แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เราจะพูดกันโดยหัวข้อว่า โดยหัวข้อ ๒ หัวข้ออย่างที่แล้วมา หัวข้อทีแรกว่าอย่าเป็นทาสของอายตนะ อย่าเป็นทาสของอายตนะ หัวข้อที่ ๒ ว่าปัญหาทุกอย่างรวมอยู่ที่ผัสสะ ปัญหาทุกอย่างอะไรๆรวมอยู่ที่ผัสสะ มันก็คงจะมีปัญหาในเบื้องต้นในข้อที่ว่าทุกคนนี่ยังไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าอายตนะ อายตนะคืออะไรยังไม่รู้ แม้บวชมาแล้วก็อาจจะยังไม่รู้ก็ได้ ถ้า ถ้าไม่ได้เรียน ประชาชนโดยทั่วไปก็ไม่สนใจกับคำๆนี้ทั้งที่เป็นคำที่สำคัญที่สุด จำเป็นที่สุดที่จะต้องรู้จักนี่ก็ไม่มีใครรู้จัก จะฆราวาสทั้งหลายมันก็ไม่รู้จัก พระบวชเข้ามาแล้วมันก็ยังไม่รู้จักว่าอายตนะนั้นคืออะไร แล้วก็เลยไปถึงไอ้สิ่งที่เรียกว่าผัสสะ ผัสสะ นี้พอจะรู้จักบ้าง เพราะเคยได้ยินบ่อยๆว่าสัมผัส สัมผัสดูสัมผัสได้คงจะรู้จัก แต่แล้วก็ยังไม่รู้จักว่าไอ้สัมผัส สัมผัสนั่นมันเป็นเรื่องของอายตนะ เป็นไปโดยทางอายตนะที่มีสัมผัส เราก็จะรู้กันเสียคราวเดียวเรื่องอายตนะ แล้วก็เรื่องผัสสะ อย่าเห็นเป็นคำพูดในวัด สำหรับพูดกันในวัด สำหรับคนครึๆคระๆ โง่ๆเง่าๆพูดกันอยู่แต่ในวัด ที่จริงมันก็คือเรื่องที่เป็นปัญหายุ่งยากแก่คนทุกคนที่อยู่นอกวัดหรือว่าทุกคนในโลก พูดได้เลยล่วงหน้าว่าไอ้ ไอ้ปัญหายุ่งยากมัน ในโลกมันเกิดมาจากการที่ทุกคนมันเป็นทาสของอายตนะ ถ้าไม่มีใครเป็นทาสของอายตนะแล้วก็โลกนี้จะไม่มีวิกฤตการณ์ใดๆให้เป็นที่เดือดร้อนรำคาญเลย เดี๋ยวนี้ทุกคนมันเป็นทาสของอายตนะตามมากตามน้อย ตามมากตามน้อย ฉะนั้นเราจึงพูดกันถึงเรื่องนี้ให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน โดยมีหัวข้อว่าอย่าเป็นทาสของอายตนะ จะ จะได้ไม่เป็นทุกข์ จะได้ไม่เป็นทุกข์ ที่ว่ามันเป็นทุกข์ เป็นทุกข์นี่เพราะว่ามันเป็นทาสของอายตนะ คำว่าทาส ทาสนี้มันเป็น หมายถึงเป็นขี้ข้านะ ไม่ใช่ธาตุ ธา-ตุ ไม่ใช่ธาตุที่ว่าธา-ตุ เขาอ่านว่าทาสนั่นไม่ๆ ไม่เกี่ยวกับ กับเรื่องนี้ เรื่องนี้ทาสคือทาสที่เป็นขี้ข้าอยู่ใต้อำนาจนั่นแหละก็เรียกว่าทาส เป็นบ่าวเป็นทาส เราเป็นทาสของอายตนะก็คือเรารับใช้อายตนะอย่างกับว่าเป็นทาส เป็นทาสของมัน และใครรู้สึกบ้าง เดี๋ยว เดี๋ยวนี้ทุกคนนี่ใครรู้สึกบ้างว่าเรากำลังเป็นทาสของอายตนะ รับใช้อายตนะ มันบังคับใช้เราอย่าง อย่างๆยิ่ง อย่างที่สุดโดยที่เราก็ไม่รู้สึกตัว รับใช้มันถึงที่สุดด้วยความสมัครใจ ด้วยความพอใจ
พูดถึงคำว่าอายตนะ อายตนะกันก่อน อายตนะตัวหนังสือมันก็แปลว่าติดต่อกันได้ หรือการติด มีการติดต่อกันอยู่เรียกว่าอายตนะ ข้างในก็มีอยู่ข้างนอกก็มีอยู่แล้วมันก็ติดต่อกันได้ กิริยาอาการที่ว่ามันติดต่อสัมผัสถึงกันได้นี่ก็เรียกว่าอายตนะ เขาเรียกเต็มๆ เต็มที่ เรียกเต็มๆแบบฉบับก็เรียกว่าผัส ผัสสายตนะ ไอ้เราเรียกอายตนะนี่ก็เรียกสั้นๆรุ่นๆ ถ้าเรียกเต็มตามคำของมันแท้แล้วมันจะเรียกว่าผัสสายตนะ แปลว่าอายตนะสำหรับผัสสะ อายตนะเพื่อการผัสสะ อายตนะมีความหมายอย่างนั้น ข้างในก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ข้างนอกก็คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เดี๋ยวนี้เรียนนักธรรมตรีกันบ้างแล้วก็คงจะรู้บ้างแล้ว ก็รู้ให้มันชัดลงไปโดยความหมายของคำว่าอายตนะก็คือสิ่งที่อาจจะสัมผัสได้ สัมผัสกันได้ รู้สึกรู้จักกันได้และมันจะต้องมีการสัมผัส เมื่อจะมีการสัมผัสมันก็ต้องมีคู่ของการ ของสิ่งที่จะสัมผัส เพราะฉะนั้นมันจึงต้องมากันทั้งคู่ เพราะว่าถ้ามามันไม่มาทั้งคู่มันไม่มีการสัมผัส อายตนะก็ไม่มีความหมายโดยสมบูรณ์ มันต้องมีการสัมผัสติดต่อจึงจะเรียกว่าอายตนะ เพราะฉะนั้นคำว่าอายตนะนี้จึงมีทั้งข้างนอกและทั้งข้างใน แล้วก็พอเนื่องกันก็มีการสัมผัส ก็เรียกว่ามี มีการสัมผัส โดยเกิดความรู้สึกขึ้นที่นั่นเรียกว่าวิญญาณ ดังนั้นจำกันได้ง่ายๆว่าพอตาถึงกันเข้ากับรูป ตาอยู่ข้างใน รูปอยู่ข้างนอก พอถึงกันเข้าก็เกิดวิญญาณทางตา วิญญาณทางตา หูถึงกันเข้ากับเสียงก็เกิดวิญญาณทางหู จมูกถึงกันเข้ากับกลิ่นก็เกิดวิญญาณทางจมูก ลิ้นถึงเข้ากับรสก็เกิดวิญญาณทางลิ้น ผิวกายทั่วไปถึงกันเข้ากับไอ้โผฏฐัพพะคือสิ่งที่มากระทบกายก็เกิดวิญญาณทางกาย ธรรมารมณ์ ใจกับธรรมารมณ์กระทบกันก็เกิดวิญญาณทาง ทางใจ อันนี้มันก็ ก็น่าจะเข้าใจได้แหละแม้ว่าจะไม่เคยได้ยินได้ฟัง แต่ในชั้นแรกจะต้องอาศัยความจำกันบ้าง คำว่าวิญญาณ วิญญาณในที่นี้ก็กำลังเป็นปัญหาแหละเพราะว่าเรามีคำว่าวิญญาณอีกคำหนึ่งหมายถึงวิญญาณอะไรก็ไม่รู้ เป็นของไอ้อะไรก็ไม่รู้ ยิ่งกว่าผีเสียอีก เป็นตัวเป็นตนอยู่ข้างในเข้าๆออกๆได้ นี่ นี่จะต้องพูดให้รู้ไว้นะเพื่อไม่เอาไปปนกับวิญญาณที่เราจะศึกษานะ มันเป็นไอ้ความคิดความเชื่อของคนโบราณก่อนพุทธกาลหรือก่อนนู้น ไม่ ไม่รู้ว่าต้องให้ความหมายหรืออะไร มันมีความเชื่อว่ามันมีไอ้สิ่งนี้แล้วก็เรียกมันว่าวิญญาณ มันเข้ามาสิงอยู่ในร่างกายนี่ ร่างกายทั้งหมดนี่เป็นที่สิงของวิญญาณแล้ววิญญาณมันก็มาเข้าสิง ซึ่ง ซึ่งพูดกันว่าตั้งแต่เมื่อมีการจุติปฏิสนธิในครรภ์นะวิญญาณนั่นมาเข้าสิงปฏิสนธิ แล้วมันก็อาศัยอยู่ในกายนี้ แล้วมันก็คอยทำหน้าที่ทาง ถ้ามีอะไรมากระทบตามันวิ่งมาทำหน้าที่ทางตา ถ้ามีอะไรมากระทบหูมันวิ่งมาทำหน้าที่ทางหู อะไรมากระทบจมูกมันวิ่ง วิ่งออกมาทำหน้าที่ทางจมูก เหมือนกับตัวศักดิ์สิทธิ์แหละคอยวิ่งไปทำหน้าที่ที่อายตนะทั้ง ๖ นี่จนกว่าจะตาย จนกว่าคนมันจะตายแล้วมันก็ไปหาที่สิงใหม่ หาร่างเพื่อจะสิงใหม่ และยังพูดว่าบางทีเวลาคนหลับไปนะไอ้วิญญาณตัวนี้ออกไปเที่ยว ออกไปเที่ยวข้างนอก ถ้าคนตื่นมันก็กลับมาแหละมันกลับมานั่นแหละคนตื่น นี่วิญญาณอย่างนี้พูดกันอยู่เป็นพื้นฐานแม้ในประเทศไทยซึ่งนับถือพุทธศาสนา แต่ว่าวิญญาณอย่างนี้ไม่มีในพุทธศาสนา แต่คนเรามันก็มีพูดกันอยู่เป็นวัฒนธรรมของชาวอินเดีย ซึ่งเชื่ออย่างนั้นชาวอินเดียเขาเชื่อกันอย่างนั้นอยู่ก่อนพุทธกาลนู้น เขาเชื่อกันมาจนบัดนี้ พวกที่เชื่ออย่างนั้นก็ยังเชื่ออยู่ อยู่อย่างนั้นจนบัดนี้ แล้วทีนี้ไอ้ชาวอินเดียที่มีความเชื่ออย่างนี้มันมาสู่แผ่นดินนี้ แผ่นดินแหลมทองนี่ก่อนพุทธกาล เชื่อได้ว่าก่อนพุทธกาล เพราะว่าเรื่องเก่าก่อนพุทธกาลมันมีพูดถึงคนมาที่สุวรรณภูมิที่แหลมทอง มาเสี่ยงโชคมาอะไรกลับไปรวย ชาวอินเดียนั่นเขาถ้าจะมาเสี่ยงโชคก็มันก็ต้องมาเสี่ยงโชคที่สุวรรณภูมิ คือแผ่นดินนี้ที่เต็มไปด้วยทอง เอาทองกลับไปอินเดียมากมายก่ายกองฉะนั้นไอ้ทองที่ไปมากขึ้นในอินเดียคงจะเอาไปจากแถวนี้นะ นี้เป็นเครื่องยืนยันว่าไอ้ชาวอินเดียได้มาสู่แผ่นดินตรงนี้ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ดังนั้นเขาเชื่ออย่างไรเขาก็พูดอย่างนั้น เขามาเป็นครูบาอาจารย์เขาก็สอนตามที่เขาเชื่อนะ เพราะฉะนั้นความ ความรู้เรื่องวิญญาณอย่างนี้ หลักเกณฑ์หลักการเรื่องวิญญาณอย่างนี้ของชาวอินเดียก่อนพุทธกาลมันจึงมาแพร่หลายอยู่ในคนแถวนี้ ท่านที่โยมเรียกว่าคนไทย คนไทยจึงมีความเชื่อเรื่องวิญญาณอย่างนี้ วิญญาณอย่างนี้เป็นตัวเป็นตน เป็นวิญญาณอย่างมีตัวตนอย่างนี้ แต่นี้ไม่ใช่พุทธศาสนา ไม่ใช่พุทธศาสนา ถ้าเป็นอย่างพุทธศาสนาก็ว่าวิญญาณเพิ่งเกิดเมื่อมีการกระทบกันทางอายตนะ เป็นของใหม่หยกๆ เกิดเสร็จแล้วก็สิ้น สิ้นเรื่องก็ดับไปแล้วก็เกิดใหม่อีกได้ ตากระทบรูปเกิดจักษุวิญญาณ หูกระทบเสียงเกิดโสตวิญญาณ จมูกกระทบกลิ่นเรียกฆานวิญญาณ ลิ้นกระทบรสเกิดชิวหาวิญญาณ ผิวกายกระทบโผฏฐัพพะเรียกว่ากายวิญญาณ ใจกระทบธรรมารมณ์คือความรู้สึกที่ใจก็เรียกว่ามโนวิญญาณ วิญญาณนี้จึงมีลักษณะเหมือนกับมายาอย่างยิ่ง ชั่วคราวอย่างยิ่ง ไม่มีตัวตนอะไรเลย เป็นปฏิกิริยาของการกระทบกันของอายตนะนอกใน ถ้าว่าวิญญาณอย่างนี้นี่คือวิญญาณในพุทธศาสนา วิญญาณตามหลักธรรมะในพระพุทธศาสนา ถ้าวิญญาณอย่างนู้นก็เป็นวิญญาณนอกพุทธศาสนา เป็นของชาวอินเดียซึ่งมีอยู่ ซึ่งเชื่อซึ่งสอนกันอยู่ก่อนพุทธกาล แล้วก็กระทั่งมาถึงพุทธกาล กระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังมีคนเชื่ออย่างนั้น กระทั่งในเมืองไทยนี้เดี๋ยวนี้ก็มันยังมีความเชื่ออย่างนั้น หนังสืออธิบายธรรมะเก่าๆแก่ๆโบราณก็ยังเขียนอย่างนี้นะเขียนว่าเป็นพุทธศาสนา หนังสือเล่มนั้นให้ชื่อว่าพุทธศาสนา หลักพุทธศาสนาแล้วแต่เขายังเขียนเป็นลักษณะวิญญาณของชาวอินเดียโบราณ ฮินดู ฝ่ายฮิน ฮินดู ฝ่ายอุปนิษัทฮินดูอย่างนี้ก็มี แต่เดี๋ยวนี้ชักจะหายๆไปหมดแล้ว เมื่อ เมื่อผมแรกๆก่อนบวชผมก็เคยเห็นหนังสือชนิดนี้ ซื้อมาอ่านกันอยู่ นี่ขอให้ช่วยจำกันไว้เสียทีหนึ่งก่อนว่าวิญญาณชนิดเป็นตัวเป็นตน เข้าออกร่างกาย วิ่งแล่นอยู่ในร่างกายเป็นตัวเป็นตน เดี๋ยววิ่งไปที่ตา เดี๋ยววิ่งมาที่หู เดี๋ยววิ่งไปที่จมูก อย่างนี้ไม่ใช่พุทธศาสนา แต่ก็ยังมีคนเชื่อว่าอย่างนี้อยู่นั่นแหละแม้ในประเทศไทยที่เป็นเรียกตัวเองว่าชาวพุทธนะบางคนมันยังเชื่ออย่างนี้ นี่พูดให้เข้าใจเสียว่าเราไม่ต้องเชื่ออย่างนี้ เราเชื่อว่าวิญญาณเป็นเพียงไอ้ผลเกิดจากการกระ เนื่องกันของอายตนะ ๒ วิญญาณ ๒ ความหมายอยู่ วิญญาณคำนี้ในความหมายอื่นยังมีอีกแต่อย่าเพิ่ง เพิ่งเรียนให้มันยุ่งป่วยการ ยัง ยังไม่ต้องเรียนให้มันยุ่ง รู้แต่ที่มันเป็นหลักใหญ่ ธรรมดาๆนี่ว่าวิญญาณนี่เป็นปฏิกิริยาออกมาจากการถึงกันของอายตนะนอกใน เราได้ ได้รู้จักวิญญาณว่าเป็นของชั่วคราว แม้จะมีความรู้สึกอย่างดีทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายก็เป็นของชั่วคราว มันเป็นธาตุชนิดหนึ่งเรียกว่าวิญญาณธาตุ เมื่อได้อาศัยเหตุปัจจัยอันครบถ้วนแล้วมันก็รู้สึกได้อย่างนี้ รู้สึกได้อย่างนี้ ทีนี้ไอ้คนบางคนนั่นมันก็คิดว่าโอ้ว! มันเก่งถึงอย่างนี้นี่มันก็ต้องเป็นตัวตน ก็เลยให้วิญญาณเป็นตัวตน วิญญาณเป็นไอ้ตัว ตัวตนประจำชีวิตนี้ นี่ก็ไม่ถูก ไม่ใช่ มันเป็นผลของการกระทบกันระหว่างอายตนะ แล้วมันก็สามารถจะรู้แจ้งเต็มที่เกี่ยวกับไอ้สิ่งนั้นๆ
เอ้า ทีนี้ก็เรียกว่ารู้ๆ รู้ๆมา มาตอนแรกนั่นแหละอายตนะข้างในคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะข้างนอกคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นคู่ๆกัน ถึงคู่กัน กันหมดเขาเกิดวิญญาณทั้ง ๖ อันนั้นแหละ นี่มันเป็นธรรมชาติธรรมดาอย่างยิ่งแต่เราก็ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยรู้สึก ไม่เคยศึกษา ไม่เคยรู้จัก เราอาจจะติดมาจากไอ้ความ คำพูดของคนเก่าๆว่าวิญญาณเข้าวิญญาณออก วิญญาณเที่ยววิญญาณวิ่งไปวิ่งมา เดี๋ยวมัน เดี๋ยวนี้มารู้เสียใหม่ในฐานะเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้องตามพระพุทธเจ้าว่า วิญญาณคือผลิตผลของการกระทบทางอายตนะชั่วขณะๆ เป็นครั้งๆ ชั่วขณะ เกิดแล้วทำหน้าที่เสร็จแล้วก็ดับไป ทางตาดับไป เดี๋ยวเกิดทางหู เดี๋ยวเกิดทางจมูก แล้ว แล้วแต่กรณีที่มันจะเกิดขึ้น อยากจะพูดไปเสียเลยก็ได้ว่าในครั้งพุทธกาลนั่นมีภิกษุองค์หนึ่งเขาเที่ยวๆ เที่ยวพูด เที่ยวเดินพูด ไปที่ไหนก็พูด นั่งที่ไหนก็พูด อยู่ตรงไหนก็พูด พูดว่าวิญญาณนี้แหละไปเกิด วิญญาณนี้แหละท่องเที่ยวไป วิญญาณนี้แหละเกิด วิญญาณนี้แหละท่องเที่ยวไป จะไปนั่งกับใคร พูดกับใครตรงไหนเขาก็พูดอย่างนี้ เพราะว่าเขาเป็นคนศึกษามาอย่างนั้น ทีนี้ก็ภิกษุทั้งหลายไม่ๆ ไม่เห็นด้วย ก็ว่าอย่าพูดอย่างนี้ แกก็ไม่ยอม แกก็ยังพูดอย่างนี้ ก็เลยไปฟ้องพระพุทธเจ้า ภิกษุทั้งหลายไป ไปทูลพระพุทธเจ้าว่ามีภิกษุพูดอย่างนี้ ภิกษุนี้ สาติ เกวัฏฏบุตร เรื่องชื่อ ชื่อนี่ไม่สำคัญหรอก มันชื่อ หรือจะชื่อสาติ เกวัฏฏบุตร ชื่อ นายสาติ นามสกุล เกวัฏฏบุตร พระพุทธเจ้าก็ให้เรียกตัวไป ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถามว่าเธอพูดอย่างนี้หรือ เธอพูดว่าวิญญาณนี้แหละเกิด ไปเกิดแล้วก็ท่องเที่ยว สังสะระติ ฉันทาวะติ นั่นแหละวิญญาณนี้ไปเกิด พระองค์นั้นก็ยืนยันว่าพระเจ้าข้า พูดอย่างนั้นจริง ทีนี้พระพุทธเจ้าก็ถามว่าวิญญาณอะไรของแก วิญญาณอะไรของแกเที่ยวไปเกิดแล้วท่องเที่ยวไป ไอ้วิญญาณที่มันทำให้เราพูดได้รู้สึกอะไรได้อยู่ทุกวันๆนี่วิญญาณนี้แหละมันไปเกิด มันท่องเที่ยวไปเกิด พระพุทธเจ้าก็เลยพอทีๆ ไอ้ธรรมวินัยนี้เรามีกันแต่วิญญาณที่เกิดทางอายตนะ ไม่มีวิญญาณชนิดนั้นที่เป็นตัวตนอันถาวร ไปเกิดมาเกิดอยู่อย่างนั้น วิญญาณเป็นสิ่งที่เกิดชั่วขณะๆ ชั่วการที่มีการกระทบเนื่องกันทางอายตนะ อย่าพูดอย่างนั้น แล้วก็ตรัสเรื่องวิญญาณทางอายตนะอย่างที่กำลัง เรากำลังพูดนี้ ไม่ให้ภิกษุทั้งหลายถือเอาคำพูดนั้นแล้วไม่ให้พูดอย่างนั้น นี่ว่าแม้ในวัดพระพุทธเจ้าเรียกว่าอะไรล่ะมัน ภายใต้การควบคุมของพระพุทธเจ้านี่ก็ยังมีผู้พูดอย่างนี้ ซึ่งมันตรงกันข้าม แล้วรู้เรื่องนี้ไว้เสียด้วยว่าวิญญาณนั่นที่เขาพูดกันอยู่ในโลกนี่มันมี ๒ ชนิดอย่างนี้ วิญญาณเป็นตัวเป็นตนถาวร วิญญาณนี้จะท่องเที่ยวไปแล่นไป เกิดไปๆ เกิดไปแล้วก็ค่อยดีขึ้นๆ บริสุทธิ์ขึ้นแล้วก็ไปรวมเป็นวิญญาณใหญ่ที่เรียกว่าปรมาตมัน แล้วก็ไม่เกิดไม่อะไรอีกต่อไป นั่นของพวกนู้นไม่ใช่พุทธศาสนา เดี๋ยวนี้เขารวมๆเรียกกันว่าอุปนิษัท คัมภีร์อุปนิษัท จะพูดว่ามีตัวตนอย่างนั้น เรียกว่าบุคคลก็มี เรียกว่าบุรุษก็มี เรียกว่าอะไรก็มีหลายๆชื่อรวมทั้งชื่อว่าวิญญาณด้วย นี่รู้จักไว้ว่าไม่ใช่พุทธศาสนา มัน มันมีคำสอนคล้ายๆกันที่ว่าวิญญาณนี้เป็นตัวทำกรรม เป็นตัวรับผลกรรมเป็นตัวอะไรจนกว่ามันจะฉลาด จนกว่ามันจะปล่อยวางไอ้เรื่องอารมณ์เรื่องโลกเรื่องอะไรต่างๆ แล้วมันก็บริสุทธิ์มากขึ้นๆจนบริสุทธิ์ถึงที่สุดไปรวมกับวิญญาณใหญ่เป็นวิญญาณของไอ้ทั้งหมดแหละของสากลจักรวาล วิญญาณใหญ่วิญญาณรวม แต่พุทธศาสนาจะไม่มีวิญญาณชนิดนั้น ไม่มีวิญญาณที่ไป ไปเกิดแล้วมีวิญญาณที่ไปรวมกับวิญญาณใหญ่อย่างนั้น เค้าเงื่อนอันนี้ตีกันยุ่งแต่ผมไม่หยั่ง ไม่อยากจะพูดให้มันยุ่ง เพราะว่าในที่บางแห่งเรียกนิพพานว่าเป็นวิญญาณก็มี ในพระคัมภีร์ของเรานี่กลัวกระเส็นกระสายนั้นมันจะเหลืออยู่ เอานิพพานเป็นวิญญาณถาวร วิญญาณใหญ่วิญญาณทั้งหลายมันจะไปรวมกับวิญญาณที่ ที่ คือนิพพานอย่างนี้ก็ได้ แต่อย่ารู้เลย ถึงรู้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกมันยังจะทำยุ่งเพราะมันยังจะต้องอธิบายกันลำบาก เอาแต่ว่าวิญญาณทางตา วิญญาณทางหูวิญญาณทางจมูกเกิดขึ้นทุกคราวที่มีการกระทบทางอายตนะ จำไว้ดีๆว่าข้างในมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ข้างนอกมีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นคู่ พอจับคู่กันเข้าก็เกิดวิญญาณได้ ๖ ชนิด ในการสัมผัสครั้งหนึ่งมันจึงมีสามๆ สามเส้าแหละคือมีอายตนะข้างใน อายตนะข้างนอกและวิญญาณที่เกิดขึ้นมาใหม่เป็น ๓ สิ่ง วิญญาณนี่เป็น เกิดขึ้นเพราะการกระทบของคู่อายตนะ แล้วมันก็ทำหน้าที่รู้สึกสัมผัสอายตนะนั้นเอง จึงมีคำตรัสว่าไอ้ ๓ อย่างนี้ถึงกันอยู่ ทำงานร่วมกันอยู่ นี้คือผัสสะ นี้เรียกว่าผัสสะ ผัสสะนั้นไม่ใช่กระทบระ เพียง ๒ อย่างคือตากับรูปเท่านั้นไม่ใช่ ยังไม่เป็นผัสสะ ต้องเกิดวิญญาณขึ้นเป็นอีกอย่างหนึ่งแล้วเป็น ๓ อย่างแล้วทำงานคู่กันอยู่ ทำงานร่วมกันอยู่ ก็หมายความว่าวิญญาณที่มันเกิดขึ้นมันสัมผัสลงไปบนอายตนะภายนอกคือรูป จึงเรียกว่าสัมผัสคือถูกต้อง เมื่อ ๓ อย่างนี้ทำหน้าที่ร่วมกันอยู่นั่นจะเรียกว่าสัมผัส ไอ้คนทั่วไปหรือว่าแม้ในโรงเรียนนักธรรมที่สอนกันสะเพร่าๆก็จะสอนนักเรียนว่าตาสัมผัสรูป หูสัมผัสเสียงนี่มันไม่ถูก มันต้องเกิดวิญญาณก่อน แล้ววิญญาณนั่นแหละเป็นผู้รู้ รู้ต่อสิ่งนั้นซึ่งเรียกว่าสัมผัส นี่คำว่าสัมผัสจำไว้ให้ดีว่าของ ๓ อย่างกำลังทำงานด้วยกันอยู่คือทำงานรู้สึกอยู่ พอมีสัมผัสอย่างนี้แล้วมันก็จะเกิดเวทนา เพราะมีสัมผัสจึงเกิดเวทนาคือความรู้สึกเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง เป็นอทุกขมสุขคือไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง ก็เกิดเวทนา ไอ้เกิดเวทนาที่เป็นสุขมันก็แค่พอใจและหลงรัก เวทนาที่เป็นทุกข์มันก็ทำให้เกลียดและโกรธอยากจะทำลายเสีย ถ้าเวทนาไม่ทุกข์ไม่สุขมันก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรมันก็เกิดความสงสัยอยู่ หวังอยู่ คือเกิดความไม่รู้ขึ้นมาเลย ถ้ามันไม่ ไม่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์แน่นอนลงไปมันก็เกิดความสงสัยคือโมหะหรือความไม่รู้ ไม่รู้จักไอ้เวทนานั้น ถ้าเป็นสุขก็เกิดราคะหรือโลภะ ถ้าเป็นทุกข์ก็เกิดโทสะหรือโกธะ ถ้าไม่ทุกข์ไม่สุขก็เกิดโมหะที่มันชัดเจน ที่เป็นคนชัดเจน ถ้ามันเกิดเป็นสุขมีราคะหรือโลภะมันก็มีปัญหาไปอย่างหนึ่งแหละตามแบบของมัน ตามแบบของเรื่องที่ถูกใจพอใจรักใคร่ ถ้ามันเกิดเป็นทุกข์ไม่พอใจมันก็เกิดโทสะโกธะ ก็เกิดปัญหาไปอีกแบบหนึ่งมันไม่ตรงกันหรอก ถ้ามันไม่ทุกข์ไม่สุขมันก็ทำให้โง่ดักดานอยู่อย่างนั้นแหละ มันก็เกิดปัญหาไปอีกแบบหนึ่ง
ทีนี้เราก็มาดูสิว่าไอ้เวทนาที่เป็นสุขนั่นแหละเป็นตัวร้าย แล้วก็พอใจในความรู้สึกที่เป็นสุข เราอร่อยในความสุข คำว่าเราในที่นี้สมมติไอ้ร่างกายโง่ๆ จิตใจโง่ๆนี่สมมุติเรียกกันว่าเรา ความอร่อยในเวทนาที่เป็นสุขนี่แหละมันบังคับ มันไสหัวดีกว่า มันไสหัวคนให้ไปแสวงหาเหยื่อแห่งความอร่อยอย่างนั้นอีก นี่คือการที่เราเป็นทาสมัน เป็นขี้ข้ามัน ความอร่อยในเวทนาที่เป็นสุขมันบังคับไสหัวคนให้ไปแสวงหาเหยื่อเช่นนั้น อย่างนี้กิริยาอันนี้เรียกว่าเป็นทาสของอายตนะ เป็นทาสของอายตนะ ทุกคนเป็นทาสของอายตนะไม่มากก็น้อย เป็นทาสอย่างเลวร้ายโง่เขลาที่สุดก็เป็นอันธพาลที่สุด เป็นทาสน้อยลงๆก็เป็นคนธรรมดาน้อยลงๆจนว่าเป็นพระอะ อริยเจ้าชั้นต้นๆ ไม่เป็นทาสเลยก็เป็นพระอรหันต์เท่านั้น ที่จะไม่เป็นทาสอายตนะเลยก็เป็นพระอรหันต์เท่านั้น เดี๋ยวนี่บอกให้รู้ว่าเป็นทาสของอายตนะนั้นมันเป็นความทุกข์ ฉะนั้นเพลากันเสียบ้าง มีสติสัมปชัญญะเพื่อจะไม่ให้เป็นทาสทางอายตนะไว้ได้ทุกที ก็ดีเหมือนกัน จะไม่ใช่เด็ดขาด ไม่ใช่ว่าไม่เป็นทาสเลยโดยประการทั้งปวงตลอดกาลทุกเมื่อไม่ใช่ แต่ว่ามี มีสติรู้เท่าทัน บังคับได้เท่าไรมันก็ไม่เป็นหรือมันเป็นไม่มาก มันเป็นแต่น้อยๆมันไม่เกิดเรื่อง นี้คนเรามันเป็นทาสทางอายตนะคือความอร่อยที่เกิดทางอายตนะ เราจึงใช้คำว่าเป็นทาสของอายตนะ สิ่งที่มีชีวิตจะเป็นอย่างนี้ ถ้ามันมีความรู้สึกทางเวทนาแล้วมันก็จะเป็นทาสอายตนะกันทั้งนั้น หมูหมากาไก่อะไรก็ตาม แต่มันก็ไม่เป็นมากเหมือนคนนะ ไอ้คนนี่มันมีความคิดมากอะไรมากมันเลยได้เป็นทาสมากกว่า เราจึงมีความลำบากยุ่งยากมากกว่าไอ้หมูหมากาไก่ ซึ่งมันเป็นทาสทางอายตนะน้อยกว่าคน ที่ดูกันได้เห็นได้ง่ายๆก็ต้องไปหาอร่อย ไป ไปหาของอร่อย คุณทำงานที่นี่แล้วคุณต้องนั่งรถยนต์ไป ๑ ชั่วโมงไปกินอาหารอร่อยที่โน่น มันอะไรไสหัวมันไป อะไรไสหัวมันไป ข้าราชการคนหนึ่งมันทำงานที่นี่ พอถึงตอนกลางวันมันต้องนั่งรถเป็นชั่วโมงไปกินอาหารที่โน่น ถามว่าอะไรไสหัวมันไป นั่นแหละคือความเป็นทาสทางอายตนะ บางคนที่นั่งอยู่ที่นี่อาจจะเคยไหม จะเคยบ้างไหม ต้องไปกินที่ร้านนั้นต้องไปกินที่ร้านนี้ ถ้าไม่สู้จะเป็นทาสทางอายตนะมันก็หากินได้ข้างๆออฟฟิตนั่นแหละ ไม่กี่สตางค์ ไม่กี่สตางค์ก็ได้ ไม่ต้องเสียค่าน้ำมันรถยนต์ เท่าไรมัน ๑ ชั่วโมงไปกินที่ร้านที่อร่อยที่สุด นี่รู้จักเรื่องความเป็นทาสของอายตนะ โดยมากก็เรื่องการกินนั่นแหละ การกินนั่นแหละ แล้วทำไมอยู่บ้านไม่ได้ต้องไปดูอะไรสวยๆ เป็นทาสทางอายตนะ ไม่ใช่เพื่อการศึกษา ไม่ใช่เพื่อของแปลก ไปดูสวยๆเพื่อเย้า รั่วเร้า ยั่วเร้าอารมณ์ นี่ต้องไปดูไอ้ที่ตำรวจจับบ่อยๆนั่น ทำไมจะต้องทำอย่างนั้นเล่า แล้วต้องไปฟังเพลงฟังดนตรีอันมีเกียรติ อันมีเกียรติ และต้องซื้อหามาไว้ที่บ้านเยอะแยะ ดังนั้นเราไปสำรวจดูอะไรที่มันมีอยู่ในบ้านเรือนของเรานะจะพบว่าไอ้สิ่งที่ไม่จำเป็นมีอยู่มาก สิ่งที่ไม่จำเป็นมันมีอยู่มาก ไอ้ส่วนนั้นแหละมันเป็นส่วนเกินที่เป็นทาส เป็นทาสของอายตนะ ต้องเอามาประดับอย่างนั้นมาประดับอย่างนี้ ต้องอวดอย่างนั้นต้องอวดอย่างนี้ แม้ที่สุดจะไปซื้อวิทยุทีวีมานี่โดยเนื้อแท้ก็เป็นทาสทางอายตนะ มันไม่ได้เพื่อการศึกษาโดยแท้จริง มันเพื่อ มันไม่ได้เพื่อฟังไอ้สารคดีโดยแท้จริง มันฟังสนุก ดูไอ้ที่ตอนสนุกๆนั่นจะเป็นทีวีก็ดีเป็นวิทยุก็ดีนี่ความเป็นทาสของอายตนะ แล้วมันก็ต้องมีอะไรมากขึ้น ต้องมีตู้เย็นต้องมีอะไรที่ชนิดที่ว่ามันมีความอร่อยมากขึ้น ความอร่อยทางอายตนะมันไสหัวคนเหล่านั้นให้ไปหาเหยื่อให้มัน อย่างนี้เราเรียกว่ามันเป็นทาสทางอายตนะ เป็นความจริงยิ่งกว่าจริงแต่คนโง่มันจะมองไม่เห็น ต้องพูดอย่างนี้มันเป็นความจริงยิ่งกว่าจริง ถ้ามันมองเห็นมันก็ไม่ทำหรอกเพราะมันทั้งเปลืองทั้งไอ้เจ็บปวดทั้งไอ้ลำบาก แต่นี้มันมองไม่เห็นนี่มันก็เลยต้องทำ ทำสิ่งที่ไม่จำเป็นเพราะความเอร็ดอร่อยทางอายตนะ ทีนี้ถ้าว่ามันเป็นขั้นรุนแรงคือทางเพศทางกามารมณ์แล้วอันนี้ยิ่งร้ายใหญ่ ร้ายเหลือประมาณ มันเป็นทาสสุดเหวี่ยง เป็นทาสไม่รู้กี่พันกี่หมื่นเปอร์เซ็นต์นะ มันเป็นทาสของความเอร็ดอร่อยทางอายตนะเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับเพศ หรือจะรวมเรียกว่ากามารมณ์ก็ได้นั่นยิ่งเป็นกันใหญ่สุดเหวี่ยงเลย ทีนี้ถ้าว่ามันเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายก็ ก็ตามใจ แต่ถ้ามันเข้าไปเนื่องกันกับเพศแล้วมันก็ยิ่งๆ ยิ่งมากกว่าธรรมดา ไอ้รูปสวยอย่างนี้ถ้าสวยธรรมดามันก็อย่างหนึ่ง ก็เป็นทาสเพียงเท่านั้น แต่ถ้าว่าไอ้รูปสวยนั้นมันเนื่องกับเพศเนื่องกับกามารมณ์ด้วยมันมากกว่าธรรมดา เสียงก็เหมือนกันแหละ รูปของเพศตรงกันข้าม เสียงของเพศตรงกันข้าม กลิ่นของเพศตรงกันข้าม รสจากเพศตรงกันข้าม สัมผัสจากเพศตรงกันข้าม ความรู้สึกคิดนึกเกี่ยวกับเพศตรงกันข้ามนี่มันมีรุนแรงมากพอที่จะทำให้คนโง่สุดเหวี่ยง หลงใหลสุดเหวี่ยง ทำอะไรสุดเหวี่ยงโดยไม่รู้สึกว่าเป็นทาสของอายตนะ ทีนี้ไอ้ความอร่อยทางอายตนะมันก็ไสหัวไอ้คนเหล่านั้นให้ทำทุกอย่างทุกประการในเรื่องที่เกี่ยวกับเพศ คนร่ำรวยนั่นเขาใช้เงินที่หามาได้เกี่ยวกับเรื่องเพศนี่มากกว่าเรื่องอะไร แล้วก็มีมาก มีมากมีการบำรุงบำเรอทางเพศหลายอย่างหลายประการหลายชนิด หลายแห่งหลายที่หลายเวลา มันเป็นทาสทางอายตนะสุดเหวี่ยงมันก็ต้องได้รับปัญหายุ่งยากสมน้ำหน้ามันแหละ ไม่ต้องแช่งมันแล้วมันก็ต้องได้รับไอ้ความยุ่งยากลำบากสมน้ำหน้ามัน ไม่ต้องไปแช่งมันหรอก เราไม่ไปพูดถึงดีกว่า พูดถึงแต่ว่าเราเดี๋ยวนี้แม้เป็นพระนี่ระวัง เป็นพระเป็นเณรในวัดนี่ระวัง มันจะมีการเป็นทาสทางอายตนะได้เหมือนกันตามสัดส่วนที่มันมี ไอ้ทาสทางอายตนะนี้มันซับซ้อน ถ้ามันได้อย่างใจมันก็หลงรัก หลงรักบ้าไปในเรื่องหลงรัก มันก็ทรมานสุดเหวี่ยง ถ้ามันไม่ได้อย่างใจมันโกรธมันอาละวาดมันเล่นงานคนอื่น มันเล่นงานคนอื่นเดือดร้อนด้วยถ้ามันไม่ได้อย่างใจ ได้อย่างใจมันก็ไปอย่างหนึ่งสุดเหวี่ยงไปอย่าง ไม่ได้อย่างใจมันก็บ้าไปอย่างหนึ่ง มันจึงฆ่ากันได้ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ก็ยังได้ เมื่อมันไม่ได้สมหวังในการที่จะเป็นทาสทาง ของอายตนะมันฆ่าพ่อฆ่าแม่มันก็ได้ ที่เราอ่านพบในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆจะมีอยู่แทบจะทุก ทุกเดือนๆไอ้คนฆ่าพ่อฆ่าแม่เพราะไม่ความสม เพราะความไม่สมหวังเกี่ยวกับเรื่องเพศนี่ เกี่ยวกับเรื่องความรักนั่นแหละไอ้ความรักที่บูชากันนักแหละ ไอ้คนโง่มันว่าเป็นของน่าบูชา แต่ว่าไอ้ความจริงมันเป็นทาสของอายตนะ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าความรักๆนะ ความเป็นทาสของอายตนะ แต่เมื่อมันพอใจเสียแล้วมันสมัครใจเสียแล้วมันก็สมัคร มันก็ไม่รู้สึกว่าเป็นทาส มันกลับอร่อยสนุกสนานในการที่เป็นทาสนั่นเอง มันก็เลยเป็นทาสหนักขึ้น
ความเจริญของมนุษย์ คุณคอยฟัง ช่วยฟังให้ดีเถอะ ไอ้ความเจริญของมนุษยชาติทั้งโลกนี่มันเจริญก้าวหน้าไปตามความเป็นทาสของอายตนะ นี่ผมกล้ายืนยันอย่างนี้ คุณเอาไปคิดคุณเอาไปค้านเอาไปก็ได้ว่าไอ้ความเจริญไอ้วิวัฒนาการเจริญศิวิไลเซชั่น (civilization)ไอ้ความเจริญอะไรก็ตามนี่มันก้าวหน้าไปตามความเป็นทาสของอายตนะ มันเป็นทาสของอายตนะมากเท่าไรมันก็มีความเจริญก้าวหน้ามากเท่านั้น ยิ่งเจริญคือยิ่งบ้านั่นแหละ ต้องมีอย่างนั้นต้องมีอย่างนู้นต้องมีอย่างนี้ คนแต่ก่อนมันไม่ต้องมีอะไรอย่างที่คุณ คนเดี๋ยวนี้มี ไม่ต้องกินน้ำแข็งไม่ต้องกินน้ำอัดลมไม่ต้องทำอะไรหลายๆอย่าง ซึ่งมันไม่ต้องสูบบุหรี่ไม่ต้องอะไรก็ตามมันก็ไม่มีปัญหา แล้วมันก็เจริญจนว่ามันล้างก้นไม่ได้ มันล้างก้นไม่ได้มันต้องใช้กระดาษชำระ กระดาษสำอางสำหรับชำระแทนล้างก้น แม้อย่างนี้ก็ยังเห็นได้ชัดว่ามันเป็นทาสของอายตนะ มันไม่ยอมลำบากใช้น้ำมันต้องใช้กระดาษ เดี๋ยวนี้ค่ากระดาษเช็ดก้นนั่นคุณคำนวณได้ไหมว่ามันกี่ร้อยล้านกี่พันล้านต่อเดือนต่อปีทั้งโลก หนัง ข่าว ข่าวเมื่อคืนนี้ ประ ประเทศรัสเซียนั่นกำลังลำบากยุ่งยากเรื่องการผลิตกระดาษเช็ดก้นนี้ไม่พอ เดือดร้อนกันเป็นการใหญ่ ไปเข้าคิวเป็นแถวเพื่อซื้อกระดาษเช็ดก้น ได้แล้วก็ร้อยเป็นพวงมาลัยแขวนคอกลับบ้านดีใจใหญ่ ดีใจเพราะได้กระดาษเช็ดก้น ถ้าว่ามันยังล้างได้มันก็ไม่ต้อง นี่ไอ้ความเป็นทาสทางอายตนะความสะดวกสบาย มันก็มีเหมือนกันแหละที่เพื่อความสะดวกสบายแต่พอดีแต่ถ้ามันเลยเถิดจนเป็นปัญหาก็คือความโง่ ไปดูเอาเองบรรดาเครื่องสำอางทั้งหลายนั่นแหละคือ เป็นผลิตผลของการเป็นทาสทางอายตนะที่ทำให้ต้องผลิตขึ้นมาในโลกแล้วผลิตมากๆ คนแต่ก่อนไม่ต้องมีเครื่องสำอางนะ คนเดี๋ยวนี้ต้องมีเครื่องสำอาง ค่าใช้จ่ายของผู้หญิงนี่เฉพาะในส่วนที่เป็นเครื่องสำอางนะจะพอๆกับค่าอาหาร นี่เพราะว่ามันเป็นทาสทางอายตนะ ต้องกินอย่างนั้นต้องนุ่งอย่างนี้ต้องไอ้ใช้อย่างโน้น คุณคงจะรู้ได้ดี ผมไม่ต้องพูดก็ได้ว่าอะไรที่มันเป็นส่วนเฟ้อส่วนเกิน ที่เป็นเรื่องส่วนเฟ้อส่วนเกินเหลือเฟือทั้งหลายนั่นมันมาจากความเป็นทาสทางอายตนะทั้งนั้น ถ้าเรามีกันแต่พอดีๆมันก็ไม่มีปัญหาเหล่านี้ นี่ก็ธรรมะมันจะช่วยให้รู้เรื่องนี้ให้เป็นทาสอายตนะน้อยลง คนหนุ่มคนสาวมันก็นอนตกนรกทั้งเป็นด้วยความละเมอเพ้อฝันถึงแฟนถึงคู่รัก ถึงเรื่องไอ้สิ่งที่จะก้าวหน้าตามแบบของความรัก คนหนุ่มคนสาวมันเป็นทาสของอายตนะแม้ในความรู้สึก แม้ยังมิใช่การกระทำ แม้ยังไม่ได้เกี่ยวข้องทางวัตถุมันก็ยังนอนเป็นทาสของอายตนะในความฝัน ก็จะทั้งโลกแหละทั้งโลก ดังนั้นขอให้คำนวณดูว่าไอ้การเป็นทาสทางอายตนะนี่มันใหญ่โตมโหฬารสักเท่าไร ถ้าคนเราไม่เป็นทาสทางอายตนะมันก็ไม่ต้องการอะไรนักหรอก มันต้องการพออยู่สบายไม่ต้องการอะไรนัก ก็เลยไม่ต้องก้าวหน้าถึงคิดว่าจะครองโลก เดี๋ยวนี้มันคิดจะครองโลกนี่เพื่อจะเอาวัตถุปัจจัยแห่งความอร่อยทางอายตนะมาเป็นของเราคนเดียวผู้เดียวฝ่ายเดียว นี่มันมีผลถึงกับว่าเกิดมหาสงครามยืดเยื้อตลอดเวลา ไอ้ความที่มันเป็นทาสทางอายตนะ พวกหัวซ้ายมันก็เป็นทาสทางอายตนะบรมโง่ ไอ้พวกหัวขวามันก็เป็นทาสทางอายตนะอย่างบรมโง่ คุณเป็นหัวซ้ายหรือหัวขวาล่ะคุณไปแยกแยะดูเอง มันก็มีความเป็นทาสทางอายตนะของมันอย่างสุดเหวี่ยง ฉะนั้นอย่าอวดดีเผยอหน้ามาว่ากูอย่างนั้นกูอย่างนี้เลย ก้มดูหัวแม่ตีนของมันเสียบ้างว่ามันเป็น เป็นทาสของอายตนะหรือเปล่า คนนิยมซ้ายก็ดีคนนิยมขวาก็ดีก้มดูหัวแม่ตีนของตัวเองว่ามันเป็นอา เป็นทาสทางอายตนะหรือเปล่า และมันก็แฝงไว้ในความอยากดีอยากเด่นอยากดัง อันนี้ก็สำคัญมาก มันก็เป็นทาสทางอายตนะอันลึกซึ้งฝ่ายมโนทวารนะ จะทำอะไรให้ดีให้เด่นให้ดังอย่างที่ไอ้เขานิยมทำกันนัก เสร็จการศึกษาก็ออกพัฒนาบ้างอะไรบ้าง มันเป็นทาสทางอายตนะ มันเห่ออุดมคติเป็นนักพัฒนา แต่ผมสังเกตเห็นว่าไอ้ที่มันออกพัฒนานั้นมันเพื่อจะหลอกตัวเอง หาความใกล้ชิดทางเพศกันมากกว่าที่อื่นไม่สะดวก เรียนเสร็จแล้วสมัครเป็นนักพัฒนาไปตามหมู่บ้านเป็นคู่ๆทั้งหญิงทั้งชายเพื่อหาโอกาสใกล้ชิดระหว่างเพศมากกว่า ไอ้นี่มันก็เป็นทาสทางอายตนะอย่างยิ่งนะ จริงไม่จริงคุณไปดูเอาเองเถอะ ไม่จริงก็ด่าผมก็แล้วกันนะ แต่ผมมันมองเห็นอย่างนั้น แล้วก็เอามาพูดให้ฟังว่าปัญหาอย่างใหญ่หลวงของเรามนุษยชาตินี่ที่ควรจะศึกษาคิดนึกให้ดีเรื่องหนึ่งก็คือความเป็นทาสทางอายตนะ ถ้าเป็นมากก็ได้เป็นสุนัขเดือนสิบ คุณฟังออกไหมว่าสุนัขเดือนสิบหมายความว่าอย่างไร อาจจะไม่เข้าใจก็ได้มันเป็นคำเก่าๆ คือฤดูที่สุนัขมันบ้าทางเพศจัดที่สุดมันเป็นเดือนสิบ แต่เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนเสียแล้วเพราะเหตุการณ์ในโลกมันเปลี่ยน มันจะทุกเดือนก็ได้ แต่ถ้าว่าเป็นอย่างโบรมโบราณ โบราณๆมันสะดวกเดือนสิบเพราะเป็นเดือนที่สบายที่สุด อาหารการกินมากที่สุด เป็นฤดูสารท สาระทะอ่านว่าสารท คำว่าสารทนั้นมันแปลว่าเดือนเป็นที่ยินดีแห่งสุนัข สานั่นแปลว่าหมา รทแปลว่ายินดี สารทแปลว่าเดือนเป็นที่ยินดีแห่งหมา คือหมาเขาทำอะไรกันเต็มที่เลยฤดูสารท นั่นก็เพราะว่ามันเป็นทาสของอายตนะสุนัขเหล่านั้น มันยิ่งเป็นทาสทางอายตนะเท่าไรมันก็จะได้เป็นสุนัขเดือนสิบมากก็เท่านั้นมันจะดีเด่อะไรมาจากไหน รู้สึกตัวไว้บ้างอย่าให้มันมากจนหน้าเกลียด หรือว่าถ้าควบคุมไว้ได้อย่าต้องเป็นทุกข์เป็นยากลำบาก ปกติอยู่ได้นั่นแหละดี ไม่เป็นทาสของอายตนะแล้วก็วิเศษแหละคนเรา แม้แต่มันต้องเรียกน้ำปลามาเติม เมื่อกินอาหารมันต้องเรียกน้ำปลามาเติมเท่านั้นแหละ เท่านั้นแหละมันก็คือเป็นทาสของอายตนะ ไม่เติมก็ได้มันก็กินได้เหมือนกัน แล้วมันก็ได้ประโยชน์เหมือนกันแหละ มันต้องเรียกน้ำปลา น้ำปลามาเติม พอหาน้ำปลาไม่ได้มันโมโห สมน้ำหน้ามัน คนเป็นทาสทางอายตนะ ผมก็เคยนะไม่ใช่ว่าจะมา ก็รู้ดีเรื่องนี้ก็รู้ดี มีความรู้สึกว่าดีเมื่อมันเป็นทาสของอายตนะนั้นเป็นอย่างไร เย็นๆกินไม่ได้ต้องให้ร้อนเสียก่อน ต้องมีหม้อไฟใช่ไหม อาหารบนโต๊ะบนเหลานี่ต้องมีไอ้ชนิดที่มันมีไฟอยู่ด้วย นั่นนะมันเป็นทาสทางอายตนะต้องให้ได้สมใจให้ได้อย่างใจ เดี๋ยวนี้เขาก็ทำให้พระกลายเป็นทาสทางอายตนะไปด้วย อาหารที่ถวายพระก็ต้องมีหม้อไฟอย่างนี้ด้วย ตัวเองไม่พอ เคยๆเห็นรูปถ่ายไม่ ไม่เคยมีใคร ร้อยแปดพันประการที่คุณจะคิดได้เองโดยที่ผมไม่ต้องบอกว่าความเป็นทาสทางอายตนะนี่มันมีกันอย่างไร เท่าไร ที่ไหน เมื่อไร เดี๋ยวนี้ยืนยันว่าทั้งโลก นับตั้งแต่ต่ำสุดขึ้นไปจนถึงสูงสุดเลย วิวัฒนาการของมนุษย์นี่ถูกชักนำไปโดยความเป็นทาสของอายตนะ ความเป็นทาสของอายตนะนั่นแหละชักนำวิวัฒนาการวัฒนธรรมอะไรต่างๆ พูดถึงวัฒนธรรมแล้วก็น่าใจหาย วัฒนธรรมเดี๋ยวนี้มีมากมายหลายอย่างที่ไม่จำเป็นจะต้องมีนะ ก็ยังเรียกว่า ว่ามี ต้องมี วัฒนธรรมบ้าเหล่านั้นมันมี มีขึ้นมาแล้วก็แพงด้วย แล้วอะไรชักนำให้เกิดขึ้น ก็ความเป็นทาสทางอายตนะ จะเป็นการเขียน การวิจิตรศิลป์ การประดับประดา ดนตรีเพลงอะไรก็ตามมันเกิดขึ้นมาเรื่อย เกิดขึ้นมาเรื่อย เดี๋ยวนี้ใครนับถูกไหมว่าไอ้เพลงในโลกที่มันร้องกันอยู่เดี๋ยวนี้มันมีกี่หมื่นเพลง มันมีกี่หมื่นเพลง เมื่อก่อนมันไม่มีก็ได้นะ แล้วมันค่อยๆมี ค่อยๆมี แล้วมันกำลังมีๆ มีมากขึ้นๆทั้งโลกนี่ เดี๋ยวนี้คงจะมีเป็นล้านๆเพลงนะเพลงในโลก นี่ความเป็นทาสทางอายตนะมันชักนำไป พูดได้ว่ามนุษย์ทุกคนในโลกมันเป็นทาสทางอายตนะ ภาษาบาลีเขาว่าตัณหาชักนำไป ชักนำไปโดยตัณหาชักนำไปหาสิ่งนั้นไปหาสิ่งนี้ไปหาสิ่งนู้น แล้วก็ยังไม่มีจุดจบ ยังไม่มีทางที่จะจบ เพราะว่าความคิดของมนุษย์ยังไปได้ไกลอย่างไม่รู้จักจบ เพราะฉะนั้นเขาก็อาจจะเป็นทาสของอายตนะไปได้อย่างไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักจบ ดังนั้นเรามาชำระสะสางกันให้ดีๆ ลดมันออกไปเสียที่มันลดได้ละออกไปเสียให้มันเหลือน้อยเข้า แล้วก็ไม่ต้องยินดีจนถึงกับว่าเป็นทาสของมัน ถ้ามันจะไม่ได้คือมันเกิดไม่ได้ก็ว่าโอ้ย! ช่างหัวมันแหละ เช่นนั้นเอง มัน มันเช่นนั้นเอง ไม่มีอะไรอร่อยที่จะกินก็กินไปเท่าที่มันจะมีจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่มีอะไรจะใช้สวยๆงามๆมันก็ใช้มันไปอย่างนั้นไม่ต้องเดือดร้อน ฉะนั้นขอให้ไปจัดการด้วยกันทุกๆคน ทุกๆองค์ไปชำระสะสางไอ้ตัวเองเกี่ยวกับความเป็นทาสทางอายตนะของตัวเองนั่นแหละแล้วก็กำจัดออกไป กำจัดออกไปตามที่จะกำจัดได้ ถ้าเป็นหัวหน้าครอบครัวก็ยิ่งทำได้มากแหละยิ่งทำได้มาก ควบคุมได้มาก อย่าเตรียมตัวสำหรับจะไปเป็นทาสทางอายตนะ ผมมองดูหน้าตาของนักศึกษาหนุ่มสาวที่กำลังเรียนอยู่ หรือกำลังเรียนเสร็จ หรือกำลังหางานทำนี่ดูหน้าตามันแล้วมันเตรียมพร้อมที่จะไปเป็นทาสทางอายตนะทั้งนั้นเลยโดยเฉพาะทางเพศ โดยเฉพาะทางเพศ ถึงแม้ไม่เกี่ยวกับทางเพศแล้วมันก็เตรียมพร้อมมันกระหยิ่มที่จะไปเป็นทาสทางอายตนะ จะหา หางานทำให้ได้เงินมากๆแล้วจะได้เงินทั้งหมดนั้นซื้อของ หาของเอร็ดอร่อยสวยงาม ความฟุ่มเฟือยทั้งนั้นเลย นี่มันเตรียมนะมันเตรียมสำหรับจะไปเป็นทาสทางอายตนะ แล้วโลกนี้มันจะเจริญอย่างไร ถ้าคนหนุ่มสาวเหล่านี้เป็นผู้นำมันก็นำลงนรกแหละ ให้มันออกหนังสือพิมพ์สักฉบับมันบ้าเลยแหละผมกล้าพูดอย่างนี้ หนังสือพิมพ์ที่คนหนุ่มสาวชนิดนี้มันจะทำขึ้นมามันเรียกบ้าเลย ฉะนั้นช่วยกันดูสิช่วยกันดูเรา ดูเราเป็นหลักว่าเราจะระวังไม่ให้เกิดอาการเป็นทาสของภูตผีปีศาจชนิดหนึ่งคือกิเลสตัณหา แต่เดี๋ยวนี้เราเรียกอย่างสุภาพนะว่าอายตนะ อย่าเป็นทาสของอายตนะเลย ที่จริงก็คือไม่เป็นทาสของภูตผีปีศาจคือกิเลสตัณหานั่นเอง มีอวิชชาเป็นแม่บท มันไม่รู้ตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอะไร มันก็ถูกความเอร็ดอร่อยชักพาไป จะเป็นภาษิตของพระเถระเทศน์รัฐบาลหรืออะไรองค์หนึ่งผมก็จำไม่ค่อยได้แน่ว่ามนุษย์เป็นทาสแห่งตัณหา เป็นทาสแห่งตัณหา เดี๋ยวนี้ผมจะพูดว่าเป็นทาสแห่งอายตนะมันก็เรื่องเดียวกันแหละ อายตนะมันให้เกิดเวทนาเกิดตัณหาแล้วมันก็เป็นทาสของตัณหา พูดอย่างนั้นก็ได้ เดี๋ยวนี้เราจะพูดอย่างวิทยาศาสตร์หน่อยว่าเป็นทาสของอายตนะ คือสิ่งที่สัมผัส เกิดความรู้สึกเป็นอารมณ์ มนุษย์เป็นทาสของตัณหา ตัณหาชักพาไป ตัณหาครอบคลุมอยู่ ตัณหาร้อยจมูกพาไป อย่างนี้มี คำเหล่านี้มีในบาลี
คุณบวชกัน ๓ เดือนนะผมก็เลือกไอ้เรื่องที่เห็นว่าสำคัญที่สุด จำเป็นที่สุด รีบด่วนที่สุดแหละมาพูดกัน ถ้าว่าจะบวชเพียง ๓ เดือน ก็จะได้มีความรู้ความเข้าใจติดตัวไปตลอดชีวิต ควบคุมความเป็นทาสของอายตนะ สุภาพกว่าที่จะพูดว่าเป็นทาสของกิเลสซึ่งสกปรกหยาบช้าเลวทราม พูดว่าอย่าเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าเป็นทาสของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี่จุดสำคัญหัวใจของเรื่องไอ้ความรอดของมนุษย์ อย่าเป็นทาสของอายตนะ แล้วเรื่องมันก็จะไม่ขยายตัวออกไปในทางที่จะเป็นทุกข์ได้มันขยายออกไปไม่ได้ เรามาศึกษาเรื่องนี้ มีสติสัมปชัญญะโดยการฝึกกรรมฐาน ทำให้มีสติสัมปชัญญะ ปัญญา สมาธิเพียงพอมันก็ควบคุมอายตนะไว้ได้ เวทนาไม่อาจจะหลอกลวงให้โง่ได้ อายตนะไม่อาจจะหลอกลวงให้เราโง่ให้ไปหลงมันได้เพราะเรามีความรู้ที่ถูกต้อง การศึกษาเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตามีประโยชน์อย่างนี้ ตัวอายตนะเองก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รสอร่อยทางอายตนะเองก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหยื่อของอายตนะเองก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือมันไม่มีอะไรถ้ามันเป็นไอ้ เป็นไอ้ ไอ้สังขตธรรม ยกเว้นพระนิพพานอย่างเดียวก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเต็มที่ ถ้ามีความรู้เรื่องนี้มันก็ประทังไว้ได้ มันได้สติ มันบังคับไว้ได้ มันควบคุมไว้ได้ มันยับยั้งไว้ได้ ไม่ตกไปเป็นทาสของอายตนะสุดเหวี่ยง เอ้าทีนี้ก็พูดเสียเลยด้วยก็ได้ว่าที่พูดนี้นะไม่ใช่ห้าม ไม่ใช่ต้องการจะห้ามไม่ให้คุณไม่ๆ ไม่กินของอร่อย สวย ไม่ๆ ไม่แตะต้องของอร่อยสวยงามหอมหวลที่มันอะไรไม่ใช่ไม่ได้ต้องการจะห้ามว่าอย่าไปเกี่ยวข้อง แต่จะว่าถ้าไปเกี่ยวข้องก็อย่าเป็นทาสของมันเท่านั้นอย่าเป็นทาสของมันก็แล้วกัน มันอาจจะมีมาได้โดยบังเอิญโดยไม่ได้เจตนาโดยอะไรก็มันก็มีมาได้ หรือบางคราวจะลองดูก็ได้เพื่อการศึกษา แต่อย่าไปเป็นทาสของมันเว้นที่เขาเป็นๆกันอยู่ ถ้าอันนี้อร่อยสุดเหวี่ยงเอ้อ! ก็เอ้อ! มันอย่างนี้เองเว้ย! ไม่ต้องเป็นทาสของความอร่อย หอมหวลงดงามนิ่มนวลไพเราะอะไรก็ตามเมื่อมีบางคราวบางโอกาสมันก็สัมผัสได้ แต่ก็ไม่เป็นทาสของมันก็แล้วกัน บางคราวมันด้วยเหตุอะไรก็ไม่รู้มันก็ไปพบกันเข้ากับสิ่งเหล่านี้เขาเชิญไปเลี้ยงบ้างเขาอะไรก็ได้ตามแต่ เราก็กินได้แต่อย่าเป็นทาสของมัน ไม่ได้ห้ามว่าอย่าเกี่ยวข้องหรือไม่ต้องเกี่ยวข้อง หรือให้วิ่งหนีเสียนี้ไม่ต้องหรอก ทำไปได้ตามที่มันจำเป็นจะต้องทำหรือควรจะทำแต่อย่าเป็นทาสของมัน รายละเอียดอื่นๆไปดูเอาเอง แต่จำใจความสำคัญให้ได้ว่าไม่เป็นทาสของมัน อย่าลืมที่พูดเมื่อสักครู่ว่าถ้าเป็นทาสของมันในแง่รักมันก็นั่นเลยจมหัวจมหางไปเลย ทีนี้เป็นทาสของมันและมันไม่ได้อย่างใจมันก็มาในแง่เกลียดแง่โกรธ เดี๋ยวมันก็ฆ่าคนตาย ก็ฆ่าคนอื่นตาย ถ้าเป็นทาสทางอายตนะนั้นมันไม่มีส่วนดีที่ไหนเลย รู้จักสิ่งที่เรียกว่าอายตนะ วิญญาณ ผัสสะ เวทนา ถ้าจะพูดให้เต็มแบบเต็มรูปแบบมันก็ยังต้องพูดอีกให้ ให้หมดนะ จะพูดก็ได้แต่คุณจะจำหรือไม่จำว่ามันมีอยู่ ๕ ชุด ไอ้สิ่งที่เรียกว่าอายตนะ อายตนะนั่นมีอยู่ ๕ ชุด ชุดละ ๖ ชุดที่ ๑ อายตนะภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่าง ชุดที่ ๒ อายตนะภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ชุดที่ ๓ วิญญาณ วิญญาณทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ชุดที่ ๔ สัมผัส สัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ชุดที่ ๕ เวทนา เวทนา เวทนาที่เกิดมาจากการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ วิญญาณ ๖ ผัสสะ ๖ เวทนา ๖ ๕ หมวด หมวดละ ๖ เป็น ๓๐ อย่าง นี่เรียกว่าอายตนะ หรืออายตนิกะคือเนื่องกันอยู่กับอายตนะก็ได้ เรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ อายตนิกะธรรม อายตนะหรือสิ่งที่เนื่องกันอยู่กับอายตนะ มันก็เลยใช้พูดได้ขยายความก็ได้ว่าอย่าเป็นทาสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าเป็นทาสรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อย่าเป็นทาสวิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าเป็นทาสผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าเป็นทาสเวทนาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๕ หมวด หมวดละ ๖ ถ้าเลยเวทนาไปเป็นตัณหาเป็นนู้นแล้วแล้วมันพ้นขอบเขตของที่จะเรียกว่าอายตนะแล้ว ถ้ายังจะอยู่ในขอบเขตวงที่จะเรียกว่าอายตนะก็มี ๕ หมวดนี้แหละ พระพุทธเจ้าตรัสมากที่สุด มากที่สุดไอ้ๆ ไอ้ ๕ หมวด ๓๐ อย่างนี้ตรัสมากที่สุด เดี๋ยวยกมาเรื่องนั้นเดี๋ยวยกมาเรื่องนี้เดี๋ยวยกมาเรื่องนู้น เพราะมันเป็นเรื่อง เรื่องสำคัญที่สุด เพราะถ้าไม่มีอายตนะมันก็คือไม่มีอะไรนั่นเอง ถ้าเราเกิดมาไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันก็ไม่มีความหมายอะไรเรื่องก็ไม่มี เหมือนกับไม่ได้เกิดมา เพราะมันมีอายตนะนี่มันจึงมีเรื่อง คำนวณดูก็ได้นี่ถ้าเราไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันจะทำอะไรได้ล่ะ มันก็เท่ากับตายหรือไม่ได้เกิดมาหรือก็ท่อนไม้ แต่นี้เพราะมันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่เรื่องมันจึงเต็มไปหมด จะมีแต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันเป็นไปไม่ได้ต้องมีคู่ของมัน มีการกระทำสัมพันธ์กันปรุงแต่งกันอะไรกันเลยเป็น ขยายออกไปเป็น ๖ ชุด เอ้ย! ๕ ชุดนะ ๖ เอ่อ ๕ ชุด ชุดละ ๖ เป็น ๓๐ เรื่องไอ้ ๓๐ สิ่งนี่เรียกว่าอายตนะ หรืออายตนิกะคือเนื่องด้วยอายตนะ เนื่องกันอยู่กับอายตนะ มันมีมหาวิทยาลัยไหนในโลกสอนว่าให้ไปเรียนเมืองนอก ให้ตายแล้วตายอีกสัก ๑๐ รอบโลกมันก็ไม่ได้พบไอ้การศึกษาเรื่องนี้ ฉะนั้นอย่าอวดดีนักเลยที่ว่ามันจะไปศึกษาเรื่องเมือกนอกเมืองนาเป็นปริญญายาวเป็นหาง มันก็ไม่รู้จักแม้แต่อายตนะ มันไม่รู้จักแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าอายตนะ แล้วมันจะแก้ปัญหาอะไรได้ เพราะฉะนั้นเราเข้าโรงเรียนนี้กันสิโรงเรียนของพระพุทธเจ้า มหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าอยู่ในตัวเรา ศึกษาเล่าเรียน มีสิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียน เรียนให้รู้เรื่อง ๖ เอ่อ ๕ หมวดนี้ ๓๐ อย่างนี้ แล้วก็จะรู้จักความเป็นมนุษย์ รู้จักความทุกข์ รู้จักดับทุกข์ รู้จักนิพพานรู้จักอะไรต่างๆ
ไอ้ความเป็นทาสนี่ขอจะพูดไกลไปถึงว่ามันยังมีความเป็นทาสอีกหลายอย่าง คนโง่ๆเป็นจำนวนมากกำลังเป็นทาสสติปัญญาของพวกฝรั่ง พวกที่จะไปเมืองนอกไปเรียนเมืองนอกอะไรมามันจะไปเป็นทาสสติปัญญาของพวกฝรั่งมาอีกทีหนึ่ง จะเอาความคิดอย่างฝรั่งมาอะไรมา ปัญหามันก็มีต่อไปอีก แต่มันควรจะรู้ว่าที่มันเป็นทาสของอายตนะนี้มันวินาศพอแรงอยู่แล้ว ถอนตัวจากความเป็นทาสอันนี้กันเสียก่อน ฉะนั้นเขาก็จะด่าผมว่าไม่ ไม่มี ไม่มีปัญญาไปเรียนเมืองนอกมันก็ต้องพูดอย่างนี้ ผมไม่อยากไป ให้มาจ้างก็ไม่ไป มันไม่มีอะไรจะเรียน ไม่มีอะไรจะให้เรียนที่จะเป็นประโยชน์ได้ จะไปเที่ยวเมืองนอกก็ไม่ไป มันไม่มีอะไรที่มันน่าไป น่าไปดูน่าไปเห็นมัน มันมีแต่อย่างนั้นเองตามประเภทบ้าๆของมัน เต็มไปด้วยวัตถุแห่งความเป็นทาสทางอายตนะ ไปดูตึกร้อยชั้นสองร้อยชั้นนั่นแหละแสดงความเป็นทาสทางอายตนะมากขึ้นไปอีก ดูสิ่งสวยงามอะไรเหลือมหาศาลนั้นมันคือความเป็นทาสเป็นนิมิตของความเป็นทาสทางอายตนะ ภาษาบาลีมีความลึก คำพูดลึกอีกคำว่าขี้เถ้าของตัณหา บางคนเคยไปเมืองนอกใช่ไหม มีอะไรมากกว่าเมืองไทยเต็มไปทั้งโลกนั่น สิ่งที่พวกคุณไปเห็นเหล่านั้นภาษาบาลีเรียกว่าขี้เถ้าถ่านเถ้าของตัณหา คือสิ่งที่ตัณหาได้แผดเผาหัวใจมนุษย์เหลืออยู่เป็นขี้เถ้า ฉะนั้นความเจริญของเมืองฝรั่งทั้งหลายทั่วโลกนั่นนะคือขี้เถ้าของตัณหา ที่ความโง่คืออวิชชาบันดาลให้เป็นไป แล้วจะให้ผมไปดู จ้างก็ไม่ไป ฉะนั้นเดี๋ยวนี้ใครจะมาจ้างมาออกค่าเครื่องบินให้ไปดูไม่ๆ ไม่รู้จะไปดูอะไร ไม่รู้จะไปดูอะไร มันเหนื่อยเปล่าๆนอนที่นี่สบายกว่า ลำบากนั่งเครื่องบินไปดูอะไรรอบโลกอย่างนั้นนะมันไปดูไอ้ขี้เถ้าของตัณหา หรือไปดูซากของความเป็นทาสของอายตนะ แล้วก็ยิ่งมากขึ้นๆ มากขึ้น จะมารับไปดูโลกพระจันทร์ก็ไม่ไปๆ ไปดูให้มันโง่ ไปดูให้มันโง่ทำไม มันไม่มีอะไรนอกจากไอ้ความเป็นทาสของอายตนะทางใจ อยากรู้ยิ่งๆขึ้นไป อยากรู้ไม่มีขอบเขต อยากรู้ไม่มีจุดจบ เป็นทาสของมโนยตนะ มโนอายตนะ มันคงจะหมดนะถ้าว่าไม่เป็นทาสของอายตนะแล้วปัญหามันจะจบ ขอให้ช่วยฟังให้ดีให้เข้าใจ เอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้ มิเช่นนั้นมันจะเหนื่อยเปล่าทั้งผู้พูดและผู้ฟังนะ คือทั้งคุณและผมมันจะเหนื่อยเปล่าๆมาพูดกันเหนื่อยเปล่าๆไม่ได้ประโยชน์อะไร ให้ฟังให้ดี ให้ได้ประโยชน์จนตลอดชีวิตเลยอย่าเป็นทาสของอายตนะ แล้วเว เวทนา เวทนาสงสารตัวเองได้ บ้างที่เป็นทาสของอายตนะมาแล้วเท่าไร แล้วก็เวทนาไอ้นักสิตนักศึกษาหน้าแฉล้มหนุ่มสาวต่างๆที่กำลังจะตามคุณมามันน่าสงสารสักเท่าไร คือมันเตรียมพร้อมที่จะเป็นทาสของอายตนะสุดเหวี่ยง ทีนี้เราก็จะรู้เท่าทันอายตนะ จะไม่เป็นทาสของอายตนะ จะทำสิ่งที่จะชนะไอ้สิ่งเหล่านี้ ไม่ไปนั่งทำงานหลังขดหลังแข็งเพื่อจะเป็นทาสของอายตนะให้ยิ่งขึ้นไป จะทำงานก็เพื่อจะเป็นชนะ จะต่อสู้จะชนะอายตนะ จะเป็นประโยชน์ที่แท้จริงเหนือความเป็นทาสทางอายตนะ นั่นแหละถูกต้องแหละนั่นแหละเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงในอนาคตแหละ
วันนี้พูดข้อเดียว อย่าเป็นทาสของอายตนะ อายตนะที่สมหวังได้ตามต้องการก็บ้าไปอย่างหนึ่ง อายตนะที่ไม่สมหวังไม่ได้ตามต้องการก็บ้าไปอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าทั้งยินดีและยินร้าย ยินดีและยินร้ายนั่นมันเป็นเรื่องกัดทั้งนั้นแหละ ยินดีก็กัดแบบหนึ่งยินร้ายก็กัดแบบหนึ่งเป็นทุกข์ทั้งนั้นเลยอย่าไปยินดียินร้าย เราจงอยู่เหนืออำนาจของสิ่งเหล่านี้ เหนืออำนาจอภิชชาและโทมนัส อภิชชายินดี โทมนัสยินร้าย นำออกเสียซึ่งอภิชชาและโทมนัส ความรู้ทางธรรมะอันถูกต้องมันจะนำออกเสียได้ซึ่งอภิชชาและโทมนัส ไม่เกิดความยินดียินร้ายขึ้นในจิตใจก็เลยไม่เป็นทาสของอายตนะโดยประการทั้งปวง วิชานี้มีแต่พระพุทธเจ้าสอนใน ในพุทธศาสนา ที่อื่นมันไม่มี แล้วก็ท่านสอนว่าให้เรียนจากข้างใน เปิดมหาวิทยาลัยขึ้นในจิตในใจ ใคร่ครวญศึกษา เห็นแจ้งแทงตลอดอยู่ในภายใน มันเรียนที่โรงเรียนข้างนอกไม่ได้เพราะว่าไอ้เรื่องมันอยู่ข้างใน โรงเรียนมันก็อยู่ข้างในจึงต้องเรียนข้างใน เรียนภายในร่างกาย จิตใจที่มันรู้สึกอยู่แก่จิตใจ ไอ้เรื่องที่คุณจะไม่เคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับอายตนะยังอีกมากแหละ ยังอีกมากแหละแต่มันเหลือวิสัยที่จะมาพูด หรือมันไม่จำเป็นก็ได้ มันจำเป็นอย่างเดียวคือว่าอย่าเป็นทาสทางอายตนะ ทำผิดทางอายตนะก็เป็นนรกอยู่ที่นั่นแหละ นรกอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของบุคคลผู้ประพฤติผิดทำผิดต่อกฏอิทัปปัจจยตา ถ้าว่าทำถูกต่อกฏอิทัปปัจจยตามันก็เป็นสวรรค์อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่นรกสวรรค์อย่างนี้พระพุทธเจ้าสอน ส่วนนรกใต้ดินสวรรค์บนฟ้าที่พูดกันอยู่นั้นมัน มันพูดกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในอินเดียเขาก็พูดกันอย่างนี้อยู่แล้วท่านก็ไม่ไปแตะต้อง ไม่ไปขัดคอ ไม่ไปขัดขวาง ท่านไม่มีลักษณะที่จะไปขัดคอใคร แต่จะบอกให้รู้ว่าอาย นรกสวรรค์ที่แท้จริงคืออย่างนี้ แล้วก็สอนร่วมกันเลยว่าจะไปๆ ไปสวรรค์ก็ทำให้ถูกทำให้ดีเถอะอย่า อย่า ถ้ากลัวนรกก็อย่าไปทำให้ผิดให้ชั่ว ก็สอนรวมกันไปได้ จะเป็นนรกใต้ดินหรือนรกที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันก็เหมือนกันจงอย่าทำผิด อย่าทำผิด สวรรค์ที่บนสวรรค์บนฟ้าหรือว่าสวรรค์ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็เหมือนกันก็ทำให้ถูกตรงตามกฎของธรรมชาติที่จะไม่ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนขึ้นมา ฉะนั้นที่อายตนะนั่นแหละมีนรกก็ได้มีสวรรค์ก็ได้ ไอ้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นแหละเป็นมหาสมุทร ตกลงไปแล้วตาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจแหละคือมหาสมุทรที่จะตกลงไปแล้วตาย เราเรียนแต่ว่ามหาสมุทรอินเดีย มหาสมุทรแปซิฟิก แอตแลนติก นี่มันคนละเรื่องคนละอย่างนะ ไอ้มหาสมุทรที่น่ากลัวมันอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พลัดตกลงไปแล้วยิ่งกว่าตาย บางทีก็เรียกว่าบาดาล บาดาล ปาตาลเมืองบาดาล ไอ้คนโบราณเขาก็พูดเรื่องบาดาลกันมาก่อนพระพุทธเจ้า อยู่ใต้ดินลึกสุดลงไปใต้นรกกระมังหรือระดับนรกเลย เรียกว่าบาดาล บาดาลลึกเหลือประมาณไม่รู้ลึกเท่าไร พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ๆ ไม่ไอ้บาดาลนั่นอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แกอย่าตกบาดาลที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันก็พอ นี่ทฤษฎีใหม่ของพระพุทธเจ้า ยกอะไรๆมาไว้ที่เรื่องรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าก็ต้องศึกษาเรื่องที่ท่านสอนไม่อย่างนั้นจะบวชในศาสนาของท่านทำไม ไปบวชในศาสนาอื่นลัทธิอื่นอย่างอื่นสิ ถ้ามาบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าก็จะต้องศึกษาหรือพิจารณาดูสิว่าพระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้อย่างไร ถ้าเอาไปใช้ให้สำเร็จประโยชน์ได้จริงนี่ก็เป็นสาวกที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เอาละเป็นอันว่าวันนี้ไม่พูดเรื่องอื่นแล้วพูดเรื่องไม่เป็นทาสของอายตนะ และอายตนะก็คือสิ่งที่กำลังพูดนี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แยกออกไปก็เป็น ๕ ๕ กลุ่ม ๓๐ อย่าง พูดมากหลายเรื่องมันจะเฝือ ฉะนั้นพูด พูดคราวละเรื่องๆ แต่ว่าแต่ละเรื่องละเรื่องมีขอบเขตกว้างขวางนะ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอยู่กับชีวิตทั้งชีวิตทั้งหมดทั้งโลกเลยนี่ทั้งจักรวาลเลย ขอให้ทุกคนในจักรวาลนี้อย่าเป็นทาสของอายตนะเลย จะได้เป็นชีวิตที่สดใสเยือกเย็นสดชื่นเหมือนกับความหมายของคำว่าชีวิต ชีวิต ชีวิตคือความสดชื่น ไม่ใช่เหี่ยวแห้ง ขอยุติการบรรยาย