แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษาและครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีเป็นสิ่งแรก ยินดีในการมาของท่านทั้งหลายและในลักษณะอย่างนี้ คือเพื่อการศึกษาหาความรู้ที่ควรแก่ความเป็นมนุษย์ เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นมนุษย์ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป และขอแสดงความยินดีที่ได้มานั่งในลักษณะอย่างนี้ คือ นั่งกลางดิน จะขอร้องให้มีความรู้สึกลึก ๆ ถึงเรื่องนี้ทุกครั้งไปว่า ไม่ได้นั่งกลางดินแล้วจะได้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนลางดิน อยู่กลางดิน นิพพานกลางดิน จะเป็นพุทธานุสสติอย่างยิ่ง และก็จะมีจิตใจเหมาะสมที่จะฟังด้วย เคยนั่งกันแต่ในอาคาหรูหราสวยงามราคาแสนราคาล้าน เดี๋ยวนี้มานั่งกลางดินซึ่งใคร ๆ ก็ต้องถือว่าไม่มีการตีราคา แต่ถ้าสำหรับพวกเราพุทธบริษัทมีการตีราคามากกว่าอาคารเรือนแสนเรือนล้านเหล่านั้น เพราะว่ากลางดินนี้เป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ สอน อยู่ และนิพพานของพระพุทธเจ้า ขอให้ธรรมในใจให้สำเร็จประโยชน์คุ้มกันกับการที่ได้มานั่งกลางดินซึ่งนาน ๆ จะมีโอกาสสักครั้งหนึ่ง
มีอีกประการหนึ่งก็อยากจะขอให้พยายามอย่างยิ่งที่จะให้ได้รับประโยชน์จากการมาหรือการฟัง ถ้าไม่ได้รับประโยชน์คุ้มกัน คือไม่ได้รับประโยชน์คุ้มกันกับเวลาที่เสียไป เงินทองที่เสียไป ความเหน็ดเหนื่อยที่เสียไป เรี่ยวแรงเสียไป ไม่ได้ประโยชน์อะไรคุ้มกันแล้ว การฟุ้งเฟื้อก็ต้องทะเลาะกับยมบาล เพราะยมบาลเขาไม่ยอมให้ใครใช้เวลาใช้เงินใช้ของอย่างไม่คุ้มค่า ถ้าเกิดไม่คุ้มค่าขึ้นมา เขาก็ต้องต่อว่าหรือจะเอาผิดเพื่อให้ไม่ต้องมีเรื่องอย่างนี้ ก็ขอให้ผู้ฟังหรือนักศึกษาทุกคนพยายามฟังให้ดี ให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่า คุ้มค่าที่มา คุ้มค่าเวลา คุ้มค่าการใช้จ่าย คุ้มค่าเรี่ยวแรง คุ้มค่าทุกอย่าง เรื่องก็จะเรียบร้อย มิฉะนั้นก็จะมีปัญหาเรื่องใช้เวลาเงินทองอย่างไม่คุ้มค่า
ทีนี้ก็จะได้พูดต่อไปถึงว่า ทำอย่างไรมันจึงจะคุ้มค่า ไอ้เรื่องที่จะพูดนี่มันคุ้มค่าไหม อาตมาขอยืนยันว่ามันเป็นเรื่องที่คุ้มค่า ถ้าเข้าใจ รับเอาไปได้ ปฏิบัติให้เป็นประโยชน์ได้ มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่เกินค่า แต่ถ้าไม่สนใจฟังให้ดี ไม่เข้าใจเอาไปใช้เป็นประโยชน์ไม่ได้ มันก็ไม่คุ้มค่าจริงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่ผู้ฟังจะทำให้สำเร็จประโยชน์ได้หรือไม่ ที่ว่าได้อะไรคุ้มค่านี่ไม่ต้องรู้ว่าได้อะไร ที่ไม่ต้องรู้ว่าคือมันจะต้องรู้ว่า พระธรรมพระศาสนามันจะให้อะไรแก่เรา หรือเราจะได้รับประโยชน์อะไรจากพระธรรม ถ้าเรารู้ชัดแน่นอนว่าเราจะได้ประโยชน์อะไรจากพระธรรมนั่นแหละคือเรารู้จากว่าพระธรรมคืออะไร พระศาสนาก็เหมือนกันแหละเป็นคำที่ใช้แทนกันได้ การที่รู้ว่าพระศาสนา พระพุทธศาสนาคืออะไรมันก็ต้องรู้ชัดในข้อที่ว่าพระพุทธศาสนาจะให้อะไรแก่เราได้ และก็รู้ว่าสิ่งที่จะให้อะไรแก่เราได้อย่างไรนั่นแหละคือพระพุทธศาสนา ฉะนั้นขอให้มีความสนใจในข้อแรกที่จะศึกษาให้รู้ว่า พระพุทธศาสนาจะให้อะไรแก่เรา และก็จะพิจารณาดูว่ามันจะสำเร็จประโยชน์ไหม จะมีค่าจริงไหม
สำหรับในวันนี้อาตมาก็อยากพูดโดยสรุปว่า เราจะพูดกันเรื่องชีวิตใหม่ ๆ พุทธศาสนาที่ปฏิบัติแล้วจะให้ชีวิตใหม่แก่ผู้นั้น คือ ผู้ปฏิบัติ ไอ้คำว่า ชีวิตใหม่ นี่ฟังดูมันเป็นคำประหลาด ๆ หรือเป็นคำโลก ๆ เป็นคำสมัยใหม่เป็นคำนักประพันธ์อะไรอยู่บ้าง ก็ขออย่าไปสนใจในแง่นั้นเลย ขอรวบรัดว่าใช้คำนี้ก็เพื่อให้ฟังกันง่าย ๆ ฟังกันสะดวก ฟังได้เร็วในเวลาอันสั้น คำว่า ชีวิตใหม่ ๆ มันก็มีปัญหาว่ามันเป็นชีวิตใหม่มาจากไหน มันก็คือชีวิตเก่าแต่ว่าพัฒนาให้ดีขึ้นให้มากขึ้น คือ ทำให้มันเจริญขึ้นมาในลักษณะเหมือนกับว่ามันตรงกันข้ามกับของเดิม เขาเรียกว่าชีวิตใหม่ มันเหมือนกับการเกิดใหม่ เกิดใหม่โดยไม่ต้องตาย อย่างนี้มีใช้พูดอยู่ในพระคัมภีร์ แม้การมาบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนานี่เขาก็เรียกว่าการเกิดใหม่เหมือนกัน เพราะมันเปลี่ยนจิตใจเปลี่ยนอะไรใหม่หมด เรียกว่าเกิดใหม่โดยอริยชาติ เกิดในโลกใหม่ของพระอริยเจ้า ดังนั้น ถึงเราจะไม่ได้บวช อยู่ที่บ้านเราก็บวชได้ โดยการทำให้มีผลเหมือนกับว่าชีวิตใหม่หรือการเกิดใหม่ คือการปฏิบัติธรรมะให้สมบูรณ์และก็ได้รับผลชนิดที่ไม่เคยได้รับมาแต่ก่อน ดังนั้นจึงเรียกว่าชีวิตใหม่ เป็นคำโลก ๆ เป็นคำนักประพันธ์อ่านเล่นอยู่มาก แต่ไม่เป็นไรขอให้ใช้คำนี้แหละ มันง่ายดี
ไอ้เดิม ๆ ที่เราเป็นมาเป็นชีวิตเก่าอย่างไร ขอให้สนใจให้ดี ถ้าไม่รู้จักไม่สนใจดีแล้วก็ไม่มีทางที่จะรู้จักชีวิตใหม่ เพราะมันไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบในลักษณะที่ตรงกันข้าม แม้ที่เป็นอยู่ตามธรรมดาแต่ก่อนก็ไม่รู้สึกว่ามันยังใช้ไม่ได้ มันยังไม่ดับทุกข์ มันยังระคนอยู่ด้วยความทุกข์ ถ้าว่ามันเป็นชีวิตใหม่มันก็ต้องแปลอย่างตรงกันข้าม คือไม่ระคนอยู่ด้วยความทุกข์นั่นเอง ถ้าคนผู้นั้นไม่มองเห็นว่าตนมีชีวิตที่ระคนอยู่ด้วยความทุกข์ มันก็ไม่อยากจะเปลี่ยนแปลง มันก็ไม่ต้องการอะไรใหม่อีก มันก็ปล่อยไปตามบุญตามกรรม ไอ้เรื่องชีวิตใหม่จึงเป็นเรื่องของสติปัญญา ของบุคคลผู้มีสติปัญญา
ทีนี้ก็จะพูดถึงชีวิตเก่า คือ ชีวิตตามธรรมดาที่เป็นกันมาหรือเป็นกันอยู่โดยมากตามปกตินั้นมันเป็นอย่างไร จะพูดให้ชัดลงไปก็จะพูดว่าไอ้ชีวิตแบบนั้นมันไม่เป็นอิสระจากการบีบคั้นของสัญชาตญาณ ไม่พ้นจากการบีบคั้นของกิเลส สัญชาตญาณคือความรู้สึกที่มีมาเสร็จหรือรู้ได้เองสำหรับสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งเข้าใจว่านักศึกษา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายคงจะได้ศึกษาได้ยินได้ฟังเรื่องนี้กันมามากแล้ว คือสิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณหรือ instinct ทีนี้สัญชาตญาณที่ควบคุมไว้ไม่ได้นั่นแหละคือกิเลส เรายังอยู่ใต้อิทธิพลของสัญชาตญาณบ้าง อยู่ใต้อิทธิพลของกิเลสบ้าง มันจึงเรียกว่าเป็นชีวิตที่ทนทรมาน ชีวิตที่ถูกกักขัง ชีวิตที่อยู่ในความมืดความบอด รู้ว่าทนทุกข์ทรมานแต่ก็ไม่รู้ว่าด้วยเหตุอะไรหรือว่าจะแก้ไขกันอย่างไร ถ้ามันมากเกินไป ขออภัยที่ว่ามันโง่มากเกินไป มันก็จะไม่รู้สึกในเรื่องนี้เอาซะเลย คือจะไม่รู้สึกว่าอยู่ใต้อำนาจการบีบคั้นของกิเลสหรือสัญชาตญาณ ถ้าโง่มากไปกว่านั้นอีกก็จะกลับเห็นเป็นการสนุกสนานไปเสียเลย นี่ขอพูดกันถึงเรื่องนี้พอสมควรว่า เรามีสัญชาตญาณอันใหญ่ที่สุดเป็นประธานแห่งสัญชาตญาณทั้งหลาย ก็คือสัญชาตญาณแห่งความรู้สึกว่ามีตัวตน ๆ มีของตน ถ้าเดือดจัดขึ้นมาก็มีตัวกู มีของกู ยอมใครไม่ได้ มันก็เกิดสัญชาตญาณน้อย ๆ ออกมาจากสัญชาตญาณนี้ เป็นสัญชาตญาณแห่งการรักตน เห็นแก่ตน มีสัญชาตญาณแห่งการกินอาหาร แสวงหาอาหาร การต่อสู้ การหนีภัย กระทั่งการสืบพันธุ์ และก็ต้องการจะมีอะไร ๆ มาบำรุงบำเรอตน แล้วก็ต้องการจะอวดตน คิดดู เราตกอยู่ใต้อำนาจของสัญชาตญาณนี้ที่บังคับมันไม่ได้ มันก็ได้ชื่อว่ากิเลส ลำพังสัญชาตญาณล้วน ๆ ก็ไม่ใช่เล่นอยู่แล้ว นี่ถ้าบังคับไม่ได้กลายเป็นกิเลสขึ้นมามันก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก
เช่นว่า การเห็นแก่ตน มันก็เกิดปัญหามากมายหลายอย่างหลายประการ มันมองแต่จะหาประโยชน์ให้แก่ตนด้วยการได้เปรียบผู้อื่น แล้วมันก็เดือดร้อนกระวนกระวายอีกหลาย ๆ อย่างเนื่องจากความเห็นแก่ตน ก็จะแยกออกไปว่าสัญชาตญาณแห่งการต้องกินอาหารอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันก็มีปัญหาที่ว่ามันควบคุมไม่ได้ มันก็ต้องการจะกินอาหารที่ดีที่สุด ให้อร่อยที่สุด ให้มากที่สุด มันก็เลยมีปัญหาหนักเพราะสัญชาตญาณแห่งการต้องการอาหาร สัญชาตญาณแห่งการอวดสวยอวดงาม นี่แม้แต่สัตว์ก็ทำเป็น ทีนี้คนน่ะก็มีสัญชาตญาณอันนี้ มันก็ต้องการจะอวดสวยอวดงามเกินขอบเขตจึงหมดเปลืองมาก ไอ้ใครที่รักสวยรักงามใช้เงินเป็นอันมากเพราะเรื่องนี้ก็จะต้องรู้จักดี เราควบคุมไว้ไม่ได้ คือไม่เป็นไปแต่พอดี กลายเป็นเรื่องอวดสวย มันก็เลยมีปัญหา ก็ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะปัญหาเหล่านั้น สัญชาตญาณแห่งการต้องการสิ่งบำรุงบำเรอ สิ่งประเล้าประโลม ไอ้นี่ถ้ามันพอดีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามันเกินพอดีมันก็คือกิเลสอย่างยิ่ง ต้องการการประเล้าประโลมใจทุกอย่างทุกทาง ในที่สุดก็นำไปสู่สิ่งมึนเมาทั้งหลายที่เรียกว่าอบายมุข จะต้องดื่มน้ำเมาหรือสิ่งมึนเมา จะต้องเล่นการพนันให้มีความรู้สึกชนิดที่บำรุงบำเรอใจ เป็นสิ่งประเล้าประโลมใจ ต้องเที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงานน่าหัว เรื่องเกียจคร้านการทำงานก็เพื่อประเล้าประโลมใจอย่างหนึ่ง ไม่บังคับให้ไปทำงานให้นอนเสีย แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้นเพราะการไม่ทำงาน ขอให้แจกดูเป็นอย่าง ๆ ไปเถอะ ถ้าควบคุมไม่ได้แล้วมีปัญหาทั้งนั้น สัญชาตญาณแห่งการต่อสู้มันก็ไม่รู้จักต่อสู้กับสิ่งที่ควรต่อสู้ ไปต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ต้องต่อสู้ เกิดเป็นปัญหากันทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งโลก ในที่สุดสัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของมนุษย์ เพราะสัญชาตญาณต้องการสืบพันธุ์นั้นมันรุนแรง แล้วก็มีของติดไอ้ความร้ายกาจอันนี้ไว้ คือ กามารมณ์ ธรรมชาติให้เรื่องกามารมณ์มาเพื่อหลอกล่อหรือจ้างให้สัตว์ที่โง่เขลานั้นทำการสืบพันธุ์ ซึ่งเจ็บปวดซึ่งลำบากซึ่งสกปรกซึ่งอะไรต่าง ๆ นานา แต่ธรรมชาติมันเหนือกว่ามันก็ให้ส่วนที่เรียกว่ากามารมณ์ คือความเพลิดเพลินเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทั้งหลายเหล่านี้ที่รวมเรียกว่ากามารมณ์ มาเป็นค่าจ้าง ล่อให้สัตว์ทั้งหลายทำการสืบพันธุ์ แล้วมันยุ่งยากสักเท่าไร ถ้าใครเห็นว่าการสืบพันธุ์เป็นเรื่องสูงสุดของมนุษย์ ก็ดูสิลงทุนกันเป็นการใหญ่โตเพื่อประโยชน์แก่การสืบพันธุ์ ชนิดที่ธรรมดาก็ไม่อยาก ถ้าไม่มีกามารมณ์มาปะหน้าเข้าไว้ก็ไม่มีสัตว์ชนิดไหนอยากจะสืบพันธุ์ แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน แม้แต่ต้นไม้ด้วยซ้ำไป มันมีกามารมณ์ซึ่งมีรสสูงสุดปะหน้าการสืบพันธุ์เอาไว้เพื่อจะจ้างหรือบังคับให้สิ่งมีชีวิตทำการสืบพันธุ์ นี่เป็นปัญหาใหญ่โดยเฉพาะของมนุษย์ คิดดูดี ๆ บางทีอุตส่าห์เล่าเรียนอุตส่าห์สะสมเงินอันมากเพื่อการสมรสอันมีเกียรติ มันก็ไม่ดีอะไรนัก เพราะว่าสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์มันยิ่งไปกว่านั้น
เดี๋ยวนี้เราก็ต้องมีการพ่ายแพ้แก่สัญชาตญาณ ต้องทนทำไปตามสัญชาตญาณ ไม่มีความรู้พอที่จะบังคับสัญชาตญาณให้เป็นไปอย่างถูกต้องหรือพอดี ดังนั้นจึงขอบอกเสียเลยว่า ธรรมะ พระธรรม หรือพระศาสนานี้ คือ ความรู้หรือการปฏิบัติเพื่อควบคุมสัญชาตญาณไว้ในสภาพที่ถูกต้องและไม่มีความทุกข์เลย คือประโยชน์ของพระธรรม ถ้าว่าควบคุมไว้ไม่ได้มันก็มากกว่าธรรมดามากมันก็เกิดกิเลส เป็นความโลภ เป็นความโกรธ เป็นความหลงขึ้นมา แล้วก็มีอีกเรื่องที่จะต้องหม่นหมองทรมานเป็นของประจำไปเลย เรายุ่งยากลำบากด้วยปัญหาของความรัก ยุ่งยากลำบากด้วยปัญหาของความเกลียด มันทนไม่ได้มันต้องเกลียดสิ่งที่มายุให้เกลียด ลำบากด้วยปัญหาของความโกรธ มันทนไม่ได้มันต้องโกรธเมื่อมันมีสิ่งที่ยั่วให้โกรธ แม้ไม่อยากจะโกรธมันก็ยังบังคับไว้ไม่ได้ ยุ่งยากลำบากเพราะปัญหาของความกลัว มันโง่มาตั้งแต่เล็ก มันกลัวสิ่งที่ไม่ควรกลัวมาแต่เล็ก กลัวมากกว่าความจำเป็น หรือแม้ที่มีความจำเป็น ถ้ามีธรรมะมันก็ไม่กลัว มันก็สบายดี เรามีปัญหาเกี่ยวกับความวิตกกังวล วิตกกังวลนี่ฟังดูให้ดี เด็ก ๆ ไม่ค่อยมีแต่โตขึ้นก็เริ่มมี คนแก่นี้มีมาก ความวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์นั้นขอให้สังเกตดูดี ๆ ว่ามันมีพิษสงอย่างไร ทรมานจิตใจเท่าไร ถ้าไม่มีมันจะดีสักเท่าไร
เรายังมีปัญหายุ่งยากลำบากด้วยการอิจฉาริษยา สัญชาตญาณที่มันอยากจะดีกว่าคนอื่นหรือไม่อยากให้คนอื่นดีเท่าตัว มันก็เกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมาได้โดยง่ายโดยธรรมชาติโดยไม่น่าจะมี ขอให้ไปดูตัวเองให้ดี สังเกตดูตัวเองให้ดีว่ามันมีความอิจฉาริษยาใครไหม แล้วทำไมมันจึงมีมาซึ่งมันไม่น่าจะมีมา มันไม่ควรจะมีมา เราควรจะรักคนทุกคน แต่เดี๋ยวนี้แทนที่จะรักกันทุกคนมันกลับอิจฉาริษยากันทุกคน เรียกว่าปัญหาที่ทรมานเพราะอิจฉาริษยาใคร ไอ้คนที่ถูกอิจฉาริษยานั้นยังไม่รู้ไม่ชี้เลย แต่คนที่อิจฉาริษยาเขานี่ตกนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว ตกนรกทันทีที่มีความรู้สึกอิจฉาริษยาใคร ไม่ต้องรอตอนตายแล้ว คือ ความอิจฉาริษยานี่มันกัดหัวใจ
ไอ้ความรู้สึกชนิดนี้มันเป็นเรื่องของกิเลส คือ สัญชาตญาณที่บังคับไว้ไม่ได้ ตลอดถึงความหึงความหวงซึ่งเต็มไปหมดในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ว่าเรื่องผัวเรื่องเมียนิดเดียวก็ฆ่า ฆ่ากันตาย ฆ่าตัวเองตาย ฆ่าภรรยาตาย ฆ่าลูกตาย ซึ่งสัตว์เดรัจฉานมันยังไม่ทำเลย มนุษย์นี่ทำกันมากขึ้น ๆ เห็นได้จากหน้าหนังสือพิมพ์ ความหวงหรือความหึงเป็นไฟแรงกล้า เป็นเรื่องของความโง่สุดขีด มันก็ทรมาน ก็ทำให้เกิดความเดือดร้อน นี้เรียกว่า มันไม่เป็นอิสระจากสัญชาตญาณ ความคิดนึกที่รู้สึกขึ้นมาได้เอง เป็นเรื่องของกิเลส คือสัญชาตญาณที่บังคับไว้ไม่ได้ เลยขอบเขตของสัญชาตญาณไปอีก เป็นกิเลสของคน ถ้าอย่างนี้มีเป็นประจำก็เป็นชีวิตเก่า เราต้องการชีวิตใหม่ก็หมายความว่าไม่ต้องมีสิ่งเหล่านี้
แม้แต่สิ่งที่เรียกกันทั่ว ๆ ไปว่านิวรณ์ นิวรณ์ ๕ ประการนั้นน่ะ ถ้าใครไม่รู้จักนิวรณ์ ๕ ประการก็ขออภัยที่ต้องพูดว่ามันโง่เต็มที มันโง่สุดเหวี่ยง นิวรณ์ ๕ ประการเกิดอยู่เป็นประจำทุกวันทุกคน ความคิดที่ไม่รุนแรงและไม่มีเหตุปัจจัยมายั่วมาอะไรนักมันก็กรุ่นขึ้นมาได้เองจากสัญชาตญาณ คือ น้อมไปในทางกามารมณ์ทางเพศบ้าง ก็กวนใจ น้อมไปทางความอึดอัดขัดใจไม่ชอบนั่นไม่ชอบนี่ขึ้นมาเฉย ๆ อย่างนั้นแหละ แต่ไม่ถึงขั้นลุกขึ้นฆ่าฟันใคร อย่างนี้ก็รบกวนใจ ความที่จิตละเหี่ยละห้อยหุบแฟบลงไปไม่เบิกบานในบางคราว แม้แต่ง่วงนอนนี่ก็รบกวนใจ บางคราวก็ฟุ้งซ่าน ฟุ้งเฟ้อ ฟุ้งซ่าน ตรงกันข้ามมันก็รบกวนใจ ถ้าจิตฟุ้งซ่านแล้วมันทำอะไรไม่ได้น่ะขอให้สังเกตดูให้ดี ทีนี้ตัวสุดท้ายน่ะเรียกว่า วิจิกิจฉา คือความไม่แน่ใจในสิ่งที่มีอยู่หรือกระทำอยู่ ไม่แน่ใจนี่มันก็เป็นเรื่องของความไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แม้ส่วนที่มันรู้มันก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้ มันไม่แน่ใจในความสามารถของตัวเองว่าจะทำได้ไหม จะสอบไล่ได้ไหม จะทำอะไรได้ไหม มันไม่แน่ใจในความปลอดภัยทางสุขภาพอนามัย ไม่แน่ใจทางเศรษฐกิจ ไม่แน่ใจไปหมด สรุปแล้วไม่แน่ใจว่าไอ้สิ่งที่กำลังทำกำลังมีอยู่นี่ถูกต้องสมบูรณ์แล้ว ปลอดภัยแล้วหรือหาไม่ มันก็เป็นห่วงวิตกกังวลอยู่ลึก ๆ แต่ว่ากรุ่นออกมาให้รู้สึก อย่างนี่เรียกว่านิวรณ์ มีแต่ทุกคนและจะมีทุกวันเดี๋ยวอันนั้นเดี๋ยวอันนี้ ถ้าไม่รู้จักก็นับว่าไม่มีปัญหา แต่แล้วมันก็ทนแล้วก็หลีกไม่พ้นที่ต้องทนทรมานเพราะสิ่งที่เรียกว่านิวรณ์ไม่ดี ไม่มีเสียดีกว่า
ทีนี้ควรจะรู้จัก แม้ว่าธรรมดา ๆ ไม่ได้ทำบาปหยาบช้าอะไรนักมันก็มีนิวรณ์รบกวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่แน่ใจในชีวิต ในการงาน ในสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ เช่น จะลังเลอยู่ว่าจะสอบไล่ตกอยู่เสมอไป คือสิ่งที่หวัง ๆ ๆ นั้นน่ะมันไม่ได้ ไอ้คนไหนหวังเก่งไอ้คนนั้นมันก็มีนิวรณ์ข้อนี้รบกวนมากที่สุด เพราะมันจะไม่ได้ตามที่หวัง เพราะมันโง่ เพราะมันไปหวัง ที่จริงมันไม่ต้องหวัง ทำไปอย่างดีที่สุดแล้วไม่ต้องไปหวังให้มันเป็นนิวรณ์รบกวน เพียงแต่ปราศจากนิวรณ์ ๕ ประการนี้รบกวนมันก็เป็นเรื่องประเสริฐที่สุดเสียแล้ว คือ เป็นชีวิตที่แจ่มใสเยือกเย็น ๆ เย็นอกเย็นใจ อยู่ด้วยความสบายใจ เป็นสุขในชีวิตนั้นเอง ถ้าไม่รู้จักมันก็ไม่ต้องการหรือต้องการไม่ถูก แม้ชีวิตที่ปราศจากนิวรณ์นี่ก็แสนจะประเสริฐแล้ว ทีนี้ถ้าชีวิตที่ปราศจากกิเลสก็ยิ่งไปกว่านั้นอีก ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ รบกวน ไม่มีกิเลสใด ๆ ให้เกิดขึ้นเป็นไฟเผาให้รุ่มร้อนให้มืดมัวให้กลัดกลุ้ม มันเต็มที่ ถ้าเป็นนิวรณ์นี้มันเกลา ๆ มันไม่ต้องมีเจตนา มันออกมาจากสัญชาตญาณหรือจะเรียกว่าออกมาจากอนุสัย ในภาษาวัดนี้ก็ได้ ภาษาชาวบ้านก็เรียกว่ามันออกมาจากสัญชาตญาณซึ่งมันจะมี ๕ อย่างนี้ ไปคำนวณดูถ้าไม่มีนิวรณ์ ๕ ประการนี้ ชีวิตนี้แจ่มใสสดใสเยือกเย็นสงบเย็นสักเท่าไร แล้วเราเคยต้องการหรือไม่ ก็เพราะว่าเราไม่รู้ว่ามันมีอยู่
การศึกษาของเรามันเรียนแต่หนังสือ เรียนวิชาชีพ ไม่ได้เรียนถึงชีวิตจิตใจ ไม่ได้เรียนว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร จึงจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ดังนั้นให้เรียนมาปริญญายาวเป็นหางมันก็ไม่รู้เรื่องนี้ คือ ไม่รู้เรื่องชีวิต ไม่รู้เรื่องว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรจึงจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ มันก็หยุดอยู่แค่ว่าทำอาชีพได้ดีมีเงินมาก แล้วก็เป็นสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ใช้คำว่าอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย รวมกามารมณ์ทุกชนิด ทีนี้ขอให้คิดดูให้ดีว่าเรากำลังเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ที่เราเรียนนี้เพียงเพื่อต้องการเงินมาก ๆ และมาหาซื้อปัจจัยเหล่านี้มาบำรุงชีวิตให้เต็มไปด้วยความเอร็ดอร่อยทุกทางอย่างนี้ แต่เรื่องของธรรมะนั้นมันตรงกันข้าม มันไม่มุ่งหมายจะเป็นทาสของความเอร็ดอร่อยเหล่านั้นหรือว่าเป็นทาสของกามารมณ์ มันจะมองไปในแง่ว่า ความเอร็ดอร่อยทั้งหลายน่ะมันเป็นเรื่องบ้าวูบเดียว ความเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง อะไรที่บูชากันนักนั้นน่ะล้วนแต่เป็นเรื่องบ้าวูบเดียวเท่าที่ความโง่มันต้องการ เป็นการกระตุ้นระบบประสาทให้สูงสุด รู้สึกถึงความเอร็ดอร่อยสูงสุดแล้วก็วูบเดียว ๆ คนก็ยังบูชากันอย่างสุดชีวิตจิตใจ บูชาความบ้าวูบเดียว ทั้งโลกเป็นอย่างนี้ไม่ใช่เฉพาะแต่ว่าคนไทย เมื่อยังไม่มีความรู้ทางจิตใจก็ต้องเป็นทาสของกิเลส ของกามารมณ์ทางเพศ เพราะฉะนั้นก็เป็นเหตุให้ทำผิดต่อไปอีกหลายขั้นตอน มาจากความเห็นแก่ตัวเพราะเรื่องนี้ก็ได้ทำสงครามกัน เป็นมหาสงครามยืดเยื้อไม่มีสิ้นสุดในโลกนี้ก็เพราะว่าบูชาความสุขทางวัตถุทางเนื้อทางหนัง ไม่มีความรู้เรื่องทางจิตทางวิญญาณ นั่นแหละเรียกว่าชีวิตเก่า ๆ ตามธรรมดาของปุถุชนผู้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของสัญชาตญาณตามปกติ และตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสัญชาตญาณที่บังคับไม่ได้ มันยิ่งขึ้นไปเป็นกิเลส นี่เราอยู่ภายใต้การบีบคั้นของสัญชาตญาณตามธรรมดาก็จะเหลือทนอยู่แล้ว ตกอยู่ใต้อำนาจบังคับของกิเลส คือ สัญชาตญาณที่บังคับไว้ไม่ได้แล้วมันเลยเถิด เรื่องกินเรื่องนอนเรื่องอยู่เรื่องต่อสู้เรื่องหนีภัยเรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวเรื่องอะไรก็ตามน่ะ มันเลยเถิดจนกลายเป็นกิเลส มันก็บีบคั้นมากขึ้นไปอีก มันก็เป็นอย่างนี้กันจนตาย ไม่ได้เกิดในโลกใหม่ของพระอริยเจ้าซึ่งเป็นโลกที่สดใสไม่มีสิ่งเหล่านี้รบกวน อาตมาใช้คำว่า โลกใหม่ก็ได้ ชีวิตใหม่ก็ดีกว่า
เราจะต้องศึกษาให้รู้จากไอ้ความร้อนไอ้ความทนทุกข์ทรมานที่เป็นอยู่จริง จนรังเกียจเกลียดชังอยากจะพ้นไปเสีย แล้วก็แสวงหาหนทางที่จะพ้นไปเสีย นั่นน่ะคือการไปแสวงหาธรรมะ คือมาแสวงหาธรรมะเพื่อจะได้สภาพจิตใจชนิดใหม่ ชนิดที่อยู่เหนือความทุกข์ เหนือปัญหา เหนือกิเลส เหนือบีบบังคับของสัญชาตญาณ ถ้าเรามาสู่พุทธศาสนามีธรรมะ เราก็มีวิธีที่จะบังคับควบคุมสัญชาตญาณ สัญชาตญาณนี้เป็นเรื่องยากเหลือประมาณที่จะไปบังคับควบคุมมัน เพราะมันเป็นนิสัยเป็นสันดานเกิดมาพร้อมกับชีวิต คู่กันกับชีวิต มันจึงเป็นการยาก เมื่อยังบังคับไม่ได้ทั้งหมดก็ควบคุมให้ได้ตามสมควร ถ้าฉลาดกว่านั้นก็เปลี่ยนกระแสของมันเสีย มันมีคำ ๆ หนึ่งในภาษาอังกฤษคือคำว่า sublimate คำนี้ควรอย่างยิ่งที่จะเอามาใช้กับสิ่งที่เรียกว่า instinct ถ้าเราบีบบังคับสมบูรณ์ไม่ได้หรือตัดมันไม่ได้ก็ sublimate คือเอาไปใช้ในทางที่ดีกว่าเสีย กำลังใจที่มาก ๆ แม้ที่สุดในทางกามทางเพศนั้นน่ะ เปลี่ยนกระแสให้มาใช้ในการงานการศึกษาเล่าเรียนเสีย เพราะมันมีกำลังมาก ถ้าเปลี่ยนกระแสเสียได้มันก็มีประโยชน์มาก เหมือนน้ำที่ไหลน่ะมันท่วมพังทลายเป็นอุทกภัยก็ได้ แต่ถ้า sublimate มาใช้แรงของมันหมุนเครื่องไฟฟ้าเสีย เราก็ไม่ต้องได้รับอันตรายกลับได้รับประโยชน์ หรือเหมือนช้างที่มันตกมันน่ะ คนที่ฉลาดเขาก็บังคับได้ เขาไปใช้งานได้เสียอย่างมากมายเลย เพราะมันมีฤทธิ์มีแรงมาก ช้างตกมันน่ะใช้งานได้มากมหาศาลเลย ถ้าไม่งั้นมันเป็นอันตรายหรือมันไปทำให้เสียหายหมด แต่นี่เปลี่ยนมาใช้ในทางที่มันตรงข้ามเสีย เพราะฉะนั้นกำลังที่รุนแรง ที่เกิดอยู่ตามสัญชาตญาณน่ะ ถ้าบังคับควบคุมไม่ได้ก็เปลี่ยนกระแส คือเอามาใช้ในทางที่ถูกเสีย ไอ้กำลังมาก ๆ กำลังบ้าระห่ำนั้นน่ะ เปลี่ยนมาใช้ในทางที่ถูกทางเสีย เช่นจะไปในทางเกเรก็เอามาใช้ในทางการงานการศึกษาเล่าเรียนเสีย ดังนี้มันก็ได้ประโยชน์ แต่มันก็ว่าไม่ใช่ทำง่าย ไอ้ปากนี่มันพูดกันก็ง่ายแต่มันก็จะทำกันจริงมันก็ไม่ง่าย แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำได้ถ้าเรามีความรู้เรื่องนี้อย่างเพียงพอ
สำหรับสิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณเข้าใจว่า คงเคยศึกษาเล่าเรียนมาในเรื่องวิทยาศาสตร์เรื่อง biology อะไรกันมาแล้วพอจะรู้เรื่อง แต่จะไม่ได้ศึกษาถึงข้อที่ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร ในทางธรรมะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรอื่น เป็นวิชาความรู้ที่บังคับ ควบคุม สัญชาตญาณนั้นเอง ให้มันกลายเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง ถ้าว่าตัดความรู้สึกที่เป็นสัญชาตญาณได้มันก็เป็นพระอรหันต์เท่านั้นแหละ อย่าเพิ่งพูดถึงเลย ยังอยู่ไกลไป ไม่ต้องพูดถึงการตัดสัญชาตญาณเด็ดขาดเป็นพระอรหันต์ เอาแต่ว่าบังคับได้ควบคุมได้ เปลี่ยนกระแสของมันเสียให้เป็นประโยชน์ได้ก็ประเสริฐถมไปแล้ว วิชาธรรมะคือวิชานี้ คือวิชาที่จะควบคุมบังคับเพื่อจะเปลี่ยนกระแสของสัญชาตญาณอันร้ายกาจให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีโทษ ให้มีประโยชน์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าได้อย่างนี้มันพอหรือไม่พอในการจะเสียเวลาเสียเงินเสียอะไรมาศึกษาธรรมะ มาหาความรู้เรื่องธรรมะ อาตมาคิดว่าเกินพอ ถ้าได้วิชาความรู้เหล่านี้จริง ไปใช้ประโยชน์ได้จริง ควบคุมสัญชาตญาณได้จริง มันก็สบายกว่านี้
ชีวิตสดใสเยือกเย็นในความหมายแห่งคำว่านิพพาน ไม่มีนิวรณ์ ๕ รบกวน มันสดชื่นแจ่มใสสักเท่าไร ไม่มีความรู้สึกทางเพศรบกวน ไม่มีความรู้สึกทางความเกลียดรบกวน ไม่มีความรู้สึกห่อเหี่ยวหรือฟุ้งซ่านรบกวน ไม่มีความลังเลในชีวิตรบกวน มันสดชื่นเยือกเย็นสักเท่าไรที่ไม่มีมีนิวรณ์ทั้ง ๕ นี่ก็พอเสียแล้ว ถ้าควบคุมโลภะ โทสะ โมหะได้ มันก็ยิ่งวิเศษยิ่งขึ้นไปอีก คือ ไฟมันไม่ลุกขึ้นมาในจิตใจ ก็เลยเหมือนกับว่าโลกใหม่ ชีวิตใหม่ในโลกใหม่ในโลกของพระอริยเจ้า ที่มีแต่ความสะอาด สว่าง สงบ มีความเยือกเย็น มีความเป็นอิสระ มีความโล่งโถง ไม่มีอะไรบีบคั้นหุ้มห่อ มันก็ควรไหมที่ว่าจะเรียกว่ามันเป็นชีวิตใหม่ มันก็ไอ้ชีวิตนั่นแหละ มันก็ ๆ ไอ้ชีวิตเดิมนั่นแหละแต่มันถูกทำให้เป็นของแปลกออกไปจากที่จะปล่อยไปตามธรรมชาติของสัญชาตญาณ มันก็ได้ผลตรงกันข้าม คือว่าเดี๋ยวนี้เราอยู่เหนือการบีบบังคับของสัญชาตญาณซึ่งอยู่ในระดับสัญชาตญาณล้วน ๆ หรืออยู่ในระดับที่เป็นกิเลสอันร้ายกาจก็ตาม มันก็ได้ชีวิตเย็นในความหมายของคำว่านิพพาน ไอ้คำว่านิพพาน ๆ นี่ยังเข้าใจผิดกันอยู่หลายอย่างหรือไม่เข้าใจความหมายถูกต้องของนิพพาน ก็เลยไม่ต้องการนิพพาน แล้วคำสอนที่พูดกันสอน ๆ กันก็อยู่ไกลสุดเอื้อมจนเห็นว่าเหลือวิสัยที่จะทำได้ ฉะนั้นมันเป็นคำพูดของใครก็ไม่รู้ต้องขออภัยที่จะใช้ว่า คำพูดของคนไม่รู้จักนิพพาน เป็นคำพูดของคนโง่ต่อพระนิพพานจึงพูดอย่างนั้น
ถ้าพูดกันให้ตรงตามจริงตามธรรมชาติที่เป็นอยู่จริง คำว่านิพพาน นิพพานมันก็คือชีวิตใหม่อย่างที่ว่าหลุดรอดออกมาได้จากการบีบคั้นของสัญชาตญาณและกิเลสทั้งหลาย มันมีชีวิตใหม่อย่างนี้ก็เรียกว่านิพพาน คือเย็น ชีวิตเย็น อย่าตีความหมายอะไรให้มันไกลสุดโต่งไปนัก ขอให้ถือเอาความหมายของคำว่านิพพาน ๆ นี่เอาว่าเย็นไว้ก่อน ในพระบาลีมีเรื่องราวมากเหลือเกินที่แสดงให้เห็นว่าคำว่า นิพพาน นั้นหมายถึงความเย็นแห่งชีวิต ณ ที่นี่ ณ เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอตอนตายแล้ว เมื่อใดที่กิเลสหรือความรู้สึกที่ผิดที่เลวร้าย ไม่ครอบงำจิตใด จิตใจมันก็เย็น แต่เดี๋ยวนี้มันจะมาครอบงำเสียเรื่อยจนเห็นเป็นร้อนเสียเรื่อย หรือว่ามันจะเว้นระยะบ้างไม่ครอบงำเราก็ไม่สนใจ เวลาที่ว่างจากกิเลส ว่างจากสัญชาตญาณเลวร้ายครอบงำก็มีอยู่บ้าง ไม่ใช่จะไม่มีเสียเลย ถ้าจะสนใจข้อนี้ก็ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า เมื่อไรนะที่เรารู้สึกว่าสบายอกสบายใจโปร่งใจสดใสเยือกเย็นที่สุด เมื่อไรนะ คอยเฝ้าดูสิ คอยจ้องดู ก็จะพบทันทีว่ามันไม่มีกิเลสรบกวน ไม่มีนิวรณ์ ไม่มีกิเลส หรือไม่มีอำนาจของสัญชาตญาณชนิดเลวร้ายนั่นน่ะรบกวน มันก็มีอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็เป็นบ้าหมดแล้ว คือมันถูกกิเลสเผาผลาญไม่มีเวลาว่างเสียเลย เป็นบ้าตายหมดแล้ว เดี๋ยวนี้มันยังมีเวลาที่ว่างบ้าง ธรรมชาติมันก็จัดให้พอสมควร คือว่านอนหลับ เวลานอนหลับมันก็ไม่ถูกสิ่งเหล่านี้รบกวน มันก็ชดเชยกัน เวลาที่นอนหลับมันเพียงพอน่ะก็ชดเชยกับที่เวลาที่ตื่นอยู่ด้วยความเผาลนของกิเลส มันจึงพอดี ๆ ที่อยู่ในลักษณะที่อย่างนี้ คือ ทน ๆ ทุรนทุรายทนทุกข์ไปบ้างแต่ไม่มากจนถึงกับตาย ไม่มากจนถึงกับเป็นบ้า แต่เดี๋ยวนี้มันก็ปรากฏว่า ในโลกนี้คนเป็นโรคประสาทและเป็นบ้าวิกลจริตน่ะมากขึ้นทุกที หมอเขาว่าอย่างนั้นเขารายงานออกมาอย่างนั้น เป็น neurosis เป็นโรคประสาทกันมากขึ้น ๆ จนกลายเป็น psychosis เป็นโรคบ้าไปเลยมากขึ้น ๆ แล้วมันจะมากยิ่งขึ้นไปอีกเพราะว่าความผันแปรในโลกน่ะมันเป็นอย่างนั้น คือว่าโลกมันเป็นไปตามอำนาจของกิเลส มันเดินผิดทางของธรรมะ มันก็ต้องมีความผันแปรมากและมากยิ่งขึ้น ๆ ฉะนั้นต่อไปคนจะเป็นโรคประสาทหรือเป็นบ้ามากขึ้นกว่าที่แล้วมาเมื่อเทียบจำนวนโดยเปอร์เซ็นต์ คนในโลกมันเพิ่มมากขึ้นจริงน่ะ แต่ว่าเปอร์เซ็นต์ที่คิดแล้วมันสูงกว่าเมื่อคนยังน้อย เมื่อในโลกยังมีคนน้อยหรือมีแต่คนป่า คนป่านั่นแหละ ดูให้ดีเถอะ เกือบจะไม่รู้จักคำว่าโรคประสาทเหมือนคนสมัยนี้ คนป่านั่นแหละ ดูให้ดีเถอะ มันจะไม่เป็นโรคบ้าไม่เป็นโรคประสาท ไม่มีอะไรวิปลาสเหมือนคนสมัยนี้ ไม่มีเรื่องฆ่าฟันกันมากเหมือนคนสมัยนี้ ซึ่งมันไม่น่าเชื่อยิ่งขึ้นทุกที มีเรื่องผิดใจนิดหนึ่ง แฟนเขาไม่ซื่อหน่อยมันก็ไปกินยาตาย ถ้าเป็นคนป่ามันไม่ต้องนั่นหรอกมันหัวเราะเยาะเพราะว่ามันเปลี่ยนได้ มันแก้ปัญหาของมันได้ ไอ้คนที่มีการศึกษาแล้วกลับไปกินยาตาย ในระดับนักศึกษา นิสิตนักศึกษาของมหาวิทยาลัยก็มีพบอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ นี่มันเพราะเหตุอะไรกัน เพราะว่ามันไม่รู้จักไอ้ชีวิตหรือตัวเองเอาเสียเลย มันก็ไม่เย็น มันเต็มไปด้วยชีวิตร้อน ถ้ามันโง่มากเข้ามันกลัดกลุ้มหนักเข้ามันก็มืดบอดไปหมด มันก็ทำสิ่งที่ไม่ต้องทำหรือไม่ควรจะทำ นี่ขอให้สนใจว่ามนุษย์กำลังเป็นอย่างไร มนุษย์ยุคปัจจุบันกำลังเป็นอย่างไร และมนุษย์ในอนาคตจะมีปัญหาอะไรเพิ่มขึ้น เราก็จะต้องรู้ไว้และจะต้องจัดให้ชีวิตของเราชาติหนึ่งนี้ได้รับสิ่งที่ควรจะได้รับ ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ซึ่งจะเรียกว่า ชีวิตเย็น ๆ ชีวิตที่เป็นนิพพาน
คำว่า นิพพาน นี่จะสอนกันมากมายหลายความหมายแต่ว่าความหมายที่แท้จริง ที่ถูกต้อง ที่ค้นคว้ามาทั้งหมดทั้งสิ้นแล้วน่ะ แปลว่า เย็น อาหารร้อนต้องรอให้นิพพานเสียก่อนจึงจะกินได้ อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็เขาใช้กันอยู่ในภาษาธรรมดา คนพูดธรรมดาในหมู่ชาวบ้านประชาชนทั่วไปนะ ไม่ใช่ว่าใช้แต่ที่วัดหรือเรื่องนักบวชบรรพชิตชั้นสูง ไม่ใช่ มันใช้คำว่านิปุตา นิปุโต คือนิพพานแล้ว ๆ นี้กับเรื่องของชาวบ้านน่ะ คล้าย ๆ จะพูดว่า บ้านนี้นิพพาน ก็หมายความว่าครอบครัวนี้เยือกเย็น ไม่มีความผิด หรือกิเลสตัณหาอะไรรบกวน
เล่าเรื่องที่ควรจะเล่าบ่อย ๆ สักเรื่องหนึ่งว่า เมื่อวันที่เขาประกวดสตรีให้พระสิทธัตถะเลือกเพื่อการสมรส ในวันนั้นพระสิทธัตถะเดินมาสู่ที่ชุมนุม หญิงสาวในตระกูลศากยะคนหนึ่งร้องตามหลังมาว่า บุรุษนี้เป็นลูกของผู้ใด แม่ของเขาก็จะนิพพาน บุรุษนี้เป็นลูกของผู้ใด พ่อของเขาก็จะนิพพาน บุรุษนี้เป็นพัสดา (นาทีที่ 49.25) ของหญิงใด หญิงนั้นก็จะนิพพาน ใช้คำว่านิปุตา เป็นคำกริยา แปลว่า เย็นแล้ว หรือนิพพานแล้ว นี่พูดกันเป็นภาษาธรรมดา ชาวบ้านพูดกันว่านิพพานแล้ว ๆ คือเย็นแล้ว ๆ เป็นครอบครัวที่เย็น ไม่มีความทุกข์ความร้อน มันอยู่กันอย่างถูกต้อง ถูกต้องตามสมควรที่จะอยู่กันในโลกอย่างไม่มีความเดือดร้อนน่ะ ไม่ได้หมายถึงว่าสิ้นกิเลสทั้งปวงเป็นพระอรหันต์นะ นั่นมันอีกความหมายที่สูงสุด ความหมายธรรมดานิพพาน ๆ โดยปริยายนี่ก็คือเย็น อะไรล่ะเป็นของร้อน ก็คือสิ่งที่ว่าน่ะ กิเลส ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ร้อน แล้วก็ลองไล่ดูน่ะ สิ่งที่เรามีกันอยู่เป็นผลของกิเลสน่ะ ร้อนหรือไม่ร้อน ความรักร้อนหรือไม่ร้อน ความโกรธร้อนหรือไม่ร้อน ความเกลียดร้อนหรือไม่ร้อน ความกลัวร้อนหรือไม่ร้อน ความวิตกกังวลร้อนหรือไม่ร้อน ความอาลัยอาวรณ์ร้อนหรือไม่ร้อน ความอิจฉาริษยาร้อนหรือไม่ร้อน ความหึงความหวงร้อนหรือไม่ร้อน นี่ก็เป็นตัวอย่างที่พอแล้วว่าจะดูชีวิตได้ว่ามันร้อนหรือมันเย็น ถ้ามันไม่มีสิ่งเหล่านี้น่ะมันก็ไม่มีร้อนหรอก นั่นน่ะขอให้รู้จักความหมายของคำว่า นิพพาน หรือวิมุตหลุดพ้นกันให้ถูกต้อง
เดี๋ยวนี้ไม่รู้จักคำนี้อย่างถูกต้องแต่ก็ปรารถนากันมากนะ แต่ก็นั่นแหละมันก็เป็นความปรารถนาตามธรรมเนียมตามประเพณี เป็นการกรวดน้ำ เป็นการอุทิศ พอทำบุญทำกุศลเสร็จแล้วก็ให้ได้นิพพาน ทั้งที่ไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร ทั้งที่ความจริงนั้นนิพพานเป็นสิ่งที่ต้องได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือได้ชีวิตเย็น เย็นเพราะว่าเราควบคุมสัญชาตญาณได้ เราควบคุมกิเลส คือ สัญชาตญาณที่ควบคุมไม่ได้นั้นน่ะได้ ก็เลยเย็น ชีวิตนี้เย็น แม้แต่สัตว์เดรัจฉานที่ฝึกดีแล้วไม่มีอันตราย ก็ยังเรียกว่ามันนิพพาน นิพพานอย่างสัตว์เดรัจฉาน มันก็คือเย็น ไม่ได้หมายความว่ามันสิ้นกิเลส แต่หมายความว่ามันหมดปัญหา ชีวิตนี้มันไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยปัญหารัก โกรธ เกลียด กลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวง ซึ่งล้วนแต่เป็นเครื่องทรมานจิตใจทั้งนั้น พูดเอาเองก็แล้วกันว่าชีวิตที่ปราศจากสิ่งทรมานโดยประการทั้งปวงนั่นแหละคือนิพพาน ชีวิตที่มีความหมายเป็นนิพพานในระดับนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ซึ่งคนทุกคนมีความเหมาะสมหรือว่ามีสิทธิก็ตามใจที่จะได้รับ ที่จะมี แต่มันต้องรู้จัก และมันจะต้องดำรงตนให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ คือ รู้ธรรมะ
ธรรมะนี้มี ๔ ความหมาย เราต้องรู้จักธรรมชาติ นี้ความหมายหนึ่งเราต้องรู้จักกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ นี้ความหมายหนึ่ง เราต้องรู้จักหน้าที่ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ นี้ความหมายหนึ่ง เราจะต้องรู้จักผลที่จะได้รับอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ถ้าเรารู้ ๔ ประการนี้เราก็รู้ธรรมะ ก็ลองคิดดูเถอะว่า มันไม่มีทางที่จะทำอะไรผิด มันรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติอย่างถูกต้องครบถ้วนในทุกแง่ทุกมุม มันไม่มีทำอะไรผิด มันจะมีความรู้สูงสุดถึงขนาดที่ว่า มันจะไม่ยึดถืออะไรให้เป็นตัวตนที่หมายมั่นด้วยความเป็นตัวตน แล้วก็มีความหนักก็ยึดถือไว้ว่าตัวตน ขอยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่ว่ามันคงจะไม่เกินไปสำหรับนักศึกษา ถ้ามีความรู้สึกเป็นตัวตนอะไรอยู่ มันก็จะหนัก เพราะว่ามันต้องเห็นแก่ตน มันต้องเป็นผลดีแก่ตน มันต้องเป็นเรื่องวิตกกังวล เป็นเรื่องหนักอกหนักใจ เดี๋ยวนี้เรารู้สึกว่าเรามีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกคิดนึกที่เป็นตัวตนตลอดเวลา จิตใจของเราจะมีความคิดประเภทที่เป็นตัวตนเป็นของตนอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ว่างจากความรู้สึกชนิดนี้ มันมีความคิด แต่ว่ามันมีความหมายแห่งตัวตนอยู่ในความคิด มันก็หนักอยู่ในความคิด แม้จะมีความคิด แต่ถ้าในความคิดไม่มีความหมายแห่งตัวตนอยู่ในความคิด มันก็ไม่หนัก มันก็เป็นของเบา
เดี๋ยวนี้เราปุถุชนมันอยู่ด้วยความคิดประเภทที่มีตัวตนอยู่ตลอดเวลา มีตัวตนมันก็เห็นแก่ตนเป็นธรรมดา ตามหลักของสัญชาตญาณมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เมื่อมีสัญชาตญาณแห่งความมีตัวตน มันก็ต้องเห็นแก่ตน แล้วมันก็ต้องมีความรู้สึกว่าจะเป็นผลดีหรือผลร้ายแก่ตน ความรู้สึกอันนี้มันระแวงสงสัยอยู่ตลอดเวลา จิตใจไม่ว่างจากความรู้สึกชนิดนี้ ถ้าว่างจากความรู้สึกชนิดนี้ก็เป็นพระอรหันต์อีกนั่นแหละ พระอรหันต์ก็มีความรู้สึกคิดนึกตามปกติทั่ว ๆ ไปแต่ไม่มีความรู้สึกประเภทตัวตนหรือของตน จะเอาเรื่องของพระพุทธเจ้ามาเล่าให้ฟังก็ได้ว่า พระองค์ตรัสประกาศทำนองท้าทาย ประกาศก้องไปว่า ตถาคตอยู่ด้วยปรมานุตรสุญตา (นาทีที่ 56.38) ความรู้สึกว่างอย่างสูงสุด ว่างอย่างสูงสุด เมื่อมีผู้มา ๆ ผู้มาหาเป็นพวกพระราชาบ้าง จิตก็ยังคงว่างจากตัวตน เป็นอำมาตย์พระราชาบ้าง จิตก็ยังว่างจากตัวตน ผู้มาหาเป็นประชาชนเศรษฐีบ้างก็ยังว่างจากตัวตน ผู้มาหาเป็นเจ้าลัทธิเดียรถีย์อื่น ผู้แข่งขันมาจิตก็ยังว่างจากตัวตน มันเป็นว่างจากตัวตนไปทั้งหมดไม่ว่าอะไรมา นี้ถ้าว่าเป็นพระธรรมดาเป็นพระปุถุชนนะ พออะไรมามันก็มีความคิดชนิดที่ไม่ว่างจากตัวตน ถ้าพระราชามา มันก็รู้สึกว่าเป็นเกียรติแก่กู กูคงจะได้อะไรบ้าง จิตมันก็ไม่ว่างเสียแล้ว ถ้าเศรษฐีมา มันก็คิดว่าจะต้องได้อะไรบ้าง ถ้าขอทานมา มันก็ไม่ไหวแล้วมันสั่นหัวแล้ว มันคิดว่าจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าคู่ปรปักษ์มา มันก็คิดว่ามันจะต้องมีการชนะหรือการพ่ายแพ้แล้ว นี่มีศัตรูมามีปรปักษ์มามันก็คิดอย่างนั้น ถ้ามิตรสหายมามันก็อิ่มอกอิ่มใจว่าจะต้องได้อะไร จะต้องสบายใจอะไรแก่กู นี่ความรู้สึกเป็นความหมายแห่งตัวตนหรือของตนมันมีอยู่อย่างนี้
ทีนี้มาพูดถึงคนธรรมดาสามัญอย่างพวกท่านทั้งหลายบ้าง อยากจะท้าเลยว่าพอเห็นบุรุษไปรษณีย์เดินเข้ามาในบ้านเท่านั้นล่ะ จิตปกติอยู่ตามเดิมไหม มันจะต้องนึกว่ามันจะมีข่าวดีหรือข่าวร้าย การได้หรือการเสีย มันจึงเปิดจดหมายด้วยมือที่สั่นใช่ไหม นี่ถ้ามันไม่ว่างมันเป็นอย่างนี้ เพียงแต่บุรุษไปรษณีย์มา ถ้าเจ้าหนี้มาเป็นยังไง จิตมันปกติไหม ลูกหนี้มามันก็ยังไม่ปกติเพราะมันทวงหนี้ไม่ได้ ถ้าตำรวจถือกุญแจมือมา จิตมันไม่ปกติไหม นี่คิดดูให้ดีว่าชีวิตแต่ละวัน ๆ ที่มีอะไรเกิดขึ้นเกี่ยวข้องนั่นน่ะ มันทำให้จิตเกิดความรู้สึกประเภทตัวกูของกู จะได้จะเสีย จะแพ้จะชนะ จะสุขจะทุกข์ จะได้เปรียบจะเสียเปรียบอะไรขึ้นมาเต็มจิตใจ นี่เรียกว่าคนธรรมดาไม่ได้อยู่ด้วยจิตใจของปรมานุตรสุญตา (นาทีที่ 59.49) อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ตถาคตอยู่ด้วยปรมานุตรสุญตา (นาทีที่ 59.49) ความว่างอันสูงสุด ต้องรับแขกทั้งวันเหมือนกัน เดี๋ยวคณะราชามา เดี๋ยวคณะอำมาตย์มา เดี๋ยวคณะเศรษฐีมา เดี๋ยวคณะพลเรือนมา เดี๋ยวคณะเดียรถีย์มาอะไรมา ก็ไม่มีอะไรที่จะเกิดความรู้สึกหวั่นไหวว่ามันจะได้อะไรหรือจะเสียอะไร มันเลยปกติ ปกติไม่ว่าพวกไหนจะมา พวกยักษ์พวกมารอะไรจะมา พวกเทวดาอะไรจะมาก็ตาม มันก็ไม่เปลี่ยนจากความปกติ แต่ถ้าคนธรรมดามันไม่เป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ต้องไปถามใครหรอก สังเกตดูเอาเองจากในใจของตนที่มีความรู้สึกอยู่จริง ๆ วันหนึ่ง ๆ มันเกิดความรู้สึกทำนองนี้กันกี่มากน้อย บางทีมันจะเกือบทั้งหมด แม้จะทำการงานอยู่มันก็อดวิตกกังวลไม่ได้ จะเรียนหนังสืออยู่มันก็อดวิตกกังวลไม่ได้ เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องแพ้เรื่องชนะ ได้เปรียบเสียเปรียบของตัวกู มันอดคิดไม่ได้ นั่นนะคือไฟชนิดที่เผาโพลง ๆ บางคราว เผากรุ่น ๆ อยู่บางคราว มันอัดควันอยู่ในบางคราว ชีวิตเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้จะเป็นอย่างไร เราจะเรียกว่าจิตที่มันเกลี้ยง ชีวิตที่มันเกลี้ยงนั่นนะคืออิสรภาพ เสรีภาพ นั่นน่ะคือวิมุต ความหลุดพ้นตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา เมื่อวิมุตหลุดพ้นจากสิ่งบีบคั้นเหล่านี้แล้วมันก็เย็น เป็นนิพพาน เป็นความเย็น แม้ยังไม่สิ้นกิเลสแต่ถ้ากิเลสไม่เกิดขึ้นรบกวนมันก็เย็นเป็นนิพพานโดยเท่ากัน ถ้านิพพานสมบูรณ์ของพระอรหันต์นั่นมันไม่อาจจะเกิดกิเลสได้อีก ทีนี้เรายังมีกิเลส แต่ถ้าเราทำชนิดที่กิเลสไม่เกิดขึ้นเผาลน มันก็ยังมีความเย็นไปตามแบบเดียวกันนั่นแหละ เรียกว่า นิพพานโดยปริยาย อย่างธรรมดาสามัญ ถ้าไปทำลายรากเหง้าของกิเลสหมดจดสิ้นเชิงไม่อาจจะเกิดอีกแล้ว มันก็เป็นนิพพานสมบูรณ์ของพระอรหันต์ ฉะนั้นนิพพานจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือควรจะเกี่ยวข้องแม้แก่ปุถุชนคนธรรมดาสามัญทั่วไป มิฉะนั้นมันจะเป็นชีวิตร้อน
โลกมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะให้เกิดชีวิตร้อนยิ่งขึ้น ๆ ฉะนั้นเตรียมตัวไว้ให้ดี ศึกษาธรรมะไว้ให้พอ เพื่อจะอยู่ในโลกที่มันไม่น่าอยู่นี่ยิ่งขึ้น ๆ พูดง่าย ๆ ว่าเตรียมตัวสำหรับอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า ไม่อวดดี ไม่ใช่อวดดีอะไรว่ามันจะต้องเตรียมตัวสำหรับจะอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า ซึ่งมันจะมีคนบ้าเพราะกิเลสมากขึ้นทุกที ๆ เพราะการศึกษามันเป็นการศึกษาหมาหางด้วน ทั้งโลกมันมีการศึกษาชนิดหมาหางด้วน ขออภัยใช้คำตรง ๆ เพื่อประหยัดเวลา มันเป็นคำหยาบคายหน่อย คือให้เรียนกันแต่หนังสือ ให้เรียนกันแต่วิชาชีพ ส่วนจะบังคับจิตใจกันอย่างไร จะเป็นมนุษย์กันอย่างไรให้เยือกเย็นนั้นไม่ได้เรียน ๆ โรงเรียนไหนมหาวิทยาลัยไหนประเทศไหนก็ตามมันไม่ได้เรียน มันมุ่งตะบันแต่ให้รู้หนังสือเพื่อจะฉลาด แล้วก็เรียนวิชาชีพให้สูงสุดให้ได้เปรียบมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วก็มุ่งจะทำงานพัฒนาตัวเอง พัฒนาสังคม พัฒนาประเทศชาติ ด้วยสิ่งชนิดที่เป็นปัจจัยแก่กิเลสทั้งนั้น ดังนั้นทั้งโลกมันจึงเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันก็เป็นเรื่องให้เกิดกิเลสทุกอย่างทุกประการขึ้นมา เรียกว่าเราต้องอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า ถ้าเราไม่มีความรู้ที่เพียงพอเราก็จะเดือดร้อน ๆ ไม่ต้องพูดที่ไหนเอาที่กรุงเทพฯ นั่นล่ะอันธพาลมันจะมากขึ้น แล้วเราจะอยู่ในบ้านเมืองที่อันธพาลมันมากขึ้นได้อย่างไร ถ้าเราไม่รู้จักปรับปรุงจิตใจภายในของเราให้เหมาะสมที่จะอยู่ร่วมโลกกับอันธพาลเหล่านั้น ซึ่งมันจะต้องมากขึ้นเพราะการศึกษามันไม่ถูกต้อง เพราะเหตุการณ์ในโลกมันบีบบังคับ เพราะความผันแปรของหมู่มนุษย์น่ะมันไปผิดทาง คือมันเป็นทาสของกิเลสมากขึ้น หรือเป็นทาสของสัญชาตญาณมากขึ้น ทั้งที่เรียนเรื่องสัญชาตญาณแต่ก็ไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์หรือไม่เรียนกันในแง่ที่มันจะใช้ให้เป็นประโยชน์ มันก็รู้จักเรื่องสัญชาตญาณสักว่าเป็นหลักวิชาล้วน ๆ เอามาประยุกต์อะไรไม่ได้ นี่ขอให้เราใช้วิชาทุกอย่างที่มีอยู่เรียนอยู่น่ะมาประยุกต์ใช้ให้ได้ในการที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างทุกประการของชีวิตจิตใจ เพื่อว่าจะได้มีชีวิตเย็น เพื่อจะได้มีชีวิตเย็น นี่จึงเรียกว่าเราจะต้องนึกถึงแล้วล่ะ คือชีวิตใหม่หรือการเกิดใหม่ ไม่ต้องตาย เกิดโดยไม่ต้องตาย เกิดโดยการปรับปรุงจิตใจเสียใหม่ให้มีความรู้ความเฉลียวฉลาดพอที่จะต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ได้
ถ้าจะพูดก็คือให้มีธรรมะคุ้มครองให้มากขึ้น ถ้าให้ศักดิ์สิทธิ์กว่านั้นหน่อยก็พูดว่าให้มีพระรัตนตรัยคุ้มครองมากขึ้น แต่ก็น่าสังเวชน่าสงสารที่ว่าไม่รู้จักว่าพระรัตนตรัยนั้นคืออะไร ไม่รู้จัก ขออภัยท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่นี้รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถึงที่สุดแล้วหรือยัง น่ากลัวว่ามันจะรู้จักแต่เพียงชื่อ รู้จักแต่เพียงบทบัญญัติบทนิยามคำเหล่านั้น มันก็กลายเป็นเรื่องพูดได้หรือจำได้แต่ไม่มีตัวจริง มีพระพุทธเจ้าคือผู้ตรัสรู้แล้วสอน พระธรรมคือคำสอน พระสงฆ์คือผู้ปฏิบัติได้ อย่างนี้มันก็ไม่รู้จักตัวจริง รู้จักเท่าที่เขาบอก แล้วก็รับทำพิธี พุทธังสรณัง คัจฉามิ ธัมมังสรณัง คัจฉามิ ซึ่งนกแก้วนกขุนทองมันก็ว่าได้ถ้าเอามาฝึกมาสอน นี้น่าหัวที่สุดเลยที่เอาเด็กมาทำพิธีพุทธมามกะที่นี่ตามระเบียบราชการน่ะ อาตมาก็ต้องทำตามระเบียบที่เขาจดมาเขียนมาให้ทำอย่างไรบ้าง เด็กก็ว่าอย่างนั้นเราก็ให้พร นึกละอายตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะเด็กนั้นไม่รู้เลยว่าพระพุทธคืออะไร พระธรรมคืออะไร พระสงฆ์คืออะไร แล้วก็เอามาให้ว่า พุทธังสรณัง คัจฉามิ หรือว่าปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะหรือว่าพระรัตนตรัยแล้วก็กลับไป ดูถึงคนผู้ใหญ่ที่โต ๆ แล้วบ้างมันยังอยู่ในสภาพอย่างนี้หรือเปล่า มันยังอยู่ในสภาพเหมือนกับอย่างเหล่านี้หรือเปล่า ข้อนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เรื่องพุทธังสรณัง คัจฉามิ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เท่าทีมีปรากฏอยู่ในพระบาลีทั้งหมดทั้งสิ้นน่ะ คำ ๆ นี้มันจะพูดออกมาโดยบุคคลที่เข้าใจธรรมะ มองเห็นว่าเป็นที่พึ่งได้จริงแล้วเท่านั้นน่ะมันจึงจะพูดออกมาเอง โดยพระพุทธเจ้าไม่ต้องบอกไม่ต้องนำ ไปอ่านดูในสูตรทั้งหลาย ถ้าเขาได้ฟังธรรมสนทนากับพระพุทธเจ้าซักไซ้ไล่เรียงจนเห็นชัดลงไปว่า ไอ้ธรรมะนี่ดับทุกข์ได้จริง ๆ เห็นชัดประจักษ์แล้ว จึงร้องออกมาเองว่าข้าพเจ้าขอถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ คำว่า พุทธังสรณัง คัจฉามิ น่ะเป็นคำพูดของคนที่เห็นธรรมะโดยประจักษ์ชัดว่าดับทุกข์ได้จริงแล้วพูดออกมา เดี๋ยวนี้เรามาใช้เป็นคำร้องของผู้ที่ไม่รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย แล้วให้เขาร้องออกมา แล้วก็เสร็จพิธีเป็นพุทธบริษัทอย่างนกแก้วนกขุนทอง
ฉะนั้นจงมองดูเห็นว่ามันจะแยกกันอยู่เป็น ๒ ชนิด คือ การถือสรณคมน์ด้วยปัญญา เห็นชัดแล้วว่าดับทุกข์ได้จริงจึงถือสรณคมน์ด้วยปัญญานี้อย่างหนึ่ง ทีนี้อีกอย่างหนึ่งถือสรณคมน์ตามธรรมเนียม ไม่รู้ ไม่ได้รู้ไม่ได้รู้สึก แต่เขามีพิธีมีประเพณีมีธรรมเนียม ให้ว่าก็ว่าไป อย่างมากก็แค่ศรัทธาอย่างงมงายเสียด้วย ศรัทธาที่ไม่มีปัญญามันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นขอบอกว่าไม่พอหรอกที่พวกนักเรียนนักศึกษาทั้งหลายเคยทำพิธีพุทธมามกะมาแล้วนั้นมันไม่พอ มันถือสรณคมน์นกแก้วนกขุนทอง เป็นพิธีรีตอง แล้วไม่เคยมีในครั้งพุทธกาล เอาสิ ถ้าในครั้งพุทธกาลมันจะมีแต่สรณคมน์ของผู้ที่เห็นธรรมะแล้วร้องตะโกนออกมา เขาไม่มีพิธีให้รับก่อนกันอย่างนี้ ไปฟังเทศน์ทุกวัน ถ้าใครฟังเข้าใจพอใจรับเอาไว้ในจิตใจแล้วจึงร้องตะโกนออกมาว่ารับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะจนตลอดชีวิต
ทีนี้คิดดูให้ดีสิว่าเรื่องมันยังมีปัญหามาก แม้กระทั่งการศึกษาหรือขนบธรรมเนียมประเพณีที่มันยังไม่เกื้อกูลแก่การที่จะทำให้มนุษย์นี่มีความรู้ที่ควรจะรู้ คือ เรื่องธรรมะสำหรับจะไปควบคุมสัญชาตญาณของเขาให้ดำเนินมาอย่างถูกต้องเหมือนกับมีชีวิตใหม่หรือมีการเกิดใหม่ ดังนั้น ในวันนี้เราจะไม่พูดเรื่องอะไรมากไปกว่าเรื่องว่าจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิตใหม่หรือการเกิดใหม่ที่พระพุทธศาสนาจะมีให้เรา คือ ระบบธรรมะสำหรับเรียน สำหรับปฏิบัติจนเกิดผลขึ้นมา แล้วก็จะปรากฏเป็นชีวิตใหม่ หรือการเกิดใหม่ขึ้นมา คุ้มค่าไหม ตัดสินดูเอาเองว่าถ้าได้สิ่งนี้น่ะ ชีวิตใหม่เกิดใหม่ที่เยือกเย็นนี่คุ้มค่าไหม ที่มาสวนโมกข์น่ะเสียค่ารถเท่าไร เสียเวลาเท่าไร เหนื่อยเท่าไร ถ้าคุ้มค่าก็ดีไป อาจารย์ฟุ้งเฟื่องไม่ต้องทะเลาะกับยมบาล ที่ทำให้คนอื่นใช้เงินไม่คุ้มค่า ทีนี้มันจะคุ้มค่าหรือไม่มันก็ต้องอยู่ที่ผู้นั้นด้วย ผู้นั้นต้องเป็นผู้สนใจทำให้มันได้รับผลคุ้มค่ามันจึงจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ จึงขอร้องว่าจงสนใจว่า มันจะได้อะไรในการที่จะเข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนา ศึกษาแล้วจะได้อะไร
อาตมาขอสรุปความสั้น ๆ อย่างที่พูดมาแล้วว่าเราจะได้ชีวิตใหม่ซึ่งเป็นชีวิตที่เย็น ไม่ต้องร้อน ไม่ต้องระหกระเหินล้มลุกคลุกคลานไปตามอำนาจของสัญชาตญาณหรือกิเลส กล่าวคือ สัญชาตญาณที่ควบคุมไว้ไม่ได้ ความรู้สึกเดิม ๆ ที่เป็นสัญชาตญาณน่ะโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกในทางเพศนั้นน่ะ ถ้าควบคุมไม่ได้แล้วมันจะเป็นปัญหาทั้งหมด อย่างที่ Sigmund Freud ว่าปัญหาต่าง ๆ มันมาจากความหมายจากเรื่องเพศทางเพศนั้นมันก็มีความจริง เพราะว่าถ้าทำผิดเรื่องนี้แล้วมันเกิดปัญหาแตกแยก กิเลสแตกแยกออกไปอีกมากมายทุกอย่างทุกประการ ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม นี้เพียงแต่สัญชาตญาณเรื่องเกี่ยวกับเพศอย่างเดียวนั้นน่ะมันก็มากมายมหาศาลอย่างนี้แล้ว มันยังมีสัญชาตญาณในความหมายอื่นอีกมากมายมันก็เลยเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวง ฉะนั้นควรศึกษาธรรมะให้มีความรู้พอที่จะไม่ปล่อยไปตามอำนาจของสัญชาตญาณ เราศึกษาเรื่องปัญญา ความรู้จริงเกี่ยวกับธรรมชาติ แล้วเราฝึกฝนอย่างมีสติ ระลึกได้เร็ว เอาปัญญามาทันแก่เหตุการณ์ มาเป็นสติสัมปชัญญะควบคุมอยู่ แล้วก็มีกำลังสมาธิกำลังจิตทั้งหมด สัมปชัญญะน่ะมันเล่นงานเหตุการณ์ คือ กิเลส เราก็จะปลอดภัย เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเป็นวิธีที่จะควบคุมสัญชาตญาณ มันยืดยาว ไว้คุยกันคราวหลัง ซึ่งมันต้องศึกษาไปถึงนั่น มันจึงจะสามารถมีชีวิตใหม่ คือเราจะต้องพบวิถีทางอันใหม่ แล้วเราก็จะพบชีวิตใหม่หรือโลกใหม่
ในวันนี้ก็เป็นเรื่องเริ่มต้น ขอให้จัดให้เข้ารูปเข้ารอยว่ามันจะต้องได้อะไรในการเข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนา จะได้รู้จักพระพุทธศาสนา จนได้รับประโยชน์อันแท้จริงจากพระพุทธศาสนา เพียงเท่านี้ ๆ ก็คุ้มค่าของการที่ได้เกิดมา คือ สามารถควบคุมชีวิตให้ดำเนินอยู่แต่ในความที่ถูกต้อง ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์แต่ประการใดเลย ขอให้ทุกท่านมีความปรารถนาตั้งใจที่จะเข้าถึงจุด ๆ นี้ คือ มีความรู้ที่จะควบคุมสัญชาตญาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกิเลส อันได้แก่สัญชาตญาณที่ควบคุมไว้ไม่ได้ มันเป็นเรื่องยากจริงแต่มันเป็นเรื่องที่ทำได้ ถ้าเป็นเรื่องเหลือวิสัยพระพุทธเจ้าไม่นำมาตรัส นี่ขอยืนยันแทนพระพุทธเจ้า เพราะถ้าเป็นเรื่องเหลือวิสัยปฏิบัติไม่ได้พระพุทธเจ้าจะไม่นำมาตรัสมาสอน ถ้านำมาตรัสมาสอนก็ต้องเลือกว่ามันอยู่ในวิสัยที่คนผู้ฟังจะเข้าใจและประพฤติตามได้ ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจไว้อย่างนี้ มีความมุ่งหมายไว้อย่างนี้ มีเป้าหมายไว้อย่างนี้ แล้วก็คงจะได้ศึกษาให้มากยิ่งขึ้นไป ปฏิบัติให้สูงขึ้นไป แล้วก็ได้รับผลเป็นชีวิตเย็น
ขอยุติการบรรยายเพราะสมควรแก่เวลาและสมควรแก่เรี่ยวแรงด้วย ขอยุติการบรรยายด้วยความหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะได้รับประโยชน์คุ้มค่าของการมา ไม่ต้องไปทะเลาะกับยมบาลว่าใช้เงินไม่คุ้มค่า ใช้เวลาไม่คุ้มค่า ใช้เรี่ยวแรงไม่คุ้มค่า ให้มีความก้าวหน้าในทางของพระธรรมอยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ