้ ก็ถูกต่อว่า หรือใช้ไม้ฟืนโดยไม่ประหยัดน่ะ ก็ถูกต่อว่า นี่เขาถือกันมาแต่โบราณนานกาลให้รู้จักคุณค่าของสิ่งต่างๆ ที่เราได้อาศัยใช้สอย ฉะนั้นจึงสอนให้ถือว่ามีบุญคุณ มีคุณค่าไปเสียทั้งหมด พระจันทร์ พระอาทิตย์ พระโพสพ พระอะไรต่างๆ สารพัดอย่าง จำไม่ไหวแล้ว มันจะเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ก็จริง แต่ว่ามันก็ทำให้คนกตัญญู ให้คนระมัดระวังให้คนไม่สะเพร่า ให้คนที่มีความคิดนึก สุขุม รอบคอบ ละเอียดลออ จึงถูกสอนให้ยกมือไหว้ไปเสียทุกอย่างก็ว่าได้ เพราะมันมีบุญคุณ แม่น้ำลำธารห้วยหนองคลองบึง บาง ถนนหนทาง มันก็มีบุญคุณไปหมด นี่คุณลองคิดดูสิว่าถ้ามันอยู่กันอย่างนี้มันจะเป็นอย่างไร คือยอมรับสภาพเป็นหนี้โดยหน้าชื่นตาบาน ไม่บิดพลิ้ว เราเกิดมาได้เดินบนถนนหนทาง ได้ใช้คู ใช้คลอง ใช้ แล้วก็ยอมรับว่าเป็นหนี้บุญคุณ ป่าไม้ให้ร่มเงา ยิ่งคิดไปมันก็ยิ่งมองเห็นความผูกพันเหล่านี้ว่ามันจะต้องยอมรับรู้ แล้วเราก็จะต้องตอบแทน จะต้องตอบแทนน่ะ จะต้องช่วยรักษา เอ่อ, ทรัพย์สมบัติของธรรมชาติ ดังนั้น อย่าหาว่าคนโบราณโง่นะ เราจะโง่เองก็ไม่รู้นะ ในคำกรวดน้ำ อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา จันทิมา ราชา อะไรก็ตาม ถือว่าพระอาทิตย์ พระจันทร์อะไรเหล่านี้ก็มี มีบุญคุณทั้งนั้น ไอ้คนสมัยใหม่อาจจะหาว่าคนโบราณโง่ เพราะคนสมัยใหม่มันโง่เอง มันไม่รู้ มันมีบุญคุณจริงนี่ เอ้อ, และก็ยังสอนให้เรารู้จักบุญคุณ นึกถึงหรือระลึกนึกถึงแล้วก็ตอบแทนคุณ แล้วจะว่าโง่อย่างไร จะว่างมงายอย่างไร นี่เดียวนี้คิดดูให้ดี มันไม่มีอะไรที่ว่าจะไม่มีคุณน่ะ มันมีคุณ มีค่าไปเสียทั้งนั้น แล้วเราก็ได้อาศัยแม่พระธรณี แผ่นดิน แม่น้ำ คงคา แม่ ไอ้,พระพาย พระลม พระอากาศพระอะไรก็ พระฝน พระฟ้า มันก็ควรจะรับรู้ ที่ตอบแทนได้ก็ตอบแทน แต่มันก็ตอบแทนได้ด้วยการที่รับรู้นั้นแหละ รับรู้บุญคุณ จะกล่าวคำว่าขอบคุณๆ ขอบใจๆ สักทีหนึ่งก็ดี นี้ขอให้สนใจว่ามันมีบุญคุณแก่กันแม้ว่าในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์เท่านั้นแหละ เพียงแต่เป็นเพื่อนมนุษย์มันก็มีบุญคุณเสียแล้ว ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ร่วมโลกกันช่วยให้เราอยู่กันได้สะดวกคือมีเพื่อนอยู่ ถ้าไม่มีเพื่อนอยู่ก็อยู่ไม่ได้ ที่นี้ก็ควรระลึกนึกลงไปถึงสัตว์เดรัจฉานเป็นวัว ควาย ช้าง ม้า อะไรก็ตามได้อาศัยมันอ้า, สำเร็จประโยชน์ในการเลี้ยงชีวิตอยู่ที่สุด แต่ว่าสุนัขนี้ มันก็ให้ประโยชน์คุ้มครองไปตามแบบของสุนัข แมวก็มีบุญคุณ คุ้มครองหนู ที่คุณอยู่ได้สบายแต่ละกุฏิ แต่ละกุฏิ นั้นน่ะ แมวมันช่วยคุ้มครองหนู มิฉะนั้นหนูจะมากวนยิ่งกว่ากวนเพราะมันมีมาก มันเคยมีครั้งหนึ่งมันขาดแมว หนูมากัดผมที่เท้านี่ นอนหลับ คิดดูสิ มันมากถึงขนาดนี้ แล้วมันจะไม่รู้บุญคุณของแมวอย่างไร แม้แต่ไก่มันก็ยังขันให้มีประโยชน์ บางทีมันช่วยกำจัดไอ้, สิ่งสกปรกหรือสิ่งที่เป็นอันตราย ก่อนนี้ปลวกกัด เดินไม่ค่อยจะได้ กลางคืนอย่างนี้เดินไปไหนก็โดนปลวกกัด แต่พอมีไก่เดี๋ยวนี้มันก็หายไป เพราะมันมี เอ้อ, คุณค่า มีประโยชน์ มีอะไรกันไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเราควรจะรับรู้ การเป็นหนี้โดยธรรมชาติมีขอบเขต อา, กว้างขวางถึงอย่างนี้ ควรจะรู้ รู้สึก รู้จัก รู้ขอบคุณ รู้ตอบแทน เรียกว่าช่วยกันไป ช่วยกันมา ทุกอย่างทุกประการที่จะช่วยได้ ที่จะช่วยได้ อืม์, ถ้าคิดอย่างนี้แล้วนะ มันด่าใครไม่ได้หรอก คนปากจัดที่มันด่าใครทั้งที่เป็นพระ เป็นเณร เป็นชี เป็นปาณา สงฆ์ มันก็ยังด่าคนน่ะ นี้เพราะว่ามันไม่รู้ เออ, ความที่ว่ามนุษย์นี้มันเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน ถ้ามันคิดว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน มันด่าใครไม่ลงหรอก ฉะนั้นขอให้รับรู้ไว้ด้วยว่ามันจะได้ จะได้ไม่เป็นหนี้ ไปด่าเขาคำหนึ่งน่ะ มันเป็นหนี้จนตาย เพราะมันก็ดูถูก ดูหมิ่นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็เป็นหนี้สุมกะลาหัวมันไปจนตาย จนกี่ชาติๆ ก็ไม่รู้ ฉะนั้นขอให้ระมัดระวังไอ้ความไม่เป็นหนี้ อย่าได้เป็นหนี้ ทั้งโดยธรรมชาติก็ดี โดยสมมุติบัญญัติก็ดี ระวังไอ้, ความเป็นหนี้โดยธรรมชาตินั่นแหละให้มาก ถ้ามันมากเหลือเกิน มันมากเหลือประมาณ จะไปกู้หนี้ยืมสิน ทำสัญญากู้บุคคล แต่หนี้มันมีนิดเดียว (นาทีที่ 0:27:21 ) มีน้อยมากเมื่อไปเทียบกันกับการที่เราเป็นหนี้ตามธรรมชาติแล้วมันมากมายมหาศาล เหลียวไปทางไหน คุณเหลียวไปทางไหนก็เถิดที่จะไม่พบเจ้าหนี้ อา, ลองเหลียวไปทางไหนดูสิ เหลียว เหลียวไปบนฟ้า เหลียวไป ลงดิน เหลียวไปรอบข้าง รอบตัว มันมีแต่สิ่งที่เป็นเจ้าหนี้นะ เพราะว่าเราได้รับประโยชน์จาก จากมันต้องถือว่ามันเป็นเจ้าหนี้ แม้แต่ส้วมนั่นแหละ เอ้า, ก็ไปได้ใช้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ก็เป็นหนี้มันแหละ มันก็ควรจะรู้จักขอบคุณ หรือตอบแทนหรือรักษา หรือดูแล ในคนอกตัญญูมันก็ปล่อยให้ส้วมสกปรก แล้วก็มันมาจากที่อื่นด้วยซ้ำที่มันไม่ได้อยู่ที่นี่ มาทำส้วมสกปรกมัน มันเป็นสัตว์อกตัญญู มันไม่รู้จักคุณของส้วม ไม่รู้จักคุณของวัดที่สร้างไว้ให้มันใช้ คุณนึกอย่างไรกับคนเหล่านี้ นั่นแหละคือความเป็นหนี้หรือมันเป็นคนที่เป็นหนี้โดยไม่รู้สึกอะไรเอาเสียเลย มีคำกล่าวจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ ในพวกโจร พวกโจรนั้น อา, เขาสอนกันในหมู่พวกโจรไม่ให้ปล้นคนที่ อา, เคยมีบุญคุณ เคยให้ เป็นบุญคุณ มันไม่ ไม่ปล้น ไม่จี้คนที่เคยมีบุญคุณ แม้แต่ให้อะไรสักนิดหนึ่ง เคยได้ยินเขาเล่าให้ฟังว่า โจรพวกหนึ่งมันจะปล้นบ้านนั้น แล้วหัวหน้าโจรมันก็บอกว่า ไม่ปล้น บ้านนี้ฉันเคยแอบมาหลบฝนครั้งหนึ่ง แอบมาหลบฝนใต้ถุนบ้านครั้งหนึ่ง โดยที่เจ้าบ้านก็ไม่รู้ ไอ้โจรนี้มันยังถือว่ามีบุญคุณแล้วมันไม่ปล้น มันไปปล้นบ้านอื่น นี่ในหมู่พวกโจร เอ้อ, มันก็ยังมีธรรมะชนิดนี้ซึ่งยึดถือเป็นหลัก เพียงแต่ได้เคยอาศัยร่มไม้ชายคาของเขากันฝนหน่อยหนึ่ง มันก็ไม่ ไม่ปล้น ไม่กล้าปล้น ถ้ามันได้เคยกินข้าวกินปลามันก็คงจะไม่กล้าอย่างยิ่งขึ้นไปอีก ฉะนั้นขอให้ใคร่ครวญดูให้ดีว่าไอ้ความไม่เป็นหนี้นี่ดีมาก ไอ้ความเป็นหนี้มันผูกพันเหลือประมาณ มันผูกพันเหลือประมาณ รีบทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ เป็นการใช้หนี้ เกิดมาในโลกที่มันมีอะไรให้ครบทุกอย่างอย่างนี้ ก็ยอมรับว่าเป็นหนี้แล้วก็ทำทุกอย่างเพื่อใช้หนี้ คือสร้างสรรค์อะไรที่ทำให้โลกนี้มันดีขึ้น ให้โลกนี้มันงดงามมันน่าอยู่ยิ่งขึ้น มันก็เป็นการตอบแทนคุณโลก ใช้หนี้บุญคุณของโลก ไม่เป็นหนี้เออ, ติดตัวไป ขอให้เรายอมรับรู้ไว้ถึงขนาดนี้เถิด มันจะเกิดหิริโอตตัปปะ กตัญญูกตเวทีขึ้นมามากมายในจิตใจ แล้วมันก็จะคุ้มครอง มันจะคุ้มครองผู้มีหิริโอตตัปปะ มีกตัญญู มีอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เดี๋ยวนี้เมื่อมันไม่รู้ รับรู้ข้อนี้ มันก็เห็นเป็นไม่มีอะไร มันพร้อมที่จะฆ่า มันพร้อมที่จะปล้น มันพร้อมที่จะเอาเปรียบ ตามแบบของอันธพาลน่ะ อันธพาลในโลกนี้ เขาไม่ได้คิดว่าใครมีบุญคุณแก่ใคร ใครมีอะไรก็ปล้น จี้ ลัก ขโมยแย่งชิง โดยที่ไม่ถือว่าไอ้ทีเราก็ไม่อยากให้ใครเขาทำอย่างนั้น ไอ้เราไปทำอย่างนั้นกับเขานี่มัน มันไม่ยุติธรรม เอาละ ทีนี้เราจะต้องรับรู้บ้างว่าในทิศทั้ง ๖ ในทิศทั้ง ๖ ซึ่งก็เรียนกันมาแล้วทุกคนใน นวโกวาท ที่ปฏิบัติ ทิศข้างหน้า คือ บิดามารดา ทิศข้างหลัง บุตร ภรรยา ทิศทาง เอ้อ, ขวา ครูบาอาจารย์ ทิศข้างซ้าย มิตรสหาย ทิศข้างบน คือ ผู้มีอำนาจเหนือ ผู้มีบุญคุณเหนือ ทิศข้างล่าง อ่า, คือ ผู้ที่อยู่ภายใต้ เอ่อ, ความช่วยเหลือของเรา เอ้อ, คือ ผู้น้อย เป็น ๖ ทิศนี้ ทำไมคนโบราณเขาถึงสอนให้ไหว้ทิศ และสอนกันมาก่อนพุทธกาล ซึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปพบเข้า เด็ก อ้า, ชายหนุ่มคนนั้นไหว้ทิศ ไหว้ทิศทั้ง ๖ อยู่ ลงไปในแม่น้ำ มีตัวเปียกชุ่ม ทำพิธีอะไรต่างๆ เสร็จแล้วก็ไหว้ทิศทั้ง ๖อยู่ ลงไปในแม่น้ำ ไปล้างบาป แล้วมันก็มาไหว้ทิศทั้ง ๖ พระพุทธเจ้าท่านมาพบ ก็ท่านถามว่าทำอะไร บอกว่าไหว้ทิศทั้ง ๖ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าก็ดี ดีๆ แต่ว่าในอริยวินัย ในหมู่ชนชาติอริยะ หรืออริยวินัยน่ะเขาก็มีเหมือนกัน เขาไหว้ทิศเหมือนกัน อา, เขาก็ไหว้ทิศ อย่างไร ท่านก็ตรัสให้คนนี้ฟังว่า ทิศข้างหน้า บิดามารดา ทิศข้างหลัง บุตรภรรยา ทิศข้างซ้าย มิตรสหาย ทิศข้างขวา ครูบาอาจารย์ ทิศข้างบน คือ ผู้อยู่เหนือ ทิศข้างล่าง คือผู้อยู่ใต้ มันน่าหัวที่ว่ามันต้องไหว้บุตร ภรรยา หรือว่าคนอยู่ข้างใต้ คำว่า ไหว้ ในที่นี้ไม่ต้องอะไรหรอก คือรู้จักบุญคุณ ขอบคุณมันก็แล้วกัน นั่นแหละคือไหว้ ถ้าเป็นบิดามารดา มีบุญคุณก็ไหว้ ก็ถ้าบุตร ภรรยานี้มันก็ยังมีปัญหาว่า มันมีบุญคุณที่จะ ถึงกับต้องไหว้ไหม หรือว่าเราเป็นเจ้าหนี้เสียอีก แต่เดียวนี้เขาให้ อา, เขา เขามีหลักเกณฑ์ที่ว่ามันมีบุญคุณ มันมีประโยชน์ มันได้อาศัยได้ประโยชน์ มันก็ถือว่ามีบุญคุณ จึงใช้คำว่า ไหว้ เหมือนกัน ลูกจ้างกรรมกรอยู่ข้างล่างของเรา เป็นทิศเบื้องต่ำ ทำไมจะต้องไหว้ ก็คือยอมรับรู้ประโยชน์ บุญคุณของมัน หรืออย่างน้อยรับรู้ ไอ้ความที่มันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง อา, การยอมรับว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่งนี่น่ะ สำคัญมาก คือ ความเคารพน่ะ เดี๋ยวนี้คนมันไม่เคารพ อา, พระ เณรที่ไม่มีมรรยาทจะเรียกพระด้วยกันเรียกแต่ชื่อ ทั้งที่ว่าแก่กว่าด้วยซ้ำไปไม่ใช่เสมอกัน ถ้าเป็นครูบาอาจารย์จะเรียกแต่ชื่อมันก็พอสมควร แต่ถ้าเป็นพระ เป็นเณรเสมอกัน เหมือนกัน เรียกแต่ชื่อนี่เป็นคนดูถูกเขา ไม่ยอมรับความเป็นพระ เป็นเณร หรือความเป็นมนุษย์ของเขา อือ, คนชนิดนี้มันจะดูถูกเด็กเล็ก มันจะดูหมิ่นเด็ก มันจะไปรังแกเด็ก มันจะล้อเลียนเด็ก อะไรก็ตาม มันไม่มีความเคารพ และหมากับแมว มันก็ยิ่งไม่เคารพ พระเณรอย่างนี้ก็มี ฉะนั้นขอให้มีความรับรู้ในทิศทั้งหลายเหล่านี้ แล้วก็เคารพด้วยการยอมรับรู้ ยอมรับรู้นั่นแหละคือการเคารพ การไหว้ อย่าได้ดูถูกเพื่อนมนุษย์ มันจะดีกว่าเรา มันก็เป็นมนุษย์ เสมอกับเรามันก็เป็นมนุษย์ ต่ำเลวกว่าเรา มันก็เป็นมนุษย์ ฉะนั้นอย่าไปดูถูกดูหมิ่น พยายามสอดส่องมองหาความเป็นประโยชน์ของเขาให้ได้ เพราะเขาก็ต้องมีประโยชน์ แม้เขาจะเป็นคนใช้ กรรมกร แต่ว่าเขาก็เป็นคนใช้ กรรมกรที่ซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวที หวังดีต่อนายจ้าง อย่างนี้มันก็มี มันก็ควรจะรู้ไว้ ก็ยอมรับรู้ไปถึงไอ้, วัว ควาย ช้าง ม้า สุนัข แมว หมู หมา กา ไก่ อะไรก็ตามจะไม่ดูถูกมันเป็นอันขาด จะไม่เย่อหยิ่งจองหองยกตัวเองข่มผู้อื่นเป็นอันขาด นั่นน่ะมันไปทำลายเกียรติยศของผู้มีประโยชน์ ผู้มีบุญคุณ มันก็เลยกลายเป็นลูกหนี้ อย่า อย่าเป็นกันดีกว่า อย่าเป็นลูกหนี้ชนิดนี้กันเลย มันไม่สนุกหรอก แล้วก็มันจะนั้นเรียกว่าพูดอย่างนั้นก็มันต้องใช้หนี้กันตลอด ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ อืม์, เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจโดยเฉพาะทิศทั้ง ๖ มันก็พูดกันแต่อย่างอื่น พูดกันแต่เรื่องประโยชน์ พูดกันแต่เรื่องคบค้ากันเพื่อหาประโยชน์ หาความได้เปรียบนั่นแหละ มัน มัน มันเจอแต่อย่างนั้น ไม่สนใจให้รอบด้าน รอบตัวคือทิศทั้ง ๖ อย่าได้เป็นลูกหนี้แก่ทิศทั้ง ๖ มองไปทางทิศเบื้องหน้า บิดามารดา แล้วก็ตอบแทนพระเดชพระคุณเหลือประมาณเหลือเฟือ มองไปข้างหลังบุตรภรรยาก็ตอบแทนคุณเขาเหลือประมาณ มองไปทางซ้าย มิตรสหายก็ตอบแทนคุณเขาเหลือประมาณ ครูบาอาจารย์ตอบแทนคุณเขาเหลือประมาณ อา, แหงนขึ้นไปข้างบน อะไรที่อยู่บน เหนือขึ้นไปจนกระทั่งพระพุทธเจ้าก็ตอบแทนพระคุณอย่างยิ่งเหลือประมาณ ลองมองไปข้าง ข้างล่าง คนใช้ กรรมกร ลูกจ้าง ก็ยอมรับว่าเขาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายของเรา ศึกษาเรื่องเศรษฐีใจบุญจากบาลี อรรถกถาอะไรต่างๆ เศรษฐีใจบุญก็รักลูกจ้าง กรรมกรเหมือนกับเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ดูถูก ไม่เอาเปรียบ ไม่อะไรต่างๆ ก็แบ่งสันปันส่วนต่างๆให้ใช้สอย ให้อยู่สบาย เมื่อเหลือกินเหลือใช้ก็ตกลงเอามาสร้างโรงทานกัน ข้าทาสบริวาร กรรมกร เหล่านั้นก็มีส่วนเป็นเจ้าของโรงทาน นี้มันอยู่กันแบบนี้ มันตรงกันข้ามกับระบบนายทุนของสมัยปัจจุบัน ซึ่งไม่ยอมรับคุณค่า อ้า, หรืออะไรของไอ้, ไอ้ลูกจ้าง ไอ้ลูกจ้างมันก็ไม่ยอมรับคุณค่า หรือบุญคุณของนายจ้าง มันก็เลยได้เป็นข้าศึก คู่ คู่ทำลายล้างกันน่ะ นายทุนกับชนกรรมาชีพมันก็เลยกลายเป็นคู่ทำลายล้างกัน สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดมี มันก็มีขึ้นมาในโลก ในยุคคนป่าที่มันยังไม่ฉลาดในการเอาเปรียบ มันก็ไม่มี เพราะมันไม่มีการทะเลาะวิวาทกันอย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเหมือนสมัยนี้ เห็นไหมมันเกิดวิกฤตการณ์เลวร้ายขึ้นในโลกสมัยปัจจุบัน เพราะการที่มันไม่รับรู้บุญคุณของกันและกัน นี่ความที่ไม่ ไม่รู้ ความที่เราต้องรับรู้ ความที่เราเป็นลูกหนี้ เอ้อ, ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว ทีนี้การที่ท่านสอนให้มีเมตตา กรุณานี้มันก็เป็นเรื่อง เอ่อ, วิเศษ สอนให้รู้จักว่าเราเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันก็เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาอะไรกัน ต่อๆ กัน เอ้อ, ขอแทรกตรงนี้สักหน่อยนะ เป็นการนอกเรื่อง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นี่เขามักจะพูดกันว่า เมตตา รักใคร่ กรุณา สงสาร ช่วยเหลือ มุทิตายินดีด้วย เมต อุเบกขา วางเฉย วางเฉย นี้ไม่ถูก อุเบกขาไม่ใช่วางเฉย อุเบกขาอยู่เฉยๆ แต่คอยจ้องว่าเมื่อไรจะช่วยได้ถ้าคุณจะไปบอกไปสอนกันต่อๆ กันไป เป็นครูนักธรรมหรือเป็นอะไรก็ตาม คุณอย่าไปแปลอุเบกขาว่า อยู่เฉยๆ เพราะช่วยไม่ได้ ก็อยู่เฉยๆ นั่นก็หมายความว่า คอยจ้องดูอยู่ว่าเมื่อไหร่จะช่วยได้ แล้วก็จะช่วย เดี๋ยวนี้มันช่วยไม่ได้ ก็มองดูอยู่เฉยๆ ว่าเมื่อไหร่จะช่วยได้ นั่นน่ะ คือ อุเบกขาในพรหมวิหาร ไม่ใช่ว่าเห็นว่าเดี๋ยวนี้ช่วยไม่ได้แล้วก็เลิกกัน อย่างนี้ไม่ใช่ อุเบกขามีหลายความหมายนักหนาแหละ พูดกันไม่จบ แต่เดี๋ยวนี้พูดกันแต่อุเบกขาเฉพาะในพรหมวิหาร ไม่ใช่เฉย ไม่ใช่เฉย ไม่ใช่เลิกกัน มองดูอยู่ว่าเมื่อไหร่จะช่วยได้ อุเบกขาว่ามันก็เข้าไปเพ่งดู เข้าไปเพ่งอยู่ นั่นน่ะ คำว่าอุเบกขา แปลอย่างนั้น ไม่ใช่อยู่เฉยๆ แล้วมันคล้ายกับว่าดูอยู่เฉยๆ จนชาวนาทำนาได้ที่ ชาวนาทำนาครบถ้วนบริบูรณ์แล้วก็ดูอยู่เฉยๆ กว่าข้าวจะออกรวง อย่างนี้มันก็เพ่งดูอยู่เมื่อไหร่ข้าวมันจะออกรวง ในจิตใจมันไม่ได้เฉย ฉะนั้นเรามีอุเบกขา คือคอยจ้องดูอยู่ว่าเมื่อไหร่จะช่วยได้ ก็เรียกว่ายอมรับความผูกพันทั้งหมดเลย ถ้าช่วยได้ก็ช่วย ถ้ายังช่วยไม่ได้ก็คอยรอว่าเมื่อไรจะช่วยได้ ไม่ละทิ้ง ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดีมาก เอาละ ที่นี้ก็อยากจะพูดไอ้ที่ตั้งใจจะพูดว่า หากคอยนึกถึงความเป็นหนี้โดยธรรมชาติให้มาก อย่าให้มันมีอะไรที่ทำผิดในข้อนี้ จะตอบแทนธรรมชาติทุกแง่ทุกมุม แล้วก็มามี มาขึ้นมาถึงข้อที่ว่าสำหรับพระพุทธเจ้าละเราเป็นหนี้โดยธรรมชาติหรือว่าเป็นหนี้โดยอะไรหรือไม่เป็นหนี้ ใครคิดอย่างไร ใครคิดว่าเราเป็นหนี้พระคุณของพระพุทธเจ้าไหมหรือว่าเราไม่ได้เป็นหนี้ นี่จะต้องเลือกเอาเองไม่มีใครบังคับใคร แต่ในฐานะที่เราได้รับประโยชน์สูงสุดๆไม่มีอะไรจะสูงกว่าก็จะว่าอย่างไรไป ในบรรดาสิ่งที่มีพระคุณทั้งหลายน่ะ ก็เอาคุณของพระพุทธเจ้ามาไว้ก่อนคุณของบิดามารดา ผมจำไม่ได้เสียแล้วแต่เมื่อเด็กๆได้รับคำสั่งสอนบอกกล่าว อา, คุณของพระพุทธเจ้ามีกี่ร้อยกี่พันก็ไม่รู้ คุณของบิดามารดานี้มีกี่ร้อย กี่สิบเท่านั้นเองน่ะ ไม่ถึงคุณของพระพุทธเจ้าซึ่งจัดไว้มากมายเป็นลำดับๆมาให้จำนวนเลข ตัวเลขทั้งนั้น แต่ผมจำไม่ได้เสียแล้ว คงจำได้แต่พระคุณของพระพุทธเจ้าตัวเลขมากมายเหนือคุณของบิดามารดาเหลือเกิน นี่คนโบราณเขาจัดไว้อย่างนี้ เดี๋ยวนี้เราก็มาดูเองว่าพระพุทธเจ้าให้สิ่งที่มีค่า สูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใด ยิ่งกว่าที่บิดามารดาให้เราหรือไม่ คิดดูสิ บิดามารดาให้ชีวิต แล้วพระพุทธเจ้าท่านให้อะไรที่มันยิ่งไปกว่าชีวิต ที่มีค่ามากกว่าชีวิต ไอ้ข้อนี้มันก็ตอบได้หลายอย่าง ไอ้คำว่าชีวิตมันก็มีหลายความหมาย ในแง่วัตถุ ในแง่ร่างกาย ในแง่จิตใจ ในแง่สติปัญญา มันก็มีหลายแง่ บิดามารดาให้ชีวิตทางร่างกาย พระพุทธเจ้าให้ชีวิตในทางจิตใจ ในทางจิต ทางวิญญาณ ทางจิตใจ ดังนั้นเขาจึงจัดไว้ในฐานะว่ามีบุญคุณเหนือบิดามารดาไปเสียอีก พระพุทธเจ้ามีบิดา มีพระคุณแก่บิดามารดาของเราซึ่งมีพระคุณแก่เรา ก็เลยพระพุทธเจ้าชนะ ชนะเด็ดขาด มีพระคุณเหนือ เหนืออะไรหมด ยังจะต้องนึกไปถึงคุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ว่าจะมีเหนือไปยิ่งกว่าบิดามารดาอีกหรือไม่ ถ้ารู้จักคุณของพระธรรมมันก็คงจะเหนืออีกแหละ ถ้ารู้จักคุณของพระสงฆ์โดยแท้จริง พระสงฆ์ที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั่น ๔ คู่ ๘ องค์ มันยังจะเหนือคุณของบิดามารดาไปอีกน่ะ มันเหนือผู้ให้ชีวิตไปเสียอีกเพราะว่า เป็นผู้ให้ชีวิตในทางฝ่ายจิตใจฝ่ายสูงกว่า หากพูดกันอีกทีหนึ่งก็ว่าท่านให้สิ่งที่ทำให้ชีวิตเป็นประโยชน์ ถ้าไม่ได้รับธรรมะมา ชีวิตที่ได้จากบิดามารดาจะไม่เป็นประโยชน์นะ ชีวิตที่ได้มาจากบิดามารดาจะไม่เป็นประโยชน์นะ ถ้าไม่ได้ชีวิตที่ได้มาจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือธรรมะ ธรรมะที่จะเอามาทำให้ชีวิตนี้มันมีประโยชน์ เราจงรู้จักพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้มันกว้างขวางเหลือประมาณ พรรณนากันไม่หวาดไหว มันมีคาถา เอ๊ย, มี มีคำที่สวดพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าซึ่งมันอยู่ในหนังสือสวดมนต์ที่มีอยู่ประจำวัดนะ ซึ่งผมเคยอ่านเห็นกับสวด สวดมนต์แบบโบราณ แต่ในหนังสือสวดมนต์แบบปัจจุบันนี้ไม่มีแล้วไอ้เรื่องนี้ ที่ขึ้นต้นว่า สหัสสะ สีเสสะ เจ มุขขา สีเส มุขขา มุขขา เอ้ย, สหัสสะ สีเส (นาทีที่ 0:48:37- 0:48:50) เดี๋ยวก่อน มีหัวน่ะ มีหัวพันหัว ในหนึ่งหัวมีพันปาก ในหนึ่งปากมีพันลิ้นแล้วเขาก็ใช้ลิ้นทั้งหมดเขามีกำลัง กำลังมาก เขาพรรณนาอ้า, คุณของพระพุทธเจ้าอยู่กัปป์หนึ่งก็ไม่หมด จะเหลือเชื่อหรือว่าจะฟุ้งซ่าน แต่ผู้กล่าวคนนั้นมันจะต้อง ต้องมีความรู้สึกพิเศษจริงๆ ไหว้ทีละ สมมุติว่ามีคนๆ หนึ่งเขามีศีรษะ มีหัวน่ะ ตัวเดียว มีพันหัว เขามีหัวพันหัว พันศีรษะ ในหนึ่งศีรษะมีพันปาก ในหนึ่งปากมีพันลิ้น แล้วก็เขาใช้ลิ้นทั้งหมดนั้นน่ะ พรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าอยู่กัปป์หนึ่งก็ไม่หมด นะสักโก ติจักกันเนตุง พุทธัสสะ พุทธะเส(นาทีที่ 0:50:00 ) อะไร จำไม่ค่อยได้เสียแล้วเพราะมันนานมาแล้ว แต่ว่าได้ความว่าอย่างนี้ เขาพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าด้วยลิ้นจำนวนเท่านั้นอยู่หนึ่งกัปป์ก็ไม่หมดคุณของพระพุทธเจ้า เพราะเขามองในแง่ลึก ในแง่มหาศาล ในแง่ลึกซึ้งจนมันพรรณนาไม่ไหว สิ่งที่มีลักษณะอย่างนี้ในภาษาโบราณเขาเรียกว่า อนัคคะ อนัคคะ เรามาแปลกันผิดๆว่า ไม่มีค่า ตัวหนังสือมันทำให้แปลอย่างนั้นได้จริง อัคคะ แปลว่า ค่า อน- อัคคะ แปลว่า ไม่มีค่า กลายเป็นไม่มีค่าอะไรเลย ที่ถูกมันคือ อยู่เหนือการตีค่า คือมีค่าที่คำนวณไม่ไหวน่ะ เรียกว่า อนัคคะ สิ่งใดที่ เอ้อ, ที่มีค่ามาก เออ, จนคำนวณไม่ไหวแล้วกระทั่งคำพูดว่าหาค่าบ่มิได้ เด็กๆก็ฟังผิดหมด เดียวนี้ไม่ค่อยจะพูดกันแล้ว คำพูดชนิดนี้ แต่มันก็มีอยู่ในจารึกใ นคำพูดคนโบราณก็มี คำว่าหาค่าบ่มิได้มันหมายความว่า มีค่ามากจนตีราคากันไม่ไหว แก้วแหวนเงินทองนี้มันตีราคาได้ กลายเป็นของมีค่า แต่สิ่งที่ตีราคาไม่ไหวกลายเป็นของไม่มีค่า คือหาค่าบ่มิได้ คือไม่เกี่ยวกับราคา ไม่เกี่ยวกับมิติ ไม่เกี่ยวกับประมาณใดๆ วัดด้วยมิติใดก็ไม่ได้ ด้วยประมาณใดๆ ก็ไม่ได้ เลยเรียกว่าไม่มีค่า อยู่เหนือประมาณ อยู่เหนือประมาณ อยู่เหนือมิติ ถ้าเรามองเห็นตามนี้นะ เราจะตอบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้าอย่างไรไหว เท่าที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ตอบแทนคุณของพระพุทธเจ้าอย่างไรไหว ฉะนั้นผมขอร้อง ขอชักชวน ขอวิงวอนให้ทุกองค์ นี่จะอยู่เป็นพระต่อไปหรือจะลาสิกขาก็ตามใจ ขออย่าได้ลืมพระคุณของพระพุทธเจ้าในประมาณอย่างนี้ ในประมาณที่จะหาประมาณมิได้อย่างนี้ ช่วยกันเถิด ช่วยกันทำ เป็นฆราวาสก็ทำอย่างฆราวาส เป็นบรรพชิตก็ทำอย่างบรรพชิต อยากจะบอกให้รู้สักหน่อย เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าทำสวนโมกข์นานาชาติฝั่งโน้น ทั้งผมที่แก่จะตายวันตายพรุ่งแล้วก็ยังทำ ซึ่งมันยัง มันยากลำบาก ต้องใช้เงินมาก และก็ต้องใช้ความสามารถมาก อะไรมาก ก็ได้ใช้จนจะตายเสียก่อนหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องทำ นี่ แต่ก็ต้องทำ เพราะนึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า มันก็ต้องทำจน จน จนเลือดหยดสุดท้าย ว่าอย่างนั้นนะ คือจะต้องทำจนสุดชีวิตจิตใจ จะ จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก แต้มันทำหมดชีวิตจิตใจ ฉะนั้นขอให้นึกว่าเราจะต้องตอบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้าด้วยชีวิตจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นเลย มันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จนั้น มันแล้วแต่ อิทัปปัจจยตา แต่ว่าแน่นอนที่สุดคือ ต้องทำ ต้องอุทิศ ต้องบูชา ต้องตอบสนอง ฉะนั้นขอให้เป็นผู้กตัญญู รับรู้ไว้แล้วก็ช่วยกันด้วย ช่วยกันด้วย ไอ้งานที่ผมพูดไปนี้ เหมือนกับจะอวด ถ้าพูดไปแล้วก็เหมือนกับอวดดีที่ว่าจะแก้ไขความเข้าใจผิดของนักศึกษาในโลกทั้งโลกที่ยังเข้าใจพุทธศาสนาผิดๆ อยู่ให้มันถูกต้อง หรือการปฏิบัติที่มันผิดๆ อยู่ให้มันถูกต้อง นี่พูดอย่างนี้มันอวดดีที่สุด แต่ก็กล้า กล้าอวดดี กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ เพราะมันไม่มีอะไรที่จริงกว่านี้ หรือดีกว่านี้ หรือมันถูกต้องไปกว่านี้ในการที่เราจะ เอ่อ, สนองคุณพระพุทธเจ้า สนองคุณพระพุทธเจ้าดังที่กล่าวมาแล้วว่าจนพรรณนากันไม่หวาดไหวว่ามีพระคุณเท่าไหร่ อา, แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมแพ้น่ะ ไม่ยอมแพ้ จะต้องทำจนเอ่อ, เลือดหยดสุดท้าย ว่าอย่างนั้น ไอ้คำพูดโบราณมีอยู่คำหนึ่งซึ่งอยากจะให้ เออ, คุณได้ยิน เพราะคุณอาจจะไม่ได้ เคยได้ยินก็ได้ เพราะเป็นคำพูดประจำบ้านโบรม โบราณ นั้น อา, เอาอย่างปลาหมอมัน ไม่แพ้ปลาหมอ แถกไปจนเกล็ดแห้งแล้วก็ตายบนบก ปลาหมอน่ะมีลักษณะอย่างนั้นไม่ยอมแพ้ จะแถกไปจน เรื่อยไปจนกว่าจะพบน้ำข้างหน้า จน จนเกล็ดแห้ง หรือจนตาย หรือว่าจนกามันเอาไปกินเสียก็ตามใจ นี่ก็ ก็ ก็ให้มาตรฐานของความพยายามพากเพียรกันไว้ในลักษณะอย่างนี้ แต่มนุษย์ก็ไม่เคยดีกว่าปลาหมอ ถ้ามันพยายามอย่างนั้นมันก็ไม่มีอันธพาลในโลก อันธพาลในโลก เดี๋ยวนี้อันธพาลมันไม่ชอบเหนื่อย มันไม่ชอบลำบาก มันไม่ชอบมานะ อดทนอย่างปลาหมอ มันก็ไม่ทำการ ทำงานที่เหน็ดเหนื่อย มันก็ไปจี้ ไปปล้นดีกว่า รวยเร็ว รวยลัด อันธพาลก็ถือหลักอย่างนี้ เพราะมันไม่รับรู้บุญคุณอะไรกันเสียเลยเพราะมันมี ไม่มีคุณธรรมสำหรับที่จะตอบแทน เออ, โลก ตอบแทนบุญคุณของใครเอาเสียเลย ขอฝากไว้สักอย่างหนึ่งว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแท้ว่าเอาอย่างปลาหมอก็แถกกันขึ้นบกไปจนเกล็ดแห้ง ที่พูดอย่างนี้ก็เพื่อจะเปรียบเทียบพระคุณของพระพุทธเจ้าว่ามันมีมากเหลือเกินนี่ แม้เราจะทำจนกระทั่งตายคามืออย่างไรก็ยังจะไม่คุ้มค่า แต่มันก็ต้องทำ นี่ขอให้ยึดหลักอย่างนี้เถิด แล้วพระพุทธเจ้าจะคุ้มครองผู้นั้น พระพุทธเจ้าจะคุ้มครองผู้นั้นให้รอดเท่าที่จะรอด ที่เขาจะรอดได้สุดความสามารถ พระธรรม พระสงฆ์ก็จะคุ้มครองผู้นั้น ถ้าได้เสียสละกันถึงขนาดนั้น เดี๋ยวนี้กลัวว่าจะไม่ยอมรับรู้ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เป็นหนี้ เป็นพระคุณอย่างไรก็ไม่รู้ มันจะ มันจะเป็นอย่างนี้กันเสียโดยมาก อ่า, ทำอะไรก็ตาม ธรรมเนียมประเพณี เรื่องบวช เรื่องเรียน เรื่องอะไรก็ทำตามประเพณี ทำตามรูปแบบ โดยไม่รู้ความหมายแท้จริง ซึ่งมันมีลึกซึ้งกว้างขวางอย่างนี้ ไอ้คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เรามาสวดร้องท่องบ่นกันอยู่นี้ยังไม่หมด มันยังน้อยนิดเดียวน่ะ อา, ถ้าไปเทียบกันกับที่ท่านมีจริงๆ ท่านมีจริงๆมันมากกว่านั้นมาก พระพุทธคุณ ๙ บท พระพุทธคุณ ๑๐๐ บท นิดเดียวเท่าขี้เล็บก็ไม่ได้ถ้าไปเทียบกับพระคุณทั้งหมด มหาศาล ใหญ่หลวง ดังนั้นจึงขอฝากความหวังไว้ว่าจงรู้จักการเป็นหนี้ตามธรรมชาติแก่ธรรมชาติ ดิน ฟ้า อากาศ อะไรทั้งหลายด้วย เพราะว่าจะต้อง เออ, รับรู้ความที่เราเป็นหนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสูงสุดไปกว่านั้นก็รับรู้ความที่เราเป็นหนี้พระคุณของพระพุทธ ของพระธรรม ของพระสงฆ์ และก็พยายามอย่าทำอะไรที่ฝืน ฝืนความหมายของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าดูหมิ่น อย่าดูถูกใคร อย่าด่าใคร อย่า อย่าใช้กิเลสอะไรออกมาแก่ใครๆ เพราะว่าการประพฤติทุจริตนั้นเท่ากับดูหมิ่นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งได้ห้ามไว้ เช่น กินเหล้าอย่างนี้ก็คือดูถูกพระพุทธเจ้าซึ่งแนะไว้ว่าไม่ควรกิน เขาใช้คำว่าอันธพาลนั้นมันตบหน้าพระพุทธเจ้า อันธพาลคนนั้นมันตบหน้าพระพุทธเจ้า พูดอย่างนี้มันก็ไม่น่าฟัง แต่มันมีความหมายอย่างนั้น มันมีค่าเท่ากับตรงนั้น มันถ้าว่าโกรธใคร ด่าใคร แช่งใครอย่างนี้ มันก็ไม่รู้คุณของพระพุทธเจ้า ไม่ควรจะมี เอาละ เป็นอันว่าเรื่องความเป็นหนี้เป็นอย่างนี้ ความไม่เป็นหนี้เป็นอย่างนี้ พอเราเกิดมาก็เป็นหนี้ท่วมหัว และก็พยายามไถ่ถอนหนี้ด้วยการทำให้ชีวิตนี้มันคุ้มค่าๆ ให้เป็นประโยชน์แก่โลก ให้โลกมันงดงามยิ่งขึ้นไปและสนองพระพุทธประสงค์ซึ่งทรงประสงค์ไว้ว่าให้ช่วยกันเผยแผ่ธรรมะให้เป็นประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ อ้าว, ก็ช่วยกัน ให้ธรรมะมีอยู่ในโลกเป็นประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ นั่นแหละคือตอบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า จะพอคุ้มกันตามพระพุทธประสงค์ เอาละ การบรรยายนี้สมควรแก่เวลา อา, ขอยุติการบรรยายวันนี้ไว้เพียงเท่านี้