แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมและเพื่อนสหธรรมิกทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้สึกเห็นใจในความเสียสละของท่านทั้งหลายที่เสียสละในการทำบุญล้ออายุวันนี้ ต่อสู้กับฝนอย่างไม่ยอมแพ้ ก็ขออนุโมทนาว่าจงจัดให้มันเป็นบทเรียนสำหรับศึกษาสำหรับทดสอบหรือสอบไล่อะไรพร้อมกันไปในตัว ควรจะพอใจยินดีที่จะได้ศึกษาสอบไล่เพิ่มออกไปเป็นกรณีพิเศษ ทีนี้สำหรับการบรรยายในครั้งที่ ๒ นี้ ก็จะบรรยายโดยหัวข้อว่าการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ซึ่งเป็นปณิธานข้อที่ ๒ ของข้าพเจ้า โดยแท้จริงไม่ได้เป็นเรื่องธรรมะโดยตรง การทำความเข้าใจระหว่างศาสนานี่เป็นธรรมะการเมือง แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ เมื่อเป็นหน้าที่มันก็ต้องจัดเป็นธรรมะไปทั้งนั้น เพราะว่ามันจะต้องแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอไป การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ก็แก้ปัญหาคือการกระทบกระทั่งกันในระหว่างศาสนาซึ่งมีผลมาถึงบุคคลแต่ละคน เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาเกี่ยวเนื่องกับศาสนาต่างกันทางการเมืองบ้าง ทางภายในหรือส่วนบุคคลบ้าง ก็มีอยู่ แล้วก็เป็นปัญหาใหญ่โตเหมือนกันที่เป็นปัญหาทางการเมือง เกิดจากพลเมืองถือศาสนาต่างกัน มีวิวาทกันอะไรกันทำนองนี้ เราอาจจะขจัดปัดเป่าปัญหาประเภทนี้โดยเฉพาะออกไปได้ โดยการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา
ในครั้งที่แล้วมาได้บรรยายถึงการเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนา ถ้าว่ามีการเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาแล้ว ก็เป็นการง่ายที่จะทำความเข้าใจระหว่างศาสนา มันเกี่ยวเนื่องกัน ขอให้แต่ละศาสนามีศาสนิกที่เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ เถิด มันจะแก้ปํญหากระทบกระทั่งระหว่างศาสนาได้เป็นแน่นอน และจัดว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับสมัยนี้ ซึ่งกำลังมีปัญหาชนิดนี้อยู่แล้ว แม้ว่าจะเรียกว่าเป็นสมัยที่เจริญแล้วในโลกที่เจริญแล้ว มันก็ยังเป็นปัญหาอยู่นั่นเอง ดังนั้นมันก็ยังมีหน้าที่ที่จะต้องขจัดปัญหานี้ เราจะต้องทำความเข้าใจระหว่างกันและกันเพื่อให้เกิดการยอมรับสภาพความจริงเป็นลำดับๆไป โลกต้องมีหลายศาสนา นี้เป็นสภาพความจริงอันแรกที่ต้องยอมรับว่าโลกนี้ต้องมีหลายศาสนา มันจำเป็นที่สุด เพราะว่าคนในโลกมันไม่เหมือนกัน มันจัดเป็นพวกๆ เป็นยุคเป็นสมัย แล้วก็มีภูมิหลังแห่งวัฒนธรรมต่างกันๆ ฝังแน่นอยู่ในจิตใจเปลี่ยนไม่ได้ เขาก็เหมาะที่จะถือศาสนาที่เหมาะสมกับภูมิหลังแห่งวัฒนธรรมของตนๆ โดยภูมิศาสตร์ ในโลกนี้เขาต้องแบ่งศาสนาให้เหมาะสมกับมนุษย์ตามถิ่นโดยภูมิศาสตร์ และยังจะต้องคำนึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีที่มันมีอยู่อย่างแน่นแฟ้น ซึ่งจะต้องปรับปรุง เช่นว่าศาสนาพุทธนี่แหละ ท่านเข้าไปถึงทิเบต เข้าไปถึงจีนเป็นต้น ก็เปลี่ยน มีอะไรเปลี่ยน มีอะไรผสมบวกเข้าไป จนต้องเรียกกันว่าพุทธศาสนาในประเทศไทย พุทธศาสนาในประเทศพม่า พุทธศาสนาในประเทศลังกา ซึ่งฟังดูแล้วว่ามันต่างกัน และมันก็เป็นความจริงอย่างนั้น เพราะพุทธศาสนาจะต้องถูกบวกเข้าด้วยภูมิหลังของวัฒนธรรมหรืออะไรต่างๆ ที่มันฝังแน่นอยู่ในประชาชนเหล่านั้น เราจึงมีศาสนาอย่างไทย อย่างพม่า อย่างลังกา อย่างทิเบต อย่างจีนอะไรต่างๆ จนพวกฝรั่งงงไปหมดแหละ ไม่รู้ว่าพุทธศาสนาในประเทศไหนจะเป็นของเดิมแท้ นี่มันก็เป็นธรรมดาที่ว่ามันก็จะต้องมีอะไรเจือปนเข้าไปในศาสนา ซึ่งมีหัวใจมุ่งหมายจะกำจัดความเห็นแก่ตนของคนทุกคน ในโลกนี้มันก็มีหลักเกณฑ์ที่ยอมให้มีได้หลายศาสนา เพราะว่าต่อสู้กับธรรมชาติไม่ไหว ธรรมชาติบังคับให้มีหลายศาสนาเพราะความต่างกันของภูมิศาสตร์ ของขนบธรรมเนียมประเพณี ของวัฒนธรรมต่างๆ ดังที่กล่าวแล้ว แม้ในประเทศเดียวก็ยังต้องมีหลายศาสนา และรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศก็ยินยอมหรือถึงกับส่งเสริมความมีศาสนาได้หลายศาสนา ยิ่งกว่านั้นในครอบครัวเดียวบางทีก็ต้องมีหลายศาสนา สามีกับภรรยาถือกันคนละศาสนา มันก็เป็นสิ่งที่มีหรือจำเป็นจะต้องมี มันจะต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ได้ เราจะต้องนึกถึงนิสัยใจคอของคนแต่ละพวก รสนิยม วัฒนธรรม ยุคสมัย ถิ่นประเทศ สิ่งแวดล้อมและสถานการณ์บางอย่างหรือหลายอย่างมันบังคับ เมื่อต้องมีได้หลายศาสนา หรืออยู่ร่วมกันโดยมีศาสนาต่างกัน มันก็ต้องมีวิถีทางที่จะแก้ไขปัญหาหรือเหตุการณ์ร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้แหละจึงต้องมีเรื่องการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา และจะต้องทำความเข้าใจกันอย่างยิ่ง ขอใช้คำค่อนข้างสบกระโดก ว่าสุดเหวี่ยง สุดเหวี่ยง จะต้องทำอย่างสุดเหวี่ยงในการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา เพื่อจะแก้ปัญหาอันจะเกิดขึ้น
ทีนี้ก็จะดูต่อไปว่ามันจะทำการแก้ไข ทำความเข้าใจได้อย่างไรบ้าง จะต้องมองให้เห็นความจริงอันหนึ่งว่าทุกศาสนามีความมุ่งหมายตรงกัน ทุกศาสนามีความมุ่งหมายให้เกิดสันติสุขแก่บุคคล ให้เกิดสันติภาพแก่สังคม มุ่งหมายอย่างนี้ด้วยกันทุกศาสนาแหละ มันไม่มีใครมุ่งหมายหรอก ความจำเป็นมันบังคับให้เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมแก่มหาชนในถิ่นนั้นๆ จนให้เขาได้รับความพอใจในความสุขส่วนตัวและความสงบของสังคม แต่ถ้ามองดูในส่วนลึก ส่วนลึกขึ้นไปอีกก็จะพบว่าทุกศาสนานั้น มุ่งหมายที่จะควบคุมสัญชาตญาณแห่งความมีตัวตน ในการบรรยายครั้งที่ ๑ ที่แล้วมาก็ได้กล่าวอย่างชัดแจ้งถึงเรื่องนี้ว่าคนเรามันมีสัญชาตญาณกลางๆ ที่พร้อมที่จะเปลี่ยนไปเป็นกิเลสฝ่ายต่ำและที่จะเปลี่ยนไปเป็นโพธิในฝ่ายสูง เรามีระบบศาสนาเป็นเครื่องควบคุมสัญชาตญาณให้เป็นไปแต่ในทางสูง ควบคุมสัญชาตญาณแห่งความมีตนนั่นแหละ ให้เกิดความมีตนเป็นไปในทางสูงๆ สูงขึ้นไปจนหมดตัวตน จะแก้ปัญหาได้ถึงที่สุด คำสอนของทุกศาสนามุ่งหมายตรงไปที่การทำลายความเห็นแก่ตน มันเป็นอันตรายร้ายกาจที่สุดของมนุษย์ มันทำให้เกิดปัญหาแก่สังคมและบุคคลอย่างยิ่ง ทุกศาสนาจึงมุ่งหมายที่จะประสานสังคม จนกล่าวได้ว่าทุกศาสนามีหัวใจเป็นสังคมนิยม แต่เดี๋ยวนี้คนเขาก็เกลียดคำว่าสังคมนิยมกันอยู่มาก คือในฝ่ายที่เห็นว่าสังคมนิยมเป็นเรื่องของคอมมิวนิสต์ ที่จริงสังคมนิยมของคอมมิวนิสต์นั้นมันไม่ใช่สังคมนิยมที่ถูกต้อง หรือสังคมนิยมของทั้งหมดของทุกคน มันเป็นสังคมนิยมของชนพวกกรรมาชีพ ของพวกชนกรรมาชีพหรือกรรมกรเท่านั้น มันไม่อาจจะรวบเอาพวกที่แปลกแตกต่างออกไปจากนั้น ศาสนามุ่งหมายจะให้รักกันให้สัมพันธ์กันได้ในหมู่ชนที่ต่างกัน เราจะต้องเพิ่มเติมลักษณะเฉพาะขึ้นไปอย่างหนึ่งว่าเป็นสังคมนิยมที่ประกอบไปด้วยธรรม สังคมคือทุกคนทุกชีวิตในจักรวาลนี้เรียกว่าสังคม ถ้ามีประโยชน์แก่สังคมอย่างนี้ได้ มันก็วิเศษ มันจะได้อยู่เป็นผาสุกกันทั่วทั้งจักรวาล แต่เขายืมเอาคำว่าสังคมนิยมไปใช้สำหรับพวกคอมมิวนิสต์หรือฝ่ายซ้ายเสียแล้ว เราก็จะต้องเพิ่มเติมลักษณะเฉพาะขึ้นมาว่าต้องเป็นธัมมิกสังคมนิยม คือสังคมนิยมที่ประกอบไปด้วยธรรมะคือความถูกต้อง ความถูกต้องคือไม่เกิดโทษอันตรายแก่ฝ่ายใด แต่เกิดประโยชน์สุขแก่ทุกฝ่าย ถ้าเรารักกันได้หรือไม่เห็นแก่ตน มันก็เกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย คือว่าพวกคนจนก็รักคนมั่งมีได้ คนมั่งมีก็รักคนจนได้ นายทุนก็รักกรรมกรได้ กรรมกรก็รักนายทุนได้ เศรษฐีรักขอทาน ขอทานรักเศรษฐี กระทั่งว่าแมวรักหนูได้ หนูรักแมวได้ มันต้องถึงขนาดนั้น เป็นเจตนารมณ์ของธัมมิกสังคมนิยม ซึ่งอาตมาก็ได้พยายามเปิดเผยความคิดข้อนี้ ก็ได้รับความสนใจจากหลายทิศทาง กำลังเอาไปวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในที่ต่างๆ โดยหวังว่าจะเกิดสังคมนิยมใหม่ชื่อว่าธัมมิกสังคมนิยม มุ่งหมายให้ทุกคนลดความมีตัวตน หรือไม่เห็นแก่ตนจนรักผู้อื่นได้ รักสิ่งที่มีชีวิตได้ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปถึงความสุขของมนุษย์ทุกคน ของสัตว์เดรัจฉานทุกตัว ของต้นไม้ทุกต้น ถ้ามันมีวิญญาณแห่งสังคมนิยมโดยแท้จริงแล้ว มันก็จะเกิดผลอย่างนี้ขึ้นมา นี่ขอมุ่งหมายให้เป็นข้อแรกว่าทุกศาสนามีวิญญาณแห่งสังคมนิยม แต่เพื่อให้เป็นคำที่ใช้ได้แน่นอนชัดเจนยิ่งขึ้นต่างหากจากคำว่าสังคมนิยมที่มีความหมายเสียไปหมดแล้วนั่นมาเป็นคำใหม่ว่าธัมมิกสังคมนิยม ขอให้ถือเป็นหลักว่าทุกศาสนาเลย มีหัวใจหรือวิญญาณเป็นธัมมิกสังคมนิยม ขอให้พิจารณาดูให้ดีที่สุดในความจริงข้อนี้
ทีนี้ก็มาถึงข้อที่จะต้องพิจารณาว่าศาสนาทุกศาสนาต้องร่วมมือกัน เพราะมันมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ร่วมโลกกัน ถ้าอยู่อย่างมีศัตรูกันก็เป็นความพินาศของโลกนั่นเอง ศาสนาทุกศาสนาต้องร่วมมือกันในลักษณะสหกรณ์ ร่วมทำกิจกรรมอย่างหนึ่งคือสันติภาพของโลก ทุกศาสนาร่วมมือกันอย่างที่เรียกว่าสหกรณ์เพื่อสันติภาพของโลก โดยมองเห็นได้ว่ามีวิถีทางคือคุ้มครองสังคม ทำลายสิ่งซึ่งเป็นข้าศึกของสังคม ศาสนามีหน้าที่อย่างนี้ มีคุณประโยชน์ที่จะใช้ได้ในลักษณะอย่างนี้คือให้คุ้มครองสังคม ศาสนาจะคุ้มครองสังคมได้ก็ต่อเมื่อสังคมมันมีศาสนา เดี๋ยวนี้มันก็มีศาสนาต่างๆ กัน จึงขอยืนยันว่าขอให้เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ แล้วก็จะไปพบว่ามันมีความเหมือนกันคือ ทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้าจะเปรียบ ก็เปรียบเหมือนกับน้ำ น้ำนี่มีหลายอย่าง น้ำทะเล น้ำในลำธาร น้ำอ้อย น้ำตาล น้ำผึ้ง กระทั่งน้ำปัสสาวะ น้ำสกปรก น้ำครำ นี่ถ้าดูภายนอกแล้วต่างกันอย่างกับว่ามันคนละนั่นเลย แต่ถ้าเจาะเข้าไปให้ลึกถึงส่วนลึกของน้ำทุกน้ำก็จะพบน้ำที่บริสุทธิ์ แม้ในน้ำปัสสาวะแม้ในน้ำครำ ถ้าแยกออกมาได้เฉพาะน้ำที่บริสุทธิ์ มันก็จะได้น้ำบริสุทธิ์อย่างเดียวกับน้ำบริสุทธิ์ทั่วไปคือน้ำกลั่น น้ำกลั่นเป็นน้ำบริสุทธิ์ จะหาพบได้ในน้ำทุกชนิดในน้ำส้ม ในน้ำตาล ในน้ำหวาน ในน้ำโคลน ในน้ำปัสสาวะเป็นต้น นั่นแหละหัวใจส่วนลึกมันเป็นอย่างนั้น ศาสนาก็เหมือนกัน แม้ว่ารูปแบบภายนอกมันจะดูต่างกันมากถึงขนาดว่ามันจะตรงกันข้าม แต่ถ้าเจาะลึกเข้าไปถึงภายในแล้วจะพบว่าพระศาสดานั้นๆ มุ่งหมายเพื่อให้เกิดสันติสุขส่วนบุคคล สันติสุขส่วนบุคคลหรือสันติภาพส่วนสังคมด้วยกันทั้งนั้น เจาะเข้าไปให้ลึกถึงขั้นนั้นเถิด มันก็จะพบความที่จะเข้ากันได้ อย่าเอาเปลือกนอกซึ่งระเกะระกะไปด้วยหนามหรือด้วยเปลือกแข็ง ให้เข้าถึงเนื้อในแล้วมันก็จะกลมกลืนเป็นอันเดียวกันได้ ศาสนาทุกศาสนาต้องทำหน้าที่เป็นแสงสว่างของสังคม นำวิญญาณของสังคมไปอย่างถูกวิถีทาง คือไปสู่จุดหมายปลายทางไม่เห็นแก่ตัวแล้วก็รักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ ข้อนี้ขอให้สนใจให้มาก ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันจะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ ดังนั้นหน้าที่ของศาสนาจึงมีหน้าที่เพียงแต่ทำลายความเห็นแก่ตัว ทำลายความเห็นแก่ตัว เมื่อหมดความเห็นแก่ตัว จะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ โลกนี้ก็จะมีสันติภาพ ศาสนามีหน้าที่ในการประสานสังคมแต่ละสังคมให้หันไปหาธัมมิกสังคมนิยมดังที่กล่าวแล้วข้างต้น ศาสนางัดเอาหัวใจของศาสนาของตนๆ มาเป็นเครื่องยึดถือหรือเหนี่ยวรั้งของสังคม สังคมก็จะน้อมนำไปสู่ธัมมิกสังคมนิยมความรักโดยสภาพธรรมชาตินี้ได้เป็นแน่นอน ถ้าจะเรียกว่าพระเจ้า มีพระเจ้าก็มี ไม่มีพระเจ้าก็มี ศาสนาที่มีพระเจ้ามุ่งหมายสันติสุขของมนุษย์ ศาสนาไม่มีพระเจ้าก็มุ่งหมายสันติสุขของมนุษย์ เราใช้ ใช้คำว่าพระเจ้าให้ถูกต้อง ให้มีความหมายที่ถูกต้องว่าสิ่งที่มีอำนาจสร้างขึ้นมา มีอำนาจควบคุมไว้ มีอำนาจทำลายยุบเลิกเป็นครั้งคราว มีอำนาจดูแลอยู่ในที่ทั่วไป บังคับบัญชาอยู่ในที่ทั่วไป สิ่งนี้มีอยู่ เขาจะเรียกว่าพระเจ้าก็ตามใจเขา แต่เราเรียกว่ากฎของธรรมชาติ สัจธรรมของธรรมชาติหรือพระธรรม มันก็มีสิ่งที่มีหน้าที่อย่างเดียวนั่นแหละตรงกัน โดยอาศัยพระเจ้าก็ได้ เอาคุณภาพของพระเจ้า อย่าเอาเปลือกของพระเจ้ามาเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งสังคม การดับทุกข์มันต้องเป็นไปตามกฎข้อนี้แหละ
ขอให้สนใจกันให้มากเป็นพิเศษว่าเรื่องการดับทุกข์นั้นมันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เพราะว่าความทุกข์เกิดขึ้นตามกฎของธรรมชาติและเหมือนกันในทุกชีวิต เดี๋ยวนี้คนมันถือศาสนาต่างกันมากจนไม่ค่อยจะมองหน้ากัน แต่ไปดูเถิดว่าในหัวใจของคนเหล่านั้นซึ่งต่างศาสนากันนั่นแหละ มันก็มีกิเลสเหมือนกัน ความโลภของคนที่ถือศาสนาพุทธ ก็ไม่ต่างจากความโลภของคนที่ถือศาสนาคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกข์อะไร ความโกรธก็เหมือนกัน ความหลงก็เหมือนกัน แล้วความทุกข์ที่เกิดขึ้นมันก็เป็นความทุกข์เหมือนกัน ถ้าไปดูกันที่ตัวกิเลสและตัวความทุกข์แล้วมันก็เหมือนกันดิกเลย ของทุกคนที่ถือศาสนาต่างกัน เมื่อเป็นอย่างนี้มันก็ควรจะมีสิ่งซึ่งแก้ทุกข์หรือดับทุกข์ได้ร่วมกันไม่ว่าเขาจะถือศาสนาอะไร เหมือนอย่างว่าปัจจุบันนี้มันจะถือศาสนาอะไรก็ตามใจ ถ้ามันกินน้ำตาลมันก็รู้สึกหวาน ถ้ากินเกลือมันก็รู้สึกเค็ม ถ้ากินน้ำส้มมันก็รู้สึกเปรี้ยว อย่างนี้ใช่ไหมเล่า มันจะถือศาสนาอะไรมันก็ไม่เว้นที่ว่ามันจะต้องมีความเป็นอย่างเดียวกันอยู่ในด้านลึก หรือว่าจะมียาแก้โรคขึ้นมาในโลกแม้แต่ยาแก้ปวดศรีษะอย่างนี้ คนถือศาสนาไหนซื้อไปกินมันก็หายได้ ไม่ว่ามันจะถือศาสนาอะไร ทีนี้มันยิ่งกว่านั้นก็ว่าเมื่อกิเลสของมันก็เหมือนกัน ความทุกข์ของมันก็เหมือนกัน การที่จะดับทุกข์มันก็เหมือนกันได้ เหมือนกับว่ายาแก้โรคทางฝ่ายกายใช้ร่วมกันได้อย่างนี้ ยาแก้โรคในทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณมันก็ใช้ร่วมกันได้อย่างนี้แหละ ฉะนั้นถ้าเขามาคิดนึกกันเสียใหม่ว่าไม่พูด ไม่พูดถึงว่าศาสนานั้นศาสนานี้ เอาแต่ว่ามันมีความทุกข์มีกิเลสอยู่ในภายในอย่างไร แล้ววิธีใดจะดับทุกข์จและดับกิเลสเหล่านั้นได้ มันก็ใช้ได้ มันก็ดับกิเลสและดับทุกข์ได้ มันก็หมดปัญหา จะประกาศตัวว่าถือศาสนาอะไรก็ตามใจ แต่การดับกิเลสและดับทุกข์นั้นมีวิธีเดียวอย่างเท่านั้นสำหรับทุกคน เพราะว่ามันเหมือนกัน ความโลภ ความโกรธ ความหลงของใครก็ตาม จะถือศาสนาอะไรก็ตาม อยู่ที่มุมโลกไหนก็ตาม แม้พวกเทวดาบนฟ้าก็ตาม สัตว์ในนรกก็ตาม มีกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้วมันเหมือนกัน ฉะนั้นการที่จะดับความทุกข์ เอ้อ,ดับกิเลสและความทุกข์มันก็เป็นวิธีเดียวกัน นี่มันมีความที่จะต้องร่วมกัน ร่วมกันใช้ ร่วมกันปฏิบัติ ร่วมกันได้อยู่ในส่วนลึกของมนุษย์เรา นี่คือหนทางที่จะทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ขอให้พวกเราที่เป็นพุทธบริษัทนี่ รับรู้ไว้ด้วยว่าเรามีหลักวิธีที่จะดับทุกข์ตามแบบของพุทธศาสนา อย่าท้าทายทั่วโลกทั่วจักรวาลเลยว่าเรามีวิธีดับทุกข์ชนิดนี้ที่ใช้ได้แก่ทุกคนหรือทุกชีวิตที่มีอยู่ในโลก เขาก็จะ บ่ายเบี่ยงโดยที่ว่ายึดมั่นถือมั่นในศาสนาในชื่อของศาสนาในประเพณีอะไรของศาสนา ไม่ยอมรับ มันก็ดับทุกข์ตามแบบนี้ไม่ได้ก็ตามใจเขา แต่ถ้าเขายอม ถ้าเขายอมรับ ยอมศึกษา ยอมใคร่ครวญ แล้วก็จะมีเหตุผลแสดงอันเพียงพอว่ามันจะดับทุกข์ได้จริง ถ้าเขามาถึงความเข้าใจนี้แล้ว เขาก็จะลองดู เมื่อเขาลองดูมันดับทุกข์ได้จริง เขาก็ใช้วิธีนี้ดับกิเลส ดับทุกข์ของเขาได้สิ้นเชิง ยังคงเรียกตัวเองว่าศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู ซิกข์ อะไรก็ตาม นี่มันจะเป็นได้ถึงอย่างนี้ อาตมามีความหวังลึกซึ้งอย่างนี้ จึงกล้าพูด ขอให้ช่วยกันทำความเข้าใจระหว่างศาสนา เอาล่ะ,แม้ว่าศาสนาบางศาสนายืนยันว่าศาสนาจริงแท้มีแต่ศาสนาเดียว นอกนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็ได้ เขาพูดอย่างนั้นก็ได้ เขาพูดในพวกเขาสำหรับคนพวกเขา แต่มันไม่เป็นความจริงสากล ไม่ต้องออกชื่อศาสนาไหน มันมีบทบัญญัติในศาสนาหนึ่งว่าศาสนาแท้จริงมีแต่ศาสนาเดียว ศาสดามีแต่องค์เดียว ความถูกต้องมีแต่ในศาสนานั้น ศาสนาอื่นเป็นมิจฉาทิฏฐิ นั่นมันพูดให้คนพวกหนึ่งฟัง มันพูดให้คนหนึ่งฟัง ไม่ใช่กฎความจริงทั่วไป เราเสียอีกก็อาจจะพูดอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน แต่เราได้รับคำสั่งสอนให้ละมานะทิฏฐิ ยึดมั่นถือมั่น เราก็ไม่ต้องพูดอย่างนั้น แต่เราจะพูดว่าศาสนานี้มีวิธีการดับทุกข์อย่างนี้เป็นของสากล ดับทุกข์ได้แก่ชีวิตทุกชนิด นี่ขอให้ลองดู
ก็อย่างที่พูดมาแล้วว่าถ้ามันมีความเห็นแก่ตน ก็เกิดกิเลส โลภ โกรธ หลง มันก็มีความทุกข์ ทุกชีวิตจะเป็นอย่างนั้น ถ้าดับความเห็นแก่ตัวเสียได้นี่ ก็ไม่เกิด ไม่อาจจะเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง มันก็ไม่มีความทุกข์ นี่มันเป็นของสากลของธรรมชาติ เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอันลึกซึ้งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบและนำมาเปิดเผย มีบาลีหลายแห่งที่เป็นการยืนยันตรัสว่าพระองค์เป็นผู้นำมาเปิดเผย ใช้คำว่าเปิดเผย กระทำให้หงาย กระทำให้ตื้น กระทำให้แจ้ง เป็นผู้เปิดเผยความจริงอันลึกซึ้งของธรรมชาติ ซึ่งพระองค์ก็ทรงเคารพกฎเกณฑ์อันนั้น เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติซึ่งเรียกว่าธรรมะๆ นี่เหนือพระพุทธเจ้ายังมีสิ่งซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเคารพ คือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ตามที่บังคับธรรมชาติให้เป็นไปอย่างไร ทำอย่างนี้ก็เป็นทุกข์ ทำอย่างนี้ก็ไม่เป็นทุกข์ นี่เป็นกฎลึกซึ้งซึ่งพระองค์ทรงค้นพบและทรงนำมาเปิดเผยและทรงย้ำมากทุกคราวที่กล่าวถึงอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท จะมีตถาคตเป็นผู้เปิดเผย เป็นผู้ป่าว เป็นผู้ประกาศ เป็นผู้บอก ท่านทั้งหลายจงมองเห็นอย่างนี้ว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณอย่างนี้เป็นต้น ทุกข้อๆ ทีละข้อๆ พระพุทธเจ้าเป็นผู้เปิดเผยสัจธรรมอันแท้จริงสูงสุดซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงเคารพ ซึ่งมาเปิดเผยให้พวกเรารู้ แล้วก็จะดับความทุกข์เสียได้ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐินั่นน่ะมันเป็นเรื่องที่คนว่าเอาเอง คนเขาว่าเอาเอง คนใดคนหนึ่งอ้างตัวเป็นศาสดาแล้วก็ว่าเอาเองอย่างนั้นๆ มันผิดจนเป็นมิจฉาทิฏฐิโดยประการทั้งปวง แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว มันตรงกับกฎของธรรมชาติ มันตายตัวโดยเด็ดขาดอย่างชัดแจ้งในการจะดับทุกข์ได้ จะมีพระเจ้าถือกันหลายๆ องค์นานาชนิด มันก็ตามใจเถิด ขอให้มองเห็นว่าความมุ่งหมายแท้จริงของพระเจ้า พระเจ้าองค์นั้นๆ ชื่อนั้นๆ นั่นมันเป็นอย่างไร เช่นถ้าว่าพระพรหม พระพรหมเป็นผู้สร้าง มันก็คือกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายสมุทยวาร ถ้าพระเจ้าผู้คุ้มครองรักษา ก็เป็นกฎของกรรม ถ้าเป็นพระเจ้าผู้ทำลายล้างคือพระอิศวร มันก็กฎของอิทัปปัจจยตาฝ่ายนิโรธวาร ซึ่งจะขึ้นลงๆ กลิ้งไปอย่างนี้ในสากลจักรวาล เต็มไปด้วยความเป็นไปแห่งความเปลี่ยนแปลง ตามกฎของอิทัปปัจจยตา
โลกเดียวกัน มนุษย์อยู่ร่วมโลกเดียวกัน แต่มองเห็นปัญหาของตนต่างๆ กัน ตามมิจฉาทิฏฐิ ตามสัมมาทิฏฐิที่จะได้รับเข้ามา ทั้งที่มันอยู่ในโลกเดียวกัน มันก็ยังมองเห็นต่างๆ กัน มันจึงยื่นเข้าไปรับเอาลงมายึดมั่นถือมั่นลัทธิคำสอนนั้นๆ ตามพอใจของตน นี่มันยังเกิดได้หลายลัทธิหรือเกิดได้หลายศาสนา แล้วก็ทะเลาะกันด้วยเรื่องความมีศาสนาหลายศาสนา เราจะมองดูด้วยความหวังดีตามแบบของพุทธบริษัทว่าไม่มีศาสนาใดผิดโดยประการทั้งปวง อย่างน้อยมันก็มีประโยชน์เหมาะสมแก่มหาชนในถิ่นนั้นๆ มหาชนในถิ่นที่ป่าเถื่อนที่สุด มันก็รับธรรมะอันละเอียดลึกซึ้งไม่ได้มันก็ต้องมีธรรมะง่ายๆ ตื้นๆ สำหรับคนพวกนั้น จนกระทั่งถึงว่าในระดับงมงายเป็นไสยศาสตร์อย่างนี้ก็มีอยู่มาก แต่มันก็จำเป็นที่จะต้องเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่ถือลัทธิอะไรหรือศาสนาใดๆ เอาเสียเลย มันจะยิ่งร้ายไปกว่า ถ้ามันงมงายมันก็รับประกันได้ว่ามันก็กลัวตายทั้งนั้นแหละ ฉะนั้นมันก็เอาถือลัทธินั้นเพื่อขจัดความกลัวตายความอันตรายใดๆ มันก็พอจะไปกันได้ มันไม่มีผิดโดยส่วนเดียว มันมีส่วนดีที่มีประโยชน์แก่มหาชนกลุ่มหนึ่งๆ สมัยหนึ่ง ยุคหนึ่งๆ ถิ่นหนึ่งๆ ในโลกอันกว้างขวางนี้ มันก็จะแก้ปัญหาของมหาชนในที่นั้นๆได้ด้วยศาสนาหนึ่งๆ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในถิ่นนั้น แต่ถึงอย่างไรก็ดี ยังขอยืนยันว่าทุกศาสนาน่ะ พระศาสดามุ่งหมายจะทำลายความเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นเหตุๆ ให้เกิดกิเลสและเกิดความทุกข์ เห็นแก่ตัวแล้วก็ทำตัวนั่นแหละให้เป็นทุกข์เสียก่อนแล้วมันก็ขยายออกไปถึงทำผู้อื่นให้พลอยเป็นทุกข์ด้วย เพราะความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวจึงทำลายทั้งตัวเองและทำลายทั้งผู้อื่น มันก็เป็นสิ่งที่พระศาสดาทั้งหลายมองเห็นและก็มุ่งหมายที่จะให้กำจัดเสีย
ต้องมองความจริงกันสักข้อหนึ่งว่า พระศาสดาแห่งศาสนานั้นๆ มันก็ไม่ใช่คนใจร้ายอำมหิต บัญญัติศาสนาขึ้นก็ด้วยความรักความเมตตากรุณาเอ็นดูต่อมหาชนที่อยู่ในแวดวงของการชักนำของตนๆ รักมหาชน บัญญัติคำสอนขึ้นมาเพื่อจะแก้ปัญหาของมหาชนเหล่านั้น มันก็ต้องมีส่วนดี เป็นประโยชน์แก่มหาชนที่นั่น ส่วนนั้น ในยุคนั้น ในถิ่นนั้นเป็นแน่นอน ฉะนั้นไม่มีศาสนาใดที่จะผิดโดยส่วนเดียว ทีนี้ปัญหามันค่อยๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ เกิดขึ้นเมื่อกาลล่วงมานานหลังจากการดับขันธ์แห่งศาสดานั้นๆ แล้ว สาวกของพระศาสดานั้นๆ แหละ มันค่อยเพิ่มเติมอะไรเข้าไปบ้าง บิดผันอะไรเสียบ้าง จนเพิ่มเติมสิ่งที่เป็นเปลือกเนื้องอกมะเร็งร้ายให้แก่ศาสนาของตนเอง เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างอื่นโดยไม่มองเห็นว่านี้มันจะเป็นการทำให้ศาสนาเลอะเลือนไป ศาสนาทั้งหลายจึงถูกครอบหุ้มด้วยของใหม่ ไม่ยกเว้นแม้แต่พระพุทธศาสนาอันเป็นที่รักยิ่งของเรา ดังนั้นมันจึงมีพระพุทธศาสนาส่วนที่เป็นหัวใจแท้ๆ เหมือนกับน้ำ มันบริสุทธิ์ และก็มีของหุ้มเปลือกนอกที่เติมเข้าไป สีสันวรรณะต่างๆ ตามสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นหรือมันบังคับ หรือมีเหตุปัจจัยภายนอกเข้ามาบังคับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยนี้มีอำนาจวัตถุนิยมครองโลก พุทธศาสนาก็ดิ้นรนเพื่อจะต่อสู้ มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในภายนอกบ้างเป็นธรรมดา ก็น่าเห็นใจ ว่าผู้ที่จะแก้ไขนั้นก็ทำไปด้วยความหวังดี ไม่มีใครหวังร้ายที่จะทำลาย แต่แล้วมันก็บิดผันให้ศาสนาเดิมแท้นั้นเปลี่ยนไปๆ จนเสียรูปจนเป็นอย่างอื่นไปแหละ ข้อนี้ขอย้ำขอยืนยันไว้อีกครั้งหนึ่งว่าการที่พุทธศาสนาหมดไปจากอินเดีย สูญสิ้นไปจากอินเดียนั้นน่ะ อย่าไปโทษพวกอิสลามหรือพวกอะไรเลย จงโทษพวกพุทธ เจ้าหน้าที่ของพุทธศาสนาในยุคนั้นๆ ในถิ่นนั้นๆ น่ะ มันสอนผิด มันสอนผิดจากหลักเดิมแท้ของพุทธศาสนาไปทีละน้อยๆ จนไปกลายเป็นศาสนาอื่น ไปกลายเป็นศาสนาฮินดูไปเสียอีก ส่วนที่เป็นของจริงของแท้ เรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา ตถาตา นี่ยกเลิกไป มันก็มาเหลือแต่เรื่องศีลธรรมธรรมดา มันก็กลายเป็นฮินดู หรือมันก็เป็นไปตามเรื่องที่มันแวดล้อมอยู่ คือมหาชนเหล่านั้นเขาจะรอดได้โดยวิธีใด เขาก็เอาโดยวิธีนั้น นี่คือการสอนพุทธศาสนาผิดไปจากเดิม ผิดไปจากเดิม ก็ไปคล้ายศาสนาฮินดูซึ่งเป็นศาสนาพื้นบ้านมากขึ้นทุกที มันก็หมดไปจากอินเดีย เพราะสอนศาสนาของตัวผิดจนกลายเป็นศาสนาอื่นไป แล้วก็จะไปโทษไปหาความว่าศาสนาอิสลามรุกรานทำลายล้างเป็นต้น มันเป็นเรื่องหลับตาพูดเสียมากกว่า มองให้เห็นว่ามันเป็นการทำผิดของเจ้าหน้าที่ทางศาสนา ผู้สอนศาสนาในที่นั้น ในยุคนั้น ในเวลานั้น มันสอนผิดจนละลายหายสูญไปในศาสนาฮินดู เหลืออยู่แต่ศาสนาฮินดู ซึ่งมีหลักการเป็นพื้นฐานทั่วไปในประเทศอินเดีย นี่เนื้องอกเปลือกหุ้มของศาสนามันเกิดขึ้นโดยอาการอย่างนี้ แม้ในประเทศไทยของเรา มันก็ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปตามที่มันมีเหตุปัจจัยภายนอกแวดล้อม วงการที่ทรงอำนาจเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงให้เกิดความปนเปกันอย่างนี้ก็ได้ สังเกตเห็นได้ว่าผู้ครองเมืองในยุคโบราณ แม้ในสมัยศรีวิชัย พันกว่าปีมานี้ วัดที่เก่าถึงขนาดนั้นแล้วจะต้องมีโบสถ์ของศาสนาพราหมณ์อยู่ด้วยโบสถ์หนึ่งเสมอไป และส่วนมากก็อยู่ทางทิศตะวันออกของวัดนั้น วัดพระธาตุก็มีโบสถ์พราหมณ์อยู่ทางทิศตะวันออก วัดชยารามคือวัดศาลาทึงเก่าก็มีโบสถ์พราหมณ์อยู่ทางทิศตะวันออก วัดอิฐ ทาง(ตำบล)ทุ่ง นู้นก็มีโบสถ์พราหมณ์อยู่ทางทิศตะวันออก แต่ละวัดๆ มีโบสถ์ของฮินดูอยู่ทางทิศตะวันออกหรือจะทิศใดก็ตามใจ เรียกได้ว่ามันมีคู่กัน คล้ายๆ กับว่ามันเป็นลัทธิที่เหมาะสมสำหรับเด็กๆ สำหรับผู้หญิง สำหรับ อันนี้ต้องขออภัยนะที่ต้องใช้คำอย่างนี้ เอาว่าหมายถึงผู้ที่ยังอ่อนด้วยปัญญาน่ะ มีปัญญาอ่อนนั่นน่ะ จะต้องศึกษากันง่ายๆ อ้อนวอนพระเจ้า อ้อนวอนบูชาพระเจ้า ง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ พอใจกันก่อน แล้วจึงเข้ามาถึงในวัดที่เป็นส่วนของพุทธศาสนา มีธรรมะที่ลึกเข้าไป ลึกเข้าไป แล้วมันก็ค่อยๆ สูงขึ้นไป มันก็ค่อยๆ ละมาตามลำดับ คงจะเป็นผู้มีอำนาจต้องการจะให้เกิดความง่ายดายในการที่จะทำให้ประชาชนมีศีลธรรมเท่านั้นแหละ จึงได้มีลัทธิอย่างนี้ผนวกเข้าไว้
เดี๋ยวนี้มันก็ยังเห็นได้ชัดว่าในพุทธศาสนาของเรามีเรื่องของไม่ใช่พุทธน่ะ เข้ามารวมอยู่มาก แต่อย่าไปออกชื่อเลยมันกระทบกระเทือน แต่สรุปความได้ว่ามันมีไสยศาสตร์ ศาสตร์ของคนหลับน่ะเข้ามาปนอยู่ในศาสตร์ของคนตื่นอยู่ไม่น้อย นี้ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องระมัดระวังเอาเอง ระมัดระวังให้ดี แล้วก็ไม่ต้องเกิดการกระทบกระทั่งกัน ถ้าในวัดนี้มี ๒ โบสถ์ โบสถ์พราหมณ์เอาไว้สำหรับขั้นต้นสำหรับขั้นเตรียม แต่โบสถ์พุทธก็มีสำหรับขั้นประถมขั้นมัธยมอะไรต่อไปสำหรับพุทธบริษัท ทั้งที่พระราชามหากษัตริย์นั้นๆ ถือพุทธศาสนา ก็คงจะได้ยอมให้มีโบสถ์พราหมณ์ ฮินดูอยู่ในวัดของพุทธศาสนา การขุดค้นโบราณสถานสมัยศรีวิชัย วัดแก้วที่ไชยานี่พบศิวลึงค์ตั้งหลาย หลาย หลายดุ้น ต้องใช้คำว่าหลายดุ้น ศิวลึงค์ อยู่ในพระเจดีย์รวมกันอยู่กับพระพุทธรูปฝังดินลึกอยู่เป็นร้อยๆ ปีเป็นพันๆ ปี มันไปพบในที่แห่งเดียวกัน ฉะนั้นศิวลึงค์เข้าไปอยู่ในโบสถ์ของพุทธได้โดยง่าย เพราะว่าถ้าถิ่นนั้นมันมีคนประชาชนที่ถือลัทธิอย่างนั้นเป็นชาวบ้าน เป็นประชาชนส่วนใหญ่ มันก็ย่อมต้องการที่จะให้มี ทีนี้ผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจ ผู้ปกครองก็ยินดียอมให้มี มันก็เลยได้ไหว้พร้อมๆ กันไป ใครชอบใจอย่างไรก็เลือกไหว้ นี่เป็นความปนเป เกิดขึ้นโดยความจำเป็นบังคับโดยวงการที่ทรงอำนาจมองเห็นประโยชน์อย่างนั้น ฉะนั้นขอให้เรารู้จักแยก แบ่งแยก และรู้จักประสาน กลมกลืนกันไป อย่าต้องทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องนี้เลย
ศาสนาพุทธก็ทำลายความเห็นแก่ตัว ศาสนาคริสต์ก็ทำลายความเห็นแก่ตัว ศาสนาอิสลามก็ทำลายความเห็นแก่ตัว ในส่วนนั้นมันเหมือนกัน ส่วนเปลือกนอกนั้นก็อย่าไปพูดถึงกันก็ได้ มันมีวิธี วิธีการที่ต่างกัน ขอแต่ให้ได้ผลเป็นการทำลายความเห็นแก่ตนด้วยกันทั้งนั้น จะเกิดความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา นี่มันก็เป็นผลดีแก่ประชาชน ศาสนาถูกบิดผัน เพิ่มเติมผนวกให้มีส่วนที่มิใช่หลักเดิมแท้ของศาสนานั้นเข้ามาด้วยกันทุกศาสนา ต้องพูดว่าทุกศาสนา ทีนี้สาวกชั้นหลังๆ มาเห็นแก่ประโยชน์ทางวัตถุก็ยิ่งเพิ่มเติมแก้ไขบัญญัติอะไรขึ้นมาจนถึงกับว่าการทำลายศาสนาอื่นนั้นได้บุญอย่างนี้ไปเสียก็ได้ การดูดซึม ดูดซับเอาศาสนิกของศาสนาอื่นมาสู่ศาสนานี้เป็นการดี นี่มันขบถต่อพระเป็นเจ้าของมันเองนะ พระเป็นเจ้าของมันเองไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ลูกศิษย์มันทำดีเกินไป มันจนถึงกับเกิดระบบคำสอนที่ว่าดึง ดูด ล้าง แย่งชิงเอาศาสนิกของศาสนาอื่นมาเป็นมาสู่ศาสนาของตนนั่นแหละเป็นความพอใจของพระเจ้า นี่มันโกหกชัดๆ ไม่มีพระเจ้าที่ไหนต้องการอย่างนั้น ฉะนั้นก็ให้เรารู้จักแยกว่าอะไรเป็นแก่นแท้ อะไรเป็นเปลือกนอก และก็อย่าไปยอมรับการกระทำของสาวกชั้นหลังที่เห็นแก่ประโยชน์มากขึ้นทุกที มีความบริสุทธิ์ใจน้อยลงทุกที มันก็บิดผันศาสนาของตน จนกลายเป็นเกือบจะตรงกันข้ามกับความหมายเดิม
ทีนี้มันก็มาดูต่อไปถึงข้อที่ว่าศาสนาจะเปลี่ยนแปลงได้มากนั้นก็เพราะว่ามันมีอำนาจ วงการที่มีอำนาจเข้ามาครอบงำ เช่นเรื่องทางการเมือง องค์การที่มีอำนาจเข้ามาครอบงำศาสนา ต้องการจะใช้ศาสนาหรือกิจกรรมทางศาสนาเป็นเครื่องมือของการเมือง เช่นในการหาเมืองขึ้นในยุคสมัยที่เป็นการล่าเมืองขึ้นนั่นแหละ ศาสนาได้ถูกใช้ให้เป็นเครื่องมือในการล่าเมืองขึ้นอย่างสำเร็จประโยชน์ด้วย นี่ก็เรียกว่าถ้าศาสนาถึงขนาดนี้แล้วมันก็เปลี่ยนไปมากเป็นศาสนาเนื้องอก เป็นศาสนาที่อยู่ใต้อิทธิพลของการเมือง เราอย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่านั่นเป็นศาสนาอันถูกต้องของเขา จะต้องเห็นอกเห็นใจว่าเขาก็ถูกกระทำอย่างนั้น มีความจำเป็นอย่างนั้น เราก็ควรจะช่วยเหลือเขาด้วยซ้ำไป ให้อภัยแก่เขา มาพูดจากันใหม่ ตกลงกันใหม่ว่าจะเอากันอย่างนี้ๆ คือช่วยกันทำลายความเห็นแก่ตัวของคนในโลก ทุกศาสนามาจับมือกันเป็นสหกรณ์ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อทำลายล้างความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในโลกนี้ให้หมดไป งานสหกรณ์อันยิ่งใหญ่ทำขึ้นเพื่อช่วยโลกอย่างนี้ นั่นจะตรงกับความหมายของพระเจ้าที่แท้จริง เพราะถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่แท้จริงมันต้องมีความหวังดีต่อสัตว์โลก ฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นความสุขสวัสดีแก่สัตว์โลกนั่นแหละจะเป็นที่พอใจของพระเป็นเจ้าที่แท้จริง ถ้าพระเป็นเจ้าต้องการเห็นความทุกข์ยากลำบากในโลก ต้องการจะเห็นความแตกแยกในโลก จะต้องการเห็นการต่อสู้กันระหว่างศาสนาแล้ว นั่นมันเป็นพระเจ้าเก๊ พระเจ้าปลอม ซึ่งจะมีอยู่ไม่ได้ ซึ่งจะต้องค่อยๆ ทำลายตัวเองไป พระเจ้าที่แท้จริงต้องมีเจตนารมณ์ในการช่วยโลกให้อยู่เป็นสุขทั้งส่วนตัวบุคคลและส่วนสังคม นี่เราจะต้องให้อภัยกันว่าไม่มีศาสนาไหนผิดโดยประการทั้งปวง แต่แล้วมันก็ต้องมีการแตกต่างกันบ้างเพราะมีสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยอันรุนแรงมีอำนาจนั้น มันเข้ามา แวดล้อมเข้ามา บังคับเข้ามา ผสมเข้ามาปลอมปน อย่างประเทศทิเบตอย่างนี้ พระพุทธศาสนาเข้าไปในประเทศทิเบต มันจำเป็นที่จะต้องผสมกันเข้าไปกับศาสนาเดิมของทิเบต ที่เรียกว่าบอนปา(Bonpo)นั่นน่ะ มันเป็นไสยศาสตร์ ถือผีสางเทวดาอะไรเต็มที่ เป็นศาสนาเดิมของทิเบต ดังนั้นพุทธศาสนาเข้าไปในทิเบตก็ต้องไปผสมกัน ก็เลยเกิดปัญหา ในพิธีทางพุทธศาสนาก็มีวิธีการอย่างไสยศาสตร์ อย่างเช่น สรวงภูตผีปีศาจอย่างนี้ก็มี นี่ต้องให้อภัย ต้องเห็นใจว่ามันเป็นธรรมดาที่มันจะต้องเป็นอย่างนั้น เช่นเดียวกับที่เราจะต้องอภัยแก่คน บุคคลแต่ละคน ในส่วนบุคคลนี่ ถ้าเขามีความเข้าใจผิดหรือมีความจำเป็นอะไรบางอย่างที่ต้องทำให้เขามีอะไรๆ ที่ผิดแปลกไปจากเราบ้าง ก็ค่อยให้อภัยเขาแล้วก็ค่อยชักจูงเกลี้ยกล่อมตักเตือนเขาหมุนมาสู่แนวทางที่ถูกต้อง นี่เป็นการร่วมมือชักจูงกันให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ร่วมมือกันเพื่อสันติสุขของมนุษย์
ทีนี้ก็จะพูดถึงหนทางที่จะทำให้ร่วมมือกันได้ ที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ หนทางก็มีอยู่ ด้วยการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นหัวข้อแห่งปณิธานข้อนี้ว่าการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน พยายามพูดจากันแม้ว่าขณะนี้เราจะรบกันไปจะรบกันอยู่ ก็ต้องแลกความเข้าใจธรรมะซึ่งกันและกัน เคยเขียนบทความขึ้นมาเรื่องหนึ่งให้ชื่อว่ารบกันพลาง แลกธรรมะกันพลาง ถ้าว่าในโลกปัจจุบันนี่ รบกันไปพลางแล้วก็มีการแลกธรรมะอันแท้จริงกันไปพลาง มันก็จะแก้ไขความเข้าใจผิดนั้นได้เร็วขึ้นจะเลิกรบกันได้ง่ายขึ้น แต่เดี๋ยวนี้วัฒนธรรมที่เขามาแลกเปลี่ยนกันมันกลายเป็นเรื่องส่งเสริมกิเลสไปเสีย มันไม่ใช่ธรรมะ น่าสงสารที่ว่าวัฒนธรรมแลกเปลี่ยนนั่นน่ะ ระหว่างชาตินั่นน่ะ คือระบำบัลเล่ต์ที่ท่าทางแปลกๆ ประหลาดออกไปจนเหมือนกับคล้ายผีบ้า เต้นรำเหมือนกับผี แล้วต้องเป็นผีที่บ้าเสียอีก ไม่ใช่ผีธรรมดา นั่นแหละเป็นวัฒนธรรมที่เขาเอามาแลกเปลี่ยนกันคือระบบบัลเล่ต์ ไม่มีความพยายามที่จะแลกเปลี่ยนธรรมะคือความเข้าใจถูกต้อง เอามาเป็นวัฒนธรรมสำหรับแลกเปลี่ยนกัน เมื่อเป็นดังนี้ โลกนี้มันก็เลวลง มนุษย์มันก็เลวลง ก็ตกเป็นเหยื่อของกิเลสมากขึ้น มันไม่มีทางจะทำความเข้าใจกันได้ ถ้ามัวแต่เพิ่มหรือยุกันด้วยวัฒนธรรมที่ส่งเสริมกิเลส มันจะต้องทำความเข้าใจกันเสียใหม่ให้ถูกต้อง ว่าสิ่งอะไรที่มันจะช่วยโลกได้ช่วยมนุษย์ได้ เรามีคำตอบในพุทธศาสนาของเรา ซึ่งจะตอบด้วยเสียงอันดังลั่นก้องโลกไปเลยว่าสัมมาทิฏฐิ,โว้ย เราจะต้องแลกเปลี่ยนสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิแก่กันและกัน ความรู้ความเข้าใจอันถูกต้องว่าอะไรเป็นความทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรเป็นความไม่มีทุกข์โดยแท้จริง อะไรเป็นหนทางให้ได้ถึงความไม่มีทุกข์อันแท้จริง นี่ถ้าเรามาสนใจกันแต่อย่างนี้มันก็เกิดสัมมาทิฏฐิเพิ่มขึ้นๆ
ดังที่กล่าวมาแล้วว่ามนุษย์ทุกคนในโลกมันจะประกาศตัวว่าถือศาสนาไหนเป็นชาติอะไร มันก็มีกิเลสเหมือนกันและมีความทุกข์เหมือนกัน ฉะนั้นไม่ต้องเชื่อพุทธศาสนาก็ได้ แต่ขอให้มันมองเข้าไปในตัวเองให้เห็นความทุกข์ และเห็นเหตุให้เกิดความทุกข์คือกิเลส แล้วมันก็จะพบเองว่าความไม่มีกิเลสนั่นแหละคือความไม่มีทุกข์ แล้วมันก็จะพบหนทาง หนทางที่ถูกต้องว่าทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้จึงจะไม่มีกิเลส เมื่อไม่มีกิเลสก็ไม่มีความทุกข์ นี่คือสัมมาทิฏฐิ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีใครเป็นเจ้าของโลกที่จะจัดโลกได้อย่างนั้นอย่างนี้ มันแย่งชิงกันจัดโลก มันแย่งชิงกันเป็นเจ้าโลกที่จะครองโลกนี่ จนแบ่งเป็นฝ่าย ฝ่ายขวา ฝ่ายซ้าย อย่าไปออกชื่อเลย ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าสงครามนี่มันทำแก่กันและกัน แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายกันเพื่อจะครองโลก ทำคนเดียวไม่ได้ก็ต้องหาพรรคพวกมาร่วมมือกันสำหรับจะครองโลกแล้วก็จะค่อยแบ่งกันทีหลังก็ได้ มันคิดไปเสียไปในทางที่จะครองโลกตามวิสัยแห่งวัตถุนิยม คือถือเอาความสุขสนุกสนานเพลิดเพลินเอร็ดอร่อยทางวัตถุเป็นหลัก จึงต้องมีกฎเกณฑ์อะไรๆ ที่จะบัญญัติความจริงหรือบันทึกประวัติศาสตร์หรืออะไรก็โดยเอาวัตถุเป็นหลักทั้งนั้นเลย รวมกันเข้าแล้วก็เป็นวัตถุนิยมที่สมบูรณ์ มีความโง่อย่างสมบูรณ์คือติดในรสของวัตถุแล้วก็ใช้กฎเกณฑ์ของความจริงนั่นอาศัยหลักทางวัตถุ รวมกันแล้วเป็นวัตถุนิยม นี่วัตถุนิยมกำลังครองโลก มันก็เป็นการยากลำบากแก่มนุษย์ มนุษย์ผู้ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ผู้โง่เขลาไม่รู้จะเดินทางไปในทางทิศทางไหน ถ้าเป็นฝ่ายซ้ายก็ไปเป็นพวกซ้าย ถ้าไปฝ่ายขวาก็เป็นพวกขวา จะเดินอยู่ตรงกลาง เดินมันไม่ถูก มันเดินไม่ถูกนี่ มันจะต้องมีสัมมาทิฎฐิ เดินอยู่ตรงกลางให้มันถูก ให้มันถูกกับความจริงของธรรมชาติ พระบาลีที่ว่า สมฺมาทิฏฺฐิสมาทานา สพฺพํ ทุกฺขํ อุปจฺจคุí นี่ ถูกต้องกับเหตุการณ์ของโลกอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าถูกต้อง ถูกต้องยิ่งกว่าถูกต้อง ความทุกข์หรือปัญหาใดๆ ในโลกทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น จะแก้ไขก้าวล่วงไปเสียได้ด้วยการมีสัมมาทิฏฐิ เอ้อ,ตรงนี้ก็ถือโอกาสพูดเสียด้วยว่า เรามีความผิดพลาดกันอยู่อย่างหนึ่งคือเกี่ยวกับคำว่ายึดมั่นถือมั่น ในที่นี้พระบาลีมีว่า สมฺมาทิฏฺฐิสมาทานา คือสมาทาน เพราะการสมาทานสัมมาทิฏฐิ พระบาลีไม่ได้ใช้คำว่า สมฺมาทิฏฺฐิอุปาทานา มีคำว่า สมฺมาทิฏฺฐิสมาทานา คำว่าสมาทานกับคำว่าอุปาทานนี่ต่างกันลิบ เรามีการปฏิบัติในเรื่องนี้ผิดกันอยู่โดยมาก มากจนอย่างน่าตกใจ คือทำด้วยอุปาทาน ท่านทั้งหลายถือศีลด้วยอุปาทาน ไม่ได้ถือศีลอย่างสมาทาน แม้จะใช้คำว่าสมาทาน แต่ท่านก็ไปทำมันด้วยอุปาทาน ทำอย่างอุปาทาน ทำบุญทำทานถือศีลสวดมนต์ภาวนาอะไรก็ทำอย่างอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น มันเลยกลายเป็นสีลัพพตปรามาสไปหมดสิ้น ไม่เหลืออยู่เป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนาอะไรที่ถูกต้อง ให้ทานก็ด้วยอุปาทาน รักษาศีลก็ด้วยอุปาทาน เจริญสมาธิก็ด้วยอุปาทาน เจริญวิปัสสนาก็ด้วยอุปาทาน แล้วยังหวังเอามรรค ผล นิพพาน ด้วยอุปาทานตามแบบของตนๆ อีก อย่างนี้มันเป็นอุปาทาน มันล้มละลายหมด มันไปได้เป็นฝักฝ่ายของฝ่ายความทุกข์ไปเสีย จะต้องทำด้วยสมาทาน สมาทาน แปลว่าถือเอาอย่างดี อุปาทานก็ถือเอาอย่างยึดมั่นถือมั่น อย่าถือเอาด้วยความยึดมั่นถือมั่น
เมื่อข้าพเจ้ากล่าวคำนี้ออกไป มันก็มีคนคัดค้านและคนด่าว่าไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นอะไร แม้แต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ขอยืนยันว่าจริง จริง และนี้คือตรงตามพระพุทธประสงค์ พระองค์มีพระพุทธประสงค์ให้เราทำอะไรๆ แก่พระรัตนตรัยในลักษณะที่เป็นสมาทาน ไม่ทรงประสงค์ให้เรากระทำไปในลักษณะที่เป็นอุปาทาน มันจะเป็นสีลัพพตปรามาส โง่เขลา งมงาย ผิดความมุ่งหมายไปหมด มันจะเป็นสัจจาภินิเวส ฝังตัวเข้าไปอย่างโง่เขลา ฝังตัวลึกเข้าไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นอย่างโง่เขลา มันก็วินาศหมด มันไม่เกิดความถูกต้องเป็นสัมมาๆ ขึ้นมาได้ มันเป็นมิจฉาๆ โดยไม่รู้สึกตัว เป็นมิจฉาอย่างเพลิดเพลินอย่างสนุกสนานลึกเข้าไปเป็นสัจจาภินิเวส แล้วก็อวดดี หรา กล้าอยู่ทีเดียวว่าของฉันเท่านั้นแหละดี ของฉันเท่านั้นแหละถูก ของแกไม่ดี ของแกผิด ของแกเลวทรามใช้ไม่ได้ นี่ดูถูกกันและกันในระหว่างเพื่อนบริษัทด้วยกันว่าแกผิด แกเลว ของฉันเท่านั้นแหละถูกและดี นี่มันทำไปด้วยอำนาจของอุปาทาน จึงขอร้องว่าอย่าได้ทำด้วยอุปาทานซึ่งมันมีมูลมาจากอวิชชา จงทำไปด้วยสมาทานซึ่งมันมีมูลมาจากวิชชาหรือปัญญา หรือโดยเฉพาะก็คือสัมมาทิฏฐิ สมาทานนี่มันมีความหมายหรือมีน้ำหนักตรงกับคำว่าสังกัปปะ องค์แห่งอริยมรรค องค์แรกก็สัมมาทิฏฐิเห็นตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไรครบถ้วนแล้ว มันก็มีความต้องการที่จะได้สิ่งที่ควรจะได้ องค์ที่ ๒ นี่เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ มันเป็นความต้องการ เป็นความปรารถนาด้วยอำนาจของสติปัญญา ไม่เป็นกิเลสตัณหา ความต้องการที่จะดับทุกข์ ความต้องการที่จะบรรลุนิพพาน ด้วยสติปัญญานั่น ไม่เป็นกิเลสตัณหา ถ้ามันโง่เขลางมงาย ต้องการนิพพานตามทัศนะของตนๆ อย่างที่สืบๆ กันมาอย่างโง่เขลา ถ้าอย่างนี้แล้วความต้องการนิพพานนั้น ก็กลายเป็นกิเลสตัณหาไปได้เหมือนกัน อย่าสอนกันผิดๆ หรืออย่ารับคำสอนมาผิดๆ ว่าถ้ามันเป็นความอยากเป็นความต้องการแล้วมันเป็นกิเลสตัณหาไปเสียทั้งนั้น นั่นมันหลับตาพูด มันต้องแยกให้ชัดลงไปว่าความต้องการนั้นมาจากอวิชชาหรือมาจากวิชชา ถ้าความต้องการนั้นมาจากอวิชชา แน่นอนเป็นกิเลสตัณหาทั้งนั้นเลย แต่ถ้าความต้องการนั้นมาจากวิชชา มีความรู้อย่างแจ่มแจ้งถูกต้องอยู่ ความต้องการนั้นไม่เป็นกิเลส ไม่เป็นตัณหา จะเรียกว่าสังกัปปาหรือความปรารถนาอันถูกต้องอะไรก็ได้ แต่มิใช่กิเลสตัณหา ความยุ่งยากลำบากในภาษาไทย มันไม่มีคำแยกใช้ มันเรียกว่าความอยากๆ ไปเสียหมด
เดี๋ยวนี้ความอยากมันมี ๒ ชนิด มันอยากด้วยอวิชชาหรือมันอยากด้วยวิชชา คือมันอยากอย่างผิดๆ หรือมันอยากอย่างถูกต้อง ถ้ามันมีความอยากอย่างถูกต้องมันไม่ใช่ความโลภ มันไม่ใช่ตัณหา มันเป็นความต้องการที่จะเป็นไปในทางที่ถูกต้องและจะดับทุกข์ได้ในที่สุด ฉะนั้นการอยากปฏิบัติธรรมะและปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไปเพื่อบรรลุนิพพานนั่นน่ะไม่ใช่กิเลสตัณหา อยากทำให้ดีอย่างถูกต้องไม่ใช่กิเลสตัณหา แต่ถ้ามันทำดี อยากดีด้วยความบ้าดี เมาดี หลงดี นั่นแหละ อยากนั้นแหละมันเป็นกิเลสตัณหา แม้ว่ามันอยากดี ฉะนั้นจงพยายามเข้าใจความแตกต่างของสิ่งเหล่านี้ว่ามันมีอยู่ ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็นสัมมา ฝ่ายหนึ่งเป็นมิจฉา ถ้าความอยากอย่างสัมมา ก็ใช้ได้เป็นที่พึ่งได้ ตนเป็นที่พึ่งตนได้ก็ด้วยมีความอยากอย่างสัมมา แต่ถ้ามันอยากด้วยกิเลสตัณหาแล้วมันทำลายตัวเอง ทำให้เกิดความทุกข์ มันไม่มีทางที่จะดีไปได้เลย มันดีไปไม่รอด ถ้ามันอยากดีด้วยกิเลสตัณหา มันก็ไปไม่รอด ถ้ามันอยากดีด้วยสติปัญญา มันก็ไปรอด ทีนี้ประสงค์ต้องการจะปฏิบัติด้วยสติปัญญานี้เรียกว่าสมาทาน ถ้าต้องการด้วยกิเลสตัณหาก็เรียกว่าอุปาทาน เดี๋ยวนี้มันสอนให้ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานกันเสียหมด แม้แต่จะให้ทานรักษาศีลอะไร ก็ยึดมั่นถือมั่นหลับหูหลับตาเป็นอุปาทานไปเสียหมด อย่างนี้มันถอยหลัง มันไม่มีทางที่จะก้าวหน้า
นี่ถือโอกาสแทรก พูดแทรกเสียอย่างยืดยาวด้วยความหมายของคำว่าสมาทานและคำว่าอุปาทาน ทั้งนี้เพราะต้องการจะให้รู้จักใช้สิ่งที่เรียกว่าสมาทานสัมมาทิฏฐิ เมื่อมีการสมาทานสัมมาทิฏฐิแล้ว จะก้าวล่วงความทุกข์ทั้งปวง ขอให้ยึดเป็นหลักตายตัวเพียงหลักเดียวสำคัญอย่างยิ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ของพระพุทธศาสนาว่า จะก้าวล่วงความทุกข์ทั้งปวงได้เพราะสมาทานสัมมาทิฏฐิ ใช้คำว่าสมาทานให้ถูกต้อง ถ้าอุปาทานในสัมมาทิฏฐิแล้วไม่มีทางที่จะเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นสัมมาทิฏฐิมืด มันใช้อะไรไม่ได้ เพราะอุปาทานมันก็เริ่มต้นผิด มันมีตัวกูของกู หมายมั่นเป็นตัวกูของกูอะไรเป็นเรื่องของฝ่ายกิเลสไปหมด ถ้ามันเป็นสมาทาน มีปัญญามีวิชชาแล้วมันก็ไม่เอามาเพื่อตัวกูของกู แต่ทำไปเพื่อความถูกต้อง นี่เป็นหลักที่ว่าเราจะทำอะไรๆ ด้วยสติปัญญาที่ถูกต้อง อย่าทำไปด้วยความเครียดยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน ด้วยอุปาทาน แต่ความเคยชินตามธรรมดามาตั้งแต่อ้อนแต่ออกนั่นน่ะ มันทำให้ทำอะไรด้วยอุปาทานมาทั้งนั้น แล้วมันก็ได้รับความทุกข์โดยสมกัน เมื่อมีความทุกข์โดยสมควรพอสมควรแล้ว มันก็ควรจะรู้สึกตัวบ้าง รู้จักเข็ดหลาบ รู้จักกลัวบ้าง ก็เปลี่ยนทิศทางเสีย อย่าได้ทำอะไรด้วยอุปาทานอีกต่อไป เด็กๆ มันไม่ได้มีสติปัญญามาแต่ในท้องแม่ มันมาด้วยสัญชาตญาณกลางๆ ซึ่งยังไม่ดีไม่ชั่ว แต่มีความรู้สึกเป็นรากฐานแห่งตัวตน พอมันคลอดออกมาแล้ว มันได้รับของอร่อยในเวทนา มันก็เกิดความรู้สึกเป็นตัวตนเลยขอบเขตว่ากูอร่อย กูต้องได้มาเป็นของกูให้มาก กูจะต้องสะสมเอาไว้ จะต้องเอาให้ได้มากที่สุดที่จะมากได้ ทีนี้พอเกิดทุกขเวทนา เสวยสิ่งที่ไม่อร่อยไม่เป็นสุข มันก็เกิดตัวกู ตัวกูเดือดร้อน ตัวกูเสียหาย ตัวกูจะต้องต่อสู้ ทั้งสองฝ่ายแหละ ฝ่ายยินดีก็เกิดตัวกูแบบหนึ่ง ฝ่ายยินร้ายก็เกิดตัวกูไปอีกแบบหนึ่ง รวมกันเข้าเป็น ๒ ตัวกู เป็นตัวกูที่สมบูรณ์ทั้งทางยินดีและทางยินร้าย มันก็อยู่ในโลกนี้ด้วยความเจริญแห่งตัวกู นี่มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ เด็กๆ คลอดออกมา จิตเกลี้ยง แล้วก็เศร้าหมอง เศร้าหมองด้วยความยินดียินร้ายอันเกิดจากเวทนามากขึ้นๆ จนเป็นผู้เห็นแก่ตัวจัด ไม่ทันจะเป็นหนุ่มสาวด้วยซ้ำไป หรือเมื่อเป็นหนุ่มสาวก็เป็นระยะที่มีความเห็นแก่ตัวจัด หลงใหลในความรู้สึกทางกิเลสเป็นสิ่งสูงสุด แล้วก็ได้ทำไปอย่างนั้น แล้วก็ได้รับผลเป็นความทุกข์ เป็นความทุกข์เพิ่มขึ้นๆ แล้วต่อมาจึงรู้จัก เอ้า, นี่มันเป็นความทุกข์ ก็อยากจะเปลี่ยนทิศทาง นี่มันจึงจะเริ่มหันเหมาทางธรรมะ ถ้าโชคมันดี มันก็ได้มาพบธรรมะที่ดีที่ถูกต้องและหันเหเปลี่ยนทิศทางได้โดยเร็ว ถ้าโชคไม่ดี บางทีจนตายแหละ มันก็ไม่ได้รู้จักของจริง ไม่ได้รู้จักเปลี่ยนทิศทางให้ถูกต้องได้ เป็นที่น่าเวทนาสงสารอย่างยิ่ง เราจะมารู้ว่าเมื่อเรามันตั้งต้นขึ้นมาด้วยความว่าง เกิดจากท้องแม่มาด้วยจิตที่มันว่าง แต่มันเป็นความว่างชนิดที่ไม่คงตัว เปลี่ยนเป็นความวุ่นได้ โดยการสัมผัสโลกมากเข้าๆ จนเกิดเป็นความวุ่น มันเจ็บปวดที่สุดถึงที่สุดถึงประมาณแล้วมันก็อยากจะเลิกอาการอย่างนี้ คือจะกลับไปสู่ความว่างอีก ก็ปฏิบัติศึกษาธรรมะเพื่อให้เกิดความว่างขึ้นมาอย่างถูกต้อง แต่มันเกิดความว่างอันใหม่ที่จะไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไปนี่ มันก็จนกระทั่งบรรลุอรหันต์แล้วก็เป็นความว่างแท้จริงและไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป ไม่กลับวุ่นได้อีกต่อไป แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราก็กล่าวได้ว่าชีวิตมันตั้งต้นขึ้นมาด้วยความว่างชนิดที่เปลี่ยนแปลงได้ มันจึงเปลี่ยนมาเป็นความวุ่น ครั้นวุ่นทรมานถึงที่สุดแล้ว มันก็เปลี่ยนไปสู่ความว่างเพราะมันจัดการอย่างยิ่งด้วยศีล สมาธิ ปัญญา จัดการอย่างยิ่งจนเกิดความว่างชนิดที่แท้จริงไม่กลับเป็นความวุ่น ถึงยอดสุดของมนุษย์ที่จะทำคือความเป็นพระอรหันต์ ก็หมดปัญหา นี้เรียกว่ามันจบลงด้วยความว่างถ้าเป็นพระอรหันต์ ทีนี้มีใครกี่คนน่ะ ที่ได้เกิดมาแล้วได้บรรลุพระอรหันต์ มันอยู่ในความวุ่น มันตายไปในความวุ่นนั่นแหละ แต่ถ้าเราจะเป็นพุทธบริษัทที่มีโชคดี ได้รับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาอย่างถูกต้องและเพียงพอ มันก็สามารถจะรู้จักเข้าใจเรื่องความว่าง จะสามารถปฎิบัติเรื่องความว่างและจะได้รับผลแห่งความว่างทันในเวลาก่อนแต่ที่จะตาย ก่อนแต่ที่จะแตกตายทำลายขันธ์ นี่จึงจะเรียกว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบกับพุทธศาสนา ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันก็ต้องอยู่ในพวกที่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาทั้งนั้นแหละ มีสิทธิที่จะถูกด่าอย่างหยาบคายว่าไอ้คนเสียชาติเกิด มันเกิดมาไม่ได้พบกับสิ่งที่ควรจะได้พบได้รับ
นี่ขอให้ระวังสังวรกันไว้เป็นอย่างดีด้วยกันจงทุกๆ คนเถิดในข้อที่ว่าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา นี่เป็นเรื่องของสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ ขอย้ำสัมมาทิฏฐิซึ่งเป็นเครื่องมืออันเดียวเท่านั้นแหละที่จะทำสันติสุขให้เกิดขึ้นในโลกได้ เป็นเครื่องมือที่จะทำความเข้าใจกันได้ในระหว่างศาสนา ถ้าเราจะมีอะไรแลกเปลี่ยนกันระหว่างศาสนา ก็แลกเปลี่ยนกันด้วยลักษณะหรือคุณค่าหรือวิธีการหรืออะไรของสัมมาทิฏฐิ หมายความว่าเราแลกเปลี่ยนสัมมาทิฏฐิกันนั่นแหละ มันเป็นการซักฟอกหรือซักซ้อมให้สัมมาทิฏฐิถูกต้องยิ่งขึ้น ถูกต้องยิ่งขึ้นด้วยกันทั้งสองฝ่าย และสามารถดับทุกข์ได้จริง แล้วก็มีธรรมะอย่างเดียวคือสัมมาทิฏฐินี่แหละที่จะดับยุคเข็ญในโลก เป็นการรักษาโรคของมนุษย์โดยประการทั้งปวง ในพระบาลีมีคำว่า มหาการุณิโก สตฺถา สพฺพโลกติกิจฺฉโก พระศาสดาของข้าพเจ้าเป็นผู้มีกรุณาใหญ่ เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง นั่น พระพุทธเจ้าเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง ทรงเยียวยาด้วยอะไร ทรงเยียวยาด้วย สมฺมาทิฏฺฐิสมาทานา สพฺพํ ทุกฺขํ อุปจฺจคุí อาศัยสัมมาทิฏฐิแล้ว มันก็นำการกระทำที่ถูกต้องมาตามลำดับ ถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทางใจ มันก็ดับทุกข์ได้ สัมมาทิฏฐิทำให้เกิดสัมมาสังกัปปะ นี่เป็นปัญญาอันสมบูรณ์ รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ต้องการอย่างถูกต้อง นี่เป็นปัญญามาก่อน แล้วก็มาถึงศีล สัมมาวาจา,สัมมากัมมันโต,สัมมาอาชีโว นี้เป็นศีล ก็เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐินำแล้ว สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต ไม่มีทางที่จะถูกต้อง และจะผิด แล้วไปหลงผิดไปยึดเอาอย่างผิดๆ อย่างรุนแรง แล้วก็จะมาถึงหมวดสมาธิคือ สัมมาวายาโม, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ มันก็ถูกต้อง นี่อำนาจของสัมมาทิฏฐิ มันนำให้หมวดศีลและหมวดสมาธิถูกต้อง ถูกต้องแล้วกลับไปส่งเสริมหมวดกลุ่มปัญญาให้ถูกต้องยิ่งขึ้นไปอีก ก็นำศีลและสมาธิให้ถูกต้องยิ่งขึ้นไปอีก มันก็ส่งเสริมให้หมวดปัญญายิ่งขึ้นไปอีก ปัญญาสูงขึ้นไปอีกก็นำศีลและสมาธิให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก นี้มันมีความจริงอย่างนี้ ขอให้สังเกตเห็น ถ้าสัมมาทิฏฐิไม่เป็นผู้นำแล้วมันเข้ารกเข้าพงไปหมด นี่ขอให้สังเกตดูให้ดีว่า ทุกอย่างของการกระทำนั้นต้องถูกนำด้วยสัมมาทิฏฐิ ต้องนำหน้าด้วยสัมมาทิฏฐิเสมอไป มันต้องมีปัญญานำหน้า จนพระพุทธองค์ทรงเปรียบสัมมาทิฏฐิไว้ว่ามันเหมือนกับรุ่งอรุณ แสงทองของรุ่งอรุณเป็นสัญลักษณ์ว่ากลางวันจะมาแน่แล้ว ถ้าเราเห็นแสงทองเกิดขึ้นทางทิศตะวันออก เราก็จะแน่ใจว่ากลางวันมาแล้ว นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเห็นสัมมาทิฏฐิมาแล้ว ก็เป็นที่แน่ใจว่าทั้งหมดจะตามมา ที่ ๗ องค์ที่เหลือจะตามมา ก็เลยมีอริยมรรคขึ้นมา อริยมรรคมีองค์ ๘ ขึ้นมา เป็นส่วนเหตุ แล้วก็เกิดส่วนที่เป็นผลคือสัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ อีก ๒ รวมกันเป็น ๑๐ นั่นน่ะเรื่องที่สมบูรณ์
ตัวพระพุทธศาสนานั้น ถ้าจะกล่าวกันอย่างสมบูรณ์แล้วก็ต้องชี้ไปที่สัมมัตตะ๑๐ เพียงอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือ๘ อย่าง ๘ สัมมานี้ มันยังเป็นเพียงส่วนเหตุคือส่วนปฏิบัติ ไม่ได้รวมผลของการปฏิบัติเข้าไว้ด้วย มันจะสมบูรณ์ต่อเมื่อรวมผลของการปฏิบัติเข้าไว้ด้วย พระองค์จึงทรงชี้ระบุไปยังสัมมัตตะ ๑๐ ความถูกต้อง ๑๐ ประการ ว่าเป็นยารักษาโรคที่จะทำให้สัตว์โลกพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บตาย นี่ขอให้แน่ใจว่าเราสามารถจะพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่าสวดมนต์ครึ่งท่อนแล้วก็โง่ไว้ครึ่งท่อนว่าไม่พ้นความเกิดแก่เจ็บตายไปได้ นั่งร้องไห้โฮๆ อยู่ อย่างนี้ไม่ใช่พุทธบริษัท รู้ว่ามีความเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา แล้วก็รู้ว่าถ้าได้อาศัยพระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว พ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายได้ นี่พระพุทธองค์มียารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงคือสัมมัตตะ ๑๐ ในกรณีอย่างนี้ในพระสูตรนี้ ท่านระบุสัมมัตตะ ๑๐ ทรงเรียกสัมมัตตะ ๑๐ นี้ว่า เป็นวมนเภสัช เป็นยาให้อาเจียน กินแล้วอาเจียนของชั่วร้ายทุกข์โทษออกมาหมด เป็นเรจนเภสัช เป็นยาถ่าย กินแล้วถ่ายออกมาหมด เป็นโธวนเภสัช อาบล้าง ก็แล้วล้างกิเลสและทุกข์ภัยออกไปหมด ชื่อสมมติอย่างนี้ระบุไปยังสัมมัตตะ ๑๐ ทั้งนั้น เพียงอริยมรรค์มีองค์ ๘ ยังไม่พอ ฉะนั้นเราก็ควรจะศึกษาให้งอกงามออกไปถึงสัมมัตตะ ๑๐ อย่าหยุดอยู่เพียงแค่อริยมรรคมีองค์ ๘ เลย แต่มันจะเป็นสัมมัตตะ ๑๐ มันก็มีสัมมาทิฏฐิเป็นผู้นำอยู่นั่นแหละ มันไม่มีอะไรมาเป็นผู้นำได้ ในส่วนขั้นตอนของการปฏิบัติมีสัมมาทิฏฐิเป็นผู้นำ มีการประพฤติกระทำประกอบไปด้วยองค์ทั้ง ๗ ที่เหลือ มันเป็นไปตามสัมมาทิฏฐิ แล้วก็ส่งเสริมให้สัมมาสมาธิมีกำลังกล้าในการที่จะตัดกิเลส ด้วยมีผลเป็นสัมมาญาณะแล้วก็วิมุตติ สัมมาทิฏฐิจะนำไปสู่วิมุตติ เป็นการแก้ปัญหา ใช้ปัญญาบำบัดโรคของสัตว์โลกทั้งปวงได้ ดังนั้นถ้าจะมีการต่อรองกันระหว่างศาสนา เราก็จะเสนอสัมมัตตะ ๑๐ อันสมบูรณ์ เข้าร่วมต่อสู้ ประกวดประขันหรืออะไรก็ตาม มันสบหลักวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง ยิ่งใช้หลักวิทยาศาสตร์เท่าไหร่ จะยิ่งพบความประเสริฐของพระพุทธศาสนาคือหลักสัมมัตตะ ๑๐ นี่ยิ่งขึ้นทุกที เราหวังว่าในอนาคตนั่นน่ะ เมื่อโลกมันเจริญทางวิทยาศาสตร์ยิ่งขึ้นกว่านี้ ก็เป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง ไม่เป็นทาสแก่วัตถุคือเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตใจด้วย พระพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างโพลงเป็นแสงสว่างทั่วโลก เหมือนกับที่ไอน์สไตน์เขาพูดไว้ว่า ศาสนาที่จะเหลืออยู่ในโลก ก็คือศาสนาที่สามารถเผชิญกับความต้องการของโลกแห่งยุคปัจจุบัน มันใช้คำว่า Cope คำนี้แปลว่ารับสถานการณ์ ต่อสู้อะไรไปเสียทุกอย่างที่สามารถรับสถานการณ์ตรงกับความต้องการของโลกแห่งยุคปัจจุบันซึ่งเจริญด้วยวิทยาศาสตร์ โลกสมัยเก่าเจริญด้วยศรัทธาด้วยไสยศาสตร์ด้วยอะไรก็สุดแท้ ก็ว่าไปตามเรื่อง แต่โลกปัจจุบันมันเจริญด้วยวิทยาศาสตร์ ถึงขนาดเพียงพอที่จะต้องทำอะไรกันด้วยเหตุผล ฉะนั้นเรามีพระศาสนากันไว้ที่เนื้อที่ตัว ให้มันเป็นของจริงอยู่ที่เนื้อที่ตัว อย่าให้เป็นเพียงคำพูดหรือเป็นเพียงกระดาษ เขียนไว้ในกระดาษหรือเอามาสวดมาท่อง แต่ให้มันเป็นการปฏิบัติที่แท้จริง สำเร็จประโยชน์อยู่ที่เนื้อที่ตัว แสดงให้เห็นว่าฉันทำอย่างนี้ ฉันทำอย่างนี้ แกจงมาดู ฉันทำอย่างนี้แล้วกิเลสระงับไปอย่างนี้ แล้วความทุกข์ระงับไปอย่างนี้ นี่มันเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องใช้การคำนวณไม่ต้องใช้สมมติฐาน ด้วยคำว่าถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ ถ้าอย่างโน้น ไม่มี มันไม่ต้องใช้ มันมองเห็นโดยประจักษ์อย่างนี้เพราะอำนาจของสัมมัตตะ มีความถูกต้อง แสดงความถูกต้อง สามารถพิสูจน์ความถูกต้องอยู่ได้ในตัว
นี่เราจะใช้เป็นเครื่องมือดำรงพระศาสนา เป็นเดิมพันสำหรับจะต่อรองกับศาสนาใดๆ ว่ามาๆ มาพิจารณากันว่าใครจะช่วยโลกโดยวิธีอย่างไรให้สำเร็จประโยชน์ได้ ชาวพุทธมีวิธีอย่างนี้ ที่พูดนี้มันก็อาจจะเลยขอบเขตไปบ้างแล้ว คือมันกลายเป็นเรื่องการต่อสู้ระหว่างศาสนาไปแล้ว เอาล่ะ,เราจะใช้คำว่าทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา จะไม่ใช้คำว่าต่อสู้ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นเรื่องร้าย เรื่องเจตนาร้าย จะกลายเป็นเรื่องกระทบกระทั่งเบียดเบียนไปเสียอีก พุทธบริษัทไม่มีการกระทบกระทั่งหรือการเบียดเบียน แต่มีสติปัญญา พูดจาทำความเข้าใจ ระงับความเข้าใจผิดทั้งหมดทั้งสิ้นได้ ทำความเข้าใจกันได้ สามารถจะเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรได้ นี่คือความประเสริฐสุดของพระพุทธศาสนา ขอให้พวกเรารู้จักไว้ในฐานะเป็นสิ่งประเสริฐสุด โดยส่วนตัวก็ประพฤติปฏิบัติกันอย่างเต็มที่ โดยส่วนผู้อื่นก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้ได้มีโอกาสประพฤติปฏิบัติเต็มที่ และถ้าสูงขึ้นไปกระทั่งถึงจะช่วยโลกทั้งโลกกันแล้ว ก็จะต้องเสนอสัมมาทิฏฐิเป็นเครื่องต่อรองสำหรับทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทำโลกนี้ให้ประสบสันติสุข ถ้าองค์การสหประชาชาติที่ว่า ที่ถือว่ามีอำนาจสูงสุดในเวลานี้ เป็นองค์การที่จะสนใจหัวใจของศาสนา เก็บเอาหัวใจของศาสนาทุกศาสนาไปศึกษาแล้วไปเผยแผ่ เป็นผู้เผยแผ่หัวใจของศาสนาทุกศาสนาเสียเอง นั่นน่ะจะชื่อสมชื่อ มีชื่อสมชื่อว่าเป็นสหะ สหประชาชาติในทางจิตใจ เดี๋ยวนี้สหประชาชาติก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ยังอยู่ใต้อิทธิพลของฝ่ายนั้นฝ่ายนี้เปะปะๆ นั่งพูดไกล่เกลี่ยเหมือนท้าวมาลีวราชนั่งจับปูใส่กระด้งอยู่นั่นแหละ นี่โชคของโลกนี้มันยังไม่ดีถึงขนาดที่ว่าจะได้องค์การไหนที่ขุดค้นเอาหัวใจของทุกศาสนาออกมาทำสหกรณ์กัน เป็นที่เข้าใจในระหว่างศาสนาแล้วทำสหกรณ์กันช่วยสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นมาในโลก เราหวังว่ามันจะต้องมีอย่างนี้สักวันหนึ่ง แล้วเราก็เตรียมตัวเป็นผู้ที่มีหัวใจของพระพุทธศาสนาอยู่ที่เนื้อที่ตัวไปเผชิญหน้ากับเขา เชื่อว่าเราจะสำเร็จ จะประสบความสำเร็จในการช่วยโลก เพราะเรามียาอันประเสริฐสำหรับจะแก้โรคของสัตว์โลกทั้งปวง คือการทำลายกิเลสตัณหาและดับทุกข์ เราก็เตรียมทำลายกิเลสตัณหาและดับทุกข์ของเรา ให้เป็นผู้ที่หมดโรค มีจิตใจเกลี้ยงเกลา ไม่มีโรคของจิตใจ เป็นพุทธบริษัททั้งเนื้อทั้งตัว ตามหลักคำแปลของคำว่าพุทธะ พุทธะแปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้ตามที่เป็นจริงทุกอย่างในทางที่จะควรรู้ แล้วก็ตื่นจากหลับคือกิเลส แล้วก็เบิกบานเหมือนดอกไม้ที่บานแล้วไม่รู้จักโรย คือไม่มีความทุกข์อีกต่อไป นี่คือความเป็นพุทธบริษัทอย่างเต็มเนื้อเต็มตัว
ขอให้การได้พบปะ พูดจา หารือปรึกษากันของเราในวันนี้หรือวันไหนก็ตามเถิด เป็นไปในลักษณะที่จะซักซ้อมความเข้าใจถูกต้องคือสัมมาทิฏฐิ ถูกต้องในภายในหมดแล้ว มันก็จะแพร่กระจายออกไปเป็นถูกต้องในภายนอก แล้วมันก็จะถูกต้องกันทั่วโลก ถ้ามนุษย์ทุกคนในโลกมีสัมมาทิฏฐิแล้ว โลกนี้ก็เป็นโลกที่ประเสริฐจนไม่รู้จะกล่าวว่าประเสริฐอย่างไร จะประเสริฐอย่างที่กล่าวไว้ในลักษณะโลกของพระศรีอาริยเมตไตรไปเสียอีกโน่น ที่อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง จนถึงกับต้องใช้คำว่าเหนือโลก เป็นโลกที่มีประชาชนชาวโลกอยู่เหนือโลก เหนืออิทธิพลของโลก ไม่ตกอยู่ภายใต้วิสัยโลกที่จะครอบงำล่อหลอกให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้
นี่ขอให้ท่านทั้งหลายได้ทราบความประสงค์แห่งปณิธานข้อที่ ๒ ของข้าพเจ้าว่าพยายามทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ศาสนามีมาสำหรับช่วยโลก แต่ว่าชาวโลกมันมีต่างๆ กัน มันจำเป็นต้องมีหลายศาสนา แล้วศาสนาทุกๆ ศาสนาก็ร่วมมือกันไม่ขัดแย้งกัน ก็ช่วยกันคุ้มครองโลก เป็นแสงสว่างของโลก นำโลกไปสู่จุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์ มีแต่ความถูกต้อง มีแต่ความอยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง จบด้วยความว่างจากตัวตน จากชั่วไปถึงดี ดีก็ยังยุ่ง ขึ้นเหนือดีไปก็พบความว่าง สงบเงียบ เยือกเย็น แสงสว่าง ไม่มีความยุ่ง ความว่างเป็นไวพจน์ของพระนิพพาน นิพพานคือความว่างอย่างยิ่ง เราจึงมีจุดมุ่งหมายไปที่นั่น แล้วก็เราทำตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เพื่อนมนุษย์ทุกคน ว่าเขาจะได้สนใจ จะได้ยินดีที่จะร่วมมือกัน จะเดินตามกันไปสู่ความว่าง ว่างจากกิเลส ว่างจากตัณหา ว่างจากความทุกข์ ว่างจากทุกอย่าง จิตที่ถึงความว่าง พ้นจากปัญหาทุกอย่าง แต่ว่าร่างกายมันจะดับไป มันก็เลิกกันไม่ต้องพูดถึง แต่ว่าถ้ายังมีชีวิตอยู่ จะมีแต่ความไม่ทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ เป็นความดับทุกข์อยู่โดยประการทั้งปวง
การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอสรุปความว่า เราจะมาช่วยกันทำความเข้าใจ ซึ่งกันและกันในระหว่างศาสนาคือเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่มีศาสนาต่างกัน ให้ทำความเข้าใจกันได้ในการที่จะร่วมมือกันสร้างสันติสุขส่วนบุคคล สร้างสันติภาพของสังคมแล้ว จะมีแต่ความเป็นโลกที่ประเสริฐที่สุด สมกับว่ามันเป็นโลกของมนุษย์ผู้มีใจสูง ขอฝากไว้ให้ท่านทั้งหลายทุกคนได้มีความสนใจเตรียมตัวพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาภายในหรือปัญหาภายนอกในการที่จะดับทุกข์ดังที่กล่าวมา ขอยุติการบรรยายในครั้งที่ ๒ ไว้แต่เพียงเท่านี้