แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการบรรยายครั้งที่สองนี้เราจะกล่าวกันโดยหัวข้อว่า วิปัสสนาทำไมกัน ท่านทั้งหลายมาจากที่ไกล จะมาศึกษาธรรมะและวิปัสสนาด้วยกันทั้งสองอย่าง ธรรมะทำไมกันได้พูดแล้วเมื่อวาน วันนี้ก็จะพูดถึงเรื่องที่ว่าวิปัสสนาทำไมกัน เป็นเรื่องที่สอง
[แปลเป็นภาษาอังกฤษ 0:00:39:07 -0:01:27]
งั้นโดยทั่วๆไป อยากจะสรุปใจความว่า ทำวิปัสสนาเพื่อมีตาแห่งชีวิต เรามีกันแต่ตาเพื่อร่างกายหรือ Physical eye เราเลยไม่มองเห็นชีวิต เราจำเป็นจะต้องมี eye of life ซึ่งเป็น spiritual eye มีตาสำหรับชีวิต แล้วเราก็จะมองเห็นชีวิต แล้วเราก็จะปฏิบัติถูกต้องตามเรื่องราวต่างๆของชีวต ไม่มีปัญหาใดๆเหลืออยู่อีกเลย นี่เราจะต้องมีตาแห่งชีวิต มีแต่ตาสำหรับร่างกายนั้นไม่พอ ดังนั้นเราจึงต้องมีวิปัสสนา
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 0:03:00 – 0:04:40 ]
มันอาจจะน่าหัวน่าขบขันไปบ้างที่เราจะพูดว่าปิดตาสำหรับร่างกาย physical eye เสีย แล้วเราก็จะเปิดตา spiritual eye เรามาทำวิปัสสนาก็เห็นกันอยู่ว่าเราก็หลับตาเพื่อไม่ให้สิ่งต่างๆภายนอกทาง physic นี่มารบกวนอะไร นี้จิตใจมันก็มีการเปิดตาในทาง spiritual เราก็เลยเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอย่างถูกต้อง อย่างถูกต้องตามที่มันเป็นจริง แล้วเรามีตา physical นี้มันหลอกเรา ไอ้ตานี้มันหลอกเรา เราก็เห็นมันน่ารัก น่าเกลียด น่าโกรธ น่ากลัว น่าอะไรต่างๆ มันโง่ ไอ้ตานี้ชวนให้โง่ แต่ถ้ามี spiritual eye มันจะมองเห็นความจริงในข้อที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยเฉพาะในข้อที่ว่า ตถาตา ตถาตา มันเช่นนั้นเอง ไม่น่ารัก ไม่น่าชัง ไม่น่าโกรธ ไม่น่าเกลียด ไม่น่ากลัว เห็นความจริงลึกซึ้งกว่ากันอย่างนี้ ขอให้ท่านมองเห็นประโยชน์ของ physical eye สำหรับ life, eye of life โดยตรง
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 0:06:24 – 0:09:00 ]
ที่นี้เราจะพูดกันถึงประโยชน์ของ spiritual eye เมื่อเราดูโดย spiritual eye นี้เราก็จะมองเห็นโลก เห็นชีวิต ตามที่เป็นจริง จนโลกและชีวิตนี้จะไม่เป็นความลับ จะไม่เป็นปัญหาสำหรับเราอีกต่อไป จนกระทั่งเราจะถอนไอ้ปัญหาหรือที่เรียกว่า .... of life (9:46) ทุกอย่างทุกชนิดออกไปเสียได้ นี่คือประโยชน์ของ spiritual eye
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 0:09:56 – 0:11:13 ]
ข้อต่อไปประโยชน์ของ spiritual eye ก็คือช่วยให้เราควบคุมผัสสะได้ ปัญหาต่างๆเกี่ยวกับผัสสะเนี่ยะเราได้พูดแล้วเมื่อวาน เราควบคุมผัสสะไม่ได้ ผัสสะก็ปรุงๆๆๆกันเป็นทุกข์ขึ้นมา เมื่อเรามี spiritual eye เราเห็นสิ่งทั้งหลาย ทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มันเกี่ยวกับผัสสะ เราก็รู้จักผัสสะดี เราก็ควบคุมผัสสะได้ นี่ประโยชน์อย่างยิ่งในชีวิตประจำวันที่เราจะต้องใช้ spiritual eye ทุกคราวที่มันมีผัสสะขึ้นมา
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 0:12:02 – 0:13:37 ]
ประโยชน์ต่อไปคือจะไม่เกิดปัญหาทาง egolism egolism ก็ได้พูดแล้วเมื่อวานว่าเป็นปัญหายุ่งยากอย่างไร นำมาซึ่งความทุกข์อย่างไร เดี๋ยวนี้เราจะรู้จักจะควบคุมมันได้โดยที่เรามีวิปัสสนาหรือ spiritual eye ด้วยตาธรรมดา ด้วยตาธรรมดาเราจะไม่มองเห็น egolism เลยด้วยตาธรรมดา แต่ด้วย spiritual life เอ้ย spiritual eye นี่เราจะมองเห็นตัว egolism ชัดเจนกว่าว่ามันคืออะไร มันเกิดมาอย่างไร มันเกิดขึ้นมาแล้วมันมีอาละวาดทำอันตรายอย่างไร เราก็จะควบคุมการเกิดแห่ง egolism ได้ ถ้าท่านยังชอบจะมี egolism เราก็จะมี egolism ฝ่ายถูกต้องเท่านั้น แต่ที่แท้นั้นไม่มีเลยดีกว่าเพราะถ้ามีแล้วมันก็ยังเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เรามี spiritual eye มองเห็นรู้จักชัดเจนควบคุม egolism และการเกิดของ egolism หรืออิทธิพลของ egolism ได้หมดทุกอย่าง นี่เป็นประโยชน์ที่สำคัญมากที่ท่านทั้งหลายผู้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า egolism แล้ว
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 15:11 - 17:56 ]
ถ้าท่านมี spiritual eye ท่านก็จะมองเห็นชัดว่า egolism นั่นแหล่ะคือซาตาน satan satan คือซาตาน ที่เรียกกันในภาษาไทย เดี๋ยวนี้ท่านอาจจะกลัวซาตานตามความเชื่อบอกกล่าวกันมาแต่ไม่รู้จักตัวซาตาน จะขอบอกให้สังเกตุเห็นให้ดีว่า egolism นั่นแหล่ะที่มันเกิดขึ้นมา อาละวาดนี่เรียกว่าซาตาน ทำให้เกิดความทุกข์ เพราะมันทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวแล้วเป็นทุกข์ของตัวเองแล้วก็เบียดเบียนผู้อื่นทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ด้วย มันทำลายความดี ความงาม ความถูกต้อง ความยุติธรรม ความสุข ความอะไรหมดเลย นี่ถ้าเราควบคุม egolism ได้ก็หมายความว่าเราชนะซาตานได้ ขอให้ท่านสนใจเป็นพิเศษหรือรู้จักมันด้วย spiritual eye
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 19:00 - 20:40 ]
ในภาษาไทยเราเรียกซาตานว่า มาร มาระ หรือมาร โดยหลักพุทธศานาก็เรียกว่า มาร มารคำนี้แปลว่าทำความดีให้ตาย ผู้ฆ่าความดีผู้ฆ่าความสงบสุข ผู้ทำลายความสงบสุข ผู้ทำลายความถูกต้อง เดี๋ยวนี้เราไม่รู้จักมัน เราก็เลยบูชาซาตาน เพราะว่ามันให้เกิดความรู้สึกที่เราชอบ ที่จริงก็คือที่กิเลสของเราชอบที่อวิชชาของเราชอบ ไม่ใช่ตัวจริงเราชอบ กิเลสความโง่ของเราชอบ ความสนุกสนานเอร็ดอร่อย เพลิดเพลิน โดยเฉพาะทางกามารมณ์ นี่เป็นส่วนใหญ่ เดี๋ยวนี้ก็เกิดความเห็นแก่ตัว เกิดความเห็นแก่ตัว เพราะอำนาจไม่รู้จักไอ้สิ่งนี้ มันเลยเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์เลวร้ายในประเทศชาติก็ดีในโลกก็ดี ผลของซาตานปรากฎออกมาเป็นความเดือดร้อน วิกฤติการณ์ crisis ทั้งหลาย ถ้าเรารู้จักมันแล้วเราจะควบคุมวิกฤตการณ์ในโลกได้ แล้วสันติภาพก็จะเกิดเองถ้าเราควบคุมซาตานได้วิกฤติการณ์ได้ แล้วก็ไม่ต้องสร้างสันติภาพก็เกิดเองเพราะมันมีอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ไอ้วิกฤตการณ์มันมากลบเสียด้วยอำนาจของซาตานสิงห์ในมนุษย์ มนุษย์มีวิปัสสนารู้จักซาตานขจัดออกไปเสีย ไม่มีซาตานก็ไม่มีวิกฤตการณ์ โลกนี้ก็มีสันติภาพ ประโยชน์ของ spiritual eye
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 23:04 - 26:23 ]
ประโยชน์ต่อไปที่เราควรจะมองเห็นก็คือว่า spiritual eye นี่จะช่วยให้เราสามารถหรือเหมาะสมที่จะอยู่ในโลกอันมีสิ่งยั่วยวนอันหลอกลวงเพิ่มขึ้นๆๆ โลกนี้กำลังเพิ่มสิ่งยั่วยวนอันหลอกลวง deludesive attractiveness ท่านจะมองเห็นได้ด้วยตัวเองว่าเรากำลังติดกันทั้งโลกอุตสาหกรรมผลิตสิ่งยั่วยวนอันหลอกลวง แล้วก็พากันพากันพอใจ เต็มไปทั้งโลกสิ่งยั่วยวนอันหลอกลวง เมื่อเราตกอยู่ภายใต้สิ่งยั่วยวนหลอกลวงเราก็ทำผิดถึงกระทั่งกระทั่งว่าทำลายตัวเอง ทำร้ายตัวเอง ฆ่าตัวเอง อยู่ด้วยความทนทุกข์ทรมาน โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยความเพลิดเพลินที่หลอกลวง มันเป็นโลกที่อยู่ยาก อยู่ยาก อยู่ได้ด้วยความยากลำบากยิ่งขึ้นทุกที งั้นขอให้เรามี spiritual eye แล้วจะมองเห็นสิ่งต่างๆถูกต้องตามที่เป็นจริง แล้วไอ้สิ่งเหล่านั้นก็หลอกลวงเราไม่ได้ ไอ้สิ่งต่างๆที่ผลิตขึ้นมาเพื่อหลอกลวงมนุษย์น่ะมันก็หลอกลวงเราไม่ได้ เราไม่ถูกหลอกลวง เราก็เหมาะสมที่จะอยู่ในโลกอันเต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวนอันหลอกลวง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งแก่ท่านทั้งหลายที่จะมีชิวิตอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ ขอให้สังเกตเห็นประโยชน์อย่างยิ่งของ spiritaul eye หรือวิปัสสนานี้ให้ดีๆ
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 28:30 - 31:27 ]
ประโยชน์ต่อไปอันสูงสุดของ spiritual eye นั้นคือว่าจะไม่ถูกหลอกลวงด้วยอารมณ์ภายใน ที่พูดไปแล้วนั้นเป็นอารมณ์ภายนอก อารมณ์ยั่วยวนที่เป็นภายนอกเป็น object ภายนอกเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น นี่เป็นภายนอก ที่นี้ความหลอกลวงที่เป็นภายในก็คือ อารมณ์หรือ emotion emotionซึ่งเป็นภายใน emotionรัก emotion emtionเกลียด emotionกลัว emotionนานาชนิดล่ะที่ท่านก็รู้จักมันดี เรียกว่ามันเป็นความหลอกลวงหรือไม่จริง มันเป็นความโง่ มันเป็นความเข้าใจผิด มันทำให้เกิด emotion เหล่านั้น แล้ว emotion เหล่านั้นก็ปรุงจิต บังคับจิตตามแบบของมันจนมีความทุกข์ เดี๋ยวนี้เราจะควบคุมการเกิดแห่ง emotion ไม่ให้เกิดเลยก็ได้ หรือให้เกิดแต่ในทางที่มันจะไม่ทำอันตรายก็ได้ นี่เรียกว่าเราไม่ตกเป็นทาสของ emotion ไม่ถูกหลอกลวงโดย emotion อีกต่อไป ความรู้สึกโง่เขลาเลวร้ายใดๆไม่อาจจะหลอกลวงเราได้อีกต่อไป เราชนะอารมณ์ในภายในคู่กันกับชนะอารมณ์ในภายนอก ก็แปลว่าเราชนะโดยสมบูรณ์ ชีวิตมันปลอดภัยอิสระ รอดพ้นและสมบูรณ์ด้วยวิธีการอย่างนี้ นี่ล่ะประโยชน์สูงสุดของวิปัสสนา
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 33:29 - 36:37 ]
ที่นี้เราก็จะได้ดูให้ชัดลงไปที่ตัววิปัสสนา ว่าคืออะไร วิปัสสนาคืออะไร จะมองดูกันให้รอบๆว่าทุกทิศทาง ทางแรกก็ดูโดยพยัญชนะหรือตัวหนังสือของคำๆนี้ว่า วิปัสสนา ถ้าดูโดยตัวหนังสือกันอย่างนี้แล้วก็จะพบว่ามันมีคำแปลของคำๆนี้ว่า เห็นอย่างแจ่มแจ้ง คำว่า วิ วิ นี่เห็นอย่างแจ่มแจ้ง ปัสสนานี้แปลว่าเห็น วิปัสสนานี้แปลว่าเห็นอย่างแจ่มแจ้ง เห็นอย่างแจ่มแจ้งนี้ก็คือเห็นทุกแง่ทุกมุม ว่ามันคืออะไร มันเกิดมาจากอะไร มันเพื่อประโยชน์อะไร มันน่ารักอย่างไร มันน่าเกลียดอย่างไร มันหลอกลวงอย่างไร ทุกแง่ทุกมุมอย่างนี้เห็นอย่างแจ่มแจ้ง การเห็นอย่างแจ่มแจ้งคือคำว่าวิปัสสนา
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 38:00- 39:09] the the literary แปลภาษาอังกฤษ (38:09 - 38:38) พยัญชนะ ปกติเราแยกคำว่า พยัญชนะออกจาก อรรถะ เดี๋ยวนี้ดูโดยพยัญชนะยังไม่ถึง meaning โดย literary แปลเป็นภาษาอังกฤษ (38:38 - 40:05) ]
ที่นี้โดยอรรถะ อรรถะ โดยความหมายมันก็หมายถึง ความรู้ตามที่เป็นจริงเมื่อใดเรามีความรู้ในสิ่งที่เราควรจะรู้ถูกต้องตามที่เป็นจริง ก็เรียกว่ามี ญถาภูตญานทัศนะ ก็คือสิ่งที่เรียกว่าวิปัสสนานั่นเอง ก็มีวิปัสสนาเห็นอย่างแจ่มแจ้งแล้วก็จะมีความรู้ตามที่เป็นจริง งั้นเดี๋ยวนี้เราไม่มีความรู้ตามที่เป็นจริง เราก็หลงรัก หลงโกรธ หลงเกลียด หลงกลัว ก็คือเข้าใจผิดต่อสิ่งทั้งปวง ตกเป็นทาสของความหมายของ duality dualism (40:57) ทั้งหลาย ขอให้มีญถาภูตะญานทัศนะความรู้อย่างถูกต้องตามที่เป็นจริงของสิ่งทั้งปวง เมื่อมันไม่มี pair of opposite น่ะ (41:12) ทั้งคู่ล่ะมันเป็นเช่นนั้นเอง ฝ่าย Negative ก็เช่นนั้นเอง ฝ่าย Possitive ก็เช่นนั้นเอง เห็นเช่นนั้นเองจนไม่ discriminate เป็นดีเป็นชั่ว ไม่แยกแยะเป็น good เป็น evil นี่เรียกว่าเห็นตามที่เป็นจริงโดยอำนาจของวิปัสสนา จะแก้ปัญหาของคริสเตียนที่คัมภีร์ไบเบิลตอนแรกที่ว่าไม่กินผลไม้ที่ทำให้ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ถ้าเรามีวิปัสสนาเราก็จะไม่กินต้นผลไม้ เอ้อผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว เราก็จะไม่ต้องมี.. (41:54) เราก็ต้องไม่มี เราไม่ต้องมีความทุกข์ นี่ขอให้มองเห็นประโยชน์อย่างยิ่งของสิ่งที่เรียกว่าวิปัสสนา ว่ารู้ถูกต้องตามที่เป็นจริงอย่างนี้
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 42:10 - 45:00 ]
ที่นี้ก็จะดูโดยอีกแง่หนึ่งโดยคุณค่า เราดูโดยพยัญชนะตัวหนังสือกันแล้ว โดยอรรถะโดยความหมายของมันกันแล้ว ต้องมาดูโดยคุณค่าของวิปัสสนา คุณค่าที่มีมีค่าก็เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า เพื่อรู้จักโลกรู้จักชีวิตจนหมดปัญหาเพื่อสามารถควบคุมผัสสะ เพื่อสามารถควบคุม egolism เพื่อที่จะอยู่ในโลกอันยั่วยวนอย่างไม่มีปัญหา และเพื่อจะไม่เป็นทาสอารมณ์ทั้งภายในและภายนอก วิปัสสนาอันทำให้เกิดคุณค่าเพื่อผลทั้ง 5 ประการนี้ ขอทบทวนให้ดีๆว่าเพื่อรู้จักโลกและชีวิตจนไม่เกิดปัญหา เพื่อควบคุมผัสสะได้ เพื่อควบคุม egolism ได้ ก็พร้อมที่จะอยู่ในโลกอันหลอกลวงยั่วยวนนี้ และก็เพื่อไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์โดยเฉพาะอารมณ์ภายใน ถ้าท่านมองเห็นประโยชน์ทั้ง 5 ประการนี้ ท่านก็จะรักวิปัสสนา จะชอบวิปัสสนา และจะพยายามที่จะทำวิปัสสนา ขอให้ดูให้ดีๆว่าโดยคุณค่าวิปัสสนา มีคุณค่าอย่างนี้เอง
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 46:36 - 49:21 ]
ที่นี้จะสรุปทั้งหมดรวมมาทั้งหมด ว่าวิปัสสนาคืออะไร เหลือเพียงคำพูดคำเดียวว่า วิปัสสนาคือ สิ่งที่ชีวิต หรือมนุษย์จำเป็นจะต้องมี สิ่งที่มนุษย์จำเป็นจะต้องมีนั่นคือ วิปัสสนา สรุปก็อย่างตาสำหรับชีวิต Spiritual eye เรามีกันแต่ Physical eye ไม่พอ ต้องมีตา of life Spiritual eye นี่ นี่คือสิ่งที่มนุษย์จะต้องมี ถ้ามนุษย์ไม่มีมนุษย์จะเป็นมนุษย์ไม่ถูกต้อง มนุษย์จะเป็นมนุษย์ไม่ถูกต้อง ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนจะอะไร นี่เป็นสิ่่งที่จะต้องมี ให้รู้ว่าชีวิตคืออะไร แล้วก็จะได้จัดการกับมันได้ถูกต้อง สรุปความว่าสิ่งที่มีชีวิตจำเป็นจะต้องมี หรือมนุษย์จำเป็นจะต้องมี
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 50:34 - 52:15 ]
Spiritual eye นี่จะบอกให้เราทราบว่า มาจากไหน จะไปไหน จะต้องทำอย่างไร 3 หัวข้อนี่ใหญ่ๆก็ดูจะพอว่า มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน แกมาจากไหน และแกจะไปไหน และแกจะต้องทำอย่างไร ไอ้มาจากไหนนี้ถ้าตอบอย่างภาษาคนก็ลำบาก ตอบอย่างภาษาธรรมว่ามาจากความโง่ของฉันเอง มาจากไหน มาจากความโง่ของตัวเอง และจะไปไหน จะไปเพื่อการตรัสรู้ รู้แจ้ง รู้แจ้งนิพพาน แล้วก็ทำอย่างไร จะต้องควบคุม egolism หรืออะไรเหล่านี้ให้ดี ท่านช่วยจำคำถามว่ามาจากไหน ก็ตอบตัวเองให้ถูก มาจากไหนและจะไปไหน และจะต้องทำอย่างไร ซึ่ง Spiritual eye จะมองเห็นและจะตอบได้ นี่ปัญหาของชีวิตเป็นอย่างนี้
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 50:39 - 55:55 ]
ชาวอียิปต์เป็นชาติที่เก่าแก่ เก่าแก่จนไม่รู้ว่าแก่ขั้นไหน ไม่แพ้อินเดีย ไม่แพ้จีน เป็นชาติที่เก่าแก่ที่สุด มีสติปัญญา งั้นคงจะได้สนใจเรื่องนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ งั้นเขาจึงได้ทำ image ของ สฟิงซ์ (Sphinx) สฟิงซ์ ท่านเคยไปอียิปต์คงจะได้เห็น ไอ้เรื่องของสฟิงซ์นี่เกี่ยวกับปัญหานี้ สฟิงซ์นี้เป็น semi-d... semi-demon (56:38) มันมีทั้งสองแง่ คือมันจะเป็นคู่ถามคนที่ผ่านไปว่า มาจากไหน จะไปไหน จะต้องทำอะไร ถ้าคนนั้นตอบไม่ได้ มันก็ฆ่าคนนั้นเสีย หรือกินคนนั้นเสีย นี่ในแง่ที่เป็น demon ถ้าตอบได้ว่ามาแต่ไหน ไปไหน จะต้องทำอะไร ตอบได้ถูกต้อง สฟิงซ์มันก็ฆ่าตัวตาย ใช้คำว่ามันปักคอลงในดิน แล้วมันก็ตายเอง นี่ในแง่ของ ..... (57: 25) ชาวโบราณคนโบราณสนใจปัญหาว่ามาจากไหน จะไปไหน จะต้องทำอะไรนี้เป็นอย่างมาก น่าจะเอารูปของสฟิงซ์มาตั้งไว้ต่อหน้า หรือที่
โต๊ะทำงาน หรือที่ไหนก็ตาม เพื่อจะถามตัวเองอยู่เสมอว่าไปไหน เอ้อ..มาจากไหน ไปไหน ทำอย่างไร นี่ถ้าเรามีวิปัสสนา มี eye of life, Spiritual eye นี้เราจะตอบได้ และจะทำให้ยักษ์ หรือมารหรือ ซาตาน ตายปักคอตายฆ่าตัวตายหมด นี่เป็นอุปมาเป็น simile ของประโยชน์ของวิปัสสนา ขอให้ท่านเข้าใจความหมายอันนี้ยิ่งขึ้น และเป็นหลักพุทธศาสนาซึ่งตรงกับความหมายของ วิปัสสนา และประโยชน์ของวิปัสสนาโดยแท้จริง
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 58:32 - 1:02:18 ]
ขอสรุปอีกครั้งหนึ่งว่า วิปัสสนาคือสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้หรือต้องได้ มนุษย์มีสิ่งที่ควรจะได้หรือต้องได้ ถ้าไม่งั้นจะไม่เป็นมนุษย์อ่ะ จะไม่เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง หรือจะไม่เป็นมนุษย์เอาเสียเลย วิปัสสนาการเห็นรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายทั้งปวงถูกตามที่เป็นจริงไม่มีปัญหานี่ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดสำหรับมนุษย์สำหรับความเป็นมนุษย์ สำหรับภาษาบาลีมันง่ายหน่อย คือเอาตามตัวหนังสือเลย มนุษย์แปลว่ามีจิตใจสูง มีจิตใจสูงๆอยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์ เหนือสิ่งไม่พึงปรารถนาโดยประการทั้งปวง นี่คือความหมายของความเป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องได้สิ่งที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ และก็ได้เป็นมนุษย์เต็มที่ นี่เราเรียกว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้หรือจะต้องได้ วิปัสสนาคือสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ขอย้ำว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับจะได้รับจากวิปัสสนา
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 1:03:48 - 1:05:43 ]
ที่นี้เราจะได้พูดถึงผลของวิปัสสนาที่เห็นได้ทั่วไปชัดๆ เป็นรูปธรรม เห็นชัดๆเป็นรูปธรรม ... (1:05:55) ว่ามันจะทำให้ดำรงชีวิตอยู่เหนือปัญหาใดๆในโลก จะทำให้มีชีวิตเย็น ชีวิตเย็น เย็นใน 2 ความหมาย เย็น เย็นชั่วขณะๆ นี่ก็เรียกว่าเย็น บาลีเรียกว่า นิพุติ นิพุติ เย็นเป็นขณะๆ ในชีวิตประจำวันนี่ ถ้าเย็นตลอดกาล เย็นเด็ดขาด เย็น ultimate นี่มันก็เรียกว่า นิพพานะ นิพพานะ นิพพานะเย็น เย็นอย่างไม่เปลี่ยนแปลงได้อีก ถ้าเย็นอย่างธรรมดาสามัญเย็น เย็นในๆๆๆ ในความหมายธรรมดาว่ามีชีวิตเย็น เดี๋ยวก็ไม่เย็น เดี๋ยวก็เย็น เดี๋ยวก็ไม่เย็น แปลว่า ไม่เย็นก็ไม่ร้อน นิพุติคำนี้เรียกว่า นิพุติ ท่านควรจะได้ ท่านควรจะมีนิพุติ ชีวิตเย็น ถ้าว่านิพุติมันเด็ดขาด มันเปลี่ยนไม่ได้อีก จึงจะเป็นนิพพาน ผลอันสูงสุดของมันก็คือว่าเย็น ชีวิตเย็น ซึ่งไม่มีอะไรดีกว่า แล้วแต่ว่าจะเย็นชั่วคราวหรือเย็นตลอดกาล งั้นขอให้จำนงค์มุ่งหมายตรงที่ว่าเราจะมีชีวิตเย็น ชีวิตเย็นเป็นระบบชีวิตเย็น ไม่มีร้อนไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ ไม่มีวิกฤตการณ์ใดๆ แล้วก็ช่วยกันสร้างโลกที่เย็นได้ นี่สรุปผลของวิปัสสนาเป็นอย่างนี้
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 1:07:39 - 1:10 ]
ที่นี่ก็จะได้พูด ด้วยเวลาที่เหลือเล็กน้อยนี่ พูดด้วยหัวข้อ outline ทิวทัศน์แนวสังเขป ที่เราใช้กันในภาษาไทยแนวสังเขป หรือทิวทัศน์ ซึ่งดูจะตรงกับคำว่า outline ของวิปัสสนาว่ามีอยู่อย่างไร outline ของวิปัสสนาจำไว้ง่ายๆ 3 คำว่า ศีล ศีลละ หรือศีล แล้วก็สมาธิ แล้วก็ปัญญา เราจะต้องมีความถูกต้อง 3 ประการนี้เป็นแนว เป็นโครงสร้างของการปฏิบัติวิปัสสนา เอ้าๆ 3 อย่างแต่หัวข้อนี้ก็ ว่ามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 1:11:01 - 1:12:28 ]
สำหรับสิ่งแรกที่เรียกว่า ศีละ ศีละนี่ เล็งถึง mode of life การเป็นอยู่ในชีวิต ดำรงชีวิตอย่างถูกต้อง เพื่อเป็นเหมือนแผ่นดิน แผ่นดินที่อาศัยของจิต ที่จะทำหน้าที่อันสูงขึ้นไป จิตจะทำหน้าที่อันสูงขึ้นไปนี่ต้องได้อาศัยพื้นฐานหรือ ศีละ ความถูกต้องทางร่างกาย ความถูกต้องทางร่างกายเรียกว่าศีละ ศีละคือความถูกต้องทางร่างกาย
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 1:13:15 - 1:13:52 ]
อ้าที่นี่มาถึงสมาธิ ศีละคือความถูกต้องทางกาย สมาธิคือความถูกต้องทางจิต หมายความว่าการพยายามทำจิตพัฒนาทางจิตให้สูงขึ้นๆ ให้เหมาะสมที่สามารถทำหน้าที่ของจิตในชั้นสูงสุด สรุปง่ายๆว่าทำจิตให้เหมาะสมนั่นแหล่ะ เรียกว่าสมาธิ แม้จะมีหลายๆแบบหลายๆอย่างเหมือนกันหมดเลย ทำจิตให้เหมาะสมเพื่อวิปัสสนา นี่คือสมาธิ
[ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 1:14:33 - 1:15:18 ]
ทีนี่ข้อที่สาม ปัญญา ปัญญา รู้วิปัสสนาก็เรียกปัญญา ปัญญา รู้ รู้แจ้ง เห็นน่ะ เห็นแจ้งรู้แจ้งทุกสิ่งที่ควรจะรู้ เราไม่ต้องรู้ทั้งหมด ไม่ต้องรู้ทุกสิ่ง แต่ต้องรู้สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ที่ควรจะรู้ ที่รู้แล้วจิตหลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวง ถ้าจะสรุปความรู้ทั้งหมด เอาทั้งหมดมารวมกันให้เหลือสิ่งเดียวก็จะต้องพูดว่า รู้ตถตา รู้เห็นตถตา เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งทั้งปวง ยึดถือว่าตัวตนไม่ได้และก็ไม่ยึดถืออะไร นี่ล่ะปัญญารู้ทุกสิ่งเท่าที่ควรจะรู้ ไม่ ไม่ต้องรู้ทุกสิ่งที่ไม่ต้องรู้ นี่คือปัญญา หรือวิปัสสนา ตัววิปัสสนาอยู่ที่ตัวปัญญานี้ เป็นอันสุดท้าย แม้จะเป็นอันสุดท้ายก็ควบคุมทั้งสองอย่างข้างต้น ศีลก็ต้องควบคุมอยู่ด้วยปัญญา สมาธิก็ต้องควบคุมอยู่ด้วยปัญญา ปัญญาเองก็ต้องควบคุมอยู่ด้วยปัญญา เป็นสามอย่างสามประการอย่างนี้ นี่ล่ะคือ outline ของวิปัสสนา รวมเข้าเป็นอันเดียวกันเรียกว่า outline ของวิปัสสนา บางคนอาจจะแยกศีลออกไปแยกสมาธิออกไป มันไม่ถูก มันต้องมีอยู่เป็นกลุ่มเดียวกัน สามอย่างนี้ทำงานร่วมกัน ทำงานร่วมกันเป็นสหกรณ์กัน นี่คือ outline ของวิปัสสนา มีรายละเอียดปฏิบัติอย่างไรไว้พูดกันวันหลัง วันนี้รู้แต่เฉพาะ outline ของวิปัสสนาก็พอแล้ว ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้