แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต่อไปนี้ ก็จะได้บรรยายต่อจากที่ได้กล่าวมาแล้ว ว่าการเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตนๆ ซึ่งตามหลักพุทธศาสนาก็คือรู้ว่าไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งใดที่ควรจะยึดถือเอาโดยความเป็นตัวตนหรือเป็นของๆ ตน เป็นตัวตนของตน นั่นแหละคือหัวใจของพุทธศาสนาที่จะกำจัดความเห็นแก่ตนได้สิ้นเชิง ต่างจากศาสนาอื่นใดทั้งหลาย ที่ว่ามีตัวตนและไปจบลงด้วยความมีตัวตน ไปมีตัวตนอยู่อย่างถาวร ถ้ามีความรู้สึกอย่างนั้น ก็จะยังมีความรู้สึกซึ่งเป็นเหมือนกับการแบกหรือถือไว้ซึ่งตัวตน เป็นความหนัก นั้นมิใช่เป็นที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ มิใช่ดับทุกข์สิ้นเชิง มิใช่นิพพาน พุทธศาสนามีหลัก จบสิ้นสุดลงด้วยความไม่มีตัวตน ต่ำลงไปกว่านั้นก็ไปมีตัวตนอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งซึ่งเป็นการถาวร ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงมีการจบลงด้วยความว่าง คือว่างจากตัวตนโดยประการทั้งปวง ควรจะมองเห็นหัวใจของพระพุทธศาสนาในลักษณะอย่างนี้ แล้วพยายามให้เข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนานี้กันจงทุกคน รู้จักสังเกตให้ดีว่าเมื่อจิตใจเกลี้ยงเกลาไปจากความรู้สึกว่ามีตัวตนนั้นมันไม่หนักอะไร มันจะหนักอะไรได้ มันจะถืออะไรได้ มันจะไม่เกิดการได้การเสีย การแพ้การชนะ การเอาเปรียบการได้เปรียบ การมีกำไรการขาดทุนใดๆ เพราะว่ามันไม่มีตัวตน จนกระทั่งว่ามันไม่มีตัวตนที่จะไปเกิดชาติใหม่ เพราะเดี๋ยวนี้ที่นี่มันก็ไม่มีตัวตนเสียแล้ว
แต่ก็มีคำสอนอีกประเภทหนึ่งไว้สอนสำหรับผู้ที่ยังมีตัวตน นับตั้งแต่ระดับลูกเด็กๆ ขึ้นมา เขายังต้องมีตัวตน เขาไม่อาจจะเข้าใจความไม่มีตัวตน ก็ต้องสอนกันไปก่อนเพื่อให้มีตัวตนที่สูงขึ้นๆ ให้เกิดความรู้สึกที่เป็นตัวตนตามสัญชาตญาณนั้น เดินไปในทางที่ถูกต้องคือเป็นโพธิ เป็นตัวตนที่ถูกต้อง อย่าให้มาเป็นตัวตนของกิเลส ซึ่งจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ แล้วก็จะเพิ่มความทุกข์ให้มากขึ้น รู้จักแยกทางกันที่ตรงนี้ อย่าให้สัญชาตญาณตามธรรมชาติพื้นฐานนั้นเจริญรุ่งเรืองเกินขอบเขต จนเป็นกิเลสคือความเห็นแก่ตน แต่ให้ไปในทางตรงกันข้ามคือเป็นโพธิ โพธิปัญญา รู้ว่าไม่มีตน มีแต่ธาตุตามธรรมชาติ จะเรียกว่าอายตนะ จะเรียกว่าขันธ์ จะเรียกว่าสุข จะเรียกว่าทุกข์ จะเรียกว่าอะไรก็สุดแท้ ล้วนแต่มิใช่ตัวตน จิตมันก็ว่างจากความรู้สึกว่ามีตัวตน ชีวิตก็ได้รับผลแห่งความไม่มีตัวตน นี่แหละเป็นเรื่องดับทุกข์ตามวิถีทางของพระพุทธศาสนา ตัดต้นเหตุแห่งความทุกข์เสีย ต้นเหตุแห่งความทุกข์ก็คือความรู้สึกว่ามีตัวตน เกิดความรู้สึกว่ามีตัวตนเมื่อไหร่ ก็จะมีความทุกข์เมื่อนั้น ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ให้ละเอียดประณีตที่สุดว่า ในชีวิตของเราแต่ละวันๆ เมื่อไหร่ความรู้สึกว่าตัวตน มีตัวตนเกิดขึ้นในจิตแล้ว มันก็ร้อนด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง หรือว่าด้วยความรักบ้าง ความโกรธบ้าง ความเกลียดบ้าง ความกลัวบ้าง ความวิตกกังวลบ้าง ความอาลัยอาวรณ์บ้าง ความอิจฉาริษยาบ้าง ความหวงความหึงบ้าง นี่มันก็มีเป็นทุกข์เป็นไฟขึ้นมา แต่แล้วมันก็มีระยะที่มันมิได้เกิด มันมิได้เกิด คือมันมิได้มีการปรุงแต่ง เป็นตัวตนชนิดนี้ ระยะนั้นมันก็สงบเย็นหรือว่ามันว่าง มันว่างจากตัวตน มีความว่างจากตัวตน ก็มีความหมายเป็นนิพพาน คือเป็นความเย็น ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ว่าเรามันมีเวลาที่ว่างจากตัวตน ว่างจากกิเลสนั้น มันมีอยู่ไม่น้อย ถ้ามันไม่มีเลย ๒๔ ชั่วโมง มีแต่กิเลสหรือตัวตนแล้ว มันก็ตายภายในไม่เท่าไหร่หรอก มันก็จะเป็นโรคประสาท มันจะเป็นบ้าแล้วมันก็จะตาย เดี๋ยวนี้ธรรมชาติได้จัดมาให้เป็นอย่างดี ว่ามีระยะที่ว่างจากตัวตน เพราะว่ามันหยุดคิดหยุดนึกก็ได้ เช่นหลับไปเสียก็ได้ หรือว่าตื่นอยู่แต่มีความรู้ มีสติปัญญาควบคุมไม่ให้เกิดความรู้สึกที่เป็นตัวตนก็ได้ หรือว่าตามธรรมชาติตามธรรมดา มันก็ว่างจากตัวตนอยู่แล้ว ขอให้สังเกตอย่างยิ่งว่า เวลาไหนที่สบายที่สุดสำหรับคนเรา เวลาที่รู้สึกสบายที่สุดสูงสุด ก็คือเวลาที่จิตมันไม่มีความคิดรู้สึกว่าตัวตน ซึ่งมันก็มีอยู่ได้เองตามธรรมชาติ แต่เรากลับไม่สนใจ กลับมองข้ามไปว่านี่คือสิ่งที่มีบุญคุณสูงสุดแก่เรา จะเรียกว่าพระนิพพานชั่วคราว พระนิพพานตัวอย่าง พระนิพพานน้อยๆ ชั่วระยะอันสั้น คือระยะที่มันว่างจากตัวตนนั่นแหละ มันจึงรอดชีวิตอยู่ได้ พูดให้ชัดก็ต้องพูดว่าชีวิตนี้มันรอดอยู่ได้เป็นปกตินี้ เพราะมีพระนิพพานน้อยๆ เข้ามาแทรกเป็นระยะๆ อยู่อย่างนี้ ฉะนั้นขอทุกคนอย่าได้มองข้ามไป จะเป็นการเนรคุณอย่างยิ่งต่อพระนิพพานชนิดนี้ คือความที่ว่างจากตัวตนอยู่ได้เป็นระยะๆ ตามธรรมชาติก็ดี หรือตามที่เราควบคุมไว้ด้วยสติปัญญาคือการปฏิบัติธรรมะก็ดี ให้รู้ว่าชีวิตนี้รอดอยู่ได้นี้ เพราะพระนิพพานชั่วคราวหล่อเลี้ยงเอาไว้ถูกต้องสมบูรณ์ตามระยะตามสมควร เราจึงไม่เป็นบ้าและไม่ตายนี่ ถ้าขาดอันนี้เสียก็มีกิเลสตลอด ๒๔ ชั่วโมง วันเดียวก็ตายหมดแหละ ไม่มีอะไรเหลือ นี้ก็เป็นหัวใจที่จะต้องเข้าถึง จะต้องรู้จักว่าเรารอดชีวิตอยู่ได้โดยเหตุที่มีภาวะปราศจากการปรุงแต่งโดยประการทั้งปวง แล้วมันว่าง มันจะเป็นเองก็ได้ หรือว่าถ้ามันเหนื่อยขึ้นมา มันก็หยุดปรุงแต่งเองแหละ มันก็ต้องนอนหลับแหละ มันก็เป็นการพักว่างจากการเผาผลาญของกิเลส นี่เป็นพระนิพพานน้อยๆ พระนิพพานตัวอย่าง พระนิพพานชั่วขณะ ซึ่งมีความหมายว่า เย็น เย็น
คำว่าพระนิพพานนั้นน่ะ เป็นคำชาวบ้านที่ถูกทางศาสนายืมไปใช้เป็นชื่อของความเย็นสูงสุด ตามธรรมดาพระนิพพานนี้ก็เรียกกันอยู่ในหมู่มนุษย์ คือว่าเย็น เย็น นี่ เรื่องเหล่านี้ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินได้ฟัง นี่ขอยืนยันว่ามีในพระบาลีนั้นเองว่าชาวบ้านทั้งหลายเขาใช้พูดคำว่านิพพานๆ นี่ อยู่เป็นประจำในบ้านในเรือน เมื่อช่างทองหลอมทองเหลวคว้าง เพื่อจะทำเป็นทองรูปพรรณนั้น ก็มีคำกล่าวว่านิพฺพาเปยฺย ช่างทองนั้น จะต้องทำให้ทองที่เหลวคว้างนั้น นิพพานเสียก่อนโดยเอาน้ำราดลงไปเป็น นิพฺพาเปยฺย ก็ทำทองที่ร้อนเหลวคว้างนั้นให้เย็น แล้วก็มาใช้ทำเป็นรูปพรรณใดๆ ได้ นี่ภาษาธรรมดาใช้คำว่านิพพานอย่างนี้ แม้ในครัวก็ใช้คำว่านิพพานว่าถ้ายังร้อนอยู่รับประทานไม่ได้ ต้องรอให้เย็นเสียก่อน และใช้แม้แก่วัตถุล้วนๆ เช่นถ่านไฟแดงๆ พอมันดำลงๆ ก็เรียกว่ามันนิพพาน คำนี้ใช้คำว่านิพพาน ภาษาธรรมดาอย่างนี้ รวมความว่าของร้อนที่เย็นลงนั่นแหละคือนิพพาน นี่ในภาษาคนพูดอยู่ตามธรรมดาอย่างนี้ ครั้นถึงภาษาธรรมในทางพระศาสนา ก็เย็นจริง ตัดต้นเหตุแห่งความร้อนได้จริงคือตัดโลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งเป็นมูลเหตุแห่งความร้อนได้จริงมันก็เย็นจริง เย็นตลอดกาล นั่นแหละคำว่านิพพานในความหมายทางภาษาธรรม เป็นคำบัญญัติทางพระศาสนา ถ้าเป็นคำธรรมดาของชาวบ้าน อะไรเย็นก็ได้ มีคำกล่าวว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉานนี่ก็นิพพานได้ ถ้ามันหมดพิษ หมดพยศ เช่น ช้าง ม้า มาฝึกจนหมดพยศสนิทเป็นแมวไปแล้ว ก็เรียกว่ามันนิพพานเหมือนกัน คำนี้มีการกล่าวไว้ในพระบาลีในคัมภีร์บาลี เราจะต้องรู้จักความเย็นชนิดนี้กันให้มากขึ้น เย็นเพราะหมดต้นเหตุแห่งความร้อนคือโลภะโทสะโมหะ เมื่อใดโลภะโทสะโมหะไม่เกิดขึ้น ไม่ปรุงขึ้นมาเป็นความร้อน ก็อยู่ด้วยความเย็น แม้จะชั่วคราว แม้จะไม่ใช่สมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่แท้จริง แต่ก็มีผลอย่างเดียวกันแหละ ของชั่วคราวกับของถาวรนั้นน่ะ มันต้องเป็นเหมือนกัน เพียงแต่ผิดกันเพียงชั่วคราวหรือถาวร เราจงทำพระนิพพานชั่วคราวๆ ที่เกิดอยู่ในชีวิตประจำวันนี้ให้ยาวออกไป ให้ยาวออกไป ให้ระยะที่มันเย็นมันมากเข้า ระยะที่มันร้อนให้มันลดลง หรือให้มันมากขึ้นให้มันสูงขึ้น เพราะตัดต้นเหตุแห่งความร้อนได้มากขึ้น ก็จะมีความเย็น เย็นมากขึ้นๆ จนเป็นนิพพานที่สมบูรณ์ ที่ไหนก็ทำได้ ที่บ้านก็ทำได้ เป็นฆราวาสก็ทำได้ หากแต่ว่าฆราวาสไม่ค่อยสะดวก ถ้าไปบวชเป็นบรรพชิตมันสะดวกแค่นั้นเอง มันไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมาย มันจะต้องปฏิบัติอย่างเดียวกัน มีกิเลสอย่างเดียวกัน มีความทุกข์อย่างเดียวกัน ดับทุกข์อย่างเดียวกัน แต่การดับทุกข์ของบรรพชิตนั้นมันสะดวก เพราะมันออกไปอยู่ในชีวิตรูปแบบที่สะดวก ฉะนั้นเราก็จะต้องยอมรับว่าแม้เป็นฆราวาสก็จะต้องรู้เรื่องนี้ จะต้องปฏิบัติเรื่องนี้ เพื่อทำให้ชีวิตนี้เย็น เป็นนิพพาน นี่ก็เป็นหัวใจแห่งพระพุทธศาสนาที่จะต้องเข้าใจไว้
ทีนี้จะสรุปสั้นๆ ให้เข้าใจง่ายว่านิพพาน นิพพานในทุกความหมายเลย ไม่เกี่ยวกับความตาย เราได้รับการสั่งสอนมาผิดๆ ว่านิพพานเป็นการตายของพระอรหันต์ มันผิดหลายชั้นนัก มันจะเป็นการหลับตาพูดเสียมากกว่าว่านิพพานเป็นความตายในความหมายใดความหมายหนึ่ง พระอรหันต์นั้นตายไม่ได้ โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าแล้วก็ยิ่งตายไม่ได้ แต่ว่าสังขารร่างกายกลุ่มที่รองรับจิตใจนี้ มันแตกทำลายได้ ฉะนั้นจะเอาไปเป็นชื่อของการตายของพระอรหันต์ไม่ได้ ส่วนพระอรหันต์ไม่ตาย แต่ว่าร่างกายของพระอรหันต์นั้นแตกทำลายได้ ก็เรียกว่าท่านดับขันธ์ด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน ตามธรรมดาท่านมีนิพพานชั้นสูงสุดอยู่เป็นประจำ แล้วการดับขันธ์ดับร่างกายของท่าน มันดับไปในลักษณะที่มีนิพพานชนิดนี้คงมีอยู่ เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจเสียใหม่ว่าท่านดับขันธ์ด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน ตัวอนุปาทิเสสนิพพานนั้นมิใช่ความตาย การตายอยู่ที่ขันธ์ทั้งหลาย ของพระอรหันต์ทั้งหลายก็ดี ของพระพุทธเจ้าก็ดี มันก็เป็นการดับของขันธ์ อย่าไปพูดว่าการดับหรือการนิพพานของพระพุทธเจ้าหรือของพระอรหันต์ เราจะสูญเสียพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ไปหมดด้วยความโง่ของเราเอง ที่ไปเข้าใจและไปพูดว่าพระพุทธเจ้านิพพานคือตาย พระอรหันต์นิพพานคือตาย นิพพานไม่ได้เกี่ยวกับความตาย นิพพานชั้นสูงสุดแล้วยิ่งไม่เกี่ยวกับความตาย คืออยู่เหนือความเกิด แก่ เจ็บ ตายโดยประการทั้งปวง แม้แต่นิพพานน้อยๆ นิพพานชั่วคราวนี้ยิ่งไม่เกี่ยวกับความตาย ดังนั้นจงรู้จักพระนิพพานที่มีอยู่แล้วเป็นตัวอย่าง เป็นเดิมพันว่ามันมีอยู่กับเราทุกวันๆ อย่าพูดพร่ำพูดฝันเพ้อไปว่าอีกแสนกัป แสนชาตินู่นต่อจะนิพพาน ทำได้แต่ปัจจัยแก่พระนิพพานต่อแสนกัปแสนชาติ อย่างนี้ไม่ใช่พุทธศาสนา ไม่ใช่พุทธบริษัท คำว่าพระนิพพานไม่เกี่ยวกับความตายโดยประการใดๆ ไม่ว่านิพพานในระดับไหน นิพพานแท้จริง หรือนิพพานชั่วคราว หรือนิพพานอะไร เมื่อใดจิตไม่มีการปรุงแต่งเป็นกิเลสและความทุกข์ เมื่อนั้นมีภาวะของนิพพาน ปรากฏอยู่ในความรู้สึกหรือในจิตนั้น เดี๋ยวนี้จิตปฏิบัติตนทั้งร่างกายและใจจนอยู่ในสภาพที่จะมีอะไรมาปรุงแต่งไม่ได้ ไม่มีสิ่งแวดล้อมภายนอกใดๆ มาปรุงแต่งจิตใจนี้ให้เกิดกิเลสได้ จิตนี้เรียกว่าถึงวิสังขาร จิตบรรลุถึงวิสังขาร คือสภาพที่อะไรๆ มาปรุงแต่งจิตให้เกิดกิเลสไม่ได้ นี้ก็เป็นนิพพานอันถาวร เป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของทุกคน แม้ว่าเดี๋ยวนี้ยังไม่ถึง ก็ต้องจุดมุ่งหมายที่จะถึง ถ้ามิฉะนั้นมิใช่พุทธบริษัท มิใช่สาวกของพระพุทธเจ้า ถ้าจะทำสมาธิใดๆ ก็ขอให้มีพระนิพพานเป็นจุดหมาย เอกัคคตาจิตมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ นั่นแหละคือสมาธิที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา ถ้าเอกัคคตาจิตมิได้มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ สมาธินั้นมิใช่สมาธิในพุทธศาสนา เป็นสมาธิของเดียรถีย์อื่นหรือว่านอกพุทธศาสนา หรือของคนธรรมดาสามัญ ยักษ์มารทั่วไปเขาก็มีสมาธิกันได้ แล้วสมาธิในพระพุทธศาสนาต้องมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ของเอกัคคตาจิต นี่เราจงสังเกตดูให้ดี บางทีถ้าเรามีสติสัมปชัญญะกำหนดเวลาที่จิตของเราว่างจากตัวตน เยือกเย็นเป็นสุขอย่างยิ่ง เมื่อนั้นเป็นทั้งสมาธิเป็นทั้งวิปัสสนา มีศีลรองรับอยู่ในตัวมันเอง เป็นพระนิพพานที่แท้จริง รู้จักไว้ให้ดี จะได้ขยายให้มากขึ้น จะได้ขยายยาวออกไป พระนิพพานอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ อยู่กับคนๆ นั้นโดยบุคคลนั้นไม่รู้จัก ถ้าเขาไม่มีนิพพานชนิดนี้หล่อเลี้ยงชีวิต และเขาตายแล้ว ไม่กี่นาทีเขาก็ต้องเป็นบ้า นี่เรามันมีชีวิตที่หล่อเลี้ยงอยู่ด้วยพระนิพพานเป็นระยะๆ ขอให้เข้าถึงความจริงอันนี้ เป็นจุดลึกซึ้ง สุดยอดหรือหัวใจของพระพุทธศาสนา
เมื่อใดจิตว่างจากตัวตน พระนิพพานก็มีอยู่ที่จิตนั้นแม้ชั่วคราว เมื่อใดจิตมีตัวตน เมื่อนั้นก็สูญเสียภาวะพระนิพพาน จิตเดิมแท้ตามธรรมชาติ ถ้าไม่มีกิเลสเข้ามามันก็มีภาวะเป็นนิพพาน เหมือนเป็นจิตประภัสสร แต่ความเป็นประภัสสรนั้นมันเปลี่ยนได้ มันมีกิเลสแทรกแซงเข้ามาได้ เราต้องฝึกฝนปรับปรุง ปฏิบัติอบรมจิตประภัสสรตามธรรมชาติชั่วคราวนั้น ให้เป็นจิตประภัสสรถาวรเด็ดขาดลงไป จิตพระอรหันต์ เป็นจิตประภัสสรสูงสุด คือประภัสสรที่กลับเศร้าหมองไม่ได้ จิตปุถุชน เป็นประภัสสรชั่วเวลาที่กิเลสไม่ได้เกิดขึ้น พอกิเลสเกิดขึ้นก็สูญเสียความเป็นประภัสสร ก็เป็นทุกข์ ทีนี้เมื่อเรามารู้เรื่องนี้ รู้อย่างนี้ ว่าจิตมันเป็นอย่างนี้ แล้วการปฏิบัติพระพุทธศาสนาก็เป็นไปได้สำหรับบุคคลนั้น เขาจะรู้จักความจริงอันนี้ และจะปฏิบัติได้ ถ้าไม่รู้จักอย่างนี้ เขาก็ไม่เคยคิดจะปฏิบัติ แม้เขาอยากจะปฏิบัติ แล้วมันก็ปฏิบัติไม่ได้ เพราะมันเป็นความทุกข์ที่ถาวรตายตัวเสียแล้ว เดี๋ยวนี้จิตมันยังอยู่ในสภาพที่อะไรๆ ปรุงแต่งได้ เราก็มีหน้าที่ระวังการปรุงแต่ง อย่าให้ปรุงแต่งไปในทางฝ่ายที่เป็นทุกข์ คือปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่เป็นทุกข์ ฉะนั้นอย่าให้มันเกิดขึ้นและดำเนินไปได้ ให้มันอยู่แต่ในฝ่ายปฏิจจสมุปบาทที่ดับทุกข์ พอผัสสะมีแล้ว มีสติปัญญามาทันท่วงที เอาปัญญามาเผชิญหน้ากับอารมณ์ที่มากระทบ ปัญญาเปลี่ยนรูปเป็นสัมปชัญญะเผชิญหน้ากับอารมณ์ที่มากระทบ แล้วเราก็เพิ่มสมาธิคือกำลังจิตอย่างยิ่งลงไปๆ ในสัมปชัญญะ สัมปชัญญะก็สามารถเผชิญกับอารมณ์ ไม่ทำให้เกิดกิเลส ไม่ปรุงเป็นกิเลสใดๆ ขึ้นมาได้ หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าไม่เกิดตัณหาขึ้นมาได้ มันก็ไม่เกิดอุปาทานหรือภพหรือชาติในปฏิจจสมุปบาทขึ้นมาได้ เราก็รอดตัว นี้ก็เป็นหัวใจแห่งพระพุทธศาสนาที่จะต้องเข้าถึง พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่าเราบัญญัติแต่เรื่องความทุกข์กับความดับทุกข์เท่านั้น เรื่องอื่นไม่พูด ไม่มีคำถามว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วไม่เกิด หรือเกิดบ้างไม่เกิดบ้างอะไรก็ตาม ไม่มี ไม่มีคำถามว่าตายแล้วอะไรไปเกิด มันกินเวลามากเกินไป คนเหล่านั้นไม่อาจจะรู้ พระองค์จึงไม่ยอมตรัส จะยอมตรัสแต่เพียงว่าทุกข์เป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร และจะดำรงอย่างไรจึงจะไม่เกิดเหตุให้เกิดทุกข์ จะยอมพูดแต่เรื่องนี้ ดังนั้นพระองค์จึงตรัส ว่า ปุพเพจาหํ ภิกฺขเว เอตรหิ จ ทุกฺขญฺเจว ปญฺญาเปมิ ทุกฺขสฺส จ นิโรธํ ว่าแต่ก่อนก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี ฉันพูดแต่เรื่องความทุกข์กับความดับทุกข์เท่านั้น แต่มาพวกเราสาวกชั้นหลังมันพูดเรื่องอื่นร้อยเรื่องพันแปดหลายร้อยหลายพันเท่าที่จะพูดกันเรื่องความทุกข์กับดับทุกข์เท่านั้น เพราะว่าจิตมันถูกครอบงำ ถูกชักจูงไปในเรื่องที่มีความยั่วยวน โดยเฉพาะโลกสมัยวัตถุนิยมนี้ มันก็พูดก็คิดปรึกษาหารือกันแต่เรื่องความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุจนเป็นทาสทางวัตถุ ปัญญาที่มาคิด มานึก มาพูด ปรึกษาหารือเรื่องความทุกข์ความดับทุกข์มันก็หมดสิ้นไป นี่จะเอากันอย่างไร พุทธบริษัททั้งหลาย ขอให้ถือตามพระพุทธเจ้าว่าเรื่องอื่นไม่พูดกัน ไม่คุยกัน ไม่สนทนากัน พูดแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์ ถ้าจะต้องพูดเรื่องอื่นแล้วไปนอนเสียดีกว่า จะไม่ให้ผลร้ายใดๆ ถ้าไปพูดแต่เรื่องอื่นนอกจากความทุกข์กับความดับทุกข์แล้ว มันก็ชวนให้ยุ่งไปหมด ทำความเนิ่นช้าแก่ความดับทุกข์ไปหมด ถ้าจะพูดกัน จะปรึกษาหารือกัน ก็พูดกันแต่เรื่องความทุกข์กับความดับทุกข์
และทีนี้ก็ตรัสต่อไปว่าเรื่องความทุกข์ก็ดี เหตุให้เกิดความทุกข์ก็ดี ความดับแห่งทุกข์ก็ดี หนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์ก็ดี ตถาคตบัญญัติไว้ในกายที่ยาวประมาณวาหนึ่ง พร้อมทั้งสัญญาและใจ คำว่าพร้อมทั้งสัญญาและใจนี้ มีความหมายเพียงว่าเป็นๆ ไม่ใช่คนตาย คนที่ยังเป็นๆ ในร่างกายของคนเป็นๆ ที่ยาวประมาณวาหนึ่งนั้น ไปดูเถิด จะพบ ๔ เรื่องนี้ แต่ในกรณีอย่างนี้พระองค์ตรัสว่าโลก โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับแห่งโลกก็ดี ทางให้ถึงความดับแห่งโลกก็ดี ตถาคตบัญญัติไว้ในกายอันยาวประมาณวาหนึ่งนี้ พร้อมทั้งสัญญาและใจ ก็เรายังเป็นๆ กันอยู่ทุกคนมีสัญญาและใจ มันก็มีอะไรพร้อมในร่างกายนี้ที่จะดูให้เห็น ๔ ข้อนี้ ความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์และหนทางให้ถึงความดับทุกข์ นี่แหละก็จะค่อยมีความรู้ความเข้าใจว่าความทุกข์เกิดขึ้นมาจากการปรุงแต่งอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออารมณ์ภายนอกเข้ามากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นผัสสะแล้ว ไม่มีสติปัญญาที่จะควบคุมมัน มันก็เป็นทุกข์ ในร่างกายอันยาววาหนึ่งนี้ หรือถ้าในกรณีที่มันไม่มีเหตุปัจจัยภายนอก เราก็มีสิ่งที่เรียกว่าอนุสัย คือความเคยชินแห่งกิเลสที่สะสมไว้ในสันดานเรียกว่าอนุสัย เมื่อคนมีกิเลส มันก็เกิดกิเลส พอเกิดกิเลสครั้งหนึ่งมันก็สร้างความเคยชินที่จะเกิดกิเลสชนิดนั้นหน่วยหนึ่งเก็บไว้ในสันดาน เราโลภทีหนึ่ง ก็เก็บความเคยชินที่จะโลภไว้หน่วยหนึ่งในสันดาน โกรธทีหนึ่งก็เก็บความเคยชินที่จะโกรธไว้หน่วยหนึ่ง ความเคยชินหน่วยหนึ่งไว้ในสันดาน เราโง่ไปทีหนึ่ง สะเพร่าไปทีหนึ่ง เราก็เก็บความเคยชินที่จะโง่และสะเพร่าหน่วยหนึ่งไว้ในสันดาน แล้วมันเกิดโลภ เกิดโกรธ เกิดหลงนี่ กี่ครั้งล่ะ มันก็เก็บไว้เท่านั้นหน่วย ที่เก็บไว้ในสันดานอย่างนี้เป็นความเคยชินที่จะเกิดกิเลส อย่างนี้เรียกว่าอนุสัย มันมีอยู่ด้วยกันทุกคนที่ยังมีชีวิต ตลอดเวลาที่ยังมีกิเลส เกิดกิเลสครั้งหนึ่งเก็บอนุสัยไว้หน่วยหนึ่งเสมอ
แต่ในทางที่ตรงกันข้าม ถ้าว่าเราไม่โลภ ในเมื่อมีกรณีที่ควรจะโลภ เราบังคับไว้ได้ เราไม่โลภ มันจะลดอนุสัยหน่วยหนึ่งด้วยเหมือนกัน ลดอนุสัยแห่งความโลภหน่วยหนึ่งด้วยเหมือนกัน ถ้าว่าเราบังคับไว้ได้ไม่ให้โกรธ มันก็ลดอนุสัยแห่งความโกรธไปหน่วยหนึ่ง บังคับไว้ได้ไม่ให้โง่ ไม่ให้สะเพร่า มันก็ลดอนุสัยแห่งโมหะลงไปหน่วยหนึ่ง ถ้าเราบังคับไว้ได้ทุกทีอย่างนี้ อนุสัยมันก็ลดๆ ลดจนกว่าจะหมด เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น มันมีแต่เพิ่มๆ โกรธเพิ่มใหม่ โลภเพิ่มใหม่ หลงเพิ่มใหม่ อนุสัยมันก็หนาขึ้นจนเต็มปรี่ในสันดานพร้อมที่จะออกมาเป็นอาสวะ อาสวะคือกิเลสที่จะกลับออกมาภายนอกจากอนุสัยที่สะสมไว้ในสันดาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอะไรมากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจเอง อนุสัย กิเลสที่เป็นความเคยชินแห่งกิเลสนั้นจะออกมา ก็เป็นกิเลส นี่เราจะต้องรู้จักถ่ายถอนอนุสัย คือว่าบังคับไว้ไม่ให้โลภ โกรธ หลง เพิ่ม ก็เจริญวิปัสสนาซึ่งเป็นการทำลายอนุสัย โลภ โกรธ หลงนั้นอยู่เสมอไป อนุสัยก็จะลด ลด ลด ถ้ามันลดหมด มันก็ไม่มีออกมา มันก็สิ้นกิเลส สิ้นอนุสัย สิ้นอาสวะ เป็นพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้ยังไม่เป็น ก็ควบคุมไว้ให้ดี ถ้ามันจะโลภ บังคับไว้ไม่ให้โลภ มันก็ลดอนุสัย มันจะโกรธ บังคับไว้ไม่ให้โกรธ มันก็ลดอนุสัย มันจะโง่ มันจะสะเพร่า บังคับไว้ไม่ให้โง่ ไม่ให้สะเพร่า มันก็ลดอนุสัย นี่เป็นวิธีการลดอนุสัย เมื่อไม่มีเหตุปัจจัยภายนอกมารบกวนจนถึงเกิดกิเลส อนุสัยนี่มันก็ส่งไอควันขึ้นมาเป็นนิวรณ์ นิวรณ์ ๕ นั่นแหละ ไม่ต้องมีเหตุปัจจัยภายนอก อนุสัยจะส่งขึ้นมาเป็นความรู้สึกทางกามบ้าง ทางพยาบาทบ้าง ทางถีนมิทธะคือหดหู่ซึมเซาบ้าง ทางอุทธัจจกุกกุจจะ ฟุ้งซ่านบ้าง ทางวิจิกิจฉา ลังเลไปหมดบ้าง นี่เราไม่สังเกตสิ่งที่มันมีอยู่จริง ถ้าไม่รู้จักแม้เพียงแต่อนุสัยแล้ว อย่าหวังเลยที่จะไปรู้จักการตัดต้นเหตุของกิเลสและความทุกข์ เราจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่านิวรณ์ ที่เกิดประจำวันจนเกลียดชังอย่างยิ่งที่สุดเสียก่อน มันจึงจะมีความพร้อมที่จะตัดต้นเหตุหรือทำลายอนุสัย ขอให้ตั้งต้นศึกษาไปจากนิวรณ์เถิดว่า เวลาที่เราไม่โปร่งใจ ไม่เย็นใจ ไม่สะดวกสบายใจนั่น เพราะมันมีนิวรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งรบกวนอยู่ตามกรณี บางทีก็เกิดมาเป็นความรู้สึกทางกาม มันก็รบกวนจิตใจ สูญเสียความสงบเย็น บางทีก็ออกมาเป็นพยาบาท อึดอัดขัดใจนั่นนี่ บางทีก็ไม่มีเหตุผลมันก็อึดอัดไปตามประสาโง่ๆ นั่นเอง มันก็สูญเสียความสงบเย็น บางทีก็มันแฟบ จิตใจมันหดหู่ มันท้อถอย มีปัจจัยบางอย่างส่งเสริมเข้าด้วย เช่นว่า รับประทานอิ่มมากเกินไปอะไรอย่างนี้ มันก็เป็นหดหู่อย่างนี้ เป็นส่งเสริมนิวรณ์ บางทีก็ฟุ้งซ่าน เลื่อนลอย บังคับไว้ไม่ได้
แต่สิ่งสุดท้ายที่เรียกว่าวิจิกิจฉานั้นสำคัญมาก มีอยู่ตลอดเวลา แล้วก็โดยไม่รู้สึกตัวด้วย นิวรณ์ข้อสุดท้ายคือวิจิกิจฉานี้ ยากที่จะจับตัวมัน แต่ถ้าเราสังเกตดูให้ดี เราก็อาจจะพบได้โดยไม่ยากนัก เพราะว่าเรายังไม่แน่ใจ ไม่มีความแน่ใจในความปลอดภัยก็ดี ชีวิตร่างกายทรัพย์สมบัติก็ดี สุขภาพอนามัยก็ดี ความรู้ การศึกษา ปัญหาในครอบครัวในอะไรก็ดี เรามิได้มีความแน่ใจว่าถูกต้องแล้ว เพียงพอแล้ว ปลอดภัยแล้วน่ะ เราจะมีความรู้สึกว่ายังไม่ปลอดภัยอยู่เสมอ แต่มันเต็มไปหมดจนเราทำเฉยๆ ลืมๆ กันไปเสีย ความจริง ความรู้สึกว่ายังไม่ถูกต้อง ยังไม่เพียงพอ ยังไม่ปลอดภัยน่ะ มันซ่อนอยู่ภายใต้ส่วนลึก แล้วบางทีมันก็ออกมามากจนกระทั่งว่าสงสัยลังเลว่าในชีวิตนี้ถูกต้องหรือไม่ หรือว่าความรู้การศึกษาที่เรามีอยู่นี้เพียงพอหรือไม่ แล้วมันก็พาลสงสัยลังเลไปถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าจะเป็นที่พึ่งได้จริงหรือไม่ นี่ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ว่าความไม่แน่ใจ ความลังเลชนิดนี้ มันอยู่ในส่วนลึก เป็นควันกรุ่นอยู่ เป็นความลังเล แต่ถ้าเราบังคับไม่ได้ มันก็เดือดร้อนจนนอนไม่หลับแหละ เดี๋ยวนี้มันก็ทำลืมๆ กันไปเสียได้ แต่สังเกตดูให้ดีเถิดว่า นิวรณ์นั่นแหละตัวบทเรียนดีที่สุดสำหรับตั้งต้นการศึกษาว่ามันเกิดมาจากอนุสัย โดยไม่ต้องไปอาศัยปัจจัยภายนอกทางตา หู เป็นต้น อนุสัยก็ส่งออกมาเป็นนิวรณ์และน่าเกลียดน่าชังอย่างยิ่ง กีดกันความสงบสุขความสงบเย็นอย่างยิ่ง เมื่อใดจิตไม่มีนิวรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เวลาที่สบายอย่างยิ่ง แต่ก็หายากเต็มที นี่กล้าพูดว่าในปุถุชนคนธรรมดาสามัญทั่วไปนั้น หาเวลาที่ว่างจากนิวรณ์ได้ยากเต็มที อย่างน้อยก็มันมีความลังเลในชีวิต ในทุกสิ่งว่ามันปลอดภัยหรือยัง รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย มันก็จะทำลืมๆ เฉยๆ ไปเสียอย่างนั้น ก็ทนอึดอัดกันอยู่อย่างนั้น นี่ถ้าว่ามีข้อสังเกตดีๆ รู้จักนิวรณ์ เกลียดชังนิวรณ์แล้วนั่นแหละ จะอยากดับทุกข์ขึ้นมาทันที ต้องการความสงบเย็นแห่งชีวิต ก็จะศึกษาเรื่องการดับทุกข์ดับกิเลส มันก็จะดับได้ นี่ก็เป็นหัวใจในทางสำหรับจะศึกษาให้รู้ เป็นหัวใจของพุทธศาสนาในส่วนที่จะต้องศึกษาให้รู้ เพื่อจะได้หัวใจในส่วนที่เป็นผล คือความหลุดรอด เป็นวิมุตติหลุดรอด ขอให้รู้จักธรรมชาติอันแท้จริง แล้วก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดที่จะต้องรู้ แต่ก็ไม่มีใครเอามาสอน แล้วบางทีก็ห้าม ห้ามฝากกันเลยว่าอย่าเอามาสอนเรื่องนิพพาน อย่าเอามาสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยนี้ และเรื่องที่สูงๆ เช่นสุญญตา ตถาตา อนัตตา นี่อย่าเพิ่งเอามาสอน อย่าเอามาสอน อาตมาก็เคยถูกห้าม ถูกห้ามโดยพระมหาเถระที่หวังดีเอ็นดู แต่อาตมาก็เป็นคนดื้อ ก็เคารพท่านแต่ก็ยังฝืนเอามาสอน เพราะว่ามันเป็นหัวใจของพุทธศาสนา
อายตนิกธรรม ๕ หมวด คือว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมวดหนึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ หมวดหนึ่ง วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมวดหนึ่ง ผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมวดหนึ่ง เวทนาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมวดหนึ่ง ๕ หมวดรวมเป็น ๓๐ อย่างนี้ เป็นสิ่งที่ต้องรู้จักในฐานะเป็น ก. ขอ ก. กา ของพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ว่านี่เป็นอาทิพรหมจรรย์ แกจงตั้งต้นเรียนเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอาทิพรหมจรรย์ แต่เดี๋ยวนี้เราก็ไม่สอน พอมาสอนเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็หาว่าลึกไป เลิก เลิก เลิก ห้ามสอน ก็เลยไม่ต้องรู้กัน แล้วจะกลับไปสอนให้รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างนี้ยิ่งน่าหัวเราะใหญ่ จะรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยอธิบายอย่างนั้นอย่างนี้ แม้แต่เด็กๆ มันก็ไม่เข้าใจ คนเราจะรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ก็ต่อเมื่อดับทุกข์ได้แล้วนู่น นี่ข้อนี้ฟังดูแล้วก็น่าตกใจ ถ้ายังดับทุกข์ไม่ได้ ยังไม่รู้รสของความดับทุกข์แล้ว ยังไม่มีทางที่จะรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ตัวจริง มีแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บอกเล่าที่เรียกว่าปรโตโฆโส เขาสอนเด็กเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ตามทัศนะของเขา ตามที่ได้ยินได้ฟังมา นี้มันเป็นจุดตั้งต้น แต่ถ้าว่าคนเราได้เรียนเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดทุกข์อย่างไร ก็ทำผิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และปฏิบัติถูก ดับทุกข์ได้ เมื่อนั้นจะรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แม้โดยความเข้าใจ ก็ยังเรียกว่ารู้โดยความเข้าใจ ถ้าได้ปฏิบัติแล้ว ก็รู้โดยการปฏิบัติ แล้วปากนี่ ก็จะเปล่งออกมาเองว่าขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะจนตลอดชีวิต เหมือนอย่างเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในพระบาลี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แท้จริงแล้วมันมีสำหรับคนที่เห็นความดับทุกข์หรือได้ประสบมาแล้ว พูดออกมาโดยไม่ต้องมีใครสอน เดี๋ยวนี้เราเอามาสอนเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตั้งแต่เด็กๆ เป็นต้นไป พระรัตนตรัยมันจึงเกิดขึ้นเป็น ๒ แบบ คือพระรัตนตรัยนกแก้วนกขุนทอง นั้นก็แบบหนึ่ง พระรัตนตรัยแท้จริง ของผู้เห็นแล้วพูดออกมาก็อีกแบบหนึ่ง ขอให้เราเลื่อนชั้นการมีพระรัตนตรัยนี่ขึ้นไปๆ ด้วยการปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักของปฏิบัติ ตั้งต้นที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ วิญญาณ ผัสสะ เวทนา พอถึงจุดเวทนานั่นแหละ มันเป็นจุดที่จะต้องศึกษากันอย่างยิ่ง อะไรๆ มันก็มีปัญหาเพราะเวทนา จะรักก็เพราะเวทนาน่ารัก จะโกรธก็เพราะเวทนามันน่าโกรธ จะพะวงหลงใหลก็เพราะเวทนามันชวนพะวงหลงใหล เวทนาเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องรู้จักและควบคุมให้ได้ แต่ต้องตั้งต้นมาจาก ก. ขอ ก. กา คือเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เรื่องนี้แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ท่านก็ทรงเอามาทบทวน เป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่สำคัญอย่างยิ่ง คือเรื่องมีว่าครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าอยู่พระองค์เดียว ก็เลยตรัสออกมากับตัวเองว่า จกฺขุญฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ ติณฺณํ ธมฺมานํ สงฺคติ ผสฺโส ผสฺสปจฺจยา เวทนา เวทนาปจฺจยา ตณฺหา ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ อุปาทานปจฺจยา ภโว ภวปจฺจยา ชาติ ชาติปจฺจยา ชรา ท่องไปทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหมือนกับเด็กๆ ท่องสูตรคูณอยู่ลำพังพระองค์เอง นี่เป็นเรื่องที่คงจะไม่เคยได้ยินได้ฟังกันมาก อาตมาขอยืนยันว่ามีเรื่องอย่างที่พูดนี้ในพระบาลีในพระไตรปิฎกไม่น้อยกว่า ๔ แห่ง ทีนี้บังเอิญภิกษุองค์หนึ่ง มันแอบมาข้างหลัง มาแอบฟังที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระองค์เองอยู่ลำพังอย่างนี้ แล้วพระองค์เหลียวไปเห็นก็ เอ้าๆ,แกอยู่นี่ ดีแล้วนี่ แกจงรับเอาไป นี่คืออาทิพรหมจรรย์ แกจงปฏิบัติ แกจงศึกษาในอาทิพรหมจรรย์คือเรื่องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ถึงกันเข้าแล้วก็เกิดวิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อถึงกันเข้าอย่างนี้แล้วเรียกว่าผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็ออกมาเป็นเวทนา ถ้าควบคุมมันไม่ได้ ก็ต้องเป็นทุกข์ เรามีความรู้เรื่องปัญญา เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอย่างเพียงพอ สติไปเอามาควบคุมสถานการณ์ในขณะที่มันมีผัสสะ มีเวทนาอย่างนี้ แล้วก็ดับทุกข์ได้
ฉะนั้นขอให้เข้าใจถึงหัวใจแห่งพุทธศาสนา ในแง่ของปริยัติหรือการศึกษาอีกอย่างหนึ่งว่า จงตั้งต้น ก. ขอ ก. กา ของพระพุทธศาสนาที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เถิด เดี๋ยวนี้เราก็ไปตั้งต้นเรื่องบุญ เรื่องกุศล เรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อะไรที่ไม่อาจจะเข้าใจซึมทราบในใจได้ เราก็ไม่เข้าใจถึงหัวใจพระพุทธศาสนา ฉะนั้นขอร้องว่าให้กำหนด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอะไรมากระทบ แล้วเกิดอะไรอย่างไร แล้วเป็นทุกข์อย่างไรแล้วจะป้องกันอย่างไร นี้เรียกว่าเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาในแง่ของปรมัตถ์ เพราะว่าถ้าเห็นอย่างนี้แล้ว มันจะเห็นว่าเป็นอนัตตาทั้งนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นอนัตตา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ก็เป็นอนัตตา วิญญาณทั้ง ๖ ทาง ก็เป็นอนัตตา ผัสสะเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา และนอกจากนั้นจะมีอะไรก็เป็นอนัตตาหมด เพราะมันมีมารวมอยู่ที่เวทนา เราจะต้องรู้เรื่อง ก. ขอ ก. กา ของพุทธศาสนา เรียกง่ายๆ ว่าอายตนิกธรรม คือสิ่งที่เนื่องกันอยู่กับอายตนะ มีอยู่ ๕ หมวด หมวดละ ๖ อายตนะภายใน ๖ อายตนภายนอก ๖ วิญญาณ ๖ ผัสสะ ๖ เวทนา ๖ ๕ หมวดนี้ทรงย้ำมากที่สุด มีที่มาในพระไตรปิฎก นับไม่หวาดไหวว่ากี่สิบแห่งกี่ร้อยแห่ง เน้นเรื่องอายตนิกธรรมในฐานะเป็น ก. ขอ ก. กา ของพระพุทธศาสนา ทีนี้จะมีสติสัมปชัญญะอย่างไร ก็ต้องฝึกตามแบบมีสติสัมปชัญญะ ขอแนะนำว่าอานาปานสติภาวนา ๔ อย่างนั่นแหละ มีทางให้เกิดปัญญา เกิดสมาธิ เกิดสัมปชัญญะเพียงพอที่จะมาต่อสู้กับสถานการณ์อันนี้ได้ สติปัฏฐาน ๔ ที่ถูกต้อง ที่ใช้ประโยชน์ได้จริงประยุกต์ได้จริง คือสติปัฏฐาน ๔ ที่ตรัสไว้ในอานาปานสติสูตร อธิบายตามนั้นเท่านั้นพอ ส่วนมหาสติปัฏฐานสูตรนั้น เป็นสติปัฏฐานสูตรที่เฟ้อ ที่เพียงแต่ท่องจำอันนี้ก็ยังไม่หวาดไหว
สติปัฏฐานสูตร มี ๒ ชนิด คือ สติปัฏฐานสูตรอย่างมหาสติปัฏฐานสูตร ชื่ออย่างนั้นโดยตรง ชื่อมหาสติปัฏฐานสูตร แต่อันหนึ่งไปชื่อว่าอานาปานสติสูตร นี่อยู่ในมัชฌิมนิกาย มหาสติปัฏฐานสูตรนั้น อยู่ในฑีฆนิกาย มีคำนำว่ามหาๆ นี่ไม่น่าไว้ใจทั้งนั้นแหละ มันเฟ้อเป็นส่วนมาก พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันว่าพระพุทธองค์ตรัสรู้ด้วยอานาปานสติภาวนา แล้วก็จำแนกแจกแจงออกไปเท่าที่มีปรากฏอยู่ในอานาปานสติสูตร มัชฌิมนิกาย อานาปานสติสูตรนี่มีเครดิตมากถึงอย่างนี้นะ คือพระพุทธเจ้าตรัสยืนยันว่าตรัสรู้เพราะการเจริญอานาปานสติ อย่างรัดกุม อย่างพอดี อย่างที่กล่าวไว้ในอานาปานสติสูตรแห่งมัชฌิมนิกาย ขอร้องให้สนใจเถิด จะพบอานาปานสติที่กะทัดรัดที่สุด อยู่ในวิสัยที่คนธรรมดาจะปฏิบัติได้ และจะให้เกิดสติสัมปชัญญะสมาธิและปัญญาสมบูรณ์ สามารถนำมาใช้ควบคุมเวทนาในชีวิตประจำวันได้ แล้วเราก็จะต้องปฏิบัติอย่างถูกต้องตามความจริงอันนั้น ดำเนินชีวิตอยู่ในเรื่องอัฏฐังคิกมรรค อัฏฐังคิกมรรค มรรคมีองค์ ๘ นั่นน่ะ นั่นแหละเป็นเรื่องที่ได้ตรัสรู้ สำคัญกว่าเรื่องอริยสัจเสียอีก ขอให้ไปดูในพระบาลีธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั่นแหละ จะพบว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงนำมาแสดงว่าไม่ได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อนน่ะ ตรัสรู้เองน่ะ คือเรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ ต่อเมื่อตรัสเรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้วจึงตรัสเรื่องอริยสัจ ฉะนั้นพระองค์ทรงเสนอเรื่องวิธีการดับทุกข์ก่อนเรื่องอื่นทั้งหมดในการเปิดเผยธรรมะแก่โลก หลังจากการตรัสรู้แล้วทรงแสดงเรื่องอัฏฐังคิกมรรค แล้วไปตรวจดูรายละเอียดให้ดีว่าอัฏฐังคิกมรรคน่ะ สัมมาทิฎฐิ สัมมาสังกัปโป นั้นปัญญา ปัญญามาก่อน แล้วจึงจะมาถึงเรื่องสัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว คือเรื่องศีล แล้วจึงจะมาถึง สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นเรื่องสมาธิ ทรงวางแนวว่าปัญญา ศีล สมาธิ ระบบนี้แหละ เราตถาคตไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน รู้เฉพาะด้วยตนเองนำมาบอกกล่าว เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา จงดำเนินในมัชฌิมาปฏิปทา ก็จะเว้นที่สุดโต่ง ๒ อย่าง คือกามสุขัลลิกานุโยคและอัตตกิลมถานุโยคเสียได้ อันนั้นมันไม่สำคัญ มันเป็นเครื่องอธิบายประกอบว่าดำรงอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทานั้นคืออย่างไร นี่มันเป็นกฎของธรรมชาติ ขอให้ช่วยจำกันไว้ว่า เรากล้าพูดว่าพุทธศาสนาสบหลักวิทยาศาสตร์ฝ่ายจิตใจ คำว่าวิทยาศาสตร์ต้องมีทางฝ่ายจิตใจด้วย เดี๋ยวนี้รู้จักกันแต่เรื่องทางวัตถุ นักวิทยาศาสตร์พวกนี้แสนจะโง่ จะฟังเรื่องพุทธศาสนาไม่ออก เพราะพูดว่าวิทยาศาสตร์แล้วมันเป็นเรื่องทางวัตถุไปเสียหมด มันไม่มีเรื่องทางจิตใจ วิทยาศาสตร์มีทั้งเรื่องทางวัตถุและทั้งทางฝ่ายจิตใจ ทรงค้นพบกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์โดยวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติ แล้วจึงมาตรัสว่าปัญญา ศีล สมาธิ พออาตมาอธิบายอย่างนี้ เขาหาว่าหลอกลวง หรือโง่หรือว่าเอาเองหรือตู่พระพุทธเจ้า นี่คือไม่ตู่พระพุทธเจ้า คือยืนยันตรงตามกฎเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าปัญญา ศีล สมาธิ พูดในหลักปฏิบัติที่จะใช้การได้ ดับทุกข์ได้ ต้องพูดว่าปัญญา ศีล สมาธิ แต่ถ้าจะพูดอย่างหลักทฤษฎีทั่วๆ ไปแล้วก็พูดว่า ศีล สมาธิ ปัญญาได้ คล้ายกับวางลำดับตามคุณค่าที่มันสูงต่ำ แต่ถ้าจะในการปฏิบัติดับทุกข์โดยตรงในหน้าที่แล้ว ต้องเรียงลำดับว่าปัญญา ศีล สมาธิ ขอให้เข้าใจจุดหัวใจของเรื่องนี้ไว้ในฐานะเป็นการตรัสรู้อย่างยิ่งของพระพุทธเจ้า ไม่เคยได้ยินได้ฟังใครมาแต่ก่อน เพื่อจะดับทุกข์ได้ แล้วก็เรื่องอริยสัจ ๔ นั้น มันก็แฝงอยู่กับเรื่องอัฏฐังคิกมรรค คือในข้อสัมมาทิฏฐินั้นน่ะ มันคลุมอริยสัจ ๔ ไว้หมด
ทีนี้ก็อยากจะพูดว่าเรื่องนี้สำคัญอย่างไร ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาคือความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้อง ศีล คือเจตนาที่จะได้ผลจากการกระทำนั้น สมาธิคือการกระทำลงไปจริงๆ ปัญญาคือรู้เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ แล้วก็มีเจตนาที่จะได้สิ่งนั้น นี้เรียกว่าศีล ศีลคือเจตนา เจตนาคือศีล เดี๋ยวนี้มาเข้าใจกันเสียแต่ว่า ศีลคือมานั่งว่าปาณาติปาตาเวรมณี นี่มาเข้าใจเสียอย่างนี้ ต้องเข้าใจว่าศีลนี่ คือเจตนาที่จะดับทุกข์ เจตนาที่จะดับทุกข์ หรือศีลคือเจตนาที่จะละ ละนั่นละนี่ เจตนาเป็นตัวศีล ละนั่นละนี่แล้วมันก็ดับทุกข์ ฉะนั้นเจตนาที่จะดับทุกข์นั่นแหละคือศีล แล้วทีนี้ก็ทำการดับกำลังกายกำลังจิตทุ่มเทลงไปหมด นั่นแหละคือสมาธิ เราจะต้องรู้เรื่องที่เราควรจะรู้เสียก่อน คือปัญญาเสียก่อน แล้วจึงมีเจตนาที่จะกระทำ แล้วก็กระทำลงไป นั่นก็จะเป็นสมาธิ แล้วก็ครบแล้วก็สมบูรณ์แล้วก็ได้ผล มีหลักว่าปัญญา ศีล สมาธิ ใครจะเถียงพระพุทธเจ้าก็ตามใจเถิด มันก็เป็นนอกคอกหรือดื้อรั้นไปเอง แต่ถ้าจะรับตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วจะต้องยึดหลักว่าปัญญา ศีล สมาธิ
นี่ขอยืนยันว่าชีวิตทุกชนิดรอดตัวอยู่ได้เพราะหลักการอันนี้ หลักการไตรสิกขา ปัญญา ศีล สมาธินี่ ชีวิตคนก็ดี ชีวิตสัตว์เดรัจฉานก็ดี ชีวิตต้นไม้ก็ดี มันมีปัญญา มีศีล มีสมาธิ ฉะนั้นคนเราต้องมีปัญญารู้ว่าอะไรเป็นอย่างไรเสียก่อน มันจึงอยากจะทำ ครั้นอยากจะทำแล้วจึงทำ มันก็สำเร็จประโยชน์ สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกันแหละ มันต้องมีการเป็นอยู่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยหลักเกณฑ์อันนี้ มันต้องมีปัญญาที่จะรอบรู้ว่าจะไปกินหญ้าที่ไหนเป็นต้น จะไปหาอาหารที่ไหน มันต้องรอบรู้เรื่องโคจร เรื่องสถานที่ เรื่องเหตุการณ์ต่างๆ นี่รู้ มีปัญญาแล้ว มันก็มีเจตนาที่จะไปที่นั่นหรือทำอย่างนั้น นี่เป็นศีลของมัน ครั้นไปถึงที่นั่นแล้ว มันก็ระดมกำลังกายกำลังจิตทำหน้าที่นั้น เช่นกินหญ้าๆ มันก็สำเร็จประโยชน์ นี่แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ก็รอดชีวิต ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยหลักไตรสิกขาอย่างนี้ คือปัญญา ศีล สมาธิ ตามกฎเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงวางไว้ แม้แต่ต้นไม้ ทีนี้ต่ำลงมาจนถึงต้นไม้แล้ว ที่คนเขาดูถูก บางคนเขาพูดว่าต้นไม้ไม่จิตไม่มีวิญญาณ มันหลับตาพูด ต้นไม้มีความรู้สึกเหมือนกับสัตว์เหมือนกัน แต่ว่าระดับมันต่ำมาก มันน้อยมาก มันมีเจตนาโดยสัญชาตญาณที่จะทรงตัวอยู่ จะสืบพันธุ์ จะป้องกันอะไรเหมือนกับคนเหมือนกัน ต้นไม้นี้ต้องมีความรู้ว่า ทางไหน ทิศทางไหน ที่มันจะส่งรากออกไปได้น้ำ ได้ธาตุ ได้แร่ธาตุ ได้อะไร มันจึงส่งรากไป จะยื่นกิ่งยื่นใบไปทางไหนจะได้แสงสว่างพอที่จะหล่อเลี้ยงชีวิต คือว่าทำให้แร่ธาตุที่ดูดขึ้นไปเปลี่ยนสภาพเป็นเนื้อหนังของต้นไม้ ต้นไม้มันจึงมีทั้งปัญญา มีทั้งศีล มีทั้งสมาธิ มันต้องมีความรู้เกิดขึ้นก่อนแหละ มันจะรู้มาทางไหนก็สุดแท้แต่ มันต้องมีความรู้เกิดขึ้นก่อนว่าอะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร แล้วก็มีเจตนาที่จะได้ผลของอันนั้น แล้วมันจึงกระทำ นี่มันมีปัญญา มันมีศีล มีสมาธิ ขออภัยอย่าว่าพูดคำหยาบเลย แม้สุนัขน่ะ มันจะไปที่ไหน มันต้องรู้ว่ามันจะต้องไปที่ไหน มันจะไปที่ไหน ที่นั่นมีอะไร มันรู้อย่างนั้นก่อน แล้วมันมีเจตนาที่จะไป มันก็เป็นศีลของมัน แล้วมันก็ไปด้วยกำลังกายกำลังใจทั้งหมดแล้วมันก็ถึง มันก็สำเร็จประโยชน์ตามที่มันต้องการได้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ก็ต้องปฏิบัติตามหลักกฎเกณฑ์ปัญญา ศีล สมาธิ ซึ่งเป็นกฎของธรรมชาติอันลึกซึ้งยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้าอยากจะเรียกว่าพระเจ้าก็เรียกอันนี้แหละว่าเป็นพระเจ้า คือเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่ทำให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปอย่างถูกต้อง
ฉะนั้นขอวิงวอน อ้อนวอนว่าพวกเราทั้งหลาย จงยึดถือหลักที่พระพุทธองค์ทรงเปิดเผยขึ้นมาโดยอัฏฐังคิกมรรค ว่าปัญญา แล้วศีล แล้วสมาธิ ทุกกรณีที่จะกระทำ จะกินข้าว ก็ต้องรู้ว่ากินอย่างไร แล้วมีเจตนาที่จะกินแล้วจึงกิน จะอาบน้ำ จะอะไรก็ตาม มันจะสมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญาอยู่ทุกๆ อิริยาบถ แล้วมันจะไม่เกิดกิเลส มันจะไม่เพิ่มอนุสัย มันจะพัฒนาไปในทางของโพธิ สัญชาตญาณจะวิวัฒนาการไปแต่ในทางของโพธิ เราก็อยู่ด้วยความสำเร็จประโยชน์ในการดำรงชีวิต
ช่วยกันจดจำหัวใจของพระพุทธศาสนาว่า ในทางปฏิบัตินั้นจะต้องมีหลักว่าปัญญา ศีล แล้วสมาธิ แต่ถ้าจะพูดเปรยๆ โดยทฤษฎีแล้วก็จะพูดว่าศีล สมาธิ ปัญญาก็ได้ ตามใจ ในกรณีที่จะพูดเปรยๆ อย่างนี้ก็มีเหมือนกันที่พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่หลักสำคัญที่จะดับทุกข์ หลักสำคัญที่จะดับทุกข์ต้องปัญญา แล้วต้องศีล แล้วต้องสมาธิ ถ้าไม่มีปัญญา แล้วมันรักษาศีลไม่ได้หรอก มันขืนไปรักษาศีลตามยึดมั่นถือมั่น มันก็เป็นสีลัพพตปรามาสไปเสียหมดแหละ เหมือนกับที่เรามีกันเดี๋ยวนี้ มันเป็นสีลัพพตปรามาสเสียหมด เพราะรักษาศีลทั้งที่ไม่รู้จักตัวศีล ไม่รู้จักเหตุผลอะไรเกี่ยวกับศีล นั่นแหละเราจึงไม่มีศีลที่แท้จริง มีแต่สีลัพพตปรามาส หรือสัจจาภินิเวส ยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้ดี กูเอาอย่างนี้ สอนกันแต่เพียงให้รู้ว่ายึดมั่นถือมั่นอย่างไร มันไม่สำเร็จประโยชน์ นี่ถือหลักว่าจะทำอะไรขอให้ปัญญานำหน้าในกรณีนั้นๆ และมีเจตนาเป็นศีลที่จะกระทำมัน และมีสมาธิคือตัวการกระทำ ด้วยกำลังทั้งหมดทั้งกายและทั้งจิต จะประสบความสำเร็จในทุกๆ กรณี ในทุกๆ กรณี นี่เป็นความลับอันหนึ่งซึ่งจะเรียกว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาที่ไม่ค่อยจะเข้าถึงกัน และไม่ค่อยจะสังเกต ไม่ค่อยจะศึกษา ทั้งที่พระพุทธองค์ตรัสยืนยันอย่างนี้และตรัสเป็นเรื่องแรกนะ คำสอนเรื่องแรกของพระพุทธองค์ ไม่ใช่เรื่องอริยสัจนะ อย่าพูดผิดๆ มันเรื่องอัฏฐังคิกมรรค ขอให้เปิดดูทุกตัวอักษรในบาลีธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ท่านตรัสเรื่องอัฏฐังคิกมรรคก่อน แล้วจึงตรัสเรื่องอริยสัจ และอริยสัจก็แฝงอยู่ในสัมมาทิฏฐินั้น
ฉะนั้นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเอามาสอนเป็นเรื่องแรกและเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ก็คือเรื่องอัฏฐังคิกมรรค อริยมรรคมีองค์ ๘ มีหลักคือปัญญา ศีล และสมาธิ ขอให้ถือเอาประโยชน์ให้สำเร็จ ปฏิบัติให้ตรงตามนี้ มันก็จะสมหวังในฐานะเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาเรื่องหนึ่ง อย่างว่าจะมาสวนโมกข์นี่ ปัญญาต้องมาก่อน ต้องรู้เรื่องสวนโมกข์ว่าจะได้อะไร เป็นอย่างไร แล้วจึงจะมีศีล คือมีเจตนาที่จะมา แล้วก็มีการมาซึ่งเป็นสมาธิ หรือจะไปที่ไหน จะทำอะไร ทุกอย่างมันต้องเป็นไปในหลักที่ว่าปัญญา ศีล สมาธิ จึงจะสำเร็จประโยชน์ ถ้าเอาศีลมาก่อน มันก็คลานลงคู ลงหนอง ลงคลองหมดแหละ มันไม่รู้ว่าจะไปอย่างไร มันต้องมีปัญญามาก่อน นั่นใครเขาจะสอนกันอย่างไรก็ตามใจ อาตมาขอยืนยันตามหลักของพระพุทธเจ้าว่าปัญญา ศีล สมาธิ นั่นแหละคือไตรสิกขา ในขณะที่มีการปฏิบัติหน้าที่ ปัญญารู้ว่าอะไรเป็นอะไร พูดเหมือนพูดเล่น นี่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรน่ะ มันก็รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างไร สิ่งนั้นเกิดมาจากอะไร สิ่งนั้นมีความหลอกลวงอย่างไร สิ่งนั้นมีความจริงอย่างไร มีเสน่ห์จูงคนอย่างไร มีอัสสาทะแผดเผาคนอย่างไร และทางออกของมันจากสิ่งนั้นคืออะไร แต่ในที่สุดก็พบว่าทุกเรื่องที่มันเป็นปัญหา เป็นความทุกข์อย่างนี้ สิ่งที่เป็นทางออกจากปัญหาเหล่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอริยอัฏฐังคิกมรรคทั้งนั้นเลย ถ้าให้ไปดูในพระไตรปิฎก ถ้าพูดถึงนิสสรณะ ออกจากปัญหาหรือความทุกข์ ไม่ว่าจะตั้งต้นขึ้นมาด้วยกรณีใด พอไปถึงตอนนิสสรณะแล้ว อัฏฐังคิกมรรคทั้งนั้นเลย อัฏฐังคิกมรรคทั้งนั้นเลย ทางออกจากปัญหาทั้งปวงของมนุษย์เราคืออัฏฐังคิกมรรค หลักการที่จะมีความรู้ความเข้าใจถูกต้องเสียก่อน แล้วมีสังกัปปะคือเจตนาที่จะได้ที่จะถึง แล้วจึงมีศีล คือสัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว เป็นพื้นฐานจุดตั้งต้นรองรับ แล้วก็มีสมาธิ วายาโม สติ สมาธิ แล้วมันก็สำเร็จประโยชน์ นี่ดำเนินชีวิตในมัชฌิมาปฏิปทาเถิด แล้วก็จะเป็นพุทธบริษัททั้งแท่ง เต็มทั้งเนื้อทั้งตัว มัชฌิมาปฏิปทานั้นระวังดูให้ดีๆ มันไม่เกี่ยวกับคำว่าเคร่งนะ ถ้าพูดว่าเคร่งอย่างถูกต้องแล้ว คือก็ต้องมัชฌิมาปฏิปทานะ ถ้าเกินมัชฌิมาปฏิปทาแล้วก็มันเกินเคร่งแล้ว มันบ้าแล้วแหละ ถ้าพอดีนั่นแหละคือเคร่ง คนทั้งหลายที่ชอบเคร่ง ชอบคำว่าเคร่ง จะทำอะไรอย่างเคร่งนั้น จงรู้ไว้เถิดว่าคำว่าเคร่ง นั้น หมายความว่าพอดี คือมัชฌิมาปฏิปทา ถ้าเกินพอดีมันก็เป็น อัตตกิลมถานุโยคบ้าง เป็นกามสุขัลลิกานุโยคบ้าง ถ้าพอดีก็จะเป็นถูก ถ้าจะเคร่งให้ถูกต้องตามความหมายของเคร่งแล้ว ก็จงเป็น มัชฌิมาปฏิปทา เดี๋ยวนี้มันเคร่งอย่างหลับหูหลับตา เคร่งอย่างสุดโต่ง เคร่งอย่างสุดเหวี่ยง มันไม่พบกับความจริง
คำอีกคำหนึ่งที่น่าสนใจและจำง่ายๆ เข้าใจง่ายก็คือคำว่ามัธยัสถ์ มัธยัสถ์ น่ะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเข้าใจคำว่ามัธยัสถ์ และไปเห็นว่าเป็นเรื่องขี้เหนียวขี้ตืดไปเสียอีก มัธยัสถ์นั่นแหละ คำเดียวกับมัชฌิมาปฏิปทา มัธยะ แปลว่ากลาง อัสถะ แปลว่าตั้งอยู่ คำว่ามัธยัสถ์ แปลว่าตั้งอยู่ตรงกลาง ตั้งอยู่ตรงกลางคือมัธยัสถ์ ฉะนั้นมัธยัสถ์ ไม่ใช่ประหยัด ขี้เหนียวขี้ตืดอะไรอย่างที่คนโดยมากเข้าใจ เอาไปเป็นเรื่องล้อเล่นทางฝ่ายผิด มัธยัสถ์นี่คือคำที่ประเสริฐที่สุด ตรงกับคำว่ามัชฌิมาปฏิปทา คำว่ามัธยัสถ์ แปลว่าตั้งอยู่ตรงกลาง นี่ทำอะไรขอให้เป็นมัชฌิมาปฏิปทาอย่างนี้ ก็จะมีชีวิตชนิดที่เดินตามทำนองคลองธรรมของพุทธศาสนา นี่ว่าโดยหลักทฤษฎี มีหัวใจอย่างนี้
ทีนี้จะพูดโดยหลักปฏิบัติโดยตรงบ้างว่ามีหัวใจอย่างไร มันก็คือมัชฌิมาปฏิปทาที่มาทันเวลา หรือว่ามีอยู่เป็นพื้นฐาน มีชีวิตอยู่โดยมีหลักมัชฌิมาปฏิปทา นี่เป็นหลักปฏิบัติในชั้นที่เป็นหัวใจ โดยหลักปฏิบัติมันแยกเป็น ๒ อย่าง เมื่อมีอารมณ์มากระทบ ก็มัชฌิมาปฏิปทาให้มันถูกต้อง เมื่อไม่มีอารมณ์มากระทบ มันจะปรุงขึ้นมาจากภายใน ก็มี มัชฌิมาปฏิปทาให้ถูกต้อง ถ้าดำรงอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทาแล้ว อนุสัยจะส่งนิวรณ์ออกมาไม่ได้ จะมีชีวิตที่ปราศจากนิวรณ์อยู่ทั้งวันทั้งคืน เยือกเย็นที่สุด นี่ควบคุมชีวิตไว้ในลักษณะให้เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ให้สัญชาตญาณเป็นไปในทางโพธิ อย่าลงมาทางฝ่ายกิเลส มีสติปัญญาสัมปชัญญะสมาธินี่เป็นหลักปฏิบัติอย่างยิ่ง พอมีอะไรมากระทบ สิ่งแรกที่ต้องการจะใช้คือสติ ระลึกได้ทันทีว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แล้วสติไปโดยเร็ว วิ่งไปโดยเร็ว สมตามคำว่าสติ คำว่าสตินี้มันแปลว่าแล่น แล่นไปเร็วเหมือนกับลูกศร คำว่าลูกศรก็แปลว่าแล่น คำว่าสติก็แปลว่าแล่น ในความหมายอย่างเดียวกัน คำว่าสติ เกิดขึ้นโดยเห็นอาการของลูกศรที่แล่นไปเร็ว กิริยาที่แล่นไปเร็วอย่างนั้นเอามาเรียกชื่อว่าสติ เป็นภาษาธรรมะขึ้นมา สติแล่นไปเร็ว ไปถึงปัญญาตามที่เคยศึกษาไว้อย่างไรอบรมไว้อย่างไร สติไปขนเอาปัญญามาทันเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่อารมณ์กระทบ ตัวปัญญานั่นแหละ พอมาถึงเฉพาะหน้าเหตุการณ์ มันเปลี่ยนชื่อเรียกว่า สัมปชัญญะ สัมปชัญญะกับปัญญา มีความหมายอย่างเดียวกัน ปัญญาที่เก็บไว้ในคลังเดียวกับปัญญา พอเอาออกมาใช้การในขณะเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นโดยสตินำเอามา ปัญญานั้นจะเปลี่ยนชื่อเป็นสัมปชัญญะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ แล้วสมาธิก็มาเพิ่มกำลัง เพิ่มกำลัง เพิ่มกำลังให้แก่สัมปชัญญะ ต่อสู้สถานะ เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ว่าอารมณ์ใดๆ มันควบคุมได้ ไม่ปรุงแต่งเป็นเวทนาตัณหาที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ขอให้ทุกคนมีสติรวดเร็วเพียงพอ มีปัญญาที่ศึกษาไว้เพียงพอ เป็นปัญญาในคลังสำหรับสติจะขนเอามาเป็นสัมปชัญญะอย่างเพียงพอ และมีกำลังของสมาธิทุ่มเทให้แก่สัมปชัญญะ เผชิญหน้ากับอารมณ์ ทำลายอารมณ์ร้ายให้แตกกระจายไป ไม่ปรุงให้เกิดกิเลสขึ้นมาได้ นี่คือวิธีที่จะช่วยตนเอง ช่วยตนเอง จะเรียกว่าจิตก็ได้ จิตมันก็คือธรรมชาติ รู้สึกคิดนึกแล้วก็ทำไปตามธรรมชาติสั่งกายให้กระทำไปตามความต้องการของจิต แต่จิตต้องมีสัมมาทิฎฐิ รู้ว่าอะไรเป็นอย่างไร อะไรๆ มันก็รวมอยู่ที่จิต อาการต่างๆของจิต คือชื่อต่างๆ ที่เป็นปัญหา ฝ่ายชั่วก็ได้ฝ่ายดีก็ได้ อาการของจิตทั้งนั้น นี่ใจความสำคัญของคำว่าตัวเองจะต้องช่วยตัวเอง มันไม่มีจิตไหนอีกแล้ว มันมีจิตดวงนี้ดวงเดียวเท่านั้นที่จะเป็นอย่างนี้ ที่จะเป็นอย่างนี้ ที่จะเป็นอย่างนี้ จิตต้องช่วยตัวเอง ด้วยการฝึกฝนไว้ดีแล้วจะเป็นไปแต่ในทางที่ถูกต้อง จิตช่วยตัวเองคือตนเป็นที่พึ่งแก่ตน มีความหมายอย่างนี้ ไม่ใช่ว่ามีตัวตนเป็นอัตตาเป็นอะไรอย่างที่เขาเชื่อกัน ตนนี่ก็คือว่าจิตที่มันมีมัชฌิมาปฏิปทา มีความถูกต้องทั้ง ๘ ประการกำกับอยู่ มันก็ช่วยตนเองได้ ฉะนั้นขอให้เราถือหลักช่วยตนเองด้วยมีธรรมะ ๔ เกลอ คงจะแปลกหูบ้างที่จะเรียกว่าธรรมะ ๔ เกลอ คือสติ ถ้าเราไปขนเอาปัญญามาเป็นสัมปชัญญะ แล้วมีสมาธิระดมลงไป สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ นี่ธรรมะ ๔ เกลอ ขาดไม่ได้ ชุดนี้ต้องมาพร้อมกันทั้ง ๔ ธรรมะ ๔ เกลอมาครบแล้ว จะแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้ อย่าลังเลหรือว่าอย่าเฉื่อยชาในการที่จะอบรมให้มีธรรมะ มีปัญญา มีสัมปชัญญะ แล้วก็มีสมาธิ แล้วขอยืนยันว่าโดยการปฏิบัติอานาปานสติอย่างเดียว สิ่งทั้ง ๔ เกลอนี้จะมีครบ มีให้ครบ เชี่ยวชาญชำนาญมันก็มากขึ้น มันก็สะดวกในการที่จะนำมาใช้
ทีนี้มันก็เป็นเรื่องที่ว่า ปฏิบัตินี่ มันไปจุดจบกันที่ไหน มันกลายเป็นว่าเพื่อรู้ถึงที่สุด ความจริงอันสูงสุดที่ดับทุกข์ได้ นั่นเป็นส่วนความรู้ยอดสุดของความรู้ ทีนี้ยอดสุดของผลของการปฏิบัติคือหลุดพ้นได้ และตัวการปฏิบัติก็คือ การทำความหลุดพ้นนั่นเอง ถ้าเอากันที่จำเป็นที่สุดก็คือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดการหลุดพ้นนั่นเอง เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาในแง่ของการปฏิบัติ ถ้าเป็นปริยัติ ก็รู้เรื่องความหลุดพ้น ถ้าปฏิบัติก็ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ถ้าเป็นผลของการปฏิบัติก็คือความหลุดพ้น มรรคผลนิพพานเป็นความหลุดพ้น ฉะนั้นเรื่องมันจึงรวมอยู่คำเดียวที่ว่าหลุดพ้น หลุดพ้น ไม่ติดอยู่ที่ไหน พระบาลีที่ว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ธรรมทั้งหลายทั้งปวงคือทุกสิ่ง ไม่ควรที่จะเข้าไปยึดมั่นถือมั่น อภินิเวส นี่แปลว่าฝังตัวเข้าไป จิตไม่ควรจะฝังตัวเข้าไปในสิ่งใดโดยความยึดมั่นว่าตัวตนหรือของตน นี้เรียกว่าไม่ยึดมั่นสิ่งทั้งปวงโดยความเป็นตัวตนของตนแม้แต่พระนิพพาน ซึ่งเป็นความหลุดพ้นอันดับสุดท้ายก็ไม่ยึดมั่นว่าเป็นตัวตนของใคร หรือว่าเป็นตัวตนของพระนิพพานเอง คงถือให้เป็นสภาพธรรม สภาวะตามธรรมชาติ พูดตามวิทยาศาสตร์ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง นิพพานนี่เป็นธาตุชนิดหนึ่งเหมือนกับธาตุทั้งหลายได้ชื่อว่าเป็นธาตุ แต่มีความหมายเฉพาะว่าเป็นธาตุที่ไม่มีการปรุงแต่ง ปราศจากการปรุงแต่งโดยประการทั้งปวง เป็นวิสังขาร คำว่าสังขารๆ นั้น แปลว่าปรุงแต่ง ไปรู้จักแยกให้ชัดว่าผู้ปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร สิ่งที่ถูกปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร กิริยาอาการที่ปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร สังขารมีความหมายอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มักจะมีความรู้แค่หางอึ่งว่าสังขารคือร่างกาย นี่มันรู้แค่หางอึ่งว่าสังขารคือร่างกาย สังขารคือการปรุงแต่ง อยู่ในลักษณะของผู้ปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร ถูกปรุงแต่งออกมาก็เรียกว่า สังขาร กิริยาอาการที่ปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร เตสํ วูปสโม สุโข ระงับสังขารเหล่านั้นเสียได้เป็นความสุขอย่างยิ่ง คือหยุดการปรุงแต่งเสียได้ หยุดการปรุงแต่งเสียได้เรียกว่าวิสังขาร วิสังขาร ไม่มีการปรุงแต่ง เหนือสภาพการปรุงแต่งนี่ เมื่อจิตถึงวิสังขาร อะไรปรุงแต่งจิตอีกไม่ได้ จิตก็ถึงภาวะที่เรียกว่านิพพาน ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป เดี๋ยวนี้มันมีการศึกษากันน้อยเกินไปเรื่องการปรุงแต่ง เรื่องการยึดมั่นถือมั่น เรื่องการหลุดพ้น แล้วก็บอกกันว่าไม่ให้เอามาสอนเสียด้วย ห้ามสอนเสียด้วยนี่ นี่หลักปฏิบัติที่ห้ามสอนนั่นน่ะ เป็นหัวใจของพุทธศาสนา นี่ขอพูดเสียเลยว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนา โดยพฤติการณ์ในปัจจุบันจริงๆ กลับถูกห้ามนำมาสอน นี่มันจะเป็นอย่างไรคิดดูสิ เรื่องอนัตตา ไม่ใช่ตนน่ะ เป็นหัวใจของพุทธศาสนา แต่กลับถูกห้ามนำสอน เรื่องสุญญตา ว่างจากตัวตน ก็ถูกห้ามนำมาสอน ตถาตา เช่นนั้นเอง ฟังดูเป็นเรื่องพูดเล่นเสียอีก ห้ามนำมาสอน อิทัปปัจจยตา ก็ว่าไม่ต้องเอามาสอนประชาชน นั่นเป็นคำพูดที่อันตรายที่สุด เรื่องอิทัปปัจจยตาคือมันเรื่องทุกสิ่งที่เป็นทุกข์และดับทุกข์ เป็นเรื่องของชีวิตจิตใจโดยตรง กลับห้ามไม่ให้เอามาสอนเสียอีก ถ้าพูดว่ามัชฌิมาปฏิปทา ก็เห็นเป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับเราชาวบ้านไปเสียอีก ที่จริงมันเกี่ยวตั้งแต่จุดตั้งต้นถึงจุดสุดท้าย เรื่องสามัญลักษณะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ไม่ให้เอามาสอนกันเสียอีก หรือมาสอนๆ มาพูดล้อเล่นกันเสียมากกว่า นี่เรื่องวิสังขาร เรื่องวิสังขารที่จิตจะต้องถึงนั่น กลับมืดมน ไม่ต้องการเสียด้วย เพราะว่าไม่ปรุงแต่งนั่น เขาไม่สนุกสนาน เขาต้องการการปรุงแต่งที่สนุกสนาน แล้วในที่สุดเรื่องนิพพานๆ ก็มืดมิดอยู่ในที่ลับในที่มืด ไม่เอามาเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันอย่างที่กล่าวแล้วข้างต้น ว่าเรารอดตัวอยู่ได้นี่เพราะพระนิพพานน้อยๆ นิพพานตัวอย่างในชีวิตประจำวัน คือความเยือกเย็นที่มันคอยเกิดขึ้นเป็นระยะยาวพอสมควร เพื่อจะดับความร้อนที่เกิดขึ้นเป็นประจำวัน มีความเย็นที่ควบคุมอยู่เป็นประจำวัน
เรื่องอนัตตา หัวใจของพระพุทธศาสนา อย่าเข้าใจเป็นเรื่องพูดเล่นหรือรังเกียจ คนหนุ่มนักศึกษาปัจจุบันน่ะ มองคำว่าอนัตตาเป็นเรื่องเหลือวิสัยบ้าง เป็นเรื่องของคนโง่คร่ำครึอยู่แต่ในวัดบ้าง แล้วก็อ้างตัวเองจะเป็นผู้แก้ปัญหาของสังคม แก้ปัญหาของโลก มันบรมโง่ ที่มันเกลียดเรื่องอนัตตาแล้วมันตั้งตัวเป็นผู้แก้ปัญหาของสังคม หรือเรื่องของโลก ถ้าคนในโลกมีความรู้เรื่องอนัตตา มันก็ไม่มีความเห็นแก่ตัว เมื่อไม่มีความเห็นแก่ตัว ปัญหาใดๆ วิกฤตการณ์ใดๆ ไม่อาจจะเกิดขึ้นในโลก เพราะไม่มีใครเห็นแก่ตัว ตัวเองก็ไม่เป็นทุกข์ ไม่ทำผู้อื่นให้เป็นทุกข์เพราะรู้เรื่องอนัตตามิใช่ตนจนไม่มีความเห็นแก่ตน ตัดความเห็นแก่ตนได้ ก็ด้วยความรู้เรื่องอนัตตา ถ้าโลกมีความรู้เรื่องอนัตตา ไม่มีความเห็นแก่ตนในโลกเหลืออยู่ ทำไมองค์การสหประชาชาติไม่สนใจเรื่องนี้ จะมาแก้ปัญหาของโลก มัวแต่นั่งจับปูใส่กระด้ง กี่ชาติๆ มันก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมันไม่รู้ธรรมะที่จะมาแก้ปัญหาของโลก อันสำคัญเหตุสำคัญก็คือความเห็นแก่ตัว มันต้องสอนเรื่องอนัตตา องค์การสหประชาชาตินี่ควรจะใช้สาขายูเนสโก เผยแผ่เรื่องอนัตตาให้มากออกไปๆ ความเห็นแก่ตัวก็จะลดลง ปัญหาต่างๆ ก็จะลดลง จะแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น
ทีนี้เรื่องสุญญตา เรื่องสุญญุตาก็เหมือนกัน เมื่อเห็นความว่างจากตน มันก็ลดความเห็นแก่ตน ลดความเห็นแก่ตน ลดความเห็นว่าตัวว่าของตัว มันจะลดความรู้สึกเลวร้ายว่าตัวกูว่าของกูออกไปเสียได้ด้วยความรู้เรื่องสุญญุตา แล้วมันก็รักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ ข้อนี้เป็นหน้าที่ของพระธรรม เราปฏิบัติพระธรรมเพียงว่าลดความเห็นแก่ตัว ความรักผู้อื่นก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เดี๋ยวนี้มัวแต่สอนให้รักผู้อื่น รักผู้อื่น แต่ไม่สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว มันก็เรื่องละเมอ เพ้อฝัน จะให้รักผู้อื่น มันต้องสอนให้รู้จักทำลายความเห็นแก่ตัว อาตมาชอบใจสัญลักษณ์ของศาสนาคริสเตียน คือไม้กางเขน สัญลักษณ์กางเขนอันยืนเป็นอัตตา เป็นตัวไอ (I) แล้วก็ตัดเสียซึ่งอัตตาคือไอ นี่จะเป็นหลักการที่จะช่วยโลกได้ ตัดความเห็นว่าเป็นตัวตนและความเห็นว่าเป็นของตนได้ มันก็รักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ ทำลายความเห็นแก่ตัวเถิด จะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ
ทีนี้ ตถาตา นี่ก็เหมือนกันแหละ มันก็ไม่มีตน ตถาตาไม่มีอะไรที่เป็นตน มันเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ตามธรรมชาติ ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ฉะนั้นถ้าทุกคนเห็นตถาตา เช่นนั้นเองแล้วก็ ไม่มีใครคิดเป็นเจ้าโลกหรอก เดี๋ยวนี้มีคนคิดจะครองโลก แบ่งค่ายจะครองโลก จะช่วยกันเอาโลกมาเป็นของกู แล้วครองโลก เพราะมันไม่เห็นตถาตา คือเช่นนั้นเอง ถ้ามีความรู้เรื่องตถาตามาแล้ว คนที่คิดจะเป็นเจ้าโลกจะครองโลกมันก็ไม่มี นี่อาตมาจึงยืนยันว่า หัวใจยอดสุดของพระพุทธศาสนานั้นช่วยโลกได้ ตถาตา สุญญตา อนัตตา ไม่ให้เกิดความเห็นแก่ตน มันก็รักผู้อื่นได้ เศรษฐีจะรักขอทานก็ได้ ขอทานก็จะรักเศรษฐีได้ กรรมกรจะรักนายทุนได้ นายทุนก็จะรักกรรมกรได้ แม้แต่สิงโตก็จะรักลูกแกะได้ ลูกแกะก็จะรักสิงโตได้ นี่มันจะหมดปัญหาถึงขนาดนี้ แต่เขาห้ามไม่ให้เอามาสอนเรื่องสุญญตา เรื่องอนัตตา พวกเราเป็นพุทธบริษัทจงเป็นให้สมชื่อ คือเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้สิ่งที่ควรจะรู้อย่างครบถ้วนสิ้นเชิง แล้วก็ตื่นจากหลับคือความโง่ มันก็เบิกบานเหมือนดอกไม้ที่บานไม่รู้จักโรย บานด้วยธรรมะแล้วเป็นการบานที่ไม่รู้จักโรย นี่มันจะแก้ปัญหาของโลกได้ด้วยหัวใจของพระพุทธศาสนา คืออนัตตา คือสุญญตา คือตถาตา นี่ถ้ามีความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา จะแก้ปัญหาได้หมด ไม่ว่าปัญหาชนิดไหน ปัญหาทุกชนิดอยู่ในอำนาจของอิทัปปัจจยตา ถ้าเรามีความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา จะแก้ปัญหาได้หมด ปัญหาขี้ประติ๋ว ปัญหาอะไรเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งเป็นปัญหาสูงสุด เป็นปัญหาของกิเลส ก็แก้ได้ด้วยความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา สามารถที่จะควบคุมให้เป็นไปแต่ในทางที่ดับทุกข์
ส่วนมัชฌิมาปฏิปทานั้นไม่ต้องพูดถึง อยู่ตรงกลาง ถ้าคนมีความรู้เรื่องมัชฌิมาปฏิปทา มันก็จะไม่โง่ ไม่หลงไปอยู่ใต้ความหมายของสิ่งที่เป็นคู่ เดี๋ยวนี้มันโง่ มันหลง ไปอยู่ใต้อิทธิพล ใต้ความหมายของสิ่งที่เป็นคู่ เช่นชั่วดี บุญบาป สุขทุกข์ นี่มันไปหลงยึดติดในความหมายใดความหมายหนึ่งจนเกิดเป็นปัญหาขึ้นมา ที่ว่าโดยทั่วๆ ไปนี่ มันไปหลงติดในความหมายของคำว่ามั่งมี ยากจน แพ้ชนะ ได้เปรียบเสียเปรียบ กำไรขาดทุน ความหมายเหล่านี้มันครอบงำจิตใจของคนธรรมดาสามัญไม่ให้อยู่ในมัชฌิมาปฏิปทาหรือตรงกลาง ศึกษาเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา รู้จักอยู่ตรงกลาง มันเป็นเช่นนั้นเองแหละ ดีหรือชั่ว มันก็เรื่องบ้าเท่ากัน นี่ขออภัยนะพูดอย่างนี้ ไม่ใช่ทำลายกำลังใจของผู้ที่จะตั้งใจทำดี ถูกแล้ว มันยังทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้ ก็จงทำดีไปเถิด ละชั่วแล้วก็ทำดี ทำดีแล้วอย่าบ้าดี อย่าเมาดี อย่าติดดี นั่นจึงจะเป็นพุทธศาสนา ฉะนั้นผู้รู้พุทธศาสนาจึงพูดว่าทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ ฟังดูแล้วมันน่าสะดุ้ง ยิ่งเข้าใจคำว่าอัปรีย์ไม่ถูกต้องแล้วก็ยิ่งสะดุ้งเป็นการใหญ่ เพราะเรากำลังรักดี หลงดี บูชาดีกันอยู่ ท่านต้องการให้มองเห็นว่าชั่วมันก็ยุ่งไปตามแบบชั่ว ดีมันก็ยุ่งไปตามแบบดี ไม่ดีไม่ชั่วอยู่ตรงกลางนั่นแหละ สบายที่สุดหรือเป็นพระนิพพาน ความชั่วนั้นไม่ใช่ความสงบ ถูกแล้ว เห็นได้ง่าย แต่ความดีก็มิใช่ความสงบ เพราะมันเป็นสังขาร ความดีก็เป็นสังขารเท่ากับความชั่ว เมื่อเป็นสังขารก็มีการปรุงแต่ง มีสิ่งที่ปรุงแต่ง มีสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง มันก็วุ่นไปตามแบบหนึ่ง แม้ว่าจะตรงกันข้ามกับความชั่ว มันก็มิใช่ความสงบ มันต้องเหนือดีขึ้นไปอีกทีหนึ่งมันจึงจะถึงความว่าง แล้วก็เป็นความสงบ ฉะนั้นจากชั่วถึงดี จากดีถึงความว่าง ทีนี้ความว่างนั้นน่ารัก ความชั่วความดีนั้นอัปรีย์คือไม่น่ารัก อัปรีย์นั้นตัวหนังสือแปลว่าไม่น่ารัก อัป แปลว่าไม่ ปรียะ แปลว่าน่ารัก อัปรียะ แปลว่าไม่น่ารัก ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่ไม่น่ารัก ไปยึดมั่นถือมั่นแล้วมันกัดเอาทั้งนั้นแหละ ทั้งชั่วและทั้งดีอย่าไปยึดมั่นเข้า อยู่ตรงกลางระหว่างชั่วระหว่างดีนั่นแหละ ไม่ถูกกัดคือไม่เป็นทุกข์ ฉะนั้นไม่สุขไม่ทุกข์ดีกว่า ทุกข์มันก็ยุ่งไปตามทุกข์ สุขมันก็บ้าไปตามสุข มันเป็นการปรุงแต่งที่นั่งก้นไม่ติดพื้นเหมือนกัน ทั้งสุขทั้งทุกข์ก็ล้วนแต่อัปรีย์ คือมองดูแล้วมันไม่น่ารัก มันว่างจากความสุขความทุกข์ คือความว่างนั่นแหละ ถ้าว่าสุขก็กระโดดโลดเต้นไปตามแบบของความสุข ทุกข์ก็นอนร้องไห้ไปตามแบบของความทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์นั่นคือว่าง นั่นคือเวลาที่เราจะเป็นสุขที่สุด เวลาที่เราไม่รู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์นั่น เราจะรู้สึกเป็นสุขอีกชนิดหนึ่ง สุขชนิดที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เป็นสุขที่ไม่ประกอบด้วยเหยื่อ เป็นนิรามิสสุข เป็นโลกุตรสุข โลกุตรสุขคือไม่สุข และไม่ทุกข์อย่างในโลกนี้ อยู่เหนือความหมายของสุขและทุกข์ทุกชนิดในโลกนี้ นี่ก็คือมัชฌิมาปฏิปทา อย่าไปหลงของคู่ ดีชั่ว แพ้ชนะ เสียเปรียบได้เปรียบ กำไรขาดทุน นี้มีหลายสิบคู่นะ ซึ่งมนุษย์ในโลกหลงกันจนเป็นบ้าเป็นหลัง ถ้าเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้ามีมัชฌิมาปฏิปทา มีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าตถาตา ตถาตา มึงก็อย่างนั้น กูไม่เอากับมึง ก็เลยรีดออกมาได้ ถอนตัวออกมาได้ เป็นความสงบสุข มาอยู่ตรงกลางเป็นมัชฌิมาปฏิปทา
ดังนั้น คำว่ามัธยัสถ์ มัธยัสถ์น่ะ ขอให้ใช้ในขอบเขตที่กว้างขวาง อย่าเป็นเรื่องเงินทองอย่างเดียวเลย ให้เป็นของเรื่องธรรมะทั้งหมด มัธยัสถ์ อยู่ตรงกลาง ๆ ไม่ดีไม่ชั่ว ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่บุญไม่บาป ไม่แพ้ไม่ชนะ ไม่กำไรไม่ขาดทุน ไม่เอาเปรียบไม่ถูกเอาเปรียบ ไม่อะไรทุกๆ คู่ ทุกๆ คู่ที่มนุษย์รู้จัก กระทั่งว่าไม่เป็นหญิงไม่เป็นชาย คิดดูเถิด ถ้ามันหมดความรู้สึกในความเป็นหญิงเป็นชาย มันก็ปราศจากปัญหาในชั้นลึก บางทีก็ว่าจะเลยไปถึงว่าไม่ใช่คนและมิใช่ไม่ใช่คน คือไม่เป็นทั้งคนและทั้งมิใช่คน ไม่เป็นอะไรไปหมดทุกอย่าง เป็นความว่าง มันเป็นความว่าง นั่นน่ะสภาพเดิมแท้คือความว่าง สภาพเดิมแท้เป็นความว่าง ถูกปรุงแต่งเป็นความวุ่น สุดเหวี่ยงเข้ามันก็กลับเป็นความว่าง ฉะนั้นชีวิตมันตั้งต้นด้วยความว่างไม่มีตัวตน คลอดออกมาจากท้องแม่ มีตัวตนๆ มีตัวตนๆ และมันจะดับทุกข์ได้ ก็ต้องกลับไปสู่ความว่างอีกทีหนึ่ง แต่เป็นความว่างที่กลับวุ่นไม่ได้ นี้มันเป็นความว่างทีแรก มันเป็นความว่างที่ยังวุ่นได้ ครั้นวุ่นได้แล้วก็ทำให้หายวุ่นเป็นความว่าง เป็นพระนิพพาน ว่างอย่างธรรมชาติที่ธรรมดาที่ยังปรุงแต่งได้ มันไม่ใช่ว่างจริง เพราะมันว่างชนิดที่วุ่นได้ ทีนี้ต้องอบรมจิตประภัสสรชนิดนี้ยิ่งขึ้นๆ ยิ่งขึ้นๆ จนเป็นประภัสสรถาวร ก่อนนี้ประภัสสรชั่วคราวคือกลับวุ่นได้ นี่อบรมๆ อบรมๆ ตามหลักธรรมะจนประภัสสรถาวรเป็นพระอรหันต์ ประภัสสรถาวรคือจิตพระอรหันต์ ประภัสสรชั่วคราว ล้มลุกคลุกคลาน นั่นน่ะเป็นประภัสสรของปุถุชน หรือตามธรรมชาติจิตเป็นประภัสสร ก็เรียกว่ามันตั้งต้นจากประภัสสรไปสู่ความวุ่น แล้วก็กลับไปสู่ประภัสสรถาวร นี้ก็เป็นหัวใจพุทธศาสนาที่เราจะต้องรู้จัก หัวใจพระพุทธศาสนาเรื่องสามัญลักษณะนี่ คนหนุ่มนักศึกษาสมัยปัจจุบันเห็นว่าเป็นของยายแก่ครึคระ รู้จักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นแหละ มันจะทำให้เกิดความรู้สึกเเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายกันได้ เรามีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บีบคั้นย่ำยีอยู่ตลอดเวลา เราเป็นเพื่อนกัน มีหัวอกอย่างเดียวกัน มีทุกข์อย่างเดียวกัน หรือสุขๆ ทุกข์ๆ อย่างเดียวกัน เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้วก็จะเห็นอกเห็นใจกัน กลายเป็นคนคนเดียวกัน จนกระทั่งว่าชีวิตทั้งหมด ทั้งสัตว์ มนุษย์ เดรัจฉาน ต้นไม่ต้นไร่ ชีวิตทั้งหมดเป็นชีวิตเดียวกัน มันก็ปลอดภัย ก็รอดตัว
ทีนี้มาถึงคำว่าวิสังขารขตจิต วิสงฺขารขตํ จิตที่ถึงวิสังขาร จิตอบรมดีแล้ว อะไรปรุงแต่งให้เป็นอย่างไรไม่ได้ ไม่เกิดความรู้สึกเป็นชั่วเป็นดี เป็นบุญเป็นบาป เป็นสุขเป็นทุกข์ แก่จิตนั้นอีกต่อไป จิตนั้นดำรงอยู่ในสภาพอะไรปรุงแต่งไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ได้ อันนี้ก็คือพระนิพพานนั่นแหละ เมื่อถึงวิสังขารก็สัมผัสกับพระนิพพาน อะไรปรุงแต่งไม่ได้ คำว่าพระนิพพานนั้น เป็นสิ่งที่ถึงได้ สัมผัสได้ รู้ได้ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันข้อนี้อย่างหนักแน่นที่สุดว่า อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ อายตนะนั้นมีอยู่ ซึ่งท่านหมายถึงนิพพานนั่นแหละ ท่านจึงตรัสว่ามันมิใช่ดิน มิใช่น้ำ มิใช่ไฟ มิใช่ลม มิใช่อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ มิใช่การไป มิใช่การมา มิใช่การหยุด คือมิใช่อะไรทุกอย่าง นั่นแหละคือพระนิพพานที่จะลุถึงได้ สัมผัสได้ด้วยจิตที่เป็นวิสังขารขตะ ถึงแล้วซึ่งความเป็นจิตที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ มันก็ปรุงแต่งไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ได้นี่แหละ จิตชนิดนี้จะไม่มีอะไรมาโฆษณาชวนเชื่อให้หลงไปได้ และไม่มีอะไรเป็นของแปลกด้วย จิตที่ถึงภาวะที่ปรุงแต่งไม่ได้นี่ มันจะรู้สึกไม่มีอะไรถูกปรุงแต่ง ฉะนั้นการไปโลกพระจันทร์ หรืออะไรน่าประหลาดน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นสักร้อยเท่าพันเท่า จิตนี้ก็รู้สึกว่าเป็นของเด็กเล่นอยู่นั่นแหละ ไม่มีอะไรมายั่วให้จิตรู้สึกประหลาดหรืออัศจรรย์ใดๆ ได้ จิตของพระอรหันต์จะไม่มีความรู้สึกประหลาดใจอะไรได้ ส่วนจิตของปุถุชนนี้ แม้แต่ดาวหางฮัลเลย์ ก็มาทำให้บ้ากันทั้งบ้านทั้งเมือง นี่มันปรุงแต่งได้อย่างนี้
ฉะนั้นขอให้มุ่งหมายถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาว่าจิตอยู่ในสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ แล้วก็เป็นนิพพาน คือสภาวะที่เป็นอายตนะ คำว่าอายตนะนั้นมันแปลว่าสิ่งที่สัมผัสได้นะ อายตนะชั้นทั่วไปคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นสิ่งที่จิตสัมผัสได้ จึงเรียกมันว่าอายตนะ ๖ คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี่โดยพื้นฐาน ทีนี้อายตนะที่สัมผัสได้ดีไปกว่านั้น สูงไปกว่าระดับธรรมดาก็คืออากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ นี้ก็เป็นอายตนะที่สัมผัสได้แต่เป็นสังขาร ยังเป็นสังขาร และมีอายตนะชั้นวิสังขารคือพระนิพาน ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ อายตนะนั้นมีอยู่ ถ้าเรารู้จักเรื่องอายตนะอย่างถูกต้อง เราก็จะรู้จักอายตนะตามธรรมชาติ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี่อายตนะชั้นที่เป็นความรู้ การศึกษาของคนยุคหนึ่งว่าดีเลิศ คืออรูปฌานทั้ง ๔ แต่ถ้าอย่างของพระพุทธเจ้าเรียกว่ามีพระนิพพานอย่างเดียว เป็นอายตนะสูงสุดที่ต้องเข้าถึงให้ได้ ฉะนั้นขอให้เราเข้าถึงภาวะที่จิตใจมีอะไรปรุงแต่งไม่ได้ ไม่มีอะไรน่ารัก น่าโกรธ น่าเกลียด น่ากลัว น่าวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉา ริษยา หึงหวงเป็นต้น ไม่มีอะไรแปลก ไม่มีอะไรน่าเกลียด ไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่มีอะไรน่ารัก ไม่มีอะไรน่าอัศจรรย์ ไม่มีอะไรน่าอัศจรรย์ แม้แต่ความรู้ความคิดเรื่องอวกาศ เรื่องปรมาณูอะไร อีกร้อยเท่าพันเท่า ก็เป็นของเด็กเล่น ไม่น่าอัศจรรย์สำหรับบุคคลผู้มีจิตลุถึงแล้วซึ่งวิสังขารขตะ คือจิตถึงแล้วซึ่งวิสังขาร นี้เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นผลของการปฏิบัติยอดสุดของหัวใจของพุทธศาสนาในชั้นที่เป็นผลของการปฏิบัติ เราจงรู้จักหัวใจในขั้นปริยัติ สอนเรื่องความหลุดพ้น รู้จักหัวใจในขั้นปฏิบัติ คือปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น รู้จักหัวใจแห่งผลของการปฏิบัติคือปฏิเวธว่าหลุดพ้นแล้ว มันเป็นเรื่องหลุดพ้นอย่างเดียว หลุดพ้นอย่างเดียว ทำให้หลุดพ้นอย่างเดียว จะเป็นความรู้ก็ได้ เป็นการปฏิบัติก็ได้ เป็นผลของการปฏิบัติก็ได้ ก็เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาทั้งนั้น
ดังนั้นขอให้มีความรู้เรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนากันอย่างนี้ สำหรับพุทธบริษัทเราทุกคนที่จะต้องเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ ส่วนศาสนาอื่น ศาสนิกของเขาก็เข้าถึงหัวใจของศาสนาของเขาไปตามเรื่องตามราว แต่เรา พวกเราที่เป็นพุทธบริษัทนี่ ขอให้เข้าใจถึงหัวใจของพระพุทธศาสนากันในลักษณะอย่างนี้เถิด จะเป็นพุทธบริษัทเต็มตัว หรือว่าค่อยๆ เต็ม ค่อยๆ เต็ม ค่อยๆ เต็ม จนเต็มตัว นี่ความสำคัญที่จะต้องรู้จักหัวใจของพระพุทธศาสนา อาตมาจึงได้ยกเอาขึ้นมาเป็นปณิธานข้อแรก ข้อแรกให้ทุกคนเข้าใจถึงหัวใจแห่งศาสนาของตน แล้วก็จะหมดปัญหา
นี่การบรรยายในวันนี้ ก็บรรยายขยายความเรื่องปณิธานข้อแรก ให้ทุกคนเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ หวังว่าท่านทั้งหลายที่ได้มาร่วมประชุมกัน ให้ของขวัญแก่อาตมา งดอาหารกันเสียวันหนึ่งนี้ ก็ขอให้มันรวมอยู่ในการประพฤติปฏิบัติที่จะเข้าถึงหัวใจแห่งพระพุทธศาสนาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เห็นไหมว่ามันไม่ตายหรอก แล้วมันก็คลายความยึดมั่นถือมั่นลงไปได้ไม่น้อยเหมือนกัน คือจะไม่แยแสกับกิเลสตัณหา หรือว่าความเคยชินของกิเลสตัณหา วันนี้ล้อมันเล่น ล้ออายุมันเล่นเสียด้วยการไม่กินอาหารเสียสักวันหนึ่ง
หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้รับประโยชน์จากการกระทำบุญชนิดที่เรียกว่าล้ออายุ ล้อเลียนอายุที่มันน่าล้อ ด้วยกันได้จงทุกๆ คนเถิด จะได้มีความเจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา มีความก้าวหน้าในทุกวิถีทาง มีความสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ นี่ขอยุติการบรรยายภาคเช้า.