แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ปวตฺติตํ ธมฺมจกฺกํ อปฺปฏิวตฺติยํ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา
เทเวน วา มาเรน วา เกนจิ วา โลกสฺมินฺติ ฯ
ธมฺโม สกฺกจฺจํ โสตพฺโพติ ฯ
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา จนกว่าจะสมควรแก่เวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาปรารภอาสาฬหบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายก็ได้ทราบกันอยู่เป็นอย่างดีแล้ว และเป็นธรรมเทศนาเบื้องต้นแห่งการบูชา คือเป็นการทำความเข้าใจให้เป็นอย่างดีที่สุดในสิ่งที่จะกระทำในวันนี้ เพื่อให้การกระทำนั้นสำเร็จประโยชน์ด้วยดีสมตามความมุ่งหมาย ขอให้ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังให้สำเร็จประโยชน์ ทำในใจให้เหมาะสมในการที่จะทำพิธีอาสาฬหบูชา สิ่งแรกที่จะต้องระลึกนึกถึง ก็คือว่าวันนี้เป็นวันที่สมมุติกันว่าเป็นวันพระธรรม วันวิสาขบูชาเป็นวันพระพุทธเจ้า เนื่องด้วยพระพุทธเจ้าโดยประการทั้งปวง วันอาสาฬหบูชาเป็นวันพระธรรม เนื่องด้วยพระธรรมเป็นวันที่ทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คือสิ่งที่ได้ตรัสรู้เป็นหลักในการที่จะดับทุกข์โดยประการทั้งปวง ยังไม่เกิดคณะสงฆ์จนกว่าจะถึงวันมาฆบูชา จึงจัดวันนี้ว่าเป็นวันพระธรรม เป็นการประกาศพระธรรมจักรให้เป็นไป อันใครๆจะต้านทานให้ถอยกลับไม่ได้ ในโลกนี้ก็ดี ในเทวโลกก็ดี มารโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ในหมู่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้นก็ดี เป็นวันประกาศธรรมจักร เราจะรู้ว่าการประกาศธรรมจักรนั้น มีความหมายอันลึกซึ้งอย่างไร ประกาศธรรมจักรนี้เป็นการประกาศจะใช้อำนาจแก่ใคร กล่าวโดยบุคคลาธิษฐาน ก็ใช้อำนาจแก่มาร มารร้ายหรือศัตรูของมนุษย์ให้วินาศพ่ายแพ้ไป กล่าวโดยธรรมาธิษฐาน ก็คือประกาศแก่กิเลสและความทุกข์ ให้กิเลสและความทุกข์สูญสิ้นไปจากโลก ก็ถือเอาเป็นวันที่ประกาศชัยชนะในนามของมนุษย์ก็แล้วกัน พระพุทธองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ทำหน้าที่ในโลกของมนุษย์เพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ ทำให้มนุษย์ได้รู้จักหนทางที่จะเอาชนะศัตรูอันร้ายกาจสูงสุดของมนุษย์กล่าวคือความทุกข์ หรือที่เรียกในนามภาษาคนว่ามาร ธรรมาณาจักรของพระองค์เป็นไปในที่ทุกแห่ง ขอให้เข้าใจคำว่าทุกแห่ง หมายความว่าพระธรรมนี้ คือวิธีการดับทุกข์อย่างนี้ใช้ในที่ทุกแห่ง จะมุมโลกไหนก็ได้ ทั่วไปทั้งโลก หรือจะกล้าพูดว่าแม้แต่จะนับถือศาสนาอื่นอยู่ก็ได้ แต่ขอให้ปฏิบัติอย่างนี้แล้วก็จะดับทุกข์ได้ ไม่ยกเว้นว่าชนชาติใด ภาษาใด ถือศาสนาอะไร อยู่ที่ในมุมโลกไหน ยุคไหน สมัยไหน แล้วยังจะคืบกว้างออกไปถึงว่า แม้ในโลกอื่นในจักรวาลนี้หรือจักรวาลไหนก็ตาม เมื่อมีชีวิตแล้วมันก็มีความทุกข์โดยลักษณะอย่างนี้ โดยกฎเกณฑ์อย่างนี้ เพราะการที่จะดับทุกข์นั้น ก็จะต้องดับโดยวิธีอย่างนี้ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้เทวดาทั้งหลายในเทวโลกก็เหมือนกัน มีความทุกข์แล้วจะต้องดับทุกข์ด้วยกฎเกณฑ์อันนี้ ในลักษณะอย่างนี้ ถ้าหากว่าสัตว์เดรัจฉานสามารถฟังรู้เรื่อง สามารถปฏิบัติได้ ก็จะสามารถดับความทุกข์ของสัตว์เดรัจฉานได้ด้วย เพราะว่าความทุกข์นี้มันมาจากมูลเหตุอย่างเดียวกัน ซึ่งทรงสรุปไว้ในที่ทุกแห่งว่า สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบด้วยอุปาทานเป็นตัวทุกข์ คือความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง เป็นตัวเหตุให้เกิดทุกข์ ที่ใดมีอุปาทานที่นั่นก็มีความทุกข์ จึงเป็นอันกล่าวได้ว่าถ้ามีความรู้สึกเป็นอุปาทานยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตนของตนแล้ว แม้จะนิดหน่อยเท่าไหร่ก็ยังเป็นทุกข์อยู่นั่นแหละ จึงกล่าวได้ว่าในบรรดาสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย มีความรู้สึกคิดนึกได้ ถ้าคิดนึกไปในทางของอุปาทานยึดมั่นว่าตัวตนของตนแล้ว มันก็ย่อมเป็นทุกข์ นี่เราจึงกล้ากล่าวได้ว่าในโลกไหน หรือในสากลจักรวาลทุกยุคทุกสมัย ล้วนแต่มีความทุกข์เพราะมูลเหตุอันนี้ จะขจัดความทุกข์ออกไปเสียได้ ก็เพราะการกำจัดมูลเหตุอันนี้คือความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน ขอให้ท่านทั้งหลายได้มีความเข้าใจในความหมายอันลึกซึ้งข้อนี้ด้วยกันจงทุกๆ คนเถิด ก็จะได้ชื่อว่าเป็นพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้สิ่งที่ควรรู้แล้วก็ตื่นจากหลับคือกิเลส ตื่นแล้วก็เบิกบาน หมายความว่าไม่มีความทุกข์ครอบงำ
วันนี้ก็เป็นวันที่เรามาถึงเหตุการณ์ วันที่เนื่องด้วยเหตุการณ์อันสำคัญนี้คือวันประกาศธรรมจักร เป็นชัยชนะของมนุษย์ พระพุทธเจ้าชนะมารในนามของมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อพระองค์ๆ เดียว และเป็นเรื่องของมนุษย์ทั้งหมด ที่แม้จะรวมเทวดา รวมมนุษย์ รวมสัตว์เข้าไปด้วย มันก็เป็นเรื่องเดียวกันแหละ คือสิ่งที่มีชีวิตที่มีความรู้สึกคิดนึกได้ มี มนะคือใจ รู้สึกคิดนึกได้ ก็พอจะเรียกได้ว่ามนุษย์ได้ทั้งนั้น สิ่งที่มีจิตใจคิดนึกได้ มีความทุกข์ร่วมกันอย่างนี้ ในคำพูดโวหารหนึ่งจึงกล่าวว่าเป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น มีอะไรๆ เหมือนกันในลักษณะอย่างนี้ ขอให้เป็นที่เข้าใจไว้
ทีนี้ก็มามองดูเฉพาะลงไปที่ว่ามันมีความรู้สึกอย่างไร มีความรู้สึกอย่างไร ที่เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ จะระบุไปยังคำๆ หนึ่ง ซึ่งควรจะสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว บางคนอาจจะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องศีลธรรมสำหรับสอนเด็ก ไม่ใช่เรื่องทั้งหมดของความทุกข์ทุกระดับ ในโลกนี้ก็มีพูดกันถึงเรื่องความเห็นแก่ตัว แต่เขาพูดกันในลักษณะเป็นศีลธรรมเด็กๆ ศีลธรรมเบื้องต้น ศีลธรรมอันธพาลเบื้องต้น นั้นไม่ถูก มันเป็นธรรมะทั้งหมด เรื่องความเห็นแก่ตัวนั้นมันมีความหมายลึกซึ้ง ไม่ใช่หมายเฉพาะว่าไปรังแกผู้อื่น ไปเบียดเบียนผู้อื่น ไปล่วงเกินผู้อื่นด้วยความเห็นแก่ตัว แม้ว่าไม่ได้ไปล่วงเกินใคร เห็นแก่ตัวอยู่คนเดียว มันก็นอนเป็นทุกข์อยู่คนเดียว มันถูกเผาลนด้วยความเห็นแก่ตัวที่มันไม่ได้ตามความต้องการของตัว คนเห็นแก่ตัว มันก็นอนหลับยาก มันสะดุ้ง มันผวา มันหวาดเสียว มันระแวง มันวิตกกังวล ไม่ต้องไปเบียดเบียนใคร และในที่สุดมันจะเป็นโรคประสาท ในที่สุดมันจะเป็นบ้าหรือว่าในที่สุดมันจะต้องฆ่าตัวตาย ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ว่าคนเป็นบ้าที่มีอยู่ในโลกทั่วไปนั้น มันมีมูลมาจากความเห็นแก่ตัวเป็นเบื้องต้น แล้วความไม่ได้ตามที่ตัวต้องการนั้นมากเข้าๆ มันก็เป็นบ้าเอง ถ้ามันกลัดกลุ้มหนักเข้า รุนแรงเข้ามันก็ฆ่าตัวตายนี่ อย่าเห็นว่าความเห็นแก่ตัวเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องศีลธรรมเบื้องต้นเล็กๆ มันเป็นไปได้จนตลอดถึงระดับสูงสุดท้ายที่จะต้องทนทุกข์ทรมาน นี่เราจะต้องสนใจกับสิ่งๆ นี้ มันมีมูลมาจากความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัว ข้อนี้ควรจะศึกษาให้ลึกลงไปถึงความมีตัวซึ่งมีอยู่หลายระดับอย่างน้อยก็สัก ๓ ระดับ ความมีตัวตามสัญชาตญาณคือสิ่งที่มีชีวิต เขามีสัญชาตญาณคือความรู้สึกที่เกิดได้เอง ไม่ต้องใครสอน มันมีความรู้สึกที่เป็นสัญชาตญาณแม่บทอยู่คือความเห็นแก่ตัว ความรู้สึกว่ามีตัว อันเป็นเหตุให้รักตัว ให้ถนอมตัว ให้ต่อสู้เพื่อชีวิตนั่นเอง สัญชาตญาณแห่งการหาอาหาร การวิ่งหนีอันตราย การต่อสู้ศัตรู การสืบพันธุ์อะไรก็ตาม มันมาจากสัญชาตญาณแห่งความมีตัว แล้วมันต้องการจะสืบตัวไว้อย่าให้สูญหายไป นี้มันต้องมีสัญชาตญาณแห่งความมีตัว ถ้ามันมีแต่เพียงเท่านี้มันก็ไม่เป็นไร มันยังไม่รุนแรง มันยังไม่ต้องไปรุกล้ำผู้อื่น มันเป็นตัวชนิดที่เป็นเพียงสัญชาตญาณ แต่มันก็เป็นความทุกข์ ทีนี้ความรู้สึกว่ามีตัวนี้ มันได้รับการหล่อเลี้ยงมากขึ้นๆ ตั้งแต่คลอดมาจากท้องมารดา ได้รับการบำรุงส่งเสริม ให้มีความรู้สึกแก่กล้าๆ มากขึ้น จนเกิดเป็นตัวกูของกูชนิดที่เห็นแก่ตัวยิ่งไปกว่าสัญชาตญาณ คือสัญชาตญาณแห่งความมีตัวได้เดินไปในทางแห่งกิเลส ไม่ได้เดินไปในทางแห่งโพธิ มันก็มีความเห็นแก่ตัวชนิดที่เป็นอันตรายแก่ผู้อื่น นี้เรียกว่าตัวกูที่เป็นกิเลสแล้ว ไม่ใช่ตัวกูที่เป็นเพียงสัญชาตญาณเสียแล้ว ก็เป็นทุกข์ไปตามเรื่องของความเห็นแก่ตัวของกิเลส เป็นทุกข์กันทุกฝ่าย ตัวเองเป็นทุกข์เองไม่พอ ก็พลอยให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ได้ด้วย มันก็ยุ่งกันไปหมดทั้งโลก นี้เรียกว่าความมีตัวชนิดของกิเลส ทีนี้มันยังมีความมีตัวอันสุดท้ายคือสติปัญญา ที่เดินไปในทางของโพธิ แต่ว่ายังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง มันเริ่มรู้จักมองเห็นความมีตัว แล้วก็จะรักตัว แล้วก็จะถนอมตัว แล้วก็อยากจะมีตัวที่ไม่รู้จักตาย ก็อธิบายกันให้มีตัวอย่างโพธิ มีตัวของสติปัญญา มีลัทธิศาสนาบางลัทธิสอนสูงสุดในความหมายนี้ มีตัวอย่างสติปัญญาจนเรียกว่ารู้จักดับทุกข์ แล้วจะเหลืออยู่แต่ความมีตัว มีตัวที่ไม่มีทุกข์และก็เป็นนิรันดร มีตัวนิรันดร พุทธศาสนาเกิดขึ้นนั้นมันยังไม่จบ มันต้องหมดความมีตัว มันจึงจะไม่มีภาระหนักอะไรเหลืออยู่แก่จิตใจ จึงสอนเรื่องความไม่มีตัว จัดลำดับเคียงบ่าเคียงไหลกันว่า มันมีตัวตามแบบของสัญชาตญาณอย่างต่ำต้อย ไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไร นี่อย่างหนึ่ง ต่อมาก็มีตัวของกิเลส นี่ดุร้ายและอาละวาด ทีนี้ท่านรู้เรื่องเข้าก็เปลี่ยนเป็นว่ามีตัวของฝ่ายดี ฝ่ายถูก ก็มีตัวที่ดี นี่ก็ถนอมตัว รักตัว แต่ก็ยังไม่พ้นจากปัญหาคือการที่จะต้องยึดถือตัวตน เป็นภาระหนักแก่จิตใจไม่ดับทุกข์สิ้นเชิง แม้จะมีตัวที่เรียกว่านิรันดร มันก็เป็นความหนักนิรันดร สู้สลัดทิ้งออกไปเสียไม่ได้ ให้เป็นความว่างนิรันดร จึงจะมีความหลุดพ้น ความรอดพ้น ความออกไปได้จากความทุกข์ เราจึงได้ความมีตัว ๓ ชนิด ตัวของสัญชาตญาณ ตัวของกิเลส และก็ตัวของโพธิที่ไม่สมบูรณ์ พอเป็นโพธิที่สมบูรณ์ ก็หมดตัว จงรู้จักไว้ว่าลู่ทางมันเป็นอย่างนี้ มันจะเลื่อนขึ้นไปเป็นลำดับๆ มันต้องเลื่อนอย่างนี้ จนกว่าจะถึงจุดสุดท้ายคือความไม่มีตัว ความไม่มีตัว มันก็ไม่มีที่ตั้งแห่งความทุกข์ เด็กๆ ก็ควรจะเข้าใจได้ว่าถ้ามันไม่มีตัวแล้วมันจะมีที่ตั้งแห่งความทุกข์ได้อย่างไร ปัญหาเรื่องตายแล้วเกิดหรือไม่ มันก็ไม่มี เพราะมันไม่มีตัวที่จะตาย จะเกิด หรือจะอยู่ นี่มันสบายสักเท่าไหร่ ถ้าจิตใจนั้นไม่มีปัญหาเหล่านี้ มันก็สบาย มันก็เป็นจิตที่หลุดพ้นโดยแท้จริง ถ้ายังมีตัวที่ไหน ก็ไปติดบ่วงอยู่ที่นั่น จึงไม่ใช่ความหลุดพ้น ขอให้พุทธบริษัททั้งหลายจงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเถิด จะเป็นใครก็ได้ถ้ามีความรู้เรื่องนี้ เข้าใจถึงความหมายอันนี้ มันก็เป็นพุทธบริษัทโดยอัตโนมัติ แม้จะประกาศตัวอยู่ว่าถือลัทธิอื่น ถือศาสนาอื่น ถือหลักเกณฑ์อย่างอื่นก็ตามใจ ก็ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเกิดปล่อยวางความยึดถือว่าตัวตนเสียได้เมื่อไหร่ มันก็มาเข้ารูปแบบของพุทธบริษัทโดยอัตโนมัติ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้ความไม่มีตัว ตื่นจากอวิชชา เบิกบานอยู่ด้วยความไม่มีทุกข์ นี้เป็นการปลดเปลื้องชีวิตให้ออกมาเสียจากความทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงประกาศความจริงข้อนี้ ในวันเช่นวันนี้ที่เรียกว่าวันประกาศธรรมจักรในพระพุทธศาสนา มาถึงเข้าอีกแล้ว ก็ให้มีความพอใจยินดีร่วมกัน จะเรียกว่าอะไรดี จะเฉลิมหรือจะฉลอง หรือจะอะไรก็แล้วแต่จะเรียก ทุกๆ ปี ถ้าวันนี้มาถึงเข้า ก็จะตอกหรือย้ำความรู้ความเข้าใจ การประพฤติปฏิบัติให้แจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งๆขึ้นไป ถ้าใครยังไม่ถึงที่สุด ถ้าถึงที่สุดแล้วก็ไม่ต้องพูดกัน แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ขอให้รู้จักใช้ปฏิบัติอยู่เป็นประจำ รู้จักเรื่องนี้ในวงกว้าง ว่าโลกกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัวอยู่ในปัจจุบันนี้ เมื่อคนในโลกถูกทำให้โง่หลงด้วยวัตถุปัจจัยที่มนุษย์พวกหนึ่งผลิตขึ้นมาๆ สำหรับหลอกลวงให้โง่ให้หลง เป็นความเอร็ดอร่อยทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้น มันก็เห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้นเหลือประมาณ ถึงจะขนาดที่คิดว่าจะครองโลก จะยึดสิ่งทั้งปวงในโลกเป็นของตน มันก็มีความคิดถึงขนาดนี้เพราะความเห็นแก่ตัว พวกหนึ่งคิดขึ้นมาได้ก่อน มีแผนการอันนี้ อีกพวกหนึ่งมันรู้เท่าทัน มันก็ต่อต้าน มันก็ต่อต้านด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ต่อต้านด้วยความตรงกันข้าม ฉะนั้นเราจึงเห็นได้ว่าลัทธินายทุนมันก็เห็นแก่ตัว ลัทธิชนกรรมาชีพ มันก็ต่อต้านด้วยความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นจึงเป็นการทะเลาะกัน แย่งชิงกัน ต่อสู้กัน ระหว่างคน ๒ ฝ่ายซึ่งล้วนแต่เห็นแก่ตัว คิดดูสิว่าจะเป็นอย่างไร โลกนี้กลายเป็นเวทีที่ต่อสู้กันระหว่างผู้เห็นแก่ตัว แล้วมันกำลังจะวินาศ คิดดูมันกำลังจะวินาศ ได้ยินเขาว่ากันว่าหัวรบระเบิดปรมาณูนี่ สร้างขึ้นมาแล้วประมาณ ๕๐,๐๐๐หัว ระเบิดปรมาณู ๕๐,๐๐๐หัว นี่เขาว่าสามารถทำลายโลกนี้ให้วินาศไปทั้งโลกๆนี่ ได้สัก ๕ หน สัก ๕ หนนะ ไม่ใช่หนเดียว ถ้าเขาใช้อาวุธนี้ออกมาเมื่อไหร่ โลกนี้จะเป็นอย่างไร ใครจะเป็นผู้ชนะ นี่จงดูเถิดว่าความเห็นแก่ตัวกำลังสร้างอันตรายอันร้ายกาจขึ้นมาอย่างหวุดหวิด ถ้าว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีหมดสิ้นไปเมื่อไหร่ มันก็ใช้อาวุธนี้ เมื่อความเห็นแก่ตัวมันแรง รุนแรงเข้มข้นเข้า ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมันก็หมดไป เมื่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดีหมดไป มันก็ใช้อาวุธนี้ ฉะนั้นจงพยายามต่อสู้ความเห็นแก่ตัว ช่วยกันทำลายความเห็นแก่ตัวโดยวิธีใดก็ตาม
ถ้าว่าศาสนาทุกศาสนาอย่าเกิดเห็นแก่ตัวเสียเอง ทุกศาสนาร่วมมือกันทำลายความเห็นแก่ตัวของคนทุกคนในโลกโดยวิธีการของตน โดยวิธีการของตนนะ เพราะมันไม่เหมือนกัน ศาสนาหนึ่งก็มีแบบหนึ่ง ศาสนาหนึ่งก็มีแบบหนึ่งในการที่จะทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้ามีพระเจ้าก็เอาตัวไปให้พระเจ้าเสียก็ไม่ต้องเห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีพระเจ้าก็ไม่ต้องมีตัว ไม่มีตัว ถ้าไม่มีพระเจ้า ก็ไม่มีตัว ก็ทำลายด้วยความไม่มีตัว ไม่เห็นแก่ตัว โดยวิธีนั้นๆ โดยวิธีของตนๆ จะโดยชั้นต่ำเตี้ย ชั้นปูนกลาง ชั้นสูงอย่างไรก็สุดแท้ ขอแต่ให้มันเป็นการทำลายความเห็นแก่ตัว นี่เราพุทธบริษัททั้งหลายก็มีวิธีของตน ศาสนิกอื่นๆ ในศาสนาอื่นๆ ก็มีวิธีของตนที่จะทำลายความเห็นแก่ตัว ดูเหมือนว่าทุกศาสนามุ่งหมายจะทำลายความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้นแหละ เพราะรู้ว่ามันเป็นอันตรายของมนุษย์ บางทีจะคิดว่าเป็นอุปสรรคของพระเจ้า หรือเป็นมารร้ายคู่แข่งขันของพระเจ้า ก็มุ่งหมายที่จะทำลายความเห็นแก่ตัว เรียกว่าเป็นศัตรูร่วมกันทุกๆ ศาสนา ทุกๆ สาขาแห่งสติปัญญา จงพยายามทำลายความเห็นแก่ตัว ตามวิธีของตนๆ เอ้า,ใครล่ะจะเป็นเจ้าภาพจัดการอันนี้ มองดูถึงสหประชาชาติ ข่าวก็เห็นได้ออกมาว่าในสหประชาชาติก็มีความเห็นแก่ตัว ที่เป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ ก็มีความเห็นแก่ตัวที่แบ่งกันเป็นฝักเป็นฝ่ายแล้วก็มีความเห็นแก่ตัว มันก็เลยไม่ได้กำจัดความเห็นแก่ตัว องค์การสหประชาชาติจะต้องถูกต้อง เข้มแข็ง บริสุทธิ์กว่านี้ มุ่งหมายการทำลายความเห็นแก่ตัว เรียกระดมกำลังของศาสนาทุกศาสนามาร่วมมือกัน อย่าเห็นแก่ตัวเสียเอง และก็ใช้วิธีของตนทำลายความเห็นแก่ตัว นั่นแหละจะเป็นหนทางรอด องค์การสหประชาชาติจะต้องมีการจัดการศึกษาให้คนเข้าใจเรื่องนี้ องค์การยูเนสโก (UNESCO) ไม่ควรจะเผยแผ่เรื่องอื่นนอกจากจะเผยแผ่แต่เรื่องนี้ ให้เป็นที่เข้าใจกันให้ดี และก็ช่วยกันระดมกำลังเพื่อความทำลายความเห็นแก่ตัว โลกมันก็จะเป็นไปได้ วิถีทางอื่นนั้นดูจะไม่มี จะมัวแต่สวดมนต์อ้อนวอนภาวนานี้ มันก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เพราะว่าอีกทางหนึ่งมันรุกหน้าเรื่อยไปคือทางของกิเลส มนุษย์ผลิตสิ่งที่ส่งเสริมกิเลส ยั่วยวนกิเลสมากขึ้นๆ ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ จะมานั่งสวดอ้อนวอนอยู่นี้มันก็ไม่พอ ไม่พอที่จะต่อสู้ จะกำจัด ฉะนั้นจงมาต่อสู้ในลักษณะที่มันถูกฝาถูกตัว เมื่อมันมีความเห็นแก่ตัว มันก็ต้องต่อสู้ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว รู้เรื่องความเห็นแก่ตัวจนตั้งใจที่จะทำลายความเห็นแก่ตัว นี่จึงจะเป็นลู่ทางที่สว่างไสว ที่จะออกไปสู้ความรอดได้
ทีนี้เราทั้งหลายได้รับคำสั่งสอนโดยตรงตามหลักพระพุทธศาสนาว่าดับความเห็นแก่ตัวเสียได้เป็นความสุขสูงสุด เป็นความไม่มีทุกข์ อสฺมิมานสฺส วินโย เอตํ เว ปรมํ สุขํ ถอนอัสมิมานะเสียได้เป็นความสุขอย่างยิ่ง ความสุขแบบนี้เป็นความสุขชนิดที่ถูกต้องที่เหนือโลก ไม่ใช่ความสุขอย่างเวทนา เอร็ดอร่อยทางอายตนะ ทางเนื้อทางหนัง อย่างนั้นมันเป็นความสุขร้อน เป็นความสุขปลอม เป็นความสุขหลอกเด็กให้หลงติดในอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต่อเมื่อมันไม่มีความผิดพลาดใดๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อนั้นจึงจะเป็นสิ่งที่ควรจะเรียกว่าความสุขอันแท้จริง
เรามานั่งพิจารณาเรื่องนี้กันทุกคราว ทุกโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเช่นวันนี้ คือวันอาสาฬหบูชา มาทำในใจกันให้ถูกต้องอย่างนี้ แล้วทำเวียนเทียนประทักษิณ เพื่อจะแสดงความเคารพความเห็นด้วยความยินดีจะปฏิบัติตาม เราทำการแก้ปัญหาด้วยการปฏิบัติตามให้ถูกต้อง ไม่ใช่มาขอร้องอ้อนวอนบวงสรวงอะไรกันอยู่ อย่าได้เข้าใจว่าพิธีอาสาฬหบูชานี้เป็นการขอร้องอ้อนวอนในลักษณะหนึ่ง ไม่มีความหมายอย่างนั้นเลย มีแต่สติปัญญาที่จะแก้ไขสิ่งเหล่านั้นตลอดเวลาเหล่านั้น ก็ถือหลักเกณฑ์อันนี้อยู่ แม้ว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ ยังห่างไกล เราก็ยังพยายามอยู่ ขอบอกเป็นคำพิเศษสักหน่อยหนึ่งว่าไม่ว่าคนอื่นเขาจะไม่เอาด้วย เขายังไม่เอาด้วย หรือว่าทั้งโลกเขายังไม่เอาด้วย ก็ตามใจเขาเถิด แต่ว่าเราก็จะเอาแล้ว เราก็จะถือหลักไม่เห็นแก่ตัวเดี๋ยวนี้ ที่นี่และตลอดเวลา จะไม่มีความเห็นแก่ตัวให้เกิดเป็นตัวขึ้นมาสำหรับเป็นทุกข์ อย่าสร้างตัวของตัวขึ้นมาสำหรับให้เป็นทุกข์ คิดดูสิ มันโง่หรือฉลาดเท่าไหร่ มันน่าเวทนาสงสารเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้มันฟังยากหน่อย ขออภัย มันฟังยากหน่อย เมื่อฟังไม่เข้าใจ มันก็เป็นการเป่าปี่ให้แรดฟัง ขออย่าหาว่าดูถูกดูหมิ่นถิ่นแคลนอะไรเลย อาตมาก็เคยคิดนึกอยู่เสมอว่า เมื่อผู้ฟัง ฟังไม่ถูก อาตมาก็นั่งเป่าปี่ให้แรดฟัง แล้วมันจะเป็นอย่างไร ผลมันจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ต้องบอกว่าตัวกูนั่นแหละคือข้าศึกของตัวกู ท่านฟังถูกไหม ตัวกูนั่นแหละมันเป็นข้าศึกของตัวกู มันเป็นได้อย่างไร มันเป็นตัวกูแท้ๆ แล้วมันจะเป็นข้าศึกของตัวกูได้อย่างไร ถ้าฟังไม่ถูกมันก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ถ้าฟังถูกแล้วก็จะเข้าใจได้ว่า ตัวกูนั้นแหละคือข้าศึกของตัวกู ตัวกูในความหมายหนึ่ง คือตัวกูตามที่เรายึดถืออยู่ว่าเป็นตัวตน ทีนี้ความรู้สึกว่าตัวกูนั่นแหละ มันเผาผลาญตัวกู มันทำความเดือดร้อนให้แก่ตัวกู การพูดว่าตัวกู นั่นแหละคือข้าศึกของตัวกู แรดทั้งหลายจะฟังถูกหรือไม่ก็สุดแท้แต่ความเป็นไปนั้นๆ เถิด แต่ขอให้ได้สนใจอย่างยิ่ง ช่วยจำไปในความรู้สึกสำนึกว่าตัวกูนั่นแหละเป็นข้าศึกแก่ตัวกู ทำลายตัวกูเสียก็หมดความรู้สึกแห่งตัวกู เดี๋ยวนี้มันกลัว มันไม่กล้าทำลายตัวกู เพราะมันรักตัวกู เพราะมันอยากมีตัวกู นี่เป็นตัวกูของสัญชาตญาณอย่างโง่ๆ มีคำว่าทำลายตัวกู เป็นคำสูงสุดในพระพุทธศาสนา เรียกว่าสักกายนิโรธ การดับเสียซึ่งสักกายะ ความเห็นว่ากายของกู สักกายนิโรธนี่ไม่รู้ว่าอะไร ก็ไม่น่ากลัว แต่พอบอกว่าสักกายนิโรธน่ะทำลายตัวกูของกูเสีย ก็สะดุ้งไม่เอาด้วย มีข้อความกล่าวไว้ในพระบาลีว่า พวกพรหมทั้งหลายนั่นแหละ เป็นผู้สะดุ้ง หวาดเสียว กลัวที่สุดในคำว่าสักกายนิโรธ ทำลายตัวกูของกูเสีย เพราะพวกพรหมนั่นแหละคือพวกที่มีตัวกูดีที่สุด มีตัวกูสูงสุด สบายที่สุด เป็นสุขที่สุด เป็นอาตมัน เป็นปรมาตมันอะไรก็แล้วแต่จะเรียกเถิด มันเป็นตัวกูสูงสุด พอเอ่ยขึ้นว่ามาต้องทำลายตัวกูเสีย มันก็สะดุ้งหวาดเสียวที่สุด คือมันกลัวตาย มันไม่รู้ว่าตัวกูนั้นคืออะไร นี่มันคงจะลำบากสักหน่อยในการที่จะทำลายเสียซึ่งตัวกู ด้วยตัวกู มันก็ไม่มีอะไรที่จะมาช่วย ไม่มีใครที่ไหนจะมาช่วยทำลายนอกจากตัวกูนั่นเอง ซึ่งมันจะต้องทำลายตัวกู ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน ถ้าตนมันเป็นตัวกู ตัวกูนั่นแหละมันจะต้องทำลายตัวกู มันจึงจะมีตนเป็นที่พึ่งของตน ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าถ้าไม่มีตัวกูมันก็ไม่มีปัญหา ถ้ามันไม่มีตัวกู ใครมันจะด่าถูกเล่า ถ้าเราไม่มีตัวกู แล้วใครมันจะด่าถูกเราเล่า ไปสร้างตัวกูขึ้นมาสำหรับรับคำด่า ให้เขาด่าอย่างนั้นแหละ ถ้าอย่ามีตัวกู มันก็ไม่มีใครด่าถูก การด่าก็มีไม่ได้ ไม่มีความหมายอะไร เดี๋ยวนี้สร้างตัวกูขึ้นมา เข้มข้นที่สุดสำหรับรับคำด่า สำหรับรับคำนินทา สำหรับรับการฆ่าฟันอะไรก็สุดแท้ ทำให้มันมีตัวกูที่สร้างขึ้นมาสำหรับคอยรับ มันมีตัวกูออกรับ ทีนี้สิ่งที่เรียกว่ามาร ว่าอุปสรรค ว่าความทุกข์ แล้วมันก็เต็มไปหมด ตัวกูนั่นแหละมันคือมาร พอสร้างตัวกูขึ้นมา มันก็ขึ้นมาสำหรับเป็นมาร เป็นทุกข์ ตัวกูนั่นแหละคือมาร ก็น่าหัวเราะที่ว่าจะต้องฆ่าตัวกูเสียด้วยตัวกู ตัวกูนั่นแหละคือข้าศึกของตัวกู และก็เป็นมารของตัวกู แต่แล้วมันกลับจะต้องฆ่ามันเสียด้วยตัวกู ด้วยตัวเองที่มีความรู้ มีความฉลาด ฉะนั้นอย่าได้มีตัวกูขึ้นมามันก็ไม่มีความทุกข์ พูดแล้วมันก็ฟังยาก ให้มันมีแต่เรื่องของธรรมชาติ ตัวอย่างเช่นความเจ็บปวดมันเกิดขึ้นมา ก็ให้มันอยู่ที่ตรงนั้นแหละ ที่อยู่ระบบประสาทที่ตรงนั้น มันรู้สึกเจ็บอย่างนั้น ปวดอย่างนั้น ที่ระบบประสาทตรงนั้น เป็นเรื่องของระบบประสาทที่ตรงนั้น อย่ามีของตัวกู อย่ามีของ sense ตัว sense ตัว soul ตัวอะไรเลย ให้มีแต่ร่างกายจิตใจ มีความรู้สึกอยู่ที่ระบบประสาท รู้สึกอยู่ที่ตรงนั้น ความเจ็บมันก็อยู่ที่ระบบประสาท ไม่มีตัวกูสำหรับจะรับเอาความเจ็บนั้นมาเป็นของกู นี่ถ้าไม่มีตัวกู มันดีอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันก็สร้างตัวกูขึ้นมาสำหรับคอยรับไว้ล่วงหน้าโน่น แล้วก็ได้รับการด่าบ้าง ได้รับการนินทาบ้าง ได้รับการทำร้ายบ้าง ได้รับการเบียดเบียนทุกอย่างทุกประการ ถ้าอย่ามีตัวกู มันก็ไม่มีใครเบียดเบียนใครได้ มันก็ว่างไปหมด ว่างถึงที่สุดคือนิพพาน ไม่มีใครทำอะไรได้ นี่เป็นทางออกของพุทธบริษัท คือคำลายตัวกู หมดความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู ว่าของกู แล้วมันก็ไม่อาจะเกิดความทุกข์ใดๆ ได้ ความเห็นแก่ตัวก็เกิดไม่ได้ เพราะมันไม่มีตัวที่จะเห็น ถ้ามันยังมีตัวอยู่มันต้องเห็นแก่ตัวแหละ จะเป็นตัวชนิดไหน วิเศษวิโสชนิดไหน มันก็ต้องมีความเห็นแก่ตัว และมันก็แบกภูเขาแห่งตัวนั่นแหละตัวกูไว้ด้วยความหนัก ยิ่งเป็นบรมอัตตามันก็ยิ่งหนักเท่าบรมอัตตา มันก็เป็นการแบกที่ไม่รู้สึกตัว แบกก้อนหินมันก็หนัก แบกเพชรพลอยมันก็หนัก เพชรพลอยก้อนใหญ่เท่าก้อนหินมันก็หนักเท่าก้อนหินนั่นแหละ แต่คนมันสมัครจะแบก มันอยากจะมี นี่มันอยากจะมีอัตตาตัวตนที่บริสุทธิ์นิรันดรสำหรับแบกถาวร ความไม่มีตัวตนสำหรับยึดมั่นถือมั่นสำหรับแบก นี่เป็นหลักหัวใจของพระพุทธศาสนา
ขอให้เราทุกคนเข้าใจหลักแห่งพระพุทธศาสนาว่ามีอยู่อย่างนี้ ว่ามีอยู่อย่างนี้ จะรู้ไว้ให้ถูกต้องสำหรับปฏิบัติเอง จะรู้ไว้ให้ถูกต้องสำหรับบอกผู้อื่น จะรู้ไว้ให้ถูกต้องสำหรับบอกเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ร่วมโลกกันนี้ ไม่ว่าเขาจะถือศาสนาอะไร จะปฏิญาณประกาศตนว่านับถือศาสนาอะไร ก็บอกเขาว่าวิธีของพุทธบริษัทนั้น มีวิธีอย่างนี้ๆ คือทำลายเสียซึ่งความรู้สึกว่าตัวตน ทำลายแม้กระทั่งความรู้สึกที่เป็นสัญชาตญาณว่าตัวตน ตัวตนที่เป็นชั้นสัญชาตญาณก็ทำลายเสีย ตัวตนชั้นที่เป็นของกิเลสก็ทำลายเสีย ตัวตนของสติปัญญาครึ่งๆ กลางๆ มีตัวตนอย่างดี อย่างวิเศษนี้ก็ทำลายเสีย เรียกว่าทำลายตัวตนเสียทุกระดับ ไม่มีความรู้สึกว่าตัวตนเหลือยู่แต่ประการใด นั่นแหละเป็นผู้รู้จริง เป็นผู้ตื่นจากหลับคือกิเลสอวิชชาจริง และก็เบิกบานอยู่ด้วยความไม่ต้องแบกหามอะไร ถ้ายังต้องแบกของหนักภาระหนักแล้วมันจะเบิกบานอะไรได้ มันก็เป็นคนที่แบกของหนักอยู่เต็มอึด เต็มอัดอยู่ตลอดเวลา มันจะเบิกบานอะไรได้ นึกถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เอาไว้ให้เป็นหลักประจำใจ ว่ามันจะต้องมาถึงเข้าในเวลาข้างหน้า ถ้าไม่อย่างนั้นก็ยังไม่ถึงที่สุดจุดหมายปลายทางของสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ จะถือพุทธศาสนา หรือจะไม่ถือพุทธศาสนาก็ตามเถิด ถ้าอยากจะถึงยอดสุดของความเป็นมนุษย์ หมดภาระหนักของความเป็นมนุษย์แล้ว จงโยนทิ้งตัวกูของกูนั้นเสีย มีจิตใจชนิดที่ไม่เป็นตัวกูของกู มีความเป็นอะไรชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ถูกยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูของกู ที่จริงจิตนี้มันก็ต้องมีภาวะคือความเป็นอย่างใด ชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่เป็นธรรมดาเสมอไปแหละ ถ้ามันยึดมั่นก็เป็นภาวะแห่งความยึดมั่นเป็นของหนัก ถ้าไม่ยึดมั่น ก็เป็นภาวะแห่งความไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นไม่มีอุปาทาน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวของกู มันเป็นภาวะอย่างหนึ่ง นั่นแหละเป็นทางออกสุดท้ายหรือเป็นจุดหมายปลายทาง เดี๋ยวนี้มันมายึดมั่นเป็นตัวกู เป็นของกู มีตัวตน พอเกิดมาจากท้องแม่ก็ได้รับคำสั่งสอนแวดล้อมอบรมโดยไม่รู้สึกตัวให้เกิดความรู้สึกว่าตัวตนๆ เพราะคนเลี้ยงทุกคนมันล้วนแต่พะเน้าพะนอด้วยคำพูดว่าของหนู ของหนู ของหนู ของแก ของแก อะไรๆ ก็ของแก บ้านเรือนก็ของแก พ่อแม่ก็ของแก ตุ๊กตาก็ของแก อะไรก็ของแก อะไรที่แกต้องการฉันจะซื้อให้เป็นของแก มันก็ถูกแวดล้อมด้วยความรู้สึกว่าตัวตนอย่างนี้มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก มันก็แรงขึ้นหนาขึ้นจนไม่รู้สึกตัวว่ายึดถืออะไรอยู่ ทั้งที่ยึดถือไว้อย่างหนักเต็มที่ แม้จะมีวัฒนธรรมใหม่ประดิษฐ์ขึ้นมาสั่งสอนลูกเด็กๆ อย่าสอนเขาให้ยึดมั่นถือมั่นอะไร เป็นตัวกู เป็นของกู มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกนัก สอนให้รู้จักว่าควรทำอย่างไรในการจะไม่มีความทุกข์ในข้อนี้ ควรกินอย่างไร ควรนอนอย่างไร ควรเล่นอย่างไร ควรอะไรอย่างไร อย่าได้ยึดถือโดยความเป็นตัวกูของกู นั้นคงจะมีปัญหาน้อยลงสักหน่อย พ่อแม่จะพาลูกเด็กๆ ไปที่ร้านขายของเล่น แล้วก็บอกลูกว่าของเล่นทั้งหมดนี้ในร้านนี้ เขามีไว้สำหรับทำให้เราโง่นะลูกเอ๋ย แกจะเอาอันไหน ทั้งหมดนี้เขามีไว้สำหรับทำให้เราโง่ เด็กๆ ก็คงจะไม่รบเร้าให้ซื้ออันที่แพงที่สุด ทีนี้พ่อแม่ไม่ทำอย่างนั้น มีแต่บอกแกจะเอาอันไหนแพงเท่าไหร่ฉันจะซื้อให้แก นี่มันเป็นเสียอย่างนี้ ไปที่ร้านอาหารอร่อยที่สุด มันจะกินอะไรก็จะซื้อให้ที่อร่อยที่สุด จะเป็นของไม่จำเป็นด้วยซ้ำไป ของหวาน ของอร่อย ของที่ไม่จำเป็นก็จะซื้อให้แก ไม่ได้บอกว่าลูกเอ๋ย ทั้งหมดนี้เขามีไว้สำหรับให้เราโง่นะลูกเอ๋ย ไม่มีใครบอกอย่างนี้ นี่เรียกว่าพ่อแม่นั่นแหละ เริ่มสอนความมีตัวตนมีของตนให้แก่ลูกเด็กๆ ก็เป็นกันมาอย่างนี้ด้วยกันทุกคน ก็รวมทั้งอาตมาด้วย ไม่ต้องพูดอะไรมาก แต่ว่าปัญหามันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เราควรจะมารู้จักกันเสียทีว่าวัฒนธรรมของชาวพุทธนี้ มันควรจะตั้งต้นขึ้นมาในรูปของการทำให้เกิดความรู้ถูกต้องมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่ใช่ของตน ไม่ควรจะยึดถือว่าเป็นของตน มันเป็นไปตามธรรมชาติเช่นนั้น ของนี้กินเข้าไปก็อร่อย ของนี้ก็ไม่อร่อย ไม่ได้ห้ามว่าอย่ากิน จะกินของอร่อยก็ได้ แต่กินแล้วก็อร่อย ก็รู้สึกว่าอร่อย แล้วก็อย่าหลงกับมัน อย่ายึดถือมัน ข้อนี้ก็ควรจะเข้าใจให้ดีๆ ว่าธรรมะนี้ ก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้กินของอร่อย ใครจะกินของอร่อยก็กินได้ แต่กินแล้วอย่าโง่เท่านั้นเอง จะไปซื้อหาของอร่อยมากินก็ได้ แต่กินแล้วอย่าโง่ หรือจะกินของอร่อยก็ได้ ไม่ห้าม แต่กินแล้วอย่าโกรธ อย่ายินดี อย่ายินร้าย มันจึงจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ที่ถูกต้อง อย่าให้จิตใจมันเป็นฝ่ายที่โง่ โง่ฝ่ายบวก โง่ฝ่ายลบ โง่ฝ่ายบวกคือยินดี โง่ฝ่ายลบคือยินร้าย โง่ฝ่ายบวกคือดีใจ โง่ฝ่ายลบคือเสียใจ เดี๋ยวนี้มีแต่เรื่องบวกเรื่องลบ เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ซึ่งล้วนแต่ทำให้ยินดียินร้าย มีลักษณะเป็นบวกเป็นลบอยู่เรื่อยไป พูดสมัยใหม่ก็ว่ามันเป็น Positive เป็น Negative อยู่เสมอไป มันไม่เหนือนั้นขึ้นไปได้ แต่พุทธศาสนาต้องการให้อยู่เหนือนั้น แต่ว่าความรู้สึกของมนุษย์ในโลกมันไม่ต้องการ มันต้องการเพียงดี เพียงบวก เพียงPositive หลงใหลในPositivism อะไรก็ตาม ให้มันเป็นของน่ารักน่าพอใจไปเสียทั้งนั้น มันก็ติดอยู่ที่นี่ แต่หารู้ไม่ว่าทั้งบวกและทั้งลบนั่นน่ะมันคือความทนทรมาน มีความพอใจ มันก็รู้สึกตื่นเต้นระรัวไปอย่างหนึ่ง มีความรู้สึกไม่พอใจ มันก็ระรัวไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ความสงบเลย ความดีใจไม่ใช่ความสงบ ความเสียใจก็ไม่ใช่ความสงบ ความดีใจน่ะ ทุกคนควรจะเคยมาแล้ว ดีใจมากๆ นั้นเป็นอย่างไร เคยดีใจได้ของรักของพอใจอะไรมาแล้ว ดีใจถึงที่สุดแล้วเป็นอย่างไร ถ้ามันดีใจถึงที่สุดจริงๆ มันนอนไม่หลับนะคืนนั้น ถ้ามันดีใจถึงที่สุด วันนั้นมันกินข้าวไม่ลงนะ มันต้องหยุดความดีใจพอสมควรเสียก่อนมันจึงจะกินข้าวลงคอ ดีใจเกินไปกินข้าวไม่ลง เสียใจเกินไปกินข้าวไม่ลง นั่นแหละดูผลของความเป็นบวกหรือเป็นลบ แต่เราก็ยังพอใจในความบวกในความได้หรือเป็นของบวก ความสุขชนิดธรรมดาสามัญที่เรียกกันว่าความสุขนี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ความสงบ อย่าเอาความสุขชนิดนั้นเป็นสงบเลย ความทุกข์นั้นไม่ใช่ความสงบ เห็นกันอยู่แล้ว แต่ความสุขก็ไม่ใช่ความสงบ เป็นสิ่งรบกวนด้วยเหมือนกัน
ฉะนั้นจึงขอพูดลามปามไปถึงว่าแม้บุญก็มิใช่ความสงบ นี้จะถูกด่า เพราะว่าคนที่ชอบบุญมันมีอยู่มาก พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า บุญก็เป็นอุปธิ บุญเป็นอุปธิ เป็นโอปติกัง เป็นของหนัก ไม่ใช่ความสงบ บาปก็ไม่ใช่ความสงบ บุญก็ไม่ใช่ความสงบ ถ้าไม่เกี่ยวข้องทั้งบาปทั้งบุญ นี่แหละคือความสงบ จะใช้คำธรรมดาสามัญที่สุดก็ไม่ดี ไม่ชั่ว นั่นแหละความสงบ ดีก็วุ่นไปตามแบบดี ชั่วก็วุ่นไปตามแบบดี คำสอนของคริสเตียนวิเศษที่สุดในหน้าแรกๆ ที่ว่าอย่ากินผลไม้ที่ทำให้รู้จักดีชั่ว ถ้ากินเข้าไปแล้วจะตาย นี่พระเจ้าสอนเอง พระเจ้ามาสั่งเองสอนเอง แต่มนุษย์ไม่เชื่อ มนุษย์ไม่ถือคำสั่งที่พระเจ้าสั่งเอง ไปเชื่อคำสั่งตอนหลังๆ ของคนอื่นสั่ง แม้พระเยซูก็เถอะ ไม่ได้เน้นในข้อนี้ คำสั่งที่พระเจ้าเน้นที่สุดว่าอย่าไปกินผลไม้ที่รู้จักดีชั่วแล้วมันจะตาย คือมันเป็นบวกเป็นลบ มันมีชีวิตที่เป็นบวกและเป็นลบ ฉะนั้นมันก็ต้องเป็นทุกข์คือตาย อันนี้เป็นหลักเดียวกับพุทธศาสนาว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่น ในดีชั่ว ดีชั่ว ดีชั่ว positive หรือ negative บวกหรือลบ ให้มันอยู่ตรงกลาง หรือว่าถ้าไม่อย่างนั้นก็ใช้คำว่าอยู่เหนือเสียเลย ไม่ดีไม่ชั่ว หรืออยู่เหนือดีเหนือชั่ว จึงจะเป็นอิสระ เป็นเสรีภาพ หลุดพ้นที่แท้จริง เมื่อชาวพุทธปฏิบัติในการที่ไม่ยึดมั่นดีชั่วโดยตรง นี่เราจะถือว่าชาวพุทธเป็นชาวคริสต์ที่ยิ่งกว่าชาวคริสต์นะ คือยึดถือเรื่องไม่ดีไม่ชั่วนี่ ตรงตามคำสั่งนั้นที่สุดเลย เป็นชาวคริสต์ที่ยิ่งกว่าชาวคริสต์นะ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเสียใจ จะเป็นชาวอะไรก็สุดแท้ แต่ถ้าไม่ยึดมั่นดีชั่วแล้ว มันอยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง ขอให้รู้กันไว้เถิดว่าจะเป็นมนุษย์ชาติไหน ภาษาไหน ยุคไหน สมัยใด ความทุกข์มันเกิดมาจากความยึดมั่นถือมั่นว่าดีว่าชั่ว วันนี้พระพุทธเจ้าได้ประกาศว่า สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา ความทุกข์เกิดมาจากการยึดมั่นเบญจขันธ์ว่าเป็นของตน พอเป็นตนของตนขึ้นมาแล้ว ก็มีฐานรองรับที่จะดีหรือจะชั่ว จะสุขจะทุกข์ จะบุญจะบาป จะได้จะเสีย จะแพ้จะชนะ จะได้เปรียบจะเสียเปรียบ จะกำไรจะขาดทุน กระทั่งว่าจะเป็นหญิงเป็นชาย หรือเป็นอะไรไปตามเรื่องของที่มีตัวตนเป็นเครื่องรองรับ ทำลายฐานรองรับคือตัวตนนั้นเสีย ก็จะไม่มีอะไรเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนและเป็นทุกข์ นี่พูดแล้วมันก็ไม่มีใครเอาด้วยว่าตัวกูนั่นแหละเป็นข้าศึกของตัวกู แล้วตัวกูนั่นแหละจะต้องทำลายข้าศึกตัวนี้ แล้วมันจะทำกันอย่างไร ใครๆ มันก็ไม่อยากจะเชือดคอตัวเองตาย ดูให้ดีเถิด มันไม่ต้องถึงอย่างนั้น คืออย่าปล่อยให้ความคิดผิดนี้มันเกิดขึ้นมาในจิตใจว่ามีตัวกู ให้มันเป็นเพียง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีระบบประสาทรู้สึกอยู่ที่นั่น มันก็รู้สึกอยู่ที่ระบบประสาท ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็รู้สึกอยู่ที่นั่น จิตอย่าไปคิดว่ามีตัวกูเป็นผู้รู้สึก มีความรู้สึกเป็นของกู สิ่งที่ ๓ อย่ามี มีแต่ว่าร่างกายกับจิตใจ ในร่างกายนั้นมีระบบประสาทสำหรับรู้สึกอะไรๆ ทุกอย่าง รู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ จิตใจรู้สึก มันก็รู้สึกกันอยู่ที่ตรงนั้น อย่ามีตัวกูเป็นสิ่งที่ ๓ เป็นตัว sense หรือเป็นตัว soul อะไรที่เขาเรียกกันทั่วๆ ไปขึ้นมาเลย นี่อนัตตา อนัตตาเป็นอย่างนี้ ไม่มีตัวตน
วันนี้เป็นวันสำคัญที่พระพุทธเจ้าท่านประกาศเรื่องนี้ เพื่อจะกำจัดความทุกข์โดยประการทั้งปวงเสีย ขอให้เราทุกคนเข้าใจสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงประกาศไว้ แล้วเราก็เข้าใจ ไม่เกิดอาการที่เรียกว่าเป่าปี่ให้แรดฟัง ข้อนี้ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นผู้เป่าปี่ให้แรดฟัง เพราะเป็นผลให้มีคนบรรลุพระอรหันต์อย่างน้อยมาแล้วเป็นพันๆ องค์ ไม่ได้เป่าปี่ให้แรดฟัง เป็นผู้ฟังถูก บรรลุอรหันต์มาแล้วเป็นพันๆ องค์ และยังเป็นอนาคามี สกิทาคามี โสดาบันอีกไม่รู้กี่หมื่น กี่แสน กี่ล้าน ไม่ได้เป่าปี่ให้แรดฟัง กลัวแต่ว่าพวกเรากลุ่มนี้ ที่เหลืออยู่ที่นี่บัดนี้ มันจะกลายเป็นแรดที่ไม่รู้จักฟังเสียงปี่ที่พระพุทธเจ้าได้เป่ามา แล้วเราก็ได้เป่าต่อๆ กันไป ช่วยกันเป่าต่อๆ กันไป ให้รู้ว่าตัวกูเป็นข้าศึกของตัวกู ตัวกูจะต้องเป็นที่พึ่งแกตัวกู ทำลายตัวกูเสียด้วยตัวกู อย่าให้มีตัวกูอยู่เป็นฐานรองรับแห่งการด่า การนินทา การมีความทุกข์ มีความสุข มีอะไรให้เป็นปัญหายุ่งยากเลย มีจิตใจว่าง ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยจิตใจว่าง ทำการงานทุกอย่างอยู่ด้วยจิตใจที่มันว่าง อย่าให้เกิดความรู้สึกเป็นตัวกูของกู มีแต่ร่างกายกับจิตใจล้วนๆ เต็มอยู่ด้วยสติปัญญา ไม่ไปหลงเอาอะไรมาเป็นตัวกูของกู นี้เรียกว่าพุทธบริษัท ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ในเนื้อในตัว ในเนื้อในตัวนั้นมีสติปัญญา รู้ความจริงสูงสุดของธรรมชาติว่ามันไม่มีตัวตน ไม่มีตัวกู มีแต่สิ่งที่เป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา ตามเหตุตามปัจจัย มีอย่างนี้ จิตมันก็รู้สึกอย่างนี้ มีอย่างนี้ จิตมันก็รู้สึกอย่างนี้ มีอย่างนี้ จิตมันก็รู้สึกอย่างนี้ จนไปแยกเอาเองว่าจะเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นอะไรอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นดีเป็นชั่ว เป็นได้เป็นเสีย เป็นแพ้เป็นชนะ อะไรก็ไม่รู้ ล้วนแต่เป็นเรื่องยุ่งทั้งนั้น ถ้าเห็นว่าเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองแล้วก็หมดปัญหา คำว่าเช่นนั้นเองนี่ ไม่ใช่คำพูดเล่นๆ เป็นคำพูดสูงสุด แต่ฟังดูแล้วคล้ายกับพูดเล่น เมื่ออาตมาเอาคำนี้มาพูดเป็นครั้งแรกๆ ผู้ฟังก็ถามว่า เอ๊ย,นี่พูดเล่นหรือพูดจริง พูดเล่นหรือพูดจริงก็ถามอย่างนั้น ก็ว่าพูดจริง จริงที่สุด นี่คือคำพูดของพระพุทธเจ้าที่จริงที่สุด ว่าทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นเองๆ ตามกฎเกณฑ์ของมัน เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาเช่นนั้นเอง ไม่มีดีไม่มีชั่ว ที่เป็นอย่างดีก็คือเป็นเช่นนั้นเอง ตามแบบนั้นแล้วคนไปสมมุติว่าดี ที่เป็นชั่วก็เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาเช่นนั้นเอง แล้วคนก็มาสมมุติกันว่าชั่ว ความรู้สึกอย่างนั้นเช่นนั้นเอง คนรู้สึกว่า คนสมมุติเรียกกันว่าสุข อีกอย่างหนึ่งเรียกกันว่าทุกข์ แล้วมันก็ได้มีสุขมีทุกข์ มีดีมีชั่ว มีบุญมีบาป มีอะไรที่เป็นคู่ๆ นับไม่ไหว ระวังของคู่เหล่านี้เกิดมาจากอวิชชาความโง่ ความหลง ความไม่รู้จริง มีอยู่ไม่รู้กี่สิบคู่ กี่ร้อยคู่ พร้อมที่จะทำให้คนโง่และหลงยึดติดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามความชอบใจพอใจของตน ซึ่งก็ไม่ค่อยจะเหมือนกัน แต่ก็ในที่สุดมันเหมือนกันตรงที่ได้รับความทุกข์ ได้รับความทุกข์สมควรแก่ความยึดมั่นถือมั่น รู้สิ่งนี้กันเสียเถิดแล้วก็จะได้หมดปัญหา รู้ความไม่มีตัว รู้จักความไม่มีตัว รู้จักแต่ความที่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ตามความจริงของธรรมชาติ เป็นไปตามกฎเกณฑ์อันนั้น มันก็เช่นนั้นเอง ทั้งฝ่ายบวก ทั้งฝ่ายลบ ทั้งฝ่ายดี ทั้งฝ่ายชั่ว ทั้งฝ่ายบุญ ทั้งฝ่ายบาป อย่าไปหลงกับมันในคู่เหล่านั้น ไปหลงกับมันเข้าแล้วจะต้องตาย จะต้องตายคือเป็นทุกข์ นี่เป็นจุดตั้งต้นของความทุกข์ คือไปหลงยึดมั่นถือมั่นว่าดีว่าชั่ว เป็นคู่ๆ แล้วก็จะต้องมีความทุกข์เพราะความยึดมั่น เหมือนกับหยิบอะไรขึ้นมาแบกถือไว้มันก็เป็นของหนัก จะแบกก้อนหินก็เป็นของหนัก จะแบกกเงินทองก็เป็นของหนัก จะแบกเพชรพลอยมันก็ยังเป็นของหนัก ไม่แบกอะไรเท่านั้นที่มันจะไม่เป็นของหนัก เป็นชีวิตอิสระ หลุดพ้น หลุดพ้น หลุดพ้น ในความหมายที่แท้จริง
หวังว่าท่านทั้งหลายจะมีความรู้ความเข้าใจในความหมายของคำว่าความเห็นแก่ตัว เป็นศัตรูอันเลวร้ายในโลก ทั่วโลก ทุกโลก ทุกยุคทุกสมัย เห็นอยู่ว่าเดี๋ยวนี้เราอยู่ในระยะที่เรียกว่าอะไรล่ะ ปากเหยี่ยวปากกา จะวินาศเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าโลกได้ใช้ความเห็นแก่ตัวออกมาตามที่อัดควันไว้มากแล้ว มีความเห็นแก่ตัวอัดกันไว้มากแล้วทั้งสองฝ่าย พร้อมที่จะใช้อาวุธมหาประลัยใส่กันแล้ว ถ้ามันโชคไม่ดีพอ มันก็ต้องใช้ มันก็ต้องได้ใช้ แล้วโลกนี้มันก็จะได้วินาศ หน้าที่ที่จะช่วยกันได้ ก็คือช่วยกันเถิด ทำลายความเห็นแก่ตัวของแต่ละคนไปเรื่อยๆ ของแต่ละคนไปเรื่อยๆ แล้วมันก็จะมีทางค่อยๆ เข้าใจกันขึ้นมา ลดความเห็นแก่ตัวลงเสีย เราเป็นตัวอย่างอันดีให้แก่ผู้อื่น แล้วคนเขาก็จะเอาตัวอย่างต่อๆ กันไป อยู่ด้วยความเป็นผาสุก ลดความเห็นแก่ตัวได้เท่าไหร่ก็เป็นนิพพานในสังคมปัจจุบันได้เท่านั้น นิพพานสูงสุดยังไม่พูดถึง แต่ว่านิพพานที่อยู่ในระยะที่จะหยิบได้ เอื้อมมือหยิบเอาได้ในสังคมคือความสงบเย็นในสังคมเพราะความไม่เห็นแก่ตัวนี้ มันอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ เราช่วยกันในข้อนี้
ขอตั้งคำใหม่สำหรับจะได้ถูกด่าต่อไปอีกสักคำหนึ่งว่า นิพพานในสังคม พูดคำอะไรใหม่ๆ แปลกๆ ออกมาล้วนแต่สำหรับจะถูกด่าทั้งนั้น เพราะเขาเอานิพพานไปไว้ที่ไหนกันก็ไม่รู้อีกกี่ชาติ แสนชาติจึงจะมี จึงจะมา จึงจะได้ นั้นมันไม่ไหว มันรอไม่ไหว แต่ถ้าว่าดับความร้อนลงไปได้เท่าไหร่ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ มันก็เป็นนิพพานในสังคมที่นี่และเดี๋ยวนี้ นิพพานอย่างนี้มีชื่อเรียกแปลกออกไปหน่อยหนึ่งเรียกว่า นิพฺพุติ, นิพฺพุติ ไปจำกันไว้ด้วย ก็คือความหมายของนิพพานที่ยังไม่ถึงขนาด ยังไม่สูงสุด ยังอยู่ในภาวะที่เริ่มต้นหรือพื้นฐานทั่วไป พระๆ คอยเตือนอยู่ทุกคราวที่ให้ศีล เพราะจะบอกคำว่า สีเลน สุคตึ ยนฺติ อยู่เสมอ สีเลน สุคตึ ยนฺติ, สีเลน โภคสมฺปทา, สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ, ตสฺมา สีลํ วิโสธเย จะมีศีล และมีนิพพุติได้เพราะศีล นิพพุตินี้คือพระนิพพานในระดับสังคม นิพพุติ ก็แปลว่าเย็น นิพพานก็แปลว่าเย็น เย็นในระดับสังคมที่ยังไม่ถึงที่สุด ยังไม่ได้ทำลายรากเหง้าให้หมด นิพพุติอย่างนี้เอากันไว้สักทีก่อนเถิด ถ้ามีได้ก็เป็น นิพฺพุโต เหมือนกัน ใครมี ก็เป็นนิพฺพุโต ใครมีนิพพุติ คนนั้นก็เป็นนิพฺพุโต มีความเย็นก็เป็นบุคคลเย็น เย็นได้เฉพาะเมื่อความเห็นแก่ตัวมันออกไป พอความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นมันก็ร้อน นอนไม่หลับ เป็นโรคประสาทเป็นบ้า นี่แหละเห็นว่าความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ คือมารร้ายของตัว มันก็มาจากตัว ตัวเป็นข้าศึกของตัว นี้มันก็จะพอแล้วสำหรับวันนี้ ว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศธรรมจักร ให้รู้ว่าความทุกข์ทั้งหลายเกิดมาจากความยึดมั่นเบญจขันธ์ว่าตัวตน ไม่ยึดมั่นเบญจขันธ์ว่าตัวตน มันก็ไม่มีทางที่จะเห็นแก่ตัว มันก็ไม่อาจจะเกิดความร้อนขึ้นมา มันก็มีแต่ความเย็นในระดับที่จะอยู่กันเป็นสุขได้ คนยุคก่อน สมัยก่อนมีปัจจัยส่งเสริมกิเลสน้อยกว่าคนยุคนี้สมัยนี้ เพราะว่าคนยุคนี้สมัยนี้เจริญด้วยความก้าวหน้าทางวัตถุ วัตถุนะไม่ใช่จิตใจ ล้วนแต่ส่งเสริมกิเลส ความเจริญทางวัตถุก็ผลิตสิ่งที่ส่งเสริมความพอใจ ความยินดี ความสนุกสนาน ความเอร็ดอร่อย ความเพลิดเพลิน สิ่งเหล่านี้มีเท่าไหร่ก็ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวเท่านั้น คนสมัยนี้ประสบปัญหายุ่งยากลำบากมากกว่าคนสมัยโน้น ซึ่งเขาไม่มี เขาไม่ค่อยจะมีปัจจัยส่งเสริมความเห็นแก่ตัว คือไม่ค่อยจะมีปัจจัยที่ส่งเสริมกิเลสมากเหมือนคนเดี๋ยวนี้ นี่เราเกิดมายุคนี้โชคร้ายหรือโชคดี ก็ตัดสินเอาเองเถิด เกิดมาในยุคที่มันมีปัจจัยส่งเสริมกิเลสจนเหลือที่จะปัดเป่าได้ มันก็เจริญด้วยกิเลสและก็มีปัญหายุ่งยาก ศีลธรรมจะไม่มีเหลือ อันธพาลเกิดขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง การประทุษร้ายชีวิตกันมีมากเพิ่มขึ้น การละเมิดของรักของใคร่กันมันก็มีมากขึ้น การทำอันตรายแก่กันและกันมันก็มีมากขึ้น การทะเลาะวิวาทขัดแย้งมันก็มีมากขึ้น นี่กำลังเกิดปัญหาอย่างนี้มากขึ้น โลกที่เจริญ โลกที่เจริญมันเป็นอย่างนี้ ยิ่งเจริญก็ยิ่งยุ่ง ถ้าให้พูดถูกกว่านั้นอีกก็ต้องพูดว่ายิ่งเจริญคือยิ่งบ้า ยิ่งหลง ยิ่งโง่ ยิ่งมืด ยิ่งหลับด้วยกิเลส
วันนี้ก็เป็นวันที่จะลืมตาสว่างไสวด้วยแสงสว่างแห่งธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงประกาศ เราก็จะต้องยืนขึ้นรับรอง รับรองหมายความว่าเข้าใจและก็ปฏิบัติแล้วก็ช่วยกันเผยแผ่ให้ผู้อื่นรู้ และก็ช่วยให้ความสะดวกในผู้อื่น ในเมื่อผู้อื่นเขาต้องการจะปฏิบัติ เราเองของเราก็รู้ของเราปฏิบัติของเรา และก็สอนให้ผู้อื่นให้รู้ด้วย เมื่อผู้อื่นเขาจะปฏิบัติบ้างก็ช่วยส่งเสริมให้เขาได้รับความสะดวกในการที่จะปฏิบัติ นี่คือหน้าที่อันสูงสุดของพุทธบริษัท ซึ่งเรากำลังกระทำกันอยู่ ขอให้ท่านทั้งหลายมีความรู้ มีความเข้าใจในหน้าที่ของตน ทั้งที่เพื่อประโยชน์ของตนและเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นและเพื่อประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย เป็น ๓ ลักษณะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ นี่ก็พากันเห็นความจำเป็นที่จะต้องช่วยกันรักษาหน้าที่อันนี้ ปฏิบัติหน้าที่อันนี้ในความหมายที่ถูกต้องที่สุดที่เรียกกันว่าสืบอายุพระพุทธศาสนา
วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชามาประชุมกันในป่า ในลักษณะเช่นนี้ เพื่อให้เกิดความง่ายในการที่จะเข้าใจเรื่องนี้ มีความง่ายในการที่จะอธิษฐานจิตเพื่อทำหน้าที่อันนี้ เป็นการทำเพื่อประโยชน์แก่ทุกฝ่าย และเป็นการกระทำเพื่อสนองพระคุณของพระบรมศาสดา ผู้เปิดเผยหนทางอันนี้และมีความประสงค์จำนงค์หวังว่าสัตว์โลกทั้งหลาย จะได้ออกไปสู่ความรอดด้วยหนทางอันนี้ และก็มาเฉลิมฉลองความรู้อันนี้ การปฏิบัติอันนี้ ผลของการปฏิบัติอันนี้ ให้มีอยู่อย่างประจักษ์ชัดเจนแก่จิตใจ นั่นแหละมันจะกลายเป็นอัตโนมัติอยู่ในตัวว่าทำลายตัวกูด้วยตัวกู ทำลายตัวกูด้วยตัวกู ฆ่ามารร้ายแห่งตัวกูด้วยตัวกู ไม่ต้องท้อถอยเลย
ธรรมเทศนาก็สมควรแก่เวลา เรียกว่าเพียงพอสำหรับจะทำความเข้าใจในเบื้องต้นแก่ท่านทั้งหลายว่า เราจะทำพิธีอาสาฬหบูชากันเพื่อประโยชน์อะไร มีจิตใจแจ่มแจ้งสว่างไสวมองเห็นความจริงข้อนี้แล้ว ก็เรียกว่ามีจิตใจที่พร้อมแล้วที่จะประกอบพิธีอาสาฬหบูชา ซึ่งเราจะได้ดำเนินการต่อไป ท่านทั้งหลายคงจะมีความรู้ความเข้าใจแจ่มแจ้ง ทำหน้าที่อันนี้ให้ได้รับประโยชน์จริง แท้จริง สมกับที่มาไกล มาจากที่ไกล มาด้วยความยากลำบาก มาอยู่ด้วยความยากลำบาก แต่ก็ได้รับผลสูงสุด เกินค่าของความลำบากเป็นแน่นอน นี่ขอให้พยายามทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ดี แล้วก็จะได้รับผลคุ้มค่าสูงสุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้ ในการที่จะรู้พระพุทธศาสนา ปฏิบัติพระศาสนา ได้รับผลของพระศาสนา เผยแผ่พระศาสนา ร่วมมือกับผู้อื่นที่เขาจะช่วยกันสืบอายุพระศาสนาต่อๆ ไปในโอกาสข้างหน้า เป็นผลดีแก่ผู้ที่ยังอยู่ต่อไปข้างหน้า เรียกว่าทำประโยชน์แก่มนุษย์ตลอดเวลา จะไม่เสียทีที่ได้พบพระพุทธศาสนา เอาล่ะ,เป็นอันว่าธรรมเทศนาที่เป็นการเตรียมจิตใจให้เหมาะให้สมให้พร้อมที่จะทำพิธีอาสาฬหบูชา ก็สมควรแก่เวลาแล้ว อาตมาขอยุติการแสดงธรรมเทศนา ด้วยการขอร้องว่าท่านทั้งหลายจงมีจิตใจสว่างไสวดังที่กล่าวมา ประกอบพิธีอาสาฬหบูชากันสืบต่อไปเถิด ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้/