แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะพูดกันโดยหัวข้อว่าอยู่ในโลกต้องมีโลกุตรธรรม ฟังดูให้ดีๆ อยู่ในโลกต้องมีโลกุตรธรรม เรื่องนี้มีปัญหาหลายอย่าง กระทั่งมีปัญหาว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่ แล้วก็มีปัญหาว่า ว่าคนเป็นอันมากแหละเขาถือว่ามันเป็นไปไม่ได้เรื่องโลกียวิสัยโลกกับเรื่องโลกุตระคือว่าเหนือโลก พ้นโลกนั่นจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ จะต้องอยู่กันคนละฝ่าย คนละทิศคนละทาง คนละเวลาคนละ ไอ้พวกที่อยู่ในโลกก็อยู่อย่างโลก อยู่อย่างในโลก พวกอยู่อย่างเหนือโลกก็ไปอยู่เสียที่เหนือโลกที่อื่นที่ไม่เกี่ยวกับโลก เขาถือกันอย่างนั้น แล้วมันก็มีปัญหาเถียง เถียงกันหรือดูถูกว่าสอนผิดหรือสอนอะไรกันไปตามเรื่อง แต่ผมนี้เห็นว่าเอาความจริงเป็นหลักกันดีกว่า ไอ้ความจริงของเรื่องของไอ้ของจริง และให้มันถูกต้องตามเรื่องของธรรมะจนกระทั่งธรรมะมีประโยชน์แก่เราจริงๆ มุ่งหมายอย่างนั้น นี่คุณก็ลองคำนวณเอาเอง ตัดสินเอาเองอะไรเอาเองว่ามันจะเป็นอย่างไร โลกียธรรมโดยเป็นไปตามวิสัยโลก โลกุตรธรรมก็คือว่าอยู่เหนือโลก พ้นโลก มันตรงกันข้ามอย่างนี้มันจะอยู่ด้วยกันได้หรือไม่ แล้วทำไมจึงต้องแยกเป็นอย่างนั้น
ข้อแรกก็คือว่าทุกคนแหละจะต้องรู้ว่าจะอยู่ในโลกอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ จะอยู่ในโลกอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ ถ้าอยู่ในโลกอย่างที่เรียกว่าจมโลกหรือโลกอยู่เหนือ โลกอยู่ข้างบน โลกท่วมทับอะไรนี่มันจะเป็นอย่างไร ถ้าว่าจมโลกหรือว่าโลกท่วมทับมันจะเป็นอย่างไรลองคิดดูง่ายๆ ทีนี้ธรรมะ ธรรมะในพระพุทธศาสนาที่เป็นตัวหัวใจของพุทธศาสนานั่นมันจะช่วยให้อยู่ในโลกโดยไม่ต้องจมอยู่ในโลก ไม่มีอิทธิพลใดๆในโลกที่มาครอบงำย่ำยีได้ ถ้าเป็นอย่างนี้มันจะเป็นอย่างไร ที่จะขอให้สังเกตมากที่สุดก็คือว่าเราคนธรรมดาอยู่ในโลกต้องประกอบการทำมาหากินทำอาชีพ ทีนี้ในการทำอาชีพนั้นมันเป็นอย่างไรบ้าง ควรจะรู้ดีกระมัง ควรจะรู้ได้ดี ไม่มีปัญหาในการประกอบอาชีพตามประสาชาวโลกนั่นมันจะต้องเป็นอย่างไรบ้าง พูดง่ายๆก็คือว่ามันจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไรบ้าง ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติธรรมดามันจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไรบ้าง ทำนาทำสวน ค้าขายหรืออะไรก็ตามมันจะต้องเหน็ดเหนื่อยๆ นี่มันก็เป็นเรื่องเต็มทน แล้วมันก็จะทู่แข่งขันข่มเหงเป็นธรรมดาในโลก จะต้องถูกแข่งขันต่อสู้กัน จะต้องถูกข่มเหง ถูกลักถูกขโมย ถูกจี้ถูกปล้น แล้วมันยังมีว่าไอ้ธรรมชาติทั้งหลายก็ไม่เป็นไปตามที่ต้องการเสมอไป อย่างปีนี้ฝนไม่ตก ทำนาเสียหายหมดไม่ได้ข้าวเลย จะไม่มีข้าวกินซ้ำไป แล้วมันจะยังมีปัญหาอีกมากมาย ปัญหาจากคนในครอบครัวไม่ถูกกัน แม้แต่ภรรยาสามีไม่ถูกกัน หรือว่าคนข้างเคียงเป็นศัตรู มีคนกลั่นแกล้ง นี่เป็นของธรรมดาไม่ ไม่ต้อง ไม่ต้องพิสูจน์อะไรกันอีกแล้วเป็นของธรรมดาว่าอยู่ในโลกประกอบอาชีพ ทำมาหากินจะต้องมีเรื่องอย่างนี้ ซึ่งมันเป็นความทุกข์ทรมาน ฉะนั้นถ้ามีอะไรสักอย่างหนึ่งจะมาทำให้ความทุกข์เหล่านี้ไม่ต้องมี ไม่ต้องมีจะดีไหม นั่นแหละ นั่นแหละคือคำพูดที่ว่าธรรมะช่วยได้ ธรรมะช่วยได้ ธรรมะให้ จะช่วยให้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเหตุเหล่านี้ เรื่องความเหน็ดเหนื่อยยากลำบากนี่ธรรมะช่วยได้ เพราะทำให้มองเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง หรือทำให้มองเห็นว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมะ ยิ่งเหงื่อออกก็ยิ่งพิสูจน์ว่ามีธรรมะมาก ปฏิบัติธรรมะเต็มที่ มันก็เลยสบายใจไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ไม่ต้องทรมานใจ เพราะรู้สึกว่ามันถูกต้องแล้วที่ทำอย่างนี้นั้นมันถูกต้องแล้วต้องทำหน้าที่ ไอ้สิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือหน้าที่นั่นเอง ถ้าไม่ทำหน้าที่ก็ไม่มีอะไรจะช่วย ถ้าไม่ ไม่ทำหน้าที่แล้วพระเจ้ากี่องค์กี่ฝูงก็มันช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเราทำหน้าที่แล้วหน้าที่นั่นแหละมันจะกลายเป็นพระเจ้าที่ช่วยได้แล้วช่วยอย่างยิ่งเลย เมื่อมองเห็นว่าธรรมะเป็น คือหน้าที่และคือพระเจ้าที่จะช่วยได้มันก็มีความพอใจในการทำหน้าที่ ไอ้ความเหนื่อยก็เลยกลายเป็นของธรรมดาไป หรือว่าเป็นที่พอใจไปว่าได้ทำหน้าที่แน่แล้วเพราะว่ามันเหนื่อยนะ แล้วมันยังลึกไปกว่านั้นมากแหละถ้ามีธรรมะลึกเรื่องไม่ ไม่ยึดถือตัวตนด้วยแล้วมันจะยิ่งไม่เหนื่อยเลย แต่มันเป็นธรรมะลึกไป ถ้ารู้จักมองเห็นความไม่ใช่ตนด้วยแล้วมันจะยิ่งไม่เหนื่อยเลย ทีนี้ที่ว่ามันจะมีคู่แข่งขัน อิจฉาริษยา หรือว่ามีคนปล้นจี้ทำลายล้างอะไรก็ตามแหละนั้นก็จะทำให้จิตใจต่อสู้ได้ ทำจิตเป็นธรรมะมั่นคงอิสระแล้วมันจะมีปัญญาต่อสู้คู่แข่งขันหรือศัตรูได้ นี่ธรรมะมันช่วยได้ แล้วมันจะสามารถป้องกันได้ใน ในทุก ทุกๆอย่าง ทุกๆทางถ้ามันมีสติ มีปัญญา มีธรรมะแล้วมันป้องกันได้ ถ้าในกรณีที่ป้องกันไม่ได้หรือมันเหลือวิสัยนะธรรมะมันก็ช่วยบอกให้ว่ามันเช่นนั้นเอง ในโลกนี้มันเช่นนี้เอง มันเช่นนี้เอง มันต้องเป็นไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นเสมอไป เป็นสักรายหนึ่งแล้วไม่เป็นตั้งหลายๆราย เช่นว่าจะทำนาไม่ได้ข้าวนี้มันไม่ใช่ทุกปี มันบางปี ถ้ามันมีธรรมะมันก็รู้จักจัด รู้จักทำ รู้จักเก็บหอมรอมริบไม่ให้มีปัญหา ทำนา ๕ ปีเสียไปสักปีหนึ่งมันจะเป็นอะไรไป ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ทีนี้มันยังมีเรื่องอื่นๆอีกมากมาย การเป็นอยู่ในครอบครัวนี่มันต้องการไอ้ความสวยงาม สนุกสนานเพลิดเพลินเอร็ดอร่อย ไม่รู้จักความพอดี ใช้จ่ายเกินตัวอะไรอย่างนี้ธรรมะมันก็ช่วยได้ แล้วมันยังจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทางจิตใจ คุณลองฟังให้ดีว่าใครบ้างที่จะไม่มีความทุกข์ทางจิตใจ เช่นมีความกลัว กลัวอย่างนั้นกลัวอย่างนี้ซึ่งกลัวกันตามธรรมดามันก็มีความกลัว ความกลัวมันก็ทรมานจิตใจ ธรรมะมันจะช่วยขจัดออกไป นับตั้งแต่ว่ากลัว กลัวความหมาย กลัวฤทธิ์เดชของความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายนี่ทุกคนมันก็กลัว แต่กลัวแล้วก็มันไม่มีความสงบสุข มันมีแต่การทนทรมาน ธรรมะมันจะช่วยได้ให้ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวความแก่ชรา ความเจ็บหรือความตาย ความหมายใดๆของเกิดแก่เจ็บตาย อิทธิพลใดๆไม่ครอบงำจิตใจของบุคคลที่มีธรรมะได้ เราจะเห็นว่าพอมีการเจ็บไข้ก็มีคนร้องไห้แล้ว หรือความแก่ชราทำให้เกิดความกลัวว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แม้กระทั่งว่ากลัวความตายจะมาถึงเข้า ความกลัวทั้งสิ้นมันไปรวมจุดอยู่ที่กลัวความตาย นี้ธรรมะมันช่วยได้ ไม่ต้องกลัวไอ้สิ่งที่น่ากลัวเหล่านี้ ก็เลยสบายธรรมะมันช่วยได้นี่ ถ้าในกรณีที่มันเป็นอุบัติเหตุ ธรรมะมันก็ช่วยได้ว่ามันเช่นนั้นเองแหละ อยู่ในโลกนี้มันต้องเป็นอย่างนี้เอง จะไปเป็นทุกข์ให้มันเป็นทุกข์เปล่าๆทำไม จะไปเป็นทุกข์ให้มันโง่ทำไมนี่ธรรมะมันช่วยได้ ดังนั้นจงศึกษาไว้ให้เพียงพอที่จะเผชิญโลกต่อไปอีกหลายปีหลายสิบปี ยังหนุ่มอยู่ยังจะต้องเผชิญโลกต่อไปอีกหลายปีหลายสิบปี จะต้องมีธรรมะไว้ให้พร้อม ไม่ว่าจะ จะไปเผชิญกันเข้ากับอะไร จะไปเผชิญกันเข้ากับปัญหาในครอบครัวปัญหานอกครอบครัว ปัญหาที่ออฟฟิศปัญหาในที่ทำงาน ปัญหาในสังคม ปัญหาในไอ้อุบัติเหตุ ปัญหาในธรรมชาติสุดวิสัย ปัญหาอะไรต่างๆนั่นถ้ามีธรรมะพอมันจะไม่ทำอันตรายแก่จิตใจได้ แต่ต้อง ต้องฟังให้ดีว่าถ้ามันมีธรรมะพอนะ กลัวจะไม่พอ ต้องมีธรรมะสูงพอ นี้สรุปความกันเสียทีหนึ่งก่อนว่าเราอยู่ในโลกต้องมีอะไรเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันไม่ให้ถูกกันเข้ากับพิษร้ายกาจในโลก พิษอันร้ายกาจในโลก ใช้คำอย่างนี้มันกว้างดี เพราะในโลกมันเต็มไปด้วยพิษอันร้ายกาจ เดี๋ยวอย่างนั้นเดี๋ยวอย่างนี้เดี๋ยวอย่างนู้น คุณๆ คุณดูเอาเอง แม้ว่าจะเกิดมามีอายุเพียงเท่านี้ก็ยังพอจะมองเห็นได้เยอะแยะไปหมดเลย ไม่ต้องเป็นคนแก่คนเฒ่าคนชราจึงจะมองเห็นมาก ก็ถูกแล้วมันจะมองเห็นมากกว่าคนหนุ่มแหละแต่ว่าแม้คนหนุ่มเท่านั้นก็จะมองเห็นได้ถ้าว่า ถ้าว่า ถ้าว่ามองนะ ถ้าว่าสนใจจะมองว่ามันเต็มไปด้วยสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ทางใจ ทรมานจิตใจ ยิ่งมีกิเลสมากเท่าไรจะยิ่งมีความทุกข์ทรมานใจมากเท่านั้น แล้วก็เป็นทุกข์อย่างไม่จำเป็นหรอกแต่มันก็ต้องเป็นทุกข์เพราะมันมีกิเลส ถ้าไม่มีกิเลสมันก็ไม่มีความทุกข์เหล่านั้น เป็นความหวังอันโง่เขลา ความอยากอันโง่เขลา ความทะเยอทะยานอันโง่เขลา ความไม่อดกลั้นอดทนรอไม่ได้คอยไม่ได้อะไรอย่างนี้มันเป็นความทุกข์ทั้งนั้น แล้วก็โดยเฉพาะมันก็ไม่มีอะ คือไม่มีสติ สัมปชัญญะ สมาธิหรือปัญญา ซึ่งดูเหมือนจะได้เคยพูดให้ฟังแล้วว่าเราจะต้องมีธรรมะสำคัญ ๔ ประการนะ สติ สัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญา นี่จะช่วยแก้ปัญหาได้หมด ถ้าเราไม่มีมันก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปต่อสู้ ถ้าเรามีสติมันก็ระลึกได้ถึงความจริงเหล่านั้น หัวเราะเยาะความตายก็ได้ สติไปเอาปัญญามาเผชิญหน้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสัมปชัญญะ ถ้ากำลังของสัมปชัญญะอ่อนไปก็เพิ่มสมาธิ เพิ่มกำลังของสมาธิให้แก่จิตใจ จิตใจก็เข้มแข็งพอที่จะต่อสู้กับเหตุการณ์ได้ นี่มีสติ มีสัมปชัญญะ มีสมาธิ มีปัญญา ๔ อย่างนี้แล้วก็เรียกว่าเข้มแข็งที่สุดแหละ ฉะนั้นควรสนใจไว้ให้มาก สนใจไว้ให้มากคือว่าถ้าไม่มีก็ฝึกให้มันมีให้มากให้มันพอเข้าไว้ตั้งแต่บัดนี้ไป จะอยู่เป็นบรรพชิตหรือจะสึกออกไปเป็นฆราวาส ไอ้ธรรมะ ๔ ประการนี้ก็ยังมีประโยชน์อย่างสูงสุดวิเศษที่สุดอยู่นั่นเอง จะแก้ปัญญาได้ดีโดยไม่ต้องไปข้องแวะกันกับอันธพาล กับความเป็นอันธพาล อย่าคิดไปว่าเราจะต่อสู้ปัญหาต่างๆด้วยความมุทะลุดุดันอันธพาล กินเหล้าเมายาอะไรต่อสู้ปัญหา นั่นมันแสนที่จะโง่มันแสนที่จะผิดพลาด แต่คนเป็นอันมากก็ทำอย่างนั้น คล้ายๆกับว่าถ้าได้กินเหล้าแล้วก็หมดปัญหาสบายไปเลย มันๆ มันแก้ปัญหาด้วยสิ่งที่โง่เขลา นี่สรุปความในข้อนี้ก็ว่าธรรมะมันช่วยได้ ช่วยให้ ให้ไม่เป็นทุกข์ได้แม้จะอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยปัญหา ด้วยพิษร้ายหรือด้วยความทุกข์
มันมีรูปภาพอยู่ในตึกโรงหนังนะภาพหนึ่งที่ว่าอยู่ในโลกให้เหมือน ให้เหมือนลิ้นงูอยู่ในปากงู ลิ้นงูอยู่ในปากงูไม่ถูกกับเขี้ยวของงู มันก็เลยอยู่สบาย ถ้าเราอยู่ในโลกนี้ซึ่งเต็มไปด้วยเหมือนกับเขี้ยวงูพิษร้าย เดี๋ยวนั่นเดี๋ยวนี่เดี๋ยวอะไร หมุนไปทางไหนก็มีเขี้ยวหนึ่งมีปัญหาอย่างหนึ่งเสมอ จะต้องฉลาดพอตัวไม่ถูกเขี้ยวงูแม้แต่เขี้ยวเดียวแหละ แม้ว่าในโลกนี่มันจะมีเขี้ยวอันร้ายกาจเต็มไปหมด ถ้ามีธรรมะเพียงพออย่างที่ว่ามันก็อยู่ได้โดยไม่ต้องถูกกับเขี้ยวงูคือไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องมีปัญหา มีแต่ความสบาย ความสงบสุข ความเจริญความก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ถ้ามีธรรมะสูงสุดนะมันจะขึ้นไปถึงธรรมะประเภทที่เรียกว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำไมไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะมันมองเห็นชัดว่าอ้าว! มันเช่นนั้นเอง มันเท่านั้นเอง มันแค่นั้นเอง มันไม่ยึดมั่นถือมั่น มันเห็นเช่นนั้นเอง จะได้หรือเสียก็เช่นนั้นเอง ไอ้ทางหนึ่งมันได้มาตามเหตุปัจจัย ทางหนึ่งได้มาทางหนึ่งเสียไปตามเหตุปัจจัยที่ทำให้เสียไปมันก็เช่นนั้นเองแหละจะต้องไปทุกข์ร้อนกับมันทำไม เมื่อต้องการจะได้ก็ทำให้ถูกวิธีที่มันจะได้ มันจะเสียไปบ้างมันก็เป็นธรรมดา ไม่ใช่มันจะเสียทุกทีไป มันก็จะได้หรือถูกต้องบ้าง มากกว่าแหละ อย่างที่เราเห็นๆกันอยู่เพราะเราตั้งใจทำ และทำด้วยสติปัญญามันก็มีผลได้ตามสมควรหรือมันได้มากกว่าที่มันจะต้องเสีย อย่างกับทำนานี่ไม่ใช่มันจะเสียทุกปี หลายๆปีจะเสียสักครั้งหนึ่ง มันก็คือเช่นนั้นเอง ฉะนั้นเราจะต้องมองเห็นสูงสุดในลักษณะที่เรียกว่ามันเช่นนั้นเอง ภาษาบาลีก็เรียกว่าตถตา ตถตา หรือตถาตาก็ได้คำเดียวกันแหละ ตถตาหรือตถาตามันก็แปลว่าเช่นนั้นเอง ความเกิดก็เช่นนั้นเอง ความแก่ก็เช่นนั้นเอง ความเจ็บก็เช่นนั้นเอง ความตายก็เช่นนั้นเอง ถ้าเห็นเช่นนั้นเองมันก็หัวเราะเยาะได้ ความแก่ก็หัวเราะเยาะความแก่ ความเจ็บไข้มาก็หัวเราะเยาะความเจ็บไข้ ความตายมาก็หัวเราะเยาะความตาย ถ้ามันเห็นเช่นนั้นเองนะ ถ้าเห็นธรรมะลึกซึ้งจนถึงว่าเห็นมันเช่นนั้นเองตามเหตุตามปัจจัยเช่นนั้นเอง มันจะไม่รู้สึกว่ามีตัวตน มีตัวกู ไม่มีตัวกูไม่มีตัวตนที่ถูกกระทำ หรือว่ามี ไม่มีตัวตนที่จะแก่ จะเจ็บ จะตาย ไม่มีตัวตนที่จะถูกกระทำ ที่จะฝึกฝนได้เรื่อยๆไปตลอดเวลาตั้งแต่บัดนี้ก็เช่นเรื่องความเจ็บ ความเจ็บที่อะไรมาทำให้เจ็บที่เนื้อที่หนังนี่ความเจ็บ จะ จะเป็นแผลก็ดี จะแมลงกัดต่อยก็ดี อะไรปักยอกตำก็ดี อะไรก็เรียกว่าความเจ็บที่เนื้อที่หนัง ถ้ารู้เรื่องเช่นนั้นเองมันก็ มันจะมองเห็นว่าโอ้! มันเป็นอย่างนั้นเองจริงๆ เพราะว่าที่เนื้อที่หนังนี้มันมีระบบประสาทสำหรับรู้สึก เมื่ออะไรเข้ามากระทบทิ่มตำถึงขนาดนั้น มัน ระบบประสาทมันก็ต้องรู้สึกเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง อย่างนั้นเอง เท่านั้นเอง นี่ให้รู้ว่ามันเช่นนั้นเองคืออย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เราไม่มีความรู้ว่าเช่นนั้นเอง มันจะรู้แต่ว่ากูเจ็บๆ กูจะตาย กูเจ็บกูจะตาย มันรู้เสียแต่เท่า เท่านี้ ถ้าอย่างนี้มันจะเจ็บมาก จะเจ็บมากกว่าธรรมดาเพราะมันมีตัวกูที่จะตายขึ้นมา ตัวกูที่เจ็บ เป็นผู้เจ็บ เป็นเจ้าของความเจ็บอะไรขึ้นมามันก็มีความรู้สึกเจ็บมากกว่า ถ้ามันฉลาดถึงที่สุดจนรู้อ้าว! มันต้องอย่างนี้เองแหละ มันมีระบบประสาทหนาแน่นไปหมด มีอะไรมาถูกมากระแทกมัน มันก็ต้องรู้สึกอย่างนี้แก่ระบบประสาท ก็เลยเห็นว่าโอ้ว! มันระบบประสาทมันเจ็บไม่ใช่มีตัวกูที่ไหนเจ็บ ไม่ใช่ความเจ็บของกูไม่ใช่ตัวกูจะตาย อย่างนี้ความเจ็บมันจะลดลงไปมาก หรือถ้ามันถึง ถ้ามันเก่งมากมันจะไม่รู้สึกเจ็บ มันเป็น มันเห็นเป็นของเช่นนั้นเองไปเสีย ถึงขั้นนี้ต้องเก่งมาก จิตใจนักเลงมาก มีธรรมะมากพอจะไม่รู้สึกเจ็บหรือว่าจะเจ็บน้อยที่สุด ถ้าเป็นเด็กๆหรือเป็นคนขลาดคนกลัวแล้วมันก็จะเป็นลมเลย พอมีอะไรเจ็บเข้ามามันหลอน เหมือนกับอย่างว่าเห็นเลือดนี่ เห็นเลือดเขาฆ่าเขาฟันเขาแทง หรือแม้แต่ฆ่าหมูฆ่าวัว ไอ้เด็กบางคนเห็นไม่ได้เป็นลม คนบางคนก็เห็นไม่ได้เป็นลม เพราะความยึดถือในตัวตนมันมากมันเลยเป็นของน่ากลัวน่าหวาดเสียว เป็นเครื่องหมายแห่งความตายอะไรขึ้นมา จะมาเป็นของกู จะมาถึงของกูต้องวิ่งหนีนะ อย่างนี้เป็นต้น แล้วไอ้ความรู้สึกหลงไป เข้าใจผิดไป ยึดถือมั่นว่าตัวตนว่าตัวกูหรือเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มันก็มีความหมายมาก มันก็หลอนมาก ผมเคยเห็นไอ้ ไอ้เณร เณร มันมาบวชเณรอยู่คนหนึ่ง บวชเณรอยู่ที่นี่ ไปทำงานเป็นที่ บนภูเขาตรงชั้นบนนั้น ไอ้หนามมันเกี่ยว เพียงแต่หนามเกี่ยวหนังขูดเป็นรอยอะไรนี่มันๆ มันหน้าซีดหน้าเขียวจะเป็นลม ต้องพูดกันยกใหญ่ ต้องล้อกันยกใหญ่อะไรกันยกใหญ่มันถึงค่อยๆ ค่อยยังชั่ว มันจะ จะถึงกับเป็นลมเป็นสลบไปเลยถ้าปล่อยไปตามเรื่องของมัน เพราะมันกลัวมากเลยเพราะมันกลัวมาก นี่เพราะมันโง่มากมันจึงกลัวมาก นี่เช่นนั้นเองๆ มันก็เช่นนั้นเอง ถ้ามันกล้าหาญมันก็จะว่าเอ้า! ให้มันตายดูทีวะ ให้มันตายดูทีวะมันก็ไม่มีความทุกข์อะไร ความที่ไม่รู้จักเช่นนั้นเองมันก็จะทำให้รู้สึกเกินความจริงไปมาก ที่น่ากลัวก็กลัวมาก ที่น่ารักก็รักมาก ที่น่าโกรธก็โกรธมาก ที่น่าเกลียดก็เกลียดมากนี่มันเป็นเสียอย่างนั้น ถ้ามันศึกษาจนเห็นว่ามันเช่นนั้นเองๆของแต่ละกรณี แล้วมันจะไม่เกิดอะไรมาก ความรักก็ไม่น่ารักอะไรมันเช่นนั้นเอง แม้จะรู้สึกว่าน่ารักมันก็ไม่ต้องรักก็ได้ ความโกรธก็เหมือนกันมันก็ไม่ต้องโกรธก็ได้ มันก็เช่นนั้นเอง ความเกลียดก็ไม่ต้องเกลียดให้เหนื่อย ไม่ต้องเกลียดก็ได้ ความกลัวก็ไม่ต้องกลัว ความประหลาดอัศจรรย์ก็ไม่ต้องประหลาดอัศจรรย์ คนที่เห็นเช่นนั้นเองแล้วมันไม่มีอะไรน่าอัศจรรย์หรอกมันเช่นนั้นเองไปหมดแหละ อร่อยก็เช่นนั้นเองไม่อร่อยก็เช่นนั้นเอง สวยมันเช่นนั้นเองไม่สวยก็เช่นนั้นเอง ความไพเราะของไอ้เสียงนี่ก็เช่นนั้นเอง ความไม่ไพเราะมันก็เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองตามธรรมชาติตามเหตุตามปัจจัยที่มันจะต้องเป็นเช่นนั้น แต่เดี๋ยวนี้มันโง่มันให้ความหมายมาก ที่ ที่ว่าสวยก็ให้ความหมายมากเกิน ที่ว่าไม่ส่วยก็ให้ความหมายเมิก มากเกินมันจึงมีไอ้ชอบหรือไม่ชอบ มีรักมีเกลียด มีโกรธมีอะไร ที่พูดว่าเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองนั่นคุณฟังดูจะรู้สึกว่าเป็นของพูดเล่นๆก็ได้ แต่ที่แท้เช่นนั้นเองๆไม่ใช่เรื่องพูดเล่น กลับเป็นโลกุตรธรรมอันสูงสุดเลย โลกุตรธรรมสูงสุดนั่นมันไปสูงสุดอยู่ที่เช่นนั้นเอง เห็นอนิจจัง เห็นทุกขัง เห็นอนัตตา เห็นสุญญตา ว่างจากตัวตนแล้วอ้าว! นั่นแหละคือเช่นนั้นเอง โลกุตรธรรมสูงสุดคือการเห็นว่าอะไรเช่นนั้นเอง แล้วก็จะไม่ต้องไปเที่ยวรักนั่นเกลียดนู่นกลัวนี่ จะไม่ จะต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนเพราะอะไรไม่มีอะไรแปลกประหลาด ที่เป็นของแปลกประหลาดที่ต้องเสียเงินไปดู อุตส่าห์ไปดูไปนั่นกันก็ไม่แปลกประหลาด อะไรๆที่เห็นว่าแปลกประหลาดๆมันก็คือเช่นนั้นเอง อย่างกายกรรมที่เขามาแสดงกันอย่างน่าประหลาด ตื่นเต้นกันทั้งเมืองทั้งประเทศที่จริงมันก็เช่นนั้นเองแหละ เมื่อฝึกถึงขนาด ฝึกเพียงพอ ฝีกถึงที่สุดอย่างนั้นมันก็ ยังก็ๆ ก็ทำได้อย่างนั้น มันก็เช่นนั้นเอง แล้วก็ไม่ต้องประหลาดอะไร ไม่ต้องไปเหนื่อยๆ เหน็ดเหนื่อยทางจิตทางใจว่ามันเป็นของประหลาด แหมตื่นเต้นๆโว้ย! หัวใจฉีดแรงเพราะประหลาด ใจหายใจคว่ำ ไปดูกายกรรมไอ้ไม้สูงที่มันเห็นได้ชัดว่าพลาดนิดเดียวตายแน่ คนดูใจหายใจคว่ำหายใจกันไม่ออก แต่ถ้ามันเห็นเช่นนั้นเองแล้วมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น ไอ้เรื่องเทคนิค เทคโนโลยีทั้งหลาย เรื่องอวกาศ เรื่องปรมาณูอะไรก็ตามมันเห็นเป็นของแปลก เพราะมันไม่รู้ว่ามันเช่นนั้นเอง ไอ้คนที่ทำได้ ที่ ที่คิดได้ทำได้ก็เพราะมันรู้เรื่องเช่นนั้นเองของธรรมชาติ ไอ้เราไม่รู้เห็นเป็นของแปลกประหลาด โอ้! ไปโลกพระจันทร์แล้วแหมมันประหลาดเหลือกำ เหลือๆกล่าว เหลือกล่าวจนไม่ต้องกล่าวแล้ว แต่ถ้าเห็นเช่นเองมันก็คืออย่างนั้นแหละ เรื่องเด็กเล่นชนิดหนึ่งไปโลกพระจันทร์ได้ นี่มันจะทำให้ไม่มีอะไรที่ประหลาดที่อัศจรรย์ที่ทำให้จิตใจไหวไปตามจนหมดสิ้น แม้ใครจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อย่างไรก็ไม่ประหลาดมันเช่นนั้นเอง นี่โลกุตรธรรมอันสูงสุด ถ้าใครมีได้คนนั้นจะหมดปัญหานะ ถ้าใครมีความรู้ธรรมะชั้นโลกุตระเช่นนี้คือว่าเช่นนั้นเอง ไม่ดีไม่ชั่ว ไม่บุญไม่บาป ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ได้ไม่เสีย ไม่แพ้ไม่ชนะ ไม่ได้เปรียบไม่เสียเปรียบ ไม่กำไรไม่ขาดทุนอะไรหมด มันเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองตามเรื่องของมันๆ คนชนิดนี้ก็ไม่หวั่นไหวไปตามไอ้เรื่องที่คนโง่เขาหวั่นไหวกันเป็นคู่ๆ คู่ๆ ดีชั่ว ดีก็หวั่นไหวไปอย่าง ชั่วก็หวั่นไหวไปอย่าง แล้วมันกัดเอาทั้งสองอย่าง ไม่มีความสงบสุข สุขหรือทุกข์ สุขก็ตื่นเต้นหวั่นไหวไปอย่าง มันก็บ้าไปพักหนึ่ง ทุกข์ก็เหมือนกันบ้าไปพักหนึ่ง ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นเช่นนั้นเอง อยู่ตรงกลางนั่นแหละมันไม่ต้องเป็นอะไร ไม่หวั่นไหวอะไร เรื่องบุญเรื่องบาปก็เหมือนกัน บุญก็มันบ้าไปตามแบบบุญ บาปก็มันบ้าไปตามแบบบาป อยู่ตรงกลางหรือเหนือบุญเหนือบาปนั่นแหละไม่มีความทุกข์อะไรเลย บุญก็เป็นสังขารมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง บาปก็เป็นสังขารมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งมันก็ออกมาในรูปต่างกันเพราะว่ามัน มันปัจจัยต่างกัน แล้วมันมาถูกกันเข้ากับความรู้สึกของคนโง่ ถ้าชอบใจพอใจมันก็ว่าบุญ ถ้ามันไม่ชอบใจไม่พอใจมันก็ว่าบาป แต่ที่จริงมันก็คือของอย่างเดียวกันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่รู้สึกเป็นบุญเป็นบาป อยู่เหนือบุญเหนือบาป อย่างนี้มันเป็นพระอรหันต์นู่น เรายังไม่ต้องถึงนั่นก็ได้แต่ว่าต้องไปทำนองนั้นแหละมิเช่นนั้นเราก็จะต้องกระโดดโลดเต้นไปเรื่อยๆ มันเป็นความเห็นที่คนละระดับ ที่จริงมันเรื่อง เรื่องมันก็มีเช่นนั้นเองตามแบบของธรรมชาตินั่นแหละแต่เราเห็นมันคนละระดับ ไอ้ความรู้สึกของเรามันมีไม่พอไม่ถูกต้องตามที่เป็น เป็นจริงเพราะปัญญามันยังน้อย เดี๋ยวนี้เราจะดูกันเรื่องง่ายๆในโลกนี้ เช่นเดี๋ยวนี้เป็นกลางคืน เป็นเวลากลางคืน แล้วต่อไปมันอีกกี่ชั่วโมงมันรุ่งสว่างเป็นกลางวัน คนธรรมดาก็รู้สึกว่าโอ้! มันต่างกันมากถึงกับตรงกันข้าม กลางวันกับกลางคืน กลางวันกับกลางคืนมันต่างกันมาก เกิดชอบหรือเกิดไม่ชอบอะไรขึ้นมาได้ แต่ไปถามนาฬิกาดู ไอ้นาฬิกาที่เดินต๊อกแต๊กๆนี่นะว่ากลางวันหรือกลางคืนต่างกันอย่างไร คนก็จะหายโง่กันบ้างนาฬิกามันจะบอกว่าโอ้! มันไม่ต่างกันหรอก มันเป็นแต่สักว่าเวลาๆ เวลาที่ล่วงไปเหมือนกัน เวลาหนึ่งมัน มันดำ เวลาหนึ่งมันขาว นี่เพราะเหตุไรเราจึงไม่รู้สึกว่ากลางวันกับกลางคืนนั่นเหมือนกัน เป็นเวลาเหมือนกันเลยไม่ผิดกันแม้แต่นิดเดียว ก็เพราะเราไปยึดเอาไอ้ ไอ้ส่วนที่ไม่ใช่จริงไม่ใช่เช่นนั้นเอง คือเวลาที่ค่ำมืด เวลาที่สว่างด้วยแสงแดด เวลาที่ไม่มีแสงแดด ดังนั้นถ้าเราเป็นคนธรรมดา รู้สึกเหมือนกับเด็กๆอยู่ก็ต้องมีค่ำและสว่างต่างกันอย่างตรงกันข้าม ถ้ามันฉลาดพอมีสติปัญญามากพอ รู้อะไรที่ดีพอโอ้! มันก็เท่ากันแหละมันเป็นเวลาเท่ากันเท่านั้น มันจะมีปัญหาแก่เราเท่ากัน มันต่างกันอีกหน่อยที่ว่าถ้ามันกลางคืนมีด ทำอะไรไม่สะดวกต้องจุดไฟก็มีเท่านั้น นั่นมันอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเรื่องเกี่ยวกับเวลาแล้วมันก็เหมือนกันเท่ากัน ไม่ใช่ว่ากลางวันเราจะแก่ไปอย่าง กลางคืนจะแก่ไปอย่างมันก็แก่เท่ากันแหละ ความล่วงกาลผ่านวัย กลางวันหรือกลางคืนมันก็เท่ากัน นี่ถ้ามีปัญญามากพอขนาดนี้มันก็เห็นว่าโอ้! มันก็เช่นนั้นเอง ไอ้กลางวันหรือกลางคืนก็เช่นนั้นเอง ทีนี้ถ้าจะไปเปรียบเทียบกับเรื่องบุญเรื่องบาปซึ่งก็มันของลึกกว่านั้นมันก็อย่างเดียวกันแหละ บุญเราชอบใจ บาปเราไม่ชอบใจ แต่มันก็เช่นนั้นเองคือของที่ว่าเกิดขึ้นมาตามเหตุตามปัจจัยที่ปรุงแต่ง แต่ถ้าไปจับฉวยยึดถือเป็นของตนเข้าแล้วมันมีปัญหาทั้งนั้นแหละ คนมีบุญก็มีปัญหามีความทุกข์ยุ่งยากไปตามแบบคนมีบุญ คนมีบาปก็มีความทุกข์มีปัญหายุ่งยากไปตามแบบคนมีบาป นี่เขาจึงพูดได้ว่าถ้าไปยึดถือเข้าแล้วมันกัดเอาทั้งนั้นเลย ไม่ว่าดีว่าชั่ว ว่าบุญว่าบาป ว่าสุขว่าทุกข์ ว่าได้ว่าเสีย ว่าแพ้ว่าชนะ ไม่ว่าคู่ไหนทั้งหมดแหละไปยึดถือเอาแล้วมันจะกัดเอาแหละคือจะทำให้เกิดปัญหาหนักอกหนักใจขึ้นมา จะเกิดความไอ้รู้สึกผิดแปลกแตกต่างจนให้รักข้างหนึ่งจนให้เกลียดข้างหนึ่ง แล้วมันก็บ้าทั้งสองข้าง ไอ้ความรัก ความพอใจความถูกใจก็เป็นความบ้าชนิดหนึ่ง ความไม่รัก ความโกรธ ความเกลียดก็บ้าชนิดหนึ่ง อยู่ตรงกลางเฉยๆนั่นแหละถูกต้อง ไม่มีความทุกข์ ภาษาวัดเขาพูดว่าไม่ยินดีไม่ยินร้าย แต่ที่มันจะไม่ยินดีไม่ยินร้ายได้มันต้องเห็นเช่นนั้นเองนะ มันต้องเห็นเช่นนั้นเองของทั้งสองฝ่ายนะมันจึงจะไม่ยินดีด้วยและไม่ยินร้ายด้วย คนโบราณเขาได้เห็นเรื่องนี้ บางคนเลยเห็นเรื่องนี้จนถึงกับเขียนไว้ บันทึกไว้เป็นคำสอน คือคำกลอนที่ว่าทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ ทั้งได้ทั้งเสียล้วนแต่อัปรีย์ คือว่าทุกคู่มันล้วนแต่อัปรีย์ ทั้งชั่วและทั้งดีนั่นแหละไปยึดถือเข้ามันกัดเอาทั้งนั้นแหละ ดีก็มีปัญหายุ่งไปตามแบบดี รักษาดี แบบ แบก แบกดี บ้าดี เมาดีไปตามแบบดี ไอ้ชั่วมันก็ทรมานไปตามแบบชั่ว ฉะนั้นทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ อัปรีย์นี่ถ้าภาษาธรรมะ ถ้าภาษาบาลีก็ไม่เท่าไรหรอกมันแปลว่าไม่น่ารัก อัปรียะ อัปรีย์แปลว่าไม่น่ารัก ปรียะแปลว่าน่ารัก อัปรียะแปลว่าไม่น่ารัก ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ อย่าไปเอากับมัน อยู่ว่างๆกลางๆไม่ชั่วไม่ดีนี่สบายที่สุด ควรจะสังเกตให้เข้าใจไว้เลยว่าเมื่อใดรู้สึกว่าดี หรือกลุ้มกลัดอยู่กับความดีมันก็วุ่นวายไป จิตใจกระสับกระส่ายวุ่นวายไปแบบหนึ่งแหละ เมื่อใดอยู่กับชั่วก็วุ่นวายไปอีกแบบหนึ่ง ไม่สงบ ไม่เกลี้ยง ไม่หยุด ไม่เย็น ไอ้เรื่องชั่วเรื่องดีอย่า อย่าเข้ามายุ่งนะมันจะเย็น จะหยุด จะสงบ ทีนี้ในโลกมันมีสมมติชั่วดี ถือกันอย่างชั่วดีจน จนตายตัวไปแหละ จนโง่ถือเป็นอย่างนั้นไป มีชั่วมีดีคอยรบกวนอยู่เสมอ ไอ้ที่มันเป็นบ้าโดยมากก็เพราะปัญหาเรื่องดี มันอยากดีแล้วมันไม่ได้ดีหรือมันจะรักษาความดี มันกลัวจะหมดดีอะไรมันบ้า มันบ้าไปเลย นี่ปัญหามาจากไอ้ความดี ไอ้ความชั่วก็ไม่ค่อยเป็นอย่างนั้นหรอก ไอ้ที่ทำให้เป็นห่วงวิตกกังวล นอนไม่หลับกระสับกระส่ายเป็นเรื่องดีทั้งนั้นแหละ เพราะมันบ้าดี เพราะมันหลงดี เพราะมันยึดมั่นในดีมันเลยกัดเอา ในโลกมันเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้
เราจะอยู่ในโลกนี้อย่างไรจึงจะไม่มีปัญหากับสิ่งเหล่านี้ พูดให้มันฟังง่าย เข้าใจง่าย จำง่ายก็จะพูดได้ว่าในโลกนี่มันมีสมมติเป็นคู่ๆ คู่ๆ คู่ๆไม่รู้กี่สิบคู่หรือกี่ร้อยคู่ ของเป็นคู่ๆ คู่ๆ บุญบาป ชั่วดี สุขทุกข์ ได้เสีย แพ้ชนะ กำไรขาดทุน ได้เปรียบเสียเปรียบ เป็นคู่ๆ เป็นคู่ไป กระทั่งเป็นหญิงกระทั่งเป็นชาย ไม่ๆ ไม่เห็นว่ามันเป็นสักว่าขันธ์ธาตุอายตนะเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่เห็นว่าเช่นนั้นเอง ไปเห็นเป็นหญิงเป็นชาย แล้วมันก็จะเห็นเป็นผัวเป็นเมียหรือเป็นอะไรขึ้นมาเป็นคู่ๆ เป็น ล้วนแต่มีความหมายรุนแรงอย่างยิ่งสุดโต่งทั้งสองฝ่ายแหละ ฝ่ายหนึ่งไปซ้ายฝ่ายหนึ่งไปขวาอะไรก็ตามใจแหละแต่มันก็สุดโต่งทั้งสองฝ่าย นี่คือสิ่งที่มันมีอยู่ในโลกที่มันจะกัดเรา ที่มันจะกัดเอาเต็มไปด้วยเขี้ยว อย่าไปแตะเข้าที่เขี้ยวมันจะ จะเดือดร้อนจะเป็นทุกข์ อยู่ในโลกโดยไม่ต้องไปแตะเข้าที่เขี้ยวเหล่านั้นก็สบายดี ดังนั้นข้อนี้ถ้าว่าไม่โง่เกินไปแล้วก็สังเกตกันบ้างนะคุณจะเห็นได้เอง ผมจะพูดว่าอย่างนี้ว่าถ้ามันไม่โง่เกินไป ถ้ามันรู้จักสังเกตได้บ้างจะมองเห็นได้เองว่าเวลาที่เราสบายใจที่สุด เบาสบายเย็นอกเย็นใจสบายที่สุดนั้นเวลาไหน เวลาไหน ถ้ามันไม่โง่เกินไปมันรู้จักสังเกตบ้างมันก็จะพบว่าโอ้! เวลาที่มันไม่มีปัญหาเรื่องชั่วเรื่องดี เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องแพ้เรื่องชนะ เรื่องสุขเรื่องทุกข์มันไม่ มันไม่มีปัญหาเรื่องของคู่เหล่านี้นั่นแหละเราจะสบายที่สุด แต่ต้องรู้จักความหมายของคำว่าสบาย เช่นว่ากินอร่อยอยู่อย่างนี้สบายไหม หรือกินไม่อร่อยอยู่อย่างนี้สบายไหม ทั้งสองอย่างมันไม่ใช่ความสงบ อร่อยมันก็กระตุ้นไปเหมือนกับบ้าไปชนิดหนึ่ง ไม่อร่อยมันก็กระตุ้นไปเหมือนกับบ้าอีกชนิดหนึ่ง ฉะนั้นเวลาที่เราไม่อร่อยหรือไม่ ไม่อร่อยนั่นแหละเป็นเวลาว่างแหละเราจะสบายที่สุด เมื่อเราฟังเพลงเราก็รู้สึกว่าไพเราะ แต่ความโง่ของเราทำให้รู้สึกว่าไพเราะ ซึ่งมันกระทบกระเทือนรบเร้าประสาทหู รบเร้าจิตใจให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลไปตาม ฉะนั้นเราไม่ควรจะถูกกระตุ้นด้วยเพลงที่ไพเราะหรือว่าถูกทำให้รำคาญด้วยเสียงที่ไม่น่าฟัง มันว่างอยู่ตรงกลางนั่นแหละมันสบายดี ทีนี้เรามีปัญญา มีปัญญาอย่างยิ่งที่จะทำให้ไอ้สิ่งทั้งคู่นั้นกลายเป็นของว่างอยู่ตรงกลางคือความรู้เรื่องเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ไพเราะก็เช่นนั้นเองไม่ไพเราะก็เช่นนั้นเอง อร่อยก็เช่นนั้นเองไม่อร่อยก็เช่นนั้นเอง นิ่มนวลก็เช่นนั้นเองกระด้างก็เช่นนั้นเอง ถูกใจก็เช่นนั้นเองไม่ถูกใจก็เช่นนั้นเอง เมื่อเห็นเช่นนั้นเองแล้วมันจะอยู่ตรงกลาง ไม่บวกไม่ลบ หรือที่ว่าไอ้วิท วิทยาศาสตร์สากลมันเรียกว่าไม่ positive ไม่ negative แต่มันเป็นอยู่ตรงกลาง นั่นแหละคือไอ้ที่จุดว่าง จุดเย็น มิฉะนั้นแล้วมันจะเป็นจุดเดือดพล่านเผาลนไอ้อย่างใดอย่างหนึ่ง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสมอ แต่เดี๋ยวนี้เรามันโง่จนชิน แล้วก็โง่เหมือนๆกันหมดจนไม่มีใครจะทักท้วงใคร คือนิยมว่าได้อร่อย ได้สวยงาม ได้หอมหวล ได้นิ่มนวลอะไรแล้วก็นั้นแหละวิเศษประเสริฐ มันก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันไปหมด ไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้แหละเป็นสิ่งทรมานใจให้ไม่พักผ่อน ไม่ต้องพักผ่อน แต่มันมีรสอร่อยซึ่งทำให้หลงเป็นของน่ารักน่าพอใจโดยเฉพาะเรื่องทางเพศทางกามารมณ์ ไอ้เรื่องทางเพศนั่นคิดดูว่าบูชาหลงใหล ส่งเสริม เห็นเป็นสิ่งสูงสุดไปได้ ทั้งกิจกรรมทางเพศนั่นมันทั้งเหน็ดเหนื่อยที่สุด น่าเกลียดที่สุด สกปรกที่สุด อะไรที่สุดอย่างนี้มันก็ยังเห็นเป็นวิเศษไปได้คิดดูเพราะว่าอะไร เพราะมันถูกทำให้โง่มาตั้งแต่เล็ก ถ้าเรามีความรู้เรื่องของจริงเช่นนั้นเองของธรรมชาติแล้วมันก็จะหลงขนาดนั้นไม่ได้ มันจะโง่ขนาดนั้นไม่ได้ นี่เป็นเหตุให้มองเห็นได้ว่าอยู่ในโลกถ้าจมลงไปในโลกแล้วมันก็ทรมาน เป็นทุกข์ทรมาน ยินดียินร้าย ขึ้นๆลงๆ ฟูๆแฟบๆไม่รู้จักหยุด แต่ถ้ามีโลกุตระเหนือโลก ความรู้ที่ทำให้อยู่เหนือโลกคือตถตา ตถตา เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ไม่หลงรัก ไม่หลงโกรธ ไม่หลงเกลียด ไม่หลงอะไรไม่ ไม่ทุกๆคู่มันไม่หลงเลยมันก็สบาย มันก็สบาย เราจึงว่าอยู่ในโลกต้องมีโลกุตรธรรม ช่วยคุ้มครองป้องกันไม่ให้จมลงไปในโลก ไม่ให้โลกมันท่วมทับเอา ไม่ให้โลกมันเสียดแทง เผาลน ม้อย ร้อยรัด ทุกอย่างแหละที่มันจะ จะกระทำเอาแก่คนโง่อย่าให้มันมี มิฉะนั้นก็จะต้องอยู่อย่างคนโง่อยู่อย่างปุถุชน ทนทรมานไปกับเรื่องแผดเผา ร้อยรัด ทิ่มแทง พัวพัน หุ้มห่อ เผาลนอะไร ไอ้ของ ไอ้สิ่งที่มีอยู่ในโลก คำว่าโลกนี้ไม่ใช่หมายถึงแผ่นดินโลกนะ แต่หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มันมีอยู่ในโลก ที่มันจะเข้าไปสู่จิตใจของเราทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ๖ ทางนี้ ที่มันจะเข้าไปสู่จิตใจมันต้องเข้าไปทาง ๖ ทางนี้ ไอ้นั่นแหละคือตัวโลกแหละไอ้ที่มันจะเข้าไปสู่ภายในทาง ๖ ทางนี้นั่นแหละคือตัวโลก ฉะนั้น็ไอ้ตัวโลกที่มันจะเป็นเรื่อง เป็นอันตรายเป็นปัญหามันก็คือไอ้สิ่งที่มันเข้ามาที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้าไปในจิตใจทำให้เป็นไฟเป็นอะไรขึ้นมา นี่ว่าโลกมันเข้ามาแล้วทำให้จิตใจอยู่ใต้อำนาจของโลก ไอ้คำไม่กี่คำนี่คุณควรจะจำไว้สำหรับทดสอบ สำรวจ สอบไล่ว่าเรามันดีไปถึงไหนแล้ว คือคำว่ารักคำหนึ่ง มาก่อนเลย คำว่าโกรธคำหนึ่ง คำว่าเกลียดคำหนึ่ง คำว่ากลัวคำหนึ่ง วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หวง หึงในที่สุด ถ้าความหวงเข้มข้นถึงที่สุดเหวี่ยงแล้วมันจะเป็นเรียกว่าหึง ยังมีอีกมากอีกหลายๆ หลายๆสิบคำแหละแต่ไม่ต้องหรอกเท่านี้ก็พอแล้ว เลือกคัดเอามาแต่คำที่จะให้เข้าใจได้ง่าย ทดสอบได้ง่าย สังเกตได้ง่าย ถ้ามันยังมีความรู้สึกรัก โกรธ เกลียด กลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวงอยู่แล้วก็รู้เถอะว่ามันยังธรรมดาแหละ ยังไม่ถึงไหนหรอก ที่ว่าปฏิบัติธรรมะได้สำเร็จเห็นนั่นเห็นนี่ เห็นดวงเห็นดาว เห็นอะไรต่างๆนานาว่า อาจารย์ว่าสำเร็จแล้ว แกสำเร็จแล้ว ปฏิบัติแล้ว สำเร็จถึงที่สุดแล้วกลับไปได้ ก็ได้ กลับไปได้ก็ได้แต่ลองเอาไอ้ ๖ อย่างนี้คอยวัดทดสอบไว้ดูเถอะ ถ้ามันยังมีอยู่แล้วมันใช้ไม่ได้ อาจารย์ก็ไม่รู้ ลูกศิษย์ก็ไม่รู้ รับรองเสียเป็นคุ้งเป็นแควว่าปฏิบัติได้ผลแล้ว หรือว่าที่เราจะทดสอบตัวเองดูว่าเรามัน มันมีดี อะไรดีบ้าง มันดีกว่าธรรมดาอะไรบ้างก็วัดด้วย ๖ อย่างนี้แหละ ไอ้ ไอ้เหล่านี้แหละ รัก โกรธ เกลียด กลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวง อยู่ในวัดยัง มันก็ยังอิจฉาริษยากัน มีแกล้งคนนั้นแกล้งคนนี้ โกรธขึ้นมาเอายางตาตุ่มไปทาก้นบาตรเพื่อนให้ถ่ายเกือบตาย เอาหมาก เอาหมามุ่ยไปใส่ในน้ำให้เพื่อนอาบ ไปลักตัดสายไฟของเพื่อน ลักหลอดไฟของเพื่อนนี่มันยังเป็นเด็กอมมือนี่ คิดดูเถอะ มันยังไม่ไปถึงไหนหรอก นั่นแหละเป็นเครื่องวัดว่ามันไปถึงไหนแล้ว นั่นขอให้วัดด้วยเรื่องที่แน่นอนว่ามันมีความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หวงหึงหรือไม่ มันยังมีอื่นๆอีก อีกหลายอย่างแหละแต่ผมว่าเท่านี้ก็พอ พอที่จะว่าใช้เป็นเครื่องสอบไล่หรือทดสอบ ความอวดดี อวดเบ่ง อวดเด่น อวด โอ้อวดอย่างน่าละอายนี่มันก็ยังมีอยู่ ยังละโมบโลภลาภ ยังบันดาลโทสะ ยังมัวเมา ยังหลงใหล แต่ที่เข้าใจได้ง่ายๆชัดๆก็ไอ้อย่างที่ว่ามาแล้วว่ารักบ้าง โกรธบ้าง เกลียดบ้าง กลัวบ้าง วิตกกังวล ตัวเองผู้อื่น อาลัยอาวรณ์ผู้อื่น อาลัยของรัก อาลัยอะไรต่างๆ วิตกกังวล ความเจ็บความไข้ความตายอะไรต่างๆมาขู่เข็ญอยู่เสมอ ความอิจฉาริษยา คนมันฉลาดมากมันเลยอิจฉาริษยามากกว่าสัตว์ สัตว์เดรัจฉานนี่มันอิจฉาริษยากันบ้างเหมือนกันแต่น้อยเหลือเกิน ผมเห็นสุนัขที่มันอิจฉาริษยาก็น้อยมาก แต่คนนี่มันอิจฉาริษยากันมหาศาลเลย เอาแหละฉะนั้นขอให้ถือเป็นไอ้บทศึกษาตลอดชีวิตเลย ตลอดชีวิตเลยว่าอยู่ในโลกนี่ต้องมีโลกุตรธรรมช่วยคุ้มครองอยู่ มิฉะนั้นจะจมลงไปในโลก จะจมลงไปในกองทุกข์ ไม่ว่าอยู่ที่วัดหรืออยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่ไหนมันจะจมลงไปในกองทุกข์ เรียกว่ากระทบกันกับเขี้ยวที่มีพิษร้ายแรงของโลกอยู่เสมอ อยู่ในโลกเพื่อกระทบกับพิษร้ายของเขี้ยวของโลกอยู่เสมอ ถ้าอย่างนี้มันตายเสียดีกว่ากระมัง มันไม่ยุ่งยากลำบากไม่ทรมานนั่น ถ้าอยู่ในโลกมันก็ควรจะได้รับความผาสุก ไม่มีปัญหาไม่เดือดร้อนไม่ จึงจะเรียกว่าควรจะอยู่ในโลก มันรู้จักแต่เพียงทำมาหากิน ไม่ตายนั่นยังไม่พอ คุณอุตสาห์เล่าเรียนวิชาชีพทั้งหลาย ได้เงินเดือนมากพอ ไม่สะ ไม่ๆ ไม่ลำบากยากเข็ญ อยู่สบายและไม่ตาย นี่ผมว่าไม่พอๆ มันยังกระทบกระทั่งกับไอ้ความร้ายกาจในโลกอย่างที่ว่ามาแล้ว มีความรัก โกรธ เกลียด กลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวงอยู่ตลอดเวลา มันทรมานอยู่ตลอดเวลามันต้องมีธรรมะมาช่วยยกขึ้นเสียจากสิ่งเหล่านี้ทีหนึ่ง จึงต้องมาเรียนธรรมะ ต้องมาบวชมาเรียนธรรมะ ที่เรียนที่ในโรงเรียน มหาวิทยาลัยอะไรนั่นมันเพียงแต่รู้หนังสืออย่างดี เฉลียวฉลาดดี รู้อาชีพ ได้มีอาชีพที่เบาสบายได้เงินมาก มันมีเท่านั้นมันรู้แต่หนังสือกับวิชาชีพ แต่มันไม่รู้เรื่องธรรมะว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรจิตใจจึงจะสงบเย็น มันไม่เคยเรียนนี่ ในมหาวิทยาลัยไหนทั้งโลกเลยมันไม่เคยเรียนกันแล้วมันก็จะไม่เรียนด้วย เพราะว่ารัฐบาลของประเทศบางประเทศเขาถือว่านี่มันเรื่องศาสนาโว้ย! อย่าเอามาทำให้เสียเวลายุ่งในการเล่าเรียนศึกษาของรัฐเลย ใครสนใจไปหาเอาเอง ไปหาเรียนเอาเอง ก็เลยในการศึกษาของรัฐไม่มีสอนเรื่องศาสนา ไม่มีสอนเรื่องธรรมะธัมโม นี่ก็เรียกว่าการศึกษาหมาหางด้วน รู้แต่หนังสือกับวิชาชีพ มันก็เพียงแต่รอดตายอยู่ได้ แล้วก็อยู่ด้วยความขึ้นๆลงๆ กระโดดโลดเต้น ฟูๆแฟบๆไปตามอารมณ์ในโลก เรียกว่าถูกกับเขี้ยวของโลกอยู่เสมอ เพราะเขาไม่ได้เรียนรู้เรื่องโลกุตรธรรมสำหรับจะมาป้องกันไม่ให้แตะต้องกันเข้ากับไอ้สิ่งเลวร้ายในโลก
เอาล่ะผมพูดวันนี้มีใจความสั้นๆเท่านี้ แต่ขอรับรองยืนยันว่าจำเป็นที่จะต้องมีต้องใช้กันจนตลอดชีวิตเลย เพราะอยู่ในโลกต้องมีโลกุตรธรรมคือธรรมะที่จะอยู่เหนือโลก ไม่ต้องไปอยู่จมโลก ใต้โลกลงไปหรอก ถ้าไม่มีโลกุตรธรรมมันจะจมโลก มันจะอยู่ใต้โลก แล้วมันก็จะมีอะไรดีที่ไหน อย่าไปคิดเหมือนคนบางคนคิดหรือพูดหรือสอนว่าโลกียธรรมอยู่ฝ่ายหนึ่งเลย โลกุตรธรรมอยู่ฝ่ายหนึ่งเลยอย่าเอามาปนกันเข้า ถ้าเอาโลกุตรธรรมมาปนกันเข้าจะไม่มีความเจริญ จะไม่พัฒนาจะไม่อะไรเขาว่าอย่างนั้น แต่เราไม่ว่าอย่างนั้นถ้ามีโลกุตรธรรมมาช่วยนี่จะทำให้อยู่สบายและจะพัฒนา จะพัฒนาให้สูงขึ้นไปๆ โลกุตรธรรมไม่ได้เป็นข้าศึกของการพัฒนา แต่จะช่วยให้ปกติหรือช่วยให้พัฒนาเก่ง แล้วไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะไอ้สิ่งที่มันมีอยู่ในโลกที่มันเป็นเหมือนกับเขี้ยวพิษ มีพิษคอยขบกัดทิ่มแทงคนในโลก เรามีโลกุตรธรรมปลดเปลื้องสิ่งเหล่านี้ออกไป (นาทีที่ 59:56 - 01:00:07 เสียงขาดเงียบไป) ขอให้ช่วยจำเรื่องนี้ไว้จนตลอดชีวิตว่าอยู่ในโลกต้องมีธรรมะเพื่อจะแก้ปัญหาที่มีอยู่ในโลก แม้ว่าโลกกับธรรมมันจะ มันจะไม่ใช่สิ่งเดียวกันในความหมายนี้นะ เป็นโลกๆก็เป็นอย่าง เป็นธรรมะก็เป็นอย่างแต่ว่าต้องอยู่ด้วยกัน ต้องเอาธรรมะมาควบคุมโลก ต้องเอาโลกุตรธรรมมาควบคุมโลกียธรรมมันจึงจะเกิดความสงบสุขปกติสบายดี มิฉะนั้นไม่มีทางแหละที่จะปกติสงบเย็นเป็นนิพพาน ถ้าเอาโลกุตรธรรมมาช่วยกำกับชีวิตในโลกนี้มันจะเป็นชีวิตเย็นเป็นนิพพานไปได้ (นาทีที่ 01:01:10 เสียงตัดไปแล้วกลับมาซ้ำประโยคนี้) ถ้าเอาโลกุตรธรรมมาช่วยกำกับชีวิตในโลกนี้มันจะเป็นชีวิตเย็นเป็นนิพพานไปได้ตลอดชีวิตเลย แต่เรื่องนี้ยืดยาวไว้พูดวันอื่นคราวอื่น ว่าถ้ามีโลกุตรธรรมมาควบคุมชีวิตควบคุมโลกแล้วไอ้ชีวิตนี้จะกลายเป็นชีวิตเย็นเป็นนิพพานจนตายเลย จนตายกระทั่งตายแหละ ตายแล้วมันก็สุดแล้วอย่าพูดกันเลย แต่ว่าระหว่างที่ยังไม่ตายนี่ขอให้เย็นเป็นนิพพานก็แล้วกัน ดังนั้นขอให้ผู้บวชที่ตั้งใจบวชชั่วคราว ๓ เดือนนี่จงได้มองเห็นความจำเป็นข้อนี้ว่าเราจะต้องเข้ามาใช้เวลาศึกษาให้พบสิ่งที่จำเป็นที่สุดที่จะต้องมี เพื่อไม่ให้ชีวิตนี้มันเป็นชีวิตที่เลวร้าย แต่ให้มันเป็นชีวิตที่สงบเย็น ฉะนั้นถ้าบวชแล้วได้ศึกษาได้เข้าใจเรื่องนี้นั่นแหละคือประโยชน์สูงสุด อานิสงส์สูงสุดไม่มีอะไรจะกล่าวเทียบได้ แต่ถ้าสักว่าบวชแล้วก็สึกไปมันก็ไม่ได้อะไร ฉะนั้นเราเรียนให้รู้เรื่องนี้แล้วเราปฏิบัติให้ได้ด้วยนี่ เรียนรู้แล้วก็ปฏิบัติให้ได้ด้วย ควบคุมจิตใจให้ได้ด้วย ฝึกฝนอานาปานสติภาวนาโดยเฉพาะ แล้วก็จะได้สิ่งที่ว่านี้ มันก็เลยได้สิ่งสูงสูดที่มนุษย์ควรจะได้ ไปใช้คุ้มครองป้องกันชีวิตให้เป็นชีวิตสงบเย็นจน จนตาย จนกระทั่ง จนร่างกายมันจะตายไปมันจะอยู่อย่างสงบเย็น บวช ๓ เดือนก็จริงแต่มันได้อะไรมากกว่าร้อยปีพันปี เพราะว่ามันได้ความรู้เรื่องอยู่ในโลกโดยไม่ถูกกับความทุกข์ที่มีอยู่ในโลก จำภาพในโรงหนังติดตาว่าอยู่ในโลกเหมือนกับเขี้ยว เหมือนกับลิ้นอยู่ในปากงูไม่ถูกเขี้ยวงู จำภาพนั้นไว้ ว่าเราจะอยู่ในโลกนี้ไม่ถูกกับเขี้ยวของโลกเหมือนลิ้นงูอยู่ในปากงูไม่ถูกกับเขี้ยวของงู เพียงเท่านี้คุ้มค่า คุ้มค่าที่เกินค่า เกินค่านะที่มาบวช ๓ เดือน ๓ เดือน ๔ เดือน ถ้าไม่อย่างนั้นก็น่าเศร้า น่าเศร้าที่สุดที่มันไม่ได้อะไรคุ้มแม้แต่ค่าผ้าเหลืองไม่กี่บาท เอาแล้วขอย้ำว่าอยู่ในโลกต้องมีโลกุตรธรรม จำเป็น motto เป็นสโลแกนเป็นอะไรไว้เตือนตนเองเสมอว่าอยู่ในโลกต้องมีโลกุตรธรรมที่ทำให้อยู่เหนือโลกไม่จมโลก เอาแล้วพูดเรื่องสำคัญที่สุด แล้วมันก็เป็นเรื่องที่จบด้วยมันจบที่ตรงนี้แหละ ธรรมะหรือพุทธศาสนามันมาจบ มาจบเรื่อง จบสิ้นสุดลงที่คำว่าเช่นนั้นเอง ถ้าเห็นเช่นนั้นเองแล้วนั่นแหละคือจบ จบเรื่องการศึกษาเรื่องการปฏิบัติ เป็นตถตา จะไม่ยินดียินร้ายอะไรอีกต่อไป จะอยู่ในตรงกลาง ว่างเย็นสงบอิสระ น่าแปลกไหมที่ว่าไอ้พระธรรมอันสูงสุดของพระพุทธศาสนาไปสิ้นสุดจบลงที่คำว่าเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ซึ่งพวกคนโง่ทั้งหลายโดยเฉพาะนักศึกษาสมัยใหม่ปัจจุบันนี่มันเห็นว่าเป็นคำพูดเล่นบ้าๆบอๆอะไรก็ไม่รู้ เช่นนั้นเองๆไม่ต้องรับผิดชอบอะไร นั่นมันไม่เข้าใจ มันไม่ใช่เช่นนั้นเองบ้าๆบอๆอย่างนั้น มันเช่นนั้นเองสำหรับที่จะไม่ถูกปรุง ถูกปรุง ถูกดึง ถูกลาก ถูกจูง ถูกฉุดกระชาก หรือถูกไสหัวให้ไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ไปตามแบบของคนโง่ ขอให้เห็นเช่นนั้นเอง แล้วก็ไม่มีอำนาจอะไรที่จะมาฉุดลากกระชากไปพาไปฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา แต่ว่าอยู่ตรงกลาง อิสระที่สุด สงบที่สุด สะอาดที่สุด เกลี้ยงเกลาที่สุด ไม่มีความทุกข์เลย เอาละขอให้จำใจความให้ได้เป็นเครื่องคุ้มครองอยู่ในจิตใจ จะมีประโยชน์ยิ่งไปกว่าเอาพระเครื่องมาแขวนคอสักพันองค์ คุณจะเอาพระเครื่องมาแขวนคอสักพันองค์ได้ไหม คอจะทนได้ไหม แล้วก็ยังไม่มีประโยชน์เท่ากับว่ามองเห็นโลกุตรธรรมของสิ่งสูงสุดทั้งปวงว่ามันเช่นนั้นเอง ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นอะไรให้เกิดกิเลสขึ้นมา นี่เขาเอาพระเครื่องมาแขวนคอนั่นมันก็นับว่าไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะมัน มันสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้านะ แต่มันเอามาแขวนคอเพื่อให้เป็นเครื่องศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ช่วยให้ได้ลาภได้ยศ ได้ดี ได้ๆดี โดยที่ไม่ต้องรู้ว่าทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ก็ได้ เอาละขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ว่าอยู่ในโลกต้องมีโลกุตรธรรมโว้ย!