แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เป็นการปรับความเข้าใจให้ถูกต้อง เพื่อให้มันสำเร็จประโยชน์ตามที่ต้องการที่เรามาบวชกันพรรษาหนึ่ง อย่าให้มันเป็นแค่การบวช สักว่าบวชตามธรรมเนียมครบ ๑ พรรษาและก็พอ เลิกกัน อย่างนี้มันไม่ ไม่ได้ประโยชน์ที่คุ้มกัน ทีนี้ก็จะพูดว่าโดยพื้นฐานทั่วไปนี่ก็จะต้องมีหลักอย่างไร หลักเกณฑ์อย่างไร แต่โดยส่วนใหญ่นั่นก็อยากจะพูดว่าให้มันได้รับประโยชน์ทั้งแก่ตัวผู้บวช และแก่ญาติทั้งหลายบิดามารดาเป็นต้น และแก่พระศาสนาเอง อย่างน้อยก็ให้ได้รับประโยชน์ ๓ อย่างอย่างนี้แหละ ตัวผู้บวชต้องได้ แล้วก็ญาติทั้งหลายตามธรรมเนียมเราก็ต้องนึกถึง ต้องโปรดญาติ ต้องแทนคุณบิดามารดา ซึ่งถือกันเป็นธรรมเนียมแล้วก็ให้เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา คือว่าการบวชของเราจะบวชสักกี่วันก็ตามเถอะขอให้มันเป็นการสืบอายุพระศาสนาเท่านั้นวันในฐานะเป็นภิกษุ ฉะนั้นถ้าเราเป็นฆราวาสแล้วก็มีการสืบศาสนาเหมือนกัน สืบอายุศาสนาเหมือนกันตามแบบฆราวาส ซึ่งมันน้อยหรือมันแคบหรือมันต่ำ ไม่ค่อยจะกว้างขวางเพื่อประโยชน์ทั่วไป ทีนี้ก็ให้มันสืบ สืบอายุพระศาสนาเต็มขนาดไหนแหละ และก็บวชกันเสียบ้าง แล้วมันก็อยู่ที่ว่าทำสำเร็จประโยชน์ มันจะบวชเพื่อประโยชน์ตัวเราเองก็ดี บวชเพื่อแทนพระคุณบิดามารดาก็ดี บวชเพื่อสืบอายุพระศาสนาก็ดี ให้มันสำเร็จอยู่ตรงที่เป็นการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนสืบๆกันไปจริงๆ ไอ้ ๔ คำนี้ช่วยจำไว้เถอะ บวชจริงก็คือปฏิบัติจริง แล้วก็เรียนให้สุดความสามารถเท่าที่จะเรียนได้ แล้วก็ปฏิบัติเท่าที่สามารถจะปฏิบัติได้ แล้วก็ได้รับผลอะไรบ้างก็เป็นความรู้ เป็นความรู้แท้จริงเพิ่มขึ้น แล้วก็มีโอกาสก็ถ่ายทอดความรู้นะ ถ้าเป็นฆราวาสก็ถ่ายทอดไปตามแบบฆราวาส ทำตัวอย่างที่ดีให้มันปรากฏกว้างออกไป ถ้าเป็นพระก็ถ่ายทอดได้แบบพระ มันก็สูงกว่ากว้างกว่าไกลกว่า ถ้าถึงกับว่าเป็นธรรมกถึก เทศน์ได้พูดได้ก็ยิ่งดี ไอ้นี่เรียกว่ามันสอนสืบๆกันไป นึกถึงไอ้หลักเกณฑ์ข้อนี้ไว้เป็นเครื่องประจำใจ พยายามให้ได้ตามนั้น เอาแหละเป็นอันว่ามันก็มีอยู่ ๓ อย่างแหละ ตัวเองต้องได้ ญาติทั้งหลายต้องได้ ศาสนาหรือคนทั้งโลกจะต้องได้ มันเป็นอันเดียวกันถ้าว่าศาสนาอยู่คนทั้งโลกมันต้องได้ และคนทั้งโลกจะได้มันต้องเมื่อมีศาสนาอยู่ ฉะนั้นการทำให้มีศาสนาอยู่มันก็ทำให้คนทั้งโลกพลอยได้ ถ้าเอาเป็นตัวบุคคลกันก็ว่าเราได้ ญาติทั้งหลายได้ คนทั้งโลกพลอยได้ตาม ตามแบบ ตามลักษณะเป็นเรื่องๆไปไม่เหมือนกันทีเดียว
ทีนี้วันนี้ก็จะพูดถึงเรื่องที่ตัวเองจะได้ ตัวเองจะได้ ข้อแรกก็ตัวเองจะได้ ข้อที่ ๒ ไอ้ญาติทั้งหลายจะได้ เพื่อนมนุษย์ทั้งโลกจะพลอยได้ ศาสนาจะพลอยได้เอาไว้ทีหลัง ขอให้ได้มีการกระทำชนิดที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในชีวิต ต้องเรียกว่าในชีวิต เราเคยอยู่ตามสบายในรูปแบบที่เขาเป็นๆกันอยู่ ที่เขาเป็นๆกันอยู่โดยไม่ต้องรู้สึกว่ามันๆ มันมากหรือมันน้อย มันผิดหรือมันถูก มันมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์นั่นแหละไม่ค่อยจะต้องรู้ โดยเฉพาะว่ามันมากไปหรือมันน้อยไป ไอ้เราเกิดมาก็มีแต่การทำตามที่มันมีให้ทำ เราจึงได้ถือเอานั่นเป็นมาตรฐาน เอาเป็นมาตรฐาน และตามปกติที่พอจะมองเห็นได้ก็เห็นได้ว่าเรามันไม่มีกฎเกณฑ์อะไรที่เป็นการบังคับตัว เราทำตามสบายใจ พอเราเกิดมาพ่อแม่พี่น้อง ไอ้คนทั้งหลายโดยรอบก็มีแต่จะทำให้เราสบายใจ ถนอมกล่อมเกลี้ยง บำรุงบำเรอ เอาอกเอาใจคอยถนอมกล่อมเกลี้ยง แล้วเราก็มีนิสัยเป็นผู้ที่ถูกเขาถนอมกล่อมเกลี้ยงจนไม่รู้อะไรควรอะไรไม่ควร อะไรมากอะไรน้อย อะไรจำเป็นไม่จำเป็น มันก็เกิดนิสัยที่จะเอาอย่างที่เราชอบใจอย่างที่เราต้องการ และให้เขาถนอมช่วยเหลือบำรุงบำเรอ มันก็โง่ตลอดชาติว่าการเป็นอย่างนั้นนั่นมันไม่ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง มันเป็น มันควรจะมีไอ้เรื่องที่ว่าถูกต้องคือเท่าไรเพียรไร แล้วเราก็จะได้ทำให้มันถูกต้อง แล้วก็จะไม่มีปัญหา ถ้าเราไม่รู้เราก็ตั้งไว้มาก จะต้องได้มาก ไม่มีขอบเขตจำกัดมันก็เลยตั้งเป้าหมายไว้ไกลกว่าที่ควร แล้วมันก็ไม่ได้ตามที่จะต้องการด้วยเหมือนกัน มันเป็นธรรมดาอย่างนั้นที่มันจะต้องรู้จักความพอดี รู้จักความพอดี ความถูกต้อง ความสมควร อันนี้เป็นหลักสำคัญแต่ว่าคนเขาไม่ค่อยสนใจกัน ไม่ค่อยสนใจ คือมันมีหลักว่าถ้าเราอยู่อย่างถูกต้อง พอดีหรือสมควรนั่นแหละปัญหามันจะไม่เกิด เดี๋ยวนี้เราก็เอาไว้เกินสมควร หวังเกินสมควร ก็ไม่เป็นไรถ้าทำได้มันก็ มันก็ได้แหละ แต่แล้วมันไม่ใช่ความถูกต้องของธรรมชาติ มันจะต้องมีความหม่นหมองใจ หนักอกหนักใจ เป็นทุกข์วิตกกังวล และบางคราวเมื่อมันไม่ได้ตามที่หวังไว้มันก็เดือดร้อนมาก ดังนั้นเรามาบวชก็เพื่อจะหาแบบมาตรฐานว่าอย่างไรพอดี อย่างไรถูกต้อง ทีนี้เราก็มีหลักว่าทำให้มันต่ำที่สุดเข้าไว้ ดูก่อนๆ มันไม่ไปไหนเสีย เราไม่ตายหรอก เราจะเป็นอยู่อย่างต่ำที่สุด อย่างภิกษุครั้งพุทธกาลหรืออะไรนี่ไป ไปก็ได้ไม่ ไม่ตายหรอก แล้วมันก็ไม่ทำให้โง่หรอก มันก็ยังจะรู้ว่าไอ้คนเรานี่จะอยู่ต่ำสุด ระดับต่ำสุดได้เท่าไร แล้วเราอยู่ไกลสูงขึ้นไปเกินความพอดีเท่าไรอย่างไรนั่นมันจะได้รู้ รู้ได้โดยง่าย ฉะนั้นเราจึงมีหลักปฏิบัติโดยเฉพาะของวัดนี้ว่าให้เป็นอยู่อย่างต่ำเท่าที่จะต่ำได้ และตลอดเวลาให้เป็นอยู่อย่างต่ำ ที่เราพูดกันว่ากินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู อยู่กุฏิเท่าเล้าหมู แล้วก็ฟังยุงร้องเพลง เหล่านี้มันไม่ ไม่ มันไม่ใช่เรื่องอุตริวิตถาร มันเป็นเรื่องถอดรูปแบบออกมาจากรูปแบบของการเป็นอยู่ของภิกษุในครั้งพุทธกาล สำหรับการเป็นนักบวชและในครั้งพุทธกาลมันมีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้นด้วย แล้วมันก็มีประเพณีเพราะทำเช่นนั้นกันทั่วไปในหมู่นักบวช ในหมู่นักบวช ให้เป็นอยู่อย่างต่ำที่สุดเพื่อให้ตัวเองลำบากน้อยที่สุด ให้ประชาชนลำบากน้อย หมดเปลืองน้อยในการที่จะเลี้ยงดูบรรพชิตเหล่านี้ไว้ แล้วก็เป็นธรรมเนียมอย่างนั้น สรุปความไว้ว่าบรรพชิตจะต้องให้มากกว่าที่จะรับเอา เราจะรับเอาจากประชาชนอย่างน้อยเท่าที่จะน้อยได้ คือเท่าที่จะไม่ตายเท่าที่จะรอดอยู่ได้ แล้วเราก็จะให้มากคือเรื่องทางจิตทางวิญญาณซึ่งมีค่ามากกว่าวัตถุ ไอ้ที่เรารับของเขามามันเป็นเรื่องทางวัตถุ เรื่องข้าวปลาอาหาร จี จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ เภสัช นั่นมันเป็นเรื่องวัตถุ แล้วก็รับมาอย่างน้อยเท่าที่จะอยู่ได้ ไอ้ที่เราจะให้นั่นก็ให้ทางจิตใจซึ่งมันมีค่ามากกว่ากันมากนัก ดังนั้นก็จึงถือว่าให้ ให้มาก รับมาน้อย รับจากเราน้อยแล้วก็ให้ตอบแทนมาก มันก็เกิดเป็นธรรมเนียมประเพณีขึ้นมาอย่างนี้ในหมู่นักบวชซึ่งเป็นนักบวชแท้แหละ นักบวชตลอดไป นักบวชถาวรแหละ ทีนี้เราไม่เป็นอย่างนั้น ไม่ๆ ไม่ตั้งใจจะทำอย่างนั้น แต่เราอยากจะลองดูเพื่อศึกษาให้รู้ก็จึงลองเป็นอย่างนั้นดูแม้ว่าเราจะบวชเพียง ๓ เดือน ก็จะรู้อะไรมากแหละ รู้อะไรมากทีเดียว ฉะนั้นขอให้เราพอใจที่ว่าตั้งใจบวช ๓ เดือนนี่มันถูกต้องแล้ว แล้วมันจะได้ฝึกฝนให้มากเท่าที่จะ เท่าที่จะมากได้ในการบวชเพียง ๓ เดือน อย่าให้มันเป็นการมาเหลวไหลหาความพักผ่อนให้ ให้กิเลสเสียอีก ถ้าอย่างนั้นมันไม่ถูกหรอก ก็มีเหมือนกันแหละบางคนเขาบวชให้พักผ่อนแก่กิเลส แต่กลับกินอยู่ฟุ่มเฟือยมากกว่าเมื่อไม่ได้บวช ยังเล่นยังหัวอะไรมากกว่าเมื่อไม่ได้บวช อย่างนั้นก็มีเหมือนกัน เขามีกันเหมือนกันที่อื่นโดยเฉพาะที่กรุงเทพก็มีกันเหมือนกัน ว่าเป็นบวชเพื่อพักผ่อนเพื่อเอาเปรียบแล้วก็เพื่อให้โอกาสแก่กิเลสได้เสวยอารมณ์ของกิเลสยิ่งๆขึ้นไปอย่างนี้ก็มีอยู่ แต่อย่าพูดถึงเลย ไม่ต้องพูดถึง ถึงทำได้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก มันจะโง่หนักขึ้นไปอีกว่ามันจะต้องได้อย่างนั้นยิ่งๆขึ้นไปตามที่กิเลสต้องการอย่างนี้มันก็โง่หนักขึ้นไป ดังนั้นเราเอาให้ได้ตามไอ้เรื่องที่แท้จริง ตามความประสงค์ที่แท้จริง
ข้อที่ ๑ เราก็จะต้องเป็นอยู่อย่างต่ำที่สุด เป็นอยู่ คำว่าเป็นอยู่ ดำรงชีวิตอยู่ ไอ้คำว่าเป็นอยู่หรือดำรงชีวิตอยู่นี้มันรวมกันหลายๆเรื่อง เรื่องอาหารก็ดี เรื่องเครื่องนุ่งห่มก็ดี เครื่อง ที่อยู่อาศัยใช้สอยก็ดี เรื่องสุขภาพอนามัยก็ดีนี่รวมๆกันหมดนั้นก็เรียกว่าการเป็นอยู่ เราจะอยู่อย่างต่ำที่สุด และเพื่อให้มันเป็นอิสระมากที่สุด ถ้าเราตั้งมั่นจะกินดีอยู่ดีหรือฟุ่มเฟือยนั้นเราก็จะต้องสูญเสียอิสรภาพแก่กิเลส อันนี้ข้อแรก ต้องสูญเสียอิสรภาพให้แก่ทายกทายิกาที่เขาจะช่วยเหลือ จิตใจไม่เกลี้ยงเกลาเราเรียกว่าไม่เป็นอิสระ เราก็จะโง่ยิ่งขึ้นๆในการที่จะเกิดมาทั้งทีจะเอาแต่กินดีอยู่ดี ให้เอร็ดอร่อย ให้สนุกสนานฟุ่มเฟือยยิ่งขึ้นๆ มันมีเป้าหมายไปอย่างนั้นเสีย ไอ้ความคิดมันเดินไปในทางอย่างนั้นเสีย ซึ่งมันไม่มีผลดีเลย ไม่มีผลดีในอนาคต ไม่มีผลดีแก่ฝ่ายไหนหมดแหละ ดังนั้นจึงว่าจะเป็นอยู่อย่างต่ำแต่กลับเป็นผู้ทำประโยชน์สูงที่สุด เป็นอยู่ให้ต่ำแล้วก็ทำประโยชน์ให้สูง นั่นแหละคือความถูกต้องของความเป็นบรรพชิต จะลองดูสัก ๓ เดือนก็ไม่เป็นไรมันทำไม่ได้ตลอดชีวิต แต่ขอให้ได้รู้ ได้รู้เรื่องว่าเป็นอยู่อย่างต่ำและทำประโยชน์ให้อย่างสูงนี่คืออย่างไร เฉพาะฉะนั้นมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงมากแหละ เปลี่ยนแปลงมากแหละเพราะว่าที่แล้วมาเราไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้น เราจะเป็นอยู่อย่างสบาย เราจะเป็นอยู่ตามพอใจตามกิเลสเพื่อหาเงินมาใช้มากๆ แล้วเข้าใจว่าดีที่สุดถูกต้องที่สุด ก็นิยมกันอย่างนั้นบูชากันอย่างนั้นมันก็อย่างนั้นแหละ มันก็เท่านั้นมันก็แค่นั้น นี่ข้อแรกที่ว่าจะเป็นอยู่อย่างต่ำในการบำเพ็ญประโยชน์อย่างสูงแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น ลองกำหนดไว้สิ แล้วก็จดจำไว้สิ หรือว่าจดบัญชีไว้ก็ได้ เราได้ทำประโยชน์อะไรที่แก่ตัวเองที่มันได้สูงและแก่ผู้อื่นที่มันได้สูง หรือว่าเตรียมไว้ ถ้าเดี๋ยวนี้ทำไม่ได้ก็เตรียมไว้สำหรับว่าข้างหน้า ต่อไปข้างหน้าเราจะทำชนิดที่มันสูงให้แก่สังคม ให้ ให้แก่บิดามารดา ให้แก่สังคมให้แก่คนทั่วไป แล้วก็ให้เรานี่ได้มากที่สุดคือได้ความสูงนั่นกลับออกไป ถ้าสมมุติว่าสึก ลาสิกขา ลาสึก ก็จะต้องกลับออกไปด้วยจิตใจที่สูง จิตใจที่ฉลาด จิตใจที่ฝึกฝนไว้ดีแล้ว เรามีความมุ่งหมายอย่างนี้จึงมีระเบียบปฏิบัติกันอย่างนี้ นี่เรียกว่าเป็นแบบฉบับของสวนโมกข์หรือเป็นประเพณีของสวนโมกข์อะไรก็แล้วแต่จะเรียก ดังนั้นขอให้ได้เข้าถึง ให้เข้าถึงความหมายเข้าถึงหัวใจของมัน แล้วก็ขอให้ได้ สำหรับข้อนี้นั้นขอให้ถือว่าระเบียบการเป็นอยู่ทุกอย่างไอ้ที่วางไว้ประจำ เป็นของประจำวัดประจำหมู่คณะนี้คือบทเรียน อะไรทุกๆอย่างที่ให้ทำ ที่ให้ทำที่มันคงจะแปลกไปบ้างให้ถือว่านี่คือบทเรียนที่มีระเบียบมีประเพณีให้ทำอยู่อย่างนั้นอย่างนี้อย่างนั้นทุกๆอย่างในการเป็นอยู่ที่วัดนี้ ก็เคยขอให้ถือว่านี่คือบทเรียน แล้วก็ขอให้ทำเสียให้ ให้มีการเป็นอยู่ที่ต่ำหรือที่ถูก เราอดกลั้นอดทนเป็นอยู่อย่างต่ำที่สุด อะไรต่ำได้บ้างเท่าไรก็ต่ำ พวกฝรั่งเมื่อนานมาแล้วตอนแรกๆมาที่นี่เขาเห็นพระกวาดขยะหรือทำงานอะไรอย่างต่ำๆเข้า เขาก็แสดงความประหลาดใจว่าเอ้อ, นี่ๆ นี่เป็นงานของนักโทษ เป็นงานระดับนักโทษ ต้องอธิบายกันเสียยกใหญ่ว่ามิใช่อย่างนั้น ไม่ใช่งานระดับนักโทษหรือมุ่งหมายให้ทำอย่าง อย่างกับว่าเป็นนักโทษ มันเป็นบทเรียน เป็นบทเรียนที่ต้องการจะให้อยู่อย่างต่ำ อยู่อย่างต่ำ โดยบทเรียนนี้แหละมันชำระกิเลสในตัวของมันเอง การเป็นอยู่อย่างต่ำเป็นบทเรียนเป็นประจำเป็นระเบียบนี่มันจะชำระกิเลสของมันในตัวมันเอง อย่างน้อยที่สุดก็ชำระไอ้ความโง่ที่อยากจะกินดีอยู่ดีตามใจกิเลส ไอ้ข้อนี้จะต้องถูกชำระชะล้างออกไปก่อน แล้วมันก็จะได้ความรู้ ได้ความฉลาดขึ้นมา โอ้, ไม่ต้องกินอยู่ให้แพงนี่ กินอยู่อย่างต่ำที่สุดก็ได้ มันไม่ตายนี่ ก็ไม่ได้ทำให้โง่เขลาอะไร กลับจะทำอะไรได้ดีเสียอีกคือมันไม่เมามายในเรื่องกินเรื่องอยู่ พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดีกินอยู่อย่างต่ำทั้งนั้น เป็นอยู่อย่างต่ำทั้งนั้น แต่คนเดี๋ยวนี้เขาไม่เข้าใจแหละเขาคิดว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ก็จะกินอยู่อย่างดีที่สุดที่ประชาชนเขาจะหาให้ได้ เหมือนอย่างที่เราเห็นๆกันอยู่จะมีเลี้ยงพระที่ไหนเขาก็จัดให้ดีที่สุดให้พระฉัน แล้วเขาก็เลยคิดว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ครั้งพุทธกาลก็ยิ่งเป็นอย่างนั้น อย่างนี้เข้าใจผิดที่สุด พูดได้เลยว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์นั้นเป็นอยู่อย่างขอทาน มีอาหารอย่างคนขอทาน บางวันก็จะได้ไม่อิ่มท้อง บางวันก็จะได้เลวที่สุด พระไตรปิฎกสักเล่มหนึ่ง หน้าแรกๆของเล่มหนึ่ง พระ ของพระไตรปิฎกนั่นก็มีเล่าถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าพรรษานั้นฉันข้าวตากสำหรับเลี้ยงม้าที่พ่อค้าม้าเขาแบ่งให้ คือว่ามี มีนายบ้านนิมนต์ให้อยู่จำพรรษาที่บ้านนั้นแหละแล้วมันจะสะเพร่าหรืออะไรไปไอ้นายบ้านหมู่ เจ้าของหมู่บ้านนั่นมันลืมไอ้เรื่องอาหาร ไม่ได้สนใจ พระหลายสิบรูปก็ไม่มีอาหารจะฉัน ครั้นบิณฑบาตอย่างขอทานมันก็ยังจะไม่มีฉันหรอกถ้าว่ามันไม่ได้มีการรู้ ตระเตรียมอะไรกันบ้างเลยมันก็ได้ไปอย่างนั้น แต่เผอิญมีพ่อค้าที่เขาขายม้าเลี้ยงม้าขาย เขาเอาม้าไปขายเป็นฝูงๆเขาก็มีเสบียงสำหรับเลี้ยงม้าคือข้าวตาก ข้าวตาก ก็แบ่งให้พระองค์ละปลายมือ ถวายพระองค์ละปลายมือ ข้าวตากเลี้ยงม้า พระก็เอาไปทำให้เปียก บดตำอะไรกันเปียกๆพอฉันได้ แล้วก็ฉันไม่ปรากฏว่ามีกับมีอะไร อยู่อย่างนั้นกันตลอดพรรษา อย่างนี้เป็นต้น ในเรื่องราวในที่อื่นๆมันก็มีความชัดว่าไอ้โรงทานประจำเมืองที่เขาเลี้ยงพระ ขอทานเลี้ยงคนทั่วไป เจ้าของโรงทานก็ไม่มีอะไรจะเลี้ยงนอกจากข้าวสุกกับผักดองเล็กน้อย พระก็ยังได้ฉันอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นพระพุทธเจ้าจะได้สำรับคับคอนอะไรใหญ่โตมโหฬารเหมือนที่คนเดี๋ยวนี้เขาคาดเขาหวังกัน เขาหวังจะทำบุญให้อย่างนี้ให้มากแค่นี้จะได้ไปสวรรค์ ได้มีของทิพย์เหลือเฟือ ฉะนั้นเราก็ลองดู เป็นโอกาสได้ลองดูว่ากินอยู่ต่ำที่สุด พออยู่ได้ พอเลี้ยงชีวิตอยู่ได้แล้วมันจะเป็นอย่างไร เราไม่ต้องพูดถึงเมื่อพระพุทธเจ้าออกบวชกำลังประพฤติปฏิบัติเป็นการทดลอง นั้นก็ยิ่ง ยิ่งแล้วใหญ่เลย กินข้าว ฉันข้าววันละไม่กี่เม็ด บางทีก็ฉันหญ้า บางทีก็ฉันอุจจาระปัสสาวะของตนเองเพราะไม่ลุกไปไหน ไอ้นั่นมันเกินไปนั่นไม่ต้องพูดถึงหรอก เอาแต่เพียงว่าธรรมดาๆนี่ ไอ้นั่นมันฉันพอรอดชีวิตอยู่ได้ตามปกติ ซึ่งมีคำพูดเป็นหลักว่าฉันเหมือนกับว่ากินเนื้อลูกเอง ลูกตัวเองกลางทะเลทราย หรือฉันเหมือนกับเหยียบ น้ำมันยอดเพลาเกวียน มันคือเรื่องมันมีว่าผัวเมียคู่หนึ่งลูกอ่อนเดินข้ามทะเลทราย ซึ่งมันมีอยู่มากมายในอินเดีย แต่เผอิญมันหลงทางมันออกไม่ได้ จนลูกตายและพ่อแม่มันก็จะตายลงอีก พ่อแม่มันก็ต้องจำใจกินเนื้อลูกที่ตายนั้น ลองคิดดูมันจะกินลงอย่างเท่าไรจะกินได้ เท่าไรจะกินเข้าไปได้เท่าไร มันก็กินเพราะไม่ตาย นี่ นี่เหมือนอย่างนั้นแหละ ให้พระเราฉันอาหารเหมือนกับว่าบุรุษนั้นกินลูกของ เนื้อลูกของตัวเองกลางทะเลทราย หรือว่าหยอดน้ำมันเพลาเกวียนเพราะยอดพอลื่นๆให้มันหมุนไปได้นะไม่ต้องรดเทไหลโกรกโชกอะไร หยอดพอมันลื่นพอหมุนไปได้นี่เขาหยอดน้ำมันกันเพียงเท่านั้นอย่างนั้นแหละ นี่กินอาหารก็ให้มันเป็นไปได้พออยู่ไปได้ นี่ยกตัวอย่างเรื่องการกินซึ่งกินอยู่อย่างต่ำ ซึ่งเราเคยกินอยู่ตามสบายแล้วก็สูงอยู่โดยไม่รู้สึกตัวแล้วยังต้องการจะสูงยิ่งขึ้นไปอีก คนเขาก็จะเถียงว่าฉันสามารถหามาได้นี่จะว่าอะไรฉันล่ะ ก็ไม่ว่าอะไรคุณหรอก คุณจะให้กินวิเศษเป็นเทวดาก็ตามใจคุณ แล้วคุณก็ไปดูเอาเองว่ามันดีอย่างไร มันสร้างปัญหาขึ้นมาอย่างไรทางจิตใจโดยเฉพาะ เครื่องนุ่งห่มก็ใช้จีวรที่ทำจากเศษผ้าที่เก็บได้ตามที่ต่างๆมาเย็บมาปะมานั่นกันเข้า พอห่มไปได้ ที่อยู่อาศัยก็ว่าตามปกติก็โคนไม้ ถ้าเป็นฤดูฝนก็มีที่มุงที่บังบ้างเล็กๆน้อยๆพอกันฝน ไอ้ยารักษาโรคมันก็คือไอ้น้ำ ยา โคนไม้ รากไม้ ใบไม้ที่เป็นยา แช่ด้วยน้ำมูก น้ำมูตรของตัวเอง ไอ้รายละเอียดอย่างนี้ไม่สำคัญ เอาแต่ความหมายของมัน ความหมายของมัน เป็นอยู่อย่างง่ายที่สุดอย่างต่ำที่สุด แล้วมันก็ฉลาดขึ้นมาทีว่าโอ้, มันอย่างนี้ก็อยู่ได้นี่ มันอย่างนี้ก็อยู่ได้แล้วก็ไม่เป็น รบกวนใคร ไม่เป็นหนี้ ไม่เป็นหนี้กับใครมากมาย เกือบจะไม่เป็นหนี้ใครเลย มีชีวิตอยู่ได้อย่างอิสระก็จะไม่เป็นหนี้ใครเลย แล้วหน้าที่ของภิกษุก็คือศึกษา ประพฤติปฏิบัติ รู้ความจริงอันสูงสุด นี่ตัวเองก็ได้ ได้ผลอย่างสูงแหละ ได้ผลลัพธ์อย่างสูง แล้วก็ไปสอนผู้อื่นประชาชนให้รู้เรื่องนี้ แล้วผู้อื่นก็พลอยได้รับผลอย่างสูง หรือว่าอยู่ให้ดู เป็นตัวอย่างให้ดูแม้จะไม่สอนสักคำหนึ่งก็ ก็ยังถือว่าได้บุญแหละเพราะเป็นตัวอย่างให้ดู เป็นตัวอย่างให้ดูว่าอยู่อย่างนี้ อยู่อย่างนี้ คือมันระดับมันต่ำจนไม่เกิดปัญหาว่าใครจะทำไม่ได้ ทำได้ทุกคนเลย ดังนั้นไม่มีปัญหาว่าทำไม่ได้ มันสูงทำไม่ได้ หรือมันยากทำไม่ได้ มันกลายเป็นง่ายจนทำได้กันทุกคน อยู่กันได้ทุกคน แล้วใครจะทำให้ดีกว่านั้นก็ได้ แต่ให้รู้ความจริงเสียก่อนเถอะว่าอยู่ต่ำลงไปอีกกว่านั้นมันก็อยู่ได้ ไม่ตายและไม่โง่และทำอะไรได้ นี่ให้มันได้หลักอย่างนี้ พวกเราเดี๋ยวนี้เวลานี้ที่นี่ให้มันได้หลักก่อนแม้เราจะกินอยู่อย่างต่ำ เพราะมันไม่ได้ทำให้เราโง่ลงหรือไม่ทำให้เราตาย เราสามารถจะเป็นอยู่ง่ายขึ้น
ทีนี้จะไป ไปหาที่เป็นอยู่อย่างง่ายอย่าง ไอ้อย่าง อย่างสบายอย่างสูงก็ได้มันก็ไม่มี มีปัญหาอะไร แล้วมันก็จะไม่หลง ไม่หลงคือไป ไปทำให้มันเปลืองเปล่าๆให้มันมากเปล่าๆ ให้มันไม่หลง ไม่หลงไปทำ นี่ประโยชน์ที่ได้เป็นความรู้ อันนี้จะลึกซึ้งมากทีเดียวแหละถ้าหากว่ามนุษย์ในโลกทั้งหมดมันมุ่งหมายเป็นอยู่กันอย่างนี้แล้วโลกนี้จะดีกว่าเดียวนี้ คือจะไม่มีปัญหาอะไรที่จะต้องเป็นอยู่กันให้มันมากมายใหญ่โต แย่งชิงกันจนฆ่าฟันกัน จนทำสงครามกัน จนอยากจะครองโลก ที่มันอยากจะครองโลกก็เพื่อจะกินดีอยู่ดีไม่มีที่สุดสูงสุด ถ้าทุกคนสมัครเป็นอยู่อย่างต่ำชีวิต ครองชีวิตอย่างต่ำแล้วก็ทำกันอย่างสูงแล้วโลกก็จะไม่เป็นอย่างนี้ จะไม่มีวิกฤตการณ์ใดๆนะ จะสนุกสนานไปเสียอีก เดี๋ยวนี้มันมีความเจริญ ความเจริญที่เขานิยมกันนัก ถึงคุณสันติกะโรที่เป็นฝรั่งจะนั่งอยู่ที่นี่ผมก็จะพูดว่าฝรั่งนั่นแหละมันโง่ มันมุ่งหมายจะกินดีอยู่ดี จะประดิษฐ์ ประ ประ ประดิษฐกรรมอะไรต่างๆขึ้นมาให้มันดีกว่าธรรมดา ดียิ่งขึ้นไป ดียิ่งขึ้นไปแล้วมันเรียกว่าวัฒนธรรม ที่ต้องพูดอย่างนี้ก็เพราะฝรั่งเขาฉลาดนี่ ฝรั่งเขาก้าวหน้า แล้วก็อ้างเห็น อ้างเหตุผลว่าเขา เขาจะความเจริญเต็มไปด้วยวัฒนธรรม ถูกแล้วมันสวยงามยิ่งขึ้น มันสะดวกสบาย เอร็ดอร่อยสนุกสนานยิ่งขึ้น แต่แล้วมันก็สร้างปัญหาขึ้นมาเท่ากัน เท่ากันกับที่มันยิ่งขึ้น ที่มันยิ่งขึ้นๆ สร้างปัญหาขึ้นมาเท่ากัน ไอ้สิ่ง ไอ้สิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมนั้นคุณรู้จักมันไว้ให้ดีๆเลย มันตัวปัญหาแหละ ตัวปัญหาทีเดียว เพราะว่าวัฒนธรรมเดี๋ยวนี้มันเลยขอบเขตไปถึงไอ้สิ่งที่ไม่จำเป็นที่จะต้องทำเสียแล้ว สิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ แต่มัน มันสวยกว่า ดีกว่าอะไรกว่า กว่าๆทั้งนั้นแหละก็เรียกว่าวัฒนธรรมเจริญ แต่ไอ้นั่นแหละคือตัวสร้างปัญหา ฝรั่งเขาก็รู้สึกว่าถ้ามีการสงครามทำลายด้วยระเบิดปรมาณูนิวเคลียร์อะไร แล้วก็ทำลายโลกเป็นการใหญ่ แล้วก็วัฒนธรรมที่ได้สร้างขึ้นมาจะสูญหายหมดจะเสียหายหมด มันก็ถูกแล้ว มันก็ถูกแล้ว ถ้าเขาสร้างขึ้นมาเกินนี่ ทีแรกเป็นคนป่า อยู่อย่างคนป่าๆสมัยป่าเถื่อนนะสมัยยังเป็นอะไรก็ตาม barbarian หรือเป็น sumatif อะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน มันก็เพียงแต่ว่าไปหาอาหารจากป่ามากิน ต่อมามันไม่พอมันก็ต้องปลูก ปลูกฝังขึ้นมาเป็นกสิกรรม นี่มันจะเริ่มมีวัฒนธรรมแล้ว แต่ยังไม่ถึงขนาด พอรู้จักทำไถๆนา การไถนามีขึ้น อันนี้ดูเขาเอาเป็นจุดตั้งต้นของสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรม วัฒนธรรม culture เป็นคำที่ออกมาจากการรู้จักทำไถๆนา แล้วก็รู้จักทำอะไรมากขึ้นๆๆ วัฒนธรรมเริ่ม เริ่มมากจากอย่างนี้ แต่เท่าที่มันจำเป็นอย่างนั้นมันยังไม่มีปัญหาเหมือนวัฒนธรรมปัจจุบัน ไม่ต้องมีตึก ๑๒๐ ชั้น ไม่ต้องมีรถยนต์เป็นฝูงๆ ไม่ต้องมีอะไรอย่างที่มีเดี๋ยวนี้ที่เรียกว่าเจริญที่สุด เป็นอิเล็กทรอนิกส์เป็นคอมพิวเตอร์อะไรนี่ก็นี่เป็นยอดวัฒนธรรมขึ้นมาแล้ว แต่มันเรื่องไม่จำเป็น ไม่จำเป็น ไม่มีก็ได้ไม่ตาย ไอ้คนป่าสมัยนู้นนั้นคือพ่อแม่ของคนสมัยนี้มันก็ไม่มีเครื่องมือเหล่านี้ แล้วมันก็ไม่ตาย แล้วมันก็ได้เป็นพ่อเป็นแม่กันเรื่อยมาๆจนมาถึงคนสมัยนี้ซึ่งมีวัฒนธรรมมากมีวัฒนธรรมสูง ซึ่งคนป่าเหล่านั้นเขาไม่ต้องการเลย ไม่ต้องการเลย เขาไม่ต้องมีไฟฟ้าใช้อย่างนี้ เขาไม่ต้องใช้ไฟก็ได้ ถ้าเขาจะใช้ไฟเขาก็สุมไฟเข้า ไอ้รู้จักทำไต้จุดเป็นรวมๆนี้เก่งที่สุดแล้ว เป็นวัฒนธรรมทางแสงสว่างที่สุดแล้ว มันเป็นวัฒนธรรม แล้ววัฒนธรรมมันงอกขึ้นๆ งอกขึ้นจากสิ่งที่พอดีหรือจำเป็นและจนเกินจำเป็นมากขึ้นๆ แล้วมันก็มีความต้องการตรงกันพอดีของกิเลส มันก็คิดเรื่อยไปทำให้ดีขึ้น ก่อนนี้อยู่รูก็ทำรูให้ดีขึ้น แล้วก็อยู่กระท่อมทำกระท่อมให้มันดีขึ้น และอยู่บ้านทำบ้านให้มันดีขึ้นเรียกว่าวัฒนธรรมนั้นสูงสุดสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีหนังสือมีหนังหามีศาสนามีอะไรต่างๆเป็นวัฒนธรรม ที่มันน่าหัวก็คือคำว่า วัฒน นี่ถ้าเอาคำบาลีเป็นหลัก ภาษาไทยยืมคำบาลีมาใช้ วัฒน วัฒน นี่คำนี้มัน มันแปลว่ามากขึ้นแค่นั้นแหละ ไม่ได้มีความหมายว่าดีว่าวิเศษประเสริฐอะไรมีความหมายแค่ว่ามากขึ้น มากขึ้น ถ้าหญ้ามันรกขึ้นมาเขาก็เรียกว่ามันวัฒนาเหมือนกัน ผมบนหัวมันรกขึ้นมาก็เรียกว่าวัฒนาเหมือนกัน เพราะมันมีแต่ความหมายว่ามากขึ้นๆเพิ่มขึ้น เอาคำนี้มาใช้มันถูกแล้ว มันไม่ได้มีความหมายชัดลงไปว่าจำเป็นที่สุดมีประโยชน์ที่สุด มันเป็นกลางๆ แต่มันก็ถูกใจคนแหละ ถูกใจคน ถูกใจกิเลสของคน ถูกใจความโง่ของคนมันก็มากขึ้นๆ แล้วเอาคนป่าสมัยนั้นซึ่งไม่มีแม้แต่ไต้หรือตะเกียงมีแต่สุมไฟอยู่นี่ถ้ามาเห็นไอ้ไฟฟ้าอย่างนี้ก็คิดว่าพิ พิเศษ คนละโลกคนละชนิด เป็นสวรรค์เป็นเทวดาเป็นอะไรไป ถ้าเอาคนป่าสมัยนู้นมาดูไอ้การเป็นอยู่ของคนสมัยนี้มันก็เรียกว่าเป็น เป็นอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จะเรียกเป็นสวรรค์เป็นแล้วแต่มันจะเรียกแหละมันก็จะเรียกออกมาอย่างหนึ่งเสมอ ทีนี้เราก็คิดดูว่าอย่าให้มันเกินมันก็จะไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้มันเกินมันก็มีปัญหา ที่มันจะมีประโยชน์อยู่บ้างก็เรื่องวัฒนธรรมทางหยูกยาทางอนามัยนี่เป็นวัฒนธรรมที่จะไม่เกิน แต่มันก็เกิน เดี๋ยวนี้มันก็ได้เกินแล้ว วัฒนธรรมทางหยูกยานี่มันก็เกินแล้ว เกินจำเป็นเกินพอดีจนกลายเป็นเพื่อสวยงาม จนกลายเป็นเพื่อส่งเสริมกามารมณ์ส่งเสริมอะไรไป ไอ้เรื่องไอ้หยูกยา เรื่องการบำบัดโรคอนามัยนี่มันเกิน นั่นวัฒนธรรมมันเกินน้อยกว่าพวกอื่น ส่วนเรื่องกินเรื่องอยู่ เรื่องนุ่งเรื่องห่ม เรื่องเล่นเรื่องหัว เรื่องใช้ไม้สอยนี่มันเกินๆ เกินๆ จนเดี๋ยวนี้ก็คำนวณดูเองเถอะมันมีรถยนต์กี่ล้านคันแล้วในโลกที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เมื่อก่อนนี้มันไม่ได้มีมันก็อยู่ได้ แล้วมันก็เป็นพ่อเป็นแม่ของคนเดี๋ยวนี้นั่นแหละ ทำไมมันอยู่ได้ทำไมมันไม่ตาย วัฒนธรรมนี้มันไม่ได้พิสูจน์ว่าจำเป็น จำเป็น มันเพียงแต่ทำให้มันเกิน ผมก็รู้สึกอยู่เสมอเลยว่ามัน มันเกิน แล้วขนบธรรมเนียมประเพณีมันนิยมกันแล้วมันก็ทำให้เกินโดยไม่รู้สึกตัว นี่เราก็ไม่ต้องการจะมีสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ต้องการจะมี แต่ก็โดยวัฒนธรรมมันก็มีมาเอามาให้ แล้วมันเกิดแล้วมันเป็นเรื่องบ้าทั้งนั้นนี่ นี่ผมจะพูดด้วยความรู้สึกจริงใจมันก็เรื่องบ้าทั้งนั้นมันไม่ต้องมีสิ่งเหล่านี้ แต่แล้วมันก็มี แต่แล้วมันก็ได้มีตามประเพณีหรือจะเรียกว่าวัฒนธรรมก็ได้ สิ่งเหล่านี้เอาไปทิ้งเสียให้หมดก็ได้ แล้วไม่ตรงตามพุทธประสงค์ด้วย พระพุทธประ เจ้าไม่ต้องการให้ทำกับท่านอย่างนี้หรอก แต่แล้วว่าวัฒนธรรมบ้าๆนี่มันได้เกิดขึ้นในโลก นี่ยกตัวอย่างที่นี่นิดเดียว ที่อื่นๆก็ทั่วไปหมดแหละที่มนุษย์มันจะต้องทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ มันอาจจะเป็นของแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ส่งเสริมความรู้สึกเกินความพอดีก็เรียกว่าวัฒนธรรม เครื่องถ้วยเครื่องชามรามไห เครื่องลายคราม เครื่องเบญจรงค์ เครื่องอะไรต่างๆก็เรียกว่าวัฒนธรรม ซึ่งมันไม่ๆ ไม่ๆ ไม่ได้จำเป็นแก่ชีวิต ใช้กะโหลกกะลาก็ได้หรือถ้าไม่กะโหลกกะลาก็ถ้วยชามธรรมดาก็ได้ ไม่ต้องทำให้ประณีตวิเศษจนชิ้นเดียวราคาตั้งหมื่นตั้งแสน ถ้วยชามกระเบื้องลายครามอะไรเหล่านี้ชิ้นเดียวตั้งแสน มันก็บ้าแสนหนึ่งแล้ว นี่เรียกว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมนั่นคุณบวชแล้วคุณเป็นอยู่อย่างต่ำสิคุณจะรู้ว่าไอ้วัฒนธรรมเป็นเรื่องบ้า นี่บวชแล้วอย่างนี้ขอให้เป็นอยู่ได้อย่างต่ำเถอะ เขาเอาถ้วยราคาแสนมาให้นี่ขว้างหน้ามันเลย นั่นแหละจึงจะถูกกับคำว่าวัฒนธรรม แต่เราก็ไม่ได้ทำใช่ไหมเราก็ทำไม่ได้ แล้วบางทีเราก็ปล่อยให้เขาวางไว้ทิ้งไว้รกๆไปหมดเลยรกไปหมด จนผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่เหมือนกัน จะบ้าไปคนเดียวก็มันก็ทำไม่ถูก มันก็รกไปด้วยของที่ไม่จำเป็นที่เขาเอามาวางไว้ให้ มาวางไว้ให้ สิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ไม่เกื้อกูลแก่การศึกษา ไม่ตรงตามพระพุทธประสงค์ ผมเขียนไว้บทหนึ่งว่ายิ่งมาจัดอะไรที่หน้าที่บูชาอย่างนี้เท่าไรยิ่ง ยิ่งทำให้เป็นไสยศาสตร์เท่านั้นแหละ คล้ายๆกับว่าพระ พระพุทธเจ้าเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องการอยู่ที่นี่ ต้องการของอะไรอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ใครมาจัดมาทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันกลายเป็นเรื่องไสยศาสตร์ไปไม่ใช่พุทธศาสตร์ มีแต่พระพุทธรูปองค์เดียวก็พอ ไม่ต้องมีไอ้สิ่งเหล่านี้ ถ้าเก่งจริงพระพุทธรูปไม่ต้องมีก็ได้ นั่นแหละคือ คือถูกต้องที่สุด นี่มันเป็นของเกิดทีหลังแล้วก็มีเกิน มีมากขึ้นจนเกิน จน แต่แล้วมันก็เป็นประเพณีมันก็เลยมีทำกันมา นี่ถ้าเรามารู้จักการเป็นอยู่อย่างต่ำ เป็นอยู่อย่างต่ำอย่างที่เราต้องการให้คุณเป็นอยู่ในสวนโมกข์อย่างชีวิตต่ำๆ คุณจะรู้ จะรู้สึกได้เองว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมนั่นมันเป็นเรื่องเกิน แล้วมันก็เกินๆ เกินๆจนเป็นเหมือนกับบ้า สร้างปัญหายุ่งยากมากมายขึ้นมา อย่างที่สมัยใหม่อย่างที่เขาอยู่กันอย่างสมัยใหม่ต้องมีนั่นต้องมีนี่ ต้องมีตึกหลังเดียวไม่พอต้องหลายหลัง ต้องมีรถยนต์คันเดียวไม่พอต้องหลายคัน ในบ้านในเรือนต้องมีตู้เย็นตู้เดียวไม่พอต้องหลายตู้ อะไรมันก็แล้วแต่เถอะมันก็เกินๆยิ่งกว่าเกินแล้วเขาก็เรียกว่าวัฒนธรรม คนโง่ยิ่งหลงว่าวัฒนธรรม คนฉลาดเท่านั้นแหละที่จะค่อยๆรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เกิน แต่เดี๋ยวนี้เราตามก้นฝรั่งเว้ย, ตามก้นฝรั่ง ฝรั่งมันนำหน้าในทางเกิน ในทางเกินให้ดูให้เห็น สะดวกสบายวิเศษสวยงามอะไรยิ่งขึ้นไอ้คนไทยมันก็โง่ไปตามก้น ไม่แต่คนไทยหรอกชาติอื่นก็เหมือนกันแหละ ชาติเล็กทั้งหลายชาติล้าหลังทั้งหลายก็ตามก้น เดี๋ยวนี้เขาสร้างตึก ๑๒๐ ชั้น สูง ๓ เส้นเห็นในข่าว ไอ้ตึกอันก่อนไอ้เอ็มไพร์สเตท Empire State นั้นเป็นลูกเด็ก เด็กๆไป นี่มันสร้างใหญ่ ใหญ่กว่านั้นมาก นั่นแหละวัฒนธรรมมันเกินหรือไม่เกิน จะพูดโดยตรงว่า เรื่องหยูกยา เรื่องให้มีชีวิตรอดนี่ถ้ามันเกินมันก็ลำบากเหมือนกัน ต้องอยู่กันอย่างลำบากต้องอยู่กันอย่างประคบประหงม เช่นทารกที่ไม่ควรจะอยู่ควรจะตายเสียนี่มันก็ช่วยให้ไม่ ให้ไม่ตาย แล้วก็เป็นภาระหนักเพิ่มขึ้นๆ มากขึ้นๆ นี่มัน มันผิดหลักธรรมชาติที่ธรรมชาติมันไม่ต้องการให้ๆ ให้อยู่หมด เกิดมากี่คนมัน มันจะไม่ได้ต้องการให้อยู่หมด มันต้องการให้อยู่เท่าที่ควรจะอยู่นอกนั้นควรจะตาย แต่เดี๋ยวนี้ไอ้ความก้าวหน้าทางหยูกยาวัฒนธรรมทางหยูกยารู้สึกว่ามันๆ มันเจริญมันเอาไว้ได้อย่างคนพิการ นี่คนพิการก็มากขึ้นๆเป็นปัญหา จะเรียกว่าดีหรือร้ายก็ตามใจ ก็ดูเอาเองว่ามันๆ มันทำให้ยุ่งยากหรือทำให้มันสงบ คนในโลกมากขึ้นโดยคนที่ไม่ควรจะรอดชีวิตอยู่มันก็รอดชีวิตอยู่ได้นี่จะเรียกว่าดีหรือไม่ดีอย่างไรก็ดูเอาเอง แต่ผมรู้สึกว่ามันเกินกว่าที่ธรรมชาติมันต้องการ มันเกินกว่าที่ธรรมชาติมันต้องการ เอาละนี่พูดในข้อแรกนะว่าขอให้เป็นอยู่อย่างต่ำที่สุดเถอะ อะไรๆได้ ที่โยมให้ทำกันอย่างไรล้วนแต่เป็นบทเรียนทั้งนั้นแหละ ขนบธรรมเนียมอะไรที่ผมวางไว้ให้ทำนี่เป็นบทเรียนทั้งนั้น ขอให้ถือเอาเป็นบทเรียนการเป็นอยู่ให้ต่ำ แล้วให้มีการกระทำที่มันสูง เพียงแต่ไม่มีถ่านไฟฉายใช้อย่าร้อนใจ ไม่ต้องใช้ก็ได้ ไม่ต้องไปรบกวนขอสตางค์ซื้อถ่านไฟฉายหรอก อยู่อย่างไม่มีถ่านไฟฉายดูบ้าง หรืออะไรๆก็ ก็ต้องเหมือนกันแหละอยู่อย่างที่มันไม่ต้องมีอะไรที่ ขออภัยนะที่คนโง่มันคิดว่าจะต้องมี อย่าๆ อย่ามี ที่คนที่มีสติปัญญาพอดีๆรู้สึกว่าควรจะต้องมีก็มี ไม่ว่าเรื่องกินก็ดี เรื่องนุ่งห่มก็ดี เรื่องเครื่องใช้ไม้สอยก็ดี เรื่องบริหารอะไรก็ดีให้มัน มันต่ำไว้ได้เท่าไรก็จงเอาเท่านั้น ขอให้ได้ประพฤติกระทำระหว่างที่บวชอยู่นี้ให้ ให้เห็นผลให้รู้จักผลว่าโอ้, มันต่ำได้ถึงเท่านั้นนะ ไม่ตายอยู่ได้ ทำอะไรก็ได้แล้วก็ฉลาดได้ เป็นการต่อสู้อย่างเก่งทีเดียวที่อยู่ได้อย่างต่ำ เพราะว่าพอเราเกิดมามัน มันถูกกระตุ้นให้อยู่สูงนี่ พ่อแม่ให้กินดีให้อยู่ดี ให้เล่นให้หัวดี ให้เข้าเรียนดีอะไรดีสูงๆ สูงๆขึ้นไปทั้งนั้น แต่มันสวนทางกับว่าจะอยู่อย่างต่ำเท่าที่จะต่ำได้เพื่อจะรู้ความจริงว่ามนุษย์นั่นมันอยู่ได้ต่ำเท่าไร มันอยู่ได้ต่ำเท่าไร กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู นอนกุฏิเล้าหมู ฟังยุงร้องเพลงนี่มันอยู่ได้ไหม มันอยู่ได้ไหม ถ้ามันอยู่ได้มันก็ไม่เป็นปัญหาอะไร นี่เป็นข้อ ๑ แหละ ข้อที่ ๑ ว่าขอให้เป็นอยู่อย่างต่ำเถิด มีอีกหลายข้อแหละผมก็จะพูดได้ทีละข้อตามที่จะเอามาพูด ที่สมควรจะเอามาพูด
ข้อถัดไปเป็นข้อที่ ๒ ก็อยากจะพูดว่าเป็นอยู่อย่างบังคับตัวเอง บังคับตัวเอง เราเกิดมาจากท้องบิดามารดาไม่มีการบังคับตัวเองเพราะเราไม่รู้จัก และบิดามารดาก็ไม่ค่อยได้สอนหรอกมักจะช่วยส่งเสริม ช่วยส่งเสริมให้ได้ตามที่เราต้องการ ไม่บังคับตัวเองให้ลูกมีความสุขมีความสบาย มีหน้ามีตาอะไร การบังคับตัวเองมันสอนกันน้อยมาก สอนเฉพาะที่มันเป็นอันตรายแรงร้าย ไม่บังคับตัวเองแล้วเป็นอันธพาลอย่างนั้นเขาก็ต้องสอนแน่นอน แต่การบังคับกิเลสในภายในนี้เขาไม่ได้สอน ไม่รู้เรื่อง เราไม่มีการบังคับตัวเอง เราอยากจะขี้เกียจเราก็ขี้เกียจได้ แต่ถ้ามันเกินไปเขาก็ตีเอาเหมือนกัน ฉะนั้นเราก็จะมีความรู้จักบังคับตัวเองตามที่สมควร ที่แล้วมาเราไม่มีหลัก ไม่มีหลักในการบังคับตัวเอง ถ้าใครมาบังคับเราๆก็โกรธเอาด้วย ทีนี้เราจะมีการบังคับตัวเองให้มันอยู่ในระเบียบหรือความถูกต้อง ระเบียบก็เพื่อความถูกต้อง ถ้ามีความถูกต้องก็หมายความว่ามันมีระเบียบ ทีนี้ความถูกต้องก็คือประโยชน์ ไม่มีโทษเลย ขอให้มีการบังคับตัวเองที่ละเอียดลึกซึ้งในภายในก็บังคับกิเลสนั่นแหละ บังคับกิเลสนั่นแหละคือการบังคับตัวเอง แล้วก็ออกมาถึงการบังคับการกระทำภายนอกทำตามอำนาจของกิเลส กระทั่งมาตามความรู้สึกตามธรรมชาติซึ่งมันโง่เกินไปอะไรเกินไปก็ล้วนแต่ต้องบังคับทั้งนั้นแหละ บังคับตัวเองคือบังคับกิเลสให้ช่วยเขียนหรือจดจำให้มันแม่นยำ บังคับตัวเองคือบังคับกิเลส กิเลสนั้นมันเลวร้ายไปเสียทุกอย่าง มันทำให้เกิดปัญหาให้เกิดความทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุดนั่นแหละคือกิเลส เราอยากในที่ไม่ควรอยาก ทรมานใจเหมือนกับนอนอยู่ในกองไฟ โกรธเมื่อไม่ได้อย่างใจก็เหมือนกับเอาไฟเผาตัวเอง โง่หลงอยู่ในสิ่งที่ไม่ควรจะโง่หลงอยู่มันก็ทรมานตัวเอง นี่เรียกว่ากิเลสซึ่งเราไม่เคยรู้จัก ถ้าไม่รู้จักแล้วก็จะบังคับมันได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ที่เรามีอยู่นี่ บวชอยู่แม้ตามเดือนนี่รีบรู้จักกิเลสกันเสียให้ดี กระทั่งที่มันไอ้กิเลสยังไม่ถึงขนาด กิเลสสำรองเช่นนิวรณ์ นิวรณ์ทั้ง ๕ ถ้าเริ่มเรียนนักธรรมกันแล้วก็คงจะได้ยินคำว่านิวรณ์ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา นี่กิเลสที่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยเจตนา เป็นกิเลสที่ผลักดันออกมาจากไอ้ความเคยชินที่มีอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของสันดานมาเป็นนิวรณ์ ถ้ามันได้เหตุปัจจัยภายนอกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็มีความรู้สึกเข้มข้นกว่านิวรณ์นั้นมาเป็นความต้องการ ความไม่ชอบ ความรัก ความ เข้มข้นขึ้นมาเป็นกิเลส มีหลายระดับแหละ รู้จักเถอะว่าสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วหวั่นไหวกระตุ้นกระเพื่อม เขาโดนทิ่มแทงเสียบตำครอบงำ คลุมห่อ ความรู้สึกเหล่านี้เป็นกิเลสทั้งนั้น เราไม่เคยสนใจกับมันเราก็ไม่เคยรู้จักมันเราก็ไม่เคยบังคับมัน ทีนี้ถ้าว่าเราจะบวชจริงกันจริงๆ เป็นลูกพระตถาคตกันจริงๆก็จะต้องรู้จักและก็ไม่ยอมให้มันเล่นงานเรา ถ้ากิเลสมันเล่นงานเราย่ำแย่อยู่เรื่อยไปเราก็หมดความเป็นลูกตถาคต หมดความเป็นบุตรตถาคต เราศึกษามีความรู้ความเข้าใจกิเลสเป็นอย่างไร ป้องกันอย่างไร ละเสียอย่างไร ควบคุมอย่างไรให้ ไม่ให้มันเกิดขึ้น ให้มัน ไม่ให้มันปรากฏ ให้มีชีวิตอยู่อย่างปราศจากกิเลสนั่นแหละจะเป็นลูกตถาคต บวชจริงเรียนจริงปฏิบัติจริงและเป็นลูกตถาคต ดังนั้นรีบสนใจทำ อย่าให้กิเลสเล่นงานเราย่ำแย่ไปหมด ให้เราควบคุมกิเลส ให้เรามีสติสัมปชัญญะควบคุมกิเลส มันก็เลยสรุปรวมเป็นข้อปฏิบัติข้อหนึ่งว่ามีการบังคับตัว บังคับตัวก็คือบังคับกิเลส บังคับตัวคือบังคับกิเลส ที่จริงตัวนั้นมันไม่มีแต่มันรู้สึกขึ้นมาในความโง่ว่ามันมี มีตัว ตัวกูต้องการอย่างนี้ ตัวกูต้องการอร่อย ตัวกูไม่ชอบตัวกูชอบ ตัวกูรักตัวกูโกรธ ตัวกูเกลียดตัวกูกลัวตัวกูอะไรต่างๆ ตามธรรมชาติแท้ๆมันมีแต่ร่างกายกับจิตใจมี ๒ อย่าง นามรูป มี ๒ อย่าง ทีนี้ไอ้ส่วนใจนั่นแหละมันได้รับการแวดล้อมผิดอบรบผิด ไอ้ๆ ไอ้ความโง่นั่นมันครอบงำจิตใจจนทำให้จิตใจเกิดความรู้สึกมีตัวกู ตัวกูเป็นสิ่งที่ ๓ ขึ้นมา อันนี้เป็นผี อันนี้เป็นมายาหรือเป็นผีที่ไม่ได้มีอยู่จริงเกิดเป็นสิ่งที่ ๓ ขึ้นมาเพราะมันมาจากความโง่มันก็ได้ทำอะไรไปตามโง่ๆเพื่อยึดมั่นถือมั่นแล้วก็เกิดกิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง ต้องจัดบังคับตัวนั้นแหละ ต้องจัดการกับตัวนั้นแหละให้มัน อย่าให้มันอาละวาดขึ้นมา ให้มันถอยกำลังจนกระทั่งในที่สุดสูงสุดแท้จริงมันก็หมดไป ขับไล่หมดออกไป คือไม่มีอวิชชาใดๆมานั่นอีกแล้ว ตัวกูก็ไม่เกิดขึ้นมาได้ มันก็ยังเหลือแต่ไอ้ร่างกายกับจิตใจล้วนๆเหมือนเดิมอีกแหละ เราตั้งต้นขึ้นมาด้วยร่างกายและจิตใจล้วนๆ เกิดมาจากท้องแม่แต่แล้วเมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันทำงานด้วยความโง่ เกิดความรักความพอใจความอะไรขึ้นมามันมีตัวกูๆตัวกูเต็มไปหมด มันได้เป็นสามๆ สามส่วนคือกายกับใจที่มีกิเลสมีความโง่ว่าตัวกู ประพฤติพรหมจรรย์ก็เพื่อทำลายตัวนี้ ทำลายตัวนี้หมดไปไม่มีอีกมันก็เหลือแต่กายกับใจล้วนๆก็เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์นะ เด็กในท้องมีแต่กายกับใจไม่มีกิเลสประเภทใดแต่ยังไม่เป็นพระอรหันต์เพราะว่ามันยังจะเกิดกิ ตัวกูกิเลสอยู่ได้ แต่นี่มันเกิดมาแล้วเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีกิเลสแล้ว มีกิเลสสมบูรณ์แล้ว กำจัดกิเลสสูญหายไปแล้ว กิเลสไม่กลับเกิดได้อีก มันก็กลับไปมีกายและใจล้วนๆอีก แต่มันต่างกันกับทีแรก คือเดี๋ยวนี้มันเกิดอีกไม่ได้ มันเป็นไอ้กายกับใจที่ได้รับการฝึกฝนดีแล้วด้วยการประพฤติพรหมจรรย์เกิดกิเลสอีกไม่ได้ นี่เป็นพระอรหันต์ แต่เขาก็ชอบเปรียบ คำเปรียบว่าให้ประ ประพฤติพรหมจรรย์ให้มีจิตใจเหมือนกับทารกในครรภ์บิ มารดา คือยังไม่มีกิเลส จิตยังเกลี้ยงจิตยังว่าง แต่มันไม่ใช่เกลี้ยงว่างที่มั่นคงถาวรอะไร มันจะเกิดกิเลสได้ จึงเอาเป็นหลักไปได้ ดังนั้นเขาจึงใช้คำว่าประภัสสร ความไม่มีกิเลสทำนองนั้นเรียกว่าประภัสสร ไม่ใช้ ไม่ได้ใช้คำว่าบริสุทธิ์หรอก ดูเหมือนกิเลสมันอาจจะเกิดได้อยู่ต่อเมื่อประพฤติพรหมจรรย์จนประภัสสรนั้นเป็นประภัสสรถาวร เปลี่ยนไม่ได้อีก อย่างนี้ก็เลิก ก็เลิกเกิดกิเลสได้ ประภัสสรถาวรเสียแล้ว ทีแรกประภัสสรที่อ่อนแอไม่ๆ ไม่ๆ ไม่ๆคงที่ เกิดกิเลสได้นั่นประภัสสรตามธรรมดา ไม่เกิดกิเลสก็เรียกว่าประภัสสรนะ แต่ว่าถ้าว่าไม่เกิดกิเลสแต่อยู่ในสภาพที่อาจจะเกิดกิเลสยังไม่เป็นพระอรหันต์ จิตประภัสสรของพระอรหันต์มันฝึกดีแล้ว มันกลับเป็นไอ้เศร้าหมองไม่ได้ ประภัสสรถาวร ประภัสสรอนันตกาล ประภัสสรเป็นอสังขตะไม่มีอะไรมาปรุงแต่งได้นี่
นี่ธรรมชาติของกิเลสเรื่องของกิเลสมันมีอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องของใหม่ ไม่ใช่ของเก่าติดมาแต่ไหนมันเพิ่งจะค่อยๆนั่นขึ้นมาเมื่อเกิดมาแล้ว แต่เขาก็สอนกันว่าติดมาแต่ชาติก่อนก็มีก็ตามใจเขา เราไม่ไปทะเลาะกับเขา ไม่ไปคัดค้านกับเขา เอาตามที่เป็นจริงเท่าที่จะควรรู้สึก เท่าที่ควรจะจัดการนี่ถือว่ากิเลสนี่มันเพิ่งเกิด เมื่อเราคลอดมาจากท้องแม่แล้วตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันเริ่มทำงานตามหน้าที่ของมันแล้ว อวัยวะทุกส่วนเติบโตเจริญถึงกับรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ได้จนเกิดรู้สึกชอบไม่ชอบได้ รู้สึกอร่อยไม่อร่อยได้ รู้สึกไพเราะไม่ไพเราะได้ รู้สึกเป็นคู่ๆนะ แล้วมันก็บังคับไว้ไม่ได้มันก็อยากในส่วนที่อร่อยที่พอใจ มันก็เกลียดไอ้ที่ไม่อร่อยไม่พอใจที่ไม่น่ารักแหละ ก็หลงที่น่ารัก ไม่หลงที่น่ารักก็เกิดเป็นคู่ เป็นกิเลสนานาชนิดจนเป็นนิสัยสันดานยากที่จะควบคุมได้ การบวชก็ต้องการจะให้รู้จักเรื่องนี้ควบคุมเรื่องนี้ ไม่ตามใจกิเลส แต่จะป้องกันกิเลส บังคับกิเลส ควบคุมกิเลส ละกิเลสให้มีลักษณะที่ว่าไม่อาจจะเกิดขึ้นมาได้อีกต่อไป ระเบียบใดๆที่ได้วางไว้ปฏิบัตินั้นเป็นบทเรียน เป็นบทเรียน เป็นบทเรียนที่ต้องทำ เช่นว่าชวนกันตื่นแต่ตี ๔ ลุกขึ้นมาไหว้พระสวดมนต์อย่างนี้ มันก็เรื่องบังคับกิเลสหรือบังคับตัวเองแต่ว่าอย่างเดียวกัน ถ้าปล่อยตามความเคยชินหรือความสบายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วมันก็อยากจะนอน ไม่ๆ ไม่อาจจะลุกขึ้นตี ๔ มาไหว้พระสวดมนต์ แต่ถ้าบังคับทำให้ได้นี่ไม่ยอมทำให้ได้มันก็เป็นการบังคับกิเลส ก็เลย ก็เปลี่ยนไปเป็นการบังคับกิเลส หรือว่าเราจะต้องทำอย่างนั้นจะต้องทำอย่างนี้ อยู่ที่บ้านชอบฟังเพลงวิทยุ ถ้าบวชแล้วมันยังอยากฟังอีกมันก็ต้องบังคับแหละมันจึงจะเป็นการบังคับกิเลสว่าที่จริงไม่ ไม่ควรจะมีวิทยุดีกว่า ผู้บวช ๓ เดือนไม่ควรจะมีดีกว่า แล้วจะมีเพื่อการศึกษาอย่างอื่นนั้นก็ได้ แต่ถ้าจะมีเพื่อฟัง ฟังเพลงอย่างที่เคยฟังมาแต่กาลก่อนแล้วก็วินาศหมด มันเป็นวินาศเลยมันไม่มีผลที่จะเป็นการบังคับตัวเองอย่างไร มันก็ไม่ได้ผล นี่ยกตัวอย่างที่มันเห็นอยู่ง่ายๆ ที่แล้วมามันก็ยังมีคนเป็นขโมยสูบบุหรี่ เพราะเขาไม่สูบกันนี่ ตัวเองจะสูบก็ต้องปิดบังต้องซ่อนเร้นต้องขโมยเลยเป็นขโมยไปสูบบุหรี่ ก็มีเรื่องนิดเดียวคือมันบังคับไม่ได้ บังคับตัวเองไม่ได้ บังคับไม่ให้แพ้ พ่ายแพ้แก่บุหรี่ บังคับไม่ได้ ถ้าบังคับได้มันก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าบังคับไม่ได้มันก็จะต้องเป็นขโมยอย่างว่า ต้องขโมยสูบบุหรี่ ถ้ามันมากไปกว่านั้นอีกก็จะต้องกินอาหารเย็นกินข้าวเย็น กินอาหารเย็นกินข้าวเย็นเพราะมันบังคับไม่ได้ นี่เรียกว่ามันเป็นชั้นๆ ชั้นๆไปเลยของการที่ว่าบังคับไม่ได้ แล้วมันก็จะเสียหมดแหละ วินัยทั้งหลายมันก็ทำไม่ได้ ทำไม่ได้ บังคับไว้ไม่ได้ ควบคุมไม่ได้เรื่อยไปๆ เรื่อยไปจนเป็นวินัยใหญ่ๆโตๆ สำคัญๆเสียหายหมดแหละเพราะมัน เพราะว่าบังคับตัวเองไม่ได้ การไม่บังคับตัวเองนั้นมันเป็นโรคติดมาในสันดานตั้งแต่อ้อนแต่ออก ไม่มีใครมาบังคับเรา มีแต่คนช่วยส่งเสริมให้เราไม่บังคับเรา ให้เราสบายที่สุด สนุกสนานที่สุด เอร็ดอร่อยที่สุด แล้วเราก็เรียกร้องเอาด้วยเพื่อจะไม่ให้มีใครมาบังคับ เว้นไว้แต่เรื่องที่มันจะเสียหายเรื่องจะถูกตีบ้าง แต่เรื่องที่ไม่ต้องมีใครบังคับที่เราจะต้องบังคับตัวเองมันมากมายเหลือเกินคือกิเลสนั่น ถ้าเราไม่บังคับกิเลสเราก็ไม่มีลักษณะที่ถูกต้องที่ว่าเป็นมนุษย์ๆ เพราะคำว่ามนุษย์มันจะมีจิตใจอย่างมนุษย์คือจิตใจสูง พอไม่บังคับกิเลสจิตใจมันก็ต่ำ เมื่อจิตใจมันก็ต่ำมันก็ไม่ควรจะเรียกว่ามนุษย์แหละ เรียกว่าคนตามธรรมดา เพื่อเป็นมนุษย์ให้ได้ก็ต้องทำใจให้สูง ถ้าจะทำใจให้สูงมันก็ต้องบังคับทุกอย่างที่เกี่ยวกับจิต ที่เกี่ยวกับจิตใจ จิตใจเอง จิตใจมันเป็นไปตามสิ่งที่แวดล้อม เข้ามาแวดล้อม เราก็ควบคุมสิ่งที่แวดล้อม นี่คือกลอุบายในการที่จะบังคับตัวเอง นี่เป็นข้อที่จะต้องมองให้เห็นและสมัครใจนะ แล้วยินดีที่สุดที่จะปฏิบัติทุกอย่างที่เป็นการบังคับตัวเอง คุณก็จะได้เรียนธรรมะมากขึ้นๆว่าไม่ ไม่ทำอะไรบ้าง เรื่องศีล สมาธิ ปัญญามีอะไรบ้าง เรื่องศีลมีอะไรบ้าง เรื่องอริยมรรคว่ามีองค์ ๘ มีอะไรบ้าง เราจะไม่พูดหยาบคาย เราจะไม่พูดส่อเสียด จะไม่พูดเท็จ จะไม่พูดเพ้อเจ้อ เหล่านี้ล้วนแต่ต้องบังคับทั้งนั้น ไม่กระทำสิ่งที่เป็นการประทุษร้ายสิ่งแวดล้อม ประทุษร้ายชีวิตร่างกายผู้อื่น ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติผู้อื่น ประทุษร้ายของรักของใคร่ของผู้อื่น ไม่ประทุษร้ายความถูกต้องของผู้อื่น ไม่ประทุษร้ายสติสมปฤดีของตนเอง เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องบังคับทั้งนั้น ศีลที่เป็นปาติโมกข์ว่ามี ๒๒๗ ข้อทุกข้อล้วนแต่ต้องอาศัยการบังคับตัวเอง แล้วมันยังมีนอกปาติโมกข์อีกเท่าไรก็ไม่รู้ก็ทุกข้อนั้นแหละก็ล้วนแต่ต้องอาศัยการบังคับตัวเอง ฉะนั้นศีลมันจะมีอยู่ได้ก็เพราะการบังคับตัวเอง สมาธิยิ่งเป็นการบังคับโดยตรง มีระเบียบแบบฉบับสำหรับบังคับลงไปตรงๆ นั่นเป็นการบังคับจิตคือเป็นการบังคับตัวเองอยู่ได้ ทีนี้ปัญญามันก็จะต้องมีการกระทำหลังจากสมาธิ ก็ตัดรากเหง้าของสิ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายผิดพลาดในเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง ตัดต้นเหตุหรือรากเหง้าของความเห็นแก่ตน ความเห็นแก่ตน นี่เป็นเรื่องของปัญญา มันก็มีการบังคับตัวเองอย่างลึกซึ้งอย่างอัตโนมัติ อย่างลึกซึ้ง ไม่ ไม่หนีไปจากการบังคับตัวเอง เพราะว่าถ้ามีปัญญาบังคับ ตัดความเห็นแก่ตัวเสียได้มันก็เกิดบังคับตัวเองให้ถูกต้องโดยอัตโนมัติแหละ โดยอัตโนมัติ ดังนั้นเราจะต้องมองเห็นชัดเจนว่า ทีเดียวตลอดว่าพรหมจรรย์ทั้งหมดทั้งสิ้นคือการบังคับตัวเอง พรหมจรรย์คือการประพฤติปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ทั้งหมดทั้งสิ้นคือการบังคับตัวเอง แต่มักจะพูดกันแต่เรื่องศีล บังคับตัวเอง ไม่มองให้ดีว่าบังคับตัวเองชั้นลึกเข้าไปคือจิต สมาธิ ตัดรากเหง้าแห่งสิ่งที่ทำให้ผิดพลาดในตัวเองคือปัญญา ตัดความเห็นแก่ตนเสียมันก็ มันก็ไม่ ไม่ ก็ไม่มา มามีปัญหาที่จะต้องต่อสู้กับตนเองหรือบังคับตนเอง เป็นการชนะตนเองโดยไม่ต้องบังคับอีกต่อไป
นี่ผมก็คิดจะพูดนะตั้งแต่แรกๆ แรกเข้าพรรษาหรือแรกบวช แต่โอกาสมันไม่อำนวย ฝนตกเสียบ้าง นั่นนี่เสียบ้าง เพิ่งจะได้มาพูดกันวันนี้เป็นครั้งแรกก็ขอให้ฟังให้ดีๆ ให้เข้าใจดีๆ ให้ได้รับประโยชน์จากการที่เข้ามาบวช ให้ตัวเองได้ ให้ญาติทั้งหลายได้ ให้เพื่อนมนุษย์ในโลกได้ ให้ศาสนาได้ ซึ่งจะได้พูดกันเป็นลำดับๆไป วันนี้ก็พูดแต่เพียง ๒ ข้อก่อนคือพูดการเป็นอยู่อย่างต่ำๆ เป็นอยู่อย่างต่ำสมกับเป็นบรรพชิต นี่เป็นข้อที่ ๑ ข้อที่ ๒ บังคับตัวเองให้อยู่ในความถูกต้อง อย่าปล่อยให้มันมีการหละหลวมเป็นโอกาสแก่กิเลส เขาจะสอนกันละเอียดถึงขนาดว่าตื่นนอนเช้าตื่นแต่ตี ๓ ตี ๔ อะไรก็ตามอย่านอนแช่ อย่านอนแช่ ถ้านอนแช่อยู่จะเป็นโอกาสแก่กิเลส ลุกขึ้นมาทำอะไรเสีย ทำอะไรเสียก็ได้ ถ้ามาสวดมนต์ไหว้พระเสียได้มันก็ๆ ก็ยิ่งดี แต่ถ้าไม่ได้มาไหว้พระสวดมนต์ก็ต้องทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอย่านอนแช่ ถ้านอนแช่จะเป็นโอกาสแก่กิเลส อย่างนี้ก็เป็นการบังคับตัวเอง ซึ่งเป็นบทเบื้องต้นที่สุดของภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ เอาแหละช่วยจำไว้ให้แม่นยำมั่นคงว่าเราได้พูดกัน ๒ เรื่อง เรื่องเป็นอยู่อย่างต่ำ เป็นชีวิตอย่างต่ำแต่ทำอย่างสูงเป็นอย่างไร แล้วก็เรื่องบังคับตัวเองคือบังคับกิเลสบังคับได้อย่างไร กี่ขั้นกี่ตอน ๒ เรื่องก็พอ เพราะว่าพูดทุกเรื่องมันพูดไม่ได้หรอกแล้วมันก็ ก็ลืมหมดแหละ แล้วคนพูดก็พูดไม่ไหวหรอก พูดเพียง ๒ เรื่องแต่มีรายละเอียดมากมายประกอบ เรื่องประกอบก็พูดหลาย อีกหลายๆเรื่อง แต่เรื่องหัวใจของเรื่องก็คือว่าอยู่ให้ต่ำ แล้วก็บังคับตัวเอง หวังว่าทุกคนจะเอาไปคิดนึกใคร่ครวญสอบสวนให้เห็นกระจ่างแจ่มชัด พอใจที่จะปฏิบัติ แล้วก็ปฏิบัติให้เกิดความก้าวหน้าในการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง เป็นตัวอย่างที่ดีจริง สืบสอนว่ากันไปจริงๆขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้