แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้อยากจะพูดกันถึงโดยหัวข้อว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเคารพ สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเคารพ ขอให้ฟังดูให้ดีๆ จะหมายความว่าเหนือพระพุทธเจ้าขึ้นไปยังมีสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเคารพ แต่แล้วคนที่นับถือพระพุทธเจ้าไม่ค่อยจะสนใจหรือเคารพสิ่งนั้น คนที่เคารพนับถือพระพุทธเจ้าไม่ค่อยจะสนใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ นี่คือข้อเท็จจริงที่มีอยู่ พูดกันง่ายๆ ก็พวกเรานี่แหละ พวกเราเดี๋ยวนี้แหละ ไม่ค่อยจะเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ
ทีนี้ก็จะถามว่าพระพุทธเจ้าท่านเคารพอะไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อดีต อนาคต ปัจจุบัน อะไรก็ตามนี่ เคารพธรรมะ ทีนี้คำว่าธรรมะในที่นี้มันเข้าใจกันไม่ค่อยจะตรงตามความหมายของคำๆ นี้ ธรรมะๆ เป็นคำพูดที่เขาพูดกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดนู่น ก่อนเกิดมีพระพุทธเจ้าองค์นี้แหละ เขาก็มีคำว่าธรรมะๆ พูดกันอยู่แล้วในหมู่ประชาชนในหมู่นักศึกษาในประเทศอินเดีย หมายถึงหน้าที่ ในภาษาไทยธรรมะหมายถึงหน้าที่ แต่เราไม่ใช้คำว่าหน้าที่เป็นคำแปลของคำว่าธรรมะ เพราะเรารู้จักคำแต่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาสอน แต่ครั้นดูให้ดี มันก็สอนเรื่องหน้าที่ คุณสังเกตดูเถิด คำสอนของพระพุทธเจ้ามีแต่เรื่องหน้าที่ หน้าที่ดับทุกข์ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ท่านทรงฉงนว่าต่อไปนี้จะเคารพใคร ในที่สุดทรงตกลงพระทัยว่าเคารพธรรมะ ในเรื่องราวในพระบาลีนั่นมันใช้คำว่าธรรมะ ทีนี้ธรรมะคืออะไร
ถ้าธรรมะคือคำสั่งสอน มันยังไม่มีคำสั่งสอน ตรัสรู้หยกๆ ยังไม่ทันจะได้สอนอะไร มันยังไม่มีคำสั่งสอน ถ้าธรรมะคือสิ่งที่ตรัสรู้ก็คือเรื่องหน้าที่ดับทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ มันตรงตามความหมายดั้งเดิมของเขาที่มีมาแต่ก่อนพระพุทธเจ้า ที่พูดกันอยู่ในหมู่ประชาชน หรือในลัทธิ ในเจ้าลัทธิศาสดาต่างๆ คำว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ เดี๋ยวนี้ในอินเดียก็ยังแปลธรรมะว่าหน้าที่อยู่นะ ปทานุกรมเด็กๆ ธรรมะก็แปลว่าหน้าที่ ไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนของคนนั้นคนนี้ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ แต่มันถูกโดยอัตโนมัติในตัวอย่างยิ่ง เพราะว่าคำสอนทั้งหมดมันสอนเรื่องหน้าที่ดับทุกข์ทั้งนั้น จะเป็นคำสั่งสอนของศาสดาองค์ไหนก็ตามซึ่งมีอยู่มากมายในอินเดีย คำสั่งสอนของศาสดาเหล่านั้นก็สอนเรื่องหน้าที่ดับทุกข์ทั้งนั้น แต่มันก็ต่างกันๆ ตามความรู้ความคิดของศาสดานั้นๆ ธรรมะจึงแปลว่าหน้าที่
คำพูดคำนี้มันเกิดขึ้นมาในหมู่มนุษย์ ก็เพราะเกิดมีมนุษย์คนแรกมันสังเกตเห็นสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่นี่เป็นของสำคัญที่สุด สำคัญกว่าสิ่งใด แล้วมันก็พูดออกมาเป็นเสียงว่าหน้าที่ๆ แต่ภาษาที่นั่นยุคนั้นมันก็คือคำว่าธรรมะนั่นเอง เพราะมันไม่ใช่เมืองไทยที่จะได้พูดไทยว่าหน้าที่ ก็พูดเป็นภาษาอินเดียครั้งกระนั้นว่าหน้าที่ คือคำว่าธรรมะๆ คือหน้าที่ แล้วก็บอกต่อๆ กันมาว่าไอ้หน้าที่ๆ ธรรมะๆ น่ะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะต้องรู้จัก ที่เราจะต้องปฏิบัติและกระทำ
ทีนี้คำว่าธรรมะๆ นี่ก็ใช้ต่อกันมาเรื่อยๆ หมายถึงหน้าที่ๆ แต่แล้วมันสูงขึ้นไป เพราะมันรู้จักหน้าที่สูงขึ้นไป สอนสูงขึ้นไป สอนเรื่องหน้าที่สูงขึ้นไปๆ จนกระทั่งเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา ก็สอนเรื่องหน้าที่สูงสุดๆ ไม่มีใครสอนให้สูงกว่านั้นได้อีก นี่ขอให้รู้ไว้เป็นพิเศษว่าศาสนาของเรา คำสอนของพระพุทธเจ้าหรือพุทธศาสนาน่ะ มันสูงสุดจนไม่มีใครสอนให้ดีให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้นได้อีกแล้ว ให้สูงยิ่งขึ้นไปกว่านั้นได้อีกแล้ว คือมันสูงขึ้นมาตามลำดับตั้งแต่อย่างต่ำที่สุด ทำหน้าที่ ทำหน้าที่อย่างนั้น หน้าที่อย่างนั้น หน้าที่อย่างนั้น ตามความรู้ที่มันสูงขึ้นมา สมัยแรกโง่เขลาไปหน่อย มันเข้าใจว่าอย่างไรก็สอนไปอย่างนั้น เช่นว่าคนสมัยนั้นคนป่าสมัยนั้นมันกลัว กลัวสิ่งที่เข้าใจไม่ได้ ดินฟ้าอากาศอะไรก็ตามที่มันน่ากลัว จะเป็นเรื่องพายุ เป็นเรื่องน้ำท่วม จะเป็นเรื่องฟ้าฝน อะไรก็ตาม กระทั่งสิ่งที่เข้าใจไม่ได้ เป็นผี เป็นสาง เป็นเทวดาศักดิ์สิทธิ์ ตามที่มันเชื่อกัน มันก็สอนเรื่องการปฏิบัติเพื่อระงับความกลัวเหล่านั้น คำสอนมันจึงต่ำ เป็นแต่เพียงระบบพิธีที่จะไหว้วอน บวงสรวง บูชาสิ่งที่เขากลัว
ต่อมามันสูงกว่านั้น มันรู้จักเรื่องที่น่ากลัวในภายใน คือความชั่ว บาปอย่างนี้ สอนสูงขึ้นมาจนกลัวบาป ต่อมาสูงขึ้นมาจนกลัวกิเลส กลัวกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แม้ว่าจะกลัวกิเลสด้วยกัน คำสอนก็ยังต่างกันอยู่ดี เพราะพวกหนึ่งมันมีตัวตน พวกหนึ่งยึดถือตัวตนอย่างกวดขันที่สุด พวกหนึ่งก็ไม่มีตัวตนเสียเลย ไอ้เรื่องนี้ก็ต้องพูดกันว่า ระวังให้ดีนะ พุทธศาสนาไม่ได้พูดว่าไม่มีอะไรเสียเลย พูดว่ามีตัวตนที่โง่เขลาเอาเอง สำคัญว่าตัวตน ทีนี้อีกพวกหนึ่งก็มีตัวตนมากเกินไป มากเกินไป เกี่ยวกับข้อนี้คุณก็จำคำไว้สัก ๓ คำ “อัตตา” นี่พวกที่ถือว่ามีอัตตา มีตัวตนอย่างยิ่ง มีตัวตนเข้าออกในชีวิต อยู่ในชีวิต ตายไปเกิดแน่นอนอย่างนี้เป็นพวกมีอัตตา
ทีนี้อีกพวกหนึ่งก็ “นิรัตตา”ไม่มีอะไรเลยๆ เป็นนัตถิกทิฏฐิ ไม่มีอะไรเลย เป็นนิรัตตา แต่พุทธศาสนาเราอยู่ตรงกลางเป็น “อนัตตา” มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตนแต่มิใช่ตัวตน คือสิ่งที่มนุษย์โง่เขลาหลงใหลยึดถือว่าเป็นตัวตนๆ มันมีอยู่ แต่สิ่งนั้นมันมิใช่ตัวตน มันเป็นอนัตตา นี่คำสอนเรื่องอนัตตานี่เป็นพุทธศาสนา คำสอนเรื่องอัตตาๆ ไม่ใช่ คำสอนเรื่องนิรัตตาๆ ไม่มีอะไรเสียเลยก็ไม่ใช่ มันมีๆ อะไรก็มีๆ ๆ ไปตามเหตุปัจจัย แล้วคนไม่รู้เป็นธรรมดาก็หลงคิดไปว่าอัตตาๆ ตัวตน ยังมาบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ตัวตนคือเป็นอนัตตา ไอ้สิ่งที่แกว่าเป็นอัตตาน่ะมันเป็นอนัตตา นี่มันต่างกัน มันไม่ได้สอนว่าไม่มีอะไรเสียเลย มันมีๆ อัตตาตามความเชื่อความคิดทั้งนั้น ไปดูให้ดีให้เห็นเป็นอนัตตา
นี่คำ ๓ คำ คือ “อัตตา” คำหนึ่ง “อนัตตา” คำหนึ่ง “นิรัตตา” คำหนึ่ง อัตตามันสุดโต่งฝ่ายมีอัตตา นิรัตตามันสุดโต่งฝ่ายไม่มีอะไรเลย อนัตตาอยู่ตรงกลางว่ามีแต่ไม่ใช่อัตตา มีสิ่งที่เธอเรียกกันว่าอัตตาๆ และก็มันไม่ใช่อัตตา มันเป็นธาตุตามธรรมชาติ มันเป็นรูปเป็นนามอะไรก็ตาม ไอ้ความรู้สึกว่าอัตตาๆ นี้มันเกิดขึ้นมาตามสัญชาติญาณ ความรู้สึกของสิ่งที่มีชีวิตทั่วไปมันจะต้องรู้สึกว่ามีอัตตามีตัวตนได้เองด้วยความโง่ของมัน
เด็กๆ เกิดมาจากท้องแม่ไม่มีรู้เรื่องอัตตา อนัตตา อะไร แต่ความคิดมันก็คอยรู้สึกๆ เข้ามาในทางที่เป็นอัตตาๆ เช่น เด็กมัน เด็กทารกนะ มันเดินชนเก้าอี้ เจ็บ โอ๊ย, เจ็บ ร้องไห้ แม่หรือพี่เลี้ยงก็ต้องไปตีเก้าอี้ ตีเก้าอี้ลงโทษว่า เอ้ย, มึงทำลูกกูเจ็บ ไปตีเก้าอี้ให้เด็กน่ะมันหาย หายโกรธหรือหายเจ็บ นี่มันเป็นการสร้างความรู้สึกว่าอัตตาในตัวเด็ก อัตตาในตัวเก้าอี้ แม้แต่เก้าอี้ก็มีอัตตา หรือว่าถ้าเด็กมันโตพอ มันก็เตะเก้าอี้ มึงทำกู กูก็เตะมึงนี่ ความรู้สึกว่ากูว่าสูมันก็เกิดขึ้น
ความรู้สึกว่าอัตตานี่เป็นของไม่จริง เป็นของที่ความโง่ผลิตขึ้นมา โตๆ แล้วอย่างนี้สมมติว่ามีดบาดที่นิ้วมือ มันก็จะพูดว่ามีดบาดกูหรือว่าแม้จะที่นิ้วมือก็ได้ แต่ว่ามีดมันบาดกู ที่จริงมีดมันบาดนิ้วมือ แต่มันไม่ได้พูดว่ามีดบาดนิ้วมือ มันว่ามีดบาดกู มันว่ากูที่นิ้วมือ นี่ความรู้สึกว่าเป็นตัวกูเป็นตัวตนขึ้นมามันเกิดขึ้นมาเองอย่างนี้แหละ ถ้ามันเป็นผู้รู้โดยแท้จริง มันก็ โอ้, มันมีด เป็นเหล็ก ก็ของแข็ง มันแหวกเข้าไปในเนื้อ เนื้อขาด เลือดออกมา มันก็เท่านั้นแหละ แต่นี่มันไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น มันเรียกว่ามีดบาดกู แล้วกูก็จะตายด้วย มันก็เลยเป็นทุกข์ นี่ดูสิว่าอัตตาๆ นี่มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จนมันเชื่อมั่นๆ เป็นอัตตาไปทางหนึ่งสุดโต่งเลย มีอัตตา นอกจากมีร่างกายและมีจิตใจแล้ว ยังมีอัตตาที่ยึดครองอัตภาพนี้ เช่น เจ้าของชีวิตนี้สิงสถิตอยู่ในอัตภาพนี้ บางทีก็ว่านอนหลับมันออกไปเที่ยว พอตื่นมันกลับมา หรือว่าพอตายมันก็ไปเกิดใหม่เป็นอัตตาตัวเดียวกัน เหมือนกับเปลี่ยนบ้าน เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว อย่างนี้ก็มี นี่คือลัทธิอัตตา สอนกันขึ้นมาอย่างนี้ แล้วก็สอนสูงขึ้นไปจนอัตตาที่อะไรก็ไม่รู้ บอกไม่ถูก ฝ่ายลัทธิของอัตตา จนเป็นมหาตมัน เป็นมหาอัตตา เป็นปรมาตอัตตา (นาทีที่ 14:42) ไปอยู่สูงสุดที่ไหนก็ไม่รู้จักเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นถาวร นี่ สุดโต่งไปอย่างนี้ สอนกันโดยมากอย่างนี้ เพียงเท่านี้
พอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ท่านก็สอนสูงขึ้นไปกว่านั้น เลิกมีอัตตา ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นอัตตาจึงจะดับทุกข์ ถ้ายังมีอัตตายังเป็นของหนักสำหรับยึดถือยึดมั่น และก็ต้องเป็นทุกข์ เพราะความหนักแห่งความยึดถือ เขาสอนกันได้สุด ที่สุดอย่างมากเพียงความยึดถือ นี่ท่านสอนสูงขึ้นไปจนไม่มีความยึดถือ ไม่มีอัตตา ไม่มีสิ่งที่เป็นอัตตา มีสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติธรรมดาที่คนหลงว่าเป็นอัตตา แล้วก็ให้ดับความรู้สึกผิดๆ นี้เสีย ก็ไปดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ไม่มีอัตตาก็ไม่มีตัวผู้ทุกข์ ไม่มีอัตตาก็ไม่มีตัวที่จะมาฆ่า มาเป็นมาร เป็นมัจจุราช เป็นมฤตยู เป็นอะไร เราก็ภาคภูมิใจกันเถิดว่า เป็นคำสอนสูงสุดที่ไม่มีใครจะสอนให้เหนือไปกว่านั้นได้อีกแล้วจนกระทั่งบัดนี้ นี่คือพุทธศาสนา สอนให้รู้เรื่องสูงสุด ดับทุกข์สิ้นเชิงและสูงสุด นี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และก็ทำให้เกิดหน้าที่ที่จะศึกษา ที่จะค้นคว้า ที่จะทำวิปัสสนาสมาธิให้เห็นแจ้งว่าไม่มีอัตตา แล้วก็จะดับทุกข์ได้ คำสอนนี้ก็คือหน้าที่สูงสุด หน้าที่ทำให้เห็นว่าไม่มีอัตตา
พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาสอนสูงสุดในความจริงของธรรมชาติจนไม่มีใครจะสอนเรื่องดับทุกข์นี่ยิ่งไปกว่านั้นอีกแล้ว แม้เดี๋ยวนี้จะเจริญทางวิทยาศาสตร์ทางวิชาความรู้อะไรก็ มันก็ไม่สอนให้ดับทุกข์ได้จริงกว่าหรือสูงไปกว่าที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้แล้วในเรื่องไม่มีตัวตน ไม่ใช่อัตตา นี่ธรรมะคือหน้าที่ที่จะต้องทำให้รู้แจ้งเรื่องไม่มีอัตตา ธรรมะๆ ก็ดับทุกข์สิ้นเชิง ดังนั้น คำว่าธรรมะๆ มันก็คงแปลว่าหน้าที่ไปตามเดิม ต่ำสุดก็เรียกว่าหน้าที่ สูงสุดก็เรียกว่าหน้าที่ด้วยซ้ำ สติปัญญาของศาสดาผู้ตรัสรู้ ผู้สั่งสอน
ทีนี้เราเป็นพุทธบริษัทนับถือพุทธศาสนา แล้วก็รับเอาหน้าที่ๆ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนนั่นแหล่ะมาถือเป็นหลักว่าธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด ในภาษาไทยหน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด ในภาษาบาลีธรรมะๆ ธรรมะก็คือสิ่งที่ช่วยให้รอด คำว่าธรรมะๆ มันแปลว่าทรงไว้ ยกไว้ นี่รับต่อกันไว้ คือธรรมะก็ช่วยให้รอด ไม่ต้องเป็นทุกข์ มีความหมายหรือความมุ่งหมายอย่างเดียวกันสำหรับคำในภาษาไทยว่าหน้าที่ คำในภาษาอินเดียโบราณนี้ว่าธรรมะๆ หรือภาษาบาลีปัจจุบันก็หน้าที่ เป็นอันว่าหน้าที่คือสิ่งที่ช่วยให้รอดและดับทุกข์ได้
ทีนี้ก็มาถึงคำที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่ทุกพระองค์ หน้าที่ๆ คือการกระทำเพื่อให้เกิดความรอดทั้งของตนเองหรือของผู้อื่น เมื่อท่านได้ทำหน้าที่ส่วนตัวท่านจบ หมด สิ้นสุด ไม่มีหน้าที่เหลือ ก็มีหน้าที่เหลือสำหรับช่วยผู้อื่น ครั้งพระพุทธเจ้ามาเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็มีหน้าที่ช่วยผู้อื่นหลังจากที่ได้ช่วยตัวเองสิ้นสุดแล้ว หน้าที่ ท่านก็ทำหน้าที่ๆ อย่างยิ่ง หน้าที่อย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่อย่างนี้
ดูเรื่องราวที่กล่าวไว้ท่านทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ท่านทำหน้าที่ครบวงจรในวันหนึ่งคืนหนึ่ง แล้วก็ทำจนตลอดชีวิตของท่าน ครบวงจรในวันหนึ่งคืนหนึ่ง แต่ก่อนนี้ทำวัตรสวดมนต์นี้ก็เอาสวด ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ สายณฺเห ธมฺมเทสนํ ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ ปจฺจุสฺเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ ผมก็เคยสวดเหมือนกันแต่ลืม เอาเรื่องราวว่า หัวรุ่งก่อนสว่างท่านเล็งญาณส่องโลก ใช้คำว่าอย่างนี้ คือ สอดส่องไปว่าวันนี้จะไปโปรดใครที่ไหน เพราะว่าได้สังเกตเห็นอยู่ตลอดเวลาว่ามีอะไรที่ไหน มีใครที่ไหน มีคนเป็นอะไรที่ไหน มีศาสดาอาจารย์อะไรที่ไหน มาอยู่ในความคิดรู้สึกของพระองค์หมด แล้วก็ตัดสินว่าวันนี้จะไปทางไหน ทิศไหน เพื่อจะโปรดใคร นี่ก่อนรุ่ง หน้าที่อย่างนี้
พอรุ่งขึ้นก็ไป ดุ่มไปทางนั้นน่ะ จะไปโปรดชาวนาคนไหน พ่อค้าคนไหน คหบดีคนไหน หรือแม้แต่ลัทธิเดียรถีอื่นพวกไหน ท่านก็ไป ไปจนได้ทำหน้าที่อันนั้น ไม่ใช่โปรดแต่ว่าคนประชาชนทั่วไป แม้ศาสดาเจ้าลัทธิที่เห็นผิด ตรงกันข้าม ท่านก็แกล้งไป ทำทีว่าแกล้งไปให้มันได้เกิดการสนทนากัน แล้วก็ถือโอกาสไปบิณฑบาต ไม่ใช่ไปขอทานกิน แต่ว่าไปโปรดสัตว์ ได้มีโอกาสที่จะโปรด พร้อมกับไปขออาหารด้วยเพราะว่ามันสะดวก เมื่อเขานิมนต์ฉันอาหาร มันก็ไม่ได้พูดกันมากล่ะ หรือว่าแม้ว่าเขาจะไม่นิมนต์ฉันอาหารก็พูดกันจนเขานิมนต์ฉันอาหาร ก็โปรดให้มันได้สิ่งที่มีประโยชน์ จนเที่ยง จนสาย จนเที่ยง จนสาย จนเที่ยง ไม่ได้มากลับฉันที่วัด ก็ไปพักผ่อนที่ไหนสักหน่อยก็ได้ตอนเที่ยงมันร้อน แล้วตอนบ่ายตอนเย็นกลับมาที่วัด ก็สอนประชาชนที่ไปหาที่วัด ไปฟังเทศน์ที่วัด
พอค่ำลงก็สอนภิกษุประจำวัด พอดึกเที่ยงคืนก็สอนเทวดา เทวดามาจากสวรรค์ก็ได้ หรือว่าพระราชามหากษัตริย์ที่เป็นเทวดาโดยสมมติก็ได้ ล้วนแต่ไปหาเวลาเที่ยงคืนทั้งนั้นแหละ เที่ยงคืนก็สอนเทวดา แก้ปัญหาเทวดา เลยดึกไปก็พักผ่อนหน่อย พอใกล้รุ่งหัวรุ่งก็เอาอีกแล้ว เล็งญาณส่องโลก นี่ทำงานครบวงจรทั้งวันและคืนอย่างนี้ ท่านเคารพหน้าที่ของพระพุทธเจ้า ท่านทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า ท่านจึงเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าท่านไม่ทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่เป็นพระพุทธเจ้า เราก็พูดได้อย่างนี้เลย ที่ท่านเคารพหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเรียกว่าเคารพธรรมะ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพหน้าที่ของพระพุทธเจ้าคือธรรมะๆ เรียกว่าหน้าที่ๆ ต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากกว่าพวกเรามากแหละ เพราะว่าสมัยนั้นมันไม่มีรถยนต์ มันไม่มีเรือบิน ไม่มี ไปไหนมันก็ต้องเดิน ก็เดินเป็นโยชน์ๆ ก็ไปได้ ไปสอนได้ ไปโปรดสัตว์ได้ทั่วประเทศ ทั่วมัชฌิมประเทศ
ไอ้วันที่ท่านจะปรินิพพาน วันนั้น ค่ำนี้จะปรินิพพานแล้ววันนั้นยังเดินอยู่เป็นโยชน์ๆ เพื่อทำหน้าที่ของท่าน จนกระทั่งว่าจะปรินิพพานอยู่หยกๆ แล้วไม่กี่นาทีนี้ ก็ยังมีปริพาชกมาเฝ้าขอถามปัญหา ภิกษุทั้งหลายบอก โอ้, ไม่ได้แล้ว ท่านจะนิพพานแล้วก็ไล่ให้ไปเสีย พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสให้เรียกเข้ามาๆ อย่าไล่มัน ท่านก็สอนๆ ตอบกัน สอนกันจนว่าปริพาชกคนนี้รู้ธรรมะจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ในตอนสุดท้าย นี่โปรดปัจฉิมสาวกในระยะไม่เท่าไร จะปรินิพพานอยู่หยกๆ ต่อมาจากนั้นไม่กี่นาทีไม่กี่อะไรก็มีเรื่องปรินิพพานเข้ามา นี่เรียกว่าทำหน้าที่พระพุทธเจ้าจนวินาทีสุดท้าย
ขอให้สรุปใจความว่าพระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่เป็นสิ่งสูงสุด แต่ไอ้พวกมนุษย์ที่นับถือพระพุทธเจ้านั้นไม่ค่อยจะเคารพหน้าที่ เป็นพุทธบริษัท ประกาศตัวเป็นพุทธบริษัท มันก็ยังไม่เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ มันบิดพลิ้วหน้าที่ มันหลบเลี่ยงหน้าที่ มันคดโกงหน้าที่ มันกบฏหน้าที่อย่างที่คุณก็เห็นๆ อยู่ แล้วมันรู้สึกว่าทำหน้าที่นี้ไม่สนุก ก็กลายเป็นอันธพาล ทำหน้าที่การงานเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหล ไคลย้อย มันไม่สนุก ไปปล้น ไปจี้ ไปขโมยดีกว่า นี่ตามแบบของอันธพาล เพราะมันไม่เคารพหน้าที่ เพราะมันไม่รู้จักหน้าที่ มันก็เลยไปถือเอาว่าไปจี้ไปปล้นนั่นน่ะเป็นหน้าที่ของมัน นี่เป็นเสียอย่างนี้
ทีนี้ที่ไม่ใช่เป็นอันธพาลนี่ เป็นภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกานี่ ก็ยังไม่ได้เคารพหน้าที่เต็มที่เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ ฉะนั้น ผมจึงถือว่าเรายังไม่ได้เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ ท่านเคารพหน้าที่เท่าไรเราไม่ได้เคารพถึงเท่านั้น เรายังหลีกเลี่ยง หลบหลีก หรือพักผ่อน หรืออะไรเสีย ไม่เต็มที่ๆ เดี๋ยวนี้ที่พูดนี้ก็เพื่อจะให้มาตั้งใจกันเสียใหม่ มีความคิด มีความพยายามเสียใหม่ว่า จะเคารพหน้าที่ในฐานะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ แล้วก็จะเคารพให้มากที่สุดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ จึงอยากจะพูดกับทุกๆ ท่านทั้งหลายนี่ว่าเราจงมาเข้าใจเรื่องนี้ พิจารณาสอดส่องเรื่องนี้ และมีความแน่ใจ อธิษฐานจิตอะไรก็ตามใจว่าจะเคารพหน้าที่เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าเคารพ จะมองเห็นว่าหน้าที่นั่นแหละคือสิ่งสูงสุดจนพระพุทธเจ้าท่านเคารพ นั่น คิดดูสิ เมื่อเราถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลสูงสุด และท่านยังเคารพอีกสิ่งหนึ่งคือหน้าที่ หน้าที่จึงเป็นสิ่งสูงสุด
ทีนี้ก็พิจารณาดูเอาเองต่อไปว่ามันสูงสุดอย่างไร มันสูงสุดคือมันช่วยให้รอด นี่คำว่าธรรมะๆ น่ะหรือหน้าที่ๆ มันเป็นสิ่งที่ช่วยให้รอด รอดในทุกความหมาย รอดที่เจ็บป่วย (นาทีที่ 28.32) รอดในทุกความหมาย แต่คำว่าธรรมะๆ นี้มันไม่ได้หมายถึงไอ้ตัวหนังสือ คำสอน คำพูดที่พูดกันอยู่บนธรรมาสน์ หรือว่าในพระไตรปิฎก เป็นตัวหนังสือ มันไม่ใช่อย่างนั้น นั่นมันไม่ใช่หน้าที่ มันเป็นบันทึกเรื่องหน้าที่ แต่หน้าที่ก็คือการกระทำลงไปจริงๆ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เป็นการกระทำที่ถูกต้องสำหรับดับทุกข์ เป็นหน้าที่ที่ถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ที่จะดับทุกข์ ถูกต้องๆ ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ไม่ว่ามนุษย์นั้นมันจะอยู่ในระดับไหนของวิวัฒนาการ เกิดความถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ทั้งและประโยชน์ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่นด้วย นั่นแหละธรรมะ
บทนิยามของคำว่าธรรมะที่จะใช้เป็นประโยชน์ที่สุดก็คือ ระบบการประพฤติกระทำที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น ถ้าคุณจำไว้ได้จะดีมาก จะสะดวกไปหมดในการพูด ในการปฏิบัติ ในการสั่งสอนผู้อื่น คุณฟังให้ดีสิ ผมจะว่าอีกทีว่า ธรรมะคือระบบแห่งการปฏิบัติ เพราะมันไม่ใช่ปฏิบัติข้อเดียว มันปฏิบัติเป็นระบบ ระบบแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้องๆ ตรงแก่ความเป็นมนุษย์ ที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ เพื่อจะเป็นมนุษย์กันให้ได้ และก็ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ แม้จะวิวัฒนาการอย่างที่ว่าเป็นคนป่าคนดอยค่อยดีขึ้นจนเป็นมนุษย์ที่ฉลาดอย่างนี้ วิวัฒนาการในชีววิทยาอย่างนี้ก็ได้ แม้แต่ว่าวิวัฒนาการในชาติเดียวนี้ เป็นเด็กทารก เป็นเด็กโต เป็นเด็กวัยรุ่น เป็นเด็กหนุ่มสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นคนแก่คนเฒ่า ก็เรียกว่าวิวัฒนาการเหมือนกัน ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการนี้ก็ได้เหมือนกัน ต้องถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของความเป็นมนุษย์ ทั้งเพื่อประโยชน์แก่ตัวเอง ตัวเองรอด และผู้อื่นรอด นี่ครบอย่างนี้
ธรรมะ คือ ระบบแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขาทั้งเพื่อตัวเองและทั้งเพื่อผู้อื่น นี่บทนิยามนี้ดีที่สุดสำหรับคำว่าธรรมะซึ่งแปลว่าหน้าที่ แต่ถ้าเราจะเอากันให้หมดๆ แล้ว มันก็มีคำแปลหรือความหมายอย่างอื่น ซึ่งผมค้นๆ ๆ ๆ หมดสิ้นแล้วเอามาจัดเป็นระบบพูดว่าธรรมะ ๔ ความหมาย
ผมท้าให้ใครมาพูดอีก พูดให้มันมากออกไปจากนี้ได้ หรือพิสูจน์ว่าไอ้ ๔ อย่างนี้มันไม่พอ
ธรรมะคือธรรมชาติ นี่ความหมายที่หนึ่ง ธรรมชาติรูปนามอะไรตามสากลจักรวาล ธรรมะคือธรรมชาติ ภาษาบาลีมันใช้อย่างนั้น และธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ในธรรมชาตินั้นมีตัวกฎที่เราต้องรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร ฉะนั้น รู้กฎแล้วก็ธรรมะคือหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎให้ได้รับผลตามที่ต้องการ นี่ธรรมะคือหน้าที่อันที่สาม และธรรมะคือผลจากการปฏิบัติหน้าที่อันที่สี่นี้ไม่สำคัญอะไรละ ถ้ามีการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ผลมันก็มี มีแน่นอนละ รู้ไว้เถิดว่าไอ้ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่เกิดจากหน้าที่
อันแรกที่สุด ธรรมะคือธรรมชาตินั้นก็เรียกว่า สภาวธรรมๆ ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ก็คือสัจธรรมๆ ความจริงของธรรมชาติ คือ กฎ แล้วก็ธรรมะคือหน้าที่ ก็คือปฏิบัติธรรมๆ ทีนี้ธรรมะคือผลของการปฏิบัติ ก็คือปฏิเวธธรรมๆ ได้เป็น ๔ ความหมาย ธรรมะคำเดียวอธิบายได้เป็น ๔ ความหมายอย่างนี้ แล้วความหมายที่สำคัญที่สุดคือความหมายที่สาม คือหน้าที่ๆ ที่เรามาพูดกันแล้วว่าหน้าที่ที่พระพุทธเจ้าเคารพ ธรรมชาติ กฎธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎธรรมชาติ ผลจากหน้าที่ อันที่สามคือหน้าที่น่ะ ก็คือได้พูดมาแล้วตอนต้นว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านก็เคารพคือหน้าที่ๆ ขอให้มองเห็นว่าไอ้ธรรมะในความหมายที่แปลว่าหน้าที่ๆ สำคัญที่สุด ธรรมะในความหมายอย่างอื่นก็สำคัญเหมือนกัน แต่มันไม่จำเป็น มันไม่เกี่ยวอะไรกับความเป็นความตายของเรา หรือหน้าที่ของเรา
ถ้าเราเป็นมนุษย์ คือมีจิตใจสูงสุดอยู่เหนือความทุกข์ มันต้องทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ฉะนั้น ขอให้ช่วยจำไว้ทีเถิดว่า ธรรมะคือระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขาทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อผู้อื่น มันยาวหน่อย และมันก็สมบูรณ์ที่สุด ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ก็มันจะได้เป็นมนุษย์ แต่มันยังถูกต้องมากกว่านั้น คือถูกต้องสำหรับจะไม่ตาย ถูกต้องสำหรับจะไม่ต้องตาย เมื่อไม่ต้องตายแล้ว จะถูกต้องสำหรับจะปฏิบัติอยู่เหนือความทุกข์ ไม่ตายแต่มีแต่ความทุกข์มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ตายด้วยและก็ไม่มีความทุกข์ด้วยจึงจะสำเร็จประโยชน์ มันก็ถูกต้องทั้งที่ไม่ตาย ถูกต้องทั้งที่ไม่มีความทุกข์ จึงจะเรียกว่าถูกต้องที่สมบูรณ์ ขอให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะไว้อย่างนี้ ในภาษาไทยว่าหน้าที่ๆ หน้าที่คือสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ มันก็สูงสุดถึงกับว่าเป็นเหมือนกับที่เราเรียกว่าพระเจ้าหรือพระเป็นเจ้าทีเดียว แต่พระเป็นเจ้านี้มันมีความหมายกำกวม พวกอื่นเค้าก็มีอย่างอื่นเป็นบุคคล เป็นอะไรไปอย่างอื่น เราชาวพุทธมีพระเจ้า มีพระเป็นเจ้าสูงสุด ก็คือหน้าที่ สูงสุดจนพระพุทธเจ้าก็ยังเคารพ แล้วมันยังสูงสุดตรงที่ว่ามันช่วยให้รอดนี่ เพราะหน้าที่มันช่วยให้รอด มันจะมีอะไรสำคัญไปกว่าสิ่งที่ช่วยให้รอด นี่ขอให้เรามองดูหน้าที่ว่าสูงสุดอย่างไร มันช่วยให้รอด เพราะถ้าไม่มีหน้าที่ก็คือตายใช่ไหมเล่า เด็กๆ มันก็รู้นะ ถ้าไม่มีการทำหน้าที่มันก็คือตาย ไม่กิน ไม่อาบ ไม่ถ่าย ไม่ทำหน้าที่อย่างถูกต้องมันก็คือตาย มันทำหน้าที่อยู่อย่างถูกต้องมันก็คือไม่ตาย ฉะนั้น หน้าที่คือสิ่งที่ช่วยให้รอด ไม่ตาย
ครั้นไม่ตายแล้ว ยังมีทุกข์ ก็ต้องขจัดทุกข์อีกหน้าที่หนึ่ง นั่นหน้าที่ขั้นสอง ก็จะดับทุกข์ได้ ไม่มีปัญหาเหลืออยู่ ไม่ทำหน้าที่ก็คือตาย พูดกันง่ายๆ คนไม่ทำหน้าที่ก็ตาย สัตว์เดรัจฉานไม่ทำหน้าที่ก็คือตาย ต้นไม้ต้นไร่นี้ไม่ทำหน้าที่ก็คือตาย ดังนั้น มันจึงทำหน้าที่กันอยู่อย่างยิ่งทั้งนั้นแหละ มันจึงไม่ตาย
สำหรับคนเรานี่ แล้วแต่คุณจะเชื่อตามที่พวกนักวิทยาศาสตร์มันว่า มันประกอบอยู่ด้วยเซลล์ไม่รู้กี่ล้านๆ ๆ หลายล้าน พันล้านเซลล์แหละ ที่จะประกอบกันขึ้นเป็นอวัยวะ เป็นเนื้อหนัง เป็นเลือด เป็นอะไร เป็นร่างกายขึ้นมาได้ แต่ขอให้รู้ว่าทุกเซลล์มันทำหน้าที่ ทุกเซลล์มันทำหน้าที่ ที่ประกอบเป็นอวัยวะส่วนไหน อวัยวะส่วนนั้นก็ทำหน้าที่ได้ เพราะว่าเซลล์ทุกเซลล์มันทำหน้าที่รอดชีวิตอยู่ แล้วก็จะคุม (นาทีที่ 38.22) กันเข้าเป็นส่วนๆ เป็นส่วนแล้วก็ทำหน้าที่ตามส่วน
มือทำหน้าที่ของมือ เท้าทำหน้าที่ของเท้า ปากทำหน้าที่ของปาก กระเพาะทำหน้าที่ของกระเพาะ ตาทำหน้าที่ของตา หูทำหน้าที่ของหู จมูกทำหน้าที่ของจมูก มันยังทำหน้าที่อย่างนี้มันก็คือยังรอด มันยังไม่ตาย ลองไม่ทำหน้าที่ มันก็คือตาย หรือว่าเซลล์ทั้งหลายมันหยุดทำหน้าที่ก็คือตายทันที แต่นี่มันยังทำหน้าที่ แล้วคนที่เรียกว่าคน คนที่......(นาทีที่ 39.00) จะบกพร่องในหน้าที่ สิ่งมีชีวิตต้องทำหน้าที่ตลอดเวลา การพักผ่อนก็คือหน้าที่ ถ้าไม่นอนหลับพักผ่อนบ้างมันก็ไม่มีแรงที่จะทำอะไรได้ มันก็คือตายเหมือนกัน ดังนั้น พักผ่อนก็เป็นหน้าที่ที่จะต้องพักผ่อน เมื่อทำการงานก็มีหน้าที่ทำการงาน พอถึงทีที่จะพักผ่อนก็มีหน้าที่ที่ต้องพักผ่อน มันก็หน้าที่ไปหมด
อยากจะพูดเอาอย่างต้นไม้ที่เราเรียนกันทางวิทยาศาสตร์ ต้นไม้นี่ทำหน้าที่ทั้งวันและทั้งคืน ทั้งวันทำหน้าที่ตลอดวัน ใช้แสงแดดผลิตแร่ธาตุเป็นอาหารแล้วก็เลี้ยงลำต้น กลางคืนนี้ก็ทำหน้าที่อะไรไม่รู้ ถ่ายคาร์บอนไดออกไซด์มาได้ตลอดคืน กลางวันถ่ายออกซิเจนตลอดวัน .....(นาทีที่ 39.55) ต้นไม้ทำงานทั้งวันและทั้งคืน มันจึงเป็นต้นไม้อยู่ได้ นี่หน้าที่ๆ มันสำคัญอย่างนี้ ดังนั้น ขอให้ทำหน้าที่ทุกอย่างทุกประการให้ถูกต้อง
เอ้า, คุยกันถึงคนๆ ดีกว่า มันมีหน้าที่มากกว่า น่าสนใจกว่า คนก็ต้องทำหน้าที่อย่างคน เป็นคนมันเลวไปก็ทำหน้าที่ให้เป็นมนุษย์ให้มันสูงขึ้นมาโดยสติปัญญา โดยการกระทำอะไร เอาให้สูงขึ้นมากว่าคน ถ้ามันโง่ หรือเลว หรือต่ำ มันก็เป็นคน ถ้ามันดี มันสูงขึ้นมา มันก็เป็นมนุษย์ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ นั่นแหละสมบูรณ์ สูงสุดเป็นพระอรหันต์ ต้องทำหน้าที่ๆ
หน้าที่ๆในธรรมดาสามัญ ในปัจจุบัน ในสามัญที่สุดนี้ อยากจะแบ่งเป็น ๓ หน้าที่
รวมเป็น ๓ อย่าง หน้าที่ประกอบอาชีพ ก็ดู ก็เห็นกันอยู่ ชาวนาทำนา ชาวสวนทำสวน พ่อค้าค้าขาย ข้าราชการทำราชการ กรรมกรทำงานกรรมกร ศิลปินทำงานศิลปะ ขอทานก็ทำงานขอทาน ประกอบอาชีพคือหน้าที่ๆ ควรจะทำดีที่สุดๆ ตามที่จะทำได้ ความสามารถมีน้อยไป ต้องขอทาน ก็ต้องขอทานให้ดีที่สุด ให้ถูกต้องที่สุด แล้วไม่เท่าไรมันก็จะรอดจะพ้นจากขอทานมาเป็นคนธรรมดา และก็ก้าวต่อไป อาจจะเป็นเศรษฐีก็ได้
ชาวนาทำนาให้ดีที่สุด ชาวสวนทำสวนให้ดีที่สุด แล้วก็รู้ว่าเป็นหน้าที่ ก็บูชาหน้าที่ ถ้าบูชาหน้าที่ มันก็ไม่เหนื่อย เพราะมันอยาก เพราะมันเห็นเป็นเกียรติสูงสุดที่ได้ทำหน้าที่ ถ้าเหงื่อออกมา ก็ยิ่งพอใจว่ามันพิสูจน์ว่าได้ทำหน้าที่ไม่บกพร่อง เพราะว่าเหงื่อมันออกมาแล้ว ก็ทำหน้าที่ไม่บกพร่อง ก็พอใจเป็นสุขเมื่อทำหน้าที่ ขุดดินอยู่กลางแดดเหงื่อท่วมตัว ก็พอใจและเป็นสุขๆ เพราะได้ทำหน้าที่ ถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจ นี่ยกตัวอย่างชาวนา ชาวสวน และก็ทำหน้าที่ทุกอย่าง จะไถนา จะเก็บ จะหว่านข้าว จะปลูกข้าว จะเกี่ยวข้าว จะเก็บข้าว จะทำอาชีพอื่นๆ ที่มันประกอบกันอยู่ จะเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงอะไรก็ มันก็เป็นหน้าที่ ทำถูกต้อง ทำดี พอใจๆ ๆ ถูกต้อง เป็นสุขตลอดเวลา นี่เพราะบูชาหน้าที่เป็นสิ่งสูงสุด จึงรักหน้าที่ พอใจในหน้าที่ ยิ่งเหงื่อออกมา ยิ่งพอใจว่าได้ทำหน้าที่ไม่บกพร่อง เหงื่อเลยกลายเป็นน้ำมนต์
ผู้ที่ไม่รักหน้าที่ ไม่รักการงาน เหงื่อมันเป็นน้ำร้อน มันขับบุคคลให้ละทิ้งหน้าที่ อย่างอันธพาลพอไปทำงานเหงื่อออกมา โอ๊ย, ป่วยการ ไปจี้ ไปปล้น ไปขโมย เร็วกว่า รวยกว่า และก็ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องอาบเหงื่อ มันก็ไปจี้ ไปปล้น เป็นอันธพาล เพราะมันไม่เคารพหน้าที่ที่ถูกต้อง มันไปสร้างหน้าที่อันธพาลขึ้นมา ดูสิ หน้าที่มันเป็นอย่างนี้
ข้าราชการทำหน้าที่ข้าราชการให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีคดโกงอะไร มันก็เคารพตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้ เดี๋ยวนี้ก็หายากที่ใครทำหน้าที่ไม่บกพร่องจนยกมือจนไหว้ตัวเองได้ มีแต่จะหน้าไหว้หลังหลอก คดโกงหน้าที่ บิดพลิ้วหน้าที่ คดโกงได้เท่าไรก็ยิ่งพอใจ นั่นน่ะ มันเป็นอย่างนั้น เป็นศิลปินเคารพหน้าที่ก็สนุก เป็นสุขในหน้าที่ยิ่งกว่าผู้อื่น เป็นกรรมกรก็พอใจ เพราะว่าเรายังไม่มีโชคอะไรดีที่จะไปทำอย่างอื่นได้ เป็นกรรมกรหากินด้วยเหงื่อก็พอใจๆ ๆ ไม่เท่าไรก็พ้นภาวะกรรมกร ถ้ามันเคารพหน้าที่โดยแท้จริง และมันเคารพกฎเกณฑ์ระเบียบต่างๆ มันไม่ทำอบายมุข คนที่ไปทำอบายมุขนี้มันไม่เคารพหน้าที่ มันไปเอาหน้าที่ของอันธพาล ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน คือไม่เคารพหน้าที่สูงสุด จึงได้เกียจคร้านทำการงาน
ดังนั้น ขอให้เคารพหน้าที่ เป็นขอทานก็สุภาพเรียบร้อย น่าเอ็นดู น่าให้ คนเขาก็ให้ เป็นขอทานที่ดีที่เคารพหน้าที่ และสุภาพตามแบบของคนขอทาน ไม่เท่าไรก็จะรอดตัว แล้วก็อย่าไปคดโกง อย่าไปเป็นนักเลง เป็นอันธพาลอะไรเสียอีก มันก็รอดตัวได้ นี่อาชีพ อาชีพๆ เป็นธรรมะ หน้าที่คืออาชีพ ก็พอใจและเป็นสุข พอใจและเป็นสุข มองดูตัวเองทีไรก็พอใจ พอใจว่ามันมีแต่ความถูกต้อง หน้าที่ถูกต้อง ยกมือไหว้ตัวเองได้
ยกมือไหว้ตัวเองได้นั่นแหละคือสวรรค์ เกลียดน้ำหน้าตัวเองน่ะคือนรก สวรรค์จริงนรกจริงอยู่ที่นี่ นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เขาพูดอยู่ก่อน ดึกดำบรรพ์ก่อนพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าท่านเกิดขึ้น ท่านว่านรกนั้นก็นรก สวรรค์นั้นก็สวรรค์ แต่ฉันจะบอกว่าไอ้นรกมันอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ทำผิด สวรรค์ก็อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ทำถูก นี่ก็คือทำถูกต้องตามหน้าที่ ก็เป็นสวรรค์ขึ้นมาที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พอทำผิดมันก็เป็นนรกขึ้นมาที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ว่าบรรพบุรุษของเราก็พูดไว้สั้นๆ ว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ ก็ถูกเหมือนกันแหละ เพราะมันขยายออกไปได้เป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่สวรรค์ที่แท้จริง นรกที่แท้จริงอยู่ที่ในใจ หรือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่พระพุทธเจ้าเพิ่งบอก เพิ่งสอน นรกสวรรค์อย่างนี้พระพุทธเจ้าเพิ่งสอน เพิ่งบอก
ก่อนพระพุทธเจ้าเขาก็เชื่อกันมาว่านรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า อย่าเข้าใจว่านั่นเป็นพุทธศาสนาเลย มันสอนอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดน่ะ พอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาเขาก็สอนกันอยู่แล้วในอินเดียนั้นน่ะว่า นรกใต้ดินเป็นอย่างนั้น สวรรค์บนฟ้าเป็นอย่างนั้น ถึงต่อตายแล้วนะ (นาทีที่ 47.25) พระพุทธเจ้าท่านไม่คัดค้าน แต่ก็พอจะสำรวมหน่อยว่า ถ้าแกอยากไปสวรรค์ก็จงทำดี ปฏิบัติอย่างนี้ๆ ถ้าปฏิบัติชั่วอย่างนั้นก็จะไปนรก ก็สอน ก็สำรวมไป แต่ท่านบอกว่า ไอ้สวรรค์นรกมันอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ทำผิด หรือทำถูก ทำผิดต่อกฎอิทัปปัจจยตาก็เดือดร้อนขึ้นมา เป็นนรกอยู่ที่เนื้อที่ตัว ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำถูกต้องตามกฎอิทัปปัจจยตามันก็ไม่เป็นทุกข์ แต่มันเป็นความสุข เป็นสวรรค์อยู่ที่เนื้อที่ตัว ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
นี่ขอให้เรารู้จักนรกสวรรค์ในพระพุทธศาสนาแท้จริงกันเสียบ้าง ท่านสอนอย่างนี้ ผมเอามาบอกมาเล่าให้ฟัง เขากลับพาลพาโลหาว่า ผมยกเลิกนรกสวรรค์ที่เขาสอนกันอยู่ก่อน ผมจะไปยกเลิกอะไรได้ พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ยกเลิก ก็ปล่อยไว้เป็นของคนชนิดนั้น ประเภทนั้น มาสอนนรกสวรรค์แท้จริงกันที่นี่และเดี๋ยวนี้ สวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจะได้สวรรค์ทุกชนิด ถ้าจะมันมีอีกหลายชนิด ก็ได้หมด เพราะมันทำถูกต้อง ถ้ามันตกนรกที่นี่ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ ก็ตกนรกทุกชนิดที่มันจะมี
เอาละ เป็นอันว่าเราทำหน้าที่ให้ถูกต้องจนไม่ต้องตกนรก มีแต่สวรรค์ มีแต่สวรรค์ พอใจ ถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไรเป็นสวรรค์เมื่อนั้น เกลียดน้ำหน้าตัวเองเมื่อไรเป็นนรกเมื่อนั้น ขอให้ทุกคนรู้จักนรกที่แท้จริง สวรรค์ที่แท้จริง ที่นี่และเดี๋ยวนี้กันเถิด เป็นอกาลิโกเดี๋ยวนี้ เป็นสันทิฏฐิโกที่นี้และเดี๋ยวนี้ นี่จะรู้หน้าที่ รู้หน้าที่ที่ทำให้มันถูกต้อง เอ้า, ในการประกอบอาชีพเป็นอย่างนี้
ทีนี้ในการบริหารร่างกาย ก็ขอให้มันถูกต้องอย่างละเอียด อย่างประณีต สุขม มีประโยชน์ บริหารร่างกายนี้ว่าเราจะต้องอะไรล่ะ กินอาหาร ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ตื่นเช้าขึ้นมาจะต้องล้างหน้าถูฟัน จะต้องไปอาบน้ำ จะมาถ่ายอุจจาระปัสสาวะ จะต้องกินอาหาร จะล้างถ้วยล้างจาน กวาดบ้านถูเรือน ถู แล้วแต่จะมีกุฏิหรือมีเรือน ต้องทำให้ถูกต้องๆ ๆ จนพอใจ อย่างตื่นขึ้นมาจะล้างหน้า จะถูฟัน มีสติสัมปชัญญะเต็มที่ เอาแปรงฟันนั่นน่ะเป็นอารมณ์ของสมาธิ ตั้งใจทำอย่างดีที่สุดด้วยสติสัมปชัญญะ แปรงฟันดีที่สุด ถูกต้องและพอใจ เป็นสุขตลอดเวลาที่ล้างหน้าและถูฟัน เป็นสุขตลอดเวลาที่ล้างหน้าและถูฟัน แต่ไอ้พวกคนโง่มันทำไม่ได้เพราะมันไม่ได้ตั้งใจจะทำ ไอ้สัญชาติคนโง่มันทำไม่ได้ มันจะมีสติสัมปชัญญะล้างหน้าถูฟันให้ถูกต้องเรียบร้อยจนเป็นที่พอใจไม่ได้ จิตใจมันอยู่ที่อื่นนู้น มันโกรธใครด่าใครไปพลางก็ได้ มันเลยไม่มีสติสัมปชัญญะสมาธิที่จะล้างหน้าและถูฟันให้มีผลดีที่สุดตลอดเวลาที่ล้างหน้าถูฟัน
ไปอาบน้ำก็เหมือนกัน ทุกขั้นตอนแห่งการอาบน้ำ ตัก หยิบขันมาตักน้ำรดหรือว่าอาบ ให้มันถูกต้องๆ ถูกต้องด้วยสติสัมปชัญญะ พอใจๆ เป็นสุขตลอดเวลาที่อาบน้ำ แต่ไอ้คนโง่มันทำไม่ได้ เพราะมันมีเรื่องอะไรก็ไม่รู้ เป็นกิเลสอะไรของมันก็ไม่รู้ มันด่าคนอื่นไปพลาง มันอาบน้ำไปพลาง จิตใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มันไม่มีสติสัมปชัญญะสมาธิในการอาบน้ำ มันก็ไม่มีเคยความสุขในการอาบน้ำ มันอาบด้วยความจำเป็น
ฉะนั้น ขอให้มีสติสัมปชัญญะ แม้แต่อาบน้ำให้ถูกต้องพอใจ จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็เหมือนกัน ถูกต้องๆ ไปทุกขั้นตอน พอใจทุกขั้นตอน มีจิตใจอยู่ที่อุจจาระเป็นสมาธิ ถูกต้องทุกขั้นตอน มีความสุข พอใจตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ
บริหารร่างกายที่ทำหน้าถูกต้องเป็นอย่างนี้ ไปกินข้าว หยิบจานมา ตักข้าวใส่จาน ตักข้าวใส่ปาก เคี้ยว กลืน แล้วก็ตามด้วยสติสัมปชัญญะๆ ถูกต้องๆ ๆ พอใจๆ ๆ มีความสุข ตลอดเวลาที่รับประทานอาหาร แต่คนโง่มันทำไม่ได้ สัญชาติคนโง่มันทำไม่ได้ เพราะมันจะต้องทะเลาะกับอาหาร เมื่อไม่อร่อยมันก็โกรธ เมื่ออร่อยมันก็หลง ก็ดีใจเสียใจไปตลอดเวลาที่กินอาหาร มันหาความสุขความสงบไม่ได้ นี้แหละคนโง่ ฉะนั้น ขอให้มีสติสัมปชัญญะบริหารร่างกายในเรื่องกินอาหารนี้ให้ถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจ เป็นความสุขตลอดเวลาที่รับประทานอาหาร
เอ้า, ทีนี้จะพูดอย่างคนธรรมดาสามัญ กระทั่งล้างถ้วยล้างจาน กวาดบ้านถูเรือน ล้างถ้วยล้างจานมีสติสัมปชัญญะ มีสมาธิอยู่ที่จานที่มันสกปรก น้ำมันทำให้หลุดออกไปอย่างไร ล้างถ้วยล้างจาน มีสมาธิอยู่ที่ถ้วยที่จาน กวาดบ้านมีสมาธิอยู่ที่ปลายไม้กวาดที่มันลากไป เอาของสกปรกเอาฝุ่นออกไปด้วย มีสมาธิที่นั่น ก็ถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจ ล้างส้วมก็ได้ ถูกต้องพอใจ นี่มันเป็นได้ถึงขนาดนี้ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยสมาธิ มันก็ถูกต้องพอใจทุกหน้าที่ที่จะต้องบริหารร่างกาย
ทีนี้หน้าที่จะคบหาสมาคม คบหากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เบื้องหน้าคือบิดามารดา เบื้องหลังบุตรภรรยา ข้างซ้ายคือมิตรสหาย ข้างขวาอาจารย์ ข้างบนผู้บังคับบัญชาผู้อยู่เหนือ ข้างล่างทิศเบื้องล่างเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ให้มันถูกต้องๆ ๆ ทำโดยถูกต้องๆ ใช้เมตตา ใช้กรุณา ใช้ปัญญา ใช้อะไรถูกต้องไปหมด มันก็ดี ก็มีความสุข แต่คนมันไม่สนใจ มันไม่ตั้งใจ เพราะมันเป็นเพื่อนไม่ดีไม่ได้ (นาทีที่ 54.08) มันเป็นคนเลวเสียเอง มันหาความเป็นเพื่อนที่ดีไม่ได้
ฉะนั้น หน้าที่เพื่อประกอบอาชีพก็ดี หน้าที่เพื่อบริหารร่างกายก็ดี หน้าที่เพื่อสังคมก็ดี ให้มันถูกต้องๆ ไปทั้งทุกหน้าที่ เลยเป็นมนุษย์ที่แท้จริง มีความสูงทางจิตใจ อยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์ เรียกว่าอยู่เหนือโลกอ่ะ ร่างกายอยู่เหนือโลก แต่จิตใจ เอ้ย, ร่างกายอยู่ในโลก แต่จิตใจอยู่เหนือโลก หมายความว่าไม่มีอะไรในโลกมาย่ำยีจิตใจเขาได้ อิทธิพลใดๆ ในโลกมาย่ำยีจิตใจเขาไม่ได้ ทั้งที่เขาอยู่ในโลก ลักษณะอย่างนี้เรียกว่าอยู่เหนือโลก มันก็หมดปัญหา
ทีนี้หน้าที่ๆ คือสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ เมื่อใดทำหน้าที่เมื่อนั้นมีธรรมะ จะนั่งขอทานอยู่ก็มีธรรมะ จะไถนาอยู่ก็มีแต่ธรรมะ ถ้ามันไม่มีหน้าที่แม้ในโบสถ์มันก็ไม่มีธรรมะ ในโบสถ์บางโบสถ์ มีแต่สั่นเซียมซี มีแต่พิธีรีตอง ไม่มีหน้าที่ โบสถ์ชนิดนี้ไม่มีธรรมะแม้ในโบสถ์ ธรรมะหนีไปอยู่กลางทุ่งนาที่เขาไถนากันอยู่ หรือเขาทำอะไรกันอยู่ตามหน้าที่ ฉะนั้น ขอให้เห็นว่าหน้าที่ๆ เป็นตัวธรรมะ มีหน้าที่ที่ไหนมีธรรมะที่นั่น ที่กาย วาจา ใจ การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมะ การปฏิบัติธรรมะคือการทำหน้าที่ ทำหน้าที่ให้ถูกต้องพอใจๆ นั้นแหละคือความสุขที่แท้จริง
มีคนมาขอพรกับผม ว่าโอ้, ป่วยการ ไอ้พรที่ขอนั่นมันเป็นลมๆ แล้งๆ ไอ้พรที่แท้จริงคือคุณไปทำหน้าที่ให้ถูกต้องและพอใจ นั่นแหละพรที่แท้จริง บางคนก็เห็นด้วย บางคนก็ไม่เห็นด้วย บางคนก็โกรธ เพราะเขาอยากได้พรลมๆ แล้งๆ ที่เราจะให้ด้วยปาก เขาไม่ยินดีจะทำหน้าที่ให้เป็นพรด้วยตนเอง
ทีนี้ ที่สุดนี้จะเห็นได้ว่าหน้าที่ๆ เป็นสิ่งสูงสุด เป็นสิ่งที่ช่วยให้รอด แล้วเป็นสิ่งที่ช่วยให้ไม่เป็นทุกข์ ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ตามศีล สมาธิ ปัญญาของพระพุทธองค์ ช่วยให้รอด แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ นี่ขอให้พวกเราที่ได้บวชกันมาในพระศาสนานี้จงรู้จักหน้าที่ในฐานะที่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ และก็เคารพหน้าที่ ยินดีทำหน้าที่ ไม่บิดพลิ้วหน้าที่ ไม่หลอกลวงหน้าที่ ไม่คดโกงหน้าที่ จะอยู่ก็ตาม จะสึกออกไปก็ตาม ต้องเคารพหน้าที่ คือเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ ถ้าได้อย่างนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรเหลือ ช่วยตัวเองรอด ช่วยผู้อื่นรอด ช่วยครอบครัวรอด ช่วยบ้านเมืองรอด ช่วยประเทศชาติ รอดช่วยโลกรอดเลย
เอาแหละ พอสมควรแก่เวลาแล้วว่า เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพเถิด เคารพหน้าที่ เคารพหน้าที่ ถูกต้องในหน้าที่ เอาตัวรอดทั้งตนเองและผู้อื่น และก็จะอยู่เป็นสุขทุกทิพาราตรีกาลเป็นแน่นอน
ขอยุติการบรรยายในวันนี้