แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิกทั้งหลาย ขอให้สำนึกว่าเราพูดกันอย่างเป็นเพื่อนสหธรรมิก มีหน้าที่ร่วมกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสืบอายุพระศาสนา ไม่ใช่พูดกันในฐานะอาจารย์-ลูกศิษย์หรืออะไรทำนองนั้น จึงเลือกเรื่องที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่การมีอยู่แห่งพระศาสนาและก็เพื่อช่วยโลก เดี๋ยวนี้เราก็ยังมาพูด มานั่งพูดกันในลักษณะอย่างนี้ มันก็ยิ่งแสดงความเป็นเพื่อนกันโดยแท้จริง นั่งกลางดินนี่แหละ ขอให้ถือว่ากำลังนั่งในมหาวิทยาลัยอันสูงสุดยิ่งกว่าแห่งใด แผ่นดินเป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสรู้ ที่สอน ที่ประทับอยู่ กระทั่งนิพพาน ปรินิพพาน นี่ขอให้ให้เกียรติแก่แผ่นดินในลักษณะอย่างนี้ แล้วมันเกือบจะพูดได้ว่าพระไตรปิฎกทั้งหมดน่ะมันเกิดกลางดิน คือพระองค์ตรัสเมื่อนั่งกันอยู่กลางดิน มันน้อยนักที่จะเป็นอย่างอื่น เพราะว่าที่อยู่มันก็กลางดิน โรงธรรมสภามันก็กลางดิน ที่ไหนก็ได้ เดินทางก็มี พูดพระธรรมขึ้นมา เป็น อยู่ในชุดที่เรียกกันว่าพระไตรปิฎก จึงจะพูดได้ว่าพระไตรปิฎกก็เกิดกลางดิน ทีนี้เรามานั่งกลางดิน ทำในใจระลึกถึงความสำคัญของแผ่นดิน นอกจากนั้นมันมีความหมายอีกหลายอย่างสำหรับคำว่า แผ่นดิน มันเป็นชื่อแห่งปัญญาอันหนักแน่น ภูริปัญญา มีปัญญาอันหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน และก็ขอให้หวัง ขอให้มีปัญญาที่หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน อย่าให้มีปัญญาที่ปลิวว่อน เหมือนที่เป็นกันอยู่โดยมาก โดยเฉพาะพวกเรานักศึกษาในระดับที่ถือกันว่าระดับสูงนี่ ขอให้มีปัญญาหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน มิฉะนั้นมันจะยุ่ง
เรื่องที่เราจะระลึกนึกถึงในการสืบอายุพระศาสนาซึ่งเป็นความประสงค์อันยิ่งใหญ่ คือว่าจะอยู่เป็นบรรพชิตหรือว่าจะสึกไปเป็นฆราวาส มันก็มีหน้าที่สืบอายุพระศาสนาโดยเท่ากัน แม้ว่าจะเรียนจบแล้วสึกออกไป มันก็ยังมีหน้าที่สืบอายุพระศาสนา สิ่งใดมันมีความสำคัญในการสืบอายุพระศาสนา ต้องทำให้สำเร็จแหละ ที่เขาพูดเขลาๆ ว่าสึกออกไปเป็นฆราวาสแล้วหมดเรื่องกันนั้น มันไม่มีหรอก มันเป็นไปไม่ได้สำหรับพุทธบริษัท เพราะมันเป็นพุทธบริษัททั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ฉะนั้นก็มีหน้าที่ตลอดไป ขอให้ยึดหน้าที่อันนี้ไว้เป็นหน้าที่ประจำชีวิตด้วย ว่าจะต้องมีการสืบอายุพระศาสนาแม้ว่าจะสึก ลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาาสก็ตาม ยิ่งอยู่ก็ยิ่งทำได้มากกว่า แต่สึกออกไปแล้วมันก็ละไม่ได้ ถ้าละมันก็เป็นสัตว์เนรคุณ จะต้องมีการสนองพระพุทธประสงค์ซึ่งพระองค์ทรงหวังไว้อย่างนั้น มันพบมากเหลือเกินในพระบาลี ที่หวังว่าสาวกจะช่วยกันสืบอายุพระศาสนาเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์โน่น หมายความว่าสืบไว้อย่างเต็มที่ เป็นประโยชน์แก่คนทุกชนิดทุกพวกทีเดียว
เอาละทีนี้มันก็มีอะไรบ้างที่มันเกี่ยวข้องกับการสืบอายุพระศาสนา การสืบอายุพระศาสนานี้อย่ามองแคบๆ แต่ว่า มีแต่พวกเราชาวพุทธ ศาสนาอื่นทุกศาสนาแหละเขาก็มีการสืบอายุพระศาสนาเพื่อให้คงมีอยู่ในโลก เพื่อมุ่งหมายแห่งการช่วยโลก นั่นน่ะดูให้ดี มันจะคืบคลานออกไป กระทบกัน ขัดแย้งกัน ถ้ามีการขัดแย้งกันนั่นก็คือวินาศแหละ ดังนั้นผมตั้งใจจะพูดในวันนี้โดยหัวข้อว่า ความต้องไม่มีการขัดแย้ง ต้องไม่มีการขัดแย้งกันในระหว่างศาสนาหรือลัทธินิกายของแต่ละศาสนา สรุปสั้นๆ ก็ต้องไม่มีการขัดแย้ง เดี๋ยวนี้เราสังเกตเห็นได้ว่ามันมีการขัดแย้งระหว่างศาสนาต่อศาสนา และก็ระหว่างนิกายปลีกย่อยในศาสนาเดียวกันนั้นแหละ มีนิกายปลีกย่อยออกไป มันก็ยังขัดแย้งกันในลักษณะที่เหมือนกับเป็นอันธพาลก็มี ทีนี้เมื่อผมพูดว่า ต้องไม่มีการขัดแย้งเลย บางคนอาจจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ผมว่ายิ่งจำเป็นที่สุดที่จะต้องไม่มีการขัดแย้งเลย
คำว่า ขัดแย้ง นั่นเท่าที่ผมพบมา แต่ในสูตรไหนก็ลืมเสียแล้วล่ะ แต่รวมๆ ความแล้วก็ได้ความว่า คือสิ่งที่เรียกว่า อุปัทวะ, อุปัทวะ ภาษาไทยก็ว่า อุบาทว์ นั่นแหละ นั่นน่ะคือความขัดแย้ง ความขัดแย้งคืออุบาทว์ คืออุปัทวะ แล้วมันจะไหวเหรอ ฉะนั้นต้องไม่มีการขัดแย้ง, ต้องไม่มีการขัดแย้ง พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้นำแห่งการไม่ขัดแย้ง และก็มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ชัดซึ่งช่วยจำกันไว้ให้ดีๆ นะว่า ตถาคตไม่กล่าวคำขัดแย้งกับใครๆ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก เทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ พูดอย่างนี้ก็คือหมดเลย, หมดเลย ไม่กล่าวคำใดๆ ที่เป็นการขัดแย้งกับใครๆ ในโลก, ใครๆ ในโลก คิดดูเถอะ เดี๋ยวนี้เรามีการขัดแย้ง มีความคิดที่จะขัดแย้งด้วยซ้ำไป มันก็ผิดพระพุทธประสงค์ ฝืนหลักคำสอนของพระองค์ที่ว่าจะต้องไม่กล่าวคำขัดแย้ง แม้ระหว่างศาสนาอื่น กับศาสนา หรือแม้ในศาสนาเดียวกันที่มีหลายๆ นิกาย เราดูปฏิปทาของพระองค์ที่ได้เป็นมาโดยไม่มีการขัดแยัง คือพระองค์ตรัสรู้ขึ้นมาในหมู่มนุษย์ที่เขามีความรู้อย่างอื่น ความคิดอย่างอื่น ความยึดถืออย่างอื่น การกระทำอย่างอื่น มีลัทธิอย่างอื่นอยู่เต็มไปหมด พระองค์เกิดขึ้นมา ไม่เห็นด้วยในสิ่งเหล่านั้นก็มี หรือว่าอยากจะสอนให้ดีกว่านั้นก็มี แล้วมันจะเป็นอย่างไร ถ้าพูดออกไปมันก็เป็นการขัดแย้ง มันก็เป็นการทะเลาะวิวาท ฉะนั้นพระองค์ก็มีวิธีตรัสของพระองค์ว่า เราเห็นอย่างนี้ เรารู้อย่างนี้ เราขอบอกกล่าวอย่างนี้ โดยไม่แตะต้องของเดิมที่มีอยู่ เขามีอยู่ก่อน สอนลัทธิครบถ้วนทุกอย่างเลย เขามีอยู่ก่อน เขาสอนว่าไม่มีตัวตน ก็ทรงพิสูจน์ สอนเรื่องไม่มีตัวตนโดยไม่ต้องขัดแย้ง เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องตายแล้วเกิด เขาสอนกันอยู่แล้ว พระองค์ก็ไม่ต้องขัดแย้ง แต่สอนออกมาว่า ของพระองค์ คือความคิดของพระองค์มีอยู่อย่างไร เช่น เขาสอนกันว่า นรกอยู่ใต้ดินใต้บาดาล สวรรค์อยู่บนฟ้า นี่เขาสอนกันอยู่แล้ว พระองค์กลับบอกว่า ฉันเห็นนรกที่มีอยู่ทางอายตนะ อายตนะ ๖ น่ะ ฉันเห็นสวรรค์ที่มีอยู่ทางอายตนะ ๖ ใช้คำว่า มยา ทิฏฐา สัคคา นิรยา (นาที ที่ 0:12:07) นี่ มยา ทิฏฐา เมื่อทำผิดที่อายตนะ มันก็เป็นนรกที่อายตนะ เมื่อทำถูกที่อายตนะ ก็เป็นสวรรค์อยู่ที่อายตนะ ที่นั่นทันที เดี๋ยวนั้นเลย ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว แล้วนรกก็ไม่ต้องอยู่ใต้ดินซึ่งมันไกลเหลือเกิน ไม่อยู่บนฟ้าสูงสุดซึ่งมันไกลเหลือเกิน มันอยู่ที่อายตนะ, ที่อายตนะ ทำผิดเป็นนรก ทำถูกเป็นสวรรค์ แล้วก็ไม่ไปคัดค้าน ไม่ไปหักล้าง ไม่ไปยกเลิก และยิ่งกว่านั้นก็เอาคำเหล่านั้นน่ะมาพูดด้วย ตายแล้วไปสวรรค์ ตายแล้วไปนรก อย่างนี้ท่านก็ตรัสคำเหล่านี้ แต่ท่านหมายความอย่างนี้ และก็ให้อิสรภาพในการที่ผู้ฟังจะคิด จะเชื่อ จะไม่เชื่อ จะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรก็ตามใจ แต่พยายามพิสูจน์ว่ามันมีอยู่จริงๆ อย่างนี้ เห็นได้ง่ายๆ โดยประจักษ์ อย่างนี้, อย่างนี้, อย่างนี้ มันก็สำเร็จประโยชน์ เราอย่าไปเผลอเอานรกชนิดนั้นมาเป็นของพุทธศาสนา มันมีอยู่ก่อนพุทธศาสนา พูดหรือสอนกันอยู่ก่อนพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาก็ไม่ได้ยกเลิก เมื่อประชาชนยังอยากจะเชื่ออย่างนั้น จะถืออย่างนั้นก็ได้ และก็ตรัสว่า ให้ทำกรรมอย่างนี้, ทำกรรมอย่างนี้ จะไปสวรรค์ ทำกรรมอย่างนี้ จะไป ถ้าทำกรรมอย่างนี้จะไปนรก แต่แล้วมันก็ซ้ำกับที่เขาสอนกันอยู่แล้วน่ะ มันไม่ใช่เป็นของเรา เป็น authority ของเราโดยเฉพาะ อย่าไปยืนยันให้มันเกิดความผิดพลาด ไปตู่เอาของเขามา เรื่องกรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วนั่นน่ะ อย่าไปถือว่าเป็นของพุทธศาสนาล้วนๆ นะ มันสอนอยู่ก่อนนั้น แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ปฏิเสธ, ไม่ปฏิเสธ ยอมรับเข้ามารวมอยู่ แต่สอนดีกว่านั้น สอนถูกกว่านั้น คือเรื่องพ้นกรรม เหนือกรรม กรรมที่ทำให้สิ้นสุดแห่งกรรมทั้งหลาย กรรมไม่ดำ ไม่ขาว เป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมทั้งหลายน่ะ นี่เป็นของพุทธศาสนาซึ่งเรามีลิขสิทธิ์แหละ แต่ถ้า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว นี่มันของเก่าของเขา อย่า อย่าไปนั่นเข้ามา มันจะน่าหัวเราะ แม้แต่เรื่องกรรมบถ ๑๐ นี่ มันก็อ่านพบอยู่ในบาลีหรืออรรถกถาทั่วๆ ไปว่า ก่อนพุทธกาลเขาก็ถือกันอยู่ในเรื่องชาดกทั้งหลาย ก่อนพุทธกาลก็ถือกันอยู่เรื่องกุศลกรรมบถ อกุศลกรรมบถ แต่แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ยกเลิก ไม่ได้คัดค้าน ว่ามันดีอยู่แล้วถ้ามุ่งหมายกันเพียงเท่านั้น แต่ถ้าต้องการจะไปให้ถึงที่สิ้นสุดแล้ว ก็ต้องเป็นเรื่องโลกุตตระ มันเป็นเรื่องหมดตัวตน เป็นเรื่องการทำกรรมที่สิ้นสุดแห่งกรรมทั้งหลาย ในบาลีมีหลายแห่ง เอสะ ธัมโม สนันตะโน ท่านที่เรียนบาลีมาแล้วก็คงจะพบ และมันก็ยังมีในที่หลายๆ แห่ง เอสะ ธัมโม สนันตะโน ธรรมะนี้เป็นสนันตนะ คือสืบมากันตั้งแต่ครั้งไหนก็ไม่รู้ ในธรรมบทก็มี (นาทีที่ 0:15:58) นะ หิ เวเรนะ เวรานิ… เอสะ ธัมโม สนันตะโน อย่างนี้ ท่านเอา สนันตนธรรม เก่าโน่นมาสอนด้วย คือยอมรับเข้าไว้ด้วย เรียกว่า สนันตนะ ด้วยกันทั้งนั้นแหละ มันจะมีใจความว่าอย่างไรก็สุดแท้ แต่มันสอนอยู่ก่อนแต่ดึกดำบรรพ์แล้วก็เอามา ท่านมิได้ปฏิเสธหรือยกเลิก แต่ก็ไม่ได้รับรองว่ามีเพียงเท่านั้น แต่สอนหรือแสดงสิ่งใหม่ออกมาที่น่าดูกว่า น่าฟังกว่า สำเร็จประโยชน์กว่า นี่มันจึงเกิดเป็นคำสอนเรื่องอนัตตาถึงที่สุดขึ้นมาในพุทธศาสนา ซึ่งไม่มีสอนกันอยู่ก่อน คำสอนก่อนๆ มันเป็นคำสอนในพวกอัตตาทั้งนั้นแหละ ทำดีถึงที่สุดไปสวรรค์ กามาวจรบ้าง รูปาวจรบ้าง อรูปาวจรบ้าง นี่ก็มันสอนกันอยู่ก่อน อาจารย์คนสุดท้ายของพระพุทธเจ้าก็สอนเรื่อง เนวสัญญานาสัญญายตนะ อย่างที่เราได้เรียน, ได้เรียนกันอยู่แล้ว มันก็มีอยู่ก่อน แต่นั่นไม่เป็นที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ ไม่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ พระพุทธองค์จะสอนให้ถึงที่สุดแห่งความทุกข์ จึงสอนเรื่องนิพพาน เรื่องโลกุตตระ แต่อย่างไรก็ดี ก็ได้เอาคำเก่า คำเก่าที่มีอยู่แล้วแต่ก่อนนั่นแหละ มาใช้อีก, มาใช้อีก นี่ศึกษาให้ดีๆ ว่า คำว่า นิพพาน นิพพาน นี่ไม่ใช่เพิ่งมีเมื่อพระพุทธเจ้าของเราเกิดขึ้นแล้วตรัสสอน มันมีใช้อยู่ก่อน ในความหมายว่า สิ่งสูงสุดนั่นแหละ ดับเย็นที่สุด อย่างในโสฬสปัญหา ก็มีพราหมณ์ที่มาทูลถาม ขอให้ทรงแสดงพระนิพพานตามแบบของพระองค์ นิพพานอย่างของพระองค์ นี่แสดงว่าเขาก็มีนิพพานอย่างของเขาอยู่แล้ว เราเอาคำว่า นิพพาน เดิมมาใช้ แม้ว่าคำว่า อรหันต์, อรหันต์ นี่ก็เป็นคำเก่า มีอยู่ ใช้อยู่แล้ว ตามความหมายในลัทธินั้นๆ ก็ยังรับเข้ามาใช้ในพุทธศาสนา คือคำว่า อรหันต์ คำว่า นิพพาน คำว่า ตถาคต หรืออะไรก็ตาม แต่มีความหมายตามแบบของเรา คือสูงขึ้นมา จนสูงสุด จนเป็นที่พอใจ พูดให้สูงกว่านี้ไปไม่ได้อีกแล้ว นี่ข้อที่จะต้องสังเกตว่า ทรง ทรง ทรงใช้คำที่ไม่ขัดแย้ง ถ้าเขามีอยู่ก่อน จะไม่ยอมรับก็ได้ ไม่ปฏิเสธก็ได้ แต่ว่าบอกมาว่า เราขอเสนอความเห็นอย่างนี้ ให้ท่านเลือก, ให้ท่านเลือก แล้วก็ให้อิสระในการเลือก การให้อิสระในการเลือกนี่ขอให้รู้ไว้เถอะว่า ไม่มีในศาสนาอื่นโดยมาก บางศาสนาจะไม่มีเลย ไม่มีนิดเดียวเลย ถ้าในพุทธศาสนาเรามีเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เกินร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างในกาลามสูตรข้อสุดท้ายแหละ ไม่ต้องเชื่อแม้ว่าสมณะผู้สอนนี้เป็นครูของเรา มา สมโณ โน ครูติ ก็คือปฏิเสธพระองค์เองนั่นแหละว่า ไม่ต้องเชื่อว่าพระองค์เองเป็นผู้สอน จะต้องเอาไปคิด เอาไปใคร่ครวญดู เห็นว่ามันอาจจะดับทุกข์ได้ ก็ลองดู, ลองดู เมื่อดับทุกข์ได้จริง ทีนี้ก็ถือ เชื่อตามนั้นเต็มที่นี่ อยู่ในมหาปเทส ในทางสุตตันตะ ในมหาปรินิพพานสูตร นั่นก็มีว่า แม้ใครจะพูดว่าเขาได้รับฟังมาจากพระตถาคต จากพระพุทธเจ้าโดยตรง แล้วมาบอกให้ท่านฟังนี้ ไม่ต้อง, ไม่ต้อง ไม่คัดค้าน ไม่ยอมรับ แต่จะใคร่ครวญดู หยั่งลงในสูตร เทียบดูในวินัย คือหลักทั่วๆ ไป ทางสูตร ทางวินัยแหละ ว่ามันจะดับทุกข์ได้หรือไม่ ถ้ามันพอจะดับทุกข์ได้ก็ลองดู เมื่อมันดับทุกข์ได้ จึงจะถือเอา นี่ลักษณะอย่างนี้ไม่มีในศาสนาใดๆ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไม่เกิดความขัดแย้ง, ไม่เกิดความขัดแย้ง ถ้ามีความขัดแย้งมันก็มีการทะเลาะวิวาท มันก็เรียกว่า อุปัทวะ, อุปัทวะ หรืออุบาทว์ ไม่เป็นอัสสาทะ ไม่มีคุณที่น่าพอใจ น่าชื่นใจ ระวัง อย่าให้เกิดการขัดแย้งขึ้นมาในระหว่างศาสนาหรือระหว่างลัทธิย่อยๆ แห่งศาสนาแต่ละศาสนา
ความประสงค์ของผมก็คือว่า เรา แน่นอนที่จะต้องปะทะหรือพูดจาอะไรเกี่ยวข้องกันระหว่างศาสนา แล้วเราก็ใช้คำชนิดที่เป็นการขัดแย้งอย่างนี้ มันจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีหน้าที่เพียงแต่ว่า เรามีความคิดอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ หรือจะใช้คำสูงสุดว่า ในอริยวินัยเขานิยมกันอย่างนี้, เขานิยมกันอย่างนี้ เสนอขึ้นมาอย่างนี้ ไม่ให้เกิดการขัดแย้ง โดยเปิดโอกาสให้วินิจฉัย ให้เลือก ให้เฟ้นเอาอย่างอิสระทีเดียว นี่ผมจึงหวังว่า ถ้าต่อไปนี้เราจะต้องไปพูดปัญหาระหว่างศาสนา หรือมีการกระทำที่เกี่ยวข้องกันระหว่างศาสนา ก็ขอให้ทุกท่านระวังการขัดแย้ง อย่าให้เกิดการขัดแย้ง ให้ใช้วิธีเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านเกิดขึ้นในหมู่คนที่เขามีความเชื่ออย่างอื่น ท่านก็ไม่ไปขัดแย้ง แล้วก็แสดงสิ่งที่่ควรจะแสดงออกไป พวกหนึ่งเชื่อว่าตายแล้วเกิด พวกหนึ่งเชื่อว่าตายแล้วไม่เกิด ท่านก็พูดว่า มันต้องแล้วแต่เหตุแต่ปัจจัย ถ้ายังยึดถือว่าตัวตน เป็นตัวเป็นตนอยู่ ก็ถือว่า มันแล้วแต่เหตุ แล้วแต่ปัจจัย มันมีหรือไม่มี มันจะเกิดหรือจะไม่เกิด แต่ถ้าพูดอย่างสูงสุด เป็นปรมัตถ์สูงสุดแล้ว ก็พูดอีกทางหนึ่งว่า คือไม่มีตัวตนน่ะ ก็พูดว่ามันไม่มีตัวตน, มันไม่มีตัวตน มันไม่มีใครตาย มันไม่มีใครเกิด แล้วมันจะมีใครเกิดใหม่ได้อย่างไร อย่างนี้ก็ มันไม่เป็นการขัดแย้ง เมื่อเขาพูดกันอย่างมีตัวตน ก็พูดกันอย่างมีตัวตนว่ามันแล้วแต่ปัจจัย ถ้ามันพูดกันอย่างไม่มีตัวตน เอ้า, มันจะพูดกันทำไม มันไม่มีตัวตนสำหรับจะเกิดจะตาย มันไม่มีการขัดแย้ง และเราจะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าสอนพระศาสนาอยู่เป็นเวลาถึง ๔๕ ปี ไม่มีการขัดแย้งกับใคร, ไม่มีการขัดแย้งกับใคร ถ้าจะมีการขัดแย้ง มันก็มาจากภายนอก ที่เขาไม่ชอบแล้วเขาก็หาเรื่อง อย่างนี้ก็ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา ไอ้เราไม่มีการขัดแย้ง เพราะฉะนั้นจึงสอนพระศาสนาได้นานถึง ๔๕ ปี ถ้าพระอานนท์ทูลขอสำเร็จเรื่องอายุให้ได้อยู่กัปหนึ่ง ท่านก็จะสอนไปอีก ๔๐ ปีแหละ อายุกัป เพราะอายุสมัยนั้นก็นิยมกันว่า ๑๒๐ ปี ถ้าท่านรับว่าจะอยู่สิ้นกัป ตลอดกัป ท่านก็จะอยู่ถึง ๑๒๐ ปี ก็เพิ่มขึ้นอีก ๔๐ ปี ก็ไม่มีการขัดแย้งกับใครนั่นแหละ ไม่มีการขัดแย้ง จะสอนสักอีกกี่สิบปี กี่ร้อยปี แม้เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังสั่งว่า ตถาคตไม่มีการกล่าวคำขัดแย้งกับผู้ใดในโลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา พร้อมทั้งมนุษย์ ประโยคนี้ผมจำมั่น จำ จำมั่นคงเลยเพื่อไม่ให้เกิดการขัดแย้ง เดี๋ยวมันก็จำเป็นต้องขอโทษ ที่ว่าจะต้องเอ่ยนามว่าอย่างพระเยซูนี่ ท่านสอนอย่างขัดแย้ง มีการขัดแย้งหลายทิศทาง ฉะนั้นท่านสอนได้ ๓ ปี ก็ถูกจับแขวนกางเขน หรือศาสนาอื่นๆ ก็อย่าออกชื่อเลย ที่มันมีการขัดแย้งแล้วมันก็เกือบจะไม่มีแผ่นดินอยู่ นี่ไปอ่านประวัติเอาเองเถอะว่าศาสนาอะไรบ้าง ฉะนั้นเราจงไม่มีการขัดแย้งระหว่าง ระหว่างศาสนา ระหว่างลัทธินิกายย่อยของศาสนา
เอ้า, ทีนี้ขอให้ฟังต่อไปอีกขั้นหนึ่งว่า เราจะต้องมองกันให้ถึงความจริงอันสูงสุดที่ว่าในโลกนี้ต้องมีศาสนาหลายศาสนา หลายระดับ สนองความต้องการของมนุษย์ในโลกซึ่งมีอยู่หลายระดับ นี่เราจะไม่ ไม่ ไม่ คิดว่าเราพูดอย่างอวดดีล่ะ เราก็อยู่ระดับสูงชนิดที่ว่าปัญญา ระดับ ๓ ระดับที่มีกล่าวในอรรถกถาหรืออะไรก็ตามเถอะ ที่เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า พ้นทุกข์ด้วยศรัทธาระดับหนึ่ง พ้นทุกข์ด้วยวิริยะระดับหนึ่ง พ้นทุกข์ด้วยปัญญาระดับหนึ่ง ข้อนี้ใช้ ใช้ทั้งแก่คนทั่วไปและแก่พระพุทธเจ้านะ จะเป็นในอรรถกถาหรือฎีกาอะไรก็ตาม จัดพระพุทธเจ้าเป็น ๓ พวกไปเลย พระพุทธเจ้า พวกที่แสดงความหลุดพ้นด้วยศรัทธา พวกที่แสดงความหลุดพ้นด้วยวิริยะ และก็ด้วยปัญญา แล้วก็จัดพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ของเราว่าด้วยปัญญา ทีนี้ด้วยศรัทธา มันก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าอย่างไหน อะไรบ้าง แต่เราก็จะเห็นได้ชัดเจนที่เรียกว่า ลัทธิศาสนาบางศาสนาเอาศรัทธาเป็นเบื้องหน้า ยกเลิกอื่นหมดเลย ศรัทธาในพระเจ้าเป็นเบื้องหน้าและก็รอดได้เพราะศรัทธา ทีนี้พวกที่มีวิริยะเป็นเบื้องหน้า ก็ทำความเพียร บังคับจิตอย่างนี้, อย่างนี้, อย่างนี้ อย่างอื่นไม่เอา พวกฌาน พวกสมาบัติ อะไรเหล่านี้ แต่ไม่สูงขึ้นไปถึงปัญญาที่จะรู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาก็ทำสมาธิไปพรหมโลกได้ สูงสุดเป็นพรหมโลกไปเลย ถ้าเป็นเรื่องก่อนพุทธกาลแล้วก็มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้าทั้งนั้น ไม่มีสูงกว่านั้น มันบังคับจิตเพื่อความเป็นอย่างนั้น บังคับจิตเพื่อไม่ให้ความทุกข์ปรากฏแก่จิตใจ ถ้าพุทธศาสนาต้องเป็นเรื่องของปัญญารู้ความจริง เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในจิตใจแล้วก็ไม่มีความทุกข์ แต่เดี๋ยวนี้มันก็มีปัญหาว่า ถ้าในหมู่คนที่เขาไม่อาจจะมีปัญญา จะต้องทำอย่างไร จะทำอย่างไรในหมู่คนเป็นอันมากที่ไม่อาจจะมีปัญญา เรียกง่ายๆ ว่า คนโง่ มันก็มีอยู่มากแล้วจะทำอย่างไร มันก็ต้องมีศาสนาระดับหนึ่งซึ่งเหมาะสำหรับคนพวกนั้น ฉะนั้นศาสนาใดที่เขาใช้ปัญญาเป็นเบื้องหน้า ก็ถือว่าเขามีมาสำหรับคนพวกนั้น ถ้าเขาไม่อาจจะนับถือพุทธศาสนาที่มีปัญญา เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตถตา อะไรได้ ไม่ได้ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ แล้วเขาจะทำอย่างไร เขาก็ต้องหาทางออกอย่างอื่น ยังมีพระศาสดาประเภทอื่นสนองความต้องการของเขา สอนเรื่องศรัทธา, ศรัทธา, ศรัทธา พวกสอนมิชชันนารีโปรแตสแตนท์เคยมาสอนแถวนี้ ตะโกนดังๆ ว่าต้องเชื่อเท่านั้น, ต้องเชื่อเท่านั้น เรื่องกรรมดีกรรมชั่ว ไม่ต้อง, ไม่ต้อง กรรมดีกรรมชั่วช่วยอะไรไม่ได้ จะช่วยได้แต่ศรัทธาเท่านั้น อย่างนี้ก็มี มัน มันเป็นเรื่องเหมาะ เหมาะแก่คนพวกหนึ่ง เราก็ไม่ต้องขัดแย้งหรอก โดยยอมรับว่าต้องมีกันหลายศาสนาและหลายระดับ เหมาะแก่คนพวกนั้น เหมาะกับคนพวกนั้น พูดง่ายๆ ว่าเหมาะแก่คนโง่ที่สุดซึ่งมีมากที่สุด เหมาะแก่คนที่ไม่สู้จะโง่ และเหมาะแก่คนที่มีปัญญา มันต้องมีกันครบถ้วนอย่างนี้ มันเป็นการถูกต้องแล้วที่ต้องมีศาสนาหลายชนิด หลายระดับ ธรรมชาติมันต้องการอย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะมาทะเลาะกันทำไม จะมามั่วทะเลาะ จะมามัวขัดแย้งกันทำไมในระหว่างศาสนา ให้เขาสอนไปตามเหมาะสมแก่สถานการณ์ของเขาแหละ ก็ไม่ต้องเกิดการขัดแย้ง
ทีนี้ก็จะมีผลในทางตรงกันข้ามก็คือ ร่วมมือกันสิ นี่ช่วยศึกษาไว้ให้ดีๆ เถอะ ต้องร่วมมือกันได้ในระหว่างศาสนา แม้จะสอนกันอยู่คนละทิศทาง ทางศรัทธา ทางวิริยะ ทางปัญญา เพราะว่ามันอาจจะนำมาใช้เพื่อผลอันเดียวกันในหลักพื้นฐานทั่วไปก็ได้ คือการทำลายความเห็นแก่ตัว นี่ผมขอบอกแก่เพื่อนทั้งหลายทุกคนว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราไม่ค่อยจะสนใจกันน่ะ ไม่ค่อยจะพูดถึงกันคือความเห็นแก่ตัว ความทุกข์ในโลก วิกฤตการณ์ในโลก มาจากความเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัว มันจึงเป็นทุกข์เพราะภาระหนักที่มันยึดถือไว้ แล้วพอเห็นแก่ตัว มันก็เบียดเบียนผู้อื่น มันก็มีความทุกข์ไปถึงผู้อื่น ในเมื่อเห็นแก่ตัว มันก็ร่วมมือกันไม่ได้ ตกลงกันไม่ได้ เช่น เวลานี้เจรจาสันติภาพของโลก ร่วมมือกันไม่ได้ ตกลงกันไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว นี่ผู้ที่จะยึดครองโลกมันมีเป็นพวกๆ ขึ้นมาอย่างนี้ ต่างฝ่ายต่างก็เห็นแก่ตัว มันก็ตกลงกันไม่ได้ ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัวมันก็ตกลงกันได้ เรื่องมันก็จะสิ้นสุดไป ตกลงกันได้ มีสันติภาพขึ้นมาในโลก คอมมิวนิสต์ก็เห็นแก่ตัว นายทุนก็เห็นแก่ตัว มันพูดได้อย่างนี้ ตรงๆ อย่างนี้ แล้วมันจะร่วมมือกันได้อย่างไรเล่า มันร่วมมือกันไม่ได้ ฉะนั้นโลกนี้ก็ไม่มีวันสงบ ถ้ามันร่วมมือกันได้ มันก็ต้องไม่เห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัว มันก็เป็นโลกพระศรีอริยเมตไตรย (นาทีที่ 00:33:05) ขึ้นมาทันทีแหละ ไม่ต้องสงสัย เดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ในครอบครัวเดียวกันมันก็ยังกัดกันเพราะความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็ไม่มีวิกฤตการณ์ใดๆ แต่ทีนี้เมื่อดูถึงความเห็นแก่ตัวในโลกมันมีอยู่ จะระงับไปอย่างไร ก็ขอให้แต่ละคนๆ ถือศาสนาของตนๆ ให้ถูกต้องเถิด แม้จะเป็นศาสนาแห่งศรัทธาหรือความเชื่อ พระเจ้าก็สอนไม่ให้เห็นแก่ตัวอยู่แล้ว พระเจ้าเองก็ต้องการไม่ให้เห็นแก่ตัว ให้รักผู้อื่น ให้ไม่เห็นแก่ตัวเหมือนกัน แม้ศาสนาความเชื่อ แม้ศาสนาบังคับจิตใจ มันก็สอนไม่ให้เห็นแก่ตัว สอนให้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นี้มันก็บังคับจิตได้ มันก็ไม่เห็นแก่ตัว ส่วนศาสนาพุทธเราสอนด้วยปัญญาว่า มันไม่มีตัว โดยแท้จริงมันไม่มีตัว ถ้าเห็นไม่มีตัว ถ้าเห็นเรื่องไม่มีตัว มันก็ไม่เห็นแก่ตัวแหละ แต่แล้วเอามารวมกันได้ทั้ง ๓ พวกนะ สามารถจะกำจัดความเห็นแก่ตัวในโลกได้ด้วยกันทั้งนั้น นี่มันน่าที่ว่าองค์การสหประชาชาติจะเป็นเจ้ากี้เจ้าการในเรื่องนี้ จัดหรือกระทำให้ศาสนาทุกศาสนาได้ทำหน้าที่ของตนๆ คือกำจัดความเห็นแก่ตัว ศาสนาที่มีความเชื่อในพระเจ้า ก็เอามา ไปกำจัดความเห็นแก่ตัวเพราะความเชื่อในพระเจ้า ศาสนาที่เป็นการบังคับจิตก็เอามาสอนให้รู้จักบังคับจิต ไม่ให้เห็นแก่ตัว ศาสนาพุทธสอนให้รู้ด้วยปัญญาว่ามันไม่มีตัวเพราะสอนให้รู้ว่ามันไม่มีตัว มันรวมเป็นงานชิ้นเดียวกันระหว่างศาสนาทุกศาสนา ก็กำจัดความเห็นแก่ตัวในโลกออกไปเสียได้ มันก็พูดกันรู้เรื่อง มันก็มีสันติภาพ นี่เห็นไหมว่าเราต้องไม่ขัดแย้งกันอย่างนี้ แล้วมารวมกันแก้ปัญหาของโลกร่วมกันอย่างนี้ ซึ่งเป็นผลของความไม่ขัดแย้ง
นี่ยุติว่าทุกศาสนาแหละมันก็มีคุณสมบัติ คุณค่า ที่จะใช้บำบัดวิกฤตการณ์ในโลก คือกำจัดความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นเราอย่าไปดูถูกศาสนาอื่นว่าเป็นของโง่ มันก็จำเป็นแหละที่ว่ามันต้องมีศาสนาสำหรับคนโง่ ศาสนาสำหรับคนโง่น้อย สำหรับคนเกือบจะฉลาด หรือฉลาดหรือฉลาดมาก มันก็ต้องมีเป็นระดับๆ ไป เพราะมันไม่อาจจะถืออย่างที่มันไม่ถูกฝาถูกตัวกับตนเองได้ ฉะนั้นเป็นอันว่าตัดขาดออกไปเลยในการที่จะดูหมิ่นศาสนาอื่นว่าต่ำ ว่าอะไรอย่างนี้ ไม่ต้อง เขามีมาสำหรับเหมาะกับประชาชนพวกหนึ่งทีเดียว ขาดไม่ได้ ถ้าขาดแล้วเขา ประชาชนเหล่านั้นจะไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดถือ นี้มันอาจจะพูดต่ำลงไปถึงสิ่งที่เรียกว่า ไสยศาสตร์ จะเรียกว่าศาสนาไสยศาสตร์ก็ได้ ถ้ามันยังโง่มากถึงขนาดต้องพึ่งไสยศาสตร์ มันก็ต้องมีไสยศาสตร์ไว้ให้เขาแหละ มันยังเลิกไม่ได้ แล้วมันก็เลิกไม่ได้ของมันเองแหละ ถ้าคนที่ยังโง่ถึงขนาดที่ต้องพึ่งไสยศาสตร์ ยังมีอยู่เพียงใด ไสยศาสตร์ก็ยังมีอยู่ในโลกเพียงนั้นแหละ ไม่ว่าตะวันออกหรือตะวันตกหรือว่าที่ไหนหรอก สิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์มันก็ยังคงมีอยู่ เพราะว่าเขาไม่อาจจะถือศาสนา เพราะว่ามันสมอง สติปัญญา ความเชื่อ ของเขาไม่มีพอที่จะถือศาสนา ฉะนั้นเขาก็ต้องคว้าศาสนา คว้าไสยศาสตร์ไว้ก่อน เราก็ไม่ไปดูถูกเขาหรอกเพราะว่าเขามันมีความจำเป็นอย่างนั้น เท่านั้น มันต้องทำอย่างนั้น ฉะนั้นเราก็ไม่ดูถูกไสยศาสตร์ ทีนี้คนบางพวกเขาเห็นว่ามันจำเป็นอย่างนั้น เขาก็เอามาบวกกันเสียเลย มีไสยศาสตร์อยู่ในศาสนา ระวังให้ดี แม้ในพุทธศาสนาของเราก็มีไสยศาสตร์เข้ามารวมอยู่ด้วยเพื่อประโยชน์แก่คนพวกนี้ จะได้ดึงเข้ามาหาศาสนา แล้วก็ค่อยรู้ ค่อยๆ ละไสยศาสตร์ทีหลัง และก็บรรลุมรรคผลนิพพานไปตามหลักของพุทธศาสนา มาอยู่รวมกัน พร้อมหน้ากันทุกๆ ชนิด ทุกๆ ระดับ ทำความเข้าใจแก่กันและกันโดยปราศจากความขัดแย้งแก่กันและกัน
เดี๋ยวนี้มันก็เป็นความโง่ของมนุษย์เหล่านั้น ที่มันไม่รู้ว่าความจำเป็นต้องทำอย่างนี้ มันก็มีการศึกษาเรียกว่าเปรียบเทียบ ศาสนาเปรียบเทียบ แต่มันเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นความแตกต่างกัน มันมองแต่ที่จะเห็นความแตกต่างกัน เข้ากันไม่ได้ มันก็พบจริงๆ เหมือนกันแหละ มันก็จะพบแต่ในแง่ที่แตกต่างกันจนเข้าใจกันไม่ได้ มันไม่มองในทางที่จะเข้ากันได้ ถ้ามันจะมองในทางที่เข้ากันได้ มันก็จะพบอีกเหมือนกัน เข้ากันได้, เข้ากันได้, เข้ากันได้ เยอะแยะไปหมด เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัวมันทำให้อยากจะยกตัวแล้วกดขี่ผู้อื่น มันก็เพ่งเล็งไปในทางที่แตกต่าง ให้ฉันดีกว่า ให้ฉันอะไรไว้ ผมคิดว่าพุทธบริษัทไม่ต้องกระทำ พุทธบริษัทต้องไม่กระทำ และไม่ต้องกระทำเพื่อความเป็นอย่างนั้น ถ้าจะศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ ก็ขอให้ศึกษาในลักษณะที่ว่าแง่ไหนบ้างที่มันจะเข้ากันได้ แล้วมาร่วมมือกันกำจัดวิกฤตการณ์ในโลก นั่นแหละจะถูกต้องตามพระพุทธประสงค์ ทีนี้มันทำให้เกิดความเห็นที่แตกต่างกัน ขัดแย้งกัน ดีกว่ากัน จนสอนให้ลูกเด็กๆ ให้มีความเห็นขัดแย้งกัน เมื่อผมเด็กๆ ผมได้ฟังนิทานที่ผู้ใหญ่มันสอนให้เด็กๆ พูดขัดแย้งกัน ที่บ้านผมเกิด ที่พุมเรียง มันมีอิสลามด้วย พวกเด็กอิสลามเขาก็ว่า เด็กๆ อิสลามเขาก็ว่า พระเจ้า พระ ก็ศาสดาแหละของอิสลาม กินขนุน กินขนุนอยู่ แล้วพระของพวกมึง พวกพุทธน่ะ มาขอกินบ้าง แล้วพระของกูไม่ให้ แต่เอาเปลือกขนุนน่ะโปะหัวพระของมึง อย่างนี้นี่มันคิดได้อย่างไร เด็กๆ น่ะ ผู้ใหญ่มันสอนให้ คิดให้ ไอ้ข้างลูกเด็กไทยนี่ก็ไม่หยอก ไม่รู้ใครสอนให้เหมือนกันว่า พระของมึงน่ะเป็นลูกของหมา แล้วมันก็อาย ละอายว่าเป็นลูกของหมา มันเลยฆ่าหมา แล้วมันก็เอาไส้หมามาพันหัว พันหัวอย่างที่เห็นๆ อยู่นี่ นี่ผู้ใหญ่มันสอนให้ คนเหล่านี้มันไม่ได้คิดไปว่า ให้มันเข้ากันได้ ให้มันร่วมมือกันได้ มันส่งเสริมความแตกแยกกันไปเสียตั้งแต่เด็กๆ พอโตขึ้น, พอโตขึ้นมันก็ยึดถืออย่างนี้ นี่เป็นกรรมของสัตว์, เป็นกรรมของสัตว์ ที่ไม่รู้ว่าไอ้ความแตกแยกอย่างนี้ คือความเลวร้ายหรืออุบาทว์ในหมู่มนุษย์ ฉะนั้นเราอย่าไปมองในแง่ที่จะให้มันแตกแยก ขัดแย้ง แต่มองในแง่ใดบ้างที่มันจะเข้ามาหากันได้, เข้ามาหากันได้ แล้วก็ร่วมมือกันได้ในที่สุด
ทีนี้มันก็มาถึงการคิดทำลายกันระหว่างศาสนา มันมีแผนการที่ทำลายศาสนาอื่น ข้อนี้ก็เคยเป็นปัญหาฉาวโฉ่อะไรอยู่บ่อยๆ แหละ เช่น จะปล้นสาวกของศาสนาอื่นไป มองดูให้ดีเถอะ ถ้าว่าปล้นเอาไปได้แล้วละก็ ก็ไม่ใช่สาวกของศาสนานั้นหรอก มันเป็นคนไม่มีศาสนา เช่นว่าในเมืองไทยมีถือพุทธศาสนา จดทะเบียนเป็นพุทธบริษัทนี่ แต่แล้วก็ถูกดึงไปเป็นศาสนาอื่นได้ด้วยอำนาจเงิน เป็นต้น ก็ดูสิไอ้ที่เขาเอาไปได้นั่นมันไม่ใช่พุทธบริษัท มันไม่ได้ถือพุทธศาสนา มันไม่รู้พุทธศาสนา มันไม่เข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนา มันก็ดึงเอาไปได้ คนชนิดนี้โดยมากยังถือศาสนาประโยชน์ จดทะเบียนว่าถือพุทธศาสนา แต่หัวใจเนื้อแท้เขาถือศาสนาประโยชน์ อะไรเป็นประโยชน์นั่นน่ะคือศาสนาของเขาล่ะ จนมีคำพูดขันๆ ว่าถือศาสนาฮิตาชิก็มี เพราะว่ามันได้รับประโยชน์จากบริษัทฮิตาชิ เขาทำทุกอย่างเพื่อบริษัทฮิตาชิ นี่คนญี่ปุ่น มัน มันถือศาสนาประโยชน์ ไม่ใช่พุทธ ไม่ใช่คริสต์ ไม่ใช่อิสลาม แต่เป็นศาสนาประโยชน์ ถือศาสนาประโยชน์ ถ้าเขาถือศาสนาประโยชน์ ซื้อตัวไปได้ง่ายที่สุด พวกไหนก็ได้ เอาเงินมาซื้อตัวที่จดทะเบียนว่าพุทธบริษัทไปก็ได้ เอาผู้หญิงมาซื้อตัวพุทธบริษัทไปเป็นศาสนาอะไรก็ได้ เพราะว่าเขาถือศาสนาประโยชน์ อย่างนี้ก็รู้ไว้เถอะว่ามันเป็นเรื่องของคนไม่รู้, ไม่รู้, ไม่รู้ ไม่รู้ตัวศาสนาว่าเป็นอย่างไร ถ้าศาสนาคริสต์ซึ่งเป็นศาสนาศรัทธา จะมาปล้นเอาบริษัทของศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนาปัญญา นี่มันจะทำได้หรือ, มันจะทำได้หรือ คิดดู มันทำไม่ได้หรอก ถ้ามันเป็นพุทธบริษัทจริง มันมีปัญญาจริง มันซื้อเอาไปไม่ได้ แต่นี่มันไม่ได้เป็นพุทธบริษัทจริง มันเป็นผู้ถือประโยชน์เป็นศาสนา มันก็ซื้อตัวเอาไปได้ แล้วก็เห็นว่าชนะแล้ว, ชนะแล้ว ที่จริงมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าว่ามันมีความเหนียวแน่นในศาสนาของตนๆ ศรัทธาก็ดี วิริยะก็ดี ปัญญาก็ดี แล้วไม่มีใครซื้อไปได้หรอก ถ้าซื้อเอาไปได้ แย่งเอาไปได้ ก็มันคือคนโง่ที่มันไม่มีศาสนา มันถือศาสนาประโยชน์ ต้องเห็นได้ มันไม่เกี่ยวกับศาสนาเสียแล้ว ถ้ามันเป็นศาสนาโดยแท้จริงมันก็ซื้อไปไม่ได้ เขาพอใจที่จะใช้ความดับทุกข์โดยวิธีการอันนี้, อันนี้, อันนี้ ตามแบบของตนๆ
ทีนี้ก็ดูกันต่อไปถึงข้อที่ว่า เราถือตัวว่าหรือดำรงตัวอยู่ในลักษณะปัญญาชน เป็นศาสนาของปัญญาชน แล้วจะเอาคนโง่ไปเก็บไว้ที่ไหน นี่ท่านกำลังจะเป็นบัณฑิตทางศาสนา จะถามปัญหาว่า ถ้าศาสนาของเราเป็นศาสนาของปัญญาชน คนโง่จะไปอยู่ที่ไหน จะเก็บไว้ที่ไหน หรือจะไม่สอนกันเลย มันก็จะต้องมีวิธีการอันหนึ่งที่จะให้ปัญญา, ปัญญาน่ะมันลงไปในใจของคนโง่ หรือฝังอยู่ในคนโง่ หรือให้โอกาสแก่คนโง่จะได้ถือเอาได้ ข้อนี้จะต้องพูดถึงมหายานก่อน ถ้าว่าคุณเห็นว่ามหายานเป็นผู้ผิด หรือเป็นข้าศึก หรืออะไรอย่างนี้ ขอให้เลิกเถอะ, เลิกเถอะ อย่าคิดว่าเป็นข้าศึก หรือเป็นปรปักษ์ หรือเป็นตรงกันข้าม หรือเป็นมิจฉาทิฏฐิ มหายานมันเกิดขึ้นเพราะเขาเล็ง ลึก อ้า, ต่ำลงไปถึงคนโง่ซึ่งมีอยู่มากในโลก ในปัญหาที่ว่าอย่างนี้ แล้วคนโง่อย่างนี้มันเข้าถึงอนินิพพาน (นาทีที่ 47:20)ไม่ได้ รู้อนัตตา สุญญตา ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร ซึ่งมันก็มีอยู่มากในโลก ฉะนั้นเขาจึงคิดหาทางวิธีขยายออกไปจนถึงกับจับคนพวกเหล่านี้ไว้ให้ได้หมด แล้วกล้าประกาศเรียกตัวเองว่า มหายาน ยานที่ใหญ่หลวงคือจะเอาไปหมด ก็มีวิธีการที่ลดลงไป, ลดลงไป ให้มันเหมาะสำหรับคนชั้นสติปัญญาด้อย ปัญญาต่ำ ปัญญานั่น กระทั่งคนโง่นั่นแหละ ให้ได้ ถ้ามิฉะนั้นมันจะเสียท่าแก่ศาสนาอื่น ศาสนาอื่นซึ่งมิใช่พุทธศาสนา แต่เขามีอะไรไว้มากพอสำหรับคนที่ไม่มีปัญญา คนไม่มีปัญญาก็หันไปนับถือศาสนาอย่างนั้นกันหมด ในพุทธศาสนาก็จะโหรงเหรง แล้วท่านคิดหาวิธีให้มันง่ายเข้า, ให้มันง่ายเข้า, ให้มันง่ายเข้า จนพอที่ว่าคนไม่มีปัญญาก็จะมาอยู่ในกระแสแห่งปัญญาได้ ให้คนโง่มาอยู่ในกระแสแห่งปัญญาได้ ผมก็ขอแสดงอาบัติสารภาพความผิดว่า ผมก็เคยคิดอย่างนั้นว่า มหายานนี่ไม่ได้การ มันหลอกลวงหรือว่าวิปริต นอกลู่นอกทางออกไป แต่เดี๋ยวนี้ผมมีความเห็นเปลี่ยนแล้วเพราะว่าศึกษามานานแล้ว ว่ามันเป็นความจำเป็นที่เขาจะต้องทำอย่างนั้น มิฉะนั้นจะเอาคนโง่ไปเก็บไว้ที่ไหน จึงบัญญัติให้ง่ายเข้า, ให้ง่ายเข้า ให้มีสวรรค์ที่เป็นที่พอใจ เป็นที่ล่อใจ มีพระพุทธเจ้าให้หลายๆ ชนิด มีพระพุทธเจ้าประจำอยู่ในทุกโลกธาตุ ในนรกก็มีพระพุทธเจ้า ในมนุษย์ก็มีพระพุทธเจ้า ในหมู่เปรตก็มีพระพุทธเจ้า ดูภาพเขียนสิ ให้คนที่โง่ที่สุดมีที่ยึดถือ แต่ไม่ใช่ยึดถือเพื่อโง่ ยึดถือเพื่อฉลาด ข้อนี้เห็นได้กับมหายาน ที่ว่ามหายานจริงๆ มหายานกว้าง มหายานกวาดคนโง่ให้หมดนี่ ก็คือนิกายสุขาวดี สุขาวดี มีพระพุทธเจ้าอมิตาภะ พระพุทธเจ้าอมิตาภะมีโพธิสัตว์ มีอะไรสำหรับจะคอยดูโลกแทนพระพุทธเจ้า คอยจัดการ คอยช่วยเหลือ คอย มีลักษณะเหมือนกับพระอิศวร พระอิศวรฝ่ายฮินดู นี่ชาวพุทธก็เกิดมีพระอิศวรสำหรับชาวพุทธ คืออวโลกิเตศวรอย่างรูปปั้นนั้นน่ะ สำหรับคอยดูแล คอยช่วยเหลือ ให้ทุกคนหมุนไป มุ่งหมายไปที่นั่น อมิตาภะ มีพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร คอยช่วยดูโลกทั้งโลก มีตารา มีบริวาร มีอะไรต่างๆ แล้วผู้ที่อยากจะไปสู่สุขาวดีของอมิตาภะนี่ ให้ออกชื่อ อมิตาภะ อมิตายุ น่ะ ๘๐,๐๐๐ ครั้งนะ แล้วก็แน่นอน พอตายลงก็มีรถมารับ พอเจ็บหนัก รถมาอยู่บนหลังคาแล้ว พอตายลงก็รับไปเลย ไปสุขาวดี มันก็ง่ายสิ, มันก็ง่ายสิ แล้วมันก็เหมาะสำหรับทุกคน ทุกคนได้ ทุกคนถือได้ พวกอาซิ้มเขาว่าอย่างนั้นทั้งนั้น อาซิ้มโรงเจ นำ-โม-ออ-มี-ทอ-ฮุก, นำ-โม-ออ-มี-ทอ-ฮุก (นาทีที่ 0:51:00) เกิน ๘๐,๐๐๐ ครั้งเสียอีก นี่ลองคิดดูสิว่า อมิตาภะ มีแสงสว่าง คำนวณมิได้ ประมาณมิได้ อมิตายุ มีอายุที่คำนวณไม่ได้ มันเป็นเรื่องอสังขตะ มันเป็นเรื่องความหลุดพ้น แต่คนโง่เข้าใจไม่ได้, เข้าใจไม่ได้ แต่ถ้าให้เอามาพูดอยู่เสมอ, มาพูดอยู่เสมอ ตั้งหมื่นๆ ครั้ง มันคงจะค่อยๆ แฉลบเข้าไป, แฉลบเข้าไป ค่อยๆ รู้ความหมายของคำว่า อายุที่คำนวณไม่ได้ แสงสว่างที่คำนวณไม่ได้ ก็คือสิ่งที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุง เป็นอสังขตะ นี่ช่วยดึงคนโง่ไว้ให้อยู่ในขอบเขตอันนี้ แล้วก็ให้บทเรียนที่ให้เขาเรียนอยู่เสมอ ค่อยๆ เข้าใจไปทีละน้อยๆ ว่า อมิตาภะ อสังขตธรรม มีแสงสว่างประมาณมิได้ มีอายุประมาณมิได้เพราะไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง นั่นน่ะมันก็ค่อยๆ รู้เข้าไปได้ บางทีมันก็จะรู้ก่อน ก่อนตายก็ได้ นี่คือความฉลาดหรือลึกซึ้งหรือหลักแหลมของมหายานที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา ก็อย่าเห็นเป็นเรื่องหลอก เป็นเรื่องทุจริตแหวกแนว นอกแนวอะไร มันเป็นแผนการที่ละเอียดที่จะดึงคนโง่หรือว่าโง่ที่สุดก็ได้ ให้เข้ามาอยู่ในขอบวงอันนี้จนได้ ในร่องรอยนี้จนได้ ผมก็คิดว่า ควรจะขอบใจมหายานที่เขามีแผนการที่จะดึงคนโง่ทุกชนิดเข้ามาตามระดับ, ตามระดับ, ตามระดับ ดังนั้นมหายานจึงต้องมีสูตรใหม่ๆ พอสมควร, พอสมควร ขึ้นมาเป็นแบบของตน, ของตน, ของตน และนิกายย่อยเหล่านั้นก็ถือสูตรใดสูตรหนึ่งเป็นหลักของนิกายทั้งนั้นแหละ สัทธรรมปุณฑริกสูตร ไวปุลยสูตร อะไรสูตรก็ตาม มันก็มีเค้าเงื่อนที่จะดึงคนไปสู่เรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ทั้งนั้น สูตรมหายานทุกสูตรแหละ มันจะไปจบหัวใจอยู่ที่ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ทั้งนั้นเลย นี่มันสูงสุดถึงขนาดนี้ แต่ขั้นต้นๆ หรือท้องเรื่องนั้นมันมาต่ำจนถึงกับว่า มากวาดเอาคนโง่ อย่างลังกาวตารสูตรนี่ พูดถึงแต่เรื่องไม่กินเนื้อ ไม่กินปลา อย่างที่พวกไม่กินเนื้อไม่กินปลาถือเป็นมหายานนั่นน่ะ แต่ในหัวใจของสูตรนั้น กลายเป็นเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ เหมือนกัน นี่คุณจำไว้เถอะ ถ้าว่ามหายาน ล่ะก็ มันก็มีหัวใจเหมือนกับเรา ที่ว่าจะสอนความไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ และมันก็เหมือนกันหมดแหละ จะเป็นมหายานนิกายไหน ถ้ามันเข้าถึงหัวใจ มันก็สอนไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ทั้งนั้นแหละ แม้อมิตาภะของอาซิ้มก็เหมือนกัน ถ้าเข้าถึงความหมายของอมิตาภะ อมิตายุแล้ว มันก็เป็นเรื่องปล่อยวาง เรื่องหลุดพ้นด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นเราจงหาทางที่จะร่วมมือกัน เข้าใจกัน จับมือกัน ช่วยกันใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ทุกๆ ระดับของคน
นี่เป็นความเก่งที่ว่าจะต้องมองเห็นหัวใจสูงสุดซึ่งมีเพียงอย่างเดียว คือความไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ถ้าไม่มีหลักเกณฑ์อันนี้แล้วไม่ใช่พุทธศาสนา จะเถรวาทหรือจะมหายานก็ตามใจ เพราะหัวใจมันอยู่ที่ว่าเรื่องอนัตตา เรื่องไม่มีอะไรที่ยึดถือเป็นตัวตน ใช้คำรวมๆ ว่าไม่ยึดมั่นให้ขันธ์ ๕ สูตรของมหายานเหล่านั้นก็ยังแจกแจงขันธ์ ๕ จนชัดๆ เป็นขันธ์ ๕ ไม่มีตัวตนในขันธ์ ๕ อย่างนี้เสมอไป นี่เรียกว่าไม่มีข้อขัดแย้งแม้ระหว่างเถรวาทกับมหายาน มหายานแม้ว่านิกายทิเบต มันก็ยังมีหลาย, หลาย, หลายสาขา แต่ละสาขาก็มีอะไรปน, ปน, ปนเข้าไปตามแบบความจำเป็นของท้องถิ่น แต่หัวใจยังคงอยู่ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ แต่คนโง่เข้าถึงไม่ได้นะ เข้าใจยากนะ แม้เราเรียนกันอยู่ นักธรรมเอก นักธรรมโท ก็ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ไม่ยึดมั่นในขันธ์ ๕ น่ะ ระวังให้ดีๆ เถอะ แล้วจะให้คนโง่ พื้นบ้าน รู้ถึงได้อย่างไร ก็ต้องมีอะไรอันหนึ่งมาดึงไปล่อไป, ดึงไปล่อไป ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป จนไม่ยึดมั่นในขันธ์ ๕ จะเป็นวัชรยาน มันตรยาน อะไรยาน กี่ยานก็สุดแท้เถอะ ที่มันเป็นปัญญา ก็เป็นปัญญาไป แต่มันก็มีแก้ไขลดลงมา, ลดลงมา ให้เหมาะสำหรับคนที่ไม่สู้จะมีปัญญา กระทั่งคนโง่ เถรวาทเราจะลืมไปหรืออะไรก็ไม่ทราบ เพราะไม่รู้หรือไม่รู้สึกตัวหรือลืมไปก็ไม่ทราบ ไม่ค่อยคิดถึงสิ่งเหล่านี้ แล้วกลับปล่อยให้ไสยศาสตร์ดันเข้ามา ให้ไสยศาสตร์เข้ามา มาผนวกเป็นสำหรับไอ้คนที่โง่หรือฉลาดน้อย อย่างนี้ใครจะเสียหายกว่ากัน
เอ้า, นี่ผมถึงเวลาที่จะฉันเพล ถ้าผู้ใดจะไปฉันเพล ก็นิมนต์ ไม่เป็นไร ลุกไปได้ แต่ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องของคนอ่อนแอหรือขี้ขลาดที่ยังต้องฉันเพล เราพูดได้เลยว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยฉันเพลจนตลอดชีวิต เราพูดได้เลย แล้วท่านก็ยังขอร้องว่าเธอทั้งหลายจงมีอาสนะแห่งเดียวในการบริโภคอาหารเถิด ขอร้องเหมือนกับวิงวอนอย่างนี้ แต่ถ้าใครยังจะเอา ก็นิมนต์เถิด ดูเหมือนเขาจัดไว้ให้ ไม่เสีย, ไม่เสียมรรยาท นิมนต์เถอะ นิมนต์ แต่ดูมันเป็นเรื่องของคนขี้ขลาดหรืออ่อนแอ พระบางองค์เขาไม่ฉันตั้ง ๗ วัน ฉันน้ำตาลวันละก้อน น้ำตาลสี่เหลี่ยมวันละ ๑-๒ ก้อน อยู่ตั้ง ๗ วัน มันก็อยู่ได้สบายกับน้ำ นี่เรามันยังจะขลาดเกินไป แล้วไม่รู้ความจริงว่าไอ้สังขารนี่มันทนได้ถึงอย่างนี้ นี่มันจะกลายเป็นโง่ เรื่องอ่อนแอมันจะกลายเป็นขลาด เรื่องขลาดมันจะกลายเป็นโง่ ฉะนั้นวินิจฉัยเอาเอง เลือกค้นเอาเองจะทำอย่างไร นิมนต์สิถ้าจะไปฉัน ก็ไป เถอะ ไม่ ไม่อะไรหรอก เรื่องยังไม่จบ
วัดโบราณเก่าๆ เอ้า, ไม่มีใครไปเหรอ นิมนต์เถอะ ไม่เสียมรรยาทหรอก นิมนต์เถอะ ไปเถอะ นิมนต์เถอะ จะไปก็ไปเถอะ ถ้าใครจะไป กลัวตายก็ไปเถอะ
วัดที่เก่าถึงสมัยศรีวิชัย ๑,๐๐๐ กว่าปีในไชยานี่ก็มีมาก เขายังมีโบสถ์อีกโบสถ์หนึ่งเรียกว่า โบสถ์พราหมณ์ อยู่หน้าโบสถ์ หน้าวัด ก็เพื่อว่าลูกเด็กๆ หรือผู้หญิงมาถึงก็ไหว้โบสถ์พราหมณ์กันก่อน ตามความคิดนึกง่ายๆ ของผู้หญิงหรือเด็กๆ ให้เป็นที่แน่ใจ สบายใจแก่คนเหล่านั้นแล้วจึงเข้าไปในวัด หรือถ้าเข้าไปทางหลังก็ไปอีกไปถึงโบสถ์พุทธ ก็ศึกษาคัมภีร์อะไรกันตามแบบพุทธ นี่เข้าใจว่าผู้ปกครองบ้านเมืองเขาเห็นความจำเป็น, ความจำเป็น ที่จะต้องเอามาผนวกกันอย่างนี้ เพื่อจะดึงเอาไว้ได้ทั้งสองพวก ในศีลธรรม ให้ตั้งอยู่ในศีลธรรม แม้จะเป็นฮินดูหรือเป็นศาสนาพราหมณ์มันก็มีศีลธรรม เรื่องไม่ทำบาป เรื่องทำกุศล เรื่องสวรรค์ เรื่องนรก เรื่องอะไรเหมือนกัน เลยเอามาผนวกกันเข้าไว้เสียเลย ด้วยเหตุนี้ในโบสถ์ในวัดของเราจึงมีเรื่องของฮินดู-พราหมณ์ ซึ่งมันง่าย เข้ามารวมอยู่ด้วย แล้วที่มันจริงยิ่งกว่านั้นก็คือว่า ก่อนแต่พุทธศาสนาจะเข้ามาสู่ดินแดนไทยเรานี่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมันมาก่อน พวกอินเดียน่ะมาสุวรรณภูมิตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ก่อนนั้นแล้วดังปรากฏในชาดก ชาวอินเดียมาสุวรรณภูมิมาค้าขายตั้งแต่ก่อนพุทธกาล คือทางนี้น่ะ คนเหล่านั้นถือศาสนาเดิมของอินเดียนั่นคือศาสนาพราหมณ์ และก็เก่งสูงสุดแค่อุปนิษัท มีตัวตน เวียนว่ายตายเกิด มีนรก-สรรค์ตามแบบนั้น เข้ามาสอนไว้เป็นพื้นฐานแก่จิตใจของคนที่นี่เสียแล้วตั้งแต่ก่อนพุทธศาสนาจะมาถึง หรือมันอาจจะเป็นไปได้ถึงกับว่า ไทย, ไทย ก่อนโน้น ไทยก่อนโน้น ก่อนที่จะลงมาที่แหลมทองนี้ก็ตาม มันอาจจะถือลัทธิอย่างนี้อยู่แล้ว มีเชื่อ เวียนว่ายตายเกิด มีนรก-สวรรค์อย่างนี้เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ยิ่งมันได้รับของพวกอินเดียเพิ่มเข้าไปอีก มันก็ยิ่งแน่นแฟ้น ก็เป็นลัทธิประจำชาติมาเรื่อยๆ มา พอพระพุทธศาสนาเข้ามา จะมาสอนดีกว่านั้น สูงกว่านั้น เรื่องตัวตน อ้า,เรื่องไม่มีตัวตนน่ะมันลำบาก, มันลำบาก เพราะเรื่องตัวตนมันฝังแน่น อ่านดูในตำนานเถอะ ตำนานที่ว่าสังคายนา เรื่องอะไรต่างๆ ที่ว่ามา ส่งพระเถระ พระโสณะ-อุตตระ มาสู่แคว้นสุวรรณภูมิ ต้องมาต่อสู้รบราฆ่าฟันกับพวกยักษ์ พวกปีศาจ พวกรากษส พวกอะไรตั้งมากมาย และยังกล่าวไว้ด้วยว่าใช้พรหมชาลสูตร นี่มันเรื่องเพิกถอนตัวตน, ตัวตน, ตัวตน ตายแล้วเกิด เอ้อ, ตายแล้วไม่เกิดแน่ ท่านสอนด้วยพรหมชาลสูตร มาปราบยักษ์ ปราบมาร คือปราบทิฏฐิอันฝังแน่นเหล่านั้นให้ออกไป แล้วจึงรับนับถือพุทธศาสนาได้ นั่นน่ะมันจะเกิดเห็นความจำเป็นขึ้นมาว่า ไอ้พวกนี้ถืออย่างนี้ เชื่ออย่างนี้ มันก็เป็นรากฐานของศีลธรรม ถ้ามันถืออย่างอื่นไม่ได้มันก็ต้องถืออย่างนี้ไปก่อน เข้าใจว่าการปกครองสมัยนั้น พระราชามหากษัตริย์ผู้มีอำนาจคงจะยกกันขึ้นพร้อมทั้งสองฝ่าย ที่ถือพุทธโดยแท้จริงไม่ได้ก็ถืออย่างที่มีพื้นฐาน มีหลักการ เหมือนกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อเวียนว่ายตายเกิด นรก-สวรรค์ ตามแบบนั้น อย่างที่มันสอนอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า แล้วเดี๋ยวนี้มันก็ยังเลิกไม่ได้ใช่ไหม ในกรุงเทพฯ นั่นแหละคุณดูเถอะ ในกรุงเทพฯ นั่นแหละ มันก็ยังเลิกไม่ได้ มันก็ยังต้องมีอย่างที่เรียกว่าไสยศาสตร์แม้ในโบสถ์นั่นแหละ มันจำเป็นอย่างนี้, มันจำเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นแก้ปัญหานี้ให้หลุดลุ่ยไปด้วยการประสานร่วมมือกันให้ดีๆ, ร่วมมือกันให้ดีๆ มุ่งหมายใช้ทุกศาสนา ทุกลัทธิย่อยของศาสนา ทุกรูปแบบ เอามาใช้ร่วมกันในการทำลายความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ข้อนี้ต้องขอร้องให้คิดเป็นพิเศษ ให้ศึกษาเป็นพิเศษ, ศึกษาเป็นพิเศษว่า โลกปัจจุบันมันกำลังเดือดร้อนเพราะความเห็นแก่ตัว สมัยโบราณพุทธกาลก่อนโน้นมันน้อย เพราะว่ามันไม่ค่อยจะเห็นแก่ตัว เพราะว่าความเจริญทางวัตถุมันไม่ค่อยจะมี ความเจริญทางวัตถุนั่นแหละตัวดี ตัวที่ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว ยิ่งมากก็ยิ่งเห็นแก่ตัวมาก, ยิ่งเห็นแก่ตัวมาก เดี๋ยวนี้ก็ยิ่งเห็นแก่ตัวที่สุด โลกจึงเป็นอย่างนี้ เมื่อยังไม่มีความเจริญทางวัตถุ มันก็ไม่รู้จะเห็นแก่ตัวในแง่ไหนกัน ความสุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อย มันก็ไม่ค่อยจะถูกส่งเสริมกันมากเหมือนเดี๋ยวนี้ แล้ววัฒนธรรมเก่าๆ แม้แต่ของคนป่านะ อย่าไปดูถูกวัฒนธรรมคนป่า มันก็มีในทางรักผู้อื่น ไม่เบียดเบียนกันเพราะมันเห็นแก่ตัวน้อย คนป่าเห็นแก่ตัวน้อยเพราะไม่มีเหตุส่งเสริมความเห็นแก่ตัว มันก็มีความเห็นแก่ตัวน้อย คนป่ามันก็เบียดเบียนกันน้อย พอค่อยเป็นคนบ้านคนเมืองขึ้นมา เจริญทางวัตถุขึ้นมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยนี้ สิ่งที่ส่งเสริมความเอร็ดอร่อยของตัวมันมากเหลือเกิน ความเห็นแก่ตัวมันก็มาก ฉะนั้นหน้าที่ที่จะทำลายความเห็นแก่ตัวของยุคปัจจุบันนี้มันจึงมาก มากมหาศาล ยากที่จะทำลายได้ง่ายๆ ได้เด็ดขาด ฉะนั้นถ้าว่าไม่มีอะไรมาตั้งใจ ร่วมมือกัน ทำให้จริงจังแล้ว โลกนี้ก็จะเดือดร้อนอย่างนี้หรือจะวินาศไปในที่สุด ถ้าเขาจะเกิดใช้ปรมาณูทั้งหลายที่สะสมเข้าไว้ ออกมาเท่านั้นแหละ โลกนี้มันก็วินาศ ที่มันต้องใช้ ก็มันก็เพราะความเห็นแก่ตัวน่ะ ถ้าว่าจะหลีกเลี่ยงอันตรายอันร้ายกาจนี้ก็ต้องทำลายความเห็นแก่ตัว ให้ทุกศาสนาร่วมมือกันทำลายความเห็นแก่ตัว ตามแบบของตนๆ, ของตนๆ ศาสนาที่มีความเชื่อหรือศรัทธาเป็นหลักก็ใช้ศรัทธานั่นแหละทำลายความเห็นแก่ตัว ที่มีการบังคับจิตอยู่ในอำนาจเป็นหลัก ก็บังคับจิตนั่นแหละไม่ให้เห็นแก่ตัว ถ้าสอนเรื่องปัญญา เห็นอนัตตา ก็ใช้ปัญญาเห็นอนัตตานั่นแหละทำลายความเห็นแก่ตัว นี่เรียกว่าศาสนาจะต่ำสุดอย่างไร ก็เอามาเป็นเพื่อนเกลอกัน ทำลาย ช่วยกันทำลายความเห็นแก่ตัวได้ นี่ถ้าเผอิญในโลกมันมีใครจัดการได้อย่างนี้ โลกนี้ก็จะปลอดภัย เราหวังกันอยู่ว่าสหประชาชาติจะเป็นผู้จัดให้โลกนี้มีสันติภาพ เขาเคยคิดถึงเรื่องนี้กันหรือเปล่า ดังนั้นถ้าใครมีปัญญา สามารถอย่างใดบ้าง ผมขอร้องให้ช่วยทำให้สหประชาชาติมันเหลือบมองมาที่นี่ ที่ศาสนาทั้งหลายในโลกจะช่วยกำจัดความเห็นแก่ตัว แล้วโลกนี้มันก็จะลดความเห็นแก่ตัว มันจะพูดกันรู้เรื่อง อเมริกันกับรัสเซียมันจะพูดกันรู้เรื่อง แล้วมันก็จะตกลงกันได้ โลกนี้มันก็จะปลอดภัย ถ้ายังมีความขัดแย้งระหว่างศาสนากันอยู่ มันก็ไม่ร่วมมือหรอก แม้เขาจะเชิญมา มันก็ไม่ไปร่วมมือ เพราะมันก็กำลังโกรธ กำลังขัดแย้ง กำลังจะทำลายกันอยู่ที่นี่ นี่เป็นเรื่องบ้าบอที่สุดใช่ไหม เรื่องที่ศาสนามันมีความขัดแย้งและมุ่งหมายจะทำลายแก่กันและกัน นี่มันเป็นเรื่องบ้าบอที่สุด ช่วยกันต่อต้านให้ดีๆ แล้วเราก็ศึกษาศาสนาทุกศาสนา และทุกแขนงปลีกย่อยของแต่ละศาสนาว่า มันใช้ได้ทั้งนั้นในการจะทำลายความเห็นแก่ตัวของโลกนี้
เดี๋ยวนี้มันก็จะมีเถรวาท มหายาน แล้วก็มีแตกแขนงออกมาอันหนึ่ง คือเซน เซนนี่อย่าไปจัดมันเป็นมหายานนะ มันใช้กับคนโง่ไม่ได้ มันไม่อาจจะใช้แก่ทุกคนได้ และมันก็เป็นก้ำกึ่งระหว่างเถรวาทกับมหายานรวมกันอยู่ ในเซนมันมีเถรวาทด้วย มีวิธีอย่างมหายานด้วย แล้วมันก็มีแปลกที่ว่ามันทำคราวเดียวทั้งสมถะและวิปัสสนา มันไม่แยกออกเป็น ๒ เรื่องเหมือนพวกเรา เถรวาทหรือมหายานมันแยกสมถะออกเป็นเรื่องหนึ่ง วิปัสสนาเป็นเรื่องหนึ่ง ทำกันทีละเรื่องทำกันทีละคราว มันก็ถูกพวกเซนเขาหาว่าเป็นนิกายเฉื่อยชา นิกายงุ่มง่าม ส่วนเซนก็เป็นนิกายฉับพลันรวดเร็ว เพราะมันมีวิธีคิดทีเดียวพร้อมกันทั้งสมถะและวิปัสสนา คือทั้งสมาธิและปัญญามันเบ่งออกมาพร้อมกัน มันจึงไม่ใช่เถรวาท มันจึงไม่ใช่มหายาน แต่มันก็มีเรื่องทำลายความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ไปดูสูตรที่เป็นรากฐานของนิกายเซนทุกสูตร ทำลายความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ทั้งนั้นเลย
จะเป็นมหายาน เป็นเถรวาท หรือเป็นนิกายเซนใหม่ๆ หรือถ้าใครจะคิดนิกายอะไรขึ้นมาอีก ก็มันหลีกไม่พ้นหรอกที่จะต้องมุ่งทำลายความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ฉะนั้นขอให้สอนกันให้เข้าใจถูกต้องในหมู่พวกเรา ในระดับนักศึกษามหาวิทยาลัยนี่ อย่าลืมเรื่องสำคัญที่สุดของหัวใจพุทธศาสนาคือทำลายความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ทำลายความยึดมั่นถือมั่นในชีวิต ถ้าพูดอย่างให้มันฟังกันง่ายๆ ก็ยึดมั่นถือมั่นในชีวิต อยู่ในตัวกู ความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตนน่ะมันมีอยู่ในชีวิตหรือในรูป-นาม หรือในขันธ์ ๕ หรือในอายตนะ ๖ แล้วแต่จะเรียก แต่ที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า ชีวิต, ชีวิต, ชีวิตที่เป็นไปตามสัญชาตญาณมันก็มี การยึดถือว่าตัวตนตามแบบของสัญชาตญาณ ไอ้ตัวกูของกูที่เป็นความรู้สึก มันไม่ใช่ของจริง มันเกิดขึ้นมาจากความไม่รู้ เราเรียกว่าความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน แล้วก็เป็นเหตุให้เห็นแก่ตน เพราะมันมีตัวตนมันจึงเห็นแก่ตน เรียกว่า egoism ตามคำฝรั่งก็ดูมันจะง่าย มันรวมได้ทั้งมีตัวตนและมีความเห็นแก่ตน มันเลยมีชีวิตขึ้นมา ๒ แบบ ชีวิตแบบที่มี egoism จับไปด้วยความเห็นแก่ตน ของตน และชีวิตที่ปราศจาก egoism ไม่มีความเห็นแก่ตนและของตน มันมี ๒ ชีวิต ชีวิตมีตัวตน มีตัวกู มันก็ร้อนเป็นไฟ ถ้าปราศจากตัวตนมันก็เย็น เย็นเป็นนิพพาน เอ้อ, ตรงนี้อยากจะขอร้องหน่อย พวกเราอย่าสอนว่า นิพพานคือตายนะ นิพพาน แปลว่า เย็นและไม่ต้องตายนะ ถ้าจะให้เป็นกริยาตาย คือตายแห่งร่างกายนี่ ในบาลีเห็นอยู่แล้ว พบคำว่า ปรินิพพาน เช่นว่าการปรินิพพานจักมี ๓ เดือนแต่นี้ ใช้คำว่า ปรินิพพาน หรือตถาคตจักปรินิพพาน ๓ เดือนแต่นี้ ใช้คำว่า ปรินิพพาน ถ้าคำว่า นิพพาน ไม่ได้หมายถึงตาย ไม่เกี่ยวกับความตายด้วย เย็น อยู่ที่นี่ นิพพุโต, นิพพุโต ชีวิตเย็น เหมือนกับให้ศีลแล้วก็บอกว่า สีเลนะ นิพพุติง ยันติ นี่คือเย็นที่นี่ ยังไม่ทันตาย นิพพุโต นู นสา นู นโส ปิโต นิพพุตา นู นสา มาตา สาปิยา
นิพพุตา, นิพพุตา น่ะแปลว่า เย็นทั้งนั้น ไม่ได้แปลว่าตาย ชีวิตเย็นที่นี่และเดี๋ยวนี้ ดังนั้นชีวิตที่ปราศจาก egoism ก็เย็น ชีวิตที่เต็มไปด้วย egoism ก็ร้อน เราเรียนกันให้ดีๆ ปราศจาก egoism ก็คือไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนในชีวิต ในนาม-รูป ในเบญจขันธ์ ในอายตนะ ที่มันกำลังแสดงบทบาทอยู่ นั่นแหละจะสอนหัวใจพุทธศาสนาได้ถูกต้อง ไม่มีเรื่องนี้ พ้นจากเรื่องนี้แล้วจะไม่เป็นพุทธศาสนา ถ้ามันไม่มีเรื่องนี้มันก็เป็นตัวตน มีตัวตน เป็น Hinduism เป็นอะไรไป มันมีตัวตน ตัวตนที่ดีที่สุด มองเห็นให้เห็นว่า มันสุดท้ายแล้ว วัฒนธรรมทางความคิดนึกเกี่ยวกับความดับทุกข์ทางจิตใจในพุทธศาสนานี่แหละ เป็นสุดท้ายแล้ว ไม่มีใครกล่าวอะไรให้มากกว่านี้ ดีกว่านี้ สูงกว่านี้ไปได้อีกแล้ว เพราะมันมาถึงไม่มีตัวตนแล้ว ในอินเดียก่อนนี้ ก็สูงสุดอยู่แค่มีตัวตน ตัวตนสูงสุด เป็นปรมาตมัน เป็นอะไรแล้วแต่เขาจะเรียก มันมีตัวตน มันเป็นตัวตน แล้วก็ถือว่าดับทุกข์สิ้นเชิงโดยการมีตัวตน ที่พระพุทธเจ้ามาสอนเลยนั่นไปว่า หยุดตัวตน ดับตัวตน หมดตัวตน มีชีวิตอยู่อย่างไม่มีความคิดว่าตัวตน นี่จึงไม่มีความทุกข์เลย ที่พระพุทธเจ้า พระสิทธัตถะต้องละจากอุทกดาบสรามบุตร ก็เพราะข้อนี้แหละ มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วมันมีตัวตนอย่างดีที่สุด พระพุทธเจ้าท่านเห็นว่า ยังไม่ใช่ที่สุด, ยังไม่ใช่ที่สุดแห่งความทุกข์ ฉะนั้นจึงออกมาหาใหม่ จนพบเรื่องที่เลยขึ้นไปเป็นโลกุตตระ เรื่องกามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ นี่เชื่อได้ว่าเขาสอนกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า และมันก็สูงสุดแค่นั้นแหละ แล้วก็ใช้คำว่า อายตนะ, อายตนะ เหมือนกัน อย่าลืมสังเกตว่าคำว่า นิพพาน, นิพพาน น่ะมันมีบทบาลีอันหนึ่งว่า อัตถิ ภิกขเว ตทายตนัง (นาทีที่ 01:15:47) .... น เตโป น อาโช น วาโย น เรียกพระนิพพานว่า อายตนะ นะ ฉะนั้นเราจงสอนคนฟังว่าคำว่า อายตนะ นี่มันเป็นคำกลาง มีความหมายว่าสิ่งที่สัมผัสได้หรือติดต่อได้ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี่ก็เป็นอายตนะ สัมผัสได้ ติดต่อได้ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ (นาทีที่ 01:16:17) นี่ก็เป็นอายตนะอันหนึ่งที่ติดต่อได้ แล้วก็มีความสุขตามแบบนั้น และก็มีอายตนะอันสุดท้ายคือพระนิพพาน เป็นอายตนะ ใช้คำเดียวกับ อายตนะ นะ คือสิ่งที่ติดต่อได้ ที่จิตติดต่อได้ สัมผัสได้ นี่เป็นอันสูงสุด อายตนะนี้สูงสุด, สูงสุด เหนืออายตนะ กามาวจรอายตนะ อรูปาวจรอายตนะ ที่มีตัวตน พอมาถึงอายตนะที่ไม่มีตัวตน เป็นพระนิพพาน มันก็จบ ขอให้ดำรงไว้ให้ดี ถือไว้ให้ถูกต้องว่า อายตนะนี่จะต้องสัมผัสให้ได้ ให้จิตสัมผัสให้ได้ โดยเปลื้องสิ่งหุ้มห่อออกเสีย ที่มันสัมผัสไม่ได้เพราะมันมีสิ่งหุ้มห่ออยู่ คือความยึดถือว่าตัวตนนั่นเอง เมื่อความยึดถือว่าตัวตนยังหุ้มห่อจิตอยู่ จิตก็สัมผัสอายตนะคือนิพพานนี่ไม่ได้ แต่เขาก็ได้ค้นพบกันมาตามลำดับ, ตามลำดับ ที่ดีกว่าเดิม ดีกว่าทีแรกและดีขึ้นมา, ดีขึ้นมา เป็นวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม ทางจิตใจ จนมีพระพุทธศาสนาอย่างนี้ขึ้นมา แล้วก็ไม่มีใครสอนให้ไกลกว่านี้ สูงกว่านี้ ดีกว่านี้ไม่ได้ พิสูจน์อีกไม่ได้ พิสูจน์ให้ดีกว่านี้อีกไม่ได้
เป็นอันว่าเรากำลังทำหน้าที่สำคัญ คือยึดถือเอาพระพุทธศาสนาที่เป็นยอดสุุดของวัฒนธรรมทางจิตใจ จะมาทำให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ในโลก, ในโลก ขอได้ช่วยระมัดระวังกันให้อย่างดี แล้วทำให้จริง, ทำให้จริง โบราณว่า งามอยู่ที่ซากผี ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่จริง เขาก็ตะโกนใส่หูพระบ่อยๆ อย่างนี้ คนแก่ๆ มักจะด่าผมอย่างนี้ จะพูดคำนี้ให้ได้ยิน แกล้งพูดคำนี้ให้ได้ยิน มันอยู่ที่จริง ฉะนั้นเมื่อได้รับภาระหน้าที่สูงสุด จะสอนสิ่งสูงสุดแก่มนุษย์ แล้วก็ต้องการความจริงมากที่สุด มีความอดกลั้นอดทน หรือมีอะไรที่เป็นอุปกรณ์นั่นน่ะ ให้ครบถ้วน ให้มันจริง, จริง ขอให้ศึกษาจริง ให้รู้จักหัวใจของมันจริงๆ แล้วก็ดำรงรักษาไว้ให้เหมาะสมแก่สถานะ แก่ภูมิ แก่ชั้น แก่คุณค่า แก่อะไรต่างๆ ไว้ได้จริงๆ
วันนี้ก็จะต้องการพูดแต่เพียงว่า ไม่มีการขัดแย้งกับใครๆ ในโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพรามหณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ใครๆ ในโลก ในเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพรามหณ์ ทั้งเทวดาและมนุษย์ นั่นน่ะพระพุทธเจ้าท่านทรงประกาศก้องมาอย่างนั้น ฉะนั้นบรรดาลูกตถาคตทั้งหหลายก็ต้องถือหลักอย่างนี้ อย่าสร้างความขัดแย้งแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ในวัดเดียวกัน ถ้าขัดแย้งกันเสียแล้ว มันก็แย่ เดี๋ยวนี้เราต้องการความไม่ขัดแย้งแม้ระหว่างศาสนานะ พุทธ คริสต์ อิสลาม อะไรก็ตามเถิด อย่ายกเอาแง่มุมที่เป็นความขัดแย้งขึ้นมา แต่จะยกเอาแง่มุมที่มันจะประสานกันได้เพื่อขจัดความเห็นแก่ตัวในโลกนี้ออกไปได้ เพราะมันมีอยู่จริงๆ ถ้าเขาเป็นคริสต์จริงๆ เขาเชื่อพระเจ้า แล้วเขาก็ไม่เห็นแก่ตัว เขารักผู้อื่น ถ้าเป็นอิสลามก็เหมือนกัน มีมากในคัมภีร์กุรอาน ประโยคที่ให้เห็น รักผู้อื่น ช่วยสังคม นี่มันมีมาก แต่ก็เป็นเรื่องของการบังคับจิต แต่เราด้วยเรื่องของปัญญา มองให้เห็นว่าตามธรรมชาติ ธรรมดา ไม่มีตัวตน ความเห็นแก่ตัวตนเกิดขึ้นมาผิดๆ แล้วเป็นอันตราย ทำลายล้างความสงบสุข เลิก, เลิก, เลิก มันก็เป็นเรื่องที่ใช้ประโยชน์ได้ด้วยกันทั้งนั้น คือกำจัดความเห็นแก่ตน ถ้าจะไปพบเพื่อนที่เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม เป็นฮินดู เป็นอะไร ก็ทำความเข้าใจกันเรื่องนี้ ให้เกียรติยศแก่เขาด้วย และเขาก็เป็นผู้หนึ่งหรือหน่วยหนึ่งที่สามารถกำจัดวิกฤตการณ์ของโลกด้วยการทำลายความเห็นแก่ตัว ศาสนาของคุณก็เต็มไปด้วยคำสอนที่ว่า ไม่เห็นแก่ตัว, ไม่เห็นแก่ตัว อย่างคำสอนในไบเบิลจะมีเน้นที่รักผู้อื่นเต็มไปหมด แม้ว่าในคัมภีร์พุทธเราไม่ใช้คำๆ นี้ แต่ก็เห็นได้ว่าต้องการอย่างนี้ ต้องการทำลายความเห็นแก่ตัวโดยส่วนลึกเบื้องต้น รากเหง้าเลย ฉะนั้นก็ไม่ต้องพูดกันก็ได้ว่ารักผู้อื่น เพราะว่าถ้ามันหมดความเห็นแก่ตัว มันก็รักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ คิดดูให้ดีๆ เดี๋ยวนี้มันมีความเห็นแก่ตัว มันไม่รักผู้อื่น มันก็ทำลายผู้อื่นให้เดือดร้อน แล้วก็หนักอกหนักใจอยู่ที่ตัว ที่แบกตัวของตัวนั้นน่ะ แล้วก็บ้าดีหลงดีน่ะ ผมพูดอย่างนี้มันเสี่ยงต่อการถูกด่าว่า ไอ้ดี, ดี, ดี นั้นมันใช้ไม่ได้ เพราะมันบ้าได้ ดีมันบ้าได้ มันหลงได้ มันเมาได้น่ะดี ไอ้ที่มันฆ่าตัวตายในหน้าหนังสือพิมพ์เพิ่มขึ้นๆ มันพวกบ้าดี เมาดีทั้งนั้น ฆ่าลูกฆ่าเมีย แล้วฆ่าตัวเองตายเพื่อรักษาเกียรติยศแห่งความดีอะไรของมันก็ไม่รู้ มันบ้าดี มันเมาดี ที่มันบ้ากันจริงๆ บ้าตรงๆ เข้ากรงขัง ทั้งโลกน่ะมันบ้าดีทั้งนั้น ช่วยไปคิดทีเรื่องนี้ ไม่ใช่พูดเล่น ที่มันบ้าจนไปอยู่โรงพยาบาลบ้าน่ะ มันมีมูลมาจากมันบ้าดี ทีแรกมันว่าอย่างนี้ดี, อย่างนี้ดี, อย่างนี้ดี บ้าดี เมาดี หลงดี จนได้บ้าจริง ฉะนั้่นพุทธศาสนาเราต้องการให้อยู่เหนือชั่วเหนือดี, เหนือชั่วเหนือดี ให้มีแต่ความถูกต้อง, ถูกต้อง ถ้าถูกต้องแล้วมันบ้าไม่ได้ มันเมาไม่ได้ มันหลงไม่ได้ มันจมปลักไม่ได้ ถ้าดีแล้วมันบ้าดี เมาดี หลงดี จมดี แล้วมันก็เกิดเรื่อง กลับเป็นอันตรายร้ายกาจที่สุด ที่มันนอนไม่หลับ มันเป็นโรคประสาทต้องกินยากันไปเกือบทั้งบ้านทั้งเมือง มันบ้าดีทั้งนั้นแหละ มันมาจากบ้าดี หลงดี ไม่เข้าใจเรื่องดีในแง่ใดแง่หนึ่ง แล้วมันก็นอนไม่หลับ มันก็เป็นโรคประสาท หนักเข้ามันก็เป็นบ้าจริง
พุทธศาสนาเราไม่ได้ยกย่องสรรเสริญ คำว่า ดี, ดี, ดี นะ สรรเสริญความถูกต้อง, ถูกต้อง ใช้คำว่า สัมมา หรือ สัมมัตตา, สัมมัตตา พุทธศาสนาที่สมบูรณ์คือ สัมมัตตะ ๑๐ นะ ไม่ใช่อริยมรรคมีองค์ ๘ แม้ว่าในที่โดยมากจะพูดถึงอริยมรรคมีองค์ ๘ มากกว่า แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์, ไม่สมบูรณ์ เพราะมันไม่ได้พูดถึงผล อริยมรรคมีองค์ ๘ พูดแต่เหตุ เหตุ ๘ ประการนั้นน่ะ แล้วก็ มันก็จะเกิดผลอีก ๒ คือ สัมมาญาณ สัมมาวิมุตติ เมื่อครบทั้ง ๑๐ นั่นจึงเป็นตัวพุทธศาสนาที่สมบูรณ์ เพียงแค่อริยมรรคมีองค์ ๘ นี่ยังไม่ได้แสดงถึงผล แต่มันคล้ายๆ กับจะถือว่า ถ้ามันมีเหตุสมบูรณ์แล้ว ผลมันก็มาเองอย่างนี้ ในบาลีที่พบ เมื่อพระพุทธเจ้าจะตรัสพุทธศาสนาโดยสมบูรณ์ที่ว่า ล้างบาปได้ โธวะนะ น้ำล้างบาป เหมือนของฝ่ายฮินดูฝ่ายโน้นน่ะ ตรัสถึงสัมมัตตะ ๑๐ ไม่ได้ตรัสแค่อริยมรรคมีองค์ ๘ ตรัสถึงสัมมัตตะ ๑๐ จึงจะมีการล้างบาปสิ้นเชิงเหมือนฝ่ายฮินดู จะมีสัมมาญาณ สัมมาวิมุตติ และมีคำเปรียบที่น่าจะจำกันไว้ว่า วิเรจนะ ยาถ่าย วิเรจนะ ยากินแล้วถ่าย วะมะนะ (อาจารย์ออกเสียง วัมมะนะ01:2505) ยาอาเจียร สำรอกให้อาเจียร ก็ตรัสว่า สัมมัตตะ ๑๐ ไม่ได้ตรัสเพียงแค่อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่มันจะถ่ายบาป ถ่ายกิเลส ถ่ายอะไรออกหมด ต้องอาศัยสัมมัตตะ ๑๐ ที่มันจะให้อาเจียร สำรอกพิษโทษอะไรออกมาเสียให้หมด ก็ต้องอาศัยสัมมัตตะ ๑๐ สัมมัตตะ แปลว่า ความถูกต้อง จำความถูกต้องให้ดี เราสอนความถูกต้อง ไม่ได้สอนเรื่องดี เดี๋ยวนี้มันบ้าดีกันนักใช่ไหม ที่สอนเน้นแต่เรื่อง ดี, ดี, ดี, ดีจนบ้าดี จนได้เป็นบ้าจริง ถึงได้ฆ่าตัวตาย ผมไม่ ไม่ค่อยเห็นด้วย เน้นแต่เรื่อง ดี, ดี, ดี มันต้องเน้นความถูกต้อง สัมมา, สัมมา, สัมมา หรือจะเรียกว่า สัมมัตต, สัมมัตตะ จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็สุดแท้ แต่ผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องออกไป จะต้องมีหน้าที่สั่งสอน หรือว่าอยู่ก็สั่งสอน เป็นหัวหน้าครอบครัวก็ต้องนำครอบครัว อย่านำให้มันบ้าดี หลงดี จมดีนะ ให้มันรู้ความถูกต้อง, ถูกต้อง, ถูกต้อง ก็พอ เพราะถ้าถูกต้องแล้วปลอดภัย คำว่า บุญ, บุญ นั้นก็ไม่ปลอดภัย เหมือนกับดี บ้าได้ เมาได้ บ้าบุญ เมาบุญ แล้ววินาศทั้งนั้นแหละ ทุกราย ฉะนั้นที่ไปบอกให้เขาเมาบุญ หลงบุญนั้น มันไม่ใช่พุทธศาสนา ถ้ามีความถูกต้องแล้วมันก็ขึ้นเหนือปัญหา เหนือดี เหนือชั่ว เหนือบุญ เหนือบาป เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือไอ้ที่มันเป็นคู่ๆ ที่มนุษย์เหวี่ยงไปซ้าย เหวี่ยงไปขวา ข้างใดข้างหนึ่ง แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นที่นั่น แล้วก็มีความทุกข์เกิดขึ้นมา ดูให้เห็นว่าในศาสนาอื่นเขาไม่ได้สอนเรื่องอยู่เหนือดีนะ เท่าที่ผมสังเกต เอามาแยกแยะดู มันไม่ได้สอนให้อยู่เหนือดี มันสอนให้ ดีที่สุด, ดีที่สุด ดีที่ไหนก็ตามใจ ดีที่สุด พุทธศาสนาสอนให้ไม่ยึดมั่น ดี เพราะว่า ดี ก็เป็นสังขารปรุงแต่งให้เป็นไปในวัฏฏะ ชั่วก็ปรุงแต่งเป็นไปในวัฏฏะ บุญ-บาปปรุงแต่งไปในวัฏฏะ ต้องไม่เกี่ยวกับพวกนี้ ต้องเหนือนี้, เหนือนี้ แล้วมันจะไม่วนเวียนอยู่ที่ตรงนี้ คือเรื่องอยาก เรื่องพยายาม เรื่องดิ้นรน เรื่องอะไร ผมขอร้องที่จะไปคิดอะไรที่มันฆ่าตัวตายกันมากขึ้นทุกวันๆ คอยดูเถอะ มันมีบ้าดีอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ที่มันฆ่าตัวตาย มันไม่เหมือนกับฮาราคีรีของพวกญี่ปุ่น นั่นมันจะเอาเกียรติ แต่ทีนี้มันก็ มันบ้าดี มันต้องการจะดี แล้วมันไม่ได้ดี แล้วมันก็คิดว่าอยู่ไปก็มีแต่ขายหน้า ชั่ว มันก็เลยฆ่าตัวตายแล้วเป็นการดี ถ้าลัทธินี้เจริญ มันก็จะฆ่าตัวตายกันมากขึ้น
นี่คือความยึดมั่นถือมั่นในชีวิต ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต ไอ้ตัวตนของตนนี่มันน่าหัว มันกลับเป็นอันตราย คือมันกัดตัวเอง, มันกัดตัวเอง ตัวตนมันเกิดออกมาจากความโง่แล้วมันก็กัดตัวเอง, กัดตัวเอง มันมาจากสัญชาตญาณ มันเป็นคำพูดที่เราไม่ค่อยจะได้พูดกัน สัญชาตญาณนั่นแหละเป็นคำที่จะต้องเอามาพูด instinct, instinct คือความรู้ที่มันติดกันมากับชีวิตโดยไม่ต้องศึกษาอะไร instinct นี่ instinct มีหลายแง่ แต่แง่ที่สำคัญก็คือว่า ความรู้สึกว่ามีตัวฉัน, มีตัวฉัน แล้วมันจึงจะเกิดความรู้สึก หาเลี้ยงชีวิต วิ่งหนีอันตราย กระทั่งว่าสืบพันธุ์ไว้ไม่ให้สูญหาย มันมาจาก instinct ว่าตัวกู, ตัวกู, ตัวกู ทีนี้ instinct นี่มันไม่มี ไม่มีวิชชา มันมาลุ่นๆ มันมาปราศจากวิชชา มันก็คือเป็นอวิชชา มันจึงมีการกระทำเป็นไปในทางความยึดมั่นถือมั่น แล้วมันก็เป็นทุกข์ คือผิด ผมคิดคำขึ้นมาอีกคำหนึ่งว่า instinct นี่ต้องพัฒนา สัญชาตญาณต้องพัฒนาให้กลายเป็น ภาวิตญาณ ภาวิตะ, ภาวิตะ ภาวิโต พหุลีกะโต นี่ ภาวิตะ ภาวิตญาณ คือเติมวิชชาลงไปในสัญชาตญาณ, เติมวิชชาลงไปในสัญชาตญาณ ให้อวิชชาถอยไป วิชชาเข้าไปแทนที่ สัญชาตญาณก็จะกลายเป็นภาวิตญาณ นี่จะรอด, จะรอด ฉะนั้นทุกคนพัฒนาสัญชาตญาณที่มันมีอยู่ มันปราศจากวิชชา มันมีแต่อวิชชา มันเป็นสิ่งที่เกิดเองและเกิดอย่างไม่ต้องสอน และมันเกิดอย่างรุนแรง มันเกิดอย่างประทับใจ พอมีอะไรที่เป็นอารมณ์เข้ามา เปิดโอกาสให้ แล้วมันก็จะรู้สึกว่าเป็นตัวตน, ตัวตน, ตัวตนขึ้นมา ที่เราเคยใช้เป็นตัวอย่างในการอธิบายก็เช่นว่า เด็กๆ มันไม่รู้ประสีประสาอะไร มันเดินไปชนเก้าอี้ แล้วมันก็โกรธเก้าอี้ แล้วมันก็เตะเก้าอี้ นี่สัญชาตญาณแห่งตัวตนมันเกิดขึ้นเพราะมันไปโดนเก้าอี้ มันเห็นตัวตนเป็นผู้ถูกเก้าอี้กระทำ มันก็เตะเก้าอี้ ตัวตนนี้ก็เตะตัวตนนั้น ไม่ต้องมีใครสอน มันมีได้ นี่ระวังสิ่งที่เรียกว่า egoism, egoism มันมีมาในสัญชาตญาณ แล้วออกมาง่ายๆ รุนแรงที่สุดเลย ไปลองใคร่ครวญดูเถอะว่า ละตัวตน ละ egoism นี่มันยาก ผมเมื่อเด็กๆ เปิดหลังนาฬิกาพกออกดู เปิดฝาหลังออกดู แล้วสะดุ้งว่ามันมีชีวิต นาฬิกาที่มันตุกติกๆ อยู่ข้างใน สะดุ้งว่ามันมีชีวิต เปิดดูทุกทีมันก็รู้สึกว่ามันมีชีวิต แล้วมันค่อยๆ หายไป ค่อยๆ รู้ว่ามันเป็นอะไร จนกว่าจะเป็นช่างแก้นาฬิกา จึงรู้ว่านาฬิกาไม่มีชีวิต คุณเคยไหม ต้องเด็กๆ หน่อย เปิดหลังนาฬิกาดูจะรู้สึกว่ามันมีชีวิต มันเดินได้ มันตายได้ มันนั่นได้ หรือว่าเราที่ยังไม่รู้ หรือคนป่าดีกว่า คนป่า คนอยู่ในป่า พอมันเห็นรถยนต์ มันเห็นรถยนต์วิ่งไปได้ มันก็ต้องคิดว่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งแหละ เหมือนช้างหรืออะไรวิ่ง รถยนต์น่ะ หรือบางทีอาจคิดว่าเป็นเต่าชนิดหนึ่งก็ได้ รถยนต์มันวิ่งไปได้ ไอ้ความคิดว่า ตัวตน, ตัวตน มันเกิดขึ้นมาเพราะอารมณ์นี้ มันทำให้เกิดความคิดอย่างนี้ ฉะนั้นอย่าทำเล่นกับมัน ไอ้ความคิดว่าตัวตนน่ะมันรุนแรง มันเกิดง่ายโดยสัญชาตญาณ มันมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
ฉะนั้นขอให้รู้ว่านี่คือสิ่งเลวร้ายที่สุดที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วขจัดมันเสีย อย่าเห็นเป็นตัวตน พระพุทธเจ้าเป็นยอดศาสดาเอกสุดท้ายของโลก ก็เพราะมองเห็นอันตรายแห่งตัวตน และต้องการจะเพิกถอนตัวตน พุทธศาสนาจึงมีหัวใจเพียงเท่านี้แหละ นี่เราศึกษากันให้มากๆ หน่อย ในมหาวิทยาลัยน่ะช่วยสอนเรื่องไม่มีตัวตน เรื่องกำจัดตัวตนให้มากกว่าเรื่องใดๆ ที่เขาเรียกกันว่า academic study ทั่วโลกน่ะ academic study มันไม่ได้พูดเรื่องนี้เลย มัน academic กันไปถึงไหน คิดดูเถอะ ในมหาวิทยาลัยพระสงฆ์ของเรานี่ ควรจะมีเรื่องที่มันสูงสุดอย่างนี้ รู้ว่าความจริง สัญชาตญาณมันหลอกให้มีตัวตน เด็กเตะเก้าอี้ เอานาฬิกามาดูคิดว่ามันมีชีวิต เห็นรถยนต์วิ่งได้เขาคิดว่ามันเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ความไม่รู้เหล่านี้จะต้องหมดไป มันเป็นอวิชชา เด็กในท้องไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ คุณเคยอ่านพบไหมประโยคนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเด็กในท้องไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ดูสิ ดูสิท่านใช้คำอย่างนี้ ถ้าไม่เคยพบก็บอก ผมยืนยันว่ามี ไม่หลอกคุณหรอก ประโยคอย่างนี้มันมี เด็กในท้องไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ฉะนั้นเมื่ออารมณ์มากระทบเขาก็ยินดียินร้าย ยินดียินร้ายไปตามอารมณ์ที่มากระทบ เขาไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ว่า ถ้าไปยินดีหรือยินร้ายเข้าแล้วมันเป็นความทุกข์ เป็นความผิด มันไม่รู้ เพราะเด็กไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ท่านใช้คำอย่างนี้กับเด็กในท้อง มันจึงพร้อมจะยินดียินร้าย พอได้กินนมหรือกินยาขมหรืออะไรต่างๆ เข้ามาทางอายตนะ มันก็ยินดียินร้ายเพราะมันไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ เป็นคำที่ท่านเอาไปใช้แม้แก่เด็กในท้อง เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ มันไม่มี เพราะมันจะยึดมั่นถือมั่น เพราะมันไม่มีความรู้ มันจึงยึดมั่นถือมั่นเรื่องอารมณ์ที่มากระทบ ถ้ามันมีความรู้ มันก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นเพราะมันรู้ว่าไปยึดเข้าแล้วเป็นทุกข์ มันก็วิมุตติ
เรามองทั่วโลก ศาสนาทั่วโลก มีอยู่เป็นระดับ, ระดับ, ระดับ ทุกระดับต้องมีในโลก เพราะว่าในโลกมันมีคนหลายระดับ มีตั้งแต่โง่ที่สุดหรือยิ่งกว่าโง่ โง่น้อย โง่ไม่แรง โง่ จนถึงฉลาดน้อย ฉลาดมาก เขาไม่อาจจะรับศาสนาที่ผิดฝาผิดตัวหรอก มันเป็นการจำเป็นอย่างยิ่งที่ในโลกนี้ต้องมีศาสนาทุกระดับ ฉะนั้นอย่าให้เกิดความขัดแย้งเลย จงถือเป็นมิตรสหายที่จะร่วมมือกันทำหน้าที่อันสำคัญในโลก คือกำจัดวิกฤตการณ์ในโลก พูดอย่างนี้มันคล้ายกับยกตัวเองว่าพุทธศาสนาเป็นระดับปัญญาชน แต่ก็ไปดับทุกข์ของคนโง่ไม่ได้ใช่ไหม มันเป็นระดับปัญญาชน คนโง่มันเอาไปใช้ไม่ได้ มันก็ไปดับทุกข์ของคนโง่ไม่ได้ ต้องไว้ให้ศาสนาที่เขามีระดับนั้นจัดการไป แต่ถ้าเราไม่อยากจะละเลยหน้าที่ ยังอยากจะรักษาหน้าที่ให้หมด ก็จัด
รูปแบบปัญญานี้ให้มันลงไปถึง ใช้ได้กับคนโง่ เอาปัญญาไปฝากคนโง่หรือเอาปัญญาไปใส่ไว้ในความโง่ เช่น อมิตาภะ, อมิตาภะ ของอาซิ้ม คำนั้นสูงสุด นิพพานหลุดพ้น เป็นอสังขตะ อมิตาภะ อมิตตายุ ให้อาซิ้มมันว่า ๘๐,๐๐๐ ครั้ง มันจะไม่มีสักครั้งหรือ ที่มันจะนึกอะไรได้บ้าง มันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นก็เรียกว่าเขาก็คิดถูกแล้ว เขาไม่ยอมแพ้ แม้ว่าพุทธศาสนาจะอยู่ในระดับสูงสุดของปัญญาชน แต่ก็จะเอาไปใส่ไว้ในความโง่ของคนโง่ ให้คนโง่รับไปใช้ได้ มันคล้ายๆ กับว่าเราไม่รู้เรื่องนิพพาน แต่เขาบังคับให้ออกชื่อว่า นิพพาน, นิพพาน, นิพพาน, นิพพาน สัก ๘๐,๐๐๐ ครั้ง มันก็คงมีบ้างล่ะที่มันจะสะดุดจิต เอ่อ,สะกิดว่าอะไรกันนะ, อะไรกันนะ มันก็จะคิดสืบสวน ไต่สวน พบความหมายว่าอะไรกันนะ แต่เดี๋ยวนี้เพราะว่าไม่ได้ทำให้ถูกต้องตามแบบนั้นๆ ไม่มีใครอธิบายให้อาซิ้มฟังว่า อมิตาภะน่ะมันแสงสว่างของธรรมะ ซึ่งวัดไม่ได้ คำนวณไม่ได้ อายุของสิ่งที่เป็นอสังขตะน่ะ มันไม่มีการนับได้ มันไม่มีการนับ มันไม่อยู่ในการกำหนดคำนวณ ก็คือความหลุดพ้น, หลุดพ้น, หลุดพ้น อมิตาภะ ไปอยู่กับพระพุทธเจ้าอมิตาภะ น่าเห็นใจที่เขาอุตส่าห์ประดิษฐ์ระบบอมิตาภะโพธิสัตว์อะไรขึ้นมาๆ ตามหลักมหายาน เพื่อฝากคนเหล่านี้แหละ โดยหวังว่าจะเอาคนเหล่านี้ไปด้วยจนได้ ยานมหายานเขาจัดเป็นยานลากด้วยวัว แล้วก็เล็กลงมา ก็ลากด้วยแพะ เล็กลงมาก็ลากด้วยกระต่าย มันนำไปได้น้อยมาก เขาจะจัดพวกเราเถรวาทนี่เป็นยานกระต่าย ลาก, ลาก, ลากไปไม่ได้กี่มากน้อย ถ้าเป็นยานวัวก็ลากไปได้มาก แต่เอาเถอะ ขอให้มันมีความสัมพันธ์กันได้ ร่วมมือกันได้ระหว่างยานทุกชนิด บางชนิดมีลักษณะลงไปคล้ายกับมีไสยศาสตร์สำหรับคนที่มันไม่มีปัญญามาก แต่อย่าให้ไปถึงไสยศาสตร์ซึ่งมันไม่มีเหตุผลเสียเลย ผมอธิบายเอาเองดื้อๆ ใครจะค้าน จะด่า ไสยะ แปลว่า หลับ ไสยศาสตร์ ศาสตร์ของคนหลับ พุทธะ แปลว่า ตื่น พุทธศาสน์ (นาทีที่ 01:41:24) แปลว่า ศาสน์ของคนตื่น นี่ระวัง อย่าทำพุทธศาสน์ให้เป็นไสยศาสตร์ ซึ่งเขากำลังทำกันอยู่มาก เราก็ไม่ต้องไปขัดแย้งเขา แต่เขาก็กำลังทำกันมากขึ้นทุกที ทำพุทธศาสน์ให้กลายเป็นไสยศาสตร์หรือเอาไสยศาสตร์มาเป็นพุทธศาสน์ ข้อนี้ต้องไม่มีในมหาวิทยาลัยของเรา พุทธศาสน์กับไสยศาสตร์ต้องแยกกันให้เห็นชัด เอาไสยศาสตร์นั่นมาปลุก มาปลุกให้กลายเป็นพุทธศาสน์ เอาคนหลับมาปลุกให้กลายเป็นคนตื่น อย่าไปด่าเขา อย่าไปโกรธเขา เมื่อเขาหลับมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นเอง เขาก็ต้องโง่ เขาก็ต้องดื้อ เขาก็ต้องทำอะไรที่ยุ่งยากลำบาก และเราจะต้องเป็นฝ่ายอดทน อย่าเอาฝ่ายอดทนไปไว้กับคนโง่หรือกับฝ่ายคนต่ำ ความอดทนต้องมาอยู่ฝ่ายคนฉลาด ฝ่ายสูง ฝ่ายสามารถ เพื่ออดทนต่อความโง่ของคนโง่ เดี๋ยวนี้เขามักจะไม่คิดกันอย่างนั้น ฉันเป็นนายนี่ แกสิลำบาก แกสิต้องอดทน ที่จริง ที่ถูก ที่จะสำเร็จประโยชน์ คนที่เป็นนายนั่นน่ะมันจะต้องอดทน อดทนต่อความโง่ของคนโง่ที่เราจะต้องเกี่ยวข้องกับเขา พูดให้ชัดก็ ครูบาอาจารย์นั่นแหละจะต้องอดทน ต้องอดทนต่อความโง่ของลูกศิษย์ซึ่งมันมีมาก ถ้าไม่อย่างนั้นมันเป็นครูอาจารย์ไม่ได้หรอก ถ้ามันไม่มีความอดทนพอ อย่าสร้างความขัดแย้งกันขึ้นมาเป็นอันขาดไม่ว่าในกรณีใดๆ
ในวันนี้ผมก็ต้องการจะพูดเพียงข้อเดียวนี้ว่า ความต้องไม่มีการขัดแย้ง, ต้องไม่มีการขัดแย้ง, ต้องไม่มีการขัดแย้ง ไม่ว่ากรณีใดๆ อย่าว่าแก่คนด้วยกันเลย แม้แต่กับแมว หรือกับสุนัข หมู หมา กา ไก่ อะไร ไม่ต้องมีความขัดแย้ง จะถือหลักที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำมา ต้องไม่เกิดการขัดแย้ง พระพุทธเจ้าปฏิบัติหน้าที่ตลอดพระชนม์มายุของท่านโดยไม่สร้างความขัดแย้ง ระลึกถึงคำว่า ไม่ยอมรับ ไม่คัดค้าน ในมหาปเทสทั้ง ๔ สุตตันตะน่ะ ไม่ยอมรับ เอาแหละ ไม่คัดค้านว่าไม่ถูก เพียงแต่ว่าขอแสดงความคิดเห็นอย่างนี้ให้ท่านฟัง ให้ท่านเลือก ท่านก็ผ่านอุปสรรคมาได้ การที่มีคนไปด่า ไปคิดฆ่าพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่พระพุทธเจ้ามีส่วนเป็นฝ่ายแห่งการขัดแย้ง เขามันอิจฉาริษยาเขาเอง ข้อนี้มันช่วยไม่ได้มันต้องมีในโลก แต่ถึงอย่างนั้นเราก็อย่าไปขัดแย้งกับเขาเลย อย่าไปขัดแย้งกับคนที่ว่าเป็นศัตรูนั่นน่ะ ขืนไปขัดแย้งมันก็วินาศด้วยกัน ไม่ต้องขัดแย้ง ทำความเข้าใจกันให้ดีๆ มันจะหมดความเป็นศัตรู นี่จึงว่าชนะความชั่วด้วยความดี อย่าสร้างความขัดแย้งขึ้นมา โดยเฉพาะที่เป็นครูบาอาจารย์ ต้องบังคับจิตได้ ไม่สร้างความขัดแย้งแม้แก่ลูกศิษย์ ไม่โกรธ ไม่อะไร อดทนด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ด้วยเห็นว่าเป็นหน้าที่ แล้วก็จะสำเร็จประโยชน์ในความเป็นครูบาอาจารย์ เรื่องต้องไม่มีการขัดแย้งคืออย่างนี้ โดยเฉพาะในระหว่างศาสนา หรือโดยเฉพาะในระหว่างลัทธินิกายย่อยๆ ระหว่างศาสนา เถรวาทหรือมหายาน หรือแม้ในเถรวาทมีนิกายย่อยๆ ก็อย่ามีขัดแย้ง มหายานเขามีนิกายย่อยๆ มาก เขาก็สอนชนิดที่มีหัวใจว่า ดับ ตัด การยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ทั้งนั้น ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่ใช่พุทธศาสนาหรอก พุทธศาสนาแบบไหน ระดับไหน ก็ต้องมีหัวใจอยู่ที่ ตัดความยึดมั่น ถือมั่นในขันธ์ ๕ แต่เขาวางไว้ในรูปแบบที่น่าตกใจหรือไม่น่าเห็นด้วยว่า แกว่า อมิตาภะ, อมิตาภะ ๘๐,๐๐๐ ครั้ง มันเป็นไสยศาสตร์ก็ได้ จะมองดู ถ้ามองดูครึ่งเดียวมันเป็นไสยศาสตร์ ถ้ามองดูลึกแล้วจะเห็นพุทธศาสน์ซ่อนอยู่ในนั้น คือความหมายของ อมิตาภะ นั่นเอง
ไม่มีใครไปฉันเพล ภาวนาสิ พระพุทธเจ้าไม่เคยฉันเพลตลอดชีวิต พระพุทธเจ้าขอร้องว่า จงมีที่นั่งแห่งเดียว ครั้งเดียวในการฉันโภชนะเถิด ผมถึงไม่สบายก็ไม่ฉันเหมือนกันแหละ ที่จริงก็ฉันเพราะไม่สบายหรืออายุมาก แต่ถ้ามีอะไร ไม่ฉันก็ได้, ไม่ฉันก็ได้ เห็นเป็นส่วนเกิน ก็ถ้าขี้ขลาดหรือกลัวแล้วก็คงไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นลม จะเป็นผู้เผยแพร่พุทธศาสนาต่อไปก็เอาอย่างพระพุทธเจ้า มีฉันก็ได้ ไม่มีฉันก็ได้ มันน่าหัวที่ว่าพระไตรปิฎกเล่มแรกน่ะ มีเรื่องพระพุทธเจ้าฉันข้าวถาดเลี้ยงม้า ไม่มีแกง ไม่มีกับนะ ดูให้ดีสิ เปิดดูเถอะ พระไตรปิฎกเล่ม ๑ เวรัญชกัณฑ์ ไม่มีใครถวายอาหาร คนนิมนต์ก็ลืมไปเสีย แล้วพ่อค้าเลี้ยงม้า มีข้าวตากสำหรับเลี้ยงม้า เอาไปถวายองค์ละปลายมือ ไปคลุกกับน้ำให้เปียกๆ พอฉันได้ ไม่มีแกง ไม่มีกับ ก็อยู่ได้ตลอดพรรษา ไม่มีการขัดแย้ง นี่ถือว่าการไม่ฉันเพลก็เป็นบทเรียน บทศึกษา บทเรียนซึ่งจะต้องศึกษา ทำในบทศึกษาว่า ไม่ต้องฉันเพลเหมือนพระพุทธเจ้า ที่นี่ก็อยู่กันอย่างไม่ฉันเพล เว้นไว้แต่วันที่มีงานหนักมากๆ เขาก็เลี้ยงกันบ้าง
วันนี้มีเท่านี้ ไม่ขัดแย้ง กูไม่ขัดแย้งกับใครในโลก ถือตามหลักพระพุทธเจ้า ในโลก เทวโลก พร้อมทั้งหมู่สัตว์ และสมณพราหมณ์ ในมหาวิทยาลัยมันยกพวกตีกันเอง ฟังแล้วมันน่าสงสาร ในมหาวิทยาลัยเดียวกันมันยังยกพวกตีกัน นิมนต์ไปพักผ่อนหรือไปติดต่ออาจารย์โพธิ์ จะให้ใครบรรยายหรือนำเที่ยวหรือเรื่องอย่างไรก็ติดต่ออาจารย์โพธิ์ อย่างที่ผมว่า ให้ท่านมหาดำรงค์ ลากไปลังกา อินเดีย ให้ฟังบ้าง หมดแรงพอดี