แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัจฉนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อประดับสติปัญญาส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายจนกว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษปรารภเหตุมาฆบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบอยู่กันอย่างดีแล้วเออขอให้ท่านทั้งหลายทำในใจให้สำเร็จประโยชน์เต็มตามความมุ่งหมายแห่งการกระทำนี้ให้วันนี้เออเป็นการบูชาเนื่องด้วยเหตุการณ์เป็นพิเศษเออในพระพุทธประวัติว่าเป็นวันที่เออพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป เออเสมือนเป็นการประดิษฐานคณะสงฆ์หรือพระศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้นลงไปในโลกโดยหลักที่ให้ยึดถือเอาไว้อย่างแน่นอนและตายตัว เหตุการณ์นี้เออก็มีเพียงครั้งเดียวเออควรทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ว่ามีความสำคัญอย่างไร วันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นเรียกว่า วันวิสาขบูชาเนื่องด้วยเหตุการณ์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เมื่อวันวิสาขบูชาเราจึงเรียกกันว่าเป็น วันพระพุทธเจ้า ต่อมาก็ถึงอาสาฬหบูชาทรงแสดงธรรมจักกัปปวัตนสูตรคือสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้มอบหมายให้แก่โลกมีปัญจวัคคีย์ ๕ รูปเออเป็นบุคคลชุดแรกที่สุดเออที่ได้รับ เออประทานพระธรรมนั้นเป็นการประกาศพระธรรมโดยเฉพาะก็จึงเรียกว่าวันพระธรรม ต่อมาถึงวันนี้คือวันมาฆบูชา เออทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์หลักพระพุทธศาสนาเออแก่พระสงฆ์ซึ่งมาประชุมกันในลักษณะที่น่าอัศจรรย์คือไม่ได้นัดหมายกันก็มาพบกันได้และทุกองค์ล้วนแต่เป็นเออพระสงฆ์เออประเภทเอหิภิกขุอุปสัมปทา เหล่านี้เรียกว่าเป็นวันพระสงฆ์ เออเพราะว่าเออคณะสงฆ์เป็นปึกแผ่นมั่นคง เออทรงประทับท่ามกลางคณะสงฆ์นั้นประกาศหลักที่เป็นเออหัวใจสำหรับยึดถือกันตลอดไป ขอให้ทำในใจว่าอย่างนี้ วันวิสาขบูชาเป็นวันพระพุทธเจ้า วันอาสาฬหบูชาเออเป็นวันพระธรรม วันมาฆบูชาเออเป็นวันพระสงฆ์ แม้ว่าจะมีคนตีความหมายกันอย่างอื่นก็สุดแท้แต่ในที่นี้ขอให้ถือเอาความหมายอย่างนี้ ในวันแสดงธรรมจักรฯ นั้นก็มีพระเออโกณฑัญญะเพียงองค์เดียวนะได้รับธรรมะสำเร็จประโยชน์จะเรียกว่าวันพระสงฆ์ก็ไม่ได้เพราะองค์เดียวได้รับเออจึงเอาไว้เป็นวันพระธรรมคือวันทีประกาศพระธรรมจักรฯ นั่นเอง วันนี้เออเป็นวันที่พระสงฆ์ทั้งหมดประชุมกันในลักษณะที่ว่าเป็นปึกแผ่นลงไปในโลกนี้แล้วและก็เรียกว่าวันพระสงฆ์ เออทีนี้ก็มาดูกันให้ละเอียดลงไปอีกหน่อยหนึ่งว่าในวันมาฆบูชานั้นพระพุทธเจ้าเออก็อยู่ เออพระธรรมก็มีคือประกาศออกไป แล้วพระสงฆ์ก็อยู่เลยเป็นวันที่ครบทั้งพระรัตนตรัย ทั้งพระพุทธ ทั้งพระธรรม ทั้งพระสงฆ์อย่างนี้ก็ได้เพราะใคร ๆ ก็อาจจะมองเห็นและเข้าใจได้อย่างนี้ จึงให้ทำในใจสำเร็จประโยชน์เต็มที่ไปอีกชั้นหนึ่งว่าเออเป็นวันครบทั้งสามได้ด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพร้อมเสร็จอยู่ในการประชุมเออ มหาสังฆสันนิบาตในวันนั้น เออทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ว่าท่านกระทำกันในอุทยานป่าไผ่อันสงบเงียบและเยือกเย็น เออสมมติว่าเราไปแอบดูจะรู้สึกอย่างไร เออจะรู้สึกพอใจอย่างไร เอออิ่มใจอย่างไร ได้ฟังแล้วรู้แจ้งอย่างไร เออขอให้ทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ดังกล่าวมานี้ด้วย ท่านทั้งหลายจำนวนมากก็อุตส่าห์มาจากที่ไกลเออขอให้ทำให้ในใจสำเร็จประโยชน์ให้คุ้มค่าที่มา ให้เรามาทำมาฆบูชากันในป่าจะเรียกว่าพิธีในป่ามันก็จะง่ายขึ้นเออในการที่จะให้มีความรู้สึกในทางธรรมารมณ์ ธรรมปิติ เป็นต้นได้มากกว่าที่จะทำในดงคอนกรีต ขอใช้คำเด็ก ๆ อย่างนี้หน่อยว่าในดงคอนกรีต เดี๋ยวนี้มันดงป่า ดงต้นไม้เออเงยดูขึ้นไปก็พบแต่ต้นไม้เออก็เป็นทีพอใจและได้ระลึกเป็นพิเศษอีกอย่างหนึ่งว่าเรามานั่งกันกลางดินเออและก็ใต้ต้นไม้เออทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ออกไปถึงว่าพระพุทธองค์เออประสูติก็กลางดิน เมื่อนั่งเออเมื่อยืนประสูติกลางดินทั้งที่ว่าเป็นพระราชามหากษัตริย์ควรจะประสูติในรั้ว ในวัง ในวิมาน ก็มาประสูติกลางดินและเมื่อตรัสรู้ก็นั่งตรัสรู้กลางดินเออไม่ได้ตรัสรู้ในมหาวิทยาลัย สำนักทิศาปาโมกข์อะไรที่ไหน มานั่งกลางดินเพียงพระองค์เดียวด้วย ก็ตรัสรู้เมื่อนั่งกลางดิน ทีนี้เมื่อสอนเออส่วนมากก็สอนกลางดิน นั่งกันกลางดิน สอนกันกลางดินแม้ว่าจะสอนในโรงธรรมสภา ไอ้โรงธรรมสภาก็พื้นดิน ไม่ว่าสอนหรือกำลังเดินทางก็มีอยู่บ่อย ๆ มากมายหลายเรื่อง เออกำลังเดินทาง หยุดกลางทางก็มีการสอนก็มีจึงกล่าวได้ว่าพระไตรปิฎกเออทั้งหมดนั้นมันมีกำเนิดเกิดขึ้นกลางดิน นี่แผ่นดินก็เป็นที่สอนเออของพระพุทธองค์ ทีนี้การประทับอยู่ก็กลางดิน พระคันธกุฏีนะก็พื้นดินไปดูได้ที่อินเดีย เออที่เวฬุวันที่ประทับมากก็ดี ที่ ๆ แห่งอื่นก็ดีเออล้วนแต่เป็นกุฏิพื้นดินทั้งนั้นเลย ในที่สุดก็ปรินิพพานเออกลางดิน ในสวนที่พักเออที่ว่าเป็นอุทยานของพวกกษัตริย์ประเทศหนึ่ง เออฟังดูเถิดว่าเออประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน นิพพานกลางดิน เออชั่งดูจะหายากเออและก็ยังว่าใต้ต้นไม้ด้วย เออประสูติก็ใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ก็นั่งใต้ต้นไม้ สอนก็ส่วนมากก็ใกล้ต้นไม้มากที่สุดเออใต้ต้นไม้มากที่สุด การประทับอยู่ก็ส่วนมากที่สุดเออใต้ต้นไม้ที่สงบสงัด ในที่สุดก็นิพพานก็ใต้ต้นไม้ ใต้ต้นไม้เออต้นไม้ชนิดเดียวกับเมื่อประสูติคือต้นสาละ ประสูติก็ใต้ต้นสาละ นิพพานก็ใต้ต้นสาละ แผ่นดินและโคนไม้นี่มันเป็นที่..จะเรียกว่าอะไร..มีความหมายเป็นพิเศษสำหรับพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายก็ได้มานั่งบนแผ่นดินและก็ใต้ต้นไม้มันก็ง่ายในการที่จะทำจิตใจระลึกนึกถึงพระพุทธองค์ผู้มีประวัติมาอย่างนั้น เอามือแตะพื้นดินในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระลึกถึงพระพุทธองค์ นั่งอยู่ใต้ต้นไม้เหมือนกับเป็นร่มเงาเออของพระธรรม เออคำว่าแผ่นดินนี้ตามธรรมดาในภาษาบาลีนี้ก็เป็นชื่อเออของปัญญา ภูริปัญญา ปัญญาหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ก็ให้ได้ความหนักแน่นจากความหมายของแผ่นดินมาเป็นความหมายของพวกเรา มีอะไรเออก็มีความคิดนึก ความรู้สึกสติปัญญาหนักแน่เหมือนแผ่นดิน จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์เออดังที่กล่าวมานี้ก็เรียกว่าได้รับผลเป็นพิเศษที่อุตส่าห์มากันถึงสถานที่เช่นนี้เพื่อประกอบพิธีมาฆบูชา จะได้ผลพิเศษแปลกออกไปกว่าที่จะทำกันในบ้าน ในเมืองหรือในดงคอนกรีตซึ่งเป็นภาษากระโดก ๆ กันหน่อยก็เอามาพูดเพื่อจะเปรียบเทียบกันให้ฟังดูมันง่าย ๆ เป็นอันว่าท่านทั้งหลายเออได้อุตส่าห์มาเพื่อประกอบพิธีมาฆบูชาในสถานที่อย่างนี้คงจะได้รับประโยชน์มากออกไป เออแปลกออกไป กว้างออกไป สูงออกไปหรือแล้วแต่จะมองดู ก็คงจะได้ผลคุ้มค่ามา เสียสละกันมา เออหลายอย่างหลายประการและยังจะมาเดินบนแผ่นดินอันขรุขระด้วยเท้าเปล่า ถ้าว่าเจ็บปวดเพราะเหตุนั้นก็ขอให้ถือเป็นเครื่องสักการะบูชาแทนดอกไม้ธูปเทียนอีกเพราะเป็นเรื่องของปฏิบัติบูชา ไอ้ความลำบากทั้งหลาย ความเจ็บปวดทั้งหลายถ้าจะมีขึ้นเออขอให้เป็นปฏิบัติบูชาสงเคราะห์ลงในปฏิบัติบูชาด้วยกันจงทุก ๆ ท่าน ให้สำเร็จประโยชน์เต็มที่ทุกอย่างทุกประการเออในการที่ได้มาประกอบพิธีในวันนี้ เออทีนี้ก็จะได้กล่าวถึงพระธรรมเออธรรมะของพระพุทธองค์ซึ่งทรงแสดงในวันนี้โดยบาลีอย่างที่ยกขึ้นไว้ข้างต้นว่า "สพฺพปาปสฺส อกรณํ" ไม่กระทำบาปทั้งปวง "กุสลสฺสูป สมฺปทา" เออทำความดีเออกุศลให้ถึงพร้อม "สจิตฺตปริโยทปนํ" เออทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว เออขาวรอบ "เอตํ พุทฺธาน สาสนํ" นี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เออคำว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายนี่ก็เป็นอันกล่าวหมายความได้ว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะสอนอย่างนี้ เออในความเชื่อที่ ๆ เชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ หลายสิบพระองค์ก็ตามแต่ทุกพระองค์จะทรงสั่งสอนโดยหลักอย่างนี้ซึ่งจะต้องเออกำหนดจดจำเออไว้ให้ดีว่าไม่ทำความชั่ว และก็ทำความดี และก็มีจิตผ่องแผ้ว เป็นสิ่งที่บางคนฉงนว่าทำความดีแล้วทำไมยังจะต้องทำอีกอย่างคือทำจิตให้ผ่องแผ้ว เออโดยแท้จริงนั้นการทำความดีนั้นมันยังไม่ผ่องแผ้ว (นาทีที่ 0.15.43.2) ความดีมันยังมีเออความผูกพันยึดมั่นถือมั่นในความดีก็ได้เออแล้วก็ดูให้ดีเออให้ ๆ เห็นจนถึงกับว่าไอ้ดี ๆ ในภาษาไทยนี่ก็ยิ่งไม่น่าไว้ใจ มันบ้าดีก็ได้ เมาดีก็ได้ หลงดีก็ได้ จมดีก็ได้ แล้วมันอวดดีจนหมดดีก็ได้ นี่คำว่าดี ๆ นี่มันยังไม่ปลอดภัยและคงจะเป็นอย่างนี้ท่านจึงกล่าวเป็นข้อสุดท้ายว่าทำจิตให้ผ่องแผ้วปราศจากอิทธิพลครอบงำของความดี นี่ก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำความเข้าใจเออไอ้คำว่าดี ๆ ดีในภาษาไทยนี่มันเป็นสิ่งที่ยังคู่กันกับความชั่วแล้วก็เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือเออไปอีกความหมายหนึ่งในความหมายอีกความหมายหนึ่งก็ยึดถือความดีเออในโลกนี้ นี่อยากจะพูดว่าเออคนที่เป็นบ้าในโลกนี้มีอยู่กี่ล้าน ๆ คนนั่นนะ คนบ้าทุกคนนั้นนะมีมูลเหตุมาจากความยึดมั่นถือมั่นในความดี บ้าดี หลงดี เมาดีแล้วก็เลยบ้าจริง เออถ้ามันไม่บ้าดี เมาดี หลงดีแล้วมันไม่มีทางที่จะเป็นบ้า ไปคิดดูเอาเองเถอะ พูดอย่างนี้ว่าจริงหรือไม่จริง เออว่ามีคนบ้าอยู่ในโลกกี่ล้าน ๆ คน ทุกคนมีมูลเหตุมาแต่บ้าดีแล้วมันค่อย ๆ ลืมตัว ค่อย ๆ ลืมตัวถึงจะมีโรคภัยอย่างอื่นมันก็มี ๆ ส่วนของบ้าดีเออเข้าไปรวมอยู่ด้วยเสมอแล้วก็ไม่รู้ว่า ๆ บ้าดี นี่ไม่รู้ว่าตัวเองบ้าดี บ้าดีจนเลยเป็นบ้าจริงแล้วก็ไม่รู้ว่าบ้าดี หรือจะย้อนเข้ามาใกล้ ๆ ว่าไอ้คนที่ฆ่าตัวตายฆ่าตัวเองตายมากขึ้นทุกที ๆ ตามหน้า..ตามข่าว ๆ ที่ประกาศออกมา ถ้าคนฆ่าตัวตายมากขึ้นเท่ากับความเจริญทางวัตถุ อันนี้ก็เหมือนกันแหละเออที่มันฆ่าตัวตายนะเพราะมันบ้าดี มันหมดท่าจะดีอย่างอื่นมันก็บ้าดีด้วยเอาดีในการฆ่าตัวตายแล้วมันคิดอุตริไกลไปถึงเขาว่าลูกเมียก็ไม่ต้องอยู่ ก็ฆ่าลูก ฆ่าเมียแล้วฆ่าตัวเองตายเพื่อจะได้เป็นคนดี เป็นคนไม่มีอะไรที่จะต้องถูกตำหนิ หรือว่ามันดีอยู่แล้วที่จะพ้นทุกข์ พ้นร้อนไปที คนมันบ้าดีมันก็ฆ่าตัวตาย เออฆ่าตัวตายเพราะความบ้าดี เมาดี หลงดี นี่คำว่าดี ๆ นี่เออมันมีความหมายอย่างนี้ มีสภาพความเป็นจริงอยู่อย่างนี้ ดังนั้นคำว่าดีที่สุด มันก็ไม่ปลอดภัย เออถ้าว่ามันบ้าได้ หลงได้มันก็บ้าที่สุด หลงที่สุด หลงจนติดอยู่ที่นั่นแหละถึง ๆ จะเออจะไม่เป็นคนบ้าอย่างวิกลจริตมันก็หลงติดอยู่ที่ดีต้องลำบากยุ่งยากมีปัญหานานาประการในการที่จะต้องพิทักษ์รักษาแต่ความดีแล้วก็เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งมันพร่องได้และต้องคอยปรุงไว้คอยเติมไว้เสมอเพื่อมันจะไม่หมดดี นี่ปัญหายุ่งยากมีอยู่อย่างนี้ เกี่ยวกับคำว่าดี ก็อยากจะพูดกันเลยไปถึงว่าเออคนโบราณเออปู่ย่า ตายายของเราที่เป็นพุทธบริษัทนี่คงจะมองเห็นความจริงข้อนี้เออจึงได้มีคำกล่าวมาแต่โบราณว่า ทั้งชั่ว ทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์เออทั้งชั่ว ทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ ใครเคยได้ยิน ใครไม่เคยได้ยิน ถ้าใครไม่เคยได้ยินอาตมาก็บอกว่าเคย..นี่เคยได้ยินอย่างนี้ อัปรีย์ ๆ อัปรียะเออแปลว่าไม่น่ารัก อะ- ไม่ ปรียะแปลว่ารัก น่ารัก อัปรียะแปลว่าไม่น่ารัก หมายความว่ามันสร้างความลำบาก หนักอก หนักใจเออไปยึด ไปยึดมั่นถือมั่นเข้ามันกัดเอาเหมือนกับความชั่ว เหมือนกันไปยึดมั่นถือมั่นแล้วมันกัดเอา เออความชั่วกัดไปรูปแบบหนึ่ง ความดีก็กัดเอารูปแบบหนึ่ง เอออย่างน้อยที่สุดก็มันบ้าดี หลงดีแล้วเป็นบ้ากันมากมายในโลกนี้นั่นก็คือความไม่น่ารักของความดีเหมือนกันแต่ในที่นี้หมายถึงความไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู ว่าของกู ก็ลองคิดดูเถอะคนไหนมันยึดมั่นถือมั่นว่ากูดี ของกูดี ดูว่าคนนั้นไม่ปกติแล้ว มันไม่ปกติแล้วแหละ มันยึดมั่นกูดี ของกูดี มันมีแต่จะวิปริต เออมันยังจะต้องระวัง ยังไม่หมดปัญหา เพราะฉะนั้นจากชั่วมาถึงดี อันนี้ตอนหนึ่ง จากดีต้องไปอีกตอนหนึ่ง ก็ไปถึงว่าง ใน ๆ ในพุทธศาสนาใช้คำว่าว่าง ๆ คือเหนือชั่ว เหนือดี ไม่มีอิทธิพลแห่งความชั่วและความดีจะมาครอบงำ ก็เลยสบาย ไม่ต้องแบกดี ขึ้นชื่อว่าแบกแล้วหนักทั้งนั้นแหละ จริงไม่จริงคิดดู ให้มันแบกก้อนอิฐ ก้อนหิน ไม้ฟืนแล้วก็หนักทั้งนั้นแหละ แบกเงินทอง เพชรพลอยแล้วก็หนักทั้งนั้นแหละ ขึ้นชื่อว่าแบกแล้วมันก็หนักทั้งนั้น เออที่นี้ก็ไม่ต้องแบกดีกว่า มีคำพูดเออว่าว่าง ๆ คือเหนือ ๆ ขึ้นไปเสีย เหนือชั่ว เหนือดีนั่นแหละปลอดภัย อิทธิพลแห่งความชั่ว ความดีเบียดเบียนไม่ได้ ก็ปลอดภัย เออถ้าอยู่ว่า ๆ อยู่ในระหว่างนี้ไม่ค่อยปลอดภัย ถ้าอยู่ระหว่างกลาง ระหว่างชั่วระหว่างดีนี่ยังไม่ปลอดภัยเพราะมันเอียงไปหาชั่ว หาดีเมื่อไรก็ได้ ให้ปลอดภัยแน่นอนให้อยู่เหนือ ๆ กว่าอิทธิพลของความชั่ว ความดีจะมาบีบคั้นจิตใจได้ เออไอ้ความ..อิทธิพลของความดีก็มันบีบคั้นให้หลง ให้พอใจ ให้อยาก ให้อยากจะเพิ่มเติมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จิตนี้มันก็เต็มไปด้วยเออความดิ้นรน ความต่อสู้ ความรักษา การอารักขาอะไรต่าง ๆ ไม่ใช่เออความสงบเย็น ไม่ใช่ความสงบเย็น แม้ว่าจะเป็นเรื่องของสติปัญญา มันก็ยังไม่ใช่ความหยุด มันยังเป็นสติปัญญาที่กำลังเดือดอยู่ กำลังเออปรุงแต่งอยู่ ไม่หยุด ยังไม่หยุด ในเมื่อยังไม่หยุดก็อยู่ใต้อิทธิพลเออของการปรุงแต่ง มันก็เป็นสังขารชนิดหนึ่ง มันก็มีความทุกข์ตามแบบ ตามขั้น ตามระดับต่ำ กลาง สูงอะไรไป ทั้งชั่วและดีเออยังเป็นสังขารอยู่ เออบางคนไม่เข้าใจคำว่าสังขารอย่างถูกต้อง เข้าใจสังขารว่าร่างกาย เออนี่สังขารคือร่างกาย ตอนนี้มันน้อยนิดเดียว เออสังขารแปลว่าปรุงแต่ง สิ่งที่ปรุงแต่งสิ่งอื่นก็เรียกว่าสังขาร สิ่งที่ถูกสิ่งอื่นปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขารนี่ เออทั้งกัมมวาจกและกัตตุวาจก ถ้าการปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร (นาทีที่ 0.24.4.5) คำว่าสังขาร ๆ ทั้ง ๓ วาจกมีความหมายเหมือนกันคือการปรุงแต่ง ผู้ปรุงแต่งก็ดี ผู้ถูกปรุงแต่งก็ดี การปรุงแต่งก็ดีเรียกว่าสังขาร ไอ้ความชั่ว ความดีนี่มันวุ่นอยู่กับการปรุงแต่ง เหตุปัจจัยปรุงแต่ง หมดเหตุ หมดปัจจัยปรุงเออปรุงแต่งมันก็ไม่มีนะ ทีนี้มันก็ลำบากอยู่ในการปรุงแต่ง ไม่ระงับการปรุงแต่ง ก็ระงับมันเสียให้เป็นวิสังขารไม่มีการปรุงแต่ง มันจึงเหนือชั่วและเหนือดีเออ เออที่จะพูดภาษาเด็ก ๆ ลงมาอีกก็ว่าเหนือบุญและเหนือบาป บุญก็ปรุงแต่ง บาปก็ปรุงแต่ง ยังเป็นการปรุงแต่งยึดมั่นถือมั่นแล้วมันกัดเอาทั้งนั้น ต้องเหนือบุญ เหนือบาป เหนือบาป เหนือบุญ เหนือดี เหนือชั่วหรือจะต่ำลงมาอีกที่ว่าเหนือทุกข์ เหนือสุข ทุกข์ก็ทนไม่ไหว เออสุขก็ทนไม่ไหวเพราะต้องอยู่ด้วยความรู้สึก ต้องทำความรู้สึก ต้องมีความพอใจจึงจะเป็นสุข ถ้าไม่มีความพอใจมันก็ไม่เป็นสุข ถ้ายังมีความพอใจมันก็คือความต้องทน ต้องรักษา ต้องต่อสู้ อะไรชนิดหนึ่ง เป็นความพอใจไม่ใช่ความหยุดแห่งจิตใจนะ เออความพอใจนี้ไม่ใช่ความหยุดแห่งจิตใจ เราจึงไม่เอาสิ่งที่ยังรบกวนจิตใจ เออความชั่ว ความดี บาป บุญ เออทุกข์ สุข นี่พุทธบริษัทแท้จริงเป็นอย่างนี้ ถ้ายังไม่ถึงขนาดก็เอากันไปก่อนไม่มีใครว่า เออจะเอาบาป เอาชั่ว เอาทุกข์ เอาอะไรกันไปก่อนตามมากตามน้อย เออครั้นมาได้ดี ได้บุญ ได้สุขแล้วก็ยังจะต้องรู้ว่าไอ้สิ่งนี้ก็ยังจะต้องระงับเสีย เออคำสั่งสอนจึงมีถึง ๓ ขั้นตอนว่าไม่ทำชั่ว ทำดีและทำจิตให้ผ่องแผ้ว บางศาสนาเขาไม่มีข้อที่ ๓ นะ มันไปหยุดอยู่ที่ความดี มันก็เป็นเรื่องของเขา เออบางศาสนาจะมีการทำจิตให้ผ่องแผ้วโดยวิธีอื่นก็ได้ ถ้าจะมี เราไม่ได้ศึกษาเอออย่างทั่วถึงอาจจะมีถึงวิ..พูดจะพูดถึงการทำจิตให้ผ่องแผ้วก็ได้แต่เป็นวิธีอื่น ไม่ใช่วิธีที่การมองเห็นว่าไอ้ดี หรือบุญ หรือสุขนี่เป็นสังขาร เป็นสิ่งที่มีการปรุงแต่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย หยุดไม่ได้ อิสระไม่ได้ สงบไม่ได้ นั่นแหละคือใจความสำคัญ ไม่ทำบาปหรือความชั่วทั้งปวง ทำดีหรือกุศลทั้งปวงให้ถึงพร้อม เออทำจิตให้ขาวรอบบริสุทธิ์ผุดผ่อง เออจำไว้เป็นหลัก ทีนี้จะมาพูดให้เข้าใจกันได้ใกล้ ๆ ว่าเออเวลาเออที่เป็นทุกข์เสียใจนั้นนะมันก็เหน็ดเหนื่อยกระหือกระหอบ แต่เวลาที่ดีใจมันก็พอ ๆ กัน ช่วยสังเกตกันทุกคนเพราะว่าทุกคน ๆ นี่เคยดีใจ ๆ ดีใจ ดูได้ง่าย ๆ ที่ลูกเด็ก ๆ ลูกเด็ก ๆ เขาดีใจแล้วมันเต้นแร้ง เต้นกาอย่างไร ถึงคนโต ๆ นี่ถ้าดีใจแล้วมันก็เรียกว่าหายใจไม่ค่อยทันเหมือนกันนะ เออเพราะคำว่าดีใจนะมันก็เป็นอารมณ์ชนิดหนึ่งซึ่งมิใช่ความสงบ ดังนั้นเราไม่ดีใจ ไม่เสียใจนะ กินข้าวอร่อยแล้วนอนหลับสนิท เออถ้าเสียใจหรือดีใจนี่ มันไม่ใช่ความสงบ ดีใจเพราะถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ นี่มันเหมือนกับบ้า เออดีใจนั้นมันยังไม่ใช่ความสงบ มันต้องไม่ดีใจ ไม่เสียใจ บางคราวมันประจวบเหมาะของมันเองเราไม่ได้ทำหรอก มันฟลุคก็ได้ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจเวลานั้นแหละสบายที่สุด เออขอฝากความข้อนี้ไว้ให้ท่านทั้งหลายพยายามศึกษาสังเกตตนเองเป็นเงื่อนต้นว่าแม้แต่เราคนธรรมดาสามัญนี่เวลาที่ไม่ดีใจ ไม่เสียใจนั่นก็ยังสบายที่สุด ไม่รู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์มีแต่จิตที่ว่าง ๆ จากสุขจากทุกข์ไม่แยแสเรื่องได้ เรืองเสีย เรื่องแพ้ เรืองชนะ เรืองเออรวย เรื่องจนนี้ไม่แยแส ว่าง จิตว่างนั้นนะมันเวลาสบายที่สุดแต่มันประณีตละเอียดไม่สังเกตเห็นก็ได้มันมามีบางครั้งบางคราว ว่างอย่างนั้น ไม่ทันสังเกตเห็นมันก็หายไปเสียอีก เออขอให้ตั้งใจให้ดี คอยจับตาดู..เออให้จับใจดูให้ดีว่าเวลาไหนสบายใจที่สุด เวลาไหนสบายใจที่สุดเออเดี๋ยวก็จะพบว่าเวลาที่ไม่มีอะไรเข้าไปกวนอยู่ในจิตใจนั่นนะสบายที่สุด เออความดี ความชั่ว บุญ บาป สุข ทุกข์อะไรไม่เข้าไปกวนในจิตใจ ทีนี้มันก็เลยไปถึงว่าไม่มีลักษณะแห่งนรกหรือสวรรค์ เออสวรรค์นะมันร้อนมันเจ็บปวด..เออนรกนะมันร้อนหรือเจ็บปวด ไอ้สวรรค์นะมันขอเพลิดเพลินสบายลืมตัวไป กวนจิตใจ นั่นสิอีกแบบหนึ่ง เป็นของเมาได้แล้วมันก็ไม่รู้สึกว่ากวน คนเมาสวรรค์จะไม่รู้สึกว่าสวรรค์นี้กวนจิตใจเสียจริง ๆ เออเพราะมันเมาสวรรค์ ที่จริงมันก็รบกวนจิตใจมิใช่ความสงบไอ้สิ่งที่เรียกว่าสวรรค์นะ อย่ามีความหมายแห่งสวรรค์เออเป็นจุดสุดยอดเลย มีความหมายแห่งนิพพาน ว่าง ว่างจากนรก ว่างจากสวรรค์ เหนือไปกว่านรก เหนือไปกว่าสวรรค์ เป็นความว่างจากสังขารการปรุงแต่ง ไม่มีอะไรปรุงแต่งก็เรียกว่าว่างหรือวิสังขาร เออคำว่าสวรรค์มันก็กำกวมในภาษาที่ใช้ ๆ กันอยู่ บางลัทธิบางศาสนาก็ไปยุติเพียงแค่สวรรค์ ๆ แต่พุทธศาสนาไม่เป็นอย่างนั้น ต้องขึ้นไปพ้นไอ้ ๆ ของคู่ ๆ นั้นคือนรกกับสวรรค์เป็นของคู่กันคู่หนึ่งต้องขึ้นไปเหนือนั้นแล้วจึงจะเป็นความว่าง ความรู้สึกเป็นคู่ ๆ คู่ ๆ ที่มีอยู่ในโลกนั้นไม่เออไม่ว่างทั้งนั้นแหละ ต้องเหนือไอ้ความรู้สึกที่เป็นคู่ ๆ เหล่านั้นทั้งหมด เช่นชั่ว เช่นดี เช่นบุญ เช่นบาป เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือว่าในเออ ๆ เออในวงที่แคบ ๆ เข้ามาเออว่าได้ ว่าเสีย รวมทั้งดีใจ เสียใจ ว่าแพ้ ว่าชนะมันก็ดีใจ เสียใจ ว่าได้เปรียบ ว่าเสียเปรียบ ก็ดีใจ เสียใจ หรือว่าไอ้มั่งมีกับยากจน เอ้ามันดีใจ เสียใจ มันไม่หยุดอยู่แค่นั้นได้เออคือมัน ๆ ไม่เป็นสุขสงบอยู่ที่นั่นได้ มันต้องเหนือทุกคู่ ทุกคู่ ซึ่งมีอยู่ไม่รู้กี่สิบคู่ไปคิดเอาเองเถอะเป็นคู่ ๆ คู่ ๆ เออกระทั่งว่าเออเป็นหญิง เป็นชาย มันก็ยุ่งเท่ากันแหละ เป็นผัว เป็นเมีย มันก็ยุ่งเท่ากันแหละ เป็นลูก เป็นแม่ มันก็ยุ่งด้วยกันทั้งนั้นแหละ เป็นคู่ ๆ คู่ ๆ ใน ๆ โลกนี้ ตั้งแต่เป็นเรื่องปรุงแต่งถ้ามันเป็นคู่แล้วมันเป็นการปรุงแต่ง มันต้องพ้นความหมายแห่งความเป็นคู่มันจึงจะพ้นการปรุงแต่ง แต่ว่าคำพูดบางคำมันกำกวม มันกำกวมลำบากนะเช่นคำว่าร้อนกันเย็นนี่ ไอ้ที่มันยังเป็นคู่กันแล้วมันก็ไม่ไหวนะ ร้อนก็ไม่ไหว เย็นก็ไม่ไหวคือหนาว ๆ ก็ไม่ไหว ร้อนก็ไม่ไหว มันเหนือหนาว เหนือร้อน พ้นหนาว พ้นร้อนจึงจะไหว แต่บางทีเราก็ยังจำเป็นจะต้องเอาคำ ๆ หนึ่งในคู่นั้นนะมาใช้เช่นใช้กับนิพพานว่าเย็นอย่างนี้ เราต้องหมายความว่ามันไม่ใช่ไอ้เย็นที่คู่กันกับร้อน ไม่ใช่เย็นที่คู่กันกับร้อน มันเป็นเย็นอีกชนิดหนึ่งเออในความหมายทางภาษาธรรมะไม่ใช่ภาษาวัตถุ ภาษาโลก ๆ แม้กระทั่งความสุขก็เหมือนกันเออมันต้องขอยืมไอ้ความสุขที่ใช้กันอยู่ตามธรรมดาไปเป็นความสุขชั้นสูงสุดคือความว่างอย่าง ๆ นี้ก็มีเออเพราะมันจำเป็น ๆ ที่จะต้องพูดด้วยคำ ๆ นั้นถ้าไม่พูดด้วยคำ ๆ นั้นคนธรรมดามันฟังไม่ถูก เราพูดกันมาเป็นวักเป็นเวรว่านิพพานนั้นเหนือทุกข์ เหนือสุขแต่ถ้าจะพูดกับคนโง่ต้องพูดว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งไม่อย่างนั้นมันไม่สนใจแน่ ถ้าอย่างนี้ก็ต้องแยกความหมายกันเสียอีกทีหนึ่งว่าไอ้นิพพานที่ว่าเป็นสุขอย่างยิ่งนั้นมีความหมายอย่างอื่นคือสุขอย่างเหนือสุข สุขอย่างที่อยู่เหนือสุข เล่าเรื่อง..(นาทีที่ 0.34.51.0) เออไม่ ๆ ๆ ไม่น่าเล่าให้ฟังใน ๆ ในที่นี้อีกทีก็ได้ เออถามผู้หญิงคนหนึ่งว่าอยากไปนิพพานไหม เออเขาบอกว่าอยากไปที่สุดเออแต่พอบอกในนิพพานไม่มีรำวงนะ เออไม่เอา ไม่เอาขอถอนคืนไม่อยากไปนิพพานนั่นเพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่มัน ๆ ต้องเอาเรื่องของความรู้สึกในทางใจของคนธรรมดาสามัญมาเป็นหลัก เพียงแต่ในนิพพานไม่รำไม่มีรำวงนี้เขาก็ไม่อยากจะไปแล้ว เพราะกะว่า (นาทีที่ 0.35.26.1) เขาชอบรำวงนี่ ถ้าบอกว่าในนิพพานมีรำวงดีกว่านี้มากเออเขาคงอยากไปทันที อยากไปทันที นี่พูดภาษาคนกับพูดภาษาธรรมนี่มันต่างกันอยู่อย่างนี้ ต้องตีความหมายให้ถูกต้องว่าเดี๋ยวนี้เรากำลังพูดภาษาคนหรือว่าพูดภาษาธรรม คำว่าสุข ๆ นี่เออคู่กับทุกข์แล้วก็มันยังเป็นเรื่องสังขารปรุงแต่งไม่หยุด ไม่ ๆ เย็น ไม่เออไม่อิสระ ไม่หลุดพ้นนะ ไม่เป็นความรอดพ้นซึ่งเป็นความหมายของศาสนาทุกศาสนา เดี๋ยวนี้เราต้องการความรอดพ้น รอดพ้นจากไอ้สิ่งที่ผูกมันรัดตรึง รอดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นด้วยความโง่ที่กำลังยึดมั่นถือมั่นอยู่ เดี๋ยวนี้เรากำลังยึดมั่นถือมั่นในความดี ความสุข ความเออบุญกุศลอะไรต่าง ๆ อยู่ในลักษณะแบกของหนักเออมันต้องวาง ต้องวางต้องไม่มีการแบก ต้องว่างไม่เออไม่มีการแบกจึงจะไม่มีความทุกข์ เออพูดอย่างนี้เดี๋ยวคนบางคนจะเข้าใจว่าสอนไม่ให้ทำดี สอนไม่ให้ทำบุญ สอนไม่ให้แสวงสุข โอ้ย..ไม่ ๆ ใช่อย่างนั้นแหละเออคุณมันบ้าดี บ้าบุญ บ้าสุขกันอยู่เต็มที่แล้วนะ เพียงแต่บอกให้รู้ว่าถ้าวางไอ้สิ่งนั้นลงเสียบ้างนั้นนะมันจะมีความสุข ไม่ได้สอนว่าอย่า ๆ ทำดี อย่าทำบุญ อย่าทำสุข เออแต่ให้รู้ว่าที่แบกอยู่ ถืออยู่ ยึดมั่นอยู่ เป็นความทุกข์ ดังนั้นก็ต้องมีความฉลาดอย่าให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา ถ้าทำบุญ ทำดีหรือมีความสุขมันก็เพื่อว่าจะได้อยู่เป็นปกติ เออสำหรับจะเป็นรากฐานของการศึกษาเพื่อขึ้นไปสู่ความว่าง เออจำไว้เป็นหลักว่าจากชั่วถึงดี ถ้าเหนือดีขึ้นไปก็คือว่าง จากบาปมาถึงบุญ เหนือบุญขึ้นไปก็คือว่าง จากทุกข์ขึ้นมาถึงสุข เหนือสุขขึ้นไปก็คือว่าง เออถ้ามันจะถึงที่สุดสูงสุดจริง ๆ แล้วมันก็ต้องว่างเออคือมันไม่มีอะไรที่เป็นภาระ แล้วไม่มีอะไรที่เป็นของผูกพันจิตใจ ไม่ผูกพันจิตใจ ๆ เป็นอิสระ เออถ้ายึดดี บ้าดีก็ติดดี จิตใจก็ไม่เป็นอิสระไปจากความดี มันก็ยึดมั่นถือมั่นอะไรเออก็เป็นทาสของสิ่งนั้นและเป็นทาสขี้ข้านะเออเป็นบ่าวเป็นทาสของสิ่งนั้นแหละ ในพุทธศาสนาก็ไม่ต้องการให้ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดโดยไม่เป็นทาสของสิ่งนั้น สอนให้หลุดจากความเป็นทาสโดยประการทั้งปวง เอออาตมานี้มันเป็นเด็กดื้อ มันเรียกตัวเองว่าพุทธทาสทั้งที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการ แต่จิตใจของเรามันอยากที่จะเป็นทาสของพระพุทธเจ้า ยินดีที่จะมอบกายถวายชีวิตทำทุกอย่างตามพระพุทธประสงค์ สอนเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น เออสอนเรื่องความไม่เป็นทาสทั้งที่เรียกตัวเองว่าทาส ฟังดูมันก็ตลบแตลงอยู่ แต่ขอให้เข้าใจว่าไอ้ความเป็นทาสในลักษณะอย่างนี้มันไม่เกี่ยวกับความยึดมั่นถือมั่นเออมันเกี่ยวกับสติปัญญาหมายความว่าจะรับใช้พระพุทธเจ้าถึงที่สุดด้วยชีวิตจิตใจในการที่จะเผยแผ่ธรรมะ เผยแผ่พระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ เออช่วยปลดเปลื้องคนทั้งหลายออกมาเสียจากความเป็นทาสของกิเลส ที่จริงมันก็ไม่ควรจะเป็นทาสของอะไรทั้งนั้นแหละ แต่ที่มันเป็นปัญหาหนักอยู่ในโลกปัจจุบันนี้มันก็เป็นทาสของกิเลส โลกนี้ยิ่งเจริญทางวัตถุเออมากขึ้นเท่าไรเออความเป็นทาสของกิเลสมันก็มากขึ้นเท่านั้น ผู้ที่พอใจในความเจริญในโลกในทางวัตถุนะรู้กันไว้บ้าง ยิ่งพอใจในความเจริญเออสุข สนุกสนานทางวัตถุเท่าไรก็ยิ่งเห็นแก่ตัวเท่านั้นแหละ มันยิ่งแบกตัวหนักเท่า ๆ นั้นแหละ แบกของตัวหนักขึ้นเท่านั้น (นาทีที่ 0.40.41.8) ก็นิยมกันนัก ไอ้ความเจริญในโลก ที่จริงมันเป็นต้นเหตุแห่งความเห็นแก่ตัว เพิ่มภาระให้แก่ศาสนา ทุกศาสนาต้องการกำจัดความเห็นแก่ตัวแต่แล้วโลกมันยิ่งเจริญด้วยเหยื่อที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว มันก็ยิ่งเพิ่มภาระหนักให้แก่ศาสนา สมัยโบราณความเห็นแก่ตัวน้อยกว่ายุคนี้ซึ่งมีสิ่งยั่วให้เห็นแก่ตัวมันมากนักเออเพราะความเอร็ดอร่อย สนุกสนานมันเพิ่มขึ้นโดยวิถีทางต่าง ๆ กันมากเออพอใจยินดีในสิ่งเหล่านี้ก็จะเห็นแก่ตัว ฉะนั้นมันก็มีการเห็นแก่ตัวหนักขึ้น ๆ หนักขึ้นจนเกิดปัญหานานาสะ..อย่าง เออจนกระทั่งว่าเออเกิดลัทธินายทุนผู้เห็นแก่ตัว ขูดรีด ดูดทรัพย์ มันก็เพราะความเห็นแก่ตัว ถ้าอย่ามีนายทุนมีแต่เศรษฐีใจบุญรักผู้อื่นไม่เห็นแก่ตัว มันก็ไม่เกิดลัทธิอันลำบากอย่างนี้ เมื่อเกิดลัทธินายทุนแล้วมันก็ช่วยไม่ได้มันต้องเกิดลัทธิต่อต้านนะคือลัทธิคอมมูนิสต์นะ มันต้อง ๆ โทษลัทธินายทุนที่เกิดขึ้นก่อนแล้วมันจึงเกิดลัทธิคอมมูนิสต์เพื่อจะพังทลายต่อสู้เออกันขึ้นมาเออแต่ก็ด้วยความเห็นแก่ตัว ผู้ที่ทำก่อนก็เห็นแก่ตัว ผู้ที่ต่อสู้ทีหลังก็เห็นแก่ตัว ปัญหาของการเห็นแก่ตัวมันก็ยืดเยื้อมาเออเรื่อยมาจนบัดนี้และทวียิ่งขึ้น ๆ ดูเถอะไม่เห็นทางที่ว่าจะลดลงเพราะมันมีสิ่งที่ยั่วให้เห็นแก่ตัว นี่มันคือบ้าดี หลงดี เมาดี เออจงอยู่ในกองดี ความดี เออพอจะเรียกได้ว่าทั้งชั่ว ทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์เออได้หรือไม่ ยังมีคำอื่น ๆ ที่คล้ายกันเออแคบเข้ามาว่าทั้งได้ ทั้งเสียล้วนแต่อัปรีย์ เออใน ๆ คำพูดโบราณของเขาแท้ ๆ ว่าทั้งลาภ ทั้งสูญล้วนแต่อัปรีย์ ไอ้ลาภก็คือได้ลาภเข้ามา สูญก็คือสูญเสียลาภออกไป ทั้งลาภ ทั้งสูญล้วนแต่อัปรีย์อย่างนี้ก็มี คำอย่างนี้ก็มีมันความหมายเหมือนกัน ได้มาก็มาทำตัวเองให้หลงใหล เออสูญหายไป เสียหายไปก็ทำตัวเองให้ลำบากให้เป็นทุกข์ เกิดอัปรีย์ทั้ง ๒ อย่างทั้งได้ ทั้งเสีย ถ้าพูดอย่างเดี๋ยวนี้ก็จะต้องพูดว่าเออทั้งถูกลอตเตอรี่และไม่ถูกลอตเตอรี่ล้วนแต่อัปรีย์ เห็นจะไม่มีใครเชื่อ เออใครบ้างเออที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่อยากถูกลอตเตอรี่เออคนนั้นแหละจะเชื่อ แต่ถ้ายังอยากถูกลอตเตอรี่อยู่คงจะไม่เชื่อว่าทั้งลาภ ทั้งสูญล้วนแต่อัปรีย์ นี่เอาไปคิดดูให้ดีว่าทั้งชั่ว ทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์เพราะมีความจริงข้อนี้อยู่จึงต้องมีเออพระโอวาทข้อที่ ๓ ว่าจงทำจิตให้ผ่องแผ้วเถิดเออละความชั่วให้หมดสิ้นแล้วก็ทำความดีให้เต็ม ให้ถึงพร้อมก็คือ ๆ มีพอใช้เออแล้วก็ทำจิตให้ผ่องแผ้วอย่าให้สิ่งทั้ง ๒ นั้นมาครอบงำย่ำยีอยู่บนหัวใจ เออคำสอนนี้เป็นของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็แปลว่าผู้รู้ทุกคนจะต้องพูดอย่างนี้ เออถ้าไม่สอนให้ทำจิตผ่องแผ้วจากอิทธิพลของไอ้ความเออความชั่ว ความดีหรือของทุก ๆ คู่เออที่มีอยู่ในโลกนี่ก็จะเป็นเออคำสอนที่ไม่สมบูรณ์เออเป็นคำสอนครึ่งเดียว ระวังที่เราสอนเด็ก ๆ กันแต่ว่าให้ ๆ ดี ให้ดี ทำดี รู้ดีจนเด็ก ๆ เมาดีเป็นโรคประสาทกันนั้นนะ มันไม่ถูกนะ ดังนั้นต้องรู้เออต้องให้ ๆ เด็กรู้จักทำจิตเออให้ผ่องแผ้ว คือว่าดีก็ทำแหละ แต่ว่าไม่ต้องเป็นทุกข์ทรมานเพราะการทำดี ให้ทำดีแต่ถูกต้องและพอดี แล้วเวลาเออที่มีจิตว่างเออไม่ ๆ ถูกครอบงำด้วยความดีนั้นก็ต้องมีอยู่พอสมควร จะได้เป็นปรกติ จะได้มีความสุข เออเป็นอันว่าวันนี้เออมันเป็นวันมาฆบูชาเป็นวันที่คล้ายกันวันที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสประกาศลงไปว่า ไม่ทำชั่ว ทำดีและทำจิตให้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากอำนาจของความชั่วและความดี ไอ้ความชั่วนั้นมันละเสียแล้วเมื่อทำความดี แต่นี่มาอยู่ในความดีมันก็ต้องมีจิตใจอยู่เหนืออิทธิพลของไอ้สิ่งที่เรียกว่าดี ๆ ไม่บ้าดี ไม่บ้าดี ไม่หลงดี ไม่เมาดีเหมือนกับที่เป็นกันอยู่มาก ๆ จนเป็นบ้าจริง ถ้ามาระลึกถึงข้อนี้แล้วก็คงจะเข้าใจว่าเออธรรมะนี้สอนสมบูรณ์ที่สุดแหละ ไอ้เรื่องไม่ให้เมาดี บ้าดี หลงดี ไม่ให้เมาบุญ ไม่ให้บ้าบุญ ไม่ให้หลงบุญ ไม่ให้บ้าสุข ไม่ให้เมาสุข ไม่ให้หลงสุขนี่ เป็นคำสอนที่จำเป็นอย่างยิ่ง เออจำเป็นเพราะว่าถ้าไม่อย่างนั้นมันจะทนทุกข์ชนิดหนึ่งอย่างที่เออที่ไม่รู้สึกตัวจนเป็นบ้าจริง บ้าจริงไปเลย อาตมาพูดอย่างนี้ถ้า ๆ บางคนเออเข้าใจไม่ถูกต้องก็หาว่าสอนให้เลิกทำดี เลิกทำบุญ เออเลิกหาความสุข ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น เออสอนให้ไม่อยู่ใต้อิทธิพลของสิ่งเหล่านี้ เออสิ่งเหล่านี้มันเป็นบันไดแหกขั้นที่จะต้องก้าว จะต้องก้าวสูงขึ้นมา สูงขึ้นมาจนชนะ จนอยู่เหนือแหละ ไอ้ความดีนี่มันต้องรู้จักแล้วเห็นโทษของความยึดมั่น ถือมั่นในความดีแล้วมันจึงอยากจะนิพพานคืออยากจะว่าง อยากจะเหนือชั่ว เหนือดี เหนือดี บุญก็เหมือนกัน ถ้าอยู่ด้วยบาปมันไม่ไหวแล้ว มันทำอะไรไม่ได้ มันไม่มีใจคอเหมาะสมที่จะเออปฏิบัติให้สูงขึ้นไป ดังนั้นมีบุญเออเพื่อการเป็นอยู่ชนิดที่จะสะดวกสำหรับทำความดีให้สูงขึ้นไป มีสุขก็เหมือนกันเป็นขั้นบันไดที่จะได้ก้าวสูงขึ้นไปเออเพราะฉะนั้นให้มองบุญ หรือดี หรือสุขว่าเป็นขั้นบันไดขั้นหนึ่งที่จะต้องเหยียบก้าวขึ้นไปให้ถึงสุดยอดจนไม่ต้องขึ้นบันไดอีกต่อไป ชีวิตที่เป็นกระแสแห่งการปรุงแต่งไหลเวียนเรื่อยไปกว่าจะถึงที่สุดจึงจะหยุดการปรุงแต่งและไหลเวียน ทีนี้มันก็มาพบกันเข้ากับความสุข ความดีหรือบุญ หรือกุศล เออทีนี้มาหลงอยู่ที่นี่ มาติดอยู่ที่นี่ มันก็ไปก็ไม่ไปมันก็คือไม่ไป ถ้าเมา ถ้าหลงบ้ากันอยู่ที่นี่มันก็ยิ่งไม่ไปใหญ่ เออแล้วมันก็จะวกกลับมากัดเอาด้วย ไอ้เรื่องนอนไม่หลับนี่ก็ ๆ เลือกไม่ได้อย่างที่ต้องการ ไม่ได้ดี ได้พอใจ ได้เป็นสุขเออตามที่ต้องการ มันก็เป็นเรื่องนอนไม่หลับ ไม่เท่าไรก็เป็นโรคประสาทเออถ้ารักษาไม่หายก็บ้าเลย เออก็เลยบ้าจริง รู้จักทำจิตให้สงบเมื่อทำบุญ ทำดี ทำความสุขก็เรียกว่านี้ทำตามหน้าที่ บันไดเออขั้นที่จะต้องอาศัยอยู่หรือเหยียบขึ้นไป ผ่านขึ้นไปไม่ใช่จุดสูงสุดอยู่ที่นี่ ไม่ใช่อยู่ที่ดีที่สุดแต่ว่าอยู่ที่พ้นเหนือดีเออเหนือดีขึ้นไปอีก นี่จึงจะเรียกว่าได้รับผลสมตามความมุ่งหมายของพระพุทธโอวาทที่ได้กล่าวในวันนี้เรียกว่าโอวาทปาติโมกข์เออ ๓ อย่าง อยากจะขอร้องให้ใคร่ครวญศึกษาหลักเกณฑ์อันนี้ในฐานะเป็นของธรรมชาติ เป็นของธรรมชาติ เออของธรรมชาติล้วน ๆ แหละไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องเป็นของศาสนานั้น ศาสนานี้ เออเพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านมีลักษณะเป็นผู้ค้นพบความลับของธรรมชาติและนำมาสอนให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติและก็รอดพ้นจากการบีบคั้นของธรรมชาติ อยู่เหนือธรรมชาติ เออธรรมะของพระองค์เมื่อมาเออสำรวจดูทั้งหมดทั้งสิ้นแล้วก็จะพบว่าท่านสอนเรื่องธรรมชาติ เออธรรมชาติตามธรรมชาติ ธรรมชาติของธรรมชาติและตามธรรมชาติเป็นอย่างไรนี่ ท่านสอนเรื่องธรรมชาติ เป็นสัจธรรมเออเป็นสภาวธรรม สภาวะแปลว่าเป็นเอง ธรรมชาติเป็นสภาวธรรมคือเป็นเอง แล้วก็ค้น ๆ พบกฎเกณฑ์ที่มันมีอยู่ในสภาวธรรมต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้จะเป็นอย่างนั้น ถ้าทำอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้เรียกว่าสัจธรรมเออความจริงของธรรมชาติคือกฎของธรรมชาติ เออครั้นแล้วก็รู้ว่าหน้าที่ ๆ จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ไม่ทะเลาะกับธรรมชาติ ไม่เป็นข้าศึกกับธรรมชาติ ก็ค้นพบหน้าที่ หน้าที่เออก็คือปฏิบัติธรรม ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแล้วเออธรรมชาติก็จะไม่ลงโทษ ไม่เป็นอันตราย ไม่เป็นพิษอะไรขึ้นมาเออนี่ก็เรียกว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ในที่สุดก็ได้รับผลของหน้าที่เรียกว่าปฏิเวธธรรม เสวยได้ด้วยตนเอง เออนี่ก็เป็น ๔ ความหมายของคำว่าธรรม เกี่ยวกับธรรมชาติทั้งนั้น ท่านตรัสรู้เรื่องธรรมชาติในทุกแง่ทุกมุมที่จำเป็นจะต้องรู้เออที่เกี่ยวกับความดับทุกข์ นอกนั้นไม่ต้องรู้ก็ได้ ถ้ารู้บางอย่างมันเพิ่มทุกข์ก็มี มันไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำเกินความต้องการเหมือนกับความเจริญทางวัตถุในโลกปัจจุบันสมัยนี้ ไม่มีประโยชน์อะไร เออไปโลกพระจันทร์ได้หมด เออไปดวงดาวได้ทั้งหมดก็ไม่ ๆ ๆ ไม่ช่วยดับทุกข์อะไรได้เพราะว่าไอ้ความทุกข์มัน..ความสุขนะมันมีอยู่อย่างอื่นมันไม่ใช่เกี่ยวกับว่ามันจะทำตามกิเลสต้องการ มันจะต้องทำให้ถูกต้องกับกฎของธรรมชาติที่ว่ามันจะระงับกิเลสไว้ได้ เออมันจะสงบอยู่ได้โดยไม่ ๆ มีการปรุงแต่งหรือมีปรุงแต่งน้อยที่สุด พูดว่าไม่มีการปรุงแต่งนั้นมันฟังยากคือหมายความว่าไม่ยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งใดที่เป็นการปรุงแต่งก็เท่ากับไม่มีการปรุงแต่ง มันก็เลยสบาย ทีนี้เราศึกษาพุทธศาสนาในฐานะเป็นเรื่องของธรรมชาติและก็เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับความดับทุกข์ในจิตใจของมนุษย์ ไม่ให้เป็นไปเพื่อการเพิ่มสิ่งที่จะส่งเสริมกิเลสทำให้มนุษย์มีปัญหามากขึ้น มีปัญหามากขึ้นที่เรียกกันว่าพัฒนาอย่างบ้าหลัง เออคำว่าพัฒนานะมันใช้ไม่ได้เพราะว่าถ้าพัฒนาให้มากขึ้นเท่านั้นมันก็เพิ่มความทุกข์ให้มากขึ้น เออถ้าพัฒนาที่ถูกต้องมันก็เป็นไปในทางที่จะเอาชนะสิ่งเหล่านั้น เดี๋ยวนี้ยิ่งพัฒนายิ่งเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น ไม่รู้จักจะพัฒนาในส่วนจิตใจที่จะขึ้นอยู่เหนือเอออิทธิพลคุณค่าของวัตถุ เดี๋ยวนี้มันพัฒนาให้วัตถุมีคุณค่าเออสำหรับจะครอบงำจิตใจมนุษย์เออมากขึ้น เออคำนี้มันใช้กำกวมรวมกันคือคำว่าอัสสาทะ อัสสาทะเออคุณลักษณะที่น่าพอใจ น่าเสน่หาเออที่คนปุถุชนหลงว่าเป็นไอ้ของดี ของประเสริฐหรือความเจริญ เออพัฒนาแต่อย่างนี้แหละก็มันก็ยิ่งจมลงไปในความยึดมั่น ถือมั่นและก็จะเป็นทุกข์มากขึ้น เออต้องพัฒนาจิตใจให้อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้และก็พัฒนาวัตถุเออแต่เพียง..แต่เพียงพอดี พอดีสำหรับจะรองรับไอ้ความเป็นอยู่เออของจิตใจเออที่มีความถูกต้อง ดังนั้นจึงไม่ต้อง ๆ การให้มากเกินไปเออต้องการให้เกินความจำเป็น อยากจะพูดว่าเดี๋ยวนี้ในโลกมีไฟฟ้าใช้แต่โลกยิ่งมืด ๆ กว่าสมัยที่ไม่มีไฟฟ้าใช้นะ สมัยที่โลกไม่มีไฟฟ้าใช้นะจิตใจมันสว่างกว่านี้นะ เดี๋ยวนี้มันใช้ไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมสิ่งที่เป็นปัจจัยแก่กิเลส นี่เมื่อโลกยังไม่มีน้ำแข็งกินนะ ไม่รู้จักทำน้ำแข็งกิน มนุษย์มีจิตใจเยือกเย็นกว่านี้นะ มนุษย์ในยุคที่ไม่รู้จักทำน้ำแข็งกินนะมีจิตใจเยือกเย็นกว่าเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวนี้..ไปดูเอาเองเถอะไอ้เย็นอย่างน้ำแข็งนี่ แช่น้ำแข็งกับเย็นอย่างไม่มีกิเลส ไม่มีไฟนะมันต่างกันมาก เดี๋ยวนี้ชาวนาก็อยากมีตู้เย็นนะ อะไร ๆ ก็ต้องเกี่ยวกับตู้เย็นเออจนกลายเป็นของเออจำเป็นสำหรับ..อะไร ก็สำหรับกิเลส สำหรับความต้องการที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น แล้วก็มันน่าหัวที่ว่าไอ้พัฒนา พัฒนานี่มันลืมตัวทั้งนั้น มันลืมตัว พัฒนาส่วนที่เป็นการสนองกิเลส ส่วนจิตใจมันไม่ได้พัฒนา มันเลยโง่ในการที่จะดำรงตัวไว้ให้อยู่เหนือเออความทุกข์ยากลำบากทั้งหลาย มันไปสนใจแต่ที่จะมีเออความสุขที่หลงใหลมัวเมาไม่สนใจที่จะดับทุกข์ ฟังแล้ว ฟังแล้วมันก็ไม่น่าเชื่อ ฟังแล้วมันก็น่าหัวเรื่องดับทุกข์ไม่มีใครสนใจ เออสนใจแต่เรื่องให้มีสุขกับไอ้ที่บ้าได้ เมาได้ หลงได้ มันยิ่ง ๆ ขึ้นไป เออเดี๋ยวนี้ก็ยังมีคนโง่ที่ไม่รู้จักดับทุกข์แต่ต้องการความสุขมันจะทำได้อย่างไร ไอ้เรื่องที่ธรรมชาติไม่อำนวยมีเออความทุกข์นั่นแหละถ้ามันฉลาดสักหน่อยมันก็แก้ไขได้ เดี๋ยวนี้มันไม่ได้มีเออความตั้งใจที่จะต่อสู้กับธรรมชาติอันร้ายกาจ มันมุ่งหวังที่จะผลิตไอ้เรื่องสะดวกสบาย สนุกสนานที่เกินระดับของตนนะ อยากจะมีทีวีซึ่งมันก็ไม่จำเป็น ได้ทีวีมามันก็ดูแต่มวย มันเปิดบ่อนพนันกันหน้าทีวี มันไม่ได้ใช้ทีวีเออศึกษาหาความรู้ที่ควรจะได้รับ เออเจตนาของการมีทีวีมันยังเล่นตลกกันอยู่มาก ว่ารัฐบาลต้องการให้มีทีวีเพื่อการศึกษา แต่ประชาชนซื้อทีวีมาใช้พนันมวยนะ พอถึงโปรแกรมการศึกษามันปิดเสีย ถ้าอะไรไม่สนุกสนานแต่กิเลสมันก็ไม่เปิด นี่มันไขว้กันอยู่อย่างนี้ ดังนั้นการพัฒนาจิตใจของคนให้รู้จักกิเลส ให้รู้จักต่อสู้กิเลส ให้รู้จักเออเป็นสุขในการทำหน้าที่นั่นแหละดี อย่าไปพัฒนาให้มันหลงในทางวัตถุหรือเอา ๆ เอาเหยื่อทางวัตถุไปล่อเพื่อผลของการพัฒนา ๆ ให้เขารู้ว่าสิ่งสูงสุด สิ่งสูงสุดคือหน้าที่ที่ถูกต้อง ธรรมะ ๆ ธรรมะ ๆ นะมันไม่รู้เพราะมันรู้ผิดในลักษณะอื่นไม่ตรงกับความหมายของคำว่าธรรมะ เออคำว่าธรรมะนี่ในภาษาบาลีภาษาเดิมของอินเดียมันหมายถึงหน้าที่ หน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ เดี๋ยวนี้ขอให้เข้าใจกันในข้อนี้ว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่เพื่อจะดับทุกข์ ถ้าว่าหน้าที่ก็เพื่อความรอดนะ ทุกศาสนาเราต้องการความรอด เขาสอนหน้าที่เพื่อความรอด ความรอดทางกาย ความรอดทางจิต ความรอดทางกายไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหาทางร่างกายหรือการเป็นอยู่ รอดชีวิตอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย นี่เรียกว่ารอดทางกาย ที่ว่ารอดทางจิตคือกิเลส ๆ มันเผาลนให้เร่าร้อน เรารอดจากกิเลส นี่เรารอดทางจิต เรามีหน้าที่ที่จะรอดทั้งทางกายและทั้งทางจิตเรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ๆ เกิดขึ้นมาในโลก ในปากของมนุษย์คำแรก คนแรกพูดก็คือหมายถึงหน้าที่ ถ้ามนุษย์คนแรก จากคนป่าขึ้นมานะมันเริ่มสังเกตเห็นว่ามีสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ต้องทำไม่ทำแล้วก็จะตายหรือลำบากนะ มัน ๆ มันก็หลุดปากออกมาว่าธรรมะ ๆ ถ้าเป็นภาษาไทยก็ว่าหน้าที่ ๆ หน้าที่ เดี๋ยวนี้เป็นภาษาอินเดียครั้งกระโน้นมันก็ใช้คำว่าธรรมะ ๆ เออคำว่าธรรมะกับคำว่าหน้าที่นั้นนะเป็นคำ ๆ เดียวกันต่างกันแต่ภาษา หน้าที่คือสิ่งที่ช่วยให้รอด เออธรรมะคือสิ่งที่ช่วยให้รอด มันต่างกันคนละภาษา แต่ที่เป็นสิ่ง ๆ เดียวกันคือการกระทำ (นาทีที่ 1.01.50.6) ตามหน้าที่ที่ช่วยให้รอดและมันเป็นกฎของธรรมชาติ ที่ว่าแกจะต้องทำอย่างนี้ ๆ นะมันจึงจะเกิดความรอด เออแต่ไอ้คน ๆ นั้นมันรู้เพียงขั้นแรก รู้หน้าที่ ความรอดเออหน้าที่เพื่อความอยู่รอด ๆ ๆ รอดกันเท่าที่เขารู้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็คือรอดชีวิต ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่ และเขาสอนกันเรื่องหน้าที่ สอนผู้อื่นเรื่องหน้าที่ เกิดมีครูบาอาจารย์เป็นก๊ก เป็นหมู่สอนเรื่องหน้าที่แปลกออกไป แปลกออกไปแต่ก็เรียกว่าธรรมะทั้งนั้นแหละไม่ได้เรียกด้วยคำอื่น ธรรมะคือหน้าที่ ยืนยาวมาสืบมาจนถึงพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นก็สอนเรื่องหน้าที่ ไม่ได้สอนเรื่องอะไร สอนเรื่องหน้าที่ เออเขาสอนว่าหน้าที่อันสูงสุดที่จะหลุด ๆ พ้นนั่นแหละเป็น ๆ เรื่องที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้าหน้าทีทำมาหากินเออรอดทางกายนี่ท่านก็ไม่ค่อยจะได้สอนเพราะเขาสอนกันอยู่แล้วเพียงแต่สอนประกอบกันเข้าให้มันสำเร็จได้โดยง่ายขึ้นให้มันสบายมากขึ้นก็พูดถึงบ้างเหมือนกัน เออสอนเรื่องของคฤหัสถ์ ฆราวาสธรรมก็สอนบ้างเหมือนกันแต่เป็นส่วนน้อย สอนหน้าที่โดยตรงที่จะดับทุกข์สิ้นเชิงทางจิตใจก็เรียกว่าธรรมะ ๆ อยู่นั่นเอง ดังนั้นคำว่าธรรมะ ๆ นี้มันหมายถึงหน้าที่ ใช้พูดกันมาตั้งแต่คนป่า คนแรกเริ่มสังเกตเห็นสิ่งนี้แล้วเรียกว่าหน้าที่แล้วก็บอกเพื่อนฝูงกันให้รู้ว่าหน้าที่ หน้าที่ แล้วก็ใช้กันมาจนถึงครั้งพุทธ พุทธกาลก็ใช้คำว่าธรรมะ ๆ คือคำพูดเรื่องหน้าที่ อย่างครั้งพุทธกาลเขาไม่ได้ใช้คำว่าท่านถือศาสนาอะไร ไม่ได้พูดอย่างนั้น เออแต่ท่านก็จะพูดคำว่าท่านชอบธรรมะของใคร ท่านชอบคำสอนเรื่องหน้าที่ของใคร เออคนหนึ่งก็ว่าฉันชอบธรรมะของเออพระสมณโคดม บางคนก็พูดว่าชอบธรรมะของนิคัณฐนาฏบุตร บางคนก็พูดว่าฉันชอบธรรมะของสัญชัย เวลัฏฐบุตร แล้วแต่ว่าครูบาอาจารย์เจ้าลัทธิศาสดาใหญ่ ๆ จะมีอย่างไร เขาชอบอย่างไร นั่นแหละคำว่าธรรมะ ๆ ก็ยังใช้มาจนบัดนี้ว่าธรรมะ ๆ คือหน้าที่เพื่อความรอด ถ้าจะแปลกันกว้าง ๆ ก็ธรรมะคือหน้าที่เพื่อความรอด พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบแล้วสอนเรื่องหน้าที่ ค้นพบหน้าที่เพื่อความรอดแล้วก็สอนเรื่องหน้าที่ เออพระธรรมก็คือเรื่องหน้าที่อยู่ในรูปหลักวิชาเป็นปริยัติก็ได้ อยู่ในรูปปฏิบัติเป็นปฏิบัติก็ได้ อยู่ในรูปผลเป็นปฏิเวธก็ได้ เป็นเรื่องหน้าที่ทั้งนั้นเลย พระธรรมคือหน้าที่ ทีนี้พระสงฆ์ก็คือผู้ปฏิบัติประสบความสำเร็จในเรื่องของหน้าที่ ทีนี้อาตมาก็ขอร้องว่าจงมีเออพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ มีพระสงฆ์เป็นพี่ ในวันมาฆบูชานี้มันประกอบพร้อมกันทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราก็มีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ เปิดเผยพระธรรม พระธรรมทำให้เกิดเราในสภาพอย่างนี้ขึ้นมาใหม่เออโดยโอปปาติกะกำเนิด พระธรรมจึงเป็นแม่ เออพระสงฆ์ทั้งหลายเกิดก่อนเรา เดินไปได้ ทำตัวอย่างให้ดูจึงเป็นพี่ ให้เราพุทธบริษัททุกคน ๆ ทุกคนนะมันมีพระพุทธเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ เออทำได้อย่างนี้แล้วก็จะสมกับที่เป็นพุทธบริษัทคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ธรรมะแปลว่าหน้าที่ เออพระพุทธเจ้าคือพ่อ สอนเรื่องหน้าที่ พระธรรมคือแม่ คือหน้าที่ ๆ ต้องปฏิบัติและคลอดเราออกมาเป็นผู้มีเออความสำเร็จประโยชน์พ้นจากปัญหา พ้นจากความทุกข์ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ เมื่อสองสามวันนี้ก็ได้พูดเออคำปราศรัยว่าปัญหาทั้ง ๆ หมดในโลกทุกปัญหาแก้ได้ด้วยเราเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ เราเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเคารพ สิ่งนั้นคืออะไร เออสิ่งนั้นคือหน้าที่ สิ่งนั้นคือธรรมะ สิ่งนั้นคือหน้าที่ ที่เคยอ่านพุทธประวัติมาแล้วก็คงจะได้ผ่านข้อความนี้ ข้อความที่ว่าพอพระพุทธเจ้าตรัสรู้เสร็จแล้วใหม่ ๆ ท่านคำนึงถึงว่าต่อไปนี้จะเคารพใคร ทบทวนไปทบทวนเอ้า..เคารพธรรมะที่ตรัสรู้คือเรื่องหน้าที หน้าที่ที่ต้องทำให้ถูกต้อง ถ้าว่าเป็นผู้พ้นจากความทุกข์ไม่มีปัญหาแล้วไอ้หน้าที่ก็กลายเป็นว่าจะสอนผู้อื่นให้รู้หน้าที่นั่นเอง พระพุทธองค์ทรงเคารพหน้าที่อย่างสูงสุดและก็เออเพื่อจะสอนผู้อื่นซึ่งเป็นหน้าที่ของพระองค์ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่เป็นพระพุทธเจ้าแหละ ก็คิดก็คิดว่าอย่างนั้น คิดดูเอง ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงเคารพธรรมะคือหน้าที่ของพระพุทธเจ้า กระทั่งว่าเคารพไอ้หน้าที่นี้เป็นความจริง เป็นของจริง ดับทุกข์ได้จริงนี้ก็เคารพ แต่ว่าหน้าที่ของพระองค์คืออย่างไร ก็คือให้ทำให้ผู้อื่นรู้หน้าที่ ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงเสียสละทุกอย่างทุกประการเพื่อจะทำไอ้..เออสัตว์ทั้งหลายให้รู้หน้าที่ ให้รู้หน้าที่เพื่อความรอดทั้งทางกายและทางจิต มิฉะนั้นมันตาย พระพุทธเจ้าเออหัวรุ่งก่อน ๆ สว่างนะทำหน้าที่ใคร่คราญว่าวันนี้จะไปโปรดใคร ที่ไหน พระองค์ก็ได้แต่ท่องเที่ยวไปมาเห็นอยู่รู้อยู่เรื่อย ๆ อยู่ว่าวันนี้ใครมัน ๆ มัน ๆ ครวญจะไปโปรด พอสว่างขึ้นก็ไปทางนั้นเพื่อมีโอกาสที่จะพบกับบุคคลนั้นและได้พูดจากัน เออจะเป็นเดียรถีย์ก็ได้ ที่เป็น ๆ ปรปักษ์ก็ได้ ถ้าเห็นว่ามันคงจะเออเข้าใจได้หรือจะสำเร็จประโยชน์จะเป็นชาวนาก็ได้ หรือจะไปพูดกับชาวนาสอนกันทำนาอมตะอย่างนี้ก็มี (นาทีที่ 1.09.27) ไปเพื่อได้มีโอกาสพบปะ ไปรับอาหารบิณฑบาตเป็นโอกาสให้นั่งสนทนาจนสาย จนเที่ยงอะไรก็ได้ เออท่านทำหน้าที่ พอเย็นลง “สายัณเห ธัมมเทสนัง” เทศนาโดยทั่วไปใครไปฟังก็ได้ "ปะโทเส ภิกขุโอวาทัง" หัวค่ำ ๆ ก็สอนภิกษุ แสดงธรรมแก่ภิกษุเป็นประจำ “อัฒฑรัตเต เทวปัญ-หะนัง” ดึก ๆ สอนคนชั้นสูงเรียกว่าแก้ปัญหาของเทวดา ๆ ในที่นี้อย่างน้อยก็หมายถึงพระเจ้าแผ่นดินทั้งหลาย มีเรื่องอยู่ในพระบาลีนั้นแล้วว่าพระเจ้าแผ่นดินจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้านั้นไปเวลาดึกทั้งนั้นต้องยกกองทัพคบเพลิงไปโน่น เออเทวปัญหะนัง จะเป็นเทวดามาจากบนฟ้าก็ได้ นั่นไม่รู้แต่ว่าที่เห็นอยู่ ปรากฏอยู่เป็นของจริงก็คือพระราชา มหากษัตริย์ทั้งหลายไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเวลาดึกเวลาเออเลยหัวค่ำไปแล้ว ทีนี้ก็เหลือจากนั้นก็ทรงพักผ่อน หน่อยหนึ่งพอ จากหัวรุ่งก็นึกถึงคนที่วันพรุ่งนี้จะไปโปรด ๆ ใครอีกนั่นแหละ อย่าเข้าใจว่าไปโปรดสัตว์นั้นคือไปขออาหารฉัน เดี๋ยวนี้พวกเรามักจะใช้ว่าโปรดสัตว์ โปรดสัตว์คือไปบิณฑบาต มันไม่ใช่อย่างนั้น มันมีมูลแต่ว่าตั้งใจจะไปโปรดให้มันรู้ธรรมะท่านจึงไปบิณฑบาตที่นั่น การไปบิณฑบาตจึงกลายเป็นโปรดสัตว์เออไป แต่โดยเจตนาแท้จริงจะไปหาโอกาสเพื่อให้คนนี้มันรู้เรื่องความดับทุกข์ให้จนได้ นี้เราเรียกว่าโปรดสัตว์ ท่านทำหน้าที่ไม่หยุดหย่อนอย่างนี้ ซึ่งท่านไม่ต้องทำก็ได้ แต่ท่านก็ต้องทำหน้าที่หรือปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าคือทำหน้าที่สอนสัตว์ พระพุทธเจ้าทรงเคารพหน้าที่ เออแล้วเป็นยังไง ทุกคนก็รู้ธรรมะเจริญรุ่งเรืองมาจนบัดนี้เพราะพระพุทธเจ้าท่านทำหน้าที่และท่านก็เคารพหน้าที่ เออแต่เดี๋ยวนี้ไอ้พวกเรามันเหลวไหล มันเคารพพระพุทธเจ้า เออแต่มันไม่เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพคือหน้าที่ มันเคารพพระพุทธเจ้าแต่มันไม่ทำหน้าที่ ไม่ทำตามหน้าที่คือไม่รพ..ไม่เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ มันอยากจะเล่นไพ่ มันอยากจะกินเหล้า มันอยากจะทำอะไรท้าทายเสียอีกแล้วมันเคารพพระพุทธเจ้า ปากมันว่าเออเคารพพระพุทธเจ้าแต่แล้วมันก็ไปใช้กินเหล้า เออไปพูดโกหก ไปพูดหลอกลวง เออทำทุจริตทางวาจา ทางกาย มันไม่เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพทั้งที่มันเป็นพุทธบริษัท เคารพพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เราจะพูดให้กว้างออกไปทั้งโลก ทั้งจักรวาลเลยว่าถ้าทุกคนทำหน้าที่เท่านั้นแหละ เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพขึ้นมาทันทีแหละ แล้วโลกนี้ก็จะหมดปัญหา ไม่ว่าโลกไหนโลกมนุษย์ โลกเทวดา โลกมาร โลกพรหม โลก..จะมีสักเก็บกี่โลกก็สุดแท้มันจะหมดปัญหาถ้าว่าเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพคือเคารพหน้าที่ เคารพหน้าที่ คนมันเคารพหน้าที่กันน้อยเกินไปเออมันจึงได้ยากจน ที่จะไปพัฒนาคนยากจนในถิ่นยากจนนั่นจงไปสอนให้เขาเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพคือหน้าที่ ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ทำหน้าที่ให้สนุก ทุกคนทำหน้าที่ ทุกชีวิตทำหน้าที่แล้วโลกนี้ก็จะรอดโดยประการทั้งปวง เดี๋ยวนี้มันมีคนเป็นอันมากมันไม่ทำหน้าที่เสร็จแล้วมันเอาเปรียบอันนี้พร้อมสิทธิโดยไม่ต้องทำหน้าที่ มันจะเอานั่นเอานี่โดยที่ไม่ต้องทำหน้าที่ บางทีมันจะเรียกร้องให้คนอื่นช่วยโดยที่มันเองไม่ต้องทำหน้าที่ อย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ ไปสอนให้เขารู้จักหน้าที่คือสิ่งสูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใด พอทำหน้าที่นั้นนะคือมีธรรมะ มีธรรมะ ๆ ก็ช่วย ถ้าไม่ทำหน้าที่เทวดาสักฝูงมันก็ช่วยไม่ได้ ให้เทวดาชั้นพระเป็นเจ้ามาสักฝูงมันก็ช่วยไม่ได้ถ้ามันไม่ทำหน้าที่ เออพอมันทำหน้าที่ ไอ้หน้าที่มันก็กลายเป็นพระเจ้าขึ้นมาช่วยทันทีเลย ช่วยทันทีเลย หน้าที่ที่ทำจะกลายเป็นพระเจ้าขึ้นมาช่วยทันทีเลย พระเจ้าไม่ช่วย ไม่ช่วยคนที่ไม่ทำหน้าที่แม้แต่มี แต่ถ้าคนมันไม่ทำหน้าที่แล้วก็พระเจ้าก็ช่วยไม่ได้นะและพระเจ้าก็ช่วยไม่ได้นะเพราะมันไม่ทำหน้าที่ เพราะมันต้องทำหน้าที่ที่ถูกต้องพระเจ้าจึงจะช่วย ดังนั้นเรามามองเห็นกันว่าหน้าที่คือสิ่งสูงสุดจนพระพุทธเจ้าก็เคารพ เมื่อเราเคารพพระพุทธเจ้าก็จงเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าก็ทรงเคารพ ก็คือหน้าที่ เดี๋ยวนี้เรไรมันก็ร้องอยู่ มันเคารพหน้าที่ถึงเวลามันก็ร้อง แต่คนเป็นอันมากจะไม่อย่างนี้สิ สู้เรไรนี่ก็ไม่ได้ ถ้าหมามันทำหน้าที่เห่าเฝ้าบ้านเต็มที่มันก็มีผลดี ถ้าแมวมันจับหนูเต็มที่ตามหน้าที่มันก็มีผลดี ถ้าไก่มันขันตามเวลาตรงตามหน้าที่มันก็มีประโยชน์ มันต้องทำหน้าที่มันจึงจะแก้ปัญหาได้ให้ชีวิตทุกชีวิตทำหน้าที่ ทำหน้าที่ คนก็ทำหน้าที่ของคน สัตว์ก็ทำหน้าที่ของสัตว์ ต้นไม้ต้นไร่นี่ก็ทำหน้าที่ของมันอยู่ตลอดเวลาแต่คนมันไม่เห็น มันไม่รู้สึกว่าต้นไม่ทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลา เรียนมาในหนังสือวิทยาศาสตร์ว่าต้นไม้นี่มันก็ปล่อยอ๊อกซิเย่นตลอดวัน ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดคืน ถ้ามันไม่ทำหน้าที่ทั้งวันทั้งคืนมันจะเอาแต่ไหนมาปล่อยหละ มันจะเอามาแต่ไหนปล่อยหละ ว่าอย่างนี้ก็แปลว่ามันทำหน้าที่ตลอดทั้งวันทั้งคืนแหละ เออคนมันจะไม่อย่างนั้นนะ มันไม่อยากจะทำหน้าที่แต่มันอยากจะเอาสิทธิเรียกร้องนะ อย่างนี้มันไม่ยุติธรรมมันไม่ ๆ มันไม่ควรจะอยู่ในโลกแล้วเพราะว่าถ้ามันอยู่ในโลกมันต้องทำหน้าที่ ทำหน้าที่นั่นคือปฏิบัติธรรมะคือหน้าที่ ไม่ ๆ ทำหน้าที่มันก็ตายนะ เพราะฉะนั้นไอ้หน้าที่ก็คือชีวิต หน้าที่เป็นตัวชีวิต เออใครพูดว่าหน้าที่เป็นคู่ชีวิตอาตมาว่ายังน้อยไป ไอ้หน้าที่ก็คือตัวชีวิตพอไม่ทำก็ตายเท่านั้น ในร่างกายนี้ประกอบอยู่ด้วยเซลล์เล็ก ๆ กี่ล้าน ๆ เซลล์ก็ตามใจทุกเซลล์ทำหน้าที่ แล้วมันก็ไม่ตาย มันก็ทำให้อวัยวะของเรานี่ร่างชีวิต ร่างกายมันอยู่ได้ ถ้าเป็นมือ เป็นตีน เป็นปาก เป็นจมูกก็ต้องทำหน้าที่ เป็นปอด เป็นหัวใจมันก็ต้องทำหน้าที่ ทำหน้าที่ ทำหน้าที่แล้วมันก็ไม่ตาย มันก็อยู่ได้ มันอยู่ได้โดยหน้าที่ เมื่อรวมกันเป็นคนทั้งคนอย่างนี้ก็ต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้องแล้วมันก็จะรอดจากทุกข์ทั้งทางกาย ทั้งทางจิต นี่ขอฝากไว้ เออมาประชุมกันวันนี้ ปีนี้ขอฝากไว้ว่าจงทำหน้าที่ให้ถูกต้อง นั่นนะคือพุทธบริษัทที่แท้จริง ที่ไหนมีการทำหน้าที่ที่นั้นมีธรรมะ เมื่อไหร่มีการทำหน้าที่เมื่อนั้นมีธรรมะ อิริยาบถไหนเป็นการทำหน้าที่อิริยาบถนั้นมีธรรมะ ธรรมะอยู่ที่หน้าที่ หน้าที่อยู่ที่ธรรมะ ก็มันเป็นสิ่งเดียวกัน ถ้าในโบสถ์ไม่ทำหน้าที่มีแต่สั่นเซียมซี มีแต่นั่งอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโบสถ์นั้นไม่มีธรรมะ กลางทุ่งนาไถนาอยู่โครม ๆ มันมีธรรมะเพราะทำหน้าที่ หน้าที่ทั้งควาย หน้าที่ทั้งเจ้าของควายหรือชาวนามันทำหน้าที่มันก็มีธรรมะอยู่กลางนา ในโบสถ์กลับไม่มีธรรมะเพราะมันไม่ทำหน้าที่ นี่มันเป็นมากถึงอย่างนี้ขอให้เข้าใจอย่างนี้ เป็นอันว่าทุกหน้าที่ขอให้ทำอย่างดีที่สุดแบ่งเป็น ๓ หน้าที่ก็ได้ หน้าที่หาเลี้ยงชีวิต ทำไร่ทำนา ทีนี้บริหารชีวิตประจำวัน กินข้าว อาบน้ำและก็หน้าที่สังคมกับเพื่อนมนุษย์ให้ถูกต้อง หน้าที่หาเลี้ยงชีวิตก็เป็นธรรมะหาเลี้ยงชีวิต ชาวนาทำนา ชาวสวนทำสวน พ่อค้าค้าขาย ข้าราชการทำราชการ กรรมกรทำกรรมกร แม้คนขอทานก็นั่งขอทานให้ถูกต้องทำหน้าที่ของคนขอทานให้ถูกต้องแล้วมันก็จะรอดเหมือนกัน กรรมกรทำหน้าที่แจวเรือจ้าง กวาดถนน ล้างท่อถนนอะไรก็ตามเถิด ถ้าเขารู้ว่าเป็นธรรมะ ๆ แล้วเขาจะพอใจที่เหงื่อออกมาก็เรียกว่าถูกต้องแล้วมันเป็นการพิสูจน์ว่าเราไม่บกพร่องในหน้าที่แล้ว พอใจชื่นใจที่เหงื่อออกมา เหงื่อก็กลายเป็นน้ำมนต์เยือกเย็นรดอาบ ๆ รดให้สบายใจชื่นใจ ถ้าไม่อย่างนั้นมัน ๆ กลายเป็นตรงกันข้าม เหงื่อมันก็จะกลายเป็นน้ำร้อน เหงื่อมันจะกลายเป็นน้ำนรกบอกว่ามาทนทำอย่างนี้อยู่ทำไม ไปปล้น ไปจี้ ไปขโมยไปอะไรดีกว่านะ เออพวกอันธพาลพอเหงื่อออกมาก็คิดไปจี้ ไปปล้นดีกว่า แต่ถ้าคนมีธรรมะมันก็เหงื่อออกมาก็พอใจ เออเพราะมันพิสูจน์ว่ามีธรรมะจริง นี่ดูเถิดอันธพาลมันเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะว่ามันไม่ชอบหน้าที่ที่ถูกต้องของวิญญูชน มันเลยเกิดหน้าที่ของอันธพาล ปล้น จี้ไปตามเรื่องในที่สุดมันก็ได้รับผลไปอยู่ในคุก ในตะรางหรือมันต้องถูกประหารชีวิต เป็นต้น เออเพราะมันไม่ทำหน้าที่หรือมัน ๆ ไม่ ๆ ทำหน้าที่ที่ถูกต้องแต่ไปทำหน้าที่ของอันธพาลซึ่งในที่นี้ไม่เรียกว่าธรรมะ ถ้าขืนเรียกว่าธรรมะก็ต้องว่าธรรมะของอันธพาล เออธรรมะของอันธพาลนี่เราเอาด้วยไม่ได้ เอาด้วยไม่ไหว ไม่ต้องพูดกัน พูดกันแต่ธรรมะที่ถูกต้องคือช่วยให้รอดได้จริง นี้ธรรมะหาเลี้ยงชีวิตทำนาชื่น..ชาวนาชื่นใจเมื่อทำนา ชาวสวนชื่นใจเมื่อทำสวน พ่อค้าค้าเออชื่นใจเมื่อค้าขาย ข้าราชการชื่นใจเมื่อปฏิบัติหน้าที่ราชการ จนกระทั่งนั่งขอทานก็มีความสุข ความพอใจเพราะทำหน้าที่ถูกต้อง เออสภาพจำเป็นทำให้เราต้องมีอาชีพขอทานเออเราก็พอใจ แต่ขอให้มีความพอใจเป็นสุขเมื่อกำลังทำหน้าที่ ไม่ใช่ว่าทำหน้าที่แล้วถึงเวลาแล้วได้เงินแล้วไปซื้อเหล้ากิน ไปกามารมณ์กันให้สุดเหวี่ยง อย่างนั้นมันผิดหมดแล้ว ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงมันมีเมื่อกำลังทำหน้าที่ด้วยความรู้สึกว่านี่ถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้วเป็นธรรมะแล้ว ถูกต้องแล้วพอใจ พอใจ เป็นสุขเมื่อกำลังทำหน้าที่นะไม่ ๆ ไม่ต้องเพิ่มงานอีก อะไรมากกว่านั้นอีก ไม่ต้องเสียเงินด้วย ทำหน้าที่ ทำหน้าที่พอใจว่านี้คือธรรมะแล้วเป็นสุข เป็นสุขเมื่อกำลังทำหน้าที่ ใครทำได้นี่อยากจะถามว่าทั้งหมดนี่ใครทำได้เป็นสุขเมื่อกำลังทำหน้าที่ เมื่ออาบเหงื่ออยู่ ใครทำได้ ดังนั้นคนโบราณที่เขาไม่ ๆ ละโมบโลภลาภ ไม่ ๆ ไม่ ๆ เป็นทาสของกิเลสมากนักนะเขาทำได้ เห็นชาวนาไถนาอยู่กลางแดดเหงื่อไหลยังยิ้มกริ่มอยู่ เดี๋ยวนี้สภาพอย่างนั้นไม่ค่อยมีแล้วเพราะมันเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว ไม่มีใครอยากทำนาแล้ว ไทนา..ไถนาอยู่กลางแดดยิ้มกริ่มอยู่ อาตมาเดินเฉียดเข้าไปแล้วถามว่าแล้วเขาก็บอกว่าอย่าทำ..เออจะทำ..เออเอาข้าวทำ..ทำข้าวใส่บาตรสักช้อนสิเจ้าเอ๋ยเพื่อเอาข้าวใส่บาตร ทำนานี่เพื่อเอาข้าวใส่บาตร เออไม่ใช่ทำนาเพื่อเอาเงินไปซื้อเหล้ากินเหมือนคนสมัยนี้ เหมือนคนสมัยนี้ เออมันทำนาเพื่อจะเอาเงินไปซื้อเหล้ากิน ไปกามารมณ์ ไปเพลิดเพลิน ไปบ้าบออะไรของมัน มันจะทำนาเพื่อว่าการบุญ การกุศลบำรุงศาสนาให้มีอยู่เป็นที่พึ่งของโลก นี่มันไม่รู้ความหมายของหน้าที่ มันก็ไม่ชื่นใจในหน้าที่ ถ้ารู้ว่าหน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้รอดฉะนั้นหน้าที่ก็คือพระเจ้าคือพระเป็นเจ้าที่ช่วยให้รอดก็อิ่มใจ ๆ ไปพราง ทำหน้าที่ไปพราง อิ่มใจไปพราง ทำงานไปพราง มันก็เท่ากับขึ้นสวรรค์หรืออยู่ในสวรรค์ไปพราง ทำงานไปพราง คนเดี๋ยวนี้มันบ้าวัตถุมันไม่อยากจะทำ แต่ความจำเป็นบังคับให้ทำมันก็ฝืนใจทำ ไม่อยากทำ ฝืนใจทำ มันก็ตกนรกไปพราง ทำงานไปพราง ตกนรกไปพรางเออทำงานไปพราง สมน้ำหน้ามัน ขอโอกาสพูดคำหยาบคายอย่างนี้สักหน่อยว่าสมหน้ามันที่มันจะได้ตกนรกไปพราง ทำงานไปพราง ตกนรกไปพราง ทำงานไปพราง ถ้ามันมีความรู้ ความคิดที่ถูกต้องมันจะขึ้นสวรรค์หรืออยู่ในสวรรค์ไปพราง พอใจไปพราง อิ่มใจไปพราง ทำงานไปพราง มีสวรรค์ไปพราง ทำงานไปพรางกับที่ว่าตกนรกไปพราง ทำงานไปพราง มันต่างกันกี่มากน้อยหละ เออแล้วมันจะไม่เป็นโรควิกลจริต เป็นบ้ามากขึ้น ฆ่าตัวเองตายมากขึ้นได้ยังไงเพราะมันผิดกันไปหมดแล้ว มันผิดหลักไปหมดแล้ว ขอให้สังเกตดูให้ดี ๆ ดังนั้นก็ขอให้เราได้ทำงานพราง ขึ้นสวรรค์ไปพราง เออหมายความว่าพอใจตัวเอง พอใจตัวเอง พอใจตัวเอง มองดูที่ไหน เมื่อไรพอใจตัวเอง ยินดีตัวเอง อิ่มใจตัวเอง เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ เป็นสวรรค์ถึงที่สุดเมื่อยกมือไหว้ตัวเองได้ ใครทำได้กี่คน ใครเคยทำ ที่นั่งอยู่ที่นี่ใครเคยยกมือไหว้ตัวเองบ้าง อาตมาอยากจะถามอย่างนั้น เออถ้ายกมือไหว้ตัวเองก็เป็นสวรรค์ เออพอมองดูตัวเองแล้วชักจะเกลียดชักจะชังน้ำหน้านั่นนะคือนรกเดี๋ยวนั้น ที่นั่นเลย เออมันเกลียดตัวเอง เคารพตัวเองไม่ได้ มองเห็นตัวเองเป็นที่น่ารังเกียจเมื่อไร มีบาป มีความชั่วอยู่ มันก็ตกนรกทันที นี่นรกแบบแท้จริงของพระพุทธเจ้า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ปู่ย่า ตายาย ของเราเคยฉลาดจนพูดประโยคนี้ไว้ได้ว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ แต่ลูกหลานมันบรมโง่ บรมโง่ สวรรค์อยู่บนฟ้า นรกอยู่ใต้ดิน ลูกหลานมันยิ่งโง่กว่าปู่ย่า ตายาย เมื่อพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในอินเดียเขาสอนเรื่องนรกบน..เออใต้ดิน สวรรค์บนฟ้าอยู่ก่อนแล้ว ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดนะ คำสอนเรื่องนี้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ที่พูดว่านรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนยอดสุดฟ้านะเขาสอนอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า เออพระพุทธเจ้าท่านเกิดขึ้นมาในหมู่คนที่มันมีความเชื่ออย่างนี้ แต่ท่านเห็นอะไรมากกว่านั้นแต่ท่านไม่ขัดคอและท่านไม่ขัดคอ เรื่องนี้สำคัญมากจะต้องขอพูดหน่อย พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในหมู่ชนที่เขามีความเชื่ออย่างอื่นซึ่งรับไม่ไหวนั่นแหละแต่ท่านไม่ ๆ แย้ง ไม่ขัดคอ ไม่ขัดคอ ไม่ไปบอกว่าผิด ๆ ๆ ให้ละเสีย ท่าน ไม่ทำอย่างนั้น ไม่ใช่วิสัยของพระพุทธเจ้า เออท่านกลับไปบอกว่าถ้าอยากจะไปสวรรค์ให้ไปปฏิบัติอย่างนี้ ๆ สวรรค์บนฟ้าของแกนั่นแหละคือถือ ปุถุชนกรรมบท (นาทีที่ 1.27.16.2) หรือถือศีล ถืออะไรแล้วก็ไปสวรรค์ ทำอกุศลกรรมบทแล้วก็ไปนรก ท่านไม่ยกเลิกสวรรค์ นรกเหล่านั้น ท่านก็ฉวยให้มันเข้ารูปเข้ารอยกัน แต่อีกทางหนึ่งเมื่อคนมันมีปัญญา มีปัญญาพอที่จะเข้าใจได้ท่านบอกว่า ฉันเห็นแล้วเออนรกอยู่ที่อายตนะ สวรรค์อยู่ที่อายตะคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อทำผิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นรกก็เกิดขึ้นที่นั่น เมื่อทำถูกที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สวรรค์ก็เกิดขึ้นที่นั่น มะญา..(นาทีที่ 1.27.50.6) ฉันเห็นแล้ว ฉันเห็นแล้ว ฉันบอกแก ๆ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ช่างเถอะ เดี๋ยวนี้เราก็ยังเชื่อนรก สวรรค์อย่างแบบที่เขาเชื่อกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้านั่น ไอ้นรกเออที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไม่มีใครสนใจใช่ไหม มันไม่ควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจกันเลย แล้วมันยังโง่เออกว่าตายายตายไปแล้วว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ตายายของเราเคยฉลาดถึงเพียงนั้น เข้ารูปเข้ารอยกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ลูกหลานมันกลับโง่เออไปเชื่ออย่างก่อนโน้นก่อนพระพุทธเจ้าเกิดแล้วก็ไม่ได้สำเร็จประโยชน์อะไร ไม่ได้รับประกันอะไร ไม่จริง ไม่จริง ไม่สันทิฏฐิโกว่าทำผิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นรกก็เกิดขึ้น ทำถูกตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สวรรค์ก็เกิดขึ้น นี่พระพุทธเจ้าท่านไม่แย้ง ไม่คัดค้านไอ้ที่เขาเชื่อกันอยู่ เรื่องอื่นอีกมาก ๆ มายหลายเรื่อง กรรมก็ดี เรื่องอะไรก็ที่ดีที่เขาสอนกันอยู่ก่อน ๆ นั้นนะท่านไม่คัดค้าน ท่านไม่แย้ง เรื่องตายเกิด ตายไม่เกิดก็ไม่ ๆ ๆ ไม่คัดค้าน ไมแย้ง พูดให้มันเออเป็นเรื่องสองข้างถ้าเห็นด้วยก็เอา เออที่ว่าจะขอพูดเป็นคำสำคัญ..เรื่องสำคัญเป็นเรื่องคือไม่ขัดแย้ง พระพุทธเจ้าแท้ ๆ ท่านยังไม่ขัดแย้งกับคนเหล่านั้น เออคำว่าขัดแย้ง ขัดแย้งถ้าเรียกเป็นภาษาบาลีคืออุปัทวะ อุปัทวะ ก็ขัดแย้ง กระทบกระทั่งเรียกว่าอุปัทวะ ภาษาไทยเราเรียกว่าอุบาท อุบาท เออคำว่าอุบาทแปลว่าขัดแย้ง กระทบกระทั่ง อย่ามีการขัดแย้ง กระทบกระทั่งให้มันอยู่เพียงทำความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่าให้เลยขึ้นมาเป็นการขัดแย้งและกระทบกระทั่งมันจะกลายเป็นอุบาท พระพุทธเจ้าจึงมีความสะดวกสบาย ปลอดภัยเออสอน ๆ ศาสนาของพระองค์อยู่ได้จนกระทั่งอายุขัย ๘๐ ปีคือสอนอยู่ได้ตั้ง ๔๕ ปีก็ไม่มีการขัดแย้ง ไม่ถูกทำร้ายถูกอะไรเออจากลัทธิฝ่ายตรงกันข้าม ท่านก็ตรัสไว้เป็นคำตรัสว่า "ตถาคตไม่กล่าวคำขัดแย้งกับใคร ๆ ในโลกพร้อมทั้ง เทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์" ไม่กล่าวคำขัดแย้งกับใคร ๆ เออแต่เดี๋ยวนี้สาวกของพระพุทธเจ้ามันนอกรีด นอกรอย นอกคอกเออมันชอบความขัดแย้ง มันชอบความขัดแย้ง ไม่หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ฉะนั้นขอให้พยายามหลีกเลี่ยงการขัดแย้ง ไม่ต้องทะเลาะวิวาทด้วยทางวาจาหรือโดยทางกายหรืออะไร ทำความเข้าใจ พยายามทำความเข้าใจเมื่อมันยังทำความเข้าใจกันไม่ได้ก็อย่าทำการขัดแย้ง ปล่อยให้มันคาราคาซังไว้ก็ไม่ต้องขัดแย้งกันถึงด่ากัน ลงไม้ลงมือกัน อะไรกัน พวกเรามันจึงมีเอออุปัทวะคือด่ากัน ลงไม้ลงมือกัน ขัดแย้งวิวาทกัน นี้ผิดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างยิ่งข้อหนึ่งคือข้อสำคัญ แม้ว่าจะไม่มีอยู่..บัญญัติอยู่ในเรื่องศีล เรื่องสิกขาบทอะไรก็ตาม แต่มันก็มีอยู่ในตัวเพราะพระองค์ก็ได้ตรัสอย่างนั้นว่าตถาคตไม่กล่าวคำขัดแย้งกับผู้ใดในโลก ดังนั้นขอให้ถือเป็นหลักว่าจะไม่มีการขัดแย้ง แม้แต่ทางจิตใจก็ไม่ไปขัดแย้ง ทางวาจา ทางกายก็ไม่ไปขัดแย้ง เออขอให้หา..คอยหาโอกาสทำความเข้าใจเพราะว่าทุกคนมีความโง่อยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามีการขัดแย้งแล้วไอ้ความโง่นะมันออกไปขัดแย้ง เออเพราะว่าถ้าความฉลาดมีมันก็หาทางทำความเข้าใจ ถ้าความโง่มีใช้ความโง่เป็นหลักมันก็ทำการขัดแย้ง ดังนั้นเดี๋ยวนี้มันจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งในโลกนี้เต็มไปด้วยการขัดแย้ง เออโลกนี้ก็เป็นโลกเออแห่งความทุกข์วิกฤตกาลแห่งเลวร้ายไม่มีสันติภาพ ธรรมชาติสร้างมาดีแล้ว พระเจ้าสร้างมาดีแล้ว มีสันติภาพ ไอ้มนุษย์สมัยนี้มันก็สร้างวิกฤตกาลขึ้นมากลบเสียหมดจนไม่มีสันติภาพโผล่ให้เห็น แล้วมันก็จะพูดกันขึ้นมาอย่างโง่ ๆ ว่าปีนี้เป็นปีสันติภาพ เฉพาะปีนี้ เรียกว่าปี เฉพาะปีสันติภาพ นั่นแหละคือความโง่ที่สุดว่าสันติภาพจะมีเฉพาะปีที่เราสร้างขึ้นมา แต่มันเป็นของธรรมชาติที่ปราศจากการปรุงแต่งด้วยอวิชชาแล้วมันเป็นสันติภาพตลอดเวลา ไม่จำกัดกาลมีเป็นพื้นฐาน มนุษย์มันมีอวิชชาเพิ่มขึ้นมันก็สร้างไอ้สิ่งเลวร้ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความขัดแย้ง มันก็ไม่มีสันติภาพจริงเหมือนกัน นี้หยุดสร้างกันสิ..หยุดสร้างวิกฤตกาลเถิดเออสันติภาพก็จะโผล่ขึ้นมาตามเดิมไม่ต้องสร้างให้โง่ ไม่ต้องไปท้าทายอวดดี จองหองกับพระเจ้าที่สร้างมาดีแล้ว มนุษย์มาทำผิดเสียเอง นี่เรียกว่าอย่าสร้างความขัดแย้งเลย เออทำ ๆ ความเข้าใจกัน ทำความเข้าใจกันไม่ได้ก็พยายามต่อไปไม่ต้องให้เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งซึ่งเป็นอุบาท เออหรือจะตรงกับคำว่าวิกฤตกาล ใช้ชื่อ..อย่างที่เขาเรียกกันทั่วไป มันจะทำโลกนี้ให้เป็นเออไม่ใช่โลกมนุษย์นะ มันเต็มไปด้วยวิกฤตกาล จิตที่บริสุทธิ์อย่างที่พูดมา ๆ แล้วนะว่าทำจิตให้ผ่องแผ้ว ในจิตที่ผ่องแผ้วจะไม่มีความคิดเรื่องขัดแย้ง ความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นในจิตที่ผ่องแผ้ว ละชั่วเสียเถิด ทำดีเถิด ทำจิตให้ผ่องแผ้วเถิด ในจิตที่ผ่องแผ้วจะไม่มีความขัดแย้ง นี่เป็นหลักสากล เป็นเออกฎธรรมชาติสากล มีจิตผ่องแผ้วไม่ทำการขัดแย้งมันก็มีสันติภาพเออเป็นหลักสากล เราคิดดูให้ดีจะต้องทำหน้าที่ ทำหน้าที่ เคารพหน้าที่ ทำมาหากินแล้วก็บริหาร ๆ ชีวิต หน้าที่บริหารชีวิต อันนี้ได้กำไรที่สุดเลยถ้าทำถูกต้อง ถ้าทำไม่ถูกต้องก็ขาดทุนที่สุด โง่เขลาที่สุด เออการบริหารชีวิต เป็นอยู่ เป็นวัน ๆ เดือน ๆ ปี ๆ ต้องบริหารชีวิต เออต้องอะไรหละ ต้องกินข้าว ต้องอาบน้ำ ต้องถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ต้องทำทุกอย่างที่เป็นการบริหารชีวิต ซึ่งทำอยู่เป็นหน้าที่ ๆ ต้องทำแล้วคนก็ไม่เห็นว่าเป็นหน้าที่หรือเป็นธรรมะ เออก็ไม่สนใจที่จะทำให้เป็นธรรมะให้ถูกต้องและพอใจนี่ เดี๋ยวนี้ขอร้องว่าจงเป็นอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะรู้ว่าหน้าที่บริหารชีวิตทุกขั้นตอนเป็นธรรมะ สติสัมปชัญญะเออทำให้ถูกต้อง ถูกต้อง เห็นชัดว่าถูกต้องด้วยตนเองแล้วก็พอใจ พอใจ พอใจในความถูกต้อง เออแล้วก็เป็นสุข เป็นสุข เป็นสุข ข้อนี้ก็เป็นกฎธรรมชาติถ้าพอใจแล้ว มันเป็นสุขนะ ไม่มีความสุขชนิดไหนที่ไม่ได้เกิดมาจากความพอใจ ถ้าพอใจโง่ ๆ ความสุขก็โง่ พอใจฉลาด ความสุขก็ฉลาด พอใจมาก สุขมาก พอใจน้อย สุขน้อย ความสุขต้องเกิดมาจากความพอใจเสมอ ดังนั้นขอให้สร้างความพอใจขึ้นมาทุกขั้นตอนที่บริหารชีวิตก็จะได้ความสุขที่แท้จริงโดยไม่ต้องลงทุนอะไรอีก ไม่ต้องลงทุนแม้แต่อีกสตางค์เดียวก็ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องเพิ่มงานอะไรอีก มันมีงานอยู่แล้ว ทำอยู่แล้ว ทำให้งานที่มีอยู่แล้วมันกลายเป็นธรรมะเสีย ตื่นนอนขึ้นมาล้างหน้า ถูฟัน มีสติสัมปชัญญะ มีสมาธิ ทำดีที่สุดมีการถูฟันเป็นอารมณ์ของสมาธิ พอใจ พอใจ เป็นสุข เป็นสุข ตลอดเวลาที่ล้างหน้าและถูฟัน ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มขึ้นอีกมันทำ มันทำอยู่แล้วแต่ทำให้มันถูก ให้มันพอใจก็เป็นสุขทั้งนั้น แต่คนโง่ทำไม่ได้ คนโง่มันมีจิตใจบ้าบออะไรมันก็ไม่รู้ว่าล้างหน้า ถูฟัน บางคนมันก็ไม่อยากจะทำ มันก็ทำเร็ว ๆ ทำลวก ๆ ไม่ได้พอใจและเป็นสุขเมื่อล้างหน้าและถูฟัน มันขาดทุนเท่าไร ถ้ามันตั้งใจทำให้ดี ถูกต้อง พอใจมันก็มีความสุขตลอดเวลาที่ล้างหน้าและถูฟัน มีความสุขแท้จริงไม่ต้องลงทุนอะไรอีก อ้าวแล้วมันไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะในห้องน้ำ สติสัมปชัญญะทำให้ดีที่สุดในฐานะเป็นหน้าที่ เป็นธรรมะ พอใจตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ มันก็กล่าวได้ว่ามีความสุขตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ว่าคนโง่มันไม่ทำนี่จะว่ายังไง มันเอาจิตใจไปอยู่ที่ไหนเสียก็ไม่รู้ซึ่งไม่ได้ประโยชน์อะไรทำหน้าที่นี้ให้ถูกต้อง ให้พอใจ มีความสุขตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะทุกขั้นตอนเลย ทุกขั้นตอนของการถ่ายจะมีกี่ขั้นตอน แล้วมันจะไปอาบน้ำทีนี้ จะต้องทำทุกขั้นตอนแหละ จะเปิดก๊อกหรือจะตักด้วยขันหรืออะไรก็ตามทุกขั้นตอน ถูขี้ไคลและก็มีขี้ไคลเป็นอารมณ์ของสมาธิ มีสติสัมปชัญญะถูขี้ไคล พอใจ พอใจ ถูกต้อง พอใจ พอใจ อยู่ที่ ๆ เป็นสุข ถูกต้องและพอใจตลอดเวลาที่อาบน้ำ มันทำได้แต่คนโง่มันไม่ทำ จะว่ายังไง มันไปคิดเป็นความทุกข์ เป็นความปรุงแต่งอะไรวุ่นวายเสียที่ไหนก็ไม่รู้ เมื่อทำหน้าที่เป็นธรรมะมันไม่ทำสน..ไม่สนใจทำให้เป็นธรรมะมันก็เลยไม่มีความสุข กินอาหารในห้องอาหาร เออหน้าที่โดยตรง เออจะทุกขั้นตอนแหละ จะหยิบจานมา จะตักข้าวใส่ จะตักใส่ปาก จะเคี้ยว จะกลืน จะอะไรก็ตามแหละให้มันถูกต้อง ให้มันบอกตัวเองได้ว่าถูกต้องเป็นธรรมะ ๆ แล้วก็พอใจ แล้วก็เป็นสุข ให้มันก็เป็นสุขตลอดเวลาที่กินอาหารนั่น ไม่ต้องลงทุนอะไรที่ไหนอีกเพราะมันกินอยู่แล้ว เพราะมันต้องกินอยู่แล้ว เออเดี๋ยวนี้มันเอาความโง่ไปทะเลาะกับความอร่อยของแกง ของกับ บางทีมันก็ด่าแม่ครัวว่าทำไม่อร่อย มันก็เป็นเรื่องไม่มีธรรมะเลยเออมันไม่ต้องเป็นอย่างนั้น (นาทีที่ 1.39.43.1) สติสัมปชัญญะกินอาหารให้ดี เคี้ยวให้ดี กลืนให้ดี ทำให้ดี ถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจตลอดเวลาที่กินอาหารมันจะได้ประโยชน์กับสุขภาพอนามัยอย่างดีด้วยและประโยชน์ทางจิตใจ ถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจมีความสุขโดยไม่ต้องลงทุนอะไรอีกเพราะมันต้องกินอาหารอยู่แล้ว เอ้าทีนี้ช่วยฟังให้ดีว่าแม้แต่จะล้างถ้วย ล้างจาน กวาดบ้าน ถูเรือนก็ขอให้ถือว่าเป็นหน้าที่ เป็นธรรมะ ล้างจาน กวาดบ้าน ล้างถ้วย ล้างจาน กวาดบ้าน ถูเรือนนะด้วยสติสัมปชัญญะ มีสมาธิอยู่ที่ไอ้ของสกปรกที่มันติดจานนะ มันหลุดออกไปก็ถูกต้อง ถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจ มีความสุข จะกวาดบ้านก็ให้จิตอยู่ที่ปลายไม้กวาด มีสมาธิอยู่ที่ปลายไม้กวาด ขยะที่อยู่ที่พื้นเป็นอารมณ์ของสมาธิ ไม้กวาดมันเคลื่อนออกไป มีความรู้สึกว่าถูกต้อง ถูกต้อง พอใจ พอใจ มีความสุขตลอดเวลาที่กวาดขยะ นี้ต่อให้ล้างส้วมอันแสนจะสกปรก เขาทำไว้สกปรก มีสติสัมปชัญญะล้าง สมาธิอยู่ที่ความสกปรกอยู่ที่น้ำที่ราด ที่เช็ดที่ถูค่อยสะอาดออกไป สะอาดออกไปบอกว่าถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องพอใจล้างส้วมสะอาดดี มีความสุขตลอดเวลาที่ล้างส้วม แต่ไม่มีใครอยากทำไอ้ส้วมมันจึงสกปรกไปหมด ยิ่งมีลูกจ้างคนใช้แล้วก็ไอ้นายมันไม่เคยล้างส้วม มันโง่มันไม่รู้จักแสวงหาความสุขโดยไม่ต้องลงทุน มันจะได้ผลทางจิตใจมีสมาธิดี มีขันติดี มีวิริยะดี อะไรดีมันไม่เอา เขาว่าแม้แต่ล้างส้วมมันก็เป็นธรรมะ เป็นหน้าที่ทำให้ดีมีความรู้สึกว่าถูกต้อง ถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจ ยิ่งรู้สึกว่าไอ้กลิ่นเหม็นก็เป็นของเช่นนั้นเอง เออสกปรกก็เป็นของเช่นนั้นเอง มันก็แก้ไขได้มันก็พอใจ พอใจและเป็นสุข ทำอย่างนี้ทุกอย่างไม่ว่าจะต้องทำอะไร แม้แต่จุดแต่ว่ามันคันจะเอื้อมมือไปเกาก็มีสติสัมปชัญญะแต่ก่อนว่ามันเป็นหน้าที่ เป็นธรรมะถูกต้องพอใจเมื่อเกาให้หายคันนี่ คนโง่มันไม่ทำหรอกแล้วมันก็โกรธ มันก็เกาอย่างความโกรธแหละมันไม่มีความเยือกเย็นไม่เป็นสุขที่แท้จริง ฉะนั้นขอให้ทุกท่านถือโอกาส พบโอกาสที่ทำหน้าที่ในการบริหารชีวิต มันจะมีอยู่กี่ขั้นตอน กี่สิบขั้นตอนในแต่ละวันก็ทำให้ถูกต้องและพอใจ เออที่เรียกว่าทำงานอาชีพ ๆ กลางทุ่งนา เออออฟฟิศอะไรก็ตามนั้นนะว่าพอใจถูกต้อง เออทีนี้ก็เป็นหน้าที่อีกอันหนึ่งคือว่าสังคมรอบด้านให้ถือหลักเออที่พระพุทธเจ้าตรัสบัญญัติไว้ว่าเป็นหลักเออทิศ ๖ ประการ สังคมนะ ๖ ทิศ พ่อข้างหน้าพ่อแม่ ข้างหลังบุตรภรรยา ข้างซ้ายเพื่อนฝูง ข้างขวาครูบาอาจารย์ เออข้างบนคือผู้อยู่เหนือพระเจ้า พระสงฆ์ พระราชา มหากษัตริย์ ผู้บังคับบัญชา เออข้างล่างคือคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นคนใช้ กรรมกรหรืออะไรก็ตาม ๖ ทิศทางนี้จงทำให้มันถูกต้องและก็จะต้องใช้ความอดทนซึ่งเป็นมูลเหตุแห่งความสำเร็จ แต่คนมันเกลียดความอดทน ความอดทนมันต้องมีฝ่ายผู้ที่ต้องการความสำเร็จไม่ใช่ว่าถ้ามีอำนาจบังคับเขาแล้วเราไม่ต้องอดทนนั้นมันคือคนโง่ ยิ่งมีอำนาจมากเท่าไร คุ้มครองปกครองคนมากเท่าไรนั้นจะต้องเป็นฝ่ายอดทนมาก เออผู้ที่อยู่เหนือจะต้องมีความอดทนมากกว่าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาและสิ่งต่าง ๆ มันจึงจะเป็นไปได้ มีปัญญาล้นฟ้าก็ตามถ้าไม่มีความอดทนแล้วไม่ประสบความสำเร็จเลย ดังนั้นยิ่งมีอำนาจมากก็จะต้องยิ่งอดทนมาก อดทนต่อเออต่อกิเลสและความโง่ของคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา นี่ช่วยจดจำไปด้วยใครมีคนอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นลูกจ้าง เป็นเออข้ารับเออราชการอะไรก็ตามที่อยู่ใต้บังคับบัญชา เรามีคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชามากเท่าไร เราจะต้องยิ่งอดทนต่อความโง่และกิเลสของคนโง่มากเท่านั้น เออที่เขาพูดกันว่าทุกข์ของพระราชา มหากษัตริย์ สมภาร เจ้าบ้าน มันมีความหมายอย่างนี้ ไม่ใช่มีความหมายตื้น ๆ อย่างที่รู้จักกัน มันต้องรู้จักอดทน ฉลาดอดทนต่อความโง่ ต่อกิเลสของคนที่มันโง่ที่มันอยู่ใต้บังคับบัญชา คนที่มันโง่มันต้องสร้างปัญหาขึ้นมาเสมอและความอดทนต้องมาอยู่ฝ่ายผู้บังคับบัญชาหรือผู้อยู่เหนือ ถ้าทำได้อย่างนี้สิ่งต่าง ๆ จะราบรื่นไปหมด จะไม่บันดาลโทสะ ตี ด่าหรือว่าทำอะไรไปตามโทสะ มันน่าแปลกหรือน่าหัวหละที่ว่าจะต้องอดทนต่อความโง่ของผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา จะเป็นครูบาอาจารย์เป็นอะไรก็ตามต้องอดทนต่อความโง่ของผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเราถ้าไม่อย่างนั้นล้มละลาย อาตมากล้าพูดอย่างนี้ จะล้มละลาย ถ้าหากว่าอดทนได้มันก็จะบังคับบัญชาไปได้อย่างราบรื่น ชักจูงกันไปได้อย่างราบรื่น ถ้าไม่อดทนโกรธกันแล้วบ่อนมันก็แตกนะ มันก็ล้มละลาย นี่จะทำหน้าที่ให้ถูกต้องในทิศทั้ง ๖ นอกจากจะมีสติปัญญาแล้วยังจะต้องอดทนเป็นอย่างยิ่งด้วย เออถ้าว่าจิตใจมันไม่มีธรรมะ ไม่ปกติ ไม่เป็นอิสระแล้วมันไม่อดทนหรอก กิเลสมันบังคับให้ทำความขัดแย้ง ล้มละลายในที่สุด ดังนั้นจิตที่ปกติ จิตที่ไม่เศร้าหมอง จิตที่ผ่องแผ้วนั้นนะมันจะทำให้อดทนได้ มันจะหัวเราะเยาะความโง่ของลูกจ้าง ลูกน้อง ลูกอะไรก็ตามได้ นี่จงทำจิตใจให้เป็นอย่างนี้ไว้ให้มาก ๆ ตามโอวาทปาติโมกข์ข้อที่ ๓ ไม่ใช่ว่าจะไปนิพพานกันอย่างเดียว แม้จะอยู่ที่นี่มันก็ต้องใช้ไอ้ข้อนี้ เออข้อที่ทำใจให้ปกติมีอิสระแต่ต่อกิเลส อย่าเข้าใจว่าข้อนี้ไปนิพพานอย่างเดียว แม้อยู่ที่นี่ก็ต้องใช้ จะต้องมีจิตใจปกติและใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด มันก็เป็นนิพพานในความหมายหนึ่ง ปริยายหนึ่ง ความหมายหนึ่งโดยอ้อม เอาหละเป็นอันว่าเราจะต้องมีการเคารพหน้าที่ทางฝ่ายรอด ๆ ทางฝ่ายกาย ประกอบอาชีพก็ดี บริหารชีวิตประจำวันก็ดี สังคมก็ดี ถูกต้องนี่รอดทางฝ่ายกาย ทีนี้เหลือรอดทางฝ่ายจิตมันก็เป็นเรื่องใหญ่มันควรจะพูดกันอีก ๒ - ๓ ครั้ง แต่รวมความแล้วก็คือศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญานะมันสำคัญอยู่ที่ปัญญาซึ่งเป็นผู้จูงทั้งหมด ศีลเป็นรากฐานให้สะดวกแก่การที่จะมีสมาธิ สมาธิเป็นรากฐานที่จะให้สามารถมีปัญญา เออครั้นมีปัญญาแล้วก็ทำถูกต้องหมด ถูกต้องหมด แม้ในเรื่องโลก ๆ จะบริหารชีวิตในโลก ๆ ก็ต้องมีปัญญา ๆ ต้องมาก่อนการกระทำใด ๆ มีศีล สมาธิ ปัญญาเท่าไรมันก็ยิ่งง่ายในการที่จะอยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง ศึกษา ฝึกฝน อบรมให้มีศีลให้ดีก็มีสมาธิดี สมาธิดีก็มีปัญญาดีคือพอเพียงที่จะดำเนินไป นั้นเป็นเรื่องความรอดในทางฝ่ายจิตก็เป็นหน้าที่ด้วยเหมือนกัน ทำมาหากินเป็นเรื่องโลก ทำชีวิตจิตใจให้อยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวงนี่เป็นเรื่องธรรมะ เออแต่แล้วมันก็ต้องเอาไอ้เรื่องปัญญาดับทุกข์ไปนิพพานมาใช้แม้ว่าอยู่ในโลกนี่ ช่วยฟังให้ดีตอนนี้ว่าคุณจะอยู่ในโลก จะทำมาหากินอย่างโลก จะบริหารอย่างโลกก็ต้องมีธรรมะสูงสุดในขั้นปรมัตถ์นะมาช่วยเออควบคุม อย่าให้มันโกรธง่าย อย่าให้มันหวั่นไหวง่าย อย่าให้มันวิตกกังวลจนนอนไม่หลับ เออให้มันรู้จักปล่อยวาง ให้อภัยเออแล้วมันก็จะไม่เกิดเป็นบ้าขึ้นมาเสียในการทำมาหาเลี้ยงชีวิตแล้วมันก็จะไม่มีความทุกข์ทรมานมาก ความแก่ ความเจ็บ ความตายมันก็บีบคั้นอยู่ ต้องมีสิตปัญญาทางฝ่ายโลกุตระมารับหน้าให้เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ตามกฎของธรรมชาติ ให้รู้ธรรมะในขั้นปรมัตถ์ไว้ตามสมควรคือไม่สะดุ้ง หวาดเสียวต่อความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วมันก็ทำลายความเห็นแก่ตัวได้มากเท่าไรมันก็ยิ่งอยู่ในโลกได้สบายมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นธรรมะเรื่องโลกุตระนั้นต้องเอามาใช้ด้วย มาใช้ที่นี่ด้วย อย่าเอาไว้เหนือเมฆ เหนืออะไร นั้นมันคนโง่ พระพุทธเจ้าไม่ได้เคยแยกธรรม ธรรมะเป็นโลกียะ เป็นโลกุตระ ท่านจะพูดแต่ว่าทุกข์ กับดับทุกข์เท่านั้น ให้มันดับทุกข์ก็แล้วกันไม่ต้องแยกเอาไว้คนละฝ่ายเหมือนไอ้คนชั้นหลัง ชอบแยกโลกียะเด็ดขาดจากโลกุตระ ใครจะว่าอย่างไรก็ตามใจ อาตมาว่ามันเป็นเรื่องของคนโง่ เออความรู้เรื่องปรมัตถ์นี่ต้องมาช่วยในเรื่องทางศีลธรรม อยู่ในโลกเพื่อบำเพ็ญหน้าที่โลกแต่ไอ้ความรู้ทางปรมัตถ์มาช่วยป้องกันให้มีความทุกข์น้อย จะพอใจในหน้าที่ จะชื่นใจในหน้าที่แล้วมันก็กันไม่ให้บ้า ถ้าไม่มีธรรมะมาเป็นเครื่องหักห้ามแล้วความทุกข์มากเข้ามันก็เป็นบ้าทั้งนั้นแหละ เออถ้ามีความรู้เรื่องความปล่อยวางมาช่วยป้องกันบ้าง มันไม่เป็นบ้า แม้มันจะทรมานเป็นทุกข์อย่างไร จะสิ้นเนื้อประดาตัวอย่างไรมันก็ไม่บ้า เออเพราะมันมีการปลงตกในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังนั้นความรู้เรื่องโลกุตระจงเอามาเคียงคู่กันกับความรู้เรื่องโลกียะ จะเปรียบเหมือนควาย ๒ ตัวไถนาก็ได้ มันฉลาดที่สุดตัวหนึ่ง มันโง่ตัวหนึ่ง มันก็ทำงานกันได้ นี่อย่าละทิ้งไอ้หน้าที่ทางฝ่ายจิตใจ จงศึกษาและปฏิบัติหน้าที่ทางฝ่ายจิตใจให้พอ ๆ กับหน้าที่ทางฝ่ายกาย มีธรรมะสมบูรณ์ มีหน้าที่สมบูรณ์ก็จะเป็นผู้พ้นจากปัญหาโดยประการทั้งปวง มีชีวิตอยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง เหนือความทุกข์ทุกชนิดเออเพราะอาศัยหลักอันนี้ซึ่งเป็นบทปาติโมกข์ของธรรมชาติ เออที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาแสดงว่าอย่าทำความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เพื่อจะอยู่เหนือไอ้สิ่งชั่ว สิ่งดีเหล่านั้น เออเป็นอันว่าเราได้ปรารภเรื่องของมาฆบูชามาในลักษณะอย่างนี้จนเพียงพอแล้ว หวังว่าท่านทั้งหลายจงจะเข้าใจเออคงจะเข้าใจความหมายของมาฆบูชา แล้วท่านทั้งหลายก็มีความพร้อมที่สุดแล้วในเวลานี้ที่จะทำพิธีมาฆบูชา ด้วยกาย ด้วยวาจาและด้วยใจ ด้วยกาย - ดอกไม้ ธูป เทียนเวียนประทักษิณ เออด้วยวาจา - ก็ด้วยสวดเออคำกล่าวเออพระคุณ เออด้วยใจ - ก็ทำใจให้ถูกต้อง มีจิตใจเข้าถึงธรรมะนั้น ๆ ในขณะที่ทำพิธีมาฆบูชาเออธรรมเทศนาที่ได้พูดไปนี้เป็นการเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้พร้อมที่สุดที่จะทำมาฆบูชา เราก็จะได้ทำพิธีมาฆบูชาต่อไป ครั้นเทศนาก็สมควรลงแก่เวลาแล้ว เออขอยุติธรรมเทศนาเออไว้แต่เพียงนี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้