แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ธรรมเทศนาในครั้งที่ ๒ นี้จำเป็นจะต้องขอโอกาสแสดงด้วยการบรรยายอย่างธรรมกถาเพราะไม่มีคัมภีร์ เนื่องจากเป็นวันวิสาขบูชา เรื่องที่จะนำมาแสดงกันในวันนี้จะล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในแง่มุมต่าง ๆ ตามที่ควรจะนำมาบรรยายกันอย่างไร ในที่นี้ก็จะได้บรรยายถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าในแง่ต่าง ๆ กัน พอเป็นเครื่องนึกระลึกถึงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ พระพุทธเจ้าก็เป็นองค์หนึ่งของพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าก็เป็นองค์หนึ่งของพระรัตนตรัยทั้งสาม
ข้อแรกที่อยากจะกล่าวให้ระลึกนึกคิดกันนั้นก็คือว่า มันมีความแตกต่างกันมากเหลือเกินในระหว่างพระรัตนตรัยของคนจำพวกหนึ่งและของคนอีกจำพวกหนึ่ง และมันก็จะได้แก่พวกเราทั้งหลาย แม้ที่นั่งกันอยู่ที่นี่ในที่ประชุมนี้ว่าเรามีพระรัตนตรัยต่างกันอย่างไร หรือว่ามีชนิดไหนก็แล้วกัน พระรัตนตรัยต่างกันเป็น ๒ ชนิด ชนิดหนึ่งเป็นของผู้ที่เห็นธรรมะจนรู้รสของธรรมะในการดับทุกข์ได้ เขาก็ประกาศออกมาเองโดยไม่มีใครแนะนำชักจูงว่าขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึกจนตลอดชีวิต นี่พระรัตนตรัยในใจของบุคคลผู้บรรลุธรรมะแล้ว แล้วก็กล่าวออกมาว่าถือเอาเป็นที่พึ่ง ทีนี้คนเป็นอันมากไม่เป็นอย่างนั้น แม้ในหมู่พวกเรานี่ไม่เป็นอย่างนั้น เราก็จับคนมาให้ถือพระรัตนตรัย แล้วก็บอกบทชักนำไปว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นต้น ทั้งที่คน ๆ นั้นมันไม่รู้เรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันเลย หรือจะมองให้ต่ำลงไปกว่านั้นก็พวกเด็ก ๆ ที่จับตัวมาทำพุทธมามกะ สอนให้ว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ หรือว่าประกาศตนเป็นพุทธมามกะ เด็กเหล่านั้นไม่มีความรู้รสของพระธรรมที่ดับกิเลสและดับทุกข์ได้ ในใจไม่รู้ ไม่รู้สึกต่อสิ่งนี้ แต่เมื่อเขาสอนให้ว่ามันก็ว่า ๆ ไปจนจบจนครบพิธี นี่ก็ไม่ต่างอะไรกันนักกับคนที่เป็นผู้ใหญ่ใหญ่โต ู้ใหญ่ ำระลักประกันากเหลือเกิน ๆ แล้วก็ถูกชักนำมาให้ถือพระรัตนตรัย ให้ว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ในใจนั้นไม่รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยแท้จริง ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ของพระรัตนตรัยแต่ก็ว่าได้ และก็ว่าอย่างเดียวกันด้วยว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ เหมือนกัน นี่มันมีก็ลักษณะเดียวกันกับนกแก้ว นกขุนทองที่เขาสอนให้ร้องมันก็ร้องได้ แต่แล้วก็พิจารณาดูเถิดว่า พระรัตนตรัยของบุคคลชนิดนี้นั้นเป็นอย่างไร ลองนำไปเปรียบเทียบกันกับพระรัตนตรัยของผู้ที่ได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าในที่เฉพาะพระพักตร์ เข้าใจเห็นธรรม บรรลุธรรม เห็นความทุกข์ เห็นความดับทุกข์ ว่าธรรมนี้ดับทุกข์ได้จริง แล้วก็ดับแล้วด้วย เพราะการบรรลุธรรมนั้นเป็นการดับกิเลสและดับทุกข์ด้วย เพราะมีจิตใจในความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นความดับทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์เลย และเขาก็ร้องว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ อย่างเดียวกันอีก อย่างนี้ก็เป็นพระรัตนตรัยอีกชนิดหนึ่ง
ขอให้เปรียบเทียบกันดูให้ดี ๆ ว่ามันจะต่างกันสักเท่าไร มันจะต่างกันมากเหมือนฟ้าและดินหรือยิ่งกว่าฟ้าและดินก็เป็นได้ นี่พระรัตนตรัยจึงมีเป็น ๒ อย่าง คือ พระรัตนตรัยของผู้ที่เห็นธรรมะแล้ว คือรู้ความที่กิเลสดับไปแล้ว ความทุกข์ดับไปแล้ว ปรากฏอยู่แก่ใจก็ร้องออกมาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอดชีวิต นี่มันก็อย่างหนึ่ง ทีนี้พระรัตนตรัยของพวกเรามีแต่เขาสอนให้ว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ อย่างฝึกนกแก้วนกขุนทองให้มันร้อง มันก็ร้องได้ แต่ในจิตใจไม่รู้รสของความดับกิเลสและความดับทุกข์ ไม่มีแม้แต่มองเห็นโดยเหตุผลว่าจะดับกิเลสและดับทุกข์ได้อย่างไร นี่ก็เป็นพระรัตนตรัยอีกแบบหนึ่งโดยแน่นอน
หากพิจารณากันในขั้นแรกข้อแรกที่ว่า พระรัตนตรัยมีอยู่เป็น ๒ อย่างอย่างนี้ และควรจะพิจารณากันต่อไปถึงว่า เรากำลังมีพระรัตนตรัยอย่างไหน เรากำลังมีพระรัตนตรัยอย่างไหน เป็นพระรัตนตรัยของบุคคลผู้เห็นพระรัตนตรัย เห็นคุณของพระรัตนตรัย คือมีคุณของพระรัตนตรัยอยู่ในจิตใจ หรือว่ามีพระรัตนตรัยอย่างที่ปากว่าได้ จำได้ ท่องได้ นี้มันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นสิ่งที่อาจจะมองเห็นได้จริงทุก ๆ คน ถ้าหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาแล้วก็จะรู้ได้ รู้สึกได้ เห็นอย่างประจักษ์ได้ว่ามันต่างกันอย่างยิ่งอย่างนี้ นี่แหละ ขอให้พยายามแก้ปัญหาข้อนี้ คือปัญหาในข้อที่ว่าเรามีพระรัตนตรัยแบบพิธีรีตอง ก็ควรจะถือโอกาสมองเห็นเสียด้วยพร้อมกันไปในตัวว่า พิธีรีตองหรือพิธีกรรม ไม่เลยเถิดไปถึงพิธีรีตอง เป็นพิธีกรรมที่กระทำโดยความรู้สึกมีเหตุผลก็เรียกว่าพิธีเหมือนกัน สิ่งที่เรียกว่าพิธีหรือพิธีกรรม กระทั่งว่าเป็นพิธีรีตองของบุคคลผู้งมงายมันก็เป็นพิธีด้วยกันทั้งนั้นแหละ เมื่อประโยชน์ของพิธีนี่ก็มีอยู่ คือจะเป็นเครื่องดึงบุคคลจากความไม่รู้อะไรเข้ามาสู่ความรู้ที่ควรจะรู้ ความมุ่งหมายของพิธีก็มีอย่างนี้และประโยชน์ของมันก็มีอย่างนี้ คือจะเป็นเครื่องเชื่อมระหว่างความไม่รู้กับความรู้ จับคนไม่รู้มาฝึกโดยพิธีมากเข้า ๆ เขาก็ค่อยมีความรู้สึกเพิ่มขึ้น ๆ แล้วแต่ว่ามันจะมีการสั่งสอนอบรมกันอย่างไร แต่ในที่สุดมันก็เข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ ดังนั้น พิธีรีตองหรือพิธีเฉย ๆ หรือพิธีกรรมที่จะทำอย่างถูกต้องมันก็มีประโยชน์ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เอาเสียทีเดียว มันก็มีประโยชน์ ถ้าเป็นพิธีรีตองมันก็อยู่ไกลหน่อย เป็นพิธีธรรมดาก็ใกล้เข้ามา ถ้าเป็นพิธีกรรมที่จัดกระทำเป็นอย่างดีแล้วมันก็ใกล้เข้ามาอีก มันก็ใกล้ที่จะถึงตัวจริง
นี่ก็มีข้อที่เราจะต้องทดสอบหรือใคร่ครวญเอาเองว่าเราทำพิธีวิสาขบูชากันมาหลายปีเป็นปีแล้ว แต่ละปี ๆ มันขยับใกล้เข้ามาทุก ๆ ปี หรือหาไม่ ข้อนี้มันก็แต่ละคนก็ต้องรู้ของตนเอง คนอื่นยากที่จะไปรู้ของผู้อื่นได้ แต่ผู้นั้นก็จะต้องรู้ของตนเองว่าพิธีโดยเฉพาะพิธีวิสาขบูชาเป็นต้นนี้ มันให้เกิดประโยชน์ทำให้เราใกล้เข้ามา ๆ ๆ ต่อความรู้สึกสำนึกในพระคุณของพระพุทธเจ้า และก็รู้แจ่มแจ้ง ละกิเลสหรือความทุกข์ได้หรือหาไม่ ถ้ามันยังไม่ได้ มันก็เท่ากับว่าย่ำเท้า ๆ อยู่ในที่ตรงนั้นเอง ก็ควรจะแก้ไข ควรจะรู้สึกตัว รู้สึกละอายแก่ใจ รู้สึกกลัวว่ามันจะเกิดมาแล้วตายเปล่า ก็จะได้แก้ไขปรับปรุงให้ยิ่ง ๆ ขึ้น ให้มีความใกล้ชิดต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์พระองค์จริงให้มากขึ้น ก็จะพอจะหวังได้ว่าถูกต้องหรือมีประโยชน์อยู่ ขอให้นึกถึงข้อที่ว่า เราทำพิธีกันมานานนักหนาแล้วบางทีจะตั้งแต่เด็ก ๆ โน่นถูกทำให้กระทำพิธี ให้รับสรณคมน์ ให้รับศีล และพิธีอะไรบางสิ่งบางอย่าง แต่แล้วมันหยุดอยู่เพียงแค่เป็นพิธีเท่านั้นหรือหาไม่ หรือมันได้ค่อย ๆ เจริญก้าวหน้าขึ้นมาสมกับที่ว่าเรามีอายุเพิ่มขึ้น เติบโตเพิ่มขึ้น ๆ ทุกปี นี่แหละคือความไม่ประมาทที่จะต้องประพฤติจะต้องกระทำ จะต้องชำระสะสางให้ได้รับผลโดยสมควรกัน
ทีนี้ก็ย้อนกลับมาถึงเรื่องวิสาขบูชา ว่าวันนี้เป็นวันที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้าโดยตรง เป็นวันประสูติ เป็นวันตรัสรู้ เป็นวันปรินิพพานของพระองค์ เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน ความเป็นพระพุทธเจ้านั้นมีอยู่ ๒ ขั้นตอนคือว่า ท่านทำหน้าที่ส่วนของพระองค์เองเสร็จสิ้นแล้ว คือ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่หน้าที่ของพระพุทธเจ้านั้นยังไม่หมด คือจะต้องทำหน้าที่พระพุทธเจ้าโดยตรงโดยเจาะจงยิ่งขึ้นไปอีก คือการเทศนาสั่งสอนสัตว์ ที่เรียกว่าโปรดสัตว์ หรือขนสัตว์ให้ข้ามกองทุกข์ ให้ข้ามวัฏสงสารไปได้ นี้เป็นหน้าที่ เมื่อท่านตรัสรู้แล้วท่านก็ทำหน้าที่นี้จนสิ้นพระชนม์มายุของท่าน ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี เมื่อท่านทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๔๕ ปีก็มีเรื่องมากมาย ท่านได้ทำอะไรมากมายทีเดียว แต่ว่าดูเหมือนว่าเราจะรู้กันน้อยเกินไป เพราะเรามัวแต่พอใจเสียว่า เราทำพิธีก็พอแล้ว เราทำพิธีก็พอแล้ว ถึงวันพระหรือวันสำคัญก็มาทำพิธีรับศีล รับสรณคมน์ รับศีล หรือพิธีอื่น ๆ ก็ทำไป แล้วก็พอใจเสียว่าพอแล้ว นี่จะเป็นเหตุให้เราไม่รู้จักพระพุทธเจ้า
หรือว่าถ้ารู้จักพระพุทธเจ้าก็รู้จักตามความคิดความนึกความเห็นของตนเอง อย่างนี้ต้องเรียกว่า พระพุทธเจ้าตามทัศนะของบุคคลนั้น ๆ คือ เขาคิดเอาเอง นึกเอาเอง สมมติเอาเอง ก็แล้วแต่ มันเป็นพระพุทธเจ้าตามทัศนะของบุคคลนั้น ๆ นั่นน่ะมันเป็นผลของการที่ยังไม่เข้าถึงธรรมะ ถ้าเข้าถึงธรรมะแล้วก็ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้าชนิดตามทัศนะของตน แต่มีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงตามที่เป็นจริงอยู่เหนือความคิดความเห็นหรือทัศนะใด ๆ ไม่เกี่ยวกับทัศนะ ไม่เกี่ยวกับเหตุผลใด ๆ เพราะว่าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เดี๋ยวนี้เราควรจะปรับปรุงกันในข้อนี้ให้เห็นพระคุณของพระพุทธเจ้าให้มากขึ้น ให้รู้จักหน้าที่ของพระพุทธจ้าซึ่งพระองค์กระทำแก่หมู่สัตว์เป็นพวก ๆ ไปเป็นอย่าง ๆ ไปอย่างสูงสุด ไม่มีอะไรดีกว่า
ในวันนี้อาตมาตั้งใจว่าจะพูดกันถึงเรื่องนี้ คือว่ามองพระพุทธเจ้าถึงพระคุณของพระองค์ในส่วนที่เป็นกรุณาคุณ เมตตาแก่สรรพสัตว์ สั่งสอนสรรพสัตว์โดยรูปแบบที่ต่าง ๆ กัน เพื่อว่าจะมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นพื้นฐานและก็จะดำเนินการปฏิบัติไปตามแนวนั้นให้ได้รับประโยชน์สมตามที่ปรารถนา
เรื่องแรกหรือข้อแรกที่อยากจะนำมากล่าวนั้นก็คือ ข้อที่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงดังที่มีบาลีว่า มหาการุณิโก สัทธา สัพพโลก ติกิจฉโก (นาทีที่ 20:50) เป็นคำกล่าวของพระเถรีหรือพระเถระรูปหนึ่งว่า พระศาสดาของข้าพเจ้ามีกรุณาใหญ่เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง
ใจความสำคัญในเรื่องนี้ก็หมายความว่า สัตว์โลกทั้งปวงเป็นโรค คือมีความทุกข์ เรียกว่าเป็นโรคกิเลสและก็มีความทุกข์ทรมานเพราะโรคนั้น ๆ พระพุทธเจ้าทำหน้าที่เสมือนหนึ่งนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์เหล่านั้น เราเป็นคนมีโรคหรือไม่มีโรคมากน้อยเท่าไร ก็ควรจะได้พิจารณากันดู บางทีจะไม่รู้ ไม่รู้จนกระทั่งว่าเป็นโรคอะไร แล้วเข้าใจไปว่าไม่เป็นโรคอะไร ก็เลยไม่ได้สนใจที่จะเยียวยารักษาโรคเพราะไม่รู้สึกว่าเป็นโรคอะไร นี่คือปุถุชนอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยอวิชชาของปุถุชน จนกระทั่งไม่รู้ว่ามีความทุกข์อย่างไร แม้ว่าจะทนทุกข์ทรมานอยู่ก็ไม่รู้ว่าเป็นความทุกข์ เป็นความรู้สึกธรรมดาสามัญไป ไม่ได้คิดที่จะแก้ไขเยียวยาความทุกข์นั้นเลย นี้เป็นสิ่งที่ต้องคิดดู เรามีอาการของโรค แม้ในแต่ละวัน ๆ มันก็มี เช่น อาการของนิวรณ์ทั้ง ๕ รบกวน กามฉันทะ พยาบาท ถีนะมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา รบกวนแต่มันก็ไม่รู้สึกว่าเป็นโรคและก็ไม่กลัวด้วย เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งถึงคำว่า ชีวิตที่สงัดจากกิเลสและนิวรณ์นั้นน่ะมันเป็นอย่างไร และก็ไม่ได้ป้องปราม มันก็ใช้นิวรณ์แก้นิวรณ์ ใช้กิเลสแก้กิเลส กลบเกลื่อนกันไปตามประสาของคนที่ไม่รู้อะไร มันก็ไม่มีความรู้สึกหรือความตั้งใจที่จะรักษาโรคที่มีอาการออกมาเป็นกิเลส
และที่ไม่ถึงขั้นนั้นก็เป็นนิวรณ์ เพราะมีอนุสัยแห่งกิเลสอยู่ในสันดาน บางเวลาไม่ต้องมีเหตุปัจจัยอะไรจากภายนอก มันก็ปรุงขึ้นมาในภายในเป็นนิวรณ์ขึ้นมารบกวน สูญเสียความสงบสุขไปจนหมดสิ้น สูญเสียความสดชื่นแจ่มใส ความโปร่งใจ ความเย็นสบายไปจนหมดสิ้น ความรู้สึกที่เป็นนิวรณ์รบกวนในรูปแบบของความรู้สึกทางเพศทางกามารมณ์บ้าง ในรูปแบบของโทสะ ประทุษร้าย หงุดหงิด กระทบกระทั่งนั่นนี่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ก็มีการกระทบกระทั่งในจิตใจ บางทีก็เป็นโรคใจ หดหู่ แฟบ ฟุบ ไม่ร่าเริงแจ่มใส บางทีก็ฟุ้งซ่านเกินไป และโดยส่วนใหญ่ก็มีความไม่แน่ใจ ทนอยู่ด้วยความไม่แน่ใจ ว่าทุกอย่างถูกต้องแล้วเรียบร้อยแล้ว มันคอยแต่จะระแวงว่ามันจะมีอะไรเข้ามา หรือไม่เชื่อตัวเองว่าได้กระทำอย่างถูกต้องครบถ้วนแล้ว มันก็มีความระแวง ในเรื่องการเงินก็ระแวง ในเรื่องสุขภาพอนามัยก็ระแวง ในเรื่องความรู้ที่จะดับทุกข์ได้ก็ระแวง ก็เลยพาลระแวงไปถึงว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้จะมีประโยชน์หรือไม่ จะดับทุกข์ได้จริงหรือไม่ จะเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดอย่างที่เขาพูดกันหรือไม่ มันก็ระแวง ที่เรียกว่ามันหมดความเป็นสุข หมดความผาสุก เพราะว่าโรคนิวรณ์มันรบกวน
ทีนี้อนุสัยที่มีอยู่ในภายในนั้นถ้าได้เหตุปัจจัยภายนอก มีอารมณ์มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมันก็ฟุ้งกันเป็นกิเลสใหม่ เป็นอาสวะเกิดขึ้นมาใหม่ เป็นรูปกิเลสสมบูรณ์อย่างที่ได้เคยสะสมไว้ เป็นอนุสัย มันก็มีความเร่าร้อน เกิดความโลภ เกิดความโกรธ เกิดความหลงแล้วแต่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น แต่คนเขาก็ไม่ได้สนใจว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง ก็เอากิเลสกลบกิเลส เอากิเลสอย่างอื่นมากลบกิเลสอีกอย่างหนึ่ง มันก็ทนกระทำกันไปอย่างนี้จนกระทั่งตาย เลยไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากความเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เลยไม่ได้เป็นแพทย์เป็นหมออะไรให้แก่คนชนิดนี้ ทั้งที่พระพุทธเจ้าเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง ในโอกาสเช่นวิสาขบูชานี้ ก็ควรจะทำความเข้าใจกันในข้อนี้ มีความรู้สึกในข้อนี้ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วก็เห็นพระคุณของพระพุทธเจ้าในฐานะเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงยิ่ง ๆ ขึ้นไป มันก็จะเจริญด้วยศรัทธา ปสาทะ วิริยะ สติ สมาธิในพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้นไป นี่เป็นเรื่องหนึ่งแหละที่ว่าจะต้องพิจารณากันดู
ทีนี้มันก็ยังมีแง่มุมอื่น ๆ อีกมากมายแหละ และต้องใช้คำว่ามากมายที่พระคุณของพระพุทธเจ้าได้มีอยู่แก่สัตว์โลกทั้งปวง ในข้อแรกนี้ว่าเป็นนายแพทย์ ทีนี้ก็จะดูว่ามีแง่อะไรอีกบ้าง แง่ถัดไปก็อยากจะระบุเป็นผู้ปลุก ปลุกให้ตื่นจากหลับ คนธรรมดาหลับด้วยกิเลส หลับด้วยอวิชชา หลับอย่างไม่รู้ว่าหลับ แล้วก็ยังอยากอวดดีว่าตื่นอยู่ด้วย มีอวิชชาครอบงำไม่รู้เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ เรื่องทางให้ถึงความดับทุกข์ มันหลับ แต่มันก็ไม่ยอมรับว่าเป็นคนหลับ เพราะว่ามันตื่น มันคิดนึกได้ด้วยอำนาจของกิเลส มีการดิ้นรนไปตามอำนาจของกิเลส นั่นน่ะจึงเรียกว่าเป็นผู้หลับอยู่ด้วยอำนาจของกิเลส แล้วแต่กิเลสจะชักพาไป นี้พระพุทธเจ้าทำหน้าที่เป็นผู้ปลุก เมื่อพระองค์เองได้ตื่นจากหลับคือกิเลสแล้ว ก็ทำหน้าที่ปลุกให้สัตว์ที่ยังหลับด้วยกิเลสอยู่นั้นให้รู้ คือให้ตื่นขึ้นมา จึงทรงสั่งสอนเรื่องความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางให้ถึงความดับทุกข์ ให้รู้ว่ากิเลสเกิดขึ้นมาด้วยลักษณะอย่างไร
ในเรื่องปฏิจจสมุปบาทชัดเจนมาก กิเลสเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ผู้ที่สนใจศึกษาอยู่ก็พอจะมองเห็นได้ทันที เมื่อมีผัสสะมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีความรู้ ไม่มีสติ นำความรู้มาควบคุมสถานการณ์ ผัสสะนั้นก็ปรุงเป็นเวทนาชนิดที่ทำให้โง่ ถ้าเป็นเวทนาที่น่ารักก็ทำให้โง่ที่จะหลง จะเอาจะได้ เป็นกิเลสประเภทโลภะหรือราคะ ถ้าเวทนานั้นไม่น่ารัก มันก็เกิดกิเลสประเภทโทสะหรือโกธะ ติดขัดขัดแค้น ถ้าว่าเวทนานั้นไม่สุข ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ให้เกิดความไม่รู้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปไม่รู้อะไรยิ่ง ๆ ขึ้นไป เต็มไปด้วยความสงสัย นี้เรียกว่าเกิดกิเลส เมื่อเกิดกิเลสอย่างนี้แล้ว มันก็เกิดความรู้สึกมีตัวตนผู้เป็นอย่างนั้น คือเมื่อเกิดปัญหาอยากในความหมายใด ๆ ลงไปแล้ว มันก็เกิดอุปาทาน รู้สึกว่าเรานี่แหละเป็นผู้อยาก อยากจะได้มาเป็นของเราหรืออยากจะกระทำหรืออยากจะได้รับผลหรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็เป็นเรื่องของตนหรือตัวตนเกิดขึ้นมา มันก็มีปัญหา มีความทุกข์เต็มที่ นี่คือเรื่องกิเลสให้เกิดทุกข์ได้อย่างไร ผู้ที่หลับอยู่ก็มองไม่เห็น พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้ปลุกให้ตื่น พระพุทธเจ้าเป็นเหมือนกับผู้ปลุก พระธรรมเป็นการปลุก พระสงฆ์นี่เป็นผู้ตื่น พระสงฆ์ที่แท้จริงเป็นผู้ที่ได้รับการปลุกแล้วก็ตื่น
ทีนี้คนทั้งหลายเราว่าอย่างไรกัน เป็นผู้ที่ได้รับการปลุกแล้วก็ตื่นหรือหาไม่ ถ้ามันไม่มีการตื่นมันก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร การปลุกของพระพุทธเจ้าก็เป็นหมันไป ตัวเองไม่ได้รับประโยชน์อะไร ก็คงหลับต่อไป สบายด้วยกิเลสเป็นนิทรา เรียกว่า เป็นผู้ไม่ตื่น ขอให้มองดูให้รู้ความมุ่งหมายในการกระทำของพระพุทธเจ้าในฐานะเป็นผู้ปลุก และเราก็ควรจะได้รับการปลุก ได้รับผลของการปลุก เป็นผู้ตื่นขึ้นมาทีละน้อย ๆ หรือจะมองอีกทางหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอน มันก็คล้าย ๆ กันกับการปลุก การปลุกก็คือการสอนอย่างรุนแรง โดยธรรมดาก็สอนทั่ว ๆ ไป พระธรรมนั้นคือคำสอน พระสงฆ์ก็คือผู้ปฏิบัติตามคำสอน พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอน และเราก็เป็นแรดเป็นเต่า ใครจะมาเป่าปี่ให้ฟังสักเท่าไร แรดมันก็ไม่ได้ยิน เต่ามันก็ไม่ได้ยิน ใครจะมาเป่าปี่ร้องเพลงให้ไพเราะสักเท่าไร มันก็ไม่ได้ยิน การสอนของพระพุทธเจ้าก็เป็นหมันไป นี่คือข้อที่ว่า เราเป็นผู้ไม่รับคำสั่งสอนหรือไม่มีความรู้เอาเสียเลย ไม่มีเจตนาใด ๆ แต่ว่ามันรับไม่ได้ มันรับเอาไมได้ ความเป็นผู้สอนของพระพุทธเจ้าก็เป็นหมันไป
ทีนี้ก็จะดูต่อไปว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง ข้อนี้ก็เป็นเรื่องที่พระองค์ตรัสไว้เองว่าเป็นผู้ชี้ทาง ทางมีอยู่ พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะให้รู้จักทาง แต่แล้วผู้นั้นจะต้องเดินเอง จะให้พระพุทธเจ้าเดินแทนนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ แล้วไม่ได้รับประโยชน์อะไร เดี๋ยวนี้มันก็มีปัญหาว่า เราไม่อยู่ในสถานะที่พระพุทธเจ้าชี้ทางให้ได้ เราไม่รู้ไม่ชี้ด้วยประการทั้งปวง เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปที่ไหน จะต้องออกไปจากอะไร มันก็ไม่สนใจในเรื่องการเดินทาง มันก็ปักหลักอยู่ที่นี่ มีคำที่เรียกไว้น่าตกใจว่า มันเป็นเหมือนกับว่าหลักตอ หัวหลักหัวตอปักแน่นอยู่ในวัฏสงสาร ในความวนเวียนแห่งความทุกข์เป็นเสมือนทะเล เป็นหลักตอปักแน่นอยู่ในวัฏสงสาร ไม่สนใจที่จะเดินทาง ไม่สนใจเพราะมันไม่รู้สึกว่ามันจะต้องเดินทางไปไหน มันอยู่ไปวันหนึ่ง ๆ มันก็พอใจ หัวเราะบ้างร้องไห้บ้างสลับกันไป มันก็แก้ไขกันไปในตัวด้วยเอากิเกสมาแก้กิเลส นี่เรียกว่าไม่รู้จักพระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นผู้ชี้ทาง
ทีนี้ก็อยากจะให้มองดูว่า พระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นผู้เปิดความลับของธรรมชาติ สัตว์มีกิเลส โดยเฉพาะคืออวิชชาเป็นเครื่องปิดไว้ กั้นไว้ ไม่ให้ได้รับแสงสว่าง พระพุทธเจ้าเป็นผู้เปิดหมายความว่า เปิดสิ่งที่ปิดให้มันเปิดออกมา ให้สัตว์ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จะต้องทำอะไร ควรจะต้องทำอะไร จะได้ไม่ต้องวนเวียนอยู่ในเรื่องของความทุกข์ จะไม่ต้องมัวหัวเราะร้องไห้สลับกันไปวัน ๆ เดือน ๆ ปี ๆ ก็จะอยู่ด้วยความว่าง อยู่ด้วยความปกติ เหนือการหัวเราะ และเหนือการร้องไห้ แต่เมื่อคนเขาสมัครที่จะเป็นอยู่อย่างคนหัวเราะคนร้องไห้กลบเกลื่อนกันไปวันหนึ่ง ๆ มันก็ไม่สนใจในการเปิดของพระพุทธเจ้า อีกคำหนึ่งซึ่งคล้ายกันก็คือทรงเป็นผู้หงาย หงายสิ่งที่มันคว่ำอยู่ ถ้าสิ่งใดมันคว่ำอยู่มันก็มองไม่เห็น พระพุทธเจ้าเป็นผู้หงายขึ้นมาให้มองเห็นว่าเป็นอย่างไร อย่างชีวิตนี้มันเป็นเหมือนกับของคว่ำอยู่สำหรับผู้ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือว่าเรื่องโลกทั้งโลกนี้มันยังลึกลับเกินไปยังเป็นเหมือนกับของที่คว่ำอยู่ พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้พลิกให้หงายขึ้นมา ให้เห็นว่ามันมีอะไรมันมีอย่างไร จะได้จัดการจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง เป็นผู้เปิดของที่ปิดอยู่ เป็นผู้หงายของที่คว่ำให้เห็นได้ชัด
หรืออีกทางหนึ่งก็เรียกว่าเป็นผู้ส่องตะเกียง เมื่อสัตว์ทั้งหลายมืดยิ่งกว่าตาบอด มืดยิ่งกว่าตาบอด มืดด้วยอวิชชามันมืดยิ่งกว่าตาบอด แล้วก็ไม่รู้จะเรียกอะไรดี มืดเสมือนตาบอดนี่ก็มากอยู่แล้ว นี่กลับพูดว่ายิ่งกว่าตาบอด มันจะไม่รู้สึกอะไรเอาเสียเลย คนตาบอดอย่างไรมันก็ยังรู้สึกว่ากลางวันหรือ กลางคืนนะ คนตาบอดมันยังมีรู้สึกในแสงสว่างพอจะรู้ว่าเป็นกลางวันหรือเป็นกลางคืน แต่มืดด้วยอวิชชานี้มันไม่รู้เอาเสียเลย มันไม่รู้เรื่องดีชั่ว ผิดถูก สุขทุกข์อะไรเลย มันเอาแต่ความต้องการของกิเลส ทำไปตามอำนาจความต้องการของกิเลส นี่เรียกว่ามันตกอยู่ในความมืด พระพุทธเจ้าเป็นผู้ส่องตะเกียง ถ้าใครมีตาคือตาไม่บอด ก็จะได้รับประโยชน์จากแสงตะเกียง เห็นอะไรมีอยู่อย่างไรตามที่เป็นจริง แล้วก็จัดการกับสิ่งนั้น ๆ ในลักษณะที่เป็นประโยชน์แก่ตน คือมีธรรมะอะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนก็มองเห็นได้ ก็นำมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนได้ ถ้าเป็นคนที่ตาบอดไม่มองเห็นอะไร มันก็ไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้นได้
ทีนี้ดูกันต่อไป พระพุทธเจ้าเป็นผู้ดับเย็น คือบรรลุนิพพานเป็นผู้ดับเย็น ก็ทรงสอนเรื่องดับ เรื่องการดับ เรื่องวิธีดับ คำสอนเรื่องดับก็เป็นพระธรรม ผู้ปฎิบัติตามและดับเย็นได้ก็เป็นพระสงฆ์ คำว่าดับเย็นนี้มีความเข้าใจกันน้อย รู้ความหมายของคำ ๆ นี้น้อย ก็เช่นเดียวกับที่ไม่รู้ว่าตัวเองมันลุกโพลงเป็นไฟ กลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟ กลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟ มันก็ไม่รู้ มันก็เลยไม่รู้เรื่องความดับเย็น คำว่าดับเย็นนี่เป็นคำสำคัญที่สุดในพุทธศาสนา คำว่านิพพาน แปลว่า ดับเย็น ถ้าเป็นบุคคลก็เรียกว่า นิพพุตะ คือผู้ที่ดับเย็น ถ้าเป็นกิริยาดับก็เป็นนิพพุติ ให้รวมความว่า ดับแห่งความร้อน ดับแห่งของร้อน คำว่านิพพานนั้นอย่าเอาไปไว้เสียสุด ๆ สุดกู่ สุดโต่งจนไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แล้วก็ตั้งปณิธานว่า อีกร้อยชาติพันชาติแสนชาติหมื่นชาติจึงจะถึงนิพพาน อย่างนี้เรียกว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักนิพพาน เมื่อใดไฟไม่ลุกขึ้นมาในชีวิต ชีวิตมันก็เย็นเป็นนิพพาน เมื่อใดไฟมันลุกขึ้นมาเป็นความโลภ เป็นความโกรธ เป็นความหลง ชีวิตนี้ก็เป็นของร้อนและไม่เย็น
สังเกตดูเอาเองว่าวันหนึ่ง ๆ มันมีร้อนมาก ร้อนน้อย เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลงอย่างไรบ้าง ถ้าเห็นว่ามันร้อน มันก็จะได้เกลียดจะได้กลัว จะต้องการความดับเย็น เราก็มีพูดกันอยู่ทั่ว ๆ ไปตามประสาชาวบ้าน ถ้าเราต้องการความเย็นอกเย็นใจ ต้องการจริง ๆ ต้องการอย่างยิ่ง แต่เขาก็หารู้ไม่ว่า ความเย็นอกเย็นใจนั่นล่ะมันเป็นความหมายของคำว่านิพพาน ผู้ใดมีนิพพานผู้นั้นก็เย็นอกเย็นใจ ซึ่งมันก็ต้องเย็นออกมาถึงกายด้วย ถ้าจิตใจมันเย็น กายมันก็เย็นด้วย ไม่มีความร้อน เพราะกิเลสประเภทโลภะหรือราคะ คือกิเลสประเภทที่ดึงเข้ามาหาตัว มากอดรัดไว้ กิเลสชนิดนี้ก็ไม่มีสำหรับจะทำให้เกิดความร้อน กิเลสประเภทที่จะผลักออกไปหรือทำลายเสียให้ตาย คือกิเลสประเภทโทสะหรือโกธะนี่ก็ไม่มีเข้ามาทำให้ร้อน แล้วกิเลสประเภทที่ทำให้โง่ให้สงสัยให้วนเวียน ๆ อยู่รอบ ๆ สิ่งนั้น ๆ ด้วยความสงสัย อยากได้ หรือความหวังก็ไม่มี มันก็ไม่มีความร้อน ไม่มีกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลงซึ่งเป็นเสมือนไฟลนให้เร่าร้อน มันก็ไม่มีความร้อน เดี๋ยวนี้มันยังร้อนอยู่ เรียกว่ามากเกินไปก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ก็จะต้องรู้ว่า ตามธรรมชาติแล้วมันก็มีเวลาที่กิเลสไม่ได้เกิดขึ้น เวลาที่ว่างจากกิเลสก็พอจะมี
เมื่อไม่มีเหตุปัจจัยอะไรเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มายั่วยุ ไฟกิเลสก็ไม่ลุกขึ้นมา ระหว่างนั้นมันก็พอที่จะเย็นแต่คนก็ไม่สนใจ นี่เรียกว่ามันเป็นนิพพานอยู่ตามธรรมชาติ คือระยะหรือเวลาหรือสถานะที่กิเลสไม่เกิดขึ้นแผดเผา เราก็ไม่ร้อน เราก็พอจะเย็นตามความหมายแห่งนิพพาน แม้จะมีปริมาณน้อย หรือจะมีระยะเวลาสั้น ๆ มันก็ยังได้ชื่อว่ามีความหมายแห่งนิพพานอยู่นั่นเอง แต่เราไม่สนใจ แล้วเราก็ไม่ให้เกียรติหรือขอบคุณแก่นิพพานน้อย ๆ ตามธรรมชาติเหล่านี้ ช่างไม่คิดกันบ้างเสียเลยว่า ถ้าคนเรามีความโลภ ความโกรธ ความหลง รบกวนอยู่โดยไม่มีเวลาสร่างทั้ง ๒๔ ชั่วโมงนี้จะเป็นอย่างไร มันก็จะตายยิ่งกว่าตาย มันจะเป็นบ้า ยังไม่ตายก็จะต้องเป็นบ้า ถ้ากิเลสรบกวนอยู่ทุกนาทีตลอดวันตลอดคืน มันก็ต้องเป็นโรคประสาท แล้วมันก็ต้องเป็นบ้า แล้วมันก็ต้องตาย เดี๋ยวนี้มันมีเวลาที่ไม่เป็นอย่างนั้น คือเวลาที่นิพพานเย็นได้ตามธรรมชาติที่กำหนดไว้พอสมควรกัน พอสมควร มีสัดส่วนพอสมควรกัน เราจึงไม่เป็นบ้า เราจึงไม่ตาย เรารอดชีวิตอยู่ได้ เพราะสิ่งที่เรียกว่านิพพานน้อย ๆ ตามธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่พอสมกับสัดส่วน ทำไมไม่คิดดูให้ดี ไม่มองเห็นสิ่งเหล่านี้ เรากลับไม่รับรู้ ไม่รู้ไม่ชี้ มันก็เหมือนกับคนเนรคุณ เนรคุณต่อธรรมชาติซึ่งมีคุณ ช่วยให้สิ่งที่มีชีวิตได้รับการพักผ่อนจากการรบกวนของกิเลสตามสมควรแก่ความต้องการที่มันจะรอดชีวิตอยู่ได้ ไม่ต้องเป็นบ้า ไม่ต้องตายเพราะเหตุนั้น ในความรู้คุณข้อนี้จะเรียกว่า รู้คุณของธรรมะหรือของพระธรรมที่มีอยู่ตามธรรมชาติอย่างยิ่ง ใครไม่รู้ก็ไม่รู้ ใครเนรคุณก็เนรคุณ แต่ความจริงก็เป็นความจริงอยู่อย่างนี้ว่า เรารอดชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็เพราะว่าพระนิพพานน้อย ๆ ตามธรรมชาติช่วยคุ้มครอง คือมีเวลานาทีที่กิเลสไม่เกิดขึ้นรบกวน เราก็พอรอดชีวิตอยู่ได้ มีความเยือกเย็นสลับกันอยู่กับความร้อน ส่วนที่เย็นหรือเวลาที่เย็นมันก็เป็นเรื่องของพระนิพพานชนิดนี้
ทีนี้ถ้าเรารู้จักพระนิพพานชนิดนี้เราก็ทำให้มันมากขึ้นไปกว่านั้น ทำให้มันเย็นมากขึ้นไปกว่านั้น ทำให้เป็นนิพพานชนิดนั้นยืดยาวนานไปออกกว่านั้น มันก็จะขยายตัวออกมาเป็นนิพพานที่สมบูรณ์ได้ในภายหลัง จงรู้จักพระนิพพานตามธรรมชาติกำหนดให้ มีพอสมสัดส่วนที่จะไม่ต้องเป็นบ้าหรือจะต้องตาย แล้วค่อย ๆ ขยับขยายปรับปรุงพระนิพพานชนิดนี้ให้เจริญงอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ได้ชี้ทางแห่งความดับเย็น หรือว่าชี้ทางแห่งพระนิพพานให้รู้จักพระนิพพาน และให้ขยายขอบเขตของพระนิพพานให้กว้างขวางออกไป ๆ จนเป็นนิพพานที่สมบูรณ์ ที่มีความเยือกเย็นได้ดังใจ ได้ดังใจ นี่พระพุทธเจ้าทรงพระคุณในฐานะเป็นผู้ดับ เป็นผู้ช่วยดับความร้อน ชี้ทางให้รู้จักพระนิพพาน และพอกพูนพระนิพพานให้มากขึ้น ๆ จนดับได้ถึงที่สุด พระองค์เป็นผู้ดับ สิ่งที่ดับหรือการดับก็คือพระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริงก็คือผู้ที่ดับได้ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่างไร นี่เรามานึกถึงพระพุทธเจ้าในฐานะเป็นผู้ดับ คือสอนให้ดับกันในลักษณะอย่างนี้บ้าง
ทีนี้ก็จะพูดด้วยคำอื่นต่อไปซึ่งก็มีในพระบาลีด้วยกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าเป็นผู้อาบ คำว่าอาบนี่มีความหมายได้ ๒ อย่าง คือ อาบแล้วเย็นสบายอย่างหนึ่ง อาบแล้วเกลี้ยงเกลาสะอาดดีนี้ก็อย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้อาบ อาบเหมือนกัน อาบน้ำแล้วก็เย็น แล้วก็สะอาดนั่นแหละ แต่ว่ามันเป็นเรื่องทางจิตใจ ธรรมะคำสอนของพระองค์มีลักษณะเป็นการอาบ เป็นเครื่องอาบ ทำให้หมดจดจากสิ่งโสโครก ซึ่งก็ได้แก่กิเลสนั่นแหละ และก็ให้ระงับเย็นเพราะไม่มีกิเลสซึ่งเป็นไฟ หรือเป็นของร้อน ซึ่งมันก็เย็น เหมือนที่เราอาบน้ำแล้วเราได้รับความเย็นสบาย แล้วเราก็ได้รับความสะอาด พระพุทธเจ้าเป็นผู้อาบ ๆ หรือผู้แนะให้อาบ ถ้าจะใช้คำว่าเป็นผู้อาบก็ได้เพราะว่าทรงแสดงธรรมะ ชนิดที่เป็นเครื่องอาบรดจิตใจ อาบรดจิตใจให้สะอาด ให้สว่าง ให้สงบขึ้นมา ที่เรียกว่าเป็นผู้อาบ
ทีนี้จะดูในความหมายของคำอื่นต่อไป โดยเฉพาะคือคำว่าเป็นผู้แจก แจกสิ่งที่ควรแจก ไอ้สิ่งที่ควรแจกนี่ควรจะรู้ได้เองว่า มันก็ได้แก่ไอ้สิ่งที่มีประโยชน์ ถ้าไม่มีประโยชน์แล้วเอาไปทำไม มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรแจก มันเป็นสิ่งที่ควรแจก มันก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ พระองค์ทรงแจกแต่สิ่งที่มีประโยชน์ เพราะว่าพระองค์ทรงร่ำรวยด้วยสิ่งที่มีประโยชน์คือธรรมะ ซึ่งเป็นเครื่องดับทุกข์ได้ เป็นความถูกต้อง เป็นความดีเป็นความงาม เป็นความอะไรที่ว่ามันมีประโยชน์อย่างยิ่งแล้วก็แจก ไอ้เรานี่จะเป็นผู้รับแจกหรือไม่ ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ คือไม่ค่อยสนใจธรรมะซึ่งพระองค์แจก เทียบเคียงกันดูว่า เราสนใจเรื่องอื่น ๆ กันวันหนึ่ง ๆ เท่าไร สนใจธรรมะกันวันหนึ่ง ๆ เท่าไร เราสนใจเรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องหาเงินเรื่องหาของ เรื่องกินเรื่องเล่น เรื่องบริโภค เรื่องสนุกสนาน เรื่องเอร็ดอร่อย เสียเวลาไปวันหนึ่งเท่าไร แล้วมาสนใจธรรมะวันหนึ่งเท่าไร นี้มันไม่สมสัดไม่สมส่วนกัน แล้วก็มาโทษว่าพระธรรมไม่ช่วย พระธรรมไม่ช่วย บางคนก็มาพูดว่า ทำบุญมาตลอดเวลา ทุกเดือน ๆ ทุกปี ก็ไม่เห็นถูกลอตเตอรี่สักที เอาไปเปรียบกันอย่างนี้ เพราะมีความดีสูงสุดที่สุดอยู่ที่เรื่องเงิน ทีนี้มันไม่รู้ว่า ไอ้เงินนั้นมันแก้ปัญหาได้เฉพาะเรื่องวัตถุ ปัญหาทางวัตถุ แต่ทางจิตใจเงินมันแก้ไม่ได้ มันแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วบางทีมันก็ช่วยเพิ่มปัญหาเสียด้วยซ้ำไป นี่เพราะรู้จักแต่เรื่องทางวัตถุซึ่งมันเข้าใจได้ง่าย แล้วมันก็เป็นที่นิยม เป็นที่นิยม เรียกว่า สร้างสรรค์จัดหาพัฒนากันเป็นการใหญ่ พัฒนาวัตถุจนเป็นทาสของวัตถุ แล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว เดี๋ยวนี้โลกทั้งโลกพัฒนาทางวัตถุจนเป็นทาสของวัตถุอย่างยิ่งแล้วก็ไม่รู้สึกตัว มันรู้จักแต่เรื่องทางวัตถุ มันก็เกิดกิเลสที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว ให้เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ผู้อื่น มันยังมีการเบียดเบียนกันอย่างยิ่ง ยิ่งเจริญด้วยวัตถุก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัวก็ยิ่งเบียดเบียนกันเป็นอย่างยิ่ง ใครจะมาทำให้มองเห็นความจริงข้อนี้ ให้เห็นแก่ธรรมะ ให้เห็นแก่เรื่องทางจิตทางใจ และก็ไม่เห็นแก่ตัว แล้วมันก็ไม่เบียดเบียนกัน ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัว มันก็รักผู้อื่นได้โดยอัตโนมัติ
ขอให้สังเกตในข้อนี้กันบ้างว่า ถ้ามันไม่มีความเห็นแก่ตัว มันก็ต้องรักผู้อื่นได้โดยอัตโนมัติ เมื่อทุกคนในโลกมีความรักซึ่งกันและกันแล้ว โลกนี้มันก็ไม่มีปัญหา ขอให้ท่านทั้งหลายมองเห็นตามที่เป็นจริงว่า ไอ้ความเห็นแก่ตัวนั้นแหละเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งภายในและภายนอก เห็นแก่ตัวก็เดือดร้อนอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว หาความสงบสุขทางจิตใจไม่ได้ นี้เป็นภายใน เป็นภายนอกก็เบียดเบียนผู้อื่นเพื่อจะเอาของผู้อื่นมาเป็นของตัว เดี๋ยวนี้เพราะเห็นแก่ตัวกันถึงกับอยากจะเป็นเจ้าโลก อยากจะครองโลกทั้งโลกทั้งหมดเอาไว้เป็นของตัว นี่ประเทศมหาอำนาจก็คิดกันอย่างนั้น เขามุ่งหมายกันอย่างนั้นจะครองโลก มีมูลมาจากความเห็นแก่ตัวที่ขยายตัวออกไป ขยายตัวออกไปจนเป็นความเห็นแก่ตัวชนิดที่จะครองโลก แล้วเราทุกคนที่อยู่ในโลกก็พลอยได้รับการกระทบกระเทือนจากการกระทำของผู้ที่คิดจะเป็นเจ้าโลกหรือจะครองโลก เรื่องนี้ก็เห็น ๆ กันอยู่ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากนัก ขอแต่ให้มองเห็นข้อเท็จจริงที่ว่ามันมีมูลมาจากความเห็นแก่ตัว ถ้ามันลดความเห็นแก่ตัวได้ ปัญหาต่าง ๆ มันก็ลดลงไป และเดี๋ยวนี้ไม่มีใครสนใจกลับไปหลงใหลในเรื่องทางวัตถุ พัฒนาวัตถุ บูชาวัตถุ ยกเอาวัตถุเป็นสิ่งสูงสุด คือให้ได้รับความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย เพลิดเพลินทางวัตถุ ส่วนเรื่องทางจิต เป็นความสงบเย็นนั้นไม่เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา เห็นว่าไม่มีรส ไม่มีชาติ จืดชืดแห้งแล้งเกินไป ไม่สนใจความสงบทางจิต แต่สนใจความวุ่นวายทางวัตถุหรือทางกาย เป็นอย่างนี้กันทั้งโลก มันก็เลยเป็นโลกของความเร่าร้อนของความทุกข์ นี่เราจะมองดูกันในแง่ไหน ๆ ยังมีอีกมากมายที่จะมองดูพระพุทธเจ้าว่าท่านเป็นอะไร ท่านเป็นผู้ที่มีคุณค่าสูงสุดแก่มนุษย์อย่างไรบ้าง อาตมาก็นำมากล่าวพอเป็นตัวอย่างให้ได้คิดได้นึกได้รู้สึกกันในวันสำคัญ คือวันวิสาขบูชาเช่นวันนี้
ทีนี้ก็อยากจะให้มองในอุปมาอย่างยิ่งขึ้นไปว่าพระพุทธเจ้านี่เป็นเหมือนกับบิดาหรือเป็นพ่อ พระธรรมนี่เป็นเหมือนกับแม่ พระสงฆ์นี่เป็นเหมือนพี่น้องของเราคือเป็นลูกของพระพุทธเจ้าด้วยกัน ใครกล้าพูดว่าเป็นลูกพระพุทธเจ้าด้วยความรู้สึกอันแท้จริง ไม่ใช่โกหกตัวเองแล้วพูดมา พูดออกมาว่า ข้าพเจ้ามีคุณธรรมสมควรที่จะเรียกว่าเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ถ้ามันไม่มีอะไรสมควรจะเป็นลูกของพระพุทธเจ้า มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ มีพระสงฆ์เป็นพี่น้องกัน เมื่อไรจะเป็นได้อย่างนี้ เมื่อไรจะขึ้นมาถึงระดับนี้ ระดับที่จะเรียกว่า พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่น้องกัน ควรจะคิด นึก ทดสอบ สะสางตัวเองให้มันเข้ารูปในการที่จะเรียกตัวเองได้ว่า เป็นลูกของพระพุทธเจ้า คือเป็นบุคคลหนึ่งหน่วยหนึ่งในบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย พระอริยสงฆ์ที่แท้จริงเขาเรียกว่า เป็นบุตรเกิดแต่อกของพระพุทธเจ้า คือพระธรรมที่เป็นที่เกิด พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอน เป็นผู้ที่ทำให้มีความรู้ คิด รู้จักตัวเอง ปุถุชนทั้งหลายอยู่ในฐานะที่ไม่รู้จักแม้แต่ตัวเอง มันก็ปล่อยไปตามสัญชาตญาณ
ไอ้สิ่งที่เรียกว่า สัญชาตญาณนี้มันเป็นความรู้สึกที่เกิดได้เอง มีอยู่เอง ประจำอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ไม่ว่าชีวิตชนิดไหน มันมีความรู้สึกที่เกิดได้เองว่าจะทำอย่างไร จะมีชีวิตอยู่อย่างไร โดยส่วนใหญ่มันก็มีความรู้สึกว่า มีตัวเรา มีตัวตน สำหรับจะได้ระวัง จะได้รักษา จะได้ทำให้เจริญให้งอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่แล้วมันไม่มีความรู้เพียงพอที่จะควบคุมสัญชาตญาณเหล่านี้ มันมีอะไรมายั่ว มันก็หลงไปตาม ไอ้ความรู้นั้นก็เตลิดออกไปนอกแนวหรือเกินขอบเขตไปเป็นกิเลส คือความเห็นแก่ตัว เมื่อมันมีความเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ไปสร้างปัญหาอย่างที่ว่ามาแล้วไม่รู้จักจบจักสิ้น ถ้าเราได้รับคำสั่งสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า จนสามารถควบคุมสัญชาตญาณไว้ได้ให้เป็นไปในลักษณะที่เรียกว่าเป็นโพธิ เป็นโพธิปัญญา มันก็รู้จักว่าไอ้ตัวนี้คืออะไร มันจึงไม่เห็นแก่ตัว มันจึงรู้จักกระทั่งว่าโดยที่แท้ไม่ควรจะเรียกว่าตัว ไม่ควรจะยึดมั่นว่าตัว มันก็เลยประพฤติไปในทางที่จะไม่ยึดมั่นว่าตัว มันก็ไม่มีความทุกข์ แล้วมันก็อยู่กันเป็นผาสุกทั้งโลกในโลกแห่งบุคคลผู้ไม่เห็นแก่ตัว นี่พระคุณของพระพุทธเจ้าแก่บุคคลแต่ละคนก็ดี แก่โลกทั้งโลกโดยส่วนรวมก็ดี มีอยู่อย่างนี้ ควรจะนำมาพินิจพิจารณาเพื่อว่าจะรู้จักพระคุณของพระองค์ยิ่ง ๆ ไปจนกว่าจะถึงที่สุด นี้ก็เรียกว่าเราพูดกันอย่างภาษาคน ภาษาที่มีตัวมีตน มีพระพุทธเจ้า มีสาวกของพระพุทธเจ้าก็พูดได้อย่างนี้ ก็เข้าใจได้ถึงที่สุดแล้ว มันก็จะนำไปสู่พระพุทธเจ้าชนิดที่ว่าเป็นนามธรรมยิ่งขึ้นไปอีกซึ่งก็พูดได้เหมือนกัน เรียกว่า พูดโดยภาษาธรรม
ยกตัวอย่างในทางภาษาธรรมมาสักข้อหนึ่งสักชุดหนึ่ง เมื่อไม่มีบุคคลไม่ต้องพูดอย่างมีบุคคลตัวตนกันแล้ว มันก็มีแต่ธรรมะ นี้ธรรมะก็มีหลายอย่างหลายความหมาย ไอ้ธรรมะประเภทที่เป็นปัญญา ธรรมะที่เป็นปัญญารอบรู้สิ่งที่ควรรู้ นั่นล่ะธรรมะนั้นคือพระพุทธเจ้า ทีนี้ธรรมะที่เป็นสัจจะเป็นความจริงของสิ่งทั้งปวงนั่นล่ะคือพระธรรม ทีนี้คุณธรรมที่ควรจะได้รับจากการปฏิบัติที่ถูกต้องต่อสิ่งเหล่านี้ นั่นล่ะคือพระสงฆ์ มันจะเลย ๆ ความต้องการไปหรือไม่ก็ไม่รับรอง แต่ว่าต้องการให้รู้จักคิด รู้จักนึกกันเสียบ้าง ถ้าเราจะพูดกันอย่างที่เรียกว่าไม่เอาบุคคลเป็นหลัก เอาธรรมะที่เป็นนามธรรมเป็นหลัก พระพุทธเจ้าก็คือธรรมะหมวดปัญญา พระธรรมคือธรรมะหมวดสัจจะหรือความจริง พระสงฆ์ก็คือธรรมะหมวดที่เป็นคุณธรรมที่พึงปรารถนา คุณธรรมที่สัตว์โลกพึงปรารถนา นี่เป็นพระสงฆ์ รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในแง่ของนามธรรมกันอย่างนี้บ้าง มันก็จะลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป จะเห็นเป็นธรรม จัดว่าเป็นธรรมตามธรรมชาติ ไม่ยึดถือเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เกิดความผูกพันอย่างนั้นอย่างนี้ กระทั่งว่ามันไม่ต้องผูกพันกันด้วยบุญด้วยคุณด้วยอะไรต่าง ๆ มันเป็นการหลุดพ้นออกไป เกลี้ยงเกลาออกไป ไม่ผูกพันอยู่ด้วยอะไร โดยที่มองเห็นว่ามีแต่ธรรมชาติล้วน ๆ เท่านั้นเป็นไป หาได้มีสัตว์มีบุคคลแต่อย่างหนึ่งอย่างใดไม่ นี้ก็เป็นสิ่งที่อาจจะศึกษาได้ อาจจะมองเห็นได้ถ้านำมาพินิจพิจารณา แต่ว่าถ้ามองกันถึงระดับนี้แล้วมันก็สูงเกินไป สูงเกินไปกว่าที่จะมาทำวิสาขบูชา ถ้าพระพุทธเจ้า คือ ธรรมะหมวดปัญญา พระธรรม คือ ธรรมะหมวดสัจจะ พระสงฆ์ คือ ธรรมะหมวดคุณธรรมที่พึงประสงค์ เช่น มรรคผลนิพพาน เป็นต้น ก็เลยไม่ต้องทำวิสาขบูชากัน เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีการประสูติ ตรัสรู้ และนิพพาน แต่ก็พูดเผื่อไว้ว่า ถ้ามันต้องการจะมีความคิดเห็นให้ยืดยาวกว้างขวางออกไป มันก็ยังคิดเห็นได้ มองเห็นได้ว่าเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริงยิ่งกว่า ลึกซึ้งกว่า สูงยิ่งขึ้นไปกว่า นี้จะออกอุทานออกมาได้เองจากความรู้สึกในภายใน ไม่ต้องมีใครมาชักนำให้พูดให้สวดให้สมาทานเหมือนกับนกแก้วนกขุนทอง
หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะได้พินิจพิจารณาว่า พระรัตนตรัยก็ดี แม้แต่พระพุทธเจ้าส่วนเดียวก็ดี มันยังมีอยู่เป็น ๒ ชนิดคือชนิดที่คนรู้สึกรู้จักเข้าถึงแล้วพูดออกมา กับชนิดที่ว่าคนไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่มีคนชักนำให้พูดให้ว่าให้ท่องให้ออกชื่อให้สมาทานนี้ มันคนละอย่าง พระพุทธเจ้าที่เข้าถึงโดยจิตใจรู้ว่า ความทุกข์เป็นอย่างไร ดับทุกข์ได้อย่างไร รู้จักว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้อย่างนั้น นี้ก็เป็นพระพุทธเจ้าที่ออกมาจากจิตใจ แล้วพูดออกมาว่าเป็นพระพุทธเจ้า หรือเป็นพุทโธ ธัมโม สังโฆก็ตาม จนเดี๋ยวนี้เราส่วนมากจะต้องขอพูดว่าไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น พูดว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ด้วยมีผู้อื่นชักนำแนะนำมาตั้งแต่เด็ก ๆ ตั้งแต่เล็ก ๆ มันจึงมีพระพุทธเจ้า หรือพระธรรม หรือพระสงฆ์อย่างของเด็ก ๆ แล้วมันก็ไม่รู้จักโต เด็ก ๆ มันโตเพียงทางร่างกาย โตขึ้นทุกวัน ๆ แต่ความรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของมันไม่โต มันจึงมาเป็นพวกเราในปัจจุบัน ไม่มีพระพุทธเจ้าจากความรู้สึกภายในใจที่แท้จริง มันจึงเกิดมีเป็นของต่างกันเป็น ๒ อย่างอย่างนี้ อย่างหนึ่งเป็นสิ่งที่เขารู้สึกได้ สัมผัสได้ ได้รับประโยชน์แล้วจากสิ่งนั้น ๆ ก็พูดออกมาว่าพุทโธ ส่วนอีกพวกหนึ่งนั้นถูกสอนให้ว่าอย่างนกแก้วนกขุนทองก็ว่า พุทโธ ๆ บางทีว่ามากไปกว่าเสียอีก ว่าบ่อยครั้งเสียอีก แล้วมันก็ยังไม่มีความเป็นจริงขึ้นมาได้ รวมความว่าเราต้องเลื่อนชั้นกันแล้ว เราจะปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ถูกแล้ว จะต้องเลื่อนชั้นกันขึ้นไปตามลำดับ ๆ จากพระพุทธเจ้าที่เป็นแต่เพียงเสียงเรียกร้องไปตามที่เขาสอนให้เรียกให้ร้องมาเป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ที่รู้สึกอยู่ได้ด้วยตนเองในจิตใจ ปรากฏชัดแจ้งอยู่ว่าเป็นความรู้แจ้งอย่างนั้น ๆ และก็ปฏิบัติดับทุกข์ได้อย่างนั้น ๆ กิเลสและความทุกข์ไม่มีเหลืออยู่เลยในจิตใจนั้น ๆ รู้จักพระพุทธเจ้าอย่างนี้
รู้จักพระพุทธเจ้านั้นมันก็พูดได้ว่ามันมีหลายชั้น เรียนรู้มาจากผู้อื่นบอกนี่ก็รู้จักพระพุทธเจ้าชนิดหนึ่ง คิดตามเหตุผลว่าต้องเป็นอย่างนั้น มีเหตุผลอย่างนี้มีเหตุผลอย่างนั้น ก็รู้จักพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง เป็นพระพุทธเจ้าที่รู้จักด้วยการคิดเอาตามเหตุผล แต่มันยังไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่รู้โดยประจักษ์ด้วยปัญญา ด้วยญานทัศนะคือรู้แจ้ง นี่จึงพูดว่าพระพุทธเจ้าที่รู้จักกันด้วยสุตมยปัญญาก็มี พระพุทธเจ้าที่รู้จักกันด้วยจินตามยปัญญาก็มี พระพุทธเจ้าที่รู้จักกันด้วยภาวนามยปัญญาก็มี และมันต่างกันมากน้อยเพียงไร คอยคิดดูเถิด เรื่องมันก็มีอยู่ว่าเราจะต้องเลื่อนชั้น เลื่อนชั้นจากรู้จักพระพุทธเจ้าด้วยสุตมยปัญญา เล่าเรียนเอานั้น มาเป็นพระพุทธเจ้าที่คิดนึกทบทวนใคร่ครวญด้วยเหตุผลเห็นว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ดับทุกข์ได้จริงอย่างนั้น ๆ นี่เลื่อนชั้นความรู้จักพระพุทธเจ้าของเราขึ้นมาเป็นชั้นจินตามยปัญญา และก็ปฏิบัติธรรมะนั้น ๆ ปฏิบัติตามที่ใคร่ครวญเห็นแล้วนั้นยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนดับกิเลสและดับทุกข์ได้ ก็จะได้พบกันกับพระพุทธเจ้าที่ได้มาด้วยภาวนามยปัญญา มันก็จบ เรื่องมันก็จบ
ดังนั้น ขอให้แสดงความหวังไว้ด้วยกันทุกคนว่า เราจะเพิ่มความรู้ ความเข้าใจ หรือการรู้แจ้ง หรือการบรรลุเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปทุก ๆ ปี ทุก ๆ ปีที่เราทำวิสาขบูชา ทำได้อย่างนี้ไม่เท่าไรก็จะเข้าถึงองค์พระพุทธเจ้า คือเข้าถึงความเป็นอันเดียวกันกับพระพุทธเจ้า คือดับทุกข์ได้อย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน ดับทุกข์ได้อย่างเดียวกัน เป็นสาวกอันแท้จริงของพระองค์ ที่จริงที่จะพูดว่าเป็นสาวกของพระองค์นี้ก็ยังไม่ถูกนัก ผู้มีความเป็นอันเดียวกันกับพระพุทธเจ้าเสียไม่ได้ เราไม่ได้ตรัสรู้เองก็จริง แต่เราก็รู้ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จนมีอะไร ๆ เข้ากันได้เป็นอย่างเดียวกันนั่นแหละ จึงจะถึงที่สุดแห่งความเป็นพุทธบริษัท
หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะได้นำคำพูดทั้งหมดนี้ไปทบทวนไปใคร่ครวญพิจารณาดูให้ดี ให้พบสิ่งที่ตัวเองยังบกพร่องยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ ให้รู้ให้เข้าใจ แล้วให้จัดการจนประพฤติปฏิบัติได้ตามที่รู้ตามที่เข้าใจแล้วก็ได้รับผลอันแท้จริงจากการปฏิบัตินั้น นี้เรียกว่าเราต้อนรับวิสาขบูชาอย่างดีแล้ว สมกับที่พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลสูงสุด เป็นบุคคลเอกในโลกแล้ว ทรงเป็นทุกอย่างที่จะช่วยสัตว์ให้รอดนับตั้งแต่เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง เป็นผู้เปิดเผย เป็นผู้ชี้ทาง เป็นผู้ทุกอย่าง เป็นทุกอย่างที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง การบรรยายนี้ก็เป็นการสมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนนำข้อความเหล่านี้ไปใคร่ครวญดู และปฏิบัติให้เป็นการเลื่อนชั้นให้แก่ตนสูงขึ้นไปตามลำดับทุกที ๆ เถิด ก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบกับพุทธศาสนา การบรรยายสมควรแก่เวลา ก็ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้