แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ภิกษุและสามเณรผู้เป็นเพื่อนสหธรรมิกทั้งหลาย ก่อนอื่นทั้งหมดก็ขอแสดงความยินดี อนุโมทนาในการมาที่นี่ ในลักษณะอย่างนี้คือแสวงหาความรู้ธรรมะให้ยิ่งขึ้นไป เพื่อใช้สำเร็จประโยชน์ถึงที่สุด นี่มีเหตุผลที่น่าอนุโมทนา แล้วก็ขออนุโมทนา ทีนี้ก็ขอทำความเข้าใจว่าทำไมต้องพูดกันในเวลาหัวรุ่งอย่างนี้ มันไม่ใช่เป็นเพราะเพียงแต่ว่าผมค่อยสบายหรือมีแรง เรี่ยวแรงในเวลาเช่นนี้ แต่ว่ามันเป็นเพราะเวลาเช่นนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษ โลกในเวลาหัวรุ่งอย่างนี้เป็นอีกโลกหนึ่ง คุณไปสังเกตดูเองก็แล้วกัน มันมีอะไรอะไร ไม่เหมือนกับเวลาอื่น เวลาหัวรุ่งเป็นเวลาตั้งต้นแห่งวันดอกไม้เริ่มบาน รื่นสำราญเพราะดอกไม้บานยามเช้า มันมีลักษณะพิเศษอย่างนี้ แล้วก็เป็นโอกาสที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในเวลาหัวรุ่งอย่างนี้ ท่านไม่นอนคลุมโปงอยู่ในเวลาอย่างนี้ซึ่งอุ่นสบายเหมือนคนทั้งหลายโดยมาก นี่คือข้อที่ว่าโลกในเวลาหัวรุ่งอย่างนี้มันเป็นคนละโลก มีอะไรอะไรผิดกันหรือพร้อมที่จะศึกษาพร้อมที่จะคิดจะนึก เป็นโอกาสพิเศษ จะเรียกว่าสำคัญสำหรับการศึกษา ที่นี้ก็มาถึงเรื่องที่จะพูดกันในวันนี้ ผมจะพูดโดยหัวข้อว่า พระพุทธเจ้าในความหมายพิเศษ พระพุทธเจ้าในความหมายพิเศษ หรือพระพุทธเจ้าในความหมายที่พวกฝรั่งไม่รู้จักและไม่สนใจจะรู้จัก พระพุทธเจ้าที่พวกฝรั่งและพวกลูกศิษย์ฝรั่งไม่รู้จักและไม่สนใจจะรู้จัก พวกฝรั่งน่ะคุณก็รู้อยู่แล้วว่าหมายถึงใคร พวกลูกศิษย์ฝรั่งก็คือพวกบ้าฝรั่ง หลงฝรั่ง อ่านแต่หนังสือฝรั่ง เขียนเชื่อแต่ฝรั่งอย่างเดียวนี้ก็เราเรียกว่าลูกศิษย์ฝรั่ง ทั้งฝรั่งและทั้งลูกศิษย์ฝรั่งไม่รู้จักพระพุทธเจ้าชนิดนี้ ผมจึงให้หัวข้อว่าพระพุทธเจ้าชนิดที่ฝรั่งและลูกศิษย์ฝรั่งยังไม่รู้จัก และไม่สนใจ ไม่สนใจ ไม่อยากจะสนใจนี่ ถ้าคุณเป็นลูกศิษย์ฝรั่งก็ไม่ต้องก็ได้ ไม่ต้องสนใจก็ได้ ไม่ฟังก็ได้ แต่ถ้าว่าเป็นธรรมดา ธรรมดาเป็นพุทธบริษัทธรรมดาแล้วก็ขอให้สนใจ สนใจ เพื่อจะรู้จักพระพุทธเจ้าให้ยิ่งๆ ขึ้นไปนี่ ทีนี้เราก็จะได้พูดเรื่องพระพุทธเจ้าต่อไปตามลำดับ จะพูดโดยประเภท เรียกว่าประเภทของพระพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าโดยปุคคลาธิษฐานและโดยธรรมาธิษฐานนี่เรียกว่า ประเภทหนึ่ง ทีนี้พระพุทธเจ้าชั้นเปลือกนอกและพระพุทธเจ้าชั้นเนื้อใน นี้ก็อีกประเภทหนึ่ง ที่พูดว่าพระพุทธเจ้าชั้นเปลือกนอกนั้นน่ะ ไม่ใช่พูดจ้วงจาบหรือดูหมิ่นพระพุทธเจ้า เพราะว่าได้มีอยู่จริง และคนเขาได้สร้างขึ้นมา ก็พุทธบริษัทของพระพุทธเจ้านั่นเขาสร้างขึ้นมา เป็นพระพุทธเจ้าชั้นเปลือกนอก ไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์จริงชั้นเนื้อใน นี่โดยประเภทพึงทราบไว้อย่างนี้ก่อนว่าพระพุทธเจ้าโดยปุคคลาธิษฐาน พระพุทธเจ้าโดยธรรมาธิษฐาน และพระพุทธเจ้าพระองค์จริงชั้นเนื้อในและพระพุทธเจ้าพระองค์เปลือกชั้นเนื้อนอก ภายนอก เราก็จะได้พูดกันให้เป็นที่เข้าใจอย่างชัดแจ้ง เพราะเป็นองค์สำคัญของพระรัตนตรัยซึ่งเราบวชอุทิศเฉพาะ นี่เราบวชอุทิศเฉพาะพระพุทธเจ้า ขอให้รู้จักให้ดีเดี๋ยวจะอุทิศผิดองค์พระพุทธเจ้าไม่ถูกองค์พระพุทธเจ้า ทีนี้จะพูดถึงพระพุทธจ้าโดยปุคคลาธิษฐานก่อน เพราะรู้ได้ง่ายและรู้อยู่แล้วเป็นส่วนมาก แต่จะขอย้ำ พระพุทธเจ้าโดยปุคคลาธิษฐานเขาแจกกันไว้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ และพระปัจเจกพระพุทธเจ้าตรัสรู้เฉพาะตนเพื่อประโยชน์เฉพาะตน และอนุพุทธะคือผู้รู้ตามพระพุทธเจ้า ได้แก่พระอริยบุคคลทั้งหลาย แล้วก็สุตพุทธะ พระพุทธเจ้าโดยสุตตะคือการศึกษาเล่าเรียน ได้ยินได้ฟังเรื่องของพระพุทธเจ้านี่ มีอยู่เป็น ๔ ชั้นน่ะ ๔ ชั้นน่ะ ชั้นยอดสุดสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นน่ะ รู้ทั้งเพื่อประโยชน์ตนเองและประโยชน์ผู้อื่น รู้ทุกชนิดทุกอย่างไม่ยกเว้นอะไรที่มันเกี่ยวกับความดับทุกข์ ทีนี้พระปัจเจกพระพุทธเจ้าท่านรู้เฉพาะดับทุกข์ของท่านได้ก็พอแล้ว ดับทุกข์สิ้นเชิงของท่านก็พอแล้ว ทีนี้อนุพุทธะก็รู้ตามพระพุทธเจ้า รู้เหมือนพระพุทธเจ้าก็มีไม่ถึงก็มี ก็เรียกว่าอนุพุทธะได้แก่พระอริยบุคคลทั้งหลาย ทีนี้ส่วนสุตพุทธะ อย่างนั้นก็คือพวกเรานั่นแหละ อ่าน เรียน เรื่อง พระพุทธเจ้าและสอบไล่ก็ได้เรื่องพระพุทธเจ้าเป็นการศึกษาเล่าเรียน พระพุทธเจ้าโดยการศึกษาเล่าเรียน นี่เรียกว่าโดยบุคคล โดยบุคคล ทีนี้ มีพระพุทธเจ้าอีกความหมายหนึ่งต้องเรียกว่าเป็นผี ฟังดูคล้ายกับพูดจ้วงจาบพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้าที่คนไม่รู้อะไรช่วยกันสร้างขึ้นมา พระพุทธเจ้าชนิดนี้เป็นผี ที่เขาสร้างสำหรับเซ่นสรวงบูชา พระพุทธรูปบางองค์น่ะเซ่นด้วยไข่ลวกอย่างนี้เป็นต้น เหมือนกับเซ่นผี มีเครื่องเซ่นเหมือนกับเซ่นผี ต้องมีสำรับสำหรับพระพุทธเจ้าเวลาทำพิธี เหมือนกับเซ่นผี พระพุทธเจ้าในความหมายบางอย่างทำอย่างนั้นได้ ทำอย่างนี้ได้ ตามเฉพาะองค์ เฉพาะองค์ไปนี่ พระพุทธรูปนี่ เป็นพระพุทธเจ้าอย่างผี พระพุทธรูปที่สวนโมกข์เก่าที่พุมเรียงนั้นน่ะ ขอลูกได้ ใครไม่มีลูกไปขอลูกได้ แล้วมันหลายๆ คนเข้ามันก็มีคนได้จริงเหมือนกันแล้วก็เล่าลือ นี่คือพระพุทธเจ้าอย่างผีที่คนปั้นขึ้นไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง มันก็ปั้นใส่วัตถุแทนองค์พระพุทธเจ้า เช่นพระพุทธรูปเป็นต้น แต่เขาก็เรียกว่าพระพุทธเจ้า หมายถึงพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ นี้ก็ต้องยังจัดเป็นพวกปุคคลาธิษฐาน มันเนื่องด้วยบุคคลอยู่ มันยังเนื่องด้วยบุคคลอยู่ ทีนี้มันก็ดูสิพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล อย่างบุคคลนั้นเป็นอย่างไร ก็น่าประหลาดใจที่ท่านกล่าวไว้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าแต่ผู้ชายนี่ ผู้หญิงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ มีปรากฏชัดอยู่ในพระพุทธภาษิตในพระบาลีในพระคัมภีร์ปิฎก ไตรปิฎกน่ะ ผู้หญิงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ทีนี้ผู้หญิงสมัยนี้นักศึกษาสมัยนี้โดยเฉพาะพวกฝรั่งอีกนั่นแหละเขาคงไม่ยอมหรอก เขาว่าผู้หญิงสมัยนี้เขาทวงสิทธิต่างๆ นาๆ เพื่อเท่าเทียมกับผู้ชาย เขาคงไม่ยอมรับ ความหมายข้อนี้ว่า พระพุทธ เอ่อ ผู้หญิงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เขาจะให้ผู้หญิงทำอะไรเหมือนผู้ชายทุกอย่าง คุณจะตอบเขาว่าอย่างไร ผมตอบว่าถ้าเมื่อไหร่ผู้ชายคลอดบุตรแทนผู้หญิงได้แล้วผู้หญิงมาเป็นพระพุทธเจ้าได้ แต่นี่ผู้หญิงมาเป็นไม่ได้เพราะยังต้องคลอดบุตร ขอแทรกพิเศษหน่อยอย่าเห็นว่าหยาบโลนนะ นี้หนังสือเรื่องศรีธนญชัย ที่เคยอ่านเมื่อเด็กๆ น่ะ มีหลายเรื่องหลายราวหลายตอน ตอนหนึ่งนักปราชญ์ฝรั่งหรือลังกามาจากเมืองนอกมาท้าทายสติปัญญากับศรีธนญชัย พระเจ้าแผ่นดินก็อนุญาต ศรีธนญชัยก็ท้าว่า ถ่ายปัสสาวะใส่ขวดเล็กๆ โดยไม่เปรอะเปื้อน แกทำได้ไหมฉันทำได้ ผู้หญิงก็เลยยอมแพ้ ก็พูดได้เหมือนกันแหละว่าเมื่อไหร่ผู้หญิงแบบนั้นแหละตามคำท้าของศรีธนญชัย ถ่ายปัสสาวะใส่ขวดได้โดยไม่เปรอะเปื้อนได้ผู้หญิงมาเป็นพระพุทธเจ้าได้ แล้วผู้ชายก็คลอดบุตรแทนผู้หญิงด้วยแล้วก็มาเป็นพระพุทธเจ้าได้ อย่าเห็นเป็นเรื่องหยาบโลนเลยเห็นเป็นเรื่องขบขันไปดีกว่า เพื่อจะประกอบคำอธิบาย ส่วนที่ว่าผู้หญิงไม่เป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้นี่ ทีนี้โดยบุคคล ผู้ชายเป็นพระพุทธเจ้า ข้อนี้ผมก็ไม่ยืนยันหรอกไม่รับผิดชอบหรอก แต่ยืนยันว่าในพระคัมภีร์มีอยู่อย่างนี้ คุณก็ไปนึกหาคำอธิบายเอาเองว่าทำไมผู้หญิงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ทีนี้เรียกว่าโดยปุคคลาธิษฐาน มีหลักเกณฑ์ว่าเป็นพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ อนุพุทธะ สุตพุทธะ และมีพระพุทธเจ้าชนิดที่เป็นผี ที่มีคณะบางคณะเชิญพระพุทธเจ้ามาเซ่น เชิญพระพุทธเจ้ามาเดี๋ยวนี้เขาก็ยังทำกันอยู่ นี่พระพุทธเจ้าอย่างผี ชนิดที่คนเหล่านั้นสร้างขึ้น แล้วพระพุทธเจ้าโดยบุคคลนั้นว่ามีกันแต่ผู้ชาย ทีนี้พระพุทธเจ้าโดยปุคคลาธิษฐานนี่ หมดแล้วเท่านี้ก็พอแล้วไม่ต้องพูดมาก ก็เข้าใจได้ทันที ทีนี้ก็มาถึงพระพุทธเจ้าโดยธรรมาธิษฐานคือพระพุทธเจ้าโดยธรรม ธรรมะ หรือ ธรรม มิใช่บุคคล ถ้าเคยเรียนบาลีก็พบเรื่องราวหรือประโยคที่ต้องแปลว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดไม่เห็นธรรมแม้จะจับจีวรของเราไว้ ไม่ยอมปล่อยมันก็ไม่เห็นเรา ต่อเมื่อเห็นธรรมจึงจะเห็นเรา ไม่ใช่เห็นตัวตนบุคคลแล้วก็จะเป็นอันว่าเห็นเรา ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วคนในอินเดียทั้งหมดนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้า เคารพพระพุทธเจ้า พูดโดยแท้จริงแล้วคนในอินเดียสมัยพุทธกาลไม่ได้เคารพ ไม่ได้นับถือพระพุทธเจ้าทั้งหมดหรอก มีเหลืออยู่เป็นอันมากที่ไม่รู้จัก แล้วบางพวกก็เป็นข้าศึกศัตรู จะทำลายพระพุทธเจ้าโดยเหตุผลต่างๆ ว่าเป็นคู่แข่งขัน เขาไม่ได้นับถือพระพุทธเจ้าก็มีอยู่เป็นอันมาก หลายลัทธิหลายนิกาย ครูทั้งหก ศาสดาทั้งหกมีศิษย์บริวารมาก นี่ก็ไม่ ไม่นับถือพระพุทธเจ้า ไม่เห็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ที่เป็นโดยมากหรือเป็นโดยธรรมชาติก็คือผู้หญิงอีกนั่นแหละ ผู้หญิงก็ชักชวนกันไปด่าพระพุทธเจ้า ด่าอย่างโกรธแค้น ว่าไอ้คนดีแต่ทำให้เขาเป็นหม้าย ผู้หญิงเขาโกรธว่าพระพุทธเจ้าทำให้คนออกบวช แล้วผู้หญิงเป็นหม้าย เขาก็โกรธอย่างนี้ เขาจึงด่าพระพุทธเจ้าว่าดีแต่ทำให้คนเป็นหม้าย นี่คุณดูสิ พระพุทธเจ้าอย่างธรรมะ ธรรมะมันอยู่ลึกมันมองไม่เห็น นี่พระพุทธเจ้าองค์นอกหรือองค์เปลือกนั้นคนก็ยังไม่รู้จัก ก็ไม่เห็นธรรมะนั้นไง จึงถูกแล้วที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรมะ นี่ธรรมะเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอย่างธรรมาธิษฐาน เจาะจงลงไปที่ธรรมะเห็นแล้วก็เห็นพระพุทธเจ้า ทีนี้ก็มีข้อความตรัสต่อไปว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท นี่ชัดเจนลงไปธรรมะอย่างที่คุณเรียนในโรงเรียนนักธรรมนั้นคงไม่พอหรอก แล้วก็ไม่เห็นปฏิจจสมุปบาทหรอก เพียงแต่จำได้ตามที่ครูสอน ตอบคำถามถูกตามที่ครูสอน ที่กรรมการต้องการคุณก็สอบไล่ได้ในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท ผมขอยืนยันว่าไม่เห็น ยังไม่เห็นนะ ยังไม่เห็น เรียนรู้สอบ สอบไล่ ได้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ยังไม่เห็นปฏิจจสมุปบาท แล้วแถมเป็นปฏิจจสมุปบาทที่อธิบายโดยพระอรรถกถาจารย์นี่มันผิดเอามากๆ เรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้น เป็นเรื่องที่จะไม่ให้มีสัตว์ไม่ให้มีบุคคล ปฏิจจสมุปบาทชนิดนั้นกลายเป็นมีสัตว์มีบุคคลข้ามภพข้ามชาติโดยบุคคลเดียวกัน ทีนี้ผมขอบอกเป็นพิเศษหน่อยว่า พระอรรถกถาจารย์ พระอรรถกถาจารย์นั้นน่ะ เป็นผู้อธิบายธรรมะเมื่อล่วงมาตั้งพันปี หรือร่วมพันปีนั้น เก้าร้อยกว่าโน้นจึงเกิดพระอรรถกถาจารย์ บรรยายครั้งกระโน้นล่วงมาตั้งพันปี หรือร่วมพันปีจึงมีผู้อธิบาย นี้เรียกว่าพระอรรถกถาจารย์ คำอธิบายนั้นเรียกว่าอรรถกถา ทีนี้พระอรรถกถาจารย์นั้นมีเชื้อเลือดเนื้อเชื้อไขเป็นฮินดูโดยมาก ชาวอินเดียมันนับถือฮินดูเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขอยู่แล้ว นี่มันไม่รู้ตัวหรอกมันก็มีอะไรของฮินดูเจือเข้ามาแหละ ผมว่าโดยเหตุนี้กระมัง ที่ปฏิจจสมุปบาทที่สอนเรื่องไม่มีตัวตนบุคคลกลายเป็นเรื่องมีตัวบุคคลข้ามภพข้ามชาติน่ะ ผมไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลย นี่ปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ แต่จะเชื่อปฏิจจสมุปบาทตามพระบาลีเดิมๆ ที่มีอยู่ในพระบาลีคือคำตรัสของพระพุทธเจ้า ถึงดังนั้นเรามาพูดเรื่องปฏิจจสมุปบาทกันสักหน่อย ปฏิจจสมุปบาทในที่นี้ คือเรื่องการอาศัยปัจจัยแล้วเกิดขึ้น การอาศัยปัจจัยแล้วดับลง สอง สองคำพูดน่ะ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาศัยกันแล้วดับลง ของสิ่งที่เป็นธรรมชาติมิใช่ตัวตนแต่ประการใดนี่ เห็นการที่ว่ามันการอาศัยกันแล้วเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมา การอาศัยกันแล้วดับลงไป ดับลงไปนี่ คือหัวใจของปฏิจจสมุปบาทมุ่งหมายจะแสดงความที่มิใช่สัตว์มิใช่บุคคล มีแต่การที่ธรรมชาติเป็นไปตามกฎของธรรมชาติคือกฎอิทัปปัจจยตา กฎอิทัปปัจจยตาทำให้เกิดอาการที่เรียกว่าอาศัยกันเกิดขึ้นอาศัยกันดับลง นี่กฎอิทัปปัจจยตา เห็นนี่คือเห็นปฏิจจสมุปบาท พูดอีกทีหนึ่งก็คือเห็นอริยสัจนั่นแหละ เพราะว่าเรื่องอริยสัจมันก็เรื่องอาศัยกันก็เกิดทุกข์ อาศัยกันแล้วก็ดับทุกข์ อธิบายมากมายยืดยาวเป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาท เราขอเรียกชื่อว่าปฏิจจสมุปบาทนี่เป็นอริยสัจใหญ่ อริยสัจขนาดใหญ่นี่ อริยสัจขนาดเล็กก็คือที่เรียนกันอยู่ สอนกันอยู่ตามธรรมดา สี่ข้อ นั่นก็คืออริยสัจเล็ก แจกออกไปให้มาก แจกออกไปให้มาก ฝ่ายละ ๑๒ อาการ ๑๑ อาการ นี้ก็เป็นปฏิจจสมุปบาทคืออริสัจใหญ่ ในอริยสัจใหญ่ตามที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทนี่ในพระบาลีก็มีอยู่เป็นสองแบบ หาพบเป็นสองแบบ คือแบบหนึ่งมันใหญ่เอาเสียจริงๆแหละ พูดตั้งต้นมาตั้งแต่อวิชชา สังขาร วิญญาณ นาม รูป จนถึงเรื่องเกิดทุกข์ ที่เราเรียนอยู่ในโรงเรียนในบาลีนั่นแหละ ในโรงเรียนนักธรรมนั่นแหละ นั่นคืออริยสัจใหญ่สมบูรณ์แบบ ทีนี้มีอริยสัจไม่ใหญ่อย่างนั้นน่ะ เรามาตั้งชื่อกันเสียใหม่ว่าอริยสัจแบบฮัมเพลงคือแบบที่พระพุทธเจ้าเองก็ทรงนำมาสาธยายนี่ เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่พระองค์เดียวโดยไม่ได้เหลียวดูว่ามีใครบ้าง ท่านรู้สึกว่านั่งอยู่องค์เดียว ทีนี้ท่านก็สาธยายขึ้นมาว่า จะ ขุนจะ ปะฏิจจะ รูปัญจะ รูเปจะ อุปปัชชะติ วิญญาณัง ทินนัง ธัมมานัง สังขติ ผัสโส ผัสสะปัจจยา เวทนา เวทนาปัจจยา ตัณหา (นาทีที่ 22.32) นี่อย่างเดียวกันตอนขึ้นหัวตอนต้นนั้นไม่ยุ่งยากหรอกลำบากหรอก เข้าใจได้ง่าย เมื่อถ้าอายตนะภายในกับภายนอกกระทบกันแล้วก็เกิดวิญญาณ ถ้าทางตาก็เกิดจักษุวิญาณ ทางหูก็เกิดโสตวิญญาณ อายตนะภายในอายตนะภายนอกกระทบกันแล้วเกิดวิญญาณ สามประการคืออายตนะภายในภายนอกและวิญญาณทำงานร่วมกันอยู่ในขณะนั้นเขาเรียกว่า ผัสสะ ผัสสะ นี่เข้าใจได้ง่ายไม่ต้องอธิบายใช่ไหม แล้วถ้ามีผัสสะก็ต้องมีเวทนา เมื่อมีเวทนาเป็นปัจจัยก็มีตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยก็มีอุปาทานไปตามเดิมตามเรื่องเดียวกัน ส่วนปฏิจจสมุปบาทใหญ่โต อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารไม่รู้ว่าอะไร สังขารให้เกิดวิญญาณก็ไม่รู้ว่าอะไร วิญญาณให้เกิดนามรูปอธิบายไม่ได้ว่าเกิดอย่างไร ต่อเมื่อนามรูปให้เกิดอายตนะ อายตนะให้เกิดผัสสะเวลานี้ค่อยเข้าใจ มันมีอยู่ครึ่งท่อนทีเดียวที่ไม่รู้ว่าอะไรปฏิจจสมุปบาทใหญ่ เอาเถอะ ไม่ผิดหรอกมันตรงกันแหละแต่อธิบายลึกซึ้ง ผมเลยถือเสียว่าปฏิจจสมุปบาทสมบูรณ์แบบอย่างขนาดใหญ่นั้น เพื่อศึกษา เพื่อศึกษาเป็นหลักวิชาเป็นความรู้อันสูงสุดตามธรรมชาติ ส่วนปฏิจจสมุปบาทแบบฮัมเพลง ฮัมเพลงนี้ สำหรับปฏิบัติเห็นได้ง่ายปฏิบัติได้ง่ายแม้แต่ชาวบ้าน ชาวบ้านที่ไม่ต้องเรียนนักธรรมก็เข้าใจได้ แล้วเมื่อตากระทบรูปเกิดจักษุวิญญาณ สามประการนี้ทำงานร่วมกันอยู่เรียกว่าผัสสะ ตากับรูปกับจักษุวิญญาณถึงกันอยู่เรียกว่าผัสสะ พอมีผัสสะก็ต้องมีเวทนา มีเวทนาก็ต้องมีตัณหาไปตามลำดับ นี้เข้าใจง่ายปฏิบัติได้ทันที ชี้ชัดว่าควบคุมผัสสะ ควบคุมผัสสะไว้ในการที่มันจะเกิดเวทนาอย่าให้โง่ อย่าให้โง่ อย่าให้มีอวิชชาในตอนนั้น แล้วมันก็ไม่เกิดทุกข์หรอก นี่พระพุทธเจ้าท่านสาธยายในเรื่องจักษุเสร็จแล้วก็ ในชุดโสตะ คือหู มันจะมีชุดโสตะ จมูกลิ้นกายใจเป็นปรกครบทั้งหก (นาทีที่ 25.30) สาธยายน่าหัวไหมน่าประหลาดไหม เป็นพระพุทธเจ้าแล้วยังสาธยายปฏิจจสมุปบาท ที่พระองค์ได้ตรัสรู้มาเอง มาเอง ทีนี้มันเผอิญภิกษุองค์หนึ่งแอบอยู่ข้างหลัง แอบฟังอยู่ข้างหลังเงียบๆ พอพระพุทธเจ้าเผอิญเหลือบไปเห็นเข้า อ้าวเอ็งอยู่นี่ แกอยู่นี่ นี่จำเอาไป จำเอาไป เรียนเอาไป นี้คืออาธิพรหมจรรย์นี้คืออาธิพรหมจรรย์ เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นอาธิพรหมจรรย์ ก็คือเป็นจุดตั้งต้นของพรหมจรรย์นั่นแหละ แล้วก็ดูให้ดีเถอะถ้าเห็นเรื่องนี้ เห็นเรื่องนี้ก็เห็นลึกซึ้ง เห็นธรรมะลึกซึ้งคือเห็นพระพุทธเจ้านั้นแหละ ตั้งต้นพรหมจรรย์ด้วยการเห็นพระพุทธเจ้าในรูปของปฏิจจสมุปบาท ก็ตรงตามเรื่อง ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นธรรมะ ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรมะ นี้เรียกว่าพระพุทธเจ้า พระองค์ธรรม ธรรมะ พระองค์ธรรมะ พระองค์จริง ในลักษณะที่เป็นธรรมาธิษฐาน พระพุทธเจ้าในรูปร่างของธรรมะ เห็นโดยธรรมาธิษฐาน นี่พระองค์จริง พระองค์แท้ พระองค์เนื้อใน จะพูดกันต่อไป ขอให้รู้ไว้ก่อนว่า พระพุทธเจ้าองค์นี้ที่พวกฝรั่งไม่รู้จัก พวกลูกศิษย์ฝรั่งไม่รู้จัก มันสนใจแต่เรื่องบุคคล บุคคลคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ในประวัติศาสตร์ ส่วนพระพุทธเจ้าพระองค์จริงพระองค์แท้พระองค์เนื้อในนี้มันอยู่นอกประวัติศาสตร์ไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ฝรั่งที่สนใจศึกษาแต่เรื่องประวัติศาสตร์มันก็ไม่รู้จัก ไอ้พวกลูกศิษย์ฝรั่งในเมืองไทยเรานี้ก็เยอะแยะอ่านแต่หนังสือฝรั่ง เชื่อแต่หนังสือที่ฝรั่งเขียน มันก็ไม่พลอยรู้จักไปด้วย แล้วก็ไม่สนใจด้วยนี่ตอนนี้คือ พระพุทธเจ้าองค์ที่ฝรั่งและลูกศิษย์ฝรั่งไม่รู้จัก แต่ต้องขออภัยนะบางทีมีฝรั่งบางคนเดี๋ยวนี้นะ บางคนเท่านั้น มาสนใจและรู้จักบ้างก็มี แต่นี้เราพูดโดยทั่วๆไป ที่เป็นเหตุการณ์ที่แล้วมาแต่หลัง ผมสังเกตเห็นอย่างนี้ เอ้าทีนี้ก็มาเปรียบเทียบองค์ที่ฝรั่งไม่รู้จักกับองค์ที่ฝรั่งรู้จัก ฝรั่งรู้จักแต่พระพุทธเจ้าองค์ที่เป็นบุคคล หรือเนื่องกับบุคคล หรือแทนบุคคลนั่น เหมือนกับชาวบ้านทั่วๆ ไป องค์ที่มิใช่บุคคลเขาไม่เคยสนใจ แล้วเขาไม่อยากจะเชื่อ เขาอยากจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องลึกลับอธิบายทีหลังไม่ยอมสนใจก็ได้นะ หรือเขาเชื่อยากนี่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เห็นที่ลึกมันก็เห็นยาก มันก็เชื่อยากมันก็ไม่ได้เห็นกัน ฝรั่งจึงไม่รู้จักพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์ธรรมะ รู้จักแต่องค์ที่เป็นบุคคล เป็นบุคคลก็องค์ที่อยู่ในประวัติศาสตร์ ที่เขาเรียนประวัติศาสตร์ก็รู้จัก นี่พระพุทธเจ้าองค์นี้อยู่นอกประวัติศาสตร์ ทีนี้องค์แท้ องค์ใน องค์จริง มันไม่ใช่บุคคลนี่ มันเป็นกฎของธรรมชาติ ปฏิจจสมุปบาทเป็นกฎของธรรมชาติ แม้ธรรมะใดๆ ก็เป็นกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาตินี้มีนิรันดร ตลอดกาลนิรันดร แต่พระพุทธเจ้าองค์ที่เป็นบุคคลนั้นมีชั่วขณะ ชั่วขณะ ที่เกิดขึ้นเป็นคราวๆน่ะ พระพุทธเจ้าชั่วขณะคือพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล พระพุทธเจ้าที่เป็นนิรันดรไม่มีการเกิดดับ ตั้งอยู่นิรันดร นี่เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม เราก็เลยรู้จักพระพุทธเจ้าเป็นสององค์ว่าองค์หนึ่งนิรันดร องค์หนึ่งชั่วขณะ ที่เห็นนี่ชัดง่ายๆยิ่งขึ้นไปว่าพระพุทธเจ้าองค์นิรันดรนั้น คือตัวธรรมะกฎของธรรมชาตินี้ พระพุทธเจ้าองค์นี้ไม่มีการประสูติ ไม่มีการตรัสรู้ ไม่มีการนิพพานแล้ว ไม่มีการประสูติ ตรัสรู้ นิพพานอย่างที่เราทำพิธีวิสาขะ อาสาฬหะ มาฆบูชา ไม่มีความหมาย ประสูติตรัสรู้อย่างนั้น ถ้าจะให้มีการประสูติ ตรัสรู้ นิพพานแล้ว มีตลอดกาลเลย มีตลอดกาลเลย ประสูติ ตรัสรู้ นิพพานเสียตลอดกาลเลย ไม่ต้องมีการประสูติ ตรัสรู้ นิพพานกันเป็นอย่างๆ ที่นี่ เดี๋ยวนี้อีก ก็เรียกว่าพระพุทธเจ้าที่ไม่มีการประสูติ ตรัสรู้ และนิพพานนั้นน่ะ เพราะว่ามีเสียตลอดกาล ไม่ต้องแบ่งเป็น ประสูติ ตรัสรู้ และนิพพาน นี้ก็มีอยู่องค์หนึ่ง องค์ที่พระพุทธ เอ่อ ฝรั่งไม่รู้จัก ทีนี้พวกเราต้องรู้จัก เพราะได้เข้าใจแล้วว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท คือเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่เป็นปฏิจจสมุปบาทนี้มันเป็นการประสูติ ตรัสรู้ เสียเองตลอดกาลไม่ต้องแบ่งเป็นตอนๆ ไม่มีเกิดไม่มีดับ พูดอย่างนั้น ทีนี้พระพุทธเจ้าองค์บุคคลนั้นน่ะ ต้องมีพ่อมีแม่มีที่ประสูติ มีญาติมีพี่น้อง มีสถานที่เกิดเมืองนั้นเมืองนี้ ที่อินเดียอย่างนี้เป็นต้นแล้ว ในเวลานั้นเวลานี้ พ.ศ.เท่านั้น พ.ศ.เท่านี้ นั่น พระพุทธเจ้าชนิดที่มีที่เป็นบุคคลนั่น มีเนื้อหนังแล้วก็มีบิดามารดามีเหตุการณ์เกิดอย่างเนื้อหนัง มีที่เกิด มีญาติวงศ์พงษา มีอะไรอย่างที่เราเรียนรู้ในพุทธประวัตินั่น พระพุทธเจ้าองค์นั้นเป็นองค์บุคคล แต่ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ธรรมะแล้วไม่มีหรอก ไม่มีอย่างนั้น ไม่ต้องมีอย่างนั้น ไม่ต้องมีบิดามารดาเป็นแดนเกิด ที่เมืองนั้นเมืองนี้อย่างที่เรียนในพุทธประวัติ มันมีโดยไม่ต้องมี มันมีเสียเองโดยไม่ต้องมีการมี เป็นนิรันดรตลอดกาลนี่พระพุทธเจ้าองค์ธรรม องค์ธรรมะ มิใช่บุคคล แล้วก็มาดูอีกทีว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหน สามารถมามีในเรา มีในจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคลน่ะมีได้มามีใจจิตใจเราได้ แม้เมื่อท่านยังมีชีวิตเป็นๆ อยู่ในอินเดียน่ะเอามาใส่ในหัวใจเราได้เหรอ คนทั้งคนจะเข้าไปได้อย่างไรล่ะ ทีนี้พระพุทธเจ้าองค์ธรรมะที่ว่าอย่างที่ว่ามาแล้วนี้ สามารถเข้ามาอยู่ในจิตใจของเรา มีพระพุทธเจ้าอยู่ในเรา อยู่ในจิตใจของเรา มีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอยู่ในเรา มีอยู่ได้ในเรา มีในเรา นี่มันต่างกันตรงกันข้ามอย่างนี้ ทีนี้พระพุทธเจ้าอย่างบุคคลน่ะต้องเห็นด้วยตา พระพุทธเจ้าอย่างธรรมะเห็นด้วยตาไม่ได้ ไม่อาจจะเห็น แต่ต้องเห็นด้วยปัญญา คือจิตใจที่มีปัญญา พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งสำหรับเห็นด้วยตา พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งสำหรับเห็นด้วยใจ นี่เปรียบเทียบกันดู ทีนี้พระพุทธเจ้าบุคคลองค์หนึ่งนั้น มีประวัติศาสตร์ที่เขียนได้ มีประวัติที่เขียนได้เป็นประวัติ เป็นประวัติอย่างนั้นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมนั้นไม่มีประวัติ เขียนเป็นประวัติไม่ได้ เขียนเป็นประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้ เขียนไม่ได้ มีพระพุทธเจ้าที่เขียนเป็นประวัติได้ และมีพระพุทธเจ้าที่เขียนเป็นประวัติไม่ได้ ขอให้คุณรู้ไว้ มันต่างกันอย่างนี้ ทีนี้ฝรั่งหรือลูกศิษย์ฝรั่งก็รู้จักแต่พระพุทธเจ้าชนิดบุคคล เขียนเป็นประวัติได้ เขียนเป็นประวัติศาสตร์ได้ก็จัดอยู่ในประวัติศาสตร์เรียนรู้กันเพียงเท่านั้น พวกลูกศิษย์ฝรั่งบูชาความรู้ของฝรั่งก็รู้ได้เพียงเท่านั้น แล้วก็ไม่รู้จักแล้วก็ไม่สนใจพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์พระธรรม องค์ธรรมนี่ คำสองคำนี้คุณก็คงจะเรียนมาแล้วแต่ในโรงเรียนนักธรรมว่าปุคคลาธิษฐาน ธรรมาธิษฐาน หลักสำคัญสองประการนี้จำไว้ให้ดีๆ เข้าใจให้ดีๆ จนเข้าใจแจ่มแจ้งว่ามันต่างกันอย่างไร องค์ไหนเป็นเนื้อนอก เปลือกนอก องค์ไหนเป็นเปลือกนอก องค์ไหนเป็นเนื้อใน ที่เป็นปุคคลาธิษฐานเป็นเปลือกนอก ที่เป็นธรรมาธิษฐานเป็นเนื้อใน เราจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระองค์จริงกันให้ได้ พระพุทธเจ้าพระองค์เปลือกนั้นก็ตามเรื่องเถอะ ตามเรื่องเถอะ จะน่าสงสารที่ว่าเราจะมีกันแต่พระพุทธเจ้าพระองค์เปลือก พระองค์เปลือก ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่เข้าไปอยู่ในหัวใจของเราได้ พระพุทธเจ้าพระองค์จริงคือปฏิจจสมุปบาท มีอยู่ในทุกสิ่ง ทุกสิ่ง ที่มีการเกิดดับ เราอาจจะเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงได้ในที่ทุกหนทุกแห่ง ในทุกสิ่ง ที่มีการเกิดดับ จนกระทั่งพูดได้ว่าในทุกๆ ปรมาณู ส่วนเล็กที่สุดของวัตถุของสังขารก็คือปรมาณู ในปรมาณูหนึ่งๆ มันก็มีการเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ เห็นการเกิดดับนั้นแหละคือเห็นพระพุทธเจ้า เห็นได้ในทุกปรมาณู เห็นที่เป็นภายในเราทุกขุมขน มีการเกิดดับ เลือดเนื้อกระดูกเส้นเอ็นอะไรก็มีการเกิดดับ ชีวิตนี้ก็มีการเกิดดับ คิดดูออกไปข้างนอกทั่วโลกทั่วจักรวาล สัตว์ สังขาร ต้นไม้ ต้นไร่ เขาก็มีการเกิดดับ เห็นได้ในที่ทุกหนทุกแห่ง แต่เราก็ไม่เห็น คนมีปัญญาฝ่ายนิกายเซนเขาก็พูดเรื่องนี้ว่าพระพุทธเจ้ามีในที่ทุกหนทุกแห่ง แต่พวกเถรวาทยังงมงายในเรื่องนี้ไม่กล้าพูด ไม่กล้าพูดว่ามีอยู่ทุกแห่ง แล้วไปยึดมั่นว่ามีองค์เดียว ครั้งเดียว เกิดในอินเดียนิพพานแล้ว แต่พวกฝ่ายเซนนิกายนั้นน่ะ เขาก็กล้าพูดว่ามีในทุกแห่งๆ มีพระพุทธเจ้า ขออภัยนะพูดว่า นี่ไม่ใช่เป็นการจ้วงจาบว่าแม้ในกองขี้หมา เขาจะพูดให้สะใจคนโง่ ว่าแม้ในกองขี้หมามันก็มีปฏิจจสมุปบาทมีการเกิดดับ เกิดดับ อยู่ในกองขี้หมา จึงกล้าพูดว่าพระพุทธเจ้ามีในที่ทุกหนทุกแห่ง แม้ในกองขี้หมาให้สะใจไอ้พวกโง่ๆ มันไม่เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใน ขอให้ช่วยจำไว้ด้วย นี่พระพุทธเจ้าพระองค์ใน ฉะนั้นพระพุทธเจ้ามีหลายชั้นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทางวัตถุ ก็คือพระพุทธรูปหรืออะไรที่แทนพระพุทธเจ้า พระสารีริกธาตุต่างๆ นี่เป็นวัตถุ พระพุทธเจ้าที่เป็นร่างกาย คือร่างกายของพระพุทธเจ้าที่ตายแล้วเผาแล้ว พระพุทธเจ้าที่เป็นจิตคือจิตที่มีธรรมะ จิตที่รู้ธรรมะน่ะ คือพระพุทธเจ้า ทีนี้พระพุทธเจ้าที่เป็นสติปัญญาเห็นปฏิจจสมุปบาท นี่ก็เป็นพระพุทธเจ้า กฎของธรรมชาติแห่งการเกิดดับคืออิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาทก็คือพระพุทธเจ้าน่ะ คุณดูสิว่ามีกี่ชั้นน่ะ พระพุทธเจ้ามีหลายชั้น เป็นชั้น ชั้น ชั้น ชั้น คนบางคนเขาไปติดอยู่ขั้นร่างกาย ไม่ถึงจิตใจ บางคนก็เข้าไปถึงจิตใจแต่ไม่เข้าไปถึงตัวธรรมะ นี่เราบวชอุทิศพระพุทธเจ้า เคารพพระพุทธเจ้าจงรู้จักพระพุทธเจ้าให้ถึงที่สุด อย่ารู้แต่พระองค์เปลือก ขอให้รู้จักพระองค์จริง พระองค์เนื้อใน ที่ไม่มีเกิดดับ ที่ไม่มีการประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน แต่กลับมีอยู่นิรันดร นิรันดรไม่ต้องมีการประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน แต่กลับมีอยู่นิรันดร เข้าใจนิรันดรนี่ เหนือกาล เหนือเวลา เหนืออะไรทุกอย่างแหละ เป็นนิรันดร พระพุทธเจ้านิรันดร ทีนี้เราก็จะมาศึกษาพระพุทธเจ้ากันในทุกๆ ชั้น พระพุทธเจ้าอย่างปุคคลาธิษฐานก็รู้จัก พระพุทธเจ้าอย่างธรรมาธิษฐานก็รู้จัก นี่เราจะหายโง่ ถ้ารู้จักแต่พระพุทธเจ้าอย่างปุคคลาธิษฐานเท่าที่เรียนในพุทธประวัติก็โง่อยู่ครึ่งหนึ่งแหละ คือรู้จักแต่ปุคคลาธิษฐานไม่รู้จักธรรมาธิษฐาน จงศึกษาพระพุทธเจ้าทั้งโดยปุคคลาธิษฐานโดยธรรมาธิษฐาน ศึกษาพระพุทธเจ้าชั้นเปลือกนอก ศึกษาพระพุทธเจ้าชั้นเนื้อใน นี่ ศึกษาพระพุทธเจ้าในลักษณะที่เป็นวัตถุ เป็นร่างกาย แล้วก็เป็นจิตใจ แล้วก็เป็นสติปัญญา แล้วก็เป็นกฎ กฎของธรรมชาติ คือปฏิจจสมุปบาท ศึกษาทุกชั้น เอ้าทีนี้คุณจะศึกษาอย่างไร คุณจะศึกษาอย่างไรจึงจะรู้จักพระพุทธเจ้าในทุกความหมาย ศึกษาในโรงเรียนน่ะ ครูก็บอกให้ฟัง อ่านให้ฟัง คุณก็จดไว้ในสมุดแล้วก็สอบไล่ได้มันก็พอแล้ว ไม่เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เพราะการศึกษานั้นมันแค่ แค่เปลือกนอกผิวนอก ไม่ใช่เป็นการศึกษาที่สมบูรณ์ เราจะมีการศึกษาที่สมบูรณ์ สมบูรณ์ สมบูรณ์ ตรงตามความหมายของคำว่า ศึกษาในภาษาไทย สิกฉา (41.13) ในภาษาสันสกฤต สิกขาในภาษาบาลี จะว่าสิกขาก็ได้ สิกฉาก็ได้ (41.17) ศึกษาก็ได้ ทั้งสามภาษาแหละสิ่งเดียวกันคือการศึกษาแหละ การศึกษาที่แท้จริงน่ะ อย่างที่เขาเรียนกันในโรงเรียนนั้นน่ะไม่มี ไม่สมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์ การศึกษาที่แท้จริงคุณฟังให้ดีนะ สะ นี่มันแปลว่าเองหรือข้างใน อิกนั้นแปลว่าเห็น เห็นเองในภายใน แจกลูกออกมาเป็นว่า ดูเข้าไปที่สิ่งนั้น ดู ดู ดู ดู ดูให้เป็น แล้วก็ เห็น เห็น เห็น เห็น ถ้ามันดูเป็นมันก็เห็น ให้เห็นเห็นเห็นจริงมันก็รู้ รู้ รู้ รู้ ก็รู้ว่าอย่างไร ก็พิสูจน์ทดลองพิสูจน์ทดลองว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ทั้งหมดนี้ทำกับตนเองโดยตนเองในภายในของตนเอง นี่เรียกว่าศึกษาที่สมบูรณ์ เคยทำไหม ศึกษาเรื่องอะไร ดู ดู ดู เห็นชัด รู้ทั่วถึงแล้วก็พิสูจน์ทดลองว่าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วจึงปฏิบัติกระทำตามที่ควรจะทำต่อสิ่งนั้นๆ นี่คือการศึกษา ศึกษาในภาษาฝรั่งในคำฝรั่งใช้ก็ไม่ถึงขนาดนี้ สู้คำว่าศึกษาในภาษาบาลีในสันสกฤตไม่ได้ ศึกษา ศึกษา ดู เห็น รู้ ในภายใน ด้วยตนเอง โดยตนเองนั่นน่ะ ศึกษา จะศึกษาอะไรก็ใช้วิธีการ สี่ขั้นตอน ดู เห็น รู้ แล้วพิสูจน์ทดลอง แล้วจึงปฏิบัติ ปฏิบัติตามที่ทนต่อการพิสูจน์และทดลอง นี้เรียกว่าการศึกษา ทุกสิ่งมันจะมีความจริงแสดงอยู่ที่ตัวมันเอง ดูให้พบความจริงข้อนี้ เห็นความจริงข้อนี้ เช่นกิเลส กิเลสนี้ ไม่ต้องเชื่อใคร ไม่ต้องเชื่อตามใครดูเองเห็นเองว่า โอ้มันสกปรกจริงๆ แหละ ขึ้นชื่อว่ากิเลสล่ะก็ ในแง่ทั่วไปก็คือสกปรก ไปดูเถอะ กิเลสเกิดอยู่ในใจ โลภะ โทสะ โมหะ เกิดอยู่ มันก็สกปรกก็เห็นเองโดยไม่ต้องเชื่อ ไม่ต้องเชื่อใคร ไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไป พระพุทธเจ้าก็ต้องการอย่างนี้นะ พระพุทธเจ้าต้องการให้เห็นเอง เชื่อเองอย่างนี้ไม่ให้เชื่อพระองค์ โดยหลักกาลามสูตรสอนไว้อย่างนี้ กิเลสเป็นไฟ เอ้าก็ไม่ต้องเชื่อใคร มันเผามันร้อนอยู่ในตัวมันเองนี่ กิเลสให้เกิดทุกข์ อ้าวมันก็เห็นชัดๆ ว่ามันเกิดทุกข์ทุกทีที่มีกิเลสที่เรารู้จักอยู่ดี นี้ขอเรียกว่าความจริงที่แสดงอยู่ที่ตัวมันเอง จงดูสิ่งนั้น จงเห็นสิ่งนั้น โดยวิธีการศึกษาอย่าต้องเชื่อใคร มันจะเป็นจานเสียงไปหมดแหละ ครูสอนจำไว้ได้ ก็เป็นจานเสียงบันทึก เป็นเครื่องบันทึกเสียงอย่างนี้ใช้ไม่ได้หรอก มันจะต้องเห็นความจริงที่สิ่งนั้นๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง บางอย่างเราก็ทดลองดูก่อน ชิมดูก่อน เช่นว่าเขาว่าเกลือเค็มน้ำตาลหวานเราก็ยังไม่เชื่อจนกว่าเราจะได้ชิมดูก่อนนี่ ความจริงมันแสดงอยู่ที่เกลือว่ามันเค็ม มันแสดงอยู่ที่น้ำตาลว่ามันหวาน แล้วต้องเข้าถึงความจริงที่มันแสดงอยู่ที่เนื้อที่ตัวมันเสียก่อนแล้ว เราจึงเชื่อนี่วิธีที่สำหรับจะศึกษา ถ้ามันเป็นอย่างนี้ กาลามสูตรน่ะช่วยไปศึกษาจดจำไว้ให้ดีเถอะ มีประโยชน์คุ้มค่า ไม่เชื่อเพราะได้ฟังตามๆ กันมาที่เขาบอก ไม่เชื่อเพราะเขาปฏิบัติตามๆ กันมาดูตัวอย่างเขา ไม่เชื่อว่ามันเล่าลือกันอยู่กระฉ่อนกันทั้งโลกก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่ามีคำกล่าวมีที่อ้างอยู่ในตำราหรือในปิฎกก็ยังไม่เชื่อจนกว่าจะเห็นจริงที่ตัวมันเอง ไม่เชื่อโดยตรรกะคือวิธีคิดอย่างลอจิก ไม่เชื่ออย่างนัยยะคือวิธีคิดอย่าง Philosophy กูไม่เอากับมึงหรอกยกให้พวกโน้นเถอะ แล้วก็ไม่เชื่อด้วยการเกิดตามอาการ common sense ก็ไม่เอา ไม่เชื่อว่าเพราะมันทนได้ต่อการพิสูจน์ของเรา เพราะเราโง่ก็ได้เราก็พิสูจน์ผิดๆ มันก็ไม่เชื่อว่าผู้พูดนั้นน่าเชื่อ ผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อก็ยังไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าเพราะว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรานี่คำสุดท้ายผ่าเปรี้ยงเลย ไม่เชื่อว่าเพราะ มา สมโณโน ครูติ ไม่เชื่อว่าสมณะนี้เป็นครูของเราก็คือพระพุทธเจ้าเองแหละ จนกว่าจะเห็นด้วยตนเองที่ความจริงที่มันแสดงอยู่ในตัวมันเองทุกสิ่งจึงเชื่อ พระพุทธเจ้าท่านต้องการอย่างนี้ พระพุทธเจ้าต้องการไม่ให้เราเป็นทาสทางสติปัญญาของใคร ของสิ่งใด ไม่เป็นทาสทางสติปัญญาของใครแต่ให้เป็นอิสระ ท่านจึงยอมให้ได้ว่าไม่ต้องเชื่อแม้แต่ที่พระพุทธเจ้าตรัส แต่ว่าต้องเอามาศึกษามาใคร่ควรดูแล้วก็เห็นจริงอยู่ในตัวนั้นแหละ ตัวสิ่งนั้น ตัวสิ่งที่พระพุทธเจ้าเอามาตรัสนั้นแหละ มีความจริงแสดงอยู่ นี้ขอใช้คำสั้นๆ เรียกว่าความจริงที่แสดงอยู่ในตัวมันเอง มีทุกอย่างเห็นอะไรก็ดูให้เห็นความจริงที่มันแสดงอยู่ที่นั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจริงที่ว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา ไปดูที่ต้นไม้ที่ ที่สัตว์ที่คนที่ อะไร ทุกอย่างๆ มีความจริงแสดงอยู่ว่ากูเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความจริงนี้แสดงอยู่ที่สิ่งนั้นจงดูที่สิ่งนั้น จงเห็นความจริงของสิ่งนั้นๆ แล้วจึงยุติหรือปลงใจว่าเออมันเป็นอย่างนั้น แล้วจะจัดการอย่างไรก็จะจัดการไปตามลำดับ อ้าวทีนี้มาถึงหัวข้อที่ว่าดูจะอวดดีไปหน่อย เราอาจจะมีหรืออาจจะเป็นพระพุทธเจ้ากันได้สักเท่าไร เราอาจจะเป็นพระพุทธเจ้ากันได้สักเท่าไร หรือว่าเราอาจจะมีพระพุทธเจ้ากันได้สักเท่าไร เมื่อกล่าวโดยบุคคลอย่างปุคคลาธิษฐานเราไม่อาจจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอก แต่ว่าเรามีหวังที่จะเป็นปัจเจกพระพุทธเจ้า ในบางคนบางโอกาส เรามีโอกาสที่จะเป็นอนุพุทธะ ฟังตามแล้วรู้ตามด้วยกันทุกคนแหละ แล้วเราก็จะเป็นสุตพุทธะ เพราะการได้ยินได้ฟังเต็มไปทั้งโรงเรียน ทั้งโรงเรียนแน่นอัดไปด้วยสุตพุทธะ มันเรียนรู้ได้ยินได้ฟัง นี่เราอาจจะเป็นพุทธะกันได้ในลักษณะอย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเว้นเสียอย่าเอามาพูดเลย แต่ว่าปัจเจกพุทธะ อนุพุทธะ สุตพุทธะ อยู่ในวิสัยที่เราจะมีได้ เป็นก็ได้ มีก็ได้ นี่ลักษณะมันมีอย่างนี้ ทีนี้ถ้าว่าเรามีพระพุทธเจ้าอย่างธรรมาธิษฐาน ที่ว่าผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ที่พระพุทธเจ้าตรัส เราเอาตัวธรรมนั้นแหละมาเป็นที่ตั้งมันมีอยู่ในตัวเรา เราก็มีความเป็นพุทธะในความหมายแห่งธรรมะหรือตัวธรรม เราก็เป็นพระพุทธเจ้าได้แล้วก็มีพระพุทธเจ้าได้ เรามีการเห็นปฏิจจสมุปบาทเถิด เราก็มีพระพุทธเจ้าคือผู้แสดงซึ่งปฏิจจสมุปบาท ผู้แสดงซึ่งอริยสัจทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มีการเห็นปฏิจจสมุปบาทที่ไหนมีพระพุทธเจ้าที่นั่น เรามีการเห็นปฏิจจสมุปบาทที่แท้จริงที่ถูกต้องนะไม่ใช่ปฏิจจสมุปบาทในโรงเรียนนะ ปฏิจจสมุปบาทที่ถูกต้องที่แท้จริงมีการเห็นเมื่อไรมีพระพุทธเจ้าที่นั่น และเมื่อนั้น แล้วก็อาจจะเห็นได้ มีได้ เป็นได้ทุกเวลา ไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดสถานที่ ไม่จำกัดเวลาเป็นพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าได้ ทันทีที่เห็นธรรมะเห็นปฏิจจสมุปบาท นี่โอกาสที่เราจะเป็นพระพุทธเจ้ามันมีอยู่อย่างนี้ เอาล่ะ เท่าที่พูดมานี้คุณก็คงจะเข้าใจได้แล้วกระมัง ว่ามีพระพุทธเจ้าชนิดหนึ่งแท้จริง แท้จริงที่ฝรั่งไม่รู้จัก ที่ลูกศิษย์ฝรั่งไม่รู้จัก เพราะมันมัวแต่อ่านหนังสือที่ฝรั่งเขียน เชื่อหนังสือที่ฝรั่งเขียน นี่พวกลูกศิษย์ฝรั่งไปเรียนเมืองนอกเมืองนามา ก็พลอยไม่รู้จักไปตามฝรั่ง และที่สำคัญที่สุดก็คือไม่สนใจไม่คิดว่าจะมี ไม่สนใจที่จะรู้ในเรื่องนี้ เพราะมันเรียนกันแต่เรื่องวัตถุมันเป็นวัตถุนิยมสนใจแต่วัตถุ รู้จักแต่วัตถุ คือทางกายนี่วัตถุ โลกกำลังเป็นยุควัตถุนิยมจัด อะไรก็วัตถุ พิสูจน์โดยวัตถุ พิสูจน์โดยรูปธรรม ซึ่งเด็กนักเรียนวัยรุ่นของเราก็พลอยบ้าตาม ใช้คำพูดอย่างนี้ โดยรูปธรรม พิสูจน์โดยรูปธรรมนี่ มันก็รู้จักแต่ทางรูปทางวัตถุ อย่างนี้ไม่มีทางที่จะรู้จักพระพุทธเจ้าในลักษณะแห่งธรรม ธรรมะที่มิใช่วัตถุ มิใช่วัตถุแล้วยังมิใช่จิตด้วย เหนือวัตถุ เหนือจิตไปโน่น เป็นความว่างไปเลยโน่น นี่ก็ยิ่งไม่รู้จัก ก็ยิ่งไม่รู้จักใหญ่ เราจะรู้จัก เราก็ไม่ ถ้าเราไม่รู้จักก็เสียชาติ ที่เป็นพุทธบริษัท เสียชาติที่บวชที่เรียน ไม่รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระองค์แท้ พระองค์เนื้อใน พระองค์จริง ไม่รู้จัก เสียชาติที่บวช ที่เรียน โกนหัวนุ่งแดงกันอยู่อย่างนี้ ไม่ ไม่ ไม่ อย่าให้เสียชาติ จงรู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง นิรันดรมาอาศัยร่างกายเกิดเป็นพระพุทธเจ้าอย่างบุคคลเป็นคราวๆๆๆๆ เท่านั้น ครั้งหนึ่งไม่เกินร้อยปี แต่พระพุทธเจ้าพระองค์จริงอยู่หลังนั้นเข้าไป นิรันดร นิรันดร จงรู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ที่เป็นเหตุให้เกิดพระพุทธเจ้าพระองค์เปลือก พระองค์เจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์แท้พระองค์เนื้อในเป็นเหตุให้เกิดพระพุทธเจ้าพระองค์เปลือก แล้วก็เปลือก เปลือก เปลือก เปลือก หลายชั้นออกมาข้างนอกอีก เป็นพระพุทธรูปเป็นพระสารีริกธาตุ เป็นพระเจดีย์ เป็นพิธีรีตองนี่ก็ไม่รู้ นี่เปลือกทั้งนั้นแหละ ขอให้รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์ใน พระองค์จริง พระองค์แท้ สนใจ สนใจ ทำในใจ ทำวิปัสสนาโดยเฉพาะให้จิตเป็นสมาธิมีปัญญา มีวิปัสสนาแล้วจะเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นี้จะมีประโยชน์ที่สุด มันจะฆ่ากิเลส มันจะดับทุกข์ไปในตัวทันทีและโดยอัตโนมัติ พูดสมควรแล้วขอสรุปความกันเสียทีหนึ่ง เป็นพุทธบริษัท เป็นพุทธศาสนิก ควรรู้จักพระพุทธเจ้าทุกความหมาย คุณช่วยจำไปให้แม่นยำ ว่าเป็นพุทธบริษัท เป็นพุทธศาสนิกชนนี้ ควรรู้จักพระพุทธเจ้าทุกความหมาย อย่างบุคคล อย่างเปลือกก็รู้ทุกชนิด อย่างธรรม อย่างเนื้อในก็รู้ทุกชนิดเรียกว่าทุกความหมาย แล้วก็ควรมีพระพุทธเจ้าประจำตัวได้ตลอดเวลา คือมีการเห็นธรรมะ เห็นธรรมะด้วยสติสัมปชัญญะไม่ลืมตัว ไม่เผลอตัว ไม่ประมาท ไม่อะไรหมด การเห็นธรรมะมีอยู่ตลอดเวลา โดยวิธีของสติปัฏฐาน โดยวิธีของอานาปานสติภาวนา มีสติอย่างนี้อยู่กับเนื้อกับตัว เราก็มีพระพุทธเจ้าประจำตัว ไม่ใช่เอาพระพุทธรูป พระพุทธ เครื่องรางน่ะ พระพุทธเจ้าเครื่องรางมาแขวนคอนั้นเอาไว้ คนปัญญาอ่อนเขาทำอะไรไม่ถูกไม่เป็นเขาก็ทำอย่างนั้น แต่เรานี่ต้องมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระองค์จริงอย่างที่ว่านี้ ในความรู้สึกอยู่เสมอ คือเห็นธรรมอยู่เสมอไม่เลอะเลือนนี่มีพระพุทธเจ้าประจำตัวอยู่กับเราตลอดเวลา อีกความหมายหนึ่งพูดคล้ายกับอวดดีว่าเราเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ถ้าเราเป็นอย่างสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือปัจเจกพระพุทธเจ้าไม่ได้ เราก็เป็นอย่างอนุพุทธะ หรือ สุตพุทธะนี่ แต่ว่าถ้าเราเห็นธรรมะอยู่เรามีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอยู่ในใจ หัวใจของเราตลอดเวลา นี่ก็มากถมไปแล้ว ทีนี้เราก็จะไม่ติดอยู่ที่เปลือกของพระพุทธเจ้าที่มีคนสร้างเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น มากขึ้น มากขึ้น สร้างเปลือกของพระพุทธเจ้า นับตั้งแต่ว่าสร้างพระพุทธรูปขึ้นมา สร้างพระเจดีย์สารีริกธาตุขึ้นมา สร้างวัตถุแทนองค์พระพุทธเจ้าอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา สร้างพิธีรีตองอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา นี้เรียกว่าคนธรรมดานี่ สมัยนี้ช่วยกันสร้างเปลือกครอบพระพุทธเจ้าให้หนาขึ้นมา ให้หนาขึ้นมา เอาเปลือกเหล่านั้นออก ออก ออก ออก ลอกออกเป็นชั้น เป็นชั้น เป็นชั้น ก็จะมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เข้าถึงเนื้อในที่เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ไม่ได้ติดอยู่ที่เปลือกเช่นติดอยู่ที่พระพุทธรูป ติดอยู่ที่พระสารีริกธาตุ ต้นโพธิ์ พระเจดีย์ เอาผ้าเหลืองไปห่มกันใหญ่ด้วยความคิดว่านี้ห่มให้พระพุทธเจ้า เอาผ้าไปห่มให้พระพุทธรูป คิดว่าห่มให้พระพุทธเจ้า ไปห่มให้ต้นโพธิ์ก็คิดว่าห่มให้พระพุทธเจ้า ไปห่มให้พระเจดีย์ก็จะเรียกว่าห่มให้พระพุทธเจ้าในความรู้สึกของเขา เอาผ้าเหลืองที่ห่มพระพุทธรูป ห่มต้นโพธิ์ ห่มพระเจดีย์ ออกเสียบ้างสิ นั้นแหละมันจะบังน้อยลงจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ถ้าพูดอย่างนี้มากไปก็ถูกด่า แล้วผมก็ถูกด่ามาแล้ว แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็ทะลุเปลือก เปลือก เปลือก เปลือก เข้าไป ถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ในที่สุดขอพูดข้อเดียวเป็นข้อสุดท้ายว่า พวกที่จะลาสิกขาน่ะช่วยเอาพระพุทธเจ้าไปด้วยนะ พวกที่จะลาสิกขาออกไปจากวัดน่ะช่วยเอาพระพุทธเจ้าไปด้วย อย่าทิ้งไว้ในวัด คือธรรมะแท้จริง ธรรมะองค์จริง ธรรมะที่เห็นชัดเจน เมื่อทำวิปัสสนาภาวนาอะไรอยู่ที่วัดน่ะ เห็น เห็น เห็น ก็ช่วยเอาไปด้วย ลาสิกขาช่วยเอาไปด้วยอย่าทิ้ง มีที่ในวัดแล้วก็ไม่ได้อะไรติดไปเลย ที่ลาสิกขาทั้งหลายจงเอาพระพุทธเจ้าไปด้วย ไม่ ไม่โยนทิ้งพระพุทธเจ้า ไม่ลาจากพระพุทธเจ้า ลาแต่เพียงสิกขาสำหรับเป็นภิกษุเท่านั้นแหละ แต่ไม่ลาพระพุทธเจ้า ไม่ลาพระธรรม ไม่ลาพระสงฆ์ ไม่ลาไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญานี้ไม่ลา ถ้าอย่างนี้ก็เรียกว่าลาสิกขาไปแล้วก็เอาพระพุทธเจ้าไปด้วย ขออนุโมทนา เอ้าขอให้มีพระพุทธเจ้าตลอดชีวิต ตลอดชีวิต เป็นที่พึ่งประจำใจ ขอแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะมีความเข้าใจในเรื่องของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติต่อพระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าประจำใจแล้วจะมีความสุข สวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ