แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เป็นสกิทาคามี แล้วก็ทำการเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นแหละให้ยิ่งขึ้นไป ให้ลึกขึ้นไป ให้มีความเปลี่ยนแปลงในจิตใจมากขึ้นไป (นาทีที่ 02:55-03:03 เสียงขาดหายไป) ใจให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาให้ลึกยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ก็เป็นพระอรหันต์ หมายความว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถึงที่สุด จนไม่ต้องเห็นอีกต่อไปเพราะมันเห็นถึงที่สุดแล้ว ละความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนได้แล้ว ไม่มีความคิดปรุงแต่งอะไรที่จะเป็นของผิดอีกต่อไป นี้ก็เรียกว่าเป็นเรื่องจบพรหมจรรย์ จบกิจในพระพุทธศาสนา นี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า มันมีเรื่องเดียวเท่านั้น ดังนั้นก็ขอให้ตั้งต้นศึกษาเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วก็ทำให้เห็นขึ้นมาตามลำดับ ตามลำดับ สูงขึ้นไปตามลำดับ
การประพฤติปฏิบัติที่เป็นเนื้อหาสาระ เป็นความหมาย ก็คือว่า มีสติ รู้เท่าทันการปรุงแต่งของจิต สตินี้ก็ไปขนเอาไอ้ปัญญา คือเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่าอย่างไรนั้น มาเป็นเครื่องควบคุมเหตุการณ์ เป็นสัมปชัญญะในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตั้งอยู่เฉพาะหน้า เข้าควบคุมในสิ่งที่มากระทบนั่นให้อยู่ในความถูกต้อง ไม่ให้หลอก ไม่ให้ลวง ไม่ให้หลงไปยินดียินร้าย ถ้ามันเกิดความรู้สึกประเภทยินดียินร้ายขึ้นมาแล้ว ก็เรียกว่า มันเป็นความทุกข์ มันเป็นผิดแล้ว จะออกชื่อพอเป็นเครื่องกำหนด จำกันง่ายๆว่า เมื่อเผลอสติแล้ว มีการปรุงแต่งด้วยอวิชชาแล้ว มันก็จะเกิดความรู้สึกชนิดที่เป็นกิเลส เป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัย จำกันง่ายๆก็ว่า มันเกิดความรักในสิ่งที่ล่อให้รัก มันเกิดความโกรธในสิ่งที่มันยั่วให้โกรธ มันเกิดความเกลียดในสิ่งที่มายั่วให้เกลียด มันเกิดความกลัวในสิ่งที่มายั่วให้กลัว กระทั่งว่ามันเกิดความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ หรือเกิดความอิจฉาริษยา เกิดความหึง ความหวง ความกระวนกระวายในใจทุกอย่าง โดยสรุปแล้วก็จะรวมอยู่ในหัวข้อเหล่านี้แหละ กำหนดจดจำไว้สำหรับตักเตือน ป้องกันอย่าให้เกิดขึ้นว่า ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความอิจฉาริษยา ความวิตกกังวล ความอาลัยอาวรณ์ รวมอยู่ในความยึดมั่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวกูของกู แล้วก็เกิดความรู้สึกเหล่านี้ขึ้นมาได้ ฉะนั้นจึงคอยสังเกตจิตใจว่ามีไอ้ความรู้สึกเลวร้ายเหล่านี้หรือหาไม่ กอปรด้วยความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความอิจฉาริษยา ความวิตกกังวล ความอาลัยอาวรณ์ ความหึง ความหวง นี่ก็พอแล้ว ก็มากพอแล้วที่จะเป็นเครื่องทดสอบ มันก็มีสติควบคุมอยู่เสมอ เผลอไปมันเกิดขึ้น ก็ให้รู้ว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว ก็มีสติ เอาความรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเรียกว่าเช่นนั้นเองนั่นน่ะ มาขับไล่ไอ้ความรู้สึกเลวร้ายเหล่านั้นออกไปเสีย
ดังนั้นจึงมีหน้าที่ที่จะต้องตรวจสอบอยู่เป็นประจำว่า เกิดความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความอิจฉาริษยา ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ หึงหวงเหล่านี้หรือหาไม่ สำคัญที่สุด ปราณีต ละเอียดที่สุด มันก็จะต้องทำยากบ้างเป็นธรรมดา แต่มันไม่ยากเกินวิสัยที่จะทำได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ตรัสสิ่งที่เหลือวิสัยที่สาวกจะปฏิบัติได้ ดังนั้นการคอยสำรวจจิตให้มันว่างจากความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์เหล่านี้มันก็เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ต้องเป็นคนที่สำรวม เป็นคนสำรวม อย่าเป็นคนเพ้อเจ้อ อย่าเป็นคนเห็นว่านี้เรื่องเล็กน้อย เราจะเห็นคนบางคนน่ะพูดจาไม่น่าฟัง โดยเขาเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่เสียหายอะไร แต่ให้รู้เถิดว่าไอ้การพูดจาไม่น่าฟัง หรือกิริยาอาการที่ไม่น่าเลื่อมใสน่ะ มันหล่อเลี้ยงกิเลส มันส่งเสริมกิเลส ให้ครอบงำเขาไปจนตาย ฉะนั้นจะต้องตั้งต้นด้วยไม่เห็นว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ปรับปรุงการพูดจา กริยาท่าทางกันเสียใหม่ ให้มันเป็นส่วนศีลที่มันจะเป็นบาทฐานสำหรับจะมีสมาธิ คือจิตที่มันสงบรำงับ พอที่จะได้เห็นไอ้ความจริงอันลึกซึ้งคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่คือเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา มันมีอยู่อย่างนี้ เป็นการชำระ การปฏิบัติที่เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ตลอดเวลา มันก็ทำผิดไม่ได้ ป้องกันมันได้ หรือว่าถ้าพลาดไป ทำลงไปบ้างแล้ว มันก็กลับตัวได้ทันที มันชะงัก มันหยุดได้ทันที เพราะว่าเป็นผู้ฝึกฝนจิตอย่างนี้ ใช้คำง่ายๆ ก็เรียกว่ามันเป็นนักเลงฝึกฝนจิต หรือมันเป็นนักเลงเรื่องจิต มันทำอะไรได้ดีในเรื่องที่เกี่ยวกับจิต จึงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คอยกำหนดว่าจิตนี้เป็นอย่างไร จิตนี้เป็นอย่างไร เพราะจิตนี้มันไวยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ มันก็เปลี่ยนไปได้โดยไม่ ควบคุมไม่ทัน โดยควบคุมไม่ทันอย่างนี้ก็มี
แต่ถ้ามีบทกำหนดที่ถูกต้องประจำอยู่เป็นสติสัมปชัญญะ มันก็เกิดไม่ได้ ที่ความ ความรู้ที่ประเสริฐที่สุดมันก็คือความรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งคนไม่รู้นั้นก็มักจะเอาไปล้อเล่น โดยเฉพาะเด็กๆ สมัยนี้มักจะเอาไปล้อเล่น ว่าเป็นเรื่องของคนแก่งุ่มง่าม แต่ที่จริงนั้นมันไม่ใช่เรื่องของคนแก่หรือของเด็กอะไร เป็นเรื่องของมนุษย์ที่จะต้องมีความรู้เรื่องนี้อยู่กับจิตใจ จิตใจก็จะไม่เผอเรอ ไม่ปรุงแต่งกิเลสและความทุกข์ หรือจะขจัดกิเลสและความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้วโดยเผลอไปก็ได้ทั้งนั้น
รวมความว่าไอ้เรื่องสำคัญที่สุดก็คือเรื่องที่มีสติ สมกับคำที่กล่าวว่า สตินั่นน่ะเป็นสิ่งที่ต้องนำมาใช้ในทุกๆกรณี ทุกกรณี กี่ร้อยกี่พันกรณีที่มีอยู่ในเรื่องราวของมนุษย์นี้ต้องใช้สติทั้งนั้น เพราะว่ามันเป็นเครื่องควบคุมไม่ให้ผิดพลาด หรือว่ามันผิดพลาดแล้วมันแก้ไขได้ทันควัน นี่ก็เรียกว่ามีสติ เราจะต้องมีสติอย่างนี้แหละ เพิ่มขึ้นๆๆ จะเอาปีเป็นเครื่องกำหนดก็ได้ ถ้าเอาปีเป็นเครื่องกำหนด ก็ว่าปีนี้ต้องมีสติมากกว่าปีเก่าที่แล้วมา มีสติมากขึ้นกว่าปีที่แล้วมาทุกปีๆไป นั่นน่ะมันจะเลื่อนชั้นตัวเองขึ้นไปสู่ที่สุดแห่งความดับทุกข์ หรือที่จะเรียกว่า พระนิพพานก็ได้
นี่ขอให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้เจริญด้วยการมีสติ คือมีสติยิ่งกว่าปีที่แล้วมา ก็คือสตินั้นมากพอ สตินั้นเร็วพอ เรื่องของสตินี้เป็นเรื่องต้องการความเร็วมากกว่า ส่วนเรื่องปัญญานั้นคิดนึกอยู่เป็นประจำ ให้เห็นเรื่องเช่นนั้นเองๆๆ อยู่เป็นประจำ พอเกิดเรื่องอะไรมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็สติไปเอาความรู้นั้นมาทันท่วงที ควบคุมการปรุงแต่งของจิตไม่ให้เกิดการปรุงแต่งที่ผิดๆ อยากจะเกิดปรุงแต่ง ก็ปรุงแต่งไปในทางที่ถูกต้อง ว่าเราจะต้องทำอะไร จะจัดการอย่างไร จะแก้ไขอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้ มันก็มีแต่ความถูกต้อง นี่จะต้องมีให้มากกว่าปีเก่า แล้วก็เรียกว่าเจริญงอกงามในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย
หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้กำหนดจดจำข้อความเหล่านี้ไว้ให้แจ่มแจ้ง เพื่อรักษาไว้ เพื่อควบคุมไว้ใช้ในการที่จะทำให้มีสติมากขึ้นกว่าปีเก่า แล้วก็มีความสุข มีความเจริญ ไพบูลย์รุ่งเรืองในทางของพระธรรม ของพระศาสนา อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.
ญาติโยม : สาธุ
(หลังจบคำปราศรัย ท่านพุทธทาสสนทนากับญาติโยมเป็นภาษาใต้ ตั้งแต่นาทีที่ 13:28-15:23)
ท่านพุทธทาส : ขออนุโมทนา ทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ ว่านี่เป็นการถวายสงฆ์ ไม่ใช่เป็นการตักบาตรเฉพาะองค์ นี่ก็เป็นการถวายสงฆ์ เหมือนกับให้กล่าวในคำถวายสังฆทานว่า พระสงฆ์จงรับ ฉะนั้นองค์ใดก็ได้รับในนามของพระสงฆ์ทั้งหมดในพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นอย่าได้ตั้งจิตเจาะจงว่าจะมุ่งไปถวาย ไปใส่แก่องค์นั้นองค์นี้ มันจะไม่เป็นถวายสังฆทาน ฉะนั้นขอให้ตรงเข้าไปตามที่ๆสะดวก อยู่ตามสะดวกอย่างไรก็ตรงเข้าไปตักให้องค์นั้น ไม่ต้องกรูกันเข้ามาตรงส่วนกลางนี่จนเดินไม่ได้ จนเบียดกันเดินไม่ได้ ฉะนั้นเดินตรงๆเข้ามา อยู่หัวแถว ปลายแถว กลางแถว อะไรก็เดินตรงเข้ามา องค์ใดองค์หนึ่งแล้วก็เป็นผู้แทนพระสงฆ์ทั้งหมดในพระศาสนา แล้วไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว อย่าไปตั้งใจว่าจะใส่องค์นั้นองค์นี้ มันจะกลายเป็นเรื่องของบุคคลไปเสีย ไม่เป็นสังฆทาน จึงว่าให้เดินตรงเข้าไปแล้วก็ถวาย แล้วก็เลื่อนไปตามลำดับ อย่างนี้จะเป็นสังฆทาน นี่ขอให้ทำจิตใจว่าถวายสงฆ์ทั้งหมดในพระพุทธศาสนา มีสงฆ์ฉะ เฉพาะที่เฉพาะหน้านี่เป็นผู้รับแทนและเป็นผู้ฉัน แต่ในนามของสงฆ์ทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ข้อนี้เป็นการอุปโลกน์อยู่ในตัว เป็นที่รู้กันอยู่ในตัว ตั้งใจให้ถูกต้องกันทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายผู้ให้และฝ่ายผู้รับ ต่อไปนี้ขออนุโมทนาเป็นภาษาบาลี