แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อยากจะลองพูดเรื่อง เอ้อ, ศาสนา ชนิดที่ไม่เป็นศาสนาดูบ้าง มันคล้าย ๆ กับว่า จะเป็นไอ้ วิทยาศาสตร์ ก็ไม่เชิง ไอ้ธรรมชาติ วิทยาอะไรก็ไม่เชิง คือจะพูดให้มองเห็นได้ ในฐานะเป็นสิ่งธรรมดาสามัญ (นาทีที่ 0:01:03 คงไม่ได้ยินใช่ไหม เร่งอีกไม่ได้แล้ว) คือหลายคนคงจะได้ยินมาแล้วว่า เรากำลังพูดเรื่อง (ที่โน่นน่ะได้ยินเหรอ) อ้า, ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมอยากจะให้เข้าใจกันให้ดี เพราะมันเป็นเรื่องที่จะสำเร็จประโยชน์ได้โดยง่าย แล้วก็เลยจะพูดโดยหัวข้อว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในความหมายที่น่าสนใจ คือพูดให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่ไปทั้งหมดเลย ธรรมะ คือ หน้าที่ นี้พูดกันอยู่จนเกือบจะเข้าใจกันอยู่แล้วว่าสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะน่ะคือหน้าที่ ของสิ่งที่มีชีวิต จะเป็นชีวิตชนิดคน หรือชนิดสัตว์ หรือชนิดพฤกษาชาติอะไรก็ตาม มันมีชีวิต ธรรมะ คือ หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต นี่คือประโยคที่สำคัญที่จะต้องถือเป็นหลัก ถ้าไม่มีหน้าที่ หรือไม่ทำหน้าที่ ชีวิตมันก็ไม่มี มันก็ตายหละ มันก็ตาย มองเห็นข้อนี้กันก่อนสิ ว่าชีวิตที่มันรอดอยู่ได้เดี๋ยวนี้ เพราะมันมีหน้าที่ ชีวิตคนก็มีหน้า การทำหน้าที่อย่างคน ชีวิตมันก็รอดอยู่ได้ ชีวิตสัตว์มันก็มีการทำหน้าที่อย่างสัตว์ สัตว์มันจึงรอดชีวิตอยู่ได้ อะ, ชีวิตพฤกษาชาติ ต้นไม้ ต้นไร่นี้ มันทำหน้าที่ของมันอยู่ตลอดเวลาน่ะ มันจึงรอดอยู่ได้ เป็นต้นไม้อยู่ได้ มองให้เห็นข้อนี้กันก่อนสิ บางคนจะคิดว่าไม่ใช่หลักธรรมะ ไม่ใช่หลักศาสนา แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็จะค่่อยเข้าถึงกันได้เอง ให้รู้ว่าไอ้, ไอ้, ไอ้ชีวิตน่ะมันอยู่กับหน้าที่ หรือว่าหน้าที่น่ะ มันคือ ปัจจัยแห่งชีวิต แต่เรายังต้องการสูงกว่านั้นว่า นอกจากจะพูดถึงชีวิต เราก็ยังจะพูดถึงความรอด ทางจิตใจ เพราะว่ารอดชีวิตอย่างเดียวอา, มัน มันจะไม่มีประโยชน์อะไรก็ได้นะคิดดูให้ดี ที่ว่ารอดตาย ไม่ตาย ไม่ตายนั้นอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรก็ได้ ถ้ามันยังไม่รอดจากความทุกข์ ที่เป็นความทุกข์ในชีวิตจิตใจนั่นเอง ดังนั้นจึงมีการรอดตายเป็นพื้นฐาน รอดชีวิตอยู่ได้นี่ แล้วก็มีการรอดจากไอ้ความทุกข์ต่าง ๆ ที่มันครอบงำ เบียดเบียนชีวิต หน้าที่มันจึงมีสอง เอ้อ, สองชนิด เอ้อ, สองระดับถ้าสำหรับคนน่ะ สำหรับไอ้, สัตว์เดรัจฉาน เราไม่รู้ของมัน แต่ที่มองเห็นได้ แน่นอนก็ว่ามันต้องการรอดตาย หรือรอดชีวิต แล้วก็พอ ไอ้ปัญหาเรื่องกิเลส เรื่องความทุกข์ดูจะไม่มีแก่สัตว์เดรัจฉาน มันเอารอดชีวิตอย่างเดียวก็พอ ต้นไม้ก็เหมือนกันหละ เอาแต่รอดชีวิตอย่างเดียวก็พอ ไม่ได้มีความทุกข์เกี่ยวกับกิเลส เกี่ยวกับอะไรต่าง ๆ แต่คนเรานี้ รอดชีวิตอย่างเดียวแล้วยังไม่พอ ยังต้องรอดจากความทุกข์ทั้งหลาย ที่ครอบงำชีวิตนั้นอีกด้วย และหน้าที่ของคน มันก็เลยมีถึงสองระดับ หน้าที่ให้รอดชีวิตอย่างหนึ่ง หน้าที่ให้รอดจากความทุกข์ที่ครอบงำชีวิตอีกอย่างหนึ่ง ไอ้หน้าที่อย่างนี้ คือ สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ ในภาษาอินเดีย จะเรียกว่าภาษาบาลี ก็ได้ แต่มันก็ยังมีภาษาสันสกฤต และภาษาอื่นที่เรียก ธรรมะ ธรรมะ ซึงเป็นภาษาอินเดีย เรียกว่าภาษาอินเดียก็แล้วกัน คำว่า ธรรมะ ธรรมะ นี่หมายถึง หน้าที่ ใช้พูดกันอยู่ก่อนดึกดำบรรพ์นะ ก่อนพุทธกาล คำว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่นี้ เขารู้กันก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ธรรมะคือหน้าที่ มนุษย์ทุกคนต้องรู้หน้าที่ แล้วปฏิบัติหน้าที่ อย่างน้อยก็เพื่อให้มันรอดชีวิต ให้มันรอดชีวิต ดังนั้นก็ว่าธรรมะ ธรรมะ ใช้พูดกันมาแล้วตั้งแต่ดึกดำบรรพ์โน้น ในฐานะเป็นหน้าที่ ที่เขาว่ามนุษย์มันเจริญ เอ้อ, ก้าวหน้ามากขึ้นไป มันก็รู้จัก สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ นั้นน่ะ สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป อ้า, แม้ว่าอา, จะสูงขึ้นไปเท่าไร มันก็ยังคงเรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ คือ ธรรมะ จะเป็นฤๅษี มุนี นักบวชในป่า เขารู้หน้าที่ รู้จักสิ่งที่เรียกว่า หน้าที่ มากขึ้น สูงขึ้น ก็สอนกันมากขึ้น เรื่องของหน้าที่ก็มากขึ้น จนกระทั่งรู้เรื่องหน้าที่ทางจิต ทางวิญญาณ ก็สอนเรื่องหน้าที่ทางจิตทางวิญญาณ ตอนนี้ไปไกลใหญ่ ไปไกลกว้างขวางมาก เพราะหน้าที่เพียงทำมาหากิน รู้จักทำมาหากิน ไม่ให้ตายนี้มันจำกัด ไม่เท่าไหร่ก็หมดแล้ว หมดเรื่อง หมดเรื่องที่ต้องพูดกัน พูดได้หมด แต่ว่าหน้าที่ ที่จะรอดทางจิต ทางวิญญาณ ให้จิตวิญญาณ รอดสูงขึ้นไปนั้น ไม่ มันไม่ง่ายที่จะพูด มันก็พูดได้ไปตามลำดับ ไม่ถึงที่สุด ไม่ถึงที่สุด จนกว่าจะเกิดพระพุทธเจ้า รู้เรื่องหน้าที่ถึงที่สุด ที่ดับทุกข์ได้ถึงที่สุดน่ะ เรียกว่า นิพพาน ดับทุกข์ได้ถึงที่สุดน่ะ มันยุติลงตรงที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดง ไม่มีใครจะแสดงให้สูงไปกว่านั้นได้อีกแล้ว นั่นมันจบแล้ว ทีนี้ เราก็เห็น อา, เราก็ได้ยิน ได้นั้นกันอยู่ว่า ว่า มนุษย์เคยเอาอะไรเป็นสิ่งสูงสุด เป็นนิพพานน่ะ กันมาบ้าง อย่างที่ปรากฏอยู่ในพระบาลี ในพรหมชาลสูตรเรื่องทิฐิ ๖๒ อย่าง มนุษย์ก็เคยเอากามารมณ์นี่เป็นนิพพาน มันดีเพียงเท่านั้น พวกนั้นมันมองเห็นเพียงเท่านั้น เพราะถ้าได้กามารมณ์ตามที่ปรารถนา ก็เรียกว่า ได้ ได้หมด ได้นิพพาน หรือสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้ นี้ ต่อมาก็มีคนค้นพบว่า โอ้, นั้นมันยัง ยัง ยังใช้ไม่ได้ ก็เอาเรื่องทางจิตใจเป็นสมาธิคือ ฌาน หรือ สมาบัติ นี่ขึ้นมา ค้นพบปฐมฌาน ก็เคยเอาปฐมฌานเป็นนิพพาน อ้า, ครั้นค้นพบเรื่องทุติยฌาน ตติยฌานขึ้นมาตามลำดับ ก็เอานิพพานสูงขึ้นมาจนกระทั่ง จตุตฌาน แล้วก็เลยไป ฝ่ายอรูปฌาน ทั้ง ๔ อย่าง สอนเอาเป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ หรือจะเรียกว่านิพพานก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็เคยไปศึกษากับอาจารย์คนสุดท้าย เอ้อ, อาฬาร ไอ้, อุทกดาบส รามบุตรนั้น อาจารย์คนสุดท้าย ก็ได้เรียนรู้เรื่อง เนวสัญญานาสัญญายตนะ ในฐานะเป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ อย่างที่เรียกว่า นิพพาน นี่มันก็ไม่ถึงที่สุด อา, พระพุทธเจ้าท่านมาศึกษาค้นคว้า อ้า, ของพระองค์เอง จนได้ตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะว่าความสิ้นกิเลสน่ะ เป็นอุปาทาน ความยึดถือว่าตัวตนนะ ไม่เกิดกิเลสอะไรอีกต่อไป นี่เป็นสูงสุด เป็นสิ่งสูงสุด อ้า, ที่มนุษย์ เอ้อ, ควรจะได้ จึงเป็น นิพพานนะ นี้จงมองในแง่ที่ว่า พระพุทธเจ้า ท่านทรงค้นพบ ไอ้หน้าที่ หน้าที่ เอ่อ, ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติเพื่อให้ได้สิ่งสูงสุด คือ นิพพาน เมื่อเราเอาคำว่าหน้าที่เป็นหลักนะ เราก็พูดได้เลยว่า พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบหน้าที่ แล้วก็ เปิดเผย สั่งสอนหน้าที่อันนั้น อา, นี่คงจะฟังถูกแล้วกระมังว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้พบและสอนหน้าที่ เอ้อ, ทีนี้ พระธรรม พระธรรม ก็คือเรื่องหน้าที่ ในแง่ของการศึกษา ในแง่ของการปฏิบัติ ในแง่ของการได้รับผลของการปฏิบัติ อ้า, พระธรรม คือคำบรรยายเรื่องหน้าที่ ว่าจะ ต้องเรียนกันอย่างไร ต้องปฏิบัติกันอย่างไร จะต้องได้รับผลกันอย่างไร พระธรรมก็คือตัวหน้าที่นั่นเอง ที่นี้ ก็มาถึงพระสงฆ์ รับฟังคำสอนจากพระพุทธเจ้า คือได้รับพระธรรม รับเรื่องหน้าที่ รับฟังเรื่องหน้าที่ จากพระพุทธเจ้า แล้วก็มาปฏิบัติ ก็ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ ได้รับผลเอ่อ, ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ พระสงฆ์ ก็คือ ผู้รับคำสอนเรื่องหน้าที่ รับหน้าที่ เอามาแล้วปฏิบัติจนได้รับผล คุณลองสังเกตดูว่ามันเป็นเรื่อง อ้า, เป็นความหมายที่เราไม่ค่อยจะได้พูดกัน เพราะว่าเป็นความหมายที่น่าสนใจว่า พระพุทธเจ้า คือผู้ค้นพบแล้วสอนเรื่องหน้าที่ สำหรับมนุษย์จะปฏิบัติให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เรียกสั้น ๆ ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบ แล้วสอนหน้าที่ ทีนี้พระธรรม ก็คือตัวหน้าที่นั่นเอง จะเป็นชั้นการศึกษาก็ได้ เป็นการปฏิบัติก็ได้ เป็นผลของการปฏิบัติก็ได้ อ่า, ก็เรียกว่า พระธรรม เป็นตัวหน้าที่ ที่เป็นเพียงการศึกษาก็ได้ เป็นถึงการปฏิบัติก็ได้ เป็นถึงผลของการปฏิบัติก็ได้ นี่เรียกว่า พระธรรม พระธรรมคือหน้าที่ คือตัวหน้าที่ พระสงฆ์ก็ได้รับฟังเรื่องหน้าที่ รับมา มาปฏิบัติ แล้วก็ได้รับผลตามสมควรแก่การปฏิบัติ เราเคยพูดกันในความหมายอย่างอื่น อย่างที่คุณก็ได้ยิน ได้ฟังมาแล้วว่า พระพุทธเจ้าคืออะไร พระธรรมคืออะไร พระสงฆ์คืออะไร แต่เดี๋ยวนี้ผมก็มาพูดเสียใหม่ว่า มองเห็นกันง่าย ๆ มองเห็นอย่างชัด ๆ เกี่ยวกับมนุษย์ มีชีวิตรอดอยู่ได้ ด้วยการทำหน้าที่ เอ่อ, แล้วก็ถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีหน้าที่ ก็มีหน้าที่ ที่จะประพฤติปฏิบัติ ก็เลยสมบูรณ์ หน้าที่สมบูรณ์ หน้าที่ชั้น ชั้นต้นคือ รอดชีวิต เอ่อ, รอดได้ หน้าที่ชั้นสูงคือ รอดจากความทุกข์ เอ้อ, ก็รอดได้ เลยมีความรอดครบบริบูรณ์ อ้า, จะพูดว่า พระพุทธเจ้า เป็นผู้ค้นพบหน้าที่ เรื่องความรอด เพราะสอน พระธรรมก็คือหน้าที่เรื่องความรอด ที่จะต้องเรียน ต้องปฏิบัติ ให้ได้ผล เอ่อ, พระสงฆ์ก็คือผู้รับไอ้, ความรู้ เรื่องความรอด มาปฏิบัติจนได้ผลนี่ เราเป็นพวกไหน เหล่าบรรดาสาวกทั้งหลาย ก็คือเป็นพวกพระสงฆ์ นับรวมอยู่ในพวกพระสงฆ์ จะบรรลุมรรคผลหรือไม่ก็ตามใจ แต่เมื่อมีความรู้และการปฏิบัติอยู่ ก็เรียกว่าเป็นพระสงฆ์ได้ทั้งนั้น ถือหลักอย่างนี้มันจะง่ายขึ้น จะง่ายขึ้น หรือจะพูดกันง่ายขึ้น แล้วก็ว่า มันจะดี ดี ดีจนถึงกับว่า ไม่ต้องเกี่ยวกับศาสนา หมายความว่า เราไปพูดให้คนพวกอื่นฟังก็ได้ จะพวก อา, จะพูดให้พวกที่ถือศาสนาอื่นฟังก็ได้ เขาไม่รู้สึกว่ากระทบกระเทือนอะไร จะพูดให้นักวิทยาศาสตร์ฟังก็ได้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับได้ ว่าพระพุทธคือ ผู้ค้นพบและสอนหน้าที่ พระธรรมคือหน้าที่ พระสงฆ์คือผู้รับอ้า, มาปฏิบัติ แล้วก็ได้ผลเป็นความสุข ไม่มีความทุกข์ สูงสุดเท่าที่มนุษย์เอ้อ, จะพึงปฏิบัติได้ นี่ผมจึงเรียกว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในความหมายที่น่าสนใจ ในความหมายที่พิเศษไปจากที่พูด ๆ กันอยู่ก่อน และที่น่าสนใจ ก็เพราะว่ามันจะเห็นว่ามันง่าย ว่ามันง่าย เห็นว่ามันเกี่ยวข้องกันอยู่อย่างนี้จริง ๆ ต้องสนใจในคำว่า หน้าที่ หน้าที่ ให้เป็นพิเศษ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เราจึงสามารถทำหน้าที่ ให้เป็นธรรมะอยู่ตลอดเวลา หรือจะพูดว่าเราสามารถมีธรรมะอยู่ตลอดเวลาทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งหลับ ทั้งตื่น ทั้งทุกอิริยาบถ เราสามารถจะมีธรรมะอยู่ได้ เพราะว่าเราปฏิบัติหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ แต่คนเขา มันก็ไม่รู้เรื่องนี้ และเขาก็คิดว่าหน้าที่นั้นคือ ของธรรมดาสามัญทั่วไป แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ต้องมี อย่างนี้เขาก็ไม่ ไม่ ไม่ถือว่าเป็นธรรมะ นี่เพราะไม่รู้ว่า ไอ้ธรรมะคือหน้าที่ ก็เลยไม่ได้พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ ที่รอดชีวิตอยู่โดยทั่ว ๆ ไป เช่น ชาว ชาวนาทำนา เอ่อ, ก็ไม่ได้พอใจว่าการทำนาเป็นธรรมะ เพราะเขาไม่รู้ แต่ชาวนาที่ได้รับการสั่งสอนดี ๆ มา ทางธรรมะก็รู้ พอจะรู้ว่าการทำนานี้คือการปฏิบัติธรรมะที่ ที่ ที่มนุษย์ควรจะปฏิบัติ แต่โดยมากน่ะไม่รู้ เพราะเขาจะคิดว่า ปฏิบัติธรรมะ ต้องไปบวชโน่น แล้วก็ไปอยู่ที่วัด ไปอยู่ในป่า ต้องเพียรภาวนาเป็นพิเศษนั้น จึงจะเรียกว่า ปฏิบัติธรรมะ อา, เขาเข้าใจอย่างนั้นมันก็ถูกแล้ว แต่มันถูกครึ่งเดียว คือไม่รู้ว่าหน้าที่ทั้งหมด หน้าที่ของมนุษย์ที่จะรอดชีวิต แล้วก็เป็นธรรมะทั้งนั้น มันกำลังไถนาอยู่ก็มีธรรมะ กำลังทำสวนอยู่ก็มีธรรมะ กำลังค้าขายอยู่อย่างถูกต้องนะก็มีธรรมะ ทำราชการอยู่อย่างถูกต้องก็มีธรรมะ เป็นกรรมกรเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ก็มีธรรมะ นั่งขอทานอยู่อย่างถูกต้องก็มีธรรมะ ถ้ามันเป็นการทำหน้าที่เพื่อให้รอด แล้วก็เรียกว่าธรรมะ ได้ทั้งนั้น ถ้าไม่ทำหน้าที่ มันตายนี่ อันหน้าที่มันมีค่า มีความหมายมาก คือว่าทำให้รอดไม่ต้องตาย อะไร อะไร ที่ทำให้รอด ไม่ต้องตาย มันก็เป็นธรรมะหมด ถ้ารู้อย่างนี้มันจะสามารถมีธรรมะได้เต็มที่ คือ ทำ ทำมาหากิน ก็เป็นธรรมะ ที่นี้ก็จะมีชีวิตอยู่ประจำวัน ทำหน้าที่น้อยๆ อยู่น่ะ ก็เป็นธรรมะ ตื่นนอนขึ้นมา อ้า, มันก็จะต้องล้างหน้า ถูฟัน ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะ อ่า, รู้ว่านี่เป็นธรรมะ มันก็ทำดี ทำ ทำดีที่สุด ล้างหน้าดีที่สุด ถูฟันดีที่สุด ก็ได้รับความพอใจว่าเป็นธรรมะ เลยมีความสุข เมื่อกำลังล้างหน้าและถูฟัน เอ้อ, แต่พวกคนโง่มันทำไม่ได้ พวกคนโง่มันทำไม่ได้ ที่มันจะมีความสุขอยู่เมื่อล้างหน้าและถูฟัน เพราะจิตใจมันไปครุ่นคิดว่า ล้างอยู่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ มันไม่ได้ถูฟันด้วยสติสัมปชัญญะ ไม่ได้ล้างหน้าด้วยสติสัมปชัญญะ มันคิดถึงอะไรก็ไม่รู้ มันคิดถึงแฟน ถึงอะไรของมันตามเรื่อง มันไม่ได้มีสติสัมปชัญญะ ล้างหน้าและถูฟันให้ดีที่สุด จนว่า พอใจ พอใจ พอใจ ถูกต้อง ถูกต้อง แล้วก็มีความสุขตลอดเวลาที่ล้างหน้าและถูฟัน อา, คุณลองคิดดูเถิด มัน มัน มันเสียเปรียบกันเท่าไหร่ล่ะ ไอ้คนหนึ่งมันล้างหน้า ถูฟันอย่างใจลอย อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ บางทีจะกำลังเป็นทุกข์อะไรอยู่ด้วยก็ได้ อีกคนหนึ่งมันล้างหน้าและถูฟัน มีความพอใจ รู้สึกเป็นสุข พอใจตลอดเวลา นี่มันได้ความสุขเสียแล้วโดยไม่ต้องลงทุนอะไรมากไปกว่าที่ทำอยู่ คือล้างหน้าและถูฟัน อ้าว, มันจะอาบน้ำ มันก็มีสติสัมปชัญญะ อาบน้ำในฐานะเป็นหน้าที่ เป็นธรรมะเพื่อความอยู่รอด มันก็ทำอย่างดี อาบน้ำอย่างดี พอใจ พอใจ เป็นสุข เป็นสุข เป็นสุข จนตลอดเวลาที่อาบน้ำน่ะ มันก็ได้รับความสุขที่แท้จริงตลอดเวลาที่อาบน้ำ ด้วยความรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ และก็ทำอย่างมีสติสัมปชัญญะ เป็นสมาธิ ปฏิบัติเอ้อ, สม เอ้อ, สมาธิอยู่ตลอดเวลาเลย อาบน้ำ มันกำหนดการอาบน้ำด้วยสติสัมปชัญญะ เอ่อ, มันก็เลยปฏิบัติธรรมะ ทำสมาธิ อยู่ในการอาบน้ำนั้นเอง ก็ได้รับผลอ้า, เป็นที่พอใจ และเป็นสุข มันก็มีความสุขตลอดเวลาที่อาบน้ำ แต่ไอ้พวกคนโง่มันทำไม่ได้ เพราะว่าจิตใจมันอยู่ที่อื่น มัน มันอยู่ที่อื่น มันกำลังกลุ้มใจอยู่ด้วยเรื่องอื่นก็ได้ บางทีมันก็ขี้เกียจจะอาบน้ำนะ แล้วมันก็ฝืนใจอาบน้ำ อย่างนี้มันก็เป็นทุกข์เมื่ออาบน้ำ ถ้าว่าจะต้องอาบน้ำ ก็รู้ว่าเป็นหน้าที่ หน้าที่ที่จะรอด หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ พอใจอาบน้ำ ด้วยความพอใจ พอใจ แล้วก็เป็นสุข ตลอดเวลาที่อาบน้ำ อือ, จะเอากันอย่างไรล่ะ มีความสุขตลอดเวลาที่อาบน้ำ ในเมื่ออีกพวกหนึ่งไม่ได้รับอะไรเลย บางทีก็อาบน้ำด้วยความกลัดกลุ้ม น้ำก็จะไม่เย็นด้วยซ้ำไป นี่แม้แต่เวลาอาบน้ำก็เอ่อ, เป็นสุขได้ตลอดเวลาทีอาบน้ำ อ้าว, มันมากขึ้นไปอีก เมื่อถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ นี่ เป็นหน้าที่ ที่จะต้องทำ ถ้าไม่ถ่ายอุจจาระ ไม่ถ่ายปัสสาวะ น่ะมันตาย ต้องทำหน้าที่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ด้วยสติสัมปชัญญะ มีสติสัมปชัญญะ มีสติปัฏฐานกันเลย สติสัมปชัญญะในการถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะนั่นแหละ มันก็ทำดีที่สุด แล้วก็เป็นที่พอใจ หรือพยายามทำให้ดีที่สุด และเป็นที่พอใจ มันก็เลยได้ผลเป็นความสุข เอ่อ, ตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ แต่ไอ้พวกคนโง่มันทำไม่ได้ ก็เพราะว่าจิตใจมันไม่อยู่กับตัว จิตใจมันไม่อยู่กับตัว มันก็ทำไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ด้วยซ้ำไป และบางทีก็ไม่อยาก จะถ่ายมันก็ฝืนต้องมาถ่าย มันก็จิตใจมันก็กระวนกระวาย คือมันถ่ายไม่ได้ มันถ่ายไม่สะดวก มันโมโห โทโสขึ้นมา มันก็เป็นอ้า, ยักษ์เป็นมาร เป็นนรกขึ้นมา เพราะเหตุที่ถ่ายไม่สะดวก ก็ถ้ารู้ว่าเป็นหน้าที่ เป็นธรรมะที่ต้องปฏิบัติ ให้ดี ก็บังคับสติสัมปชัญญะให้ทำให้ดี พยายามทำให้ดี ให้ถ่ายให้ได้ ให้สะดวก แล้วก็ไม่ต้องโกรธถ้าถ่ายไม่สะดวก แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะทำ แล้วมันก็จะรู้สึกว่าถูกต้อง และพอใจ ถูกต้องและพอใจ เลยได้รับความสุข เพราะพอใจ จนตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ มันทำได้แต่ผู้มีสติสัมปชัญญะ ไอ้พวกคนโง่มันทำไม่ได้ ที่พูดหยาบคายอย่างนี้หน่อย ก็เพื่อ เพื่อว่า มันฟังง่ายและมันลืมยาก อ้าว, ทีนี้จะทำอะไรล่ะ มันอาบน้ำแล้ว ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะแล้ว มันจะมากินอาหาร มันจะมากินอาหาร มีสติสัมปชัญญะ ปัจจเวกโดยกว้าง ๆ ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่กินอาหารนั่น มันคือไม่ทำหน้าที่ แล้วมันคือตาย จึงมีความพอใจ มีฉันทะ มีวิริยะ อะไรที่ว่าจะ กินอาหารให้ดีที่สุด ให้ดีที่สุด มีสติสัมปชัญญะกินอาหาร ไม่มีโทษ ตลอดเวลาเหล่านั้น พอใจ พอใจ ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องแล้วพอใจ พอใจ ก็เป็นสุข มีสติ สมาธิ สัมปชัญญะในการกินอาหาร มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมะ ตลอดเวลาที่กินอาหาร มันก็เป็นสุขตลอดเวลาที่กินอาหาร แต่ไอ้พวกคนโง่มันทำไม่ได้ เพราะว่ามันจะต้องการกินอาหารด้วยกิเลส ด้วยตะกละ ด้วยจะเอร็ดอร่อย อย่างนั้น อย่างนี้ พอเอร็ดอร่อยขึ้นมา มันก็เหมือนกับบ้า กินอย่างตะกละ พอไม่เอร็ด ไม่อร่อย ไม่อร่อยขึ้นมา มันก็โมโห เป็นยักษ์เป็นมารขึ้นมา แท้มันก็ไม่ปรกติ ทั้งอร่อยและทั้งไม่อร่อย ก็เลยไม่ปรกติ ไม่ได้มีสติสัมปชัญญะ กินอาหารอย่างอาหารเพื่อยังอัตภาพนี้ให้เป็นไป มันก็ต้องเป็นเรื่องเอ้อ, วุ่นวาย กระวนกระวาย ขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดเวลาที่กินอาหาร ไม่ได้รับความสุข อย่างแท้จริง นี้ถ้าว่ามีสติสัมปชัญญะ อ้า, กินอาหาร เอ่อ, ก็ลองคิดดู ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ ที่สำคัญอย่างหนึ่งเหมือนกับทำสมาธิทั่วไปหละ มีสติสัมปชัญญะในการกินอาหารให้ถูกต้อง อย่างระเบียบของพระเราน่ะ มันดีอยู่แล้ว ถ้าคุณสังเกต คุณจะเห็นว่ามันดีอยู่แล้ว พระจะกินอาหาร จะฉันอาหาร ต้องปัจจเวก นั่นนะคือรวบรวมสติสัมปชัญญะมา เพื่อจะฉันอาหารในลักษณะที่ถูกต้อง ที่ถูกต้อง ปัจจเวกเรื่องอาหาร เอ้อ, ไม่ต้องยึดถือ อ้า,เป็นตัวตน ฉันเพียงเพื่อตั้งอยู่แห่งอัตภาพ อา, ไม่ต้องมีความทุกข์ใด ๆ แล้วก็ไม่ใช่เพื่อเล่น ไม่ใช่เพื่อมัวเมา ไม่ใช่เพื่ออะไร อย่างที่สวด สวดกันอยู่แล้ว นี่เรียกว่ามีสติสัมปชัญญะ มีการทำสมาธิ ตลอดเวลาที่กินอาหาร มันก็รู้สึกว่าถูกต้อง ถูกต้องที่สุด ถูกต้องที่สุดที่มนุษย์จะทำได้แล้ว มันก็เลยพอใจ พอใจ ก็เลยเป็นสุข แท้จริง ตลอดเวลาที่กินอาหาร นี่หมายความว่า มันฉันอาหารด้วยสติสัมปชัญญะ แม้มันจะไม่อร่อย เอ้อ, มันก็ยังพอใจแหละว่าเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นอย่างนี้เอง อาหารมันก็เป็นอย่างนี้เอง อย่างนี้มันไม่อร่อย หรือมันมีรสอย่างนี้ก็ไม่ ไม่กระวนกระวายใจ ถ้าเป็นอาหารที่อร่อย อร่อยก็ว่าอย่างนี้เอง อย่าไปบ้ากับมันเลย อย่าไปหลงใหลในเรื่องอร่อยเลย มันก็ปรกติเหมือนกัน ไม่ว่าอาหารจะอร่อย หรืออาหารจะไม่อร่อย จิตใจยังคงปกติเสมอกัน อ้า, เพราะว่ามันมีสติสัมปชัญญะอย่างไรล่ะ มีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า ถูกต้อง ถูกต้อง พอใจ พอใจ แล้วก็เป็นสุขตลอดเวลา ที่รับประทานอาหาร ฉะนั้น อย่าดูถูกว่าเวลารับประทานอาหาร นั้นนะ ทำเสร็จๆ ลวกๆ บ๊งๆ เบ๊งๆ ให้พอแล้วๆ ไป มันเป็นเรื่องของคนโง่ แต่ถ้าเป็นเรื่องของบรรพชิต อ้า, ที่มีการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ก็ทำอย่างดี อย่างที่ว่ามาแล้ว ทำเหมือนกับเป็นเวลาปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาอะไรอย่างหนึ่งเลย นั่งเรียบร้อย ฉันอ้า, บริโภคเรียบร้อย มีจิตใจเรียบร้อย มีความรู้ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา เป็นการศึกษาด้วย เป็นการได้รับความสุขและความพอใจด้วย ตลอดเวลาที่กินอาหาร ทีนี้กลัวจะไม่เป็นอย่างนั้น นั้น ตลอดเวลาที่กินอาหารไม่ได้เคยรับความพอใจ เย็นฉ่ำในจิตใจเลย พออร่อยมันก็ฟุ้งซ่านไปอย่าง พอไม่อร่อยมันก็ฟุ้งซ่านไปอย่าง แล้วมันไม่ได้กินด้วยสติสัมปชัญญะแล้ว มันก็ต้องกินด้วยกิเลสตัณหา มันก็หิวเรื่อยน่ะ มันก็หิวเรื่อย ลองสังเกตดูสิ เขากินอาหาร เขา เขาไม่ได้มีสติสัมปชัญญะ ไม่ได้ทำอย่างเรียบร้อย บางทีตะโกนด่าใครอยู่ก็มี ทะเลาะกับหมา กับแมวก็มี มันก็มี มีการปราศจากสติสัมปชัญญะ ตลอดเวลาที่กินอาหาร ถ้ามันมีเรื่องขัดใจใครมา มันอัดอั้นโกรธแค้นอยู่ มันก็จะกินอาหารไม่ลง มันก็ฝืนกินเข้าไป การกินอาหารของมัน ก็คือการตกนรกชนิดหนึ่งนั่นเอง แล้วมันจะมีความสุขอย่างไรได้ นี่ขอให้พยายามให้เข้ารูปเข้ารอยว่า อา, ถ้าจะต้องทำหน้าที่อะไรแล้ว ขอให้รู้สึกด้วยสติสัมปชัญญะว่า เป็นการปฏิบัติธรรมะ เดียวนี้ เราจะปฏิบัติธรรมะด้วยการกินอาหารแล้วน่ะ มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมะจริง เออ, ตลอดเวลาที่กินอาหาร สำรวมจิตใจอยู่แต่ในเรื่องการกิน ให้ถูกต้องตามหลักธรรมะ ซึ่งเรียกว่ามีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา มีปัจจเวกอะไรอยู่ ตลอดเวลา ก็มีความสุข อา, ตลอดเวลาที่กินอาหาร เอ้า, ทีนี้จะทำอะไรต่อไป ถ้าเป็นชาวบ้าน มันก็ต้องล้างถ้วย ล้างจาน ล้างหม้อ ล้างไห ล้างอะไรต่าง ๆ เป็นพระ ก็ต้องล้างบาตร ล้างจานอะไรก็ตามใจ มันก็ถือว่า การทำหน้าที่ที่ถูกต้องเป็นการปฏิบัติธรรมะ แม้เมื่อล้างจาน แม้เมื่อล้างหม้อ ล้างไห ล้างกะทะ ล้างอะไรก็ตามใจ กระทั่งว่ามันจะ เก็บ กวาด ทำความสะอาด อา, เกี่ยวกับเรื่องครัว เรื่องกินอาหาร นี่มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมะตลอดเวลา ที่มันล้าง ที่มันเก็บ ที่มันกวาด ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องอยู่ในใจ พอใจ พอใจ เป็นสุข อยู่ตลอดเวลาที่ล้างภาชนะ และเก็บกวาด แต่ไอ้พวกคนโง่มันทำไม่ได้ มันทำไม่ได้ เพราะมันไม่อยากจะทำ เอ่อ, ยิ่งเป็นคนรับจ้างทำด้วยแล้ว มันก็ยิ่งเป็นทุกข์ ยิ่งไม่อยากจะทำ มันก็เลยยิ่งไม่ได้ ยิ่งมีไม่ได้ เราจงรู้ว่าไอ้การเก็บ ล้าง ปัดกวาด ถูบ้าน ถูเรือน กวาดหยากไย่ อะไรก็ตามใจแหละ มันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อความอยู่รอด ก็เรียกว่า ธรรมะ อย่างหนึ่ง อย่างหนึ่ง มีสติสัมปชัญญะทำ แม้แต่จะล้างจานน่ะ แม้จะถูพื้นน่ะ แม้แต่จะทำอะไรทำนองนี้ ก็เรียก มีสติสัมปชัญญะทำ ด้วยจิตใจรู้สึกว่าถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้วที่ทำนี้ พอใจ พอใจแล้วก็เป็นสุข มันก็เลยหาความสุขอย่างแท้จริงได้เมื่อล้างจาน เมื่อกวาดบ้าน เมื่อถูเรือน หรือว่าชำระสิ่งสกปรกอะไรต่าง ๆ ก็ได้ มันก็เลยมีความสุขตลอดเวลา ถ้ามันจะมีเรื่องอะไรอีกที่เกี่ยวกับบ้านเรือน ก็เหมือนกันแหละ ทุกอย่างแหละ เสร็จแล้วมันจะไปทำงาน ในที่ทำงาน จะไปไถนา หรือจะไปทำงานที่ออฟฟิศ จะไปค้าขาย จะไป แล้วแต่จะไปเป็น ทำเป็นกรรมกรอะไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ทำอยู่นั้น มีสติสัมปชัญญะทำ เพราะหน้าที่การงานเหล่านี้ เอ้อ, เป็นการปฏิบัติธรรมะ เพื่อความอยู่รอด เป็นชาวนาขุดดินอยู่ ทำนาไถนาอยู่ ในจิตใจมีสติสัมปชัญญะว่าการกระทำนี้ถูกต้องแล้ว อ้า, เพื่อความรอด เพื่อความ เอ่อ, มีชีวิตรอด เป็นการปฏิบัติธรรมะเพื่อมีชีวิตรอด ธรรมะ คือสิ่งที่ช่วยให้รอด เดี๋ยวนี้เป็นด้านไป ร่างกาย แล้วก็ ทำ(นาทีที่ 0:37:00) ก็เลยยิ้มกริ่ม ทำ ไถนาอยู่กลางแดด เหงื่อท่วมตัว มันก็ยิ้มกริ่ม มันก็ยังมีความสุขได้ ชาวนาบางคน เขามีความรู้ เอ่อ, มีความรู้สึกกว้างไกลไปกว่านั้น ว่าไม่ได้ทำนาเพียงเพื่อกินเอง ผมยังได้ยินกับหู ว่าชาวนาบางคน เมื่อเดินเฉียดเข้าไปใกล้นี้ว่า เอ, เขาพูดว่า ทำนาเอาข้าวใส่บาตรสักช้อน สิเจ้าเอ๊ย ผมเป็นพระใหม่ๆ พระเด็กๆ เดินเฉียดเข้าไปเขาก็ร้องบอกว่า เอ้อ, ทำนาเพื่อเอาข้าวใส่บาตร แล้วก็พอใจอย่างยิ่ง อ่า, เป็นสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส อา, ทำนาอยู่ นี้มันก็อยู่ในพวกที่เรียกว่า รู้จักหน้าที่ ได้ทำหน้าที่ และพอใจในทำ ในการทำหน้าที่ และก็เป็นสุขในการทำนา แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยมีแล้ว ไอ้คนที่จะเป็นอย่างนั้น ให้เห็น เกือบจะเรียกได้ว่าไม่มีแล้ว แต่เมื่อก่อนนู้น เมื่อผมยังหนุ่ม ๆ ยังแรกบวชน่ะ เคยได้ยิน ยังเคยได้ยิน เดี๋ยวนี้มันจะทำนาเอาเงินไปซื้อเหล้ากิน เอาไปเล่นหัวอย่างอื่น อย่างนั้น อย่างนี้ มันก็กระฟัดกระเฟียด เพราะมันต้องฝืนใจทำ มันไม่ได้ทำด้วยความสมัครใจว่า นี่เป็นธรรมะ หรือหน้าที่ มันก็ตกนรกทั้งเป็น ตลอดเวลาที่ทำนา เหงื่อยิ่งออก ยิ่งโมโห เหงื่อยิ่งออก ยิ่งดุร้าย เกลียดชีวิต เกลียดชะตา ราศีอะไรของมันขึ้นมา มันก็ตกนรกทั้งเป็น ทำนา แต่ถ้ามันเป็นสัตบุรุษ มีความรู้ถูกต้องมันก็พอใจ ทำลงไปทีหนึ่ง ก็พอใจ ขุดดินทีหนึ่งก็พอใจ ไถนาร่องหนึ่งก็พอใจ พอใจ พอใจ ถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้ว เป็นสุข เป็นสุข เลยเป็นสุขตลอดเวลาที่ ไถนา หรือว่าขุดดิน เอ่อ, หรือว่าทำอะไรตามเรื่องการไถนา ทำสวนก็เหมือนกัน เอ้า, ทีนี้ ก็จะพูดสำหรับค้าขายบ้าง ถ้ามีอาชีพค้าขาย ก็ไปทำการค้าขาย ไอ้การค้าขายนี่ มันเป็นสิ่งที่เสียชื่อเสียแล้ว อา, คือเขาจะคิดเป็นเรื่องว่า ต้องหากำไร และต้องโกง จนมีภาษิตของคนพวกนั้นว่า เป็นคนค้าขายแล้วต้องโกง ต้องคด ต้องคอยหาโอกาสที่จะเอาเปรียบให้จนได้ นั่นนะเป็น เป็นเรื่องคนค้าขาย คนค้าขายไปเป็นคนที่พร้อมที่จะโกง พร้อมที่จะหลอกลวง พร้อมที่จะเอาเปรียบ ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่การค้าขาย อุดมคติของการค้าขายในโลกนี้ ก็หมายความว่า เราจะให้ความสะดวกแก่เพื่อนมนุษย์ เพราะถ้าเราไม่เอามาขาย ไม่จัดให้พร้อม ให้เขา ไม่ได้รับความสะดวกสบาย ไม่ง่าย ไม่ง่าย ไม่ นี่เราก็ให้ความสะดวกแก่เขา แล้วก็ คิดค่าเหน็ดเหนื่อย ค่าป่วยการตามสมควร ไม่พร้อมที่จะขูดรีด ไม่พร้อมที่จะคดโกง หรือเอาเปรียบ มันเลยเป็นการทำดีช่วยเพื่อนมนุษย์ จะเป็นการได้บุญ ไปด้วยซ้ำ ให้ความสะดวกแก่เขาอย่างยิ่ง ก็ลองคิดดูสิ เดี๋ยวนี้ถ้าว่ามันไม่มีร้านค้าขาย เราก็จะลำบากเท่าไหร่ ทุกอย่างไม่ว่าอะไร ไปหาซื้อได้ทันที ทันใจ ในการที่เขาอุตส่าห์รวบรวมเอาไว้ครบถ้วน ควรจะขอบใจเขาบ้าง แล้วเขาต้องเลี้ยงชีวิต อา, เพราะฉะนั้นก็ต้องให้เขามีส่วนได้รับกำไรบ้างตามสมควร แก่การค้าขาย และถ้ามีหลักอย่างนี้ คนค้าขายก็เป็นคนทำบุญชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกันน่ะ คือทำให้โลกนี้สะดวก สบาย ราบรื่น น่าอยู่ ถ้าไม่มีการค้าขายมันลำบากเท่าไร ก็ไปคิดเอาเอง ไปทำการค้าขาย ก็เหมือนกับไปปฏิบัติธรรมะอย่างหนึ่ง ทำหน้าที่อย่างหนึ่ง เพื่อให้เกิดไอ้ความผาสุก เป็นสุข สะดวกราบรื่น เรียบร้อย แก่หมู่ แก่คณะ แก่สังคม เอ่อ, แล้วก็เอาประโยชน์ตามสมควร ไม่ขูดรีด ก็เลยเป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่ ที่เป็นธรรมะคือช่วยให้รอด ช่วยตัวเองให้รอด ช่วยผู้อื่นให้ได้รับความสะดวก ก็รู้สึกว่า โอ้, มันถูกต้องแล้ว มันถูกต้องแล้ว เราก็พอใจ เราก็เป็นสุขตลอดเวลาที่ทำงาน อา, แต่คนโง่มันก็ทำไม่ได้อีกแหละ เพราะมันคอยจ้องจะขูดรีด มันคอยจ้องจะหลอกลวง มันคอยจ้องจะเอากำไร เกินกำไร เกินกำไรที่ถูกต้อง นีhมันก็หม่นหมองใจ ไม่ได้กำไรเต็มที่ ตามที่ตัวต้องการก็หม่นหมองใจ ดังนั้นจิตใจมันก็ขุ่นอยู่แก่การที่จะเอาเปรียบ จะหลอกลวง ก็เลยไม่ ไม่ ไม่ ไม่มี ไม่มีความสุข ไม่ ไม่ ไม่ ไม่เป็นธรรมะ ถ้าว่าทำให้เป็นหน้าที่ ที่ถูกต้อง สำหรับเพื่อนมนุษย์อยู่ด้วยกันอย่างผาสุก มันก็พอใจ เป็นสิ่งที่ควรพอใจ พอใจว่าถูกต้องแล้ว มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เป็นการปฏิบัติธรรมะแล้ว ก็เลยมีความสุขอยู่ตลอดเวลาที่ค้าขาย นี่ผมพูดอย่างนี้ ก็พูดเผื่อไป ถ้าว่า ถ้าคุณจะสึกหาลาเพศไปเป็นชาวนาค้าขายอะไรบ้างก็ เอ่อ, มันจะได้มีหลักมีเกณฑ์ ที่จะปฏิบัติให้มันถูกต้อง ถ้าไปทำราชการ นี่ ก็ยิ่ง ยิ่ง ยิ่งพิเศษใหญ่ ทำข้า อ้า, ทำราชการนี่ก็ ก็ โดยมุ่ง มุ่งหมายจะให้เกิดความสะดวก ผาสุกเรียบร้อยขึ้นในบ้านในเมือง เป็นข้าราชการนั้น มันมีเกียรติ เอ่อ, ข้าราชการแปลว่า ผู้ทำงานของพระราชา ราช การะ ทำงานของพระราชา พระราชานั้นแหละคือผู้ที่ได้รับการสมมติขึ้นมาให้ควบคุมหมู่คณะให้เรียบรอย เรียบร้อย จนประชาชนทั้งหลายรู้สึกพอใจ พอใจ คำว่า ราชา ราชา คำนี้แปลว่า พอใจ พอใจ เล่าเรื่องโบราณ ดึกดำบรรพ์สักหน่อยว่า เมื่อก่อนมนุษย์ คนป่าเหล่านั้น อยู่กันอย่างไม่มีผู้ปกครอง ยิ่ง ยิ่งเจริญเข้า เจริญเข้า มันก็ยิ่ง เอาเปรียบ รบกวน ฉ้อฉล ขโมยเบียดเบียนกัน เดือดร้อน แล้วมนุษย์เหล่านั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่า ควรจะมีผู้ปกครอง ผู้ทำหน้าที่รักษาความสงบ เขาก็เลยเลือกเฟ้นไอ้คนที่ร่างกายดี เฉลียวฉลาด แข็งแรง มาเป็นทำหน้าที่อันนี้ คือ คอยลงโทษ คนทำผิดทำชั่ว คอยให้รางวัลคนที่ทำถูกทำดี ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้อง ทีนี้คนที่ได้รับสมมตินี้ก็ทำหน้าที่ตามนั้นแหละ ไม่เท่าไหร่มันเกิดการเปลี่ยนแปลง มีความผาสุกขึ้นในหมู่สังคมนั้น คนทั้งหลายก็ร้องว่าพอใจ พอใจ พอใจ เป็นภาษาบาลี ก็ ราชา ราชา ระชะ เกิดพอใจยินดี นี่คำว่า ราชา ราชานี่ อา,แปลว่า ผู้ที่ทำให้ผู้อื่นร้องออกมาว่า พอใจ พอใจ พอใจ ถ้าเป็นข้าราชการก็ทำหน้าที่อย่างเดียวกันแหละ ถ้าข้าราชการคนไหนไม่ได้ทำหน้าที่ให้ประชาชนรู้สึกพอใจ พอใจ แล้วมันไม่ใช่ข้าราชการที่บริสุทธิ์ ถูกต้อง แล้วมันต้องเป็นข้าราชการคดโกง ถ้าเป็นข้าราชการที่ถูกต้อง ทำงานอย่างพระราชา อ้าว, ตามความต้องการของพระราชา ร่วมมือกับพระราชา ก็ทำสำเร็จจนประชาชนร้องออกมาว่า พอใจ พอใจ พอใจ ดังนั้น การทำหน้าที่ข้าราชการก็คือ การทำกุศลชนิดหนึ่งให้เกิดความผาสุก ร่มเย็น สะดวกสบายขึ้นมาในหมู่สังคม ก็เลยเป็นจัด จัดเป็นหน้าที่เพื่อความรอด หน้าที่เพื่อความรอด การปกครอง คุ้มครอง ป้องกัน พิทักษ์รักษา สนับสนุน ช่วยเหลือ ให้เกิดความถูกต้องขึ้นในบ้านในเมืองนี่ ก็เป็นหน้าที่ เอ้อ, ที่เป็นธรมะ ทำให้เกิดความรอด ข้าราชการใด รู้สึกอย่างนี้ มีสติสัมปชัญญะ เอ่อ, ทำหน้าที่อย่างนี้ ไม่เท่าไรประชาชนก็จะรู้สึกพอใจ พอใจ ร้องอยู่ข้างในใจ ว่า พอใจ พอใจ ตรงตามความหมาย ของคำว่า ข้าราชการ ข้าราชการ ดังนั้น เมื่อไปทำราชการ ทำข้าราชการที่ออฟฟิศ ทำงาน ก็ทำด้วยสติสัมปชัญญะ มุ่งหมายอย่างนี้ มันก็พอใจ มันถูกต้องแล้ว เราปฏิบัติหน้าที่ของเราถูกต้องแล้ว พอใจ พอใจ แล้วเป็นสุข ก็เป็นสุขตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ข้าราชการ ไม่มีการทุจริต คดโกงฉ้อราษฎร์ บังหลวง ไม่มีอะไรทำนองนั้นหมด เป็นราชการบริสุทธิ์ ชนิดที่ยกมือไหว้ตัวเองได้น่ะ มีแต่ความบริสุทธิ์ จนยกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วเขาก็จะเป็นผู้มีความสุขตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ ราชการ หรือข้าราชการ แต่คนโง่มันทำไม่ได้ เพราะมันละโมบ โลภลาภ มันจะขูดรีด มันจะเอาเปรียบ มันก็ทำไม่ได้ มันก็คอยหาโอกาสคดโกง ฉ้อฉล ตกนรกไปพลาง ทำงานไปพลาง อยู่นั่นเอง แต่คงจะไม่ใช่ทุกคนหรอก คงจะมีคนดีที่ทำหน้าที่ถูกต้อง มีความสุข พอใจตัวเองอยู่ได้ตลอดเวลา ก็เรียกว่า ถูกต้องแล้ว มีความสุขตลอดเวลาก็ถูกต้องแล้ว นี่เรียกว่า ปฏิบัติธรรมะในหน้าที่เป็นข้าราชการ อ้าว, ที่นี้ถ้าเป็นกรรมกร เป็นกรรมกร กรรมกรนี่ มันหมายความว่า เหนื่อย เหนื่อย มันก็รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ เพราะว่า อ้า, ธรรมชาติ มัน มันสร้างมา เรา อา,สร้างเรามาสำหรับเป็นอย่างนี้ เราเลือกเกิดไม่ได้ เดี๋ยวนี้ เอ้อ, สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มันบังคับให้เรา ต้องทำหน้าที่อันนี้ เพื่อความอยู่รอดของเรา หน้าที่อันนี้ เพื่อความอยู่รอดของเรา เขาก็มีสติสัมปชัญญะ ทำหน้าที่กรรมกรของเขา ตามกรณีนั้น ๆ อย่างดีที่สุด อย่างดีที่สุด แล้วเขาก็พอใจ ว่าเขาทำถูกต้องแล้ว แล้วเขาก็มีความสุข ความพอใจตลอดเวลา ที่เหงื่อไหลไคลย้อย นี่ธรรมะช่วยได้อย่างนี้ มีความสุขอยู่ตลอดเวลาที่เหงื่อไหลไคลย้อย เมื่อเขาทำหน้าที่อยู่อย่างถูกต้องอย่างนี้ ไม่เท่าไหร่ เขาก็ค่อย ๆ มั่งมีขึ้น เขาจนพ้นจากหน้าที่กรรมกรได้ ก็เรียกว่า พ้นไป ก็เรียกว่า ถูกต้องแล้ว และพอใจ คราวหนึ่ง ผมเอ้อ, แรกๆ บวชในกรุงเทพฯ สมัยนั้น ต้องนั่งเรือจ้าง เอ้อ, จากบางกอกน้อยมาที่วัดปทุมคงคานะ ถ้าว่าแจวทวนน้ำ ตั้งชั่วโมง สองชั่วโมง เราก็นั่งเรือจ้างลำหนึ่งมา เขา แจวเรือพลาง ร้องเพลงพลาง ขาข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนเรือ ไอ้,ไอ้เท้าข้างหนึ่งแกว่งอยู่ในอากาศ ร้องเพลงพลาง แจวเรือพลาง ชั่วโมง หรือเกือบสองชั่งโมง เขาได้เงินกี่บาทก็ไม่รู้ ลืมไปแล้ว นี่มันยังมีความสุขได้เมื่อกำลังแจวเรือตั้งชั่วโมง หรือกว่า กว่าชั่วโมง นี่เป็นกรรมกรเอ้อ, ที่ ที่ถูกต้อง มีความสุขตลอดเวลาที่ทำงาน ถ้าเขาปฏิบัติอย่างถูกต้อง มาตั้งแต่บ้านแต่ช่องแล้ว มีความสุขมาตลอดเวลาแล้ว พอมาแจวเรือจ้างทำให้เป็นสุขได้ตลอดเวลาอีก มันก็ไม่มีความทุกข์เลย มันก็เป็นผู้ที่มีธรรมะอย่างยิ่ง แต่เดี๋ยวนี้ส่วนมากมันไม่เป็นอย่างนั้น ไอ้พวก เอ้อ, พวกกิเลสหนามันทำไม่ได้ พอเหนื่อยขึ้นมา พอเหนื่อยขึ้นมา มันก็บ่น มันก็ด่า ด่าใครก็ไม่รู้ เออ, มันก็ด่าผีสางเทวดา โชคชะตาราศี มันก็ด่าไปพลาง ทำงานไปพลาง ไอ้กรรมกรพวกนี้ส่วนมากมี มีส่วนมากก็ตกนรกทั้งเป็น ผมสังเกตเห็นไอ้พวกขับรถแท็กซี่รับจ้างน่ะ มันเป็นกรรมกรแท็กซี่ ขับรถแท็กซี่ มันไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเหมือนกับแจวเรือจ้าง แต่มันก็ยังเป็นทุกข์กลัดกลุ้ม หน้าบูดหน้าเบี้ยว ด่าอะไรไปพลางก็ไม่รู้ จนเราก็รำคาญ แล้วมันยังฉุนเฉียวด่าเพื่อนรถด้วยกัน เวลาสวนกัน อะไรกัน มันตกนรกทั้งเป็นตลอดเวลา ถ้ามันจะคิดว่าถูกต้องแล้ว เรายังอยู่ในสภาพอย่างนี้ ก็ต้องทำงานอย่างนี้ แล้วก็ ก็โชคดีที่ได้เป็นกรรมกรขับแท็กซี่ ไม่ใช่แจวเรือจ้าง ซึ่งมันเหนื่อยมาก มันก็ควรจะดีใจ ว่าขับแท็กซี่อย่างดีให้เกิดความสุขความพอใจกันทุกฝ่าย ไม่เท่าไรก็จะร่ำรวยขึ้นบ้าง ก็พ้นจากกรรมกร นี่ไปทำกรรมกร มีสติสัมปชัญญะทำ ถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้ว พอใจ พอใจ มีความสุข ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่กรรมกร ไม่ว่าจะกรรมกรไหน กรรมกรแบกข้าวสารก็ได้ แจวเรือจ้างก็ได้ ถีบสามล้อก็ได้ แม้แต่ว่า จะล้าง อ้า, กวาดถนน ล้างท่อถนนอะไรก็ตามเถิด ถ้าในจิตมันมีสัมปชัญญะ ว่าหน้าที่คือธรรมะแล้ว มันจะไม่มีความทุกข์เลย มันก็จะทำไปได้ดี ก็จะมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จะพ้นจาก อ้า, ความเป็นกรรมกรชนิดนั้นได้ในเวลาไม่นานนัก แต่เขาจะมีความสุขตลอดเวลา มีความสุขตลอดเวลา ถ้าเขามีธรรมะอย่างนี้ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ ทำแล้วก็พอใจ พอใจก็เป็นสุข ก็เลยเป็นสุขตลอดเวลาที่อาบเหงื่ออยู่ ก็อยากจะพูดต่อไปถึงในที่สุด ว่าเป็นคนขอทาน อ้าว, ต้องออกไปเป็นคนขอทาน เขาทำอย่างดีที่สุด ยอมรับสภาพที่ต้องเป็นคนขอทาน เขาทำอย่างดีที่สุด ให้น่าเอ็นดู ให้เขากรุณา เมตตา ให้เขาให้ ให้เขาพอใจ เอ่อ, สะสมไว้ ไม่เท่าไหร่มันก็พ้น พ้นจากภาวะที่ต้องขอทาน แต่มันก็เป็นขอทานที่เป็นสุขตลอดเวลา วัน ทั้งวันทั้งคืนก็ได้ ถ้ามันคิดเป็น มันมีความรู้อย่างนี้ มันมีสติสัมปชัญญะ อย่างนี้ ไอ้, ไอ้, ไอ้, ไอ้อาชีพขอทานก็เลยมีความสุข เรื่องนี้ก็แปลกนะว่า ไอ้ขอทานน่ะ มันไม่มีภาระหนักอกหนักใจ ค่ำลงก็นอนหลับสนิท ไม่เหมือนเศรษฐีมีภาระหนักอกหนักใจมาก เหมือนกับมีเงินมาก เท่าที่มีเงินมาก ขอทานยังได้เปรียบ ไอ้นิทานที่เขาเล่ากันมาซึ่งมันต้องมีความจริงน่ะ มันก็สมเหตุสมผล ผมก็ได้ฟังที่แรกแล้วก็ติดใจที่ว่า ไอ้ขอทาน อา, คนหนึ่ง มันไปขอทานกลับมาอาศัยชายบ้าน ริมบ้าน รั้วบ้านเศรษฐีอยู่น่ะ มันก็กินข้าว กินปลาเสร็จแล้วมันก็สีซอ ทุกวัน ขอทานนั้นพอใจ แล้วก็สีซอได้ทุกวันก่อนแต่จะนอน มาวันหนึ่ง มันสีซอไม่ได้ กระสับกระสาย เงียบ เศรษฐีเอ้อ, ก็มาถามว่า วันนี้ทำไมไม่สีซอ ขอทานคนนั้นบอกว่า ได้เงินมาร้อยบาทไม่รู้จะเก็บที่ไหน วันนี้ได้เงินมามากเป็นพิเศษ จนไม่รู้จะเก็บที่ไหน เป็นห่วงว่ามันจะหาย หรือมันจะถูกขโมย เลยสีซอไม่ได้ คิดดูว่า เป็นขอทาน มันมีโอกาสที่จะ มีความสุขที่สุด กว่าเศรษฐีก็ได้ แต่ถ้ามันไปทำตัว เหมือนเศรษฐีขึ้นมา ไม่รู้จะเก็บเงินที่ไหน มันก็เลย เอ่อ, สีซอไม่ได้ เรื่องของคนขอทานนั้นเราก็จะต้องยอมให้ว่า มันต้องเป็นไปตามสภาพ มันพิการ หรือมัน มันเข้าที่คับขัน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม มันก็ต้องขอทาน แล้วมันก็รู้ว่าเป็นหน้าที่ ที่ถูกต้องแล้ว ช่วยตัวให้รอดแล้วก็พอใจ เป็นขอทานชั้นดี อย่างดีจนกว่าจะต้อง จนกว่าจะได้พ้นจากสภาพขอทาน ทำหน้าที่การงาน แม้แต่กระทั่งเป็นขอทาน ก็มีความสุขได้นะ เพราะมันอย่า อย่ากลัวว่าจะไม่มีงานทำสิ ไอ้งาน หน้าที่ ทุกชนิดเป็นธรรมะทั้งนั้น ได้ทำหน้าที่เป็นขอทานก็ยังพอใจ ทำหน้าที่กวาดถนน ล้างท่อสกปรกก็พอใจ อะไรก็เป็นหน้าที่ และก็เป็นธรรมะทั้งนั้น ก็เลยไม่ว่างงาน ไม่ว่างงาน ไม่ต้องว่างงาน เอาละ เป็นอันว่าเราสรุปความ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ หน้าที่นั้นเพื่อความรอด ธรรมะก็เพื่อความรอด หน้าที่ก็เพื่อความรอด ธรรมะกับ หน้าที่จึงเป็นสิ่งเดียวกัน ขอให้ทำหน้าที่ด้วยสติสัมปชัญญะ ก็เป็นธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ มีธรรมะคือหน้าที่ หมดทั้งหมดนี้ มันเป็นหน้าที่รอดชีวิตทางฝ่ายกาย ที่นี้ยังเหลือหน้าที่ ที่สูงขึ้นไป คือรอดทางฝ่ายจิตใจ ก็ศึกษาปฏิบัติ สมาธิภาวนา อะไรเรื่อยไปจน อา, กว่าจะเอาชนะกิเลส และความทุกข์ได้ นี้มันเป็นเรื่องยาวอีกเรื่องหนึ่ง แต่รวมความแล้วก็เป็นหน้าที่นั่นเอง ที่จะต้องทำเพื่อความรอดในระดับนั้น เป็นเรื่องยาว พูดไม่ได้ ฝนมันก็จะตกแล้ว ก็ขอยุติเอาไว้เพียงว่า แม้หน้าที่เพื่อร่างกายรอดนี้ก็เป็นธรรมะ อา, ขอให้รู้สึกพอใจ มีสติสัมปชัญญะทำ แล้วก็เป็นสุขตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ เลยเป็นสุขได้ทุกอิริยาบถ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ทั้งหลับ ทั้งตื่น ธรรมะคือหน้าที่ ก็จบลง ฝนมันไล่แล้ว ยุติสิ ยุติเถิด รีบเก็บของ รีบไป