แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการพูดกันเป็นครั้งที่สองนี้ จะได้พูดโดยหัวข้อว่าธรรมะกับหน้าที่การงาน ขอให้เข้าใจว่าคำว่าธรรมะธรรมะ นั้นหมายถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าก็เคารพ การศึกษาที่ไม่สมบูรณ์สอนกันแต่เพียงว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เคยบอกไปถึงว่าธรรมะนั้นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ ถ้าเรามีสิ่งนี้ก็จะมีประโยชน์ในการทำหน้าที่การงานเป็นอย่างสูง พระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่หรือธรรมะ บางคนก็ประหลาดใจเมื่อได้ยินคำว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะและพระพุทธเจ้าก็เคารพสิ่งนี้ การศึกษาที่ไม่สมบูรณ์มันก็เป็นอย่างนี้เพราะฉะนั้นเราจะต้องช่วยตัวเองทำความเข้าใจให้ดีๆคือค้นคว้ามาศึกษามาพูดจากันให้ถึงที่สุดขอให้มีหลักสั้นๆว่าสิ่งที่สูงสุดจนถึงกับพระพุทธเจ้าเคารพนั้นคือธรรมะ หรือหน้าที่ของท่านไม่ใช่พระเป็นเจ้าหรือไม่ใช่อะไรอื่น หรือไม่ใช่แต่พระนิพพานด้วยซ้ำ เพราะธรรมะนี่แปลว่าหน้าที่ ที่ช่วยให้ดับทุกข์ได้ และดับทุกข์ให้ผู้อื่นได้ด้วย เรามีหน้าที่เพื่อความอยู่รอดแห่งชีวิตเป็นข้อใหญ่ และก็ทำได้ด้วยการมีธรรมะคือหน้าที่ แต่ขออย่าได้เข้าใจว่าเรา มีการงานแต่เพียงเพื่อหาเลี้ยงชีพ เหมือนกับที่เป็นกันอยู่โดยมากในโลกในเวลานี้คิดดูสิในโลกเวลานี้ทุกคนที่เล่าที่เรียนสูงสุดนี้ก็ทำงานเพียงเพื่อเลี้ยงชีพ บางคนก็เป็นเอามากถึงกับว่า มันจำเป็นที่ต้องทำ ไม่ทำก็ไม่มีอะไรจะกิน มันก็เป็นสิ่งที่ดุร้ายหรือน่าเบื่อหน่าย เพราะมันบีบบังคับให้ทำให้เหน็ดเหนื่อย ทำงานไปพลางตกนรกไปพลาง คือทำสิ่งที่ตนเกลียดไปพลาง ผู้ทำงานโดยมากมันจะเป็นอย่างนั้น เพราะมันไม่มีธรรมะ ชาวนาที่มีธรรมะจะไม่รู้สึกอย่างนี้ พวกที่เจริญแล้ว พวกนักธุรกิจพวกบริหารอะไรเสียมากกว่า ที่ว่ามันทำงานด้วยการทน ทนทำไม่ได้ชื่นใจพอใจในการงานที่ทำ วันหนึ่งผมเดินผ่านชาวนาแก่ๆคนหนึ่งที่กำลังไถนา นานมาแล้ว เขาบอกผมว่าไถนา ไม่ได้ถามแต่เขาบอกเองว่าไถนาเอาข้าวใส่บาตรสักช้อนเถอะเจ้าเอ๋ย ผมเป็นพระเด็กๆ หนุ่มๆ แกก็แก่ แกก็เรียกว่าเจ้า ทำนาเอาข้าวใส่บาตรสักช้อนเถอะเจ้าเอ๋ย ก็พอใจยิ้มร่าเริงอยู่กลางแดดไถนา ดูมีความพอใจมาก ที่ได้ทำนาเพื่อที่จะเอาข้าวตักบาตรสักช้อน ใช้คำว่าอย่างนั้น ก็คือเพื่อจะทำบุญแหละก็พอใจมาก ไม่ใช่ว่าทนทำ เลยคิดว่าถ้าไม่ทำแล้วไม่มีอะไรจะกินจะใช้ การงานมันก็เป็นเรื่องสุข เป็นความสุขอยู่ในตัวการงานก็พอใจ ขอให้นึกถึงข้อนี้ให้มาก ไม่ใช่ทำงานพื่อเลี้ยงชีวิตด้วยความจำเป็น แต่ว่าทำงานเพื่อหน้าที่ของมนุษย์ หรือเป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์คือหน้าที่ และก็เพื่อเป็นการเป็นการศึกษาอบรมบ่มชีวิต ให้เจริญ เพื่อถึงจุดหมายปลายทางของชีวิตด้วย ไอ้คนธรรมดาหรือว่าจะต้องเรียกว่าคนไม่รู้ ผู้ไม่รู้มันจะคิดว่าชีวิตของกูกูก็รัก กูก็ทำงานหาเลี้ยงชีวิตเป็นอย่างมาก มันคิดได้เป็นอย่างมากเพียงเท่านี้ มันไม่ทราบว่าไอ้ชีวิตนี้คือสิ่งที่จะต้องพัฒนาการพัฒนาพัฒนาให้สูงขึ้นไปสูงขึ้นไปโดยได้ถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่ชีวิตมันจะได้รับ แต่แล้วมันก็ไม่มีทางอื่นมันก็คือทางการงานนั่นเองไม่มีทางอื่น การทำงานไม่ใช่ว่าจำเป็นหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างเดียว ขอให้ถือว่าเป็นการพัฒนาชีวิตให้มันได้สูงขึ้นไปสูงขึ้นไปจนกลายเป็นชีวิตสูงสุดชีวิตสูงสุด คำว่าสูงสุดนี่มีปัญหาเหมือนกัน พวกชาวบ้านเขาว่ามีเงินมากมีอำนาจวาสนามีบ่าวไพร่บริวารมีอะไรอีกก็ว่านั่นแหละชีวิตสูงสุด แต่ที่จริงนะมันไปสูงสุดตรงที่ว่ามันเป็นชีวิตชนิดที่ไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง ไม่มีความทุกข์เหลืออยู่เลย ถ้ามันไม่มีธรรมะแล้วมันก็ต้องมีความทุกข์ เพราะเงินที่มีมากๆนั่นแหละทำให้เกิดความทุกข์หรืออำนาจวาสนาที่มันมีมากๆนั่นแหละถ้ามันไม่มีธรรมะแล้วมันจะต้องเป็นทุกข์เพราะอำนาจวาสนาของมันหรือว่ามันจะต้องเป็นทุกข์เพราะเพราะบ่าวไพร่บริวารนั่นเอง เท่านั้นมันยังไม่พอ มันต้องพัฒนาสูงขึ้นไปจนถึงกับว่า ไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นเพราะสิ่งเหล่านั้น ดังนั้นเราจึงถือว่าไอ้การทำงานนี่เป็นการพัฒนาชีวิต ให้ถึงจุดสูงสุดเรื่องนี้อยากจะเล่าให้ฟังว่ามันมีขนบธรรมเนียมประเพณีมาแต่โบราณปรากฎเรื่องเหล่านี้อยู่ในพระไตรปิฎก ว่าคนโบราณในอินเดียนั่นเขาก็มีความคิดในเรื่องพัฒนาชีวิต แล้วก็ประสพความสำเร็จแต่แล้วมันก็อยู่แค่มีทรัพย์สมบัติ อำนาจวาสนา คือมีตาแก่คนหนึ่งประสบความสำเร็จมีเงินมากมีทรัพย์สมบัติมากจนจะต้องมอบให้ลูกให้หลานจัดการต่อไปที่ดินไร่นาช้างม้าวัวควายทรัพย์สมบัติเหล่านี้ แกก็คิดตามธรรมเนียมตามคำสอนแต่โบราณกาลว่า จบแล้ว จบแล้วชีวิตโวหารนั้นจบแล้ว ว่าอย่างนั้น เรื่องนี้ก็ขอให้ฟังด้วยเถอะว่าคำว่า โวหาร โวหารนี้ ก็ไม่ได้หมายถึงโวหารพูดหรอก ไม่ใช่หมายถึงการใช้สำนวนโวหารเพื่อที่จะเอาเปรียบ คำว่าโวหารนี่มันคือการค้าการลงทุนไปเพื่อผลกำไรอันมากกว่า แล้วก็เรียกโวหารทั้งนั้น มีคำใช้อยู่ในบาลีในวินัยว่าโวหารคือการค้า ค้าด้วยเงินตราเรียกว่า รูปียะสังโวหารคือเขายอมรับว่าชีวิตนี้ได้มาเพื่อเป็นทุนเดิมพันสำหรับลงทุนทำให้พอกพูนให้เจริญที่สุด เป็นสมุทเฉทโวหาร จบ แล้วก็เขาก็ถือกันเพียงเท่านั้นตาแก่คนนี้แกก็ถือว่าจบแกก็จบ จบชีวิตโวหาร การพัฒนาลงทุนด้วยชีวิตก็ไม่ทำอะไรหรอกตาแก่คนนี้ก็นุ่งผ้าขาวสวมเสื้อขาวกั้นร่มขาวใส่รองเท้าขาวแล้วก็ไปเดินอยู่ในทุ่งหญ้าริมลำธารตากลมสบายใจไปๆมาๆนี่เป็นเครื่องหมายว่าหมดหน้าที่ สำเร็จโวหาร คือการค้าขายด้วยชีวิต ภาคภูมิใจที่สุด แล้วเผอิญก็ไปพบพระพุทธเจ้าเข้า แกก็คุยโตว่าเป็นผู้สำเร็จชีวิตโวหาร สนทนากันด้วยเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าโอ้ ยังไม่ใช่ ยังไม่สำเร็จ ยังไม่จบ ในอริยวินัยในระเบียบของพระอริยเจ้าไม่ถือว่าแค่นี้จบชีวิตโวหาร ถามว่าทำไมไม่จบ ก็เพราะว่าความทุกข์บางอย่างยังเหลืออยู่ มันยังมีความทุกข์อยู่กับยึดมั่นถือมั่นในวัตถุสิ่งของในชีวิตนั่นเองในสังขารร่างกายนั่นเองก็ยังมีความรู้สึกทรัพย์สมบัติลูกหลานอะไรก็ยังเป็นของตนอยู่ ถ้าลูกเล็กๆหลานเล็กๆมันตายลงไปก็ยังจะต้องเป็นเป็นทุกข์อยู่ พูดกันจนรู้เรื่องแหละว่ายังไม่ ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเรียกว่าจบ จบการพัฒนาชีวิต
ทีนี้ตาพราหมณ์แกถามพระพุทธเจ้าถ้าอย่างนั้นทำอย่างไร พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ที่ว่าปฎิบัติจนปล่อยวางสิ่งทั้งปวง ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนของตน ไม่มีทางที่จะเกิดความทุกข์ในลักษณะใดๆในแง่ใดปริมาณใดขึ้นมาได้เลย จึงจะเรียกว่าจบพัฒนาชีวิต เรื่องนี้มันแสดงว่า คนโบราณเขาก็รู้ว่าไอ้พัฒนาชีวิตสูงสุดกันแค่เพียงเท่านั้นแหละมีทรัพย์สมบัติเกียรติยศชื่อเสียงอำนาจวาสนามิตรสหายบริวาร แต่จิตใจยังยึดมั่นถือมั่นโดยโดยความเป็นตัวตนของตน ยังจะต้องร้องไห้สักวันหนึ่ง ขอให้ถือว่าหน้าที่การงานของเราที่ทำไปนั้น ไม่ใช่เพื่อปากเพื่อท้องเพื่อจะเลี้ยงชีวิตอย่างเดียว ให้มันเพื่อพัฒนาชีวิตให้ถึงระดับสูงสุดที่ชีวิตมันควรจะได้จะถึง เพราะฉะนั้นจึงจะเรียกว่าหน้าที่การงานที่เป็นธรรมะที่สมบูรณ์ เพื่อจะอยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง ไม่มีอะไรมาทำให้เป็นทุกข์ได้อีกต่อไป อย่างที่กล่าวมาแล้วเมื่อคืนนี้ว่าชีวิตมันเป็นการเดินทาง เป็นการเดินทางสูงขึ้นสูงขึ้นสูงขึ้นหรือว่าไกลออกไปไกลออกไปก็จะถึงจุดที่สูงสุด แล้วมันก็พัฒนาด้วยการงานที่ทำนั่นแหละ เพราะว่าการงานนี่มันสอนให้ฉลาดสอนให้รู้จักสิ่งต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งสอนให้รู้จักความทุกข์ เมื่อมันยังไม่มีสติปัญญา มันก็มีความทุกข์ มันมีความทุกข์เพราะการงาน มีเงินก็เป็นทุกข์เพราะเงิน มีนาก็เป็นทุกข์เพราะนา มีทองก็เป็นทุกข์เพราะทอง มีช้างมีม้าก็เป็นทุกข์เพราะช้างเพราะม้า เพราะมันยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ นี่แหละชีวิตนี้มันยังต่ำอยู่แต่ถ้าว่าได้ผ่านมาแล้วได้ผ่านมาแล้วได้ผ่านมาแล้วทุกขั้นทุกตอนมันก็ค่อยเห็นว่า เอ้อ มันก็เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง มันก็ไม่ทำให้เป็นทุกข์ เกิดขึ้นมาได้เพราะสิ่งที่เคยเป็นทุกข์นี้เรียกว่าชีวิตมันสูงมันสูงไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงจุดสูงสุดที่มันจะสูงได้เราไม่ค่อยได้เรียนกันถึงเรื่องนี้ แม้การศึกษาระดับสูงสุดของโลกระดับมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ได้เรียน ผมกล้าท้าอวดดีและกล้าท้าว่ายังไม่ได้เรียน เพื่อจะขจัดความทุกข์ที่มีอยู่ในการงานคุณลองไปคิดดูสิ ลองนึกดูว่ามหาวิทยาลัยไหนในโลกมันสอนเรื่องนี้ ในการทำหน้าที่การงานนั้นตามธรรมดามันจะต้องเป็นทุกข์ ทุกข์อยู่คนเดียวก็มีได้โดยไม่มีใครมารบกวนทุกข์อยู่เพราะมีคนมารบกวนมาแข่งขันก็ได้ แล้วมันก็มีความหิวมีความกระหาย บีบคั้นอยู่เสมอ มันก็มีความทุกข์แหละ นับตั้งแต่ว่าเป็นทุกข์เพราะเหน็ดเหนื่อย เพราะรู้สึกไม่อยากทำ ต้องทนทำ แล้วดูการงานที่ทำกันอยู่สิ มันมีความทุกข์เพราะทำงาน เพราะอยากจะเลิกงาน อยากจะถึงเวลาเลิกงานให้พ้นทุกข์ไป ทีนี้การงานมันจะต้องมีปัญหาอย่างนี้ มหาวิทยาลัยไหนบ้างสอนเรื่องนี้ เพื่อให้จิตใจไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะทำการงาน ยังไม่มีมันก็มีแต่ธรรมะในพุทธศาสนานี่ที่เห็นมันจะเป็นที่พึ่งได้ ศาสนาอื่นเขาอาจจะสอนไปอีกอย่างหนึ่งว่าพระเจ้าต้องการให้ทำเพื่อเห็นแก่พระเจ้า เถิด ก็ทำ อย่าเป็นทุกข์เลย อย่างนี้ก็ได้เหมือนกันแต่ว่าเราไม่ชอบ เราชอบไอ้ธรรมะชนิดที่จะช่วยให้ไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะว่ามันเป็นการพัฒนาชีวิตในการทำงานนั่น ต้องมีสติปัญญาต้องมีสติสัมปชัญญะนั่นมันจึงจะทำได้ ต้องมีปัญญาต้องมีสมาธิต้องมีวิริยะต้องมีขันติ ต้องมีไว้ที่จะช่วยให้ไม่เป็นทุกข์ ในขั้นแรกยังไม่มีหรือมันไม่รู้เรื่องว่ามันจะต้องมีมันก็ไม่สนใจที่จะมีและก็เพราะไม่มีธรรมะ ไม่มีความรู้เรื่องธรรมะนั่นแหละมันจึงไม่มี ขอให้รู้เรื่องธรรมเสียเถิด
คือหน้าที่ที่จะช่วยให้รอดช่วยให้พ้นทุกข์ แล้วก็ต้องกระทำชนิดที่ว่าเหมือนกับมีเทคโนโลยีเหมือนกัน หากแต่ว่ามันเป็นเรื่องจิตใจ มันไม่มีเป็นวัตถุเป็นชิ้นเป็นก้อน มันก็มีหลักเป็นเทคนิค และหลักที่จะใช้เทคนิคนั้นให้มันถูกต้อง นี่เรียกว่ามันมี ข้อแรกนี้ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิถูกต้อง ว่าหน้าที่คือชีวิต แล้วธรรมะนั้นก็คือหน้าที่ ธรรมะแปลว่าสิ่งที่จะช่วยให้รอด หรือจะแปลว่าหน้าที่ที่ถูกต้อง อันจะช่วยให้รอด บทนิยามนี้จะดีที่สุด ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้องที่จะช่วยให้รอด พอมันแน่ใจอย่างนี้มันก็พอใจในหน้าที่ที่ถูกต้อง แล้วมันก็ทำอย่างว่าสมัครใจที่สุดเลย พอใจด้วยเป็นสุขด้วย ถ้ารู้สึกว่าตัวได้ทำหน้าที่ที่ถูกต้อง ที่ช่วยให้รอดได้ นั่นก็รู้สึกพอใจแหละ พอใจในฐานะที่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้รอดได้ ก็ทำด้วยความถูกต้องด้วยความพอใจ และเป็นสุขไปพลางเมื่อทำหน้าที่นั่นเอง ได้รับความสุขที่แท้จริงตลอดเวลาที่ทำหน้าที่นั้นเอง นี่เทคนิคสูงสุดของมัน แต่เดี๋ยวนี้น่าสงสารที่ว่าคนเหล่านี้เขาไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไร เขาหลงอย่างสุดเหวี่ยง ที่เอาความเพลิดเพลินที่หลอกลวงมาเป็นความสุขที่แท้จริง คือได้เอร็ดอร่อยสนุกสนานสูงสุด ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยเฉพาะทางเพศ ทางกามารมณ์ ว่าเป็นความสุข ขอให้พิจารณาดูให้ดีๆ ว่านั่นมันเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง มีคำว่าความเพลิดเพลินที่หลอกลวง นันทิ ราคะ อะไรที่มันหลอกลวง แล้วคนก็หลงอันนี้ว่าเป็นความสุขที่แท้จริง ระดมทุ่มเทเพื่ออันนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่ออันนี้ อุตสาห์ทำงานรวบรวมเงินเพื่อจะสมรสเพื่อจะแต่งงาน เพื่อจะมีความรู้สึกอันนี้ว่าป็นความสุขที่แท้จริง แล้วก็เลยแพงมาก แพงมาก บูชากันเท่าไร ก็ยิ่งแพงมากเท่านั้น แล้วก็ได้แต่ความเพลิดเพลินที่หลอกลวง คือความตื่นเต้นไปตามอารมณ์ไม่ใช่ความสงบเยือกเย็น มันก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นมาว่าอะไรเป็นความสุขที่แท้จริงอะไรเป็นความสุขที่ไม่แท้จริง เราเคยพูดกันด้วยคำง่ายๆว่า ไอ้สุขแท้จริงให้สุข ข สะกด ไอ้สุขที่หลอกลวงให้สุก ก สะกด คือสุกไหม้สุกเกรียม สุขอย่างกามารมณ์นี่ก็เป็น สุก ก สะกด สุกไหม้ สุกเผาไหม้ สุกจี่ สุกต้ม ต้มสุกนะ เป็นเพียงความเพลิดเพลินที่หลอกลวงกระตุ้นระบบประสาทให้ตื่นเต้นให้สูงสุดโดยเฉพาะทางเพศแล้วยิ่งสูงสุด ก็บูชาอันนี้ว่าเป็นความสุขที่แท้จริง ที่แท้มันเป็นความเพลิดเพลินเป็นการกระตุ้นระบบประสาทให้สูงสุด โดยเฉพาะกิจกรรมทางเพศ เป็นสิ่งสูงสุด ทั้งที่มันเป็นของ ท่าทางก็น่าเกลียดน่าชัง เหน็ดเหนื่อยกินแรงงานมาก เพื่อความบ้าวูบเดียว รู้กันไว้ว่ามันเป็นอย่างนี้เสียบ้าง มันจะได้ไม่เข้าใจผิดมากไป ส่วนความสุขที่แท้จริงนั้นมันคือความพอใจ ในความถูกต้อง รู้สึกว่าถูกต้องแล้วพอใจ มันไม่กระตุ้นให้เร่าร้อนอย่างไอ้ความเพลิดเพลินทางเนื้อหนัง รู้สึกว่าถูกต้อง มันถูกต้องช่วยให้รอดได้ แล้วก็พอใจพอใจ สร้างขึ้นมาได้จากการงาน สร้างไม่ได้จากเงินแม้แต่สตางค์เดียว ไอ้ความสุขที่เยือกเย็นที่พอใจแท้จริงนี่ ต้องสร้างขึ้นมาจากจิตใจถูกต้องพอใจ ไม่มีทางที่จะเอาเงินไปซื้อมาได้ มันไม่กินเงินว่าอย่างนั้นแหละมันไม่กินเงินถูกต้องและพอใจนี่มันไม่กินเงิน และมันยังทำให้เงินเหลือโน้น เงินจะเหลือออกมาเพรามันทำหน้าที่การงานถูกต้องพอใจถูกต้องพอใจเป็นสุขอยู่ในหน้าที่การงาน ผลของการงานก็เหลืออกมาเป็นเงิน ความสุขที่แท้จริงก็ได้ ความสุขที่ไม่เผาลนให้เร่าร้อนมันก็ได้ แต่ว่าคนก็ไม่สนใจและทำไม่ได้ เพราะเขาไม่เชื่อว่ามันเป็นสิ่งสูงสุด เพราะเขาไม่ได้รู้สึกว่าธรรมะหรือหน้าที่สิ่งสูงสุด ไม่ได้บูชาหน้าที่ ถ้ารู้ว่าหน้าที่หรือธรรมะคือหน้าที่ เป็นสิ่งสุงสุดแม้แต่พระพุทธเจ้าก็เคารพแล้วก็พอใจยินดีมันก็เลยมีความสุขแท้จริง แท้จริง เยือกเย็น ไม่กระตุ้น มันเป็นความสงบเงียบ เป็นความสงบเย็น ไม่มีกระตุ้นในทางไหนก็ตาม กระตุ้นทางกาย ทางประสาท ทางจิต ทางไหนๆมันก็ไม่กระตุ้น มันก็ไม่ได้หลอกลวง เพราะไม่กระตุ้นนั่นแหละมันจึงสงบ รู้จักความสุขชนิดที่สงบเพราะไม่ถูกกระตุ้น ความสุขที่หลอกลวงเกิดมาจากการถูกกระตุ้น โดยเฉพาะความรู้สึกทางเนื้อหนัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กามารมณ์เป็นที่สุด มันต้องมีการกระตุ้น ยิ่งกระตุ้นแรงเท่าไร ก็ยิ่งว่าสุขสูงสุดและพอใจ มันก็ยิ่งหลอกลวงมากนั้นแหละ เรารู้จักว่าความสุขที่แท้จริงว่ามันไม่ได้หามาได้ด้วยเงิน มันซื้อมาไม่ได้ด้วยเงิน แต่ซื้อได้ด้วยการทำจิตใจให้มันถูกต้อง รู้ความถูกต้องแล้วก็พอใจพอใจ แล้วก็ศึกษาธรรมะในฐานะเป็นหน้าที่ให้รู้จักธรรมะที่จำเป็น ทีมันจะต้องมีอะไรบ้าง ธรรมะที่จะช่วยขั้นแรกๆที่สุดก็คือสติสัมปชัญญะ ระลึกได้ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นแล้วจะต้องทำอย่างไร เราศึกษานั่นนี่โน่นรวมกันแล้ว เรียกว่าปัญญาปัญญา เก็บไว้เหมือนกับเก็บไว้ในคลัง เก็บปัญญาไว้ในคลังแห่งจิตใจพอมันเกิดหน้าที่อะไรมีเรื่องไรมากระทบก็มีสติ สติระลึกถึงปัญญาเท่ากับว่าไปขนเอาปัญญามาเฉพาะเรื่องที่จะจัดการกับปัญหาข้อนี้ ปัญญาที่เรียนไว้มามากเรื่องได้หลายสิบเรื่องได้หลายร้อยเรื่องเป็นปัญญามากเรื่อง แต่พออะไรเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในการทำหน้าที่นี้ สติก็ไประลึกถึงปัญญาเอาปัญญาเฉพาะเรื่องมา จัดการกับเรื่องที่จะต้องทำหรือกำลังทำอยู่ นี่เรียกว่าสติ ถ้าไม่มีสติไม่ได้เอามามันก็ไม่มีอะไร มันเป็นหมันหมดแหละ ปัญญามันเป็นหมันหมดแหละ ถ้าสติมันไม่เอามาใช้ให้ทันท่วงทีที่เกิดขึ้น ปัญญามีเท่าไรเท่าไรเป็นหมันหมดแหละ อย่างนี้เรียกว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด แต่ถ้ามีสติไปเอามาเฉพาะเรื่องเฉพาะเรื่อง แล้วแต่เรื่องไหนควรจะเป็นอย่างไรมันก็แก้ปัญหานั้นได้ สติเอาปัญญาความรู้ที่จะแก้ได้นี่มา เอามาเผชิญหน้ากับปัญหาที่มีอยู่ที่เราจะกระทำนี้ ปัญญามันก็กลายรูปเป็นสัมปชัญญะ สติไปเอาปัญญามาทำเป็นสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วถึงอยู่ในเรื่องที่ทำ ทีนี้มันก็ว่าถ้าว่ากำลังใจมันอ่อนแอ ก็ต้องมีสมาธิ สมาธิที่ฝึกฝนไว้นี่มันช่วยให้เข้มแข็ง ให้ต่อสู้กับอุปสรรคการงาน หน้าที่ ความคิด ความนึก ถ้ามันเป็นระยะยาวนาน มันก็ต้องอดกลั้นอดทนถ้าไม่มีขันติอดกลั้นอดทนมันก็ทิ้งงานแหละ หรือถ้ามันเป็นเรื่องที่ยากลำบาก มันก็ต้องมีความพากเพียร มีวิริยะความพากเพียร นี้คือตัวอย่างธรรมะที่มันจะต้องใช้ มันจะเรียนกันแต่ชื่อ แล้วไม่เอามาใช้หรือไม่อาจจะเอามาใช้มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ขอให้ฝึกฝนไว้เถิด เมื่อไรก็ตามมีโอกาสฝึกฝน รวบรวมสติปัญญาเพิ่มไว้ให้มากเข้า ปัญญาปัญญานะให้เพิ่มมากเข้า แล้วก็ฝึกสติให้เร็วเข้าเร็วเข้าฝึกสติให้เร็วเข้าอย่าให้งุ่มง่ามไปเอาปัญญามาให้ทันแก่เวลา มาทำเป็นสัมปชัญญะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นั้นๆ แล้วก็ฝึกสมาธิไว้ ให้มีจิตที่เป็นสมาธิเข้มแข็ง จะได้ช่วยเหลือเมื่อกำลังมันอ่อน กำลังมันตก กำลังจิตมันตกเมื่อเผชิญหน้ากับการงาน หรืออารมณ์ แล้วฝึกขันติขันติให้มันอดกลั้นอดทน ทนได้ต่อการบีบคั้นของกิเลส คุณอาจจะฟังเรื่องขันติกันมาแล้ว แต่มักจะได้ยินเพียงว่าอดทนความเหน็ดเหนื่อยความยากลำบากความเจ็บปวด คนเขานินทาเท่านี้มันยังไม่อดทนกี่มากน้อยหรอกอดทนเขาด่าว่านี้ก็ยังไม่กี่มากน้อย อดทนสูงสุดมันคืออดทนต่อการบีบคั้นของกิเลส กิเลสมันบีบคั้นหรือมันจะต้องใช้คำว่าไสหัวเลย มันไสหัวให้ไปทำสิ่งที่กิเลสต้องการนี่เราทนได้เราไม่ไปก็อย่างง่ายๆเช่นว่า กิเลสมันจะบีบบังคับให้ไปดูหนังอย่างนี้ ถ้าเราอดทนต่อการบังคับของกิเลสได้เราก็ไม่ไป ถ้าเราอดทนต่อการบังคับของกิเลสไม่ได้ก็ไป บางทีก็ไปมากเกินไปหรือหาเรื่องที่จะไป นี่เรียกว่ามันไม่มีความอดทนต่อการบีบบังคับของกิเลส ถ้ากิเลสจะเกิดขึ้นแล้วก็พยายามบีบบังคับให้ได้อย่าให้มันบังคับเราได้ จะเรียกว่าอดทนได้ ทำให้บ่อยๆทำให้เก่งขึ้น เก่งขึ้น ที่จะอดทนต่อการบีบบังคับของกิเลส แล้วก็ว่าถ้ามันเป็นเรื่องยากลำบาก ก็ต้องมีความพากเพียร พากเพียรฝึกฝน ความเข้มแข็งในการที่จะพากเพียร พากเพียรมีความหมายหลายอย่าง ความกล้าหาญก็อยู่ในคำว่าพากเพียร ความกล้า ความมายอมแพ้ ความไม่ถอยหลัง ความตั้งมั่น ความมุ่งจะให้ก้าวหน้าต่อไปอีก ก็รวมเรียกหมดนี้ว่าความเพียร มันมีชื่อหลายอย่างหลายความหมาย แต่รวมแล้วมันคือความเพียรนั่นเอง ในคราวที่จะต้องปักหลักก็ปักหลักมั่น เพื่อไม่ถอยหลัง แล้วพอก็ได้โอกาสก็ก้าวไปข้างหน้า รุกไปข้างหน้า นี่คือลักษณะของความเพียร เราฝึกไว้ ออกจะอวดหน่อยว่าการฝึกระบบอานาปานสติที่ถูกวิธี กรรมฐานอานาปานสติที่ถูกวิธี ต้องฝึกให้หมดทั้งระบบนั้น แล้วจะเป็นการฝึกสิ่งเหล่านี้หมดเลย ฝึกสิ่งเหล่านี้ที่ออกชื่อฝึกหมดเลย ฝึกสติ ฝึกสัมปชัญญะ ฝึกปัญญา ฝึกสมาธิ ฝึกขันติ ฝึกวิริยะ ฝึกธรรมอีกหลายชื่อที่ต้องการ อิทธิบาทสี่ โพชฌงค์เจ็ดนี่ก็เป็นการฝึกหมดเลย
สำหรับความเชื่อนั้นมันก็เป็นธรรมะสำคัญเหมือนกัน แต่ว่าความเชื่อในพุทธศาสนานี่ เชื่อหลังจากการกระทำพิสูจน์ความสำเร็จมาแล้ว จึงเชื่อ ที่เชื่อก่อน เชื่องมงายนั่นนะมันไม่มีหรอกในพุทธศาสนา มันไม่มีเรื่องเชื่อพระเจ้าเชื่ออะไรไปก่อน แต่เราก็สอนกันให้เชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปก่อนแต่ไม่ให้เชื่ออย่างงมงาย เชื่อในฐานะที่ว่ามันจะดับทุกข์ได้แล้วก็ลองดู ลองดูนี่เป็นหลักในพุทธศาสนา ไม่เชื่องมงาย ไม่เชื่อตามเขาบอก ไม่เชื่อตามคำเล่าลือ ไม่เชื่อตามผู้พูดมันน่าเชื่อ เรียกว่าไม่เชื่อแม้แต่ครูบาอาจารย์ ตามที่เขาพูดออกมา แต่ก็ฟัง ฟัง ฟังแล้วนำมาใคร่ครวญดูว่ามันจะเป็นไปได้ไหม คือมันจะดับทุกข์ได้ไหม ถ้าเห็นว่ามันอาจจะดับทุกข์ได้ ก็ลองดูลองดู ลองดูแล้วมันดับทุกข์ได้นี่ก็เชื่อ เชื่อ โดยความเชื่อที่สะอาด ที่แจ่มใส ไม่งมงาย ความเชื่อสูงสุดมันจะมีต่อเมื่อต่อเมื่อดับทุกข์ได้แล้วดับทุกข์หมดสิ้นแล้วจึงจะเชื่อว่าธรรมะนี้แท้จริงดีจริง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ดีจริง ธรรมมะดีจริง พระสงฆ์ดีจริง เมื่อมันดับทุกข์ได้แล้ว มันมาทีหลัง แต่ว่าในชั้นแรกนี่เชื่อตามเหตุผล เท่าที่เห็นว่ามันจะดับทุกข์ได้ มันไม่ใช่หมดทั้งร้อยเปอร์เซนต์หรอกแต่มันก็ต้องมาอยู่หลังปัญญาอยู่ดีแหละ ปัญญาพิจารณาเห็นว่าดับทุกข์ได้แล้วจึงเชื่อว่าจะลองดู แล้วลองดู ได้ผลจริงแล้วจึงเชื่อ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ว่ามีความเชื่อทีหลังปัญญา ศาสนาอื่นเขาอาจจะเอาความเชื่อมาก่อนสิ่งทั้งปวง เชื่อพระเจ้า ผูกขาดให้เชื่อ อย่างนี้ก็มีอยู่ในศาสนาสำคัญสำคัญในโลกหลายศาสนาเหมือนกัน แต่พุทธศาสนาไม่ต้องการอย่างนั้น ต้องการให้เชื่อในลักษณะที่ว่ามันน่าจะลองดู ลองปฏิบัติดูดับทุกข์ได้แล้วจึงเชื่อ ดับทุกข์ได้หมดแล้วจึงเชื่อร้อยเปอร์เซนต์ มีความพากเพียร มีปัญญา ควบคุมความพากเพียร กระตุ้นให้เกิดกำลังใจที่จะพากเพียร มันก็เกิดความพากเพียรที่ถูกต้อง ที่ควรจะพากเพียรที่ถูกต้องที่พอดีที่เหมาะสม เหล่านี้มันเป็นธรรมะ เรียกว่าธรรมะเมื่อแปลว่าหน้าที่ มันก็คือตัวหน้าที่ คือตัวหน้าที่ที่เราจะต้องทำ ดังนั้นเราจึงมีหน้าที่ที่จะต้องมีสติ ต้องฝึกสติ ต้องมีปัญญา ฝึกปัญญา มีสมาธิ มีสัมปชัญญะ เหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ที่จะต้องฝึกทั้งนั้น ครั้นมีธรรมะเหล่านี้ เชื่อเหล่านี้แล้ว มันก็ทำหน้าที่ ที่นี้โดยตรงมันจะทำหน้าที่อะไร แล้วแต่เราจะยึดเอาอาชีพอะไรมีหลักการอย่างไรแล้วก็ใช้ธรรมะเหล่านี้ให้ถูกต้องตามจังหวะของมันของมัน ให้ถูกต้องทันแก่เวลาด้วย ทันจังหวะของมันด้วย ในทุกๆกรณีต้องมีสติ สติจะระลึกเอาความถูกต้องเฉพาะเรื่องมาเสมอไป ความรู้ความเข้าใจนี่มันมีมาก มันต้องเอามาเฉพาะอย่างๆที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ถ้าเราเป็นลูกจ้างก็จะต้องทำหน้าที่ลูกจ้าง ถ้าเราเป็นผู้จัดการเราก็จะต้องรู้จักหน้าที่ของผู้จัดการ หรือผู้ช่วยผู้จัดการ หรือเป็นผู้ควบคุมลูกจ้าง มันก็ต้องมีหน้าที่เฉพาะที่มันจะต้องรู้จักพอดี ถูกต้อง ปรับปรุง พอดีถูกต้อง แล้วมันยังมีละเอียดลงไปถึงว่า ความไม่เห็นแก่ตัว ความรักผู้อื่น เป็นพื้นฐานนี่จะต้องมี ถ้าว่าไม่มีความรักผู้อื่นเป็นพื้นฐานแล้ว เดี๋ยวมันก็เห็นแก่ตัว แล้วมันก็จะทำผิด จะลำเอียง จะคดโกง จะคอรัปชั่น ก็พูดได้เสียเลยว่าธรรมะนี้ ถ้ามีแล้วมันป้องทุจริต หรือคอรัปชั่น ที่มันทุจริตนี่คือมันไม่มีธรรมะ ถ้าทุจริตไม่ใช่หน้าที่ การทำให้สุจริตคือหน้าที่ แล้วมันก็ไปเอาทุจริตมาทำ เพราะมันไม่มีธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้อง เพื่อความรอด ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้องเพื่อความรอด ถ้ามันมีแล้วมันทุจริตไม่ได้ คอรัปชั่นไม่ได้ถ้าคอรัปชั่นหรือทุจริตแล้วมันเป็นเรื่องไม่มีธรรมะแล้วมันกลายเป็นเรื่องของกิเลสไปแล้วไม่ใช่หน้าที่ที่ถูกต้องเสียแล้ว เป็นหน้าที่สำหรับจะผิดพลาด จะลงไปสู่ความเสื่อมเสีย สำหรับลงนรก เรียกว่าหน้าที่สำหรับลงนรก หน้าที่ที่ถูกต้องมันสำหรับจะขึ้นสวรรค์ จะเรียกว่าสวรรค์ก็ได้ก็คือมันมีความถูกต้อง แต่มันไกลกว่านั้น ความถูกต้องนั้นมันเลยสวรรค์ไปเสียอีก คำว่าสวรรค์ สวรรค์ ในภาษาไทยธรรมดานี่ มันเป็นความหมายทางกามารมณ์ มีเทพบุตร มีเทพธิดา ยุ่งกันใหญ่ เป็นเรื่องสวรรค์อย่างนั้นยังไม่ใช่เรื่องดับทุกข์ มันต้องมีจิตใจที่อยู่เหนือนั้น ไม่หลงสิ่งเหล่านั้นจึงจะดับทุกข์ อยู่เหนือสิ่งที่หลอกให้หลงเป็นคู่ๆๆ ถ้าจะพูดกันอย่างภาษาในโรงเรียนภาษาวิทยาศาสตร์ ก็คือว่าไม่หลงเรื่องบวกไม่หลงเรื่องลบ ไม่หลงเรื่อง positivism ไม่หลงเรื่อง negativism แล้วมีจิตใจชนิดสูงกว่าที่จะไปหลง เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องแพ้ชนะ เรื่องกำไร เรื่องขาดทุน กระทั่งว่าเรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องสุข เรื่องทุกข์ พอพูดอย่างนี้หลายคนจะไม่ยอมรับแล้ว คือว่าจะต้องอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งที่มันให้เกิดความรู้สึกเป็นคู่ๆ มันเป็นธรรมะที่ละเอียด อาจจะสูงเกินไปสำหรับจะพูดกับคุณก็ได้ แต่ก็อยากจะบอกให้รู้สึกไว้เป็นเค้าๆว่าไอ้ความสุขที่แท้จริงที่อยู่เหนือปัญหาแท้จริงนั้นคืออิสระไม่หลงเรื่องอะไรอะไร คู่แรกก็ว่า เรื่องได้เรื่องเสีย ไม่เห็นแก่ได้ แล้วก็ไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเรื่องเสีย ไม่ชั่วไม่ดี ถ้าชั่วมันก็ยุ่งไปตามแบบชั่ว ถ้าดีมันก็ลืมตัวบ้าดี เมาดี หลงดี นี่วินาศกันมามากแล้ว ไม่ทุกข์ แล้วก็ไม่สุขเพราะว่ามันเป็นปัญหาภาระกระตุ้นด้วยกันทั้งนั้น ความทุกข์ก็รบกวน ความสุขก็กระตุ้นให้จิตใจตื่นเต้นอยู่เสมอ ไม่สงบระงับ บุญ หรือบาป บาปนี่ก็ไม่ไหว บุญก็มีเรื่องที่จะทำให้เคลิบเคลิ้ม เคลิบเคลิ้มไปด้วยบุญ กระทั่งบ้าบุญ เมาบุญ หลงบุญ แล้ววินาศทุกรายเลย แต่คำพูดอย่างนี้นะมันฟังไม่เข้าใจ ไม่ค่อยจะเข้าใจ เลยจะต้องไปคิดกันอีกมาก แล้วก็ถูกด่าด้วย ผมผู้พูดอย่างนี้นะถูกด่ามาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว ว่ามันสอนผิดๆนะ ให้เหนือดี เหนือสุข เหนือบุญ เหนือได้ เหนือชนะอะไรนี่ เพราะว่ามันเป็นเรื่องยุ่ง ให้อยู่เหนือความหมายที่เป็นคู่ๆ แต่ว่าโลกนี้เขาไม่ชอบ เขาชอบแต่เรื่องบวก เรื่องpositivism จึงได้ทำให้เจริญรุ่งเรืองทางวัตถุ ทางเอร็ดอร่อย อย่างที่กำลังเป็นอยู่อย่างที่เรียกว่าความเจริญ หรือความก้าวหน้า หรือความเจริญ ยิ่งเจริญยิ่งยุ่งถ้าพูดอย่างนี้ฟังถูกก็จะดี ยิ่งเจริญมันก็ยิ่งยุ่ง อย่างที่กำลังเป็นอยู่ในโลกเวลานี้ อยู่กันอย่างไม่ต้องเจริญ อยู่อย่างปกตินี่จะไม่ยุ่ง คำว่า progressive ภาษาเดิมของภาษาละตินนะมันแปลว่าบ้านะไอ้progressนะรากศัพท์แปลว่าบ้า คือมันมากจนควบคุมไม่อยู่ นั่นนะความเจริญ ยิ่งเจริญมันยิ่งยุ่ง เพราะมันเจริญแต่ทางวัตถุ ทางจิตใจมันไม่เจริญ ที่เราเรียนกันในโรงเรียนในมหาวิทยาลัย สร้างความเจริญในด้านวัตถุ ด้านที่เนื่องกับวัตถุ แม้เป็นเรื่องจิตใจ ก็จิตใจที่ให้เป็นทาสของวัตถุ พ่ายแพ้แก่วัตถุ อยู่ใต้อำนาจของวัตถุ มันจึงไปไม่ได้แค่ไหน มันก็ต้องจมอยู่ในกองทุกข์ ผมอยากจะพูดย้ำบ่อยๆไม่กลัวใครเบื่อว่า ไอ้ความเจริญทางวัตถุนั่นแหละระวังให้ดี ถ้าควบคุมมันไม่ได้นั่นแหละคือความวินาศ ไอ้เจริญที่กำลังเจริญนั่นแหละ ทางอิเลคทรอนิกส์ ทางคอมพิวเตอร์ ทางอะไรก็ตามที่เรียกว่าที่เรียกว่ามันเจริญสูงสุดนี่แหละ ถ้าควบคุมไม่ได้แล้วจะนำไปสู่ความวินาศ เพราะว่ามันใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อความเห็นแก่ตัว เพื่อความเห็นแก่ตัวนะ แล้วเมื่อต่างฝ่ายต่างใช้เพื่อความเห็นแก่ตัว มันก็ฆ่ากันวินาศแหละ ต่างฝ่ายต่างก็มีช้างคือเครื่องมืออันศักดิ์สิทธิ์ วิเศษทั้งหลายนี่มาใช้เพื่อความเห็นแก่ตัว เมื่อเห็นแก่ตัวมันก็ต้องฆ่ากันแหละมันก็วินาศ ความเจริญที่ควบคุมไว้ไม่ได้นั่นคือความวินาศ ขอให้มองดูให้เห็นชัดอยู่เสมอ ถ้าจะเจริญอะไรก็ขอให้ต้องควบคุมได้ ต้องควบคุมความฉลาดได้ ถ้าควบคุมความฉลาดไม่ได้มันวินาศแหละคนนั้นนะ เพราะว่ายิ่งฉลาดมันยิ่งคิดได้ลึก มันทำได้มาก แต่ถ้าควบคุมไม่ได้ มันก็ไปใช้ในทางเห็นแก่ตัว คือทางผิดนั่นแหละ แล้วมันก็ต้องวินาศแหละ ฉลาดที่จะคดโกง ฉลาดที่จะหลอกลวง ฉลาดที่จะโกหก ฉลาดที่จะยักยอกจะโขมยนี่ มันควบคุมความฉลาดไว้ไม่ได้ ที่พูดว่าการศึกษาเพื่อความฉลาดนี่ถูกนิดเดียวแหละ เพราะความฉลาดที่ควบคุมไว้ไม่ได้อันตรายยิ่งกว่าความโง่เสียอีก มันไปทำในทางที่จะเห็นแก่ มันก็ไปกระทบผู้อื่น แล้วมันก็ต่อสู้วินาศทุกฝ่าย เราจะต้องควบคุมความฉลาดของเราให้ได้ ถ้าเราฉลาด ควบคุมความเจริญของเราให้ได้ถ้าเราเจริญ มิฉะนั้นก็คือความวินาศ อยากจะจบ เอาละเรียน เอาละทำงาน เอาละหาเงิน มันก็ต้องรู้ว่าทำอย่างไร จึงจะถูกต้องและไม่เป็นทุกข์ ทำงานโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ มีความสุขเมื่อทำงาน ได้เงินมาก็ไม่เอามาหนักอกหนักใจ เป็นทุกข์เพราะมีเงิน คนมีเงินเป็นทุกข์เพราะมีเงิน เป็นโรคประสาทไปเสียแล้วตั้งเท่าไรเท่าไร ก็ลองสังเกตุดู ต้องควบคุมความร่ำรวย ความเจริญนั่นแหละให้ได้ด้วย ถ้าพูดให้กว้างออกไปถึงเรื่องการเมือง ก็ต้องควบคุมการเมืองนั่นแหละให้ได้ ถ้าไม่เช่นนั้นการเมืองมันคือสิ่งที่จะทำความวินาศ เพราะการเมืองมันเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว มันเป็นเรื่องเอาเปรียบ เป็นเรื่องเอาแต่ประโยชน์ของตัวหรือพวกของตัว ไอ้นักการเมืองนี่มันจะเห็นแก่พรรคการเมืองยิ่งกว่าชาติแหละ นักการเมืองมันจะเห็นแก่พรรคการเมืองของตัวยิ่งกว่าเห็นแก่ชาตินะ ระวังให้ดีถ้ามันไม่มีความถูกต้องในเรื่องนี้ และการเศรษฐกิจนั้นแหละถ้าควบคุมไว้ไม่ได้ มันก็ถูกใช้ไปในทางเห็นแก่ตัว ยิ่งประสพความสำเร็จในทางเศรษกิจมันยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัว ต่างฝ่ายต่างยิ่งเห็นแก่ตัว แล้วมันจะไปไหนนอกจากมันจะพิฆาตทำลายล้าง ซึ่งกันและกัน เดี๋ยวนี้การเมืองก็ดี เศรษฐกิจก็ดี เป็นเครื่องมือสำหรับใช้พิฆาตซึ่งกันและกันอยู่ตลอดทั่วไปในโลก มันผ่านไปทางความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวทำให้ควบคุมไม่ได้ ควบคุมผิดด้วย ใช้มันผิดไปเลย ทีนี้เราก็ใช้สิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งไปในทางผิด ส่งเสริมความผิด ผมสังเกตดูว่าของวิเศษๆ วิทยุ โทรทัศน์หรืออะไรที่วิเศษๆนะ เครื่องมือที่ออกมาใหม่ๆนี่ คนเขาเอาไปใช้เพื่อประโยชน์ความเห็นแก่ตัว ไม่ใช้เพื่อประโยชน์เห็นแก่ความสงบสุขของมนุษย์ หรือความถูกต้องของมนุษย์ ใช้เพื่อหาช่องหาโอกาสสร้างประโยชน์ให้แก่ตัวเอาเปรียบผู้อื่นให้มากที่สุดแหละ มันจึงกิดปัญหาไม่รู้จบไม่รู้สิ้น ปัญหาให้เกิดบุคคลที่เอาเปรียบผู้อื่นได้มากๆนั่นแหละ เมื่อยังไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้คนเอาเปรียบกันไม่ได้เท่าไรหรอก มันก็เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันไปได้ พอไอ้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมันก็มีโอกาส ที่จะใช้ให้ได้เปรียบข้างฝ่ายตัวเอง เห็นประโยชน์แก่ตัวเอง ผู้อื่นก็ขาดแคลน ระบบนายทุนมันก็เกิดขึ้น เพราะมีเครื่องทุ่นแรงบ้าง เครื่องประกอบทางสติปัญญาบ้าง ทางอะไรบ้าง ที่มันให้ได้เปรียบผู้อื่นแล้วมันก็เห็นแก่ตัว แล้วมันก็อดไม่ได้ มันก็กอบโกยมันก็ดูดซับไปหมด ไอ้คนยากจนมันก็ทนไม่ได้มันก็ลุกขึ้นล้างแค้น นี่มันคือการใช้สิ่งที่วิเศษไม่ถูกเรื่อง ของธรรมะ ของหน้าที่ ที่ควรจะใช้ ให้รู้กันไว้บ้าง แล้วจะไม่ได้ถลำเข้าไปในแนวนั้น ให้รู้ไว้ว่าไอ้ความฉลาดนั้นนะ ระวังนะ ถ้าควบคุมไว้ไม่ได้แล้วอันตราย จะฆ่าตัวเองได้โดยไม่ทันรู้ตัว ไอ้ความเจริญรุ่งเรืองนั้นนะมันมอมเมาตัวเอง ควบคุมไว้ไม่ได้มันก็จะทำความวินาศให้แก่ตัวเอง เรื่องใหญ่ๆของโลกนี่ก็เหมือนกันมันควบคุมไว้ไม่ได้ มันผลิตๆแต่สิ่งที่ส่งเสริมกิเลส ไอ้พวกเทคโนโลยีทั้งหลาย มันผลิตเรื่องส่งเสริมกิเลสทั้งนั้น มันไม่ได้ผลิตในสิ่งที่จะฆ่ากิเลส ตามหลักธรรมะเลย เป็นโอกาสที่จะกอบโกย จะร่ำรวย มันก็ผลิตๆแต่เรื่องส่งเสริมกิเลส ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าผลิตออกมาแปลกๆใหม่ๆยังขายดี ไอ้กิเลสมันก็ได้เปรียบ ความสงบสุขหรือสันติภาพมันก็ลบเลือนไป เพราะความเอร็ดอร่อยทางกิเลสมันปกคลุมไปเสียหมด เพราะฉะนั้นประโยชน์ของธรรมะคือให้มันตั้งอยู่ในความถูกต้อง ให้มันตั้งอยู่ในความถูกต้อง กระทั่งว่าเราจะไม่คดโกง จะไม่ทุจริต จะไม่คอรัปชั่น จะไม่อะไรเหล่านี้ ก็เพราะการเคารพธรรมะ เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าก็ทรงเคารพคือธรรมะ ถ้าเคารพสิ่งเหล่านี้แล้วมันก็ไม่คดโกง แล้วมันก็จะทำไปแต่ทางที่สงบสุข คือมันไม่เห็นแก่ตัว แล้วมันก็รักเพื่อนมนุษย์ ในฐานะเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย จะขูดรีดเขาไม่ได้ จะสูบเลือดเขาไม่ได้จะเอาเปรียบเขาไม่ได้ มันก็ไม่มีใครเอาเปรียบใครมันก็รักกันอย่างเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย มันก็พูดกันรู้เรื่อง มันก็สร้างสันติภาพขึ้นมาได้ในโลกนี้ เดี๋ยวนี้การศึกษามันไม่สอนอย่างนี้ มันสอนแต่ให้ฉลาด แต่ในทางที่จะก้าวหน้า แล้วได้เปรียบกว่า เราแย่งกันศึกษาเพราะว่า จะแย่งโอกาสที่จะก้าวหน้ากว่า แล้วมันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว ในที่สุดก็ไปตั้งมั่นอยู่ในความเห็นแก่ตัว มันอาจจะประสบความสำเร็จทางวัตถุ แต่แล้วก็ทำสังคมให้วุ่นวาย แต่อย่าลืมว่าความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ แม้อยู่คนเดียว ไม่รู้จะทำอะไรใครนั่นแหละ มันก็นอนไม่หลับหรอก เป็นห่วงวิตกกังวลหวาดผวาอะไรไปเรื่อยไป เพราะความเห็นแก่ตัว ไม่เป็นสุขภาพของจิตที่ดี ไม่เป็นสุขภาพที่ดีของจิต ทีนี้ถ้ามันไปเบียดเบียนผู้อื่นเข้าแล้วมันก็ก่อเวร ก็ล้างผลาญก็วินาศ ธรรมะทำหน้าที่ถูกต้องไม่ต้องเห็นแก่ตัว มันไม่มีทางที่จะเห็นแก่ตัว ถ้ามันมีธรรมะถูกต้อง มันไม่มีทางที่จะเห็นแก่ตัว เพราะมันสามารถจะอยู่ในความสุขที่แท้จริงได้ ในการทำหน้าที่นั้นเอง มันไม่จุดไฟเห็นแก่ตัวขึ้นมาได้เลย ในที่สุดก็สนุกในการทำหน้าที่ เป็นสุขในการทำหน้าที่ ไม่ต้องเป็นโรคประสาท นอนไม่หลับ เป็นสุขภาพจิตที่ดี ความพอใจในการทำหน้าที่ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกวินาทีมีแต่ความถูกต้อง ยกมือไหว้ตัวเองได้ มันอาจจะแปลกหูมากเกินไปก็ได้ที่ผมจะพูดว่า ยกมือไหว้ตัวเองได้ แต่เป็นหลักโบรมโบราณที่เขามีกันมา ทำความพอใจถูกต้องจนยกมือไหว้ตัวเองได้นั่นแหละ คือสิ่งสูงสุดของมนุษย์ นึกถึงเรื่องนี้ไว้บ้าง อย่ามุ่งหน้าแต่ประโยชน์ทางวัตถุ ทางกิเลสตัณหาในที่สุดก็ไปสู่ความเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ทำลายตัว ทำลายผู้อื่น ขอให้เรามีจุดตั้งต้นที่ว่าเรามีชีวิตนี้จะได้อะไร ควรจะได้อะไร เกิดมาทำไม เราจะต้องทำหน้าที่สังคมกับเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายอย่างไรด้วย อย่ามองดูแต่ตัวคนเดียวว่าเรารอดก็แล้วกัน มันต้องผู้อื่นรอดด้วย มันจึงจะอยู่กันได้ คิดดูนะในโลกนี้ทั้งโลกทั้งหมด ถ้าเขาให้เราคนเดียวอยู่แล้วเราจะอยู่ได้เหรอ แม้ว่าเขาจะยกให้ทั้งโลก แต่ให้เราคนเดียวอยู่ เราจะอยู่ได้ที่ไหนละ แล้วเราต้องนึกถึงผู้อื่นสิ ในโลกนี้มันต้องอยู่รวมกันมากๆมันจึงจะอยู่ได้ ไอ้เรื่องไม่เห็นแก่ตัวมันสำคัญอย่างนี้ เรื่องเห็นแก่ผู้อื่นมันก็ช่วยให้อยู่กันในโลกได้ อยู่ด้วยความรักสามัคคี อยู่กันได้มากกว่านี้ยังไม่ต้องคุมกำเนิดหรอก ถ้ามันอยู่กันด้วยความถูกต้องของธรรมะ ยังไม่ต้องคุมกำเนิด มันยังอยู่ได้อีกมาก แต่ถ้ามันพร้อมที่จะไปเห็นแก่ตัวมันเกะกะระรานไปด้วยขวากหนามอย่างนี้ มันก็ ไอ้โลกนี้มันเล็กไปเสียแล้วละจะต้องคุมกำเนิดแหละ มันจะต้องแย่งกันกิน แย่งกันเอาเปรียบ แย่งกันแข่งขันทำลายล้างกัน เพื่อกูจะครองโลก เอาละขอสรุปความว่าธรรมะกับหน้าที่การงาน จะช่วยให้ทำงานเป็นสุข สนุกกับการงาน มีความสุขแท้จริง ไม่ต้องใช้เงิน ทำให้เงินเหลือออกมา แล้วก็จะให้เกิดความเห็นแก่ผู้อื่น เพราะไม่เห็นแก่ตัว เหมือนกับว่าคนทุกคนในโลกเป็นคนคนเดียวกันมีความรักซึ่งกันและกัน ราวกับว่าทุกคนในโลกเป็นคนคนเดียวกัน มันก็ไม่มีทางที่คิดเบียดเบียนมันก็ทุจริตไม่ได้ คอรัปชั่นไม่ได้ ถ้ามันมีความคิดอย่างนี้ ขอให้ถือเอาธรรมะเป็นสิ่งสูงสุด ในการที่จะปฏิบัติหน้าที่การงาน เพราะว่าธรรมะก็แปลว่าหน้าที่อันถูกต้อง สำหรับความรอดอยู่แล้ว สูงสุดจนพระพุทธเจ้าก็เคารพ ขอให้ท่านทั้งหลายใช้ธรรมะนี่แหละให้ถูกต้องในการทำการทำงาน ในหน้าที่มีแต่ความถูกต้องตลอดไป นี่หัวข้อนี้มีอย่างนี้ว่า ธรรมะกับหน้าที่การงานนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้องที่จะช่วยให้รอดได้ ไม่มีหน้าที่ก็คือตาย มีหน้าที่ผิดพลาดก็วิกฤตกาลยุ่งไปหมด หน้าที่นั้นต้องถูกต้อง ก็พอใจ พอใจ พอใจ เป็นสุข อย่างที่เคยพูดมาแล้วเมื่อคืนก่อน ทุกอิริยาบถ ทุกหน้าที่การงาน ถูกต้องและพอใจ นี่วันนี้ก็ขอยุติการบรรยาย ไว้เพียงเท่านี้ ชั่วโมงหนึ่งพอดี