แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้อยากจะพูดโดยหัวข้อว่าอิสรภาพหรือเสรีภาพในทางธรรม ขอให้สังเกตว่าเราพูดว่าในทางธรรมหรือในทางโลก อิสรภาพเสรีภาพในทางโลกก็เป็นอย่างหนึ่ง ในทางธรรมก็เป็นอย่างหนึ่ง คนต้องการกันนักแหละอิสรภาพเสรีภาพแล้วก็ไม่ค่อยยอมเสีย แล้วก็เป็นทุกข์เมื่อรู้สึกว่าเสีย แต่แล้วมันก็มีทางที่จะแก้ไขถ้าว่ารู้จักอิสรภาพหรือเสรีภาพในทางธรรม แต่บางคนอาจจะไม่สมัคร สมัครที่จะมีอิสรภาพเสรีภาพในทางธรรม เพราะเขาจะมองมันในลักษณะที่เรียกว่ายอมแพ้ อย่าเพิ่งเข้าใจอย่างนั้นนะขอให้ฟังดูให้ดีๆว่าอิสรภาพเสรีภาพในทางธรรมนี่สำคัญกว่า และถ้ามีแล้วมันจะไม่เสียเส อิสรภาพหรือเสรีภาพในทางไหนเลย ศึกษากันไว้บ้างมันจะมีประโยชน์ แต่มันก็เป็นเรื่องลึก เป็นธรรมะชั้นลึกในทางธรรม เพราะว่าถ้าบอกให้รู้ล่วงหน้ามันก็บอกได้ว่ามันเล็งถึงพระนิพพาน เล็งถึงความหมายของพระนิพพานที่ทำให้ไม่สูญเสียอิสรภาพหรือเสรีภาพแต่อย่างใดเลย ข้อแรกมันจะต้องย้อนไประลึกนึกถึงไอ้ธรรมชาติโดยพื้นฐานเสียก่อนว่าที่จริงเราก็มีเสรีภาพโดยธรรมชาติ แต่แล้วเราก็ไม่ได้ใช้มันให้เป็นประโยชน์ ข้อนี้ขอให้คิดดูให้ดีๆ ทุกคนจะมีปัญหาอย่างนี้ คือว่าเราตามธรรมชาติเราก็มีอิสรภาพเสรีภาพ คือว่าเราจะทำอะไรก็ได้นี่ เห็น เห็นไหม ใช่ไหม ตื่นขึ้นมาตอนเช้าวันหนึ่งเราจะทำอะไรก็ได้ แต่แล้วเราก็ไม่ได้ทำอะไรชนิดที่ควรจะทำ มันมีสิ่งๆหนึ่งที่ต้องเรียกว่ากิเลสนั่นมันไสหัวไปให้ทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ นี่ก็เรียกว่ามันสูญเสียอิสรภาพ กลางวันเราจะทำอะไรก็ได้ กลางคืนเราจะทำอะไรก็ได้ จะฝันอย่างไรก็ได้ แต่แล้วมันก็ไม่ได้ใช้เพื่อเสรีภาพ มันไม่อาจจะใช้เพราะมันถูกกิเลสดึงไปๆให้ทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งตามความต้องการของกิเลส แต่แล้วเราก็ไม่รู้สึกว่านี่สูญเสียเสรีภาพ กลับจะเห็นว่าได้ ได้เสรีภาพแล้วทำอะไรตามพอใจของเราคือของกิเลส ตื่นนอนขึ้นมามีเสรีภาพของกิเลส ใช้ไปทำอะไรตามอำนาจของกิเลส แล้วจิตนั้นก็ไม่ได้สำนึกว่าเราสูญเสียเสรีภาพหรืออิสรภาพก็ทำกันตามกิเลส ดังนั้นจะต้องรู้จักแบ่งแยกออกไปว่าในชีวิตเรานี้มันมีสิ่ง ๒ สิ่งซึ่งเป็นคู่ตรงกันข้าม หมายถึงความรู้หรือความรู้สึก อย่างหนึ่งมันเป็นกิเลส อย่างหนึ่งมันเป็นโพธิ เรื่องนี้ก็เคยพูดกันมาบ้างแล้วก็ขอให้สนใจบ้าง กิเลสมันก็เป็นเรื่องที่จะพาไปตามแบบของกิเลส ไอ้โพธิก็เป็นเรื่องที่มันจะพาไปตามแบบของโพธิ เดินคนละทางตรงกันข้าม พูดง่ายๆก็ว่ากิเลสมันเดินลงต่ำ โพธิมันเดินไปทางสูง
เราเกิดมาจากท้องมารดายังไม่มีอะไร พอมารู้นั่นนี่เข้าได้ชอบใจได้พอใจอย่างนั้นอย่างนี้ก็หลงใหลในทางนั้น มันก็ไม่รู้ว่ามันควรหรือไม่ควร แต่มันอร่อยมันสนุกมันก็ชอบอย่างนั้น กิเลสมันก็ได้โอกาสตั้งต้นก่อน นี่เป็นสิ่งที่ควรจะต้องสังเกตว่ามนุษย์ที่เกิดมานี่ ทารกนี่ กิเลสได้โอกาสที่จะตั้งต้นก่อน คือว่าได้รับสิ่งที่พอใจก็ดีใจหลงใหลชอบใจ ได้รับสิ่งที่ไม่พอใจก็โกรธแค้นขัดเคืองอาละวาด ส่วนไอ้ความรู้ที่ถูกต้องว่าไม่ควรทำอย่างนั้นมันยังไม่มี นี่ส่วนที่เป็นกิเลสมันลงรกลงรากฝังลงในสันดานเสียก่อน ไอ้เรื่องของโพธิที่เราจะรู้ว่าไม่ควรทำอย่างนั้นอย่างนี้มันมีได้ยาก แล้วบางทีบิดามารดาก็ไม่ได้สอนหรือสอนก็ฟังไม่ถูกไม่รู้เรื่อง จนกว่าว่ามันจะได้รับความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานเพราะทำไม่ถูกต้องแหละ คือทำไปตามอำนาจของกิเลสแล้วกิเลสมันกัดเอานั่นแหละ หนักเข้าๆมันจะค่อยๆรู้สึกโอ้, นี่มันไม่ไหวแล้ว นี่จึงจะค่อยเกิดไอ้ความรู้สึกฝ่ายที่เป็นโพธิ คือความรู้ที่ถูกต้องขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ถ้าโพธิเจริญมาก เร็วทด ทัด ทัดเทียมกันมันก็ดี มันก็ยื้อแย่งกันระหว่างกิเลสกับโพธิ ฉะนั้นในชีวิตของเรานี่มันก็มีสงครามการรบพุ่งกันอยู่เรื่อยระหว่างกิเลสกับโพธิ แต่นี้ใครล่ะ ตัวไหนล่ะ ตัวกิเลสหรือตัวโพธิที่จะรู้สึกว่าสูญเสียอิสรภาพหรือเสรีภาพ เมื่อกิเลสมันไม่ได้ตามที่มันต้องการหรือมันถูกแย่งชิงไปเสีย ถูกกดขี่ข่มเหงมันก็รู้สึกสูญเสียเสรีภาพเต็มที่ตามแบบของกิเลสที่มันต้องการอะไรแล้วมันไม่ได้ นี่ขอให้สังเกตดูให้ดีๆว่าเสรีภาพที่ อิสรภาพที่กำลังต้องการกันนักนั้นในโลกนี้มันเป็นเสรีภาพของกิเลสหรือของโพธิ ถ้าโพธิมันไม่หลงอะไร มันไม่หลงใหลอะไร มันไม่อยากอะไร มันไม่โง่ไปหลงใหลอะไรมันก็ไม่รู้สึกว่าสูญเสียอะไร ไม่รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบหรือข่มเหง แต่ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแหละมันต้องการนั่นต้องการนี่ต้องการนู่นมาก มากจนเกิน เกินจำเป็นจนไม่มีเหตุผลนะ นั่นเพราะมันรู้สึกว่าไม่ได้ พอรู้สึกว่าไม่ได้ก็รู้สึกว่าสูญเสียเสรีภาพหรืออิสรภาพ นั่นมันจึงต้องเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้ ดังนั้นขอให้สนใจกันให้ดีๆ เดี๋ยวนี้เราก็พูดกันเป็นเรื่องของ ของการเมือง อิสรภาพเสรีภาพทั่วโลก แต่ดูให้ดีเถอะมันเสรีภาพของกิเลสหรือของโพธิ แต่เมื่อพูดกันเรื่องทางโลก ชาวบ้านทางโลกเขาก็เป็นเรื่องของ ของโลกทั้งนั้น มันก็เป็นเรื่องของอวิชชา ไม่รู้ตามที่เป็นจริงหรือเป็นเรื่องของกิเลส แล้วมันก็ได้เอามาต่อสู้กัน ฟัดเหวี่ยงกัน แย่งชิงกันในเรื่องประชาธิปไตยเสรีภาพ มองย้อนไปดูถึงเสรีภาพของอันธพาล ก็พอจะมองออกว่าอันธพาลนั่นเขาต้องการเสรีภาพอย่างไร แล้วใครจะยอมด้วยได้ไหว นี่มันจึงเป็นเรื่องยื้อแย่งเสรีภาพชนิดอย่างของกิเลส อย่างของกิเลสกันอยู่ในโลกนี้ทั่วไปทั้งโลกเลย ไอ้เสรีภาพอิสรภาพของโพธินั้นไม่ต้องรู้กัน หรือว่ามันอยู่ลึกเกินไปกว่าที่จะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ แต่แล้วเรื่องนี้มันก็เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ฉะนั้นเราจะต้องรู้มูลเหตุอันลึกซึ้งที่สุดที่ทำให้เกิดรู้สึกต้องการเสรีภาพและรู้สึกว่าสูญเสียเสรีภาพ มันก็มาถึงสิ่งที่เราเรียกกันว่าตัณหา ซึ่งได้ยินได้ฟังอยู่ทั่วไปแหละไอ้คำว่าตัณหา ตัณหานี่ แต่ดูมันยังรู้จักกันน้อยเกินไป แล้วก็ถูกตัณหาแหละพาไป โลกนี้อยู่ใต้อำนาจของตัณหา ถูกตัณหาชักพาไป ไปตามแบบของตัณหาซึ่งก็คือกิเลสนะ คำว่าตัณหา ตัณหาพูดอย่างภาษาธรรมดามันก็คือว่าความต้องการของความโง่ ความต้องการนี้มีอยู่ ๒ ชนิด ต้องการของความโง่ ของความไม่รู้ ของอวิชชามันก็เรียกว่าตัณหา ตัณหา นี่ถ้ามันเป็นความต้องการของความรู้ที่ถูกต้องของวิชชาของปัญญาอย่างนี้ไม่เรียกว่าตัณหา มีชื่อเรียกอย่างอื่น เช่นเรียกว่าสังกัปโปหรือสังกัปปะ เป็นต้น เป็นสิ่งที่ไม่ ไม่ทำอันตราย เว้นไว้แต่ไปให้มันผิดอีกแหละ สังกัปปะนี่มันต้องมีทั้ง ทั้งมิจฉาและสัมมา แต่ว่าโดยเนื้อแท้มันเป็นความต้องการที่ควรต้องการของวิชชาของปัญญา เราเรียกว่าสังกัปปะ เป็นสิ่งที่ใช้ในการให้พร ขอให้สังกัปปะของท่านสมบูรณ์ จันโท ปัณณะระโส ยะถา เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญหรือ อย่างนี้เป็นต้น ไอ้ความต้องการของกิเลสตัณหามันเป็นความต้องการของความโง่ พอไม่ได้อย่างที่ความโง่หรือกิเลสมันต้องการมันก็รู้สึกโกรธแค้น เรียกว่าสูญเสียเสรีภาพ ตัณหานี่มี ๓ อย่างจำกันไว้ง่ายๆในภาษาไทย เมื่อมันอยากได้อยากเอา อยากเอาอยากได้นี่อย่างหนึ่ง แล้วก็อยากเป็นนี่ก็อย่างหนึ่ง แล้วก็อยากที่จะไม่เป็นนี่ก็อย่างหนึ่ง เป็น ๓ อย่าง ดูให้ดีเรามีกันตลอด บางทีอยากได้อยากเอาหรืออยากมี มีอะไรบ้างก็เหลือที่จะกล่าว แล้วก็อยากเป็นนั่นเป็นนี่เป็นตามที่กิเลสตัณหาต้องการจะเป็น แล้วทีนี้มันก็อยากไม่ให้เป็นตามที่มันไม่ต้องการ กระทั่งอยากไม่ให้พบไม่ให้เห็นไอ้ที่มันไม่ ไม่ชอบไม่ต้องการ นี่มันมีอยู่ ๓ ชนิดอย่างนี้ พอไม่ได้ตามที่มันต้องการอย่างนั้นมันก็โกรธ มันก็รู้สึกว่าสูญเสียเสรีภาพ ถูกละเมิดสิทธิอะไรตามเรื่องของมัน ทีนี้ถ้าไม่มีตัณหานี่คุณลองคำนวณดู ถ้าไม่มีตัณหาเหล่านี้มันจะรู้สึกได้อย่างไร ถ้าไม่มีความอยาก ๓ ประการนี้มันจะไม่รู้สึกว่าสูญเสียอะไรหรือขาดอะไร หรือใครมาทำอะไรเราสูญเสียสิทธิเสรีภาพ ไอ้ความไม่อยากนี่มันประหลาดที่สุด แต่ถ้าว่าสอนในแบบนี้สอนให้เรื่องหยุดความอยากนี่มันกลายเป็นคนทั่วไปไม่ชอบ ไม่มีใครชอบ แล้วก็มองเห็นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เป็นฝ่ายสูญเสียไปเสียอีก ที่จริงมันควรจะมีหลักว่าอะไรทำให้เรารู้สึกว่าสูญเสียอิสรภาพเสรีภาพ เราก็รีบสละสิ่งนั้นเสีย ฟังดู น้อยคนจะชอบ แต่มันเป็นความจริงที่สุด เป็นธรรมะสูงสุด อะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราสูญเสียอิสรภาพเสรีภาพ รีบสละสิ่งนั้นเสียเลย สิ่งนั้นกูไม่เอากับมึง แล้วมันจะไม่มีความรู้สึกชนิดที่เป็นสูญเสียอิสรภาพเสรีภาพ พระอรหันต์ท่านไม่ ไม่มีความต้องการอย่างนี้ ไม่มีกิ ไม่มีตัณหา ไม่มีสิ่งที่ท่านต้องการด้วยกิเลสตัณหา แล้วมันไม่มีใครไปทำให้พระอรหันต์สูญเสียอิสรภาพหรือเสรีภาพได้เพราะท่านไม่ต้องการอะไรนี่ มันกลายเป็นเรื่องสูงสุดของนิพพานไปเลยเมื่อไม่ต้องการอะไร มันก็ไม่สูญเสียอิสรภาพเสรีภาพอะไร ไม่มีใครมาทำให้สูญเสียอิสรภาพเสรีภาพได้ นี่มันลึกเกินไป มันเกินไปก็ได้ อาจจะไม่มีใครชอบ อาจจะไม่มีใครยอมรับหลักการอันนี้ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ เขาจะต้องมีความรู้สึกสูญเสียอิสรภาพเสรีภาพอยู่เรื่อยๆไปแหละ ลำเอียงบ้าง ไม่ยุติธรรมบ้างแม้แต่กฎหมายก็ไม่ยุติธรรมบ้าง มันจะมีเป็นธรรมดา ดังนั้นขอให้เราศึกษาให้ถึงส่วนลึกที่สุดของสิ่งที่ทำให้เกิดความต้องการอิสรภาพเสรีภาพ
ความไม่มีตัณหา ความสิ้นตัณหานี่มันเป็นสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะมันหมายถึงนิพพาน แต่เอาแหละอย่าพูดกันถึงเรื่องนิพพานอะไรให้มันลึกไปจนคนธรรมดาไม่อยากจะสนใจ พูดกันอย่างที่พอจะสังเกตได้คำนวณได้ว่าเมื่อไรมีความต้องการสิ่งใด เราก็ตกเป็นทาสของสิ่งนั้น นี่เป็น เป็นหลักเกณฑ์ที่ควรจะจำไว้ข้อหนึ่งทีเดียวว่าต้องการสิ่งใดมันก็เป็นทาสของสิ่งนั้น แล้วมันจะเป็นมูลเหตุให้รู้สึกว่าสูญเสียหรือไม่ยุติธรรมหรือไม่อะไรไปตามเรื่อง แล้วก็จะนำมาซึ่งความรู้สึกว่าสูญเสียอิสรภาพเสรีภาพ เมื่อต้องการสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นปัญหาขึ้นมาที่จะทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ และโดยเฉพาะสำหรับคนโง่ เมื่อต้องการมันก็เป็นทุกข์ด้วยความต้องการ กระวนกระวายเดือดร้อนเพราะความต้องการนี่ชั้นหนึ่งก่อนนะ มันพยายาม พยายามมันก็เป็นทุกข์ไปตามแบบของคนโง่เพราะมันไม่รู้จักทำจิตใจให้ปกติ เป็นทุกข์ตลอดที่พยายาม ได้มาก็เอามารัก เอามาหวง เอามายึดมั่นถือมั่นมันก็เป็นทุกข์ตลอดเวลา นี่คิดดูเถอะไอ้ความต้องการที่มาจากอวิชชามันเป็นอย่างนี้ โดยเนื้อแท้มันสูญเสียอิสรภาพเสรีภาพอยู่ในตัวนั้นมันเองแล้วตลอดเวลาแต่มันไม่รู้สึก มันไปรู้สึกเอาอย่างผิวๆข้างนอกที่ว่าผู้อื่นนะ เกี่ยวกับผู้อื่น แต่ที่ตัวเองเป็นผู้สูญเสียอิสรภาพเสรีภาพให้แก่กิเลสอย่างยิ่งนั่นไม่รู้ ไม่รู้จัก มันเป็นอยู่อย่างนี้ขอให้ๆ ให้มอง ให้มองดูให้ดีๆ เพราะมีตัณหา ถ้าสิ้นตัณหา ไม่มีตัณหาปัญหาเหล่านี้ไม่มี เพราะมันไม่ต้องการอะไร มันก็เลยไม่รู้สึกว่าไม่ได้อะไรหรือสูญเสียอะไร หรือว่าใครเอาเปรียบอะไรแก่เราในเรื่องที่เราควรจะได้ มันได้เป็นจิตใจที่อยู่เหนือปัญหาเหนือความทุกข์ ไม่มีความทุกข์เลย นี่หัวใจธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนามันอยู่ที่ตรงนี้ มัน มันควรจะเข้าใจกันได้แต่ก็ไม่ค่อยมีใครจะสนใจ แล้วมันก็เข้าใจไม่ได้ เรื่องตัณหากับ กับความสิ้นตัณหานั่นเป็นเรื่องทั้งหมดแหละในพุทธศาสนา เพราะมีตัณหาก็มีทุกข์ สิ้นตัณหาก็ไม่มีทุกข์ มันมี ๒ เรื่องแค่นั้น มีทุกข์กับไม่มีทุกข์ ถ้าเรามีตัณหา เวลาก็กินเรา ถ้าเราไม่มีตัณหา เราก็กินเวลา นี่เป็นพุทธภาษิต เรามีตัณหาความอยากที่มาจากอวิชชา เมื่อนั้นเวลาจะกัดกินเราทั้งหลับทั้งตื่นแหละ เพราะเราไม่ได้สิ่งที่เราต้องการ ตาม ตามที่ตัณหาต้องการ ไอ้เวลามันก็ไม่พอ เวลาก็มีความหมายบีบคั้น เวลาคือๆ คือๆ คือสิ่งนี้แหละสิ่งที่ไม่ได้ตามที่ต้องการ มีจุดตั้งต้นตั้งแต่เมื่อต้องการ แล้วก็ถึงสุดท้ายปลายทาง กว่าจะได้ตามที่ต้องการนั่นแหละเป็นเวลา อย่าไปพูดว่าเวลาไม่มี เวลาเป็นมายาไม่มีตัวตน ไม่ๆ ไม่ๆถูก นั่นไม่ถูกแน่ เวลาต้องมีตัวจริง มีตัวตนตามแบบของธรรมะในพุทธศาสนา คือจุดระหว่างความต้องการจนกว่าจะได้ ได้ตามที่ต้องการอันนั้นคือเวลา ถ้าไม่มีความต้องการ เวลาไม่มี เข้าใจไหม เพราะมีความต้องการ เวลามันจึงมี เวลามันจึงมีค่า เขาพูดกันว่าเวลามีค่าที่สุดนั่นมันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหา เวลามันก็มีค่า มีเป็น มี มีเวลา แล้วมันก็กัดกินผู้ต้องการ กัดกินหัวใจผู้ต้องการ นี่ถ้ามีกิเลสมีตัณหาตามธรรมดา เวลามันก็กินผู้นั้น กัดกินผู้นั้นให้เจ็บปวดทรมานทางจิตทางวิญญาณ ถ้าไม่ ไม่มีความต้องการไม่มีตัณหา เวลาก็ไม่มีความหมาย หรือเวลามันไม่มี สิ่งที่เรียกว่าเวลาจะไม่มี จะสูญสิ้นไป เรียกว่าผู้นั้นกินเวลา มันอาจจะเป็นธรรมะหรือปรัชญาอะไรที่มันสูงไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร ลองคิดดูเถอะมันเกี่ยวกับคนเรานั่นแหละ และถ้าเราสามารถที่จะกินเวลามันก็มีความสุข เป็นพระอรหันต์ คนธรรมดาถูกเวลากิน แต่ก็หันกินเวลาคือเวลาไม่มีสำหรับพระอรหันต์ เรื่องพระอรหันต์นี้ก็มีแปลกอยู่บางอย่าง จะพูด พูดเสียเลยว่ามิติ เครื่องวัดประมาณอะไรต่างๆไม่มีใช้กับพระอรหันต์ บาลีว่า อัตถังคะตานัง นัปปะมาณะมัตถิ อัตถังคะตานัง อัตถังคะตานัง นัปปะมาณะมัตถิ แปลว่าประมาณไม่มีแก่ผู้ที่ไม่ได้ตั้งอยู่คือพระอรหันต์ แต่เขาอาจจะแปลกันผิดๆก็ได้นะข้อนี้ระวังให้ดี จะไปเรียนนักธรรมหรืออธิบายหลักสูตรนักธรรมอะไรก็ตาม อาจจะแปลว่าคนที่ล่วงลับไปแล้วไม่มีประมาณ ไม่มีจำนวนที่ประมาณได้ คือคนตายไปแล้วไม่มีประมาณ จะกำ นับได้นี่ไม่ถูกเลย ท่านหมายถึงพระ พระอรหันต์เป็นๆนี่ คำว่า อัตถังคะตานัง แปลว่ามิได้ตั้งอยู่คือว่าไม่มีตัวตน เมื่อไม่มีตัวตนก็คือมิได้ตั้งอยู่ คำว่าผู้มิได้ตั้งอยู่ในที่นี้หมายถึงพระอรหันต์ ไม่ได้หมายถึงคนตายไปๆมันไม่ใช่ ทีนี้ประมาณนั่นคือเครื่องนับเครื่องวัด แล้วแต่จะนับจะวัดกันในทางไหน ทางสั้นทางยาว ทางกว้างทางสูง ทางต่ำทางคุณค่า ทางดีทางชั่วทางอะไรก็สุดแท้ มิติทั้งหลายนี่ไม่อาจจะใช้กับพระอรหันต์ นี่แปลกที่สุดนะ ถ้าไม่เข้าใจก็ ก็ไม่เข้าใจ แต่เข้าใจจะมีประโยชน์มาก ไอ้คนที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์นั่นมันยังมีความต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ มีค่าเท่านั้นมีค่าเท่านี้ มีมิติทุกอย่างทุกชนิดสำหรับคนธรรมดา มิติเหล่านั้นสำหรับจะวัดจะประมาณเหล่านั้นไม่มีแม้แก่ ไม่มีแก่พระอรหันต์ จะพูดว่าพระอรหันต์กว้างยาวสูงต่ำเท่านั้นเท่านี้ก็ไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ตัวพระอรหันต์ที่จะเป็นอย่าง เช่นนั้น จะจัดเป็นดีเป็นชั่วเป็นปานกลางเป็นอะไรก็ไม่ได้ ทุกๆอย่างที่มันใช้วัดกันในโลกว่าเป็นอย่างไรนี่มันใช้ไม่ได้กับพระอรหันต์ มันอาจจะเป็นธรรมะที่ลึกเกินไป แต่ถ้ารู้ไว้บ้างก็จะดีไม่เสียหลายหรอก แล้วมันจะรู้จักพระอรหันต์ด้วยจุดหมายปลายทางของมนุษย์ได้ ได้ดีขึ้น เพราะมันยังมีกิเลสตัณหามันจึงเป็นเหตุให้วัดได้ว่าอย่างไร เท่าไร แค่ไหน สูงต่ำอย่างไร ดีชั่วเท่าไรอะไรเพราะมันยังมีกิเลสตัณหา พอมันไม่มีกิเลสตัณหามันก็ไม่มีอะไรที่จะถูกวัดหรือวัดได้ นี่พระอรหันต์นั้นไม่ได้เล็งถึงตัวคนตัวบุคคลที่เป็นพระอรหันต์ เราหมายถึงคุณค่า สถานะ สภาวะทางจิตใจของท่านแหละที่หมดกิเลสนั่น เรียกว่าผู้หมดกิเลส อยู่เหนือมิติใดๆทั้งสิ้น มีคำอธิบายได้อย่างวิทยาศาสตร์เลย พระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีมิติใดๆที่จะไปวัดได้ รู้กันไว้อย่างนี้ ในบาลีก็มีบทนี้อยู่ เป็นบทที่สำคัญที่ถ้าเข้าใจได้ก็ ก็จะดีมาก ตลอดเวลาที่ยังเป็น ยังไม่เป็นพระอรหันต์นั่นมันก็ยังมีความรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ซึ่งวัดได้ เป็นบุคคลแล้วก็วัดได้ทันทีว่าสูงต่ำเท่าไร ดำขาวอย่างไร กิริยามารยาทอย่างไร ดีชั่วเท่าไรมันก็วัดได้ถ้ามันมีตัวตน พอมันไม่มีตัวตนมันก็ไม่มีอะไรที่จะวัดได้ นี่มันยิ่งกว่าละเอียดไปเสียอีก คือมันว่างไป มันไม่มีอะไรจะวัดได้ นี่ก็เพราะความไม่มีตัณหา เพราะความไม่มีตัณหาบุคคลนั้นจึงไม่เป็นที่ตั้งแห่งการวัดด้วยมิติใดๆ แม้จะมันเป็นเรื่องสูงเกินไปก็ขอให้สนใจกันไว้ก่อนเถอะจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง จะเข้าใจพระอรหันต์หรือนิพพานอะไรได้ง่ายขึ้น เดี๋ยวนี้มันยังตราหน้า ชี้หน้าได้มึงแค่นั้นมึงแค่นี้ มึงเท่านั้นมึงเท่านี้ เพราะมันยังมีกิเลสตัณหาที่เป็นเหตุให้เขาวัดได้ว่ามันแค่ไหน ต้องการอะไร อย่างไร เท่าไร ดิ้นรนอย่างไร บูชาอะไร หลงใหลอะไรเหล่านี้มันก็วัดได้ทั้งนั้น นี่พระอรหันต์เป็นผู้ไม่มีตัณหาแล้วมันก็อยู่เหนืออะไรหมด เหนือความเกิดเหนือความตาย คำว่าเกิดคำว่าตายใช้ไม่ได้กับพระอรหันต์เพราะไม่มีตัวตนสำหรับจะเกิดจะตาย ทีนี้ไอ้เรื่องขี้ผงแหละที่ว่าเสรีภาพอิสรภาพอะไรมันไม่มี มันไม่มีแก่พระอรหันต์นะคือไม่ต้องการ ไม่ได้ต้องการไอ้เรื่องขี้ผงเหล่านี้ ฉะนั้นไม่มีอะไรจะทำให้พระอรหันต์รู้สึกว่าเสียเสรีภาพเสียอิสรภาพ ก็เพราะเหตุอย่างเดียวคือเพราะเหตุที่ท่านไม่มีตัณหา ๓ อย่าง ไม่ต้องการจะได้อะไรหรือมีอะไร ไม่ต้องการจะเป็นอะไร และก็ไม่ต้องการที่จะไม่เป็นอะไร คำว่าตัณหา ๓ นั่นแปลอย่างนี้เอาแต่ใจความ กามตัณหา อยากได้อยากมีที่น่ารักน่าพอใจ ภวตัณหา อยากเป็นนั่นเป็นนี่ตามที่จะมี ที่อยาก อยากจะมี อยากจะมี อยากจะเป็นนะ แล้วก็วิภวตัณหา ไม่อยาก อยากที่จะไม่เป็นอย่างที่ไม่ต้องการจะเป็น เช่น เป็นคนไม่มีเกียรติ เป็นคนที่ใครดูถูกดูหมิ่น กระทั่งว่าไม่อยากจะอยู่อยากจะตายอย่างนี้มันก็เรียกว่าเป็นวิภวตัณหาด้วยเหมือนกัน รู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัณหาไว้ให้ดีๆว่านี่เป็นต้นตอ เป็นมูลเหตุอันแท้จริงที่ทำให้รู้สึกว่าเรามีเราเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง และเราก็ต้องการอย่างนั้นต้องการอย่างนี้ด้วยความโง่ของอวิชชา ต้องการด้วยอวิชชานั้นมันย่อมจะเกินพอดี ไม่ถูกเรื่องอะไรไปเสียทั้งหมด แล้วมันก็รู้สึกเป็นตัวกูของกูรุนแรงๆ ใครมาลบหลู่ไม่ได้ ลูบคมไม่ได้ เอาเปรียบไม่ได้ ถ้ามีขึ้นมาก็เรียกว่าสูญเสียอิสรภาพเสรีภาพ เป็นเรื่องของคนโง่ เป็นเรื่องของคนที่จะต้องระแวงหน้าระแวงหลังอยู่เหมือนกับแมลงป่อง เท่าที่สังเกตดู เห็น ดูมาแล้วเห็นมาแล้วว่าไม่มีอะไรที่มันระแวงหน้าระแวงหลัง ระวังหน้าระวังหลังเหมือนกับแมงป่อง นั่นคือคนโง่ที่มันพิทักษ์อิสรภาพเสรีภาพอะไรด้วยความโง่ ซึ่งมีคนๆนี่มันเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็ทรมานตัวเอง นอนไม่หลับเองอะไรเอง ไม่มีความพักผ่อนแห่งจิตใจ มันระแวงอยู่เสมอว่าคนทุกคนเกลียดเรา คุณทุกคนพร้อมที่จะเอาเปรียบเรา คุณทุกคนพร้อมที่จะลบหลู่เสรีภาพและอิสรภาพของเรา นี่มันคือบรมโง่ สำหรับจิต ทรมานจิตใจอย่าให้มีความผาสุกสงบเย็น มันจะรู้สึกว่าจะสูญเสียอิสรภาพเสรีภาพไม่ได้ ควรที่จะได้ แล้วมันก็ได้ มัน มันก็อยากจะได้อย่างมหาศาลไอ้คนโง่ชนิดนี้ แล้วจะมีอะไรมาให้ได้ตามที่มันต้องการ เพราะมันเป็นคนหิวอยู่เสมอ มีความเป็นเปรตโดยไม่รู้สึกตัวอยู่เสมอ มันหิวอยู่เสมอ ถ้ามีธรรมะ รู้ธรรมะพอ โอ้, ทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นเอง เป็นไปตามกฎธรรมดาธรรมชาติเช่นนั้นเอง ถ้าต้องการอะไรก็ทำให้ถูกเรื่องของธรรมชาติตามกฎอิทัปปัจจยตา ทำให้ถูกเรื่องมันก็ได้ มันก็ได้แค่นั้น ไม่ต้องหิวไม่ต้องทรมานจิตใจ ไม่ต้องระแวง ไม่ต้องหวั่นไหว ไม่ต้องรู้สึกว่าใครมาทำให้เราสูญเสียอิสรภาพหรือเสรีภาพ
ความสิ้นตัณหานั้นหมายถึงนิพพาน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่านิพพาน นิพพานเป็นอิสรภาพเป็นเสรีภาพสูงสุดชนิดที่ไอ้มนุษย์โง่ๆไม่ต้องการ อนุญาตให้ผมพูดคำหยาบคายบ้างมันประหยัดเวลา เพราะนิพพานนั่นมันเป็นอิสรภาพเสรีภาพสูงสุดแท้จริง แต่ไอ้มนุษย์โง่ๆมันไม่ต้องการเสรีภาพชนิดนี้ มันก็ต้องการเสรีภาพอิสรภาพที่จะแย่งกันกัดกัน แย่งกันด้วยการกัดกัน นั่นมันต้องการเสรีภาพชนิดนั้น แล้วมันก็ต่อสู้กัน ในประวัติศาสตร์มันก็บอกมาได้เป็นอย่างดีว่ามันเคยฆ่าเคยล้างผลาญกันอย่างไรเท่าไร ด้วยเหตุผลเพียงว่าต้องการอิสรภาพเสรีภาพ หรือว่าถูกล่วงละเมิดอิสรภาพเสรีภาพมันก็ยกเข้าห้ำหั่นกัน เป็นสงครามระหว่างประเทศชาติก็มี แล้วก็จะมีอยู่เรื่อยๆไปแหละ นี่รู้จักอิสรภาพเสรีภาพในทางธรรมะกันเสียบ้าง ดีกว่าไม่รู้จักแน่ เพราะมันเป็นอิสรภาพเสรีภาพที่แท้จริง อย่าไปหลงไอ้เสรีภาพเด็กอมมือ เสรีภาพคนโง่ อิสรภาพของคนโง่ ของคนที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา อิสรภาพเสรีภาพชนิดนั้นไม่ ไม่มีค่าไม่มีความหมายเพื่อสันติสุขเพื่อสันติภาพเลย มันมีไว้สำหรับให้ไอ้คนโง่มันกัดตัวเอง มันทรมานตัวเอง มันเชือดเฉือนตัวเองตามแบบของมันแหละ ให้รู้จักเสรีภาพของโพธิ อย่าไปหลงไอ้เสรีภาพของกิเลส พยายามที่จะควบคุมกิเลส รู้จักกิเลส ควบคุมกิเลส ให้โพธิเข้ามาแทรกแซงกิเลสไว้เสมอไป โดยที่จะทำอะไรขอให้นึกถึงความถูกต้อง ความถูกต้องไว้เสมอไปมันจะให้โอกาสที่โพธิมันจะเกิดขึ้น แล้วก็จะดำเนินไปในลักษณะของโพธิ แล้วก็จะไม่ถูกกิเลสตัณหากัดเอา จะไม่มีความรู้สึกว่าสูญเสียเสรีภาพเพราะว่าฉันไม่ต้องการอะไร คิดดู สิ่งต่างๆเป็นเช่นนั้นเอง เป็นเช่นนั้นเอง ฉันจะไม่ไปหลงรักหลงต้องการด้วยความรู้สึกชนิดนั้น แต่ถ้าเมื่อสิ่งใดที่มันเป็นปัจจัยแก่การเป็นอยู่แก่ชีวิตที่ ที่เขาต้องการกันตามธรรมดาก็ต้องการได้ แต่ไม่ต้องการด้วยกิเลสตัณหา ไม่ต้องการด้วยกิเลสตัณหา แต่ต้องการด้วยโพธิ ใช้สติปัญญา ความต้องการชนิดนี้ไม่กัด ถ้ายังกัดมันยังไม่ใช่โพธิปัญญาโดยแท้จริง ความต้องการใดๆถ้ายังกัดอยู่ยังไม่ใช่โพธิปัญญา ต้องการยังมีกิเลสเจืออยู่เสมอไป มันต้องเป็นความต้องการที่ไม่กัดเจ้าของ ได้มาแล้วก็ไม่กัดเจ้าของ มีอยู่ก็ไม่กัดเจ้าของ ตลอดเวลานี่จึงจะเป็นเรื่องของโพธิปัญญา ขอให้รู้จักกันไว้มันเป็นเรื่องลึกซึ้งสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นธรรมะชั้นลึก บางคนจะรู้สึกว่าไม่จำเป็นๆ ยังไม่จำเป็น มันลึกเกินไปหรือไม่ ไม่จำเป็น แต่ที่จริงนะมัน มันเกินจำเป็นนะ มันเกินจำเป็นนะ ถ้ารู้ไว้มันจะคุ้ม คุ้มกันได้หมด แล้วก็ต้องไม่ จะไม่มีความทุกข์เลย รู้ไว้บ้างเถิด อย่ารู้แต่เพียงเรื่องผิวๆเผินๆ เรื่องได้แล้วก็ดี เรื่องได้แล้วก็ดี นั้นมันเป็นอันดับแรกอันดับหนึ่งอันดับที่ว่าตั้งต้นนะ แล้วมันก็จะมีความทุกข์ มีทรัพย์สมบัติมันจะมีความทุกข์เพราะทรัพย์สมบัติ นี่สำหรับคนโง่ ถ้าใครมีทรัพย์สมบัติแล้วไม่ ไม่มีความทุกข์เพราะทรัพย์สมบัติคนนั้นมันฉลาดพอสมควรแล้วหรือมีโพธิแล้ว มีอำนาจวาสนา มีเกียรติยศชื่อเสียงแล้วมันก็เป็นทุกข์เพราะมีอำนาจวาสนานั่นเองนี่คนโง่ ถ้ามีอำนาจวาสนาแล้วไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะเหตุนั้น แต่ใช้มันให้มีประโยชน์แก่ทุกฝ่ายทุกคนโดยราบเรียบราบรื่นนั่นแหละถูกแล้วโพธิ หรือมันจะมีสมาคมไมตรีมิตรสหายพวกพ้องบริวารมาก ถ้ามันโง่มันก็ต้องเป็นทุกข์เพราะไอ้เลี้ยงบริวารมิตรสหายพวกพ้องแหละ แต่ถ้ามันไม่เกิดความทุกข์เพราะเหตุนี้มันถูกแล้ว มันถูกแล้ว มีโพธิปัญญาสำหรับที่จะมีมิตรสหายพวกพ้องบริวาร ๓ ประการนั้นก็เป็นเครื่องวัดในเบื้องต้น เรื่องโลกๆ คือมีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว มีมิตรสหายพวกพ้องบริวารพอตัว นี่เครื่องวัดว่าไอ้คนนี้มันฉลาด เดินขึ้นมาถึงจุดที่มนุษย์ควรจะได้ในโลกนี้ เอ้า, ก็ถูกต้อง แต่ก็มันมีปัญหาว่าเขามีหรือขึ้นมาอย่างถูกต้องหรือเปล่า ถ้ามันมีสำหรับมากัดเอาเป็นภาระหนัก ทรมานจิตใจแล้วมันไม่ถูกต้อง มันไม่ถูกต้อง แล้วก็อยู่ในระดับที่จะต้องรู้สึกว่าได้ว่าเสีย ว่าสูญเสียอิสรภาพเสรีภาพ ความยุติธรรมอะไรอยู่เสมอไปแหละเพราะมันยังมีความอยากความผูกพันอยู่ในสิ่งนั้นๆ ธรรมะลึกๆมันก็มีว่ามีบุตรภรรยาก็ต้องเป็นทุกข์เพราะบุตรภรรยา มีทรัพย์สมบัติวัวควายไร่นามันก็มีทุกข์เพราะทรัพย์สมบัติวัวควายไร่นา มีเกียรติยศชื่อเสียงมันก็เป็นทุกข์เพราะเกียรติยศชื่อเสียงนั้นเพราะมันมีไม่เป็น มันมีด้วยกิเลสตัณหามันไม่ถูกต้อง มันจะต้องเป็นทุกข์ ถ้ามีธรรมะพอมันก็ไม่เป็นทุกข์แหละจะมีอะไรเท่าไรก็ได้ จะมีบุตรภรรยา ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ อำนาจวาสนา ชื่อเสียง พวกพ้องบริวารมันก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะมันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะมันไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะมันไม่มีกิเลสตัณหาในสิ่งใด ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาหรือวัตถุแห่งกิเลสตัณหาใดๆ ธรรมะลึกอย่างนี้ พระพุทธศาสนาลึกอย่างนี้ ลึกจนไม่มีอะไรจะลึกกว่านี้ สูงสุดจนไม่มีอะไรจะสูงสุดกว่านี้ แต่พุทธบริษัทโง่ๆมันก็เข้าไม่ถึง มันยังเข้าไม่ถึง ไม่ ไม่ถึงจุดของพุทธศาสนาอยู่นั่นเอง ทั้งที่มันเรียกตัวเองว่าพุทธบริษัท ขอให้ปรับปรุงแก้ไขปัญหาอันนี้กันเสียใหม่ เป็นพุทธบริษัทก็ขอให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อาจารย์แต่โบราณเขาแปลไว้ดีแล้วเราไม่ต้อง ไม่ต้องแก้ไขอะไรก็ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผมชอบคำนี้มาตั้งแต่ได้ยินในครั้งแรกทีแรก แล้วก็ใช้ความหมายนี้คำแปลนี้ว่าพุทธะ พุทธะนั่นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริงของธรรมชาติตามกฎของธรรมชาติ นี่เรียกว่ารู้ รู้ รู้ พอรู้ก็ตื่น ตื่นจากหลับนะไม่นอนหลับด้วยกิเลสอีกต่อไปนี่เรียกว่าผู้ตื่น ไม่ใช่ตื่นตระหนกตกใจ ไม่ใช่ ไม่ใช่ตื่นตูม ไม่ใช่ตื่นแบบนั้น ตื่นจากหลับคือกิเลสคือไม่โง่ ครั้นตื่นจากกิเลสได้แล้วมันก็เบิกบาน แจ่มใส สดชื่น นี่ต้องเป็นผู้รู้ก่อน แล้วเป็นผู้ตื่น แล้วก็เป็นผู้เบิกบาน คนชนิดนี้ไม่รู้สึกว่าสูญเสียอิสรภาพเสรีภาพ ไม่มีใครมาล่วงเกินสิทธิเสรีภาพอิสรภาพของเขาได้เพราะเขารู้ว่ามันคืออะไร ไอ้ที่หลงใหลกันนักว่าอิสรภาพเสรีภาพนั่นมันคืออะไร มันเป็นของขวัญสำหรับคนโง่ที่มีความต้องการด้วยความโง่ ของขวัญของคนพวกนั้น เราไม่ไปต้องการกับมันไม่ไปแย่งชิงกับมัน แล้วเราก็ไม่รู้สึกว่ามันมาล่วงละเมิดอะไรของเราเพราะว่าเราไม่ต้องการ ความที่ไม่ต้องการอะไรนั่นแหละประหลาดที่สุดแหละ อยู่เหนือสิ่งใดทั้งหมด ผีสางเทวดาพระเจ้าอะไรก็ทำอะไรคนที่ไม่ต้องการอะไรไม่ได้ จะวิบัติจัญไรตามธรรมชาติอย่างไร จะเป็นจะตายอะไรก็ไม่ๆ ไม่มีความหมายอะไร ให้โลก ให้ระเบิดปรมาณูมันลงมาเต็มโลกก็ไม่มีความหมายอะไร ไม่มีความหมายอะไรสำหรับผู้ที่ไม่ยึดอะไรโดยเป็นตัวตนแล้วต้องการอย่างโง่ๆ จิตนี้ก็สบาย สบายตลอดเวลาที่มันจะมีชีวิตอยู่ ตายแล้วก็ไม่มีปัญหาไม่ต้องพูดกันก็ได้ แต่มันยังเป็นอยู่อย่างนี้แล้วจะไม่มีความทุกข์ใดๆอย่างนี้ เกิดมาทีก็ขอให้ได้ถึงจุดนี้แหละ ไม่เต็มที่ก็ให้มันได้พอสมควร คือไม่มีความทุกข์ไม่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น แล้วเรี่ยวแรงก็ทำใช้ไป ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ แสวงหาประโยชน์โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าแสวงหาประโยชน์โดยที่ต้องเป็นทุกข์เป็นเรื่องของคนโง่ แสวงหาประโยชน์โดยไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นเรื่องของคนมีสติปัญญา เป็นโพธิ เป็นพุทธบริษัท แล้วก็ต้องควบคุมไอ้ความรู้สึกส่วนลึก ฉันไม่ต้องการอะไร อะไรที่ทำให้เป็นทุกข์ฉันสละสิ่งนั้นทันที อะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าสูญเสียอิสรภาพเสรีภาพแล้วฉันสละสิ่งนั้นทันที แล้วฉันก็ไม่สูญเสียอิสรภาพและเสรีภาพอีกต่อไป มันอาจจะดีเกินไปสำหรับคนธรรมดาก็ได้ หรือว่ามันดีเกินไปลึกเกินไปจนพูดกันกับนักปราชญ์ในโลกสมัยนี้ไม่รู้เรื่องก็ได้ จะเป็นนักวิทยาศาสตร์เป็นนักปราชญ์เป็นอะไรก็ไอ้อย่างดีในโลกนี้ แต่ก็จะฟังเรื่องนี้ไม่รู้เรื่องก็ได้ คือเรื่องที่ฉันไม่ต้องการอะไรนั่นแหละคืออิสรภาพและเสรีภาพ แล้วก็ไม่มีความทุกข์แต่ประการใด ไปพูดให้เขาฟังมันจะมีลักษณะเหมือนเป่าปี่ให้แรดฟัง แต่มันก็ช่วยไม่ได้เพราะความจริงมันมีอยู่อย่างนั้น มันมีอยู่อย่างนั้น ดังนั้นมันก็ต้องพูดแหละเพื่อให้มนุษย์ในโลกนี่รู้จักความจริงเกี่ยวกับความทุกข์และความดับทุกข์ เรื่องที่ว่าไม่มีตัวตนนี่ ชีวิตนี้มิใช่ตัวตนมิใช่ของตน เป็นแต่เพียงร่างกายกับจิตใจประกอบกันอยู่ ปรุงแต่งกันไปเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้าถูกวิถีทางก็ไม่เป็นทุกข์ ผิดวิถีทางก็เป็นทุกข์ มันมีเท่านั้น และจิตใจชนิดนี้มันจะไปเที่ยวยึดมั่นถือมั่นนั่นนี่ให้เกิดปัญหาให้เกิดความทุกข์ทำไม มันก็รู้จักดำรงไว้ในลักษณะที่ไม่เป็นทุกข์ ผมก็รู้สึกเหมือนกันแหละว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากที่จะพูดกันให้เข้าใจ แล้วก็รู้สึกสงสารตัวเองด้วยเหมือนกันแหละที่พยายามจะพูดเรื่องนี้ คือเรื่องที่เขาจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังพูด ยังคิดว่าจะพูดยิ่งๆขึ้นไปให้ ให้รู้จักกันทั้งโลก พูดแล้วก็เหมือนกับอวดดีที่จะให้มันรู้จักกันทั้งโลก ตามใจ อวดดีก็ไม่อวดดีแต่มันเป็นสิ่งที่ควรพูดแล้วก็จะพูดเรื่อยไป พูดให้คนทั้งโลกมันรู้ว่าไอ้ความยึดมั่นถือมั่นนี่มันเป็นความทุกข์แหละ ให้บรรเทาความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวว่าตนอะไรลงเสีย ไม่มีตัว ไม่มีความโง่ว่าตัวตนแล้วมันก็ไม่มีความคิดชนิดผิดๆหรือโง่เขลาอีกต่อไป ไม่อยากอะไรด้วยกิเลส ไม่ต้องการอะไรด้วยกิเลส ไม่ขวนขวายดิ้นรนเพราะกิเลส แต่ว่าจะประพฤติประกอบกระทำไปตามอำนาจของโพธิ โพธิ
ขอย้ำในข้อที่ว่าในชีวิตนี้มันมีสิ่ง ๒ สิ่งแหละต่อสู้กันไป กิเลสกับโพธิ บางเวลากิเลสชนะ บางเวลาโพธิชนะ แต่ว่าเรายิ่งโตขึ้นๆ มีอายุมากขึ้น อายุมากขึ้นมันก็ควรจะเป็นฝ่ายโพธิ ชนะมากยิ่งๆขึ้นไป กิเลสจะไม่ได้โอกาส ไม่ควรจะได้โอกาส แล้วมันก็เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานยิ่งๆขึ้นไป ยิ่งๆขึ้นไป อาจจะทันเวลาก่อนแต่ที่จะตายเสียก็ได้ เดี๋ยวนี้เราให้กิเลสเป็นผู้ชักจูง มันก็ชักจูงไปด้วยความเห็นแก่ตัว แล้วมันก็หลีกไม่พ้นหรอกที่จะต้องเบียดเบียนกัน ทำลายล้างกัน ล้างผลาญกันด้วยอำนาจของกิเลส แล้วเขาก็ถือว่าเป็นเสรีภาพอิสรภาพในการที่จะทำลายล้างผู้อื่น หรือว่าอิสรภาพเสรีภาพในการที่จะได้ใช้กิเลสของตัวอย่างเต็มที่ นั่นมันต้องการอิสรภาพเสรีภาพกันแบบนั้น ไอ้โลกนี้มันก็เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ เดี๋ยวนี้มันก็มีเสรีภาพอยู่โดยธรรมชาติ จะเอาอย่างไรก็ได้ แต่จิตมันโง่มันก็เลือกเอาข้างฝ่ายเป็นกิเลส แล้วดูให้ดีสิเราก็มีเสรีภาพที่จะไปนรกก็ได้ ไปสวรรค์ก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ จริงหรือไม่จริง เดี๋ยวนี้มันมีอิสรภาพที่จะเลือกลงนรกก็ได้ ไปสวรรค์ก็ได้ หรือลุ บรรลุนิพพานก็ได้แล้วใครมันเลือกเอาทางไหนล่ะ เพราะมันไม่รู้นี่ มันไม่ มันไม่รู้จริงนี่มันก็เลือกเอาเสรีภาพของกิเลส แล้วก็เป็นไปเพื่อนรกโดยไม่รู้สึกตัว ไม่ต้องอะไรหรอกพอมีกิเลสมันก็เป็นนรกในจิตใจขึ้นมาทันทีที่นี่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว พอมันมีกิเลสมันก็เป็นนรกไฟเผาขึ้นมาในจิตใจทันทีเลย แต่มันก็ยังไม่รู้สึกว่าเป็นนรก มันยังกลับพอใจดีใจว่าโอ้, ชนะแล้ว มีเสรีภาพมีอิสรภาพแล้ว ได้ฆ่าฟันผู้อื่น ได้สะ ข่มเหงผู้อื่น ได้อะไรอย่างนี้ ถ้าเขามีปัญญาโพธิ รู้จักสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้องนรกเป็นอย่างไร สวรรค์เป็นอย่างไร นิพพานเป็นอย่างไรกันอย่างถูกต้องแล้วก็จะไม่มีปัญหาหรอก นรกมันก็คือลบหรือชั่ว สวรรค์ก็คือบวกหรือดี นิพพานก็เหนือไปกว่านั้นคือว่าง ผมพูดมากจนคนจะรำคาญแล้วก็ได้ เรื่องชั่วแล้วเรื่องดีแล้วเรื่องว่างนี่รู้จักไว้เถอะจะเป็นโพธิมากขึ้นๆ ถ้าไม่รู้จักชั่วไม่รู้จักลบนี่มันก็หลง หลงไปในทางชั่วหรือทางลบอย่างโงหัวไม่ขึ้นไปพักหนึ่งก่อนแหละ แล้วก็มารู้จักดี เอ้า, ดีๆก็ดีๆไปพักหนึ่งอีกแหละ แต่แล้วมันก็ยังไม่ดับทุกข์ถ้ามันยังดีด้วยความโง่ ดีด้วยความโง่คือดีด้วยกิเลสนั่นแหละ กิเลสนี้เป็นเหตุให้ทำดีได้เหมือนกัน มันกิเลสอีกประเภทหนึ่ง ชั่วก็ทุกข์ทรมานไปตามแบบชั่ว ดีก็ทุกข์ทรมานไปตามแบบดี นี่คือสูญเสียอิสรภาพเสรีภาพที่จะต้องเวียนว่ายไปตามดีตามชั่ว ตามกรรมดีกรรมชั่ว ตามบุญตามบาป ต้องเวียนว่ายไปตามบุญตามบาป นั่นแหละคือความสูญเสียอิสรภาพเสรีภาพอย่างลึกซึ้งที่สุด ละเอียดสุขุมที่สุด คือมันจำเป็นไปตามนั้น ไม่ ไม่เป็นอิสระ ต่อเมื่อเหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาปเหล่านี้เป็นนิพพาน นี่มันจึงจะเป็นอิสรภาพและเป็นเสรีภาพหรืออะไรๆแล้วแต่จะเรียกว่าที่แท้จริง นั่นแหละการพูดอย่างนี้มันก็เหมือนกับบอกให้รู้ว่าไอ้พระนิพพานนั่นแหละคืออิสรภาพเสรีภาพอันสูงสุด ไม่ต้องตด ไม่ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของไอ้บุญบาป ดีชั่ว สุขทุกข์ แต่ว่ามนุษย์ทุกคนมันตกอยู่ใต้อำนาจของไอ้ความหมายของคำว่าบวกว่าดี ทั้งโลก ทั้งโลกนี่มันบูชาบวก บูชาได้บูชาดี เรียกว่า positivism positivism บูชากันทั้งโลก การศึกษาของโลกไม่มีอะไรสูงไปกว่านั้น คือให้ได้สิ่งที่ต้องการ ที่ตัวต้องการโดยความรู้สึกอย่างคนธรรมดาสามัญ คือบวกแหละ positivism แต่ที่เป็นลบเป็น negative นั่นเขาก็เกลียด เขาก็เกลียดเหมือนกัน เขาก็รู้จักเกลียดเหมือนกันเกลียดจนเป็นทุกข์ เกลียดจนเป็นทุกข์เพราะเรื่องลบ แล้วก็รักจนเป็นทุกข์เพราะเรื่องบวกคือ positive นี่ทางหนึ่งมันดึงไปทางหนึ่ง ทางหนึ่งก็ดึงไปอีกทางหนึ่งมันก็ขึงพืดนั่นแหละ ดีก็ดึงหัวขึ้นไปข้างบน ชั่วก็ดึงเท้าลงไปข้างล่างมันก็ถูกขึงพืด แล้วยังแถมที่ตรงกลางเอาไฟลนอีก เอาราคะ โทสะ โมหะลนไว้ที่ตรงกลางอีก นี่ภาวะชีวิตปัจจุบันที่ไม่มีอิสรภาพเลย ไม่มีเสรีภาพเลย ความหมายของความเป็นบวกดึงขึ้นข้างบน ความหมายของความเป็นลบดึงลงไปข้างล่าง ตรงกลางเอาไฟราคะ โทสะ โมหะลนเผามัน ดูสิมันมีอิสรภาพเสรีภาพได้อย่างไร ได้เท่าไรคิดดู ถ้าไม่คิดกันละเอียดจะมองไม่เห็นนะว่าสภาพที่แท้จริงมันเป็นอยู่อย่างนี้ เราเป็นกันอยู่อย่างนี้ มนุษย์ปุถุชนเป็นกันอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่คิดก็จะไม่มองเห็น ถ้าคิดกันอย่างละเอียดประณีตก็พอจะมองเห็นแหละมันไม่ลึกเกินไป แล้วก็วนอยู่ที่นี่ วนอยู่ระหว่างได้ระหว่างเสีย ระหว่างดีระหว่างชั่ว ระหว่างบวกระหว่างลบ ระหว่างบุญระหว่างบาป ระหว่างสุขระหว่างทุกข์ ไม่เหนือนั่นขึ้นไปได้ คือไม่ว่างเป็นพระนิพพานขึ้นมาได้ มันก็เลยถูกบีบคั้นอยู่ด้วยไอ้คู่ๆ เป็นคู่ๆนี้ ก็สูญเสียอิสรภาพเสรีภาพอย่างยิ่ง เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ มีเรื่องมาให้หัวเราะก็หัวเราะ มีเรื่องมาให้ร้องไห้ก็ร้องไห้ ก็ ก็มีเท่านั้นแหละ มันไม่อยู่เหนือนั้น ไม่เป็นว่างเหนือนั้นขึ้นไปเป็นนิพพาน นี่พระนิพพานเป็นจุดสูงสุดในพุทธศาสนา แต่คนก็ไม่รู้จักว่ามันอยู่เหนือ เหนือบวกเหนือลบ ไอ้คนทั่วๆไปแหละทั่วๆไปเขาเข้าใจพระนิพพานว่ามันเป็นบวกๆ บวกสูงสุด คือได้ร่ำรวย สวยงาม สนุกสนาน เอร็ดอร่อยสูงสุดมากกว่าที่เราได้รับอยู่ที่นี่มาก นี่คนโง่ปุถุชนในโลกมันให้ความหมายแก่พระนิพพานอย่างนี้ ไม่ได้รู้ว่ามันอยู่เหนือนั่นขึ้นไป ฉะนั้นเมื่อถามเขาว่าอยากไปนิพพานไหม อยากทุกคนเลย บรมโง่เท่าไรมันก็อยากไปนิพพานเพราะมันตีความหมายเอาเองว่าเป็นบวก เป็นได้อย่างถูกอกถูกใจ เอร็ดอร่อย สนุกสนาน สวย ร่ำรวย สวยงามที่สุดก็อยากไป เล่าเรื่องที่ ที่เล่ากันไม่ค่อยจะเบื่อว่าคนแถวนี้อย่าออกชื่อเลย ผมแกล้งถามดูว่าอยากไปนิพพานไหม อยากๆ อยาก อยากเต็มที่แหละด้วยความจริงใจเลย พอบอกว่าในนิพพานไม่มีรำวงนะ ไม่เอาๆ ขอถอนคืนเลย ขอถอนคืนทันทีเลย เพียงแต่ไม่มีรำวง เพราะเขาชอบรำวงมาก เขาสำคัญเอาว่าไอ้นิพพาน นิพพานนั้นนะมันสูงสุดที่มีอะไรเอร็ดอร่อย สวยงาม ร่ำรวย สนุกสนานที่สุดเขาก็ต้องการ นั่นคือความเป็นทาสของกิเลส แล้วเข้าใจพระนิพพานเอาเสียผิดๆ ก็อยากไปนิพพาน อย่างนี้ไม่มีทางที่จะมีนิพพานหรืออิสรภาพเสรีภาพหรอก เอาแล้วเป็นอันว่าเรารู้จักพระนิพพานในฐานะเป็นอิสรภาพเสรีภาพสูงสุดของสิ่งที่มีชีวิต ไม่ต้องเป็นไปตามกรรม ไม่ต้องกระเสือกกระสนไปตามบาปตามกรรม ตามดี ตาม ตามบุญตามบาป เหนือบุญเหนือบาป เป็นอิสรภาพและเสรีภาพสูงสุด ขอให้รู้จักไว้อิสรภาพหรือเสรีภาพในทางธรรมะ ในความหมายของธรรมะ ในภาษาของธรรมะมีอยู่อย่างนี้ ขอให้รู้จักกันไว้ทุกคน รู้จักกันไว้ทุกคนเพื่อจะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา อย่าไปหลงอิสรภาพเสรีภาพของคนโง่เป็นเสรีภาพของกิเลสตัณหาเลย รู้จักอิสรภาพเสรีภาพของโพธิเถิด ก็จะเป็นพุทธบริษัทโดยแน่นอน ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้