แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(พิธีกร)
ครับ ก็ได้ฟังพระเดชพระคุณเจ้า อาจารย์วรศักดิ์ เสียงคน เสียงระฆัง (นาทีที่ 00:10) เผลอไปครับ มัวนั่งฟังเผลอไปหน่อย ขออภัยด้วย เอาละครับ ทีนี้ก็ พวกเราก็คงจะเข้าถึงจุดใหญ่ใจความได้แล้วนะครับ จุดใหญ่ใจความถึงปณิธานของพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ ข้อที่ ๓ ข้อที่ ๒ ข้อกลางนี่ ที่ว่าดึงพวกเราจากวัตถุนิยมนี่ ซึ่งอาจารย์วรศักดิ์ก็ได้วิเคราะห์มาให้อย่างดีนะครับ ถึงนักวิเคราะห์ทั้งหลายทางบ้านเมือง เขาก็วิเคราะห์กันอยู่แล้ว แต่เขาวิเคราะห์มันไปออกความจนหมด ในแง่เศรษฐกิจ ไปออกจนหมด จึงเกิดคดีอาชญากรรม จึงเกิดความไม่สงบในบ้านเมือง เขาวิเคราะห์ไปออกว่า จนทั้งนั้นแหละเพราะเศรษฐกิจไม่ดี มันจึงออกอย่างนี้ แต่อาจารย์วรศักดิ์ได้วิเคราะห์แล้วมันไม่ได้อย่างนี้นะฮะ วิเคราะห์แล้วที่เกิดปัญหาต่างๆ เพราะเราไปติดเอากามารมณ์มาแก้ปัญหาในทางจิต มันจึงเป็น จึงทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาทีหลัง เราไม่ได้เอาธรรมะมาแก้ปัญหา เราไม่ได้เดินสายกลาง เราเดินสายเปียกแฉะด้วยกามารมณ์ ครับ นี่สรุปเนื้อหาใจความอย่างนี้ แต่ถ้าเราได้ขึ้นมากระทุ้ง หรือมากระชาก หรือมาทำอย่างไรให้พวกเราทั้งหลายได้สะเทือน สะดุ้ง กันบ้างนะฮะ ไปถึงญาติพี่น้องกันทั้งหลาย หรือใครก็ตาม อย่าได้หลงติดวัตถุนิยมกันมากนัก โดยเข้าใจให้ถ่องแท้แล้ว ก็จะเป็นการที่จะดึงอาจารย์พุทธทาสไว้ไม่ให้ตายได้เหมือนกันนะครับ เพราะว่าตรงกับมโนปณิธานของท่าน
ครับ ก็มีผู้ที่ร่วม จะมาร่วมรายการอยู่เรื่อยครับ เวลาไม่จำกัด ฉะนั้นก็มีส่งกันมาเรื่อย แม้แต่แม่ครัวก็ไม่ได้มาพูด ก็ขอส่งมาเป็นคำกลอน แม่ครัวส่งคำกลอนอีกแล้ว ขอให้คุณศรีธวัชเป็นนายหน้า เอาละครับ ไม่ต้องเข้าถึงคุณศรีธวัช ความจริงเข้าถึงผมก็ได้ ฉะนั้นเขาเข้าถึงคุณศรีธวัช คุณศรีธวัชเป็นนายหน้า ผมก็ขอเชิญคุณศรีธวัชครับ มาอ่านกลอนให้แม่ครัวเขาหน่อย ครับ เราเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทั่วๆ กันไปนะครับ แล้วเดี๋ยวต่อไปนะครับอยู่ในรายการ ผมจะว่ากันไปตามรายการนะครับ
(คุณศรีธวัช)
กลอนจากใจคณะแม่ครัวค่ะ แม่ครัวก็ต้องเป็นผู้หญิง ลงด้วยค่ะ
วันเอยวันนี้ เหล่าศิษย์ยินดีจะมีไหน
ความดันท่านอาจารย์นั้นลดไป
ถึงยี่สิบ สิบ ศิษย์ดีใจยิ้มให้กัน
หลายๆ หมอร้องขอ ท่านต่อรอง
ห้ามเดินห้ามยืน ก็ปรองดองเข็นรถฉัน
เราจะอยู่เฉยได้ อย่างไรกัน
เพราะพุทธทาสนั้น
เป็นทาส พุทธองค์
มาประชุมพร้อมพรั่ง กันดั่งนี้
ท่านถือเป็นหน้าที่ ชี้เสริมส่ง
แม้สังขารเสื่อมสลาย ไม่มั่นคง
ก็ดำรง ยืนหยัด ปณิธาน
พระคุณหลวงพ่อ ร่มเย็นดังเพ็ญส่อง
ดุจโพธิ์ทอง แผ่กิ่งใบให้สุขสันต์
ศิษย์ทั้งหลาย ได้พึ่งบุญอุ่นใจครัน
กราบเทิดทูนพระคุณท่าน นิรันดร
นับเป็นบุญลูกนี้ เกินพอ กายนั้น พ่อแม่ก่อกำเนิดให้
ส่วนจิตวิญญาณ พ่อ ยังมืด บอดแฮ
เปะปะ ระหกระเหินให้ ตราบครึ่ง ค่อนคน
จวบลุร่ม สวนโมกข์ แห่งนี้ นา
ประทีป แสงสาดส่องตา สว่างพ้น
ครานคว่ำกลับ หงายแหงน สดับธรรมรส นา
พระคุณหลวงพ่อล้น ช่วยชี้ทางเกษม
ดิฉันขอกล่าวจากใจจริงว่า แม้เกิดไม่ทันพระพุทธเจ้า แต่เกิดทันพระพุทธทาสก็เป็นบุญเกินตัวแล้ว สาลี่ แม่ครัวค่ะ (เสียงปรบมือ)
(พิธีกร)
ครับ แม่ครัวผู้ที่มีความจงรักภักดี ก็ได้ระบายความรู้สึกมาแล้ว ต่อไปก็ขอเชิญนะครับ อันดับต่อไป ผมนิมนต์ล่วงหน้าไว้ ส่วนฆราวาสนั้น ก็มีคุณซ้อน ครูชม (นาทีที่ 6:15) เออ, ครูชมแล้ว คุณซ้อน อาจารย์สุรวิทย์ และคุณหมอกรรณิการ์
(พระสงฆ์) (นาทีที่ 6:30)
ขอกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระเถรานุเถระ ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ความจริงอาตมาภาพอยากจะพูดคนสุดท้าย ในขณะที่ทุกท่านลุกไปแล้ว ถูกเรียกหลายครั้งแล้วโดยคุณศรีธวัช แต่ว่าเป็นหวัด ทานยาเข้าไปแล้วก็มึน เลยทำไม่รู้เรื่องเสีย เอาละ มีความรู้สึกตื่นเต้นหลายอย่างจนพูดไม่ออก ก็เลยไม่รู้ ไม่รู้จะพูดอะไรดี อาตมาภาพใคร่อยากจะเสนออะไรบางอย่างให้ที่ประชุมในวันนี้ เพราะว่าได้รับฟังมาหลายท่านแล้ว มาพูดน่ะ พูดกันหมดแล้ว สิ่งที่อาตมาพูด ก็เลยอยากจะเสนอว่า ใครที่จะอยู่กันจนสว่างบ้างในคืนนี้ จะต้อง จะต้องสู้กันระหว่างพระกับญาติโยม แล้วเราจะมีการสัมมนาพิเศษกันในอันดับสุดท้ายตามที่พิธีกรได้ประกาศไว้ เชิญชวนให้ทุกท่านได้มาแสดงความคิดเห็น แล้วก็มีบางท่านที่เขาจะ เขามาขอ comment จะเอาไปลงหนังสือพิมพ์ ให้เราแสดงความคิดเห็นว่า แนวโน้มหลังจากที่ไม่มีท่านอาจารย์แล้ว ว่าสวนโมกข์นี่จะเป็นไปในรูปใด อันนี้เป็นที่วิตกวิจารณ์กันเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นถือว่าเราทุกคนเป็นธรรมทายาท ก็จะได้มาร่วมกันแสดงความคิดในวันนี้
สิ่งที่อาตมาภาพใคร่จะกล่าวในที่นี้ จะตรงกับประเด็นที่ท่านอาจารย์วรศักดิ์ได้กล่าวไว้แล้วรึเปล่า ก็ไม่ทราบนะฮะ แล้วก็หลายๆ ท่านที่กำลังวิตกกันในเรื่องคำว่า สวนโมกข์ ในเรื่องคำว่า พุทธทาส จะยังอยู่หรือจะไม่อยู่นั้น มันก็อยู่ที่พวกเรานั่นแหละ แต่เชื่อแน่เหลือเกินว่า ในขณะนี้เรามีสิ่งที่จะสืบทอดเจตนารมณ์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ มีมากแล้ว ทั้งฝ่ายพระสงฆ์และทั้งฝ่ายญาติโยมพุทธบริษัท อย่างเป็นต้นว่า พระสงฆ์ที่ได้รับถ่ายทอดเจตนารมณ์ของหลวงพ่อ ก็มีอาจารย์โพธิ์ อาจารย์วรศักดิ์ อาจารย์มหาประทีป อาจารย์วิรัตน์ อาจารย์สุชาติ อาจารย์ถวิล มีหลายท่านนะฝ่ายพระนี่ ที่เรารู้ๆ กันอยู่ ว่ากำลังมีบทบาทต่อส่วนรวมเป็นอย่างมาก ฝ่ายฆราวาสก็ ผชป. ซึ่งนำโดยคุณโยมวิโรจน์ ฝ่ายชมรมครูศีลธรรมแห่งประเทศไทย ก็นำโดยอาจารย์สมทรง ปุญญฤทธิ์ และก็หลายๆ ท่านที่สนใจในงานของหลวงพ่อ ก็นับว่าคลื่นลูกใหม่อันนี้จะมีอิทธิพลเป็นอย่างสูงในสังคมไทยในโอกาสข้างหน้า ในการที่จะเรียกร้องศีลธรรมให้กลับคืนมา และก็เป็นที่หวังว่าท่านเหล่านี้ก็จะได้ช่วยกันสร้างคลื่นลูกใหม่เพิ่มขึ้นๆ มากขึ้นๆ
สำหรับอาตมาภาพเอง ใคร่จะมาสารภาพในที่นี้ว่า ธรรมะในแนวการสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อนี่ ยังใหม่เหลือเกิน ทั้งๆ ที่บวชมาหลายปีแล้ว แล้วก็เรียนกันมานับเป็นสิบๆ ปีแล้ว เรียนธรรมะ เรียนบาลีก็แล้ว เรียนสิ่งที่เขาเรียน เรียกว่าไหลไปตามความนิยมของโลก เขาเรียนอะไรก็อยากจะเรียน เรียนธรรมก็เรียน เรียนบาลีก็เรียน ไปเรียนเมืองนอกก็ไปเรียน แต่ยังไม่ได้เรียนธรรมะ เรียนจบนักธรรม แต่ไม่รู้ธรรมะ เรียนภาษาบาลี ก็เรียนแต่ในรูปภาษา ไม่ได้ซาบซึ้งถึงธรรมะคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้เป็นความผิดของใคร ใคร่อยากจะให้ท่านทั้งหลายได้นำไปคิด เราไม่ได้โทษใครกัน และก็คำว่า พุทธทาส นี้ ในขณะที่อยู่ต่างประเทศนั้น ชาวต่างประเทศรู้จักดีเหลือเกิน แต่ว่าคนไทยนั้นรู้จักน้อยที่สุด อาตมาภาพแทบจะ จะว่าอย่างไรดี มันรู้สึกอายชาวต่างประเทศที่เราไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่เข้าใจคำว่า วิปัสสนากรรมฐาน มากดีพอ จนที่เรียกว่าสนทนากันได้กับชาวต่างประเทศ ในฐานะเป็นพุทธบุตรนี่ เป็นสิ่งที่น่าละอายเหลือเกิน และก็เชื่อแน่เหลือเกินว่า มีมากท่านเหลือเกินที่จะอยู่ในลักษณะอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเรียนไป, เมื่อเรียนไป แล้วก็ได้ยินคำว่า การศึกษาหมาด้วน จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ รู้สึกสะดุ้งไปหลายตลบ และก็นึกว่า ก็ต้องพอกันสักทีเรื่องการศึกษา แล้วก็หยุด ยังไม่ได้รับปริญญา คือไม่รับ คิดว่าจะต้องรีบมาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เข้าใจพอที่จะช่วยตัวเองได้แล้ว ถึงรับปริญญา นี่คือความอะไร ที่เรียกว่าเป็นจุดมืด จุดบอดในทางศาสนา
พระสงฆ์ที่บวชมาในพุทธศาสนา โดยเฉพาะในเมืองไทยนี่ ผู้ที่สำเร็จการศึกษาสูงไปแล้ว มีน้อยเปอร์เซ็นต์เหลือเกินที่จะเข้าใจซาบซึ้งในทางศาสนา โดยเฉพาะพระที่สำเร็จปริญญาไปแล้ว ๙๐ เปอร์เซ็นต์ สละเพศของบรรพชิตออกไป ๗ เปอร์เซ็นต์ยังอยู่ แต่ว่าส่วนมากจะไปอยู่ต่างประเทศ แล้วก็ยังไม่ได้ศึกษาธรรมะ ที่ทำงานให้พระศาสนาอย่างแท้จริง อาจจะไม่ถึง ๒ เปอร์เซ็นต์เสียด้วยซ้ำไป พุทธบริษัทในเมืองไทยทั้งหมดมีอยู่ถึง ๙๕ เปอร์เซ็นต์ ผู้ที่จะเข้ามาในวัด พบพุทธศาสนา และเข้าใจศาสนานั้น กี่เปอร์เซ็นต์ ขอให้ท่านทั้งหลายลองคิดดู แล้วศาสนาของเราจะไปรอดได้อย่างไร
แต่อย่างไรก็ตามที การที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ทำการศึกษาค้นคว้า เอาเพชร ขุดคุ้ยเอาเพชรมาแจกจ่ายให้แก่บรรดาเราท่านทั้งหลาย จนกระทั่งถึงบัดนี้เป็นเวลาช้านานถึง ๕๐ กว่าปี แสงเพชรอันนั้นกำลังส่องกระจายไปยังบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย และกำลังจะเพิ่มพลังแสงมากยิ่งขึ้นๆ ทุกวัน และก็เป็นที่หวังได้ในปัจจุบันนี้ อาตมาเชื่อว่าเป็นที่หวังได้ เพราะมีหลายท่านเหลือเกินกำลังเข้ามาสู่ในแสงสว่างของเพชรเม็ดนี้ โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่มาในครั้งนี้ ท่านเห็นไหมว่า พระสงฆ์มากมายเหลือเกิน ทั้งสามเณรและภิกษุ แม้ญาติโยมก็เหมือนกัน มาด้วยจิตศรัทธาในธรรมอย่างแท้จริง เพราะไม่มีสิ่งอื่นใดดึงท่านมา แต่ธรรมะดึงท่านเข้ามาสู่สถาน ณ ที่นี่ ท่านจะเห็นว่าเป็นการชุมนุมที่แปลก ที่แตกต่างไปจากงานวัดโดยทั่วไป สิ่งที่เราควรจะคิดกันในการชุมนุมในครั้งนี้ และขอให้ท่านภูมิใจว่า ท่านมาด้วยแรงศรัทธรา ด้วยแรงบุญที่มีต่อพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นเราควรจะทำอะไรเพื่อคำว่า พุทธทาส เพื่อคำว่า สวนโมกข์ อาตมาภาพเป็นผู้หนึ่ง เมื่อกลับมาจากนอก ก็รีบมาที่สวนโมกข์ทันทีในวันวิสาขบูชา และวันล้ออายุท่านอาจารย์เมื่อ ๒๖ แล้วก็รีบไปเข้ากรรมฐาน แล้วก็รีบไปอบรมพระธรรมทายาท แล้วก็ดำเนินการนำคณะพระธรรมทายาทออกทำงานตามชนบท พระธรรมทายาทที่ได้มารับการอบรมจากวัดชลประทานฯ และที่สวนโมกข์ ได้รับการคัดเลือกมาจากทุกจังหวัดในประเทศไทย แล้วก็นี่แหละ เป็นที่หวังของเราชาวพุทธทั้งหลาย จะเป็นคลื่นลูกใหม่ที่จะมีพลังในการเรียกร้องศีลธรรม เพราะท่านเหล่านั้นที่ได้รับการอบรมไปแล้ว กำลังออกไปทำงานอย่างเต็มที่ในแนวของหลวงพ่อพระเดชพระคุณ ซึ่งอาตมาภาพได้เห็นประจักษ์ เพราะไปเยี่ยมไปทั่วทุกภาคที่ท่านออกไปปฏิบัติงานอยู่ เมื่อท่านได้เข้ามารับการอบรมที่นี่ ท่านปฏิญญาว่าท่านจะเลิกทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านปฏิบัติไม่ถูกต้องครั้งก่อนนั้น แต่ว่าต่อไปนี้ เราจะทำให้ถูกต้องตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาภาพเชื่อว่าสิ่งที่เราหวังกันนั้นกำลังจะมาถึง แล้วก็ไม่เหลือวิสัยจนเกินไป ขอให้ท่านทั้งหลายได้ให้ความสนับสนุนแก่ผู้ที่ทำงานเพื่อพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ก็เข้าใจว่า ทุกท่านทุกคนก็คงจะได้รับแสงสว่างอันนั้น ก็ขอฝากท่านทั้งหลายไว้ด้วย ว่าท่านทั้งหลายก็เป็นผู้หนึ่งที่มีสิทธิมีเสียง มีหน้าที่ในการที่จะช่วยกันส่องแสงสว่างให้แก่บรรดามวลมนุษย์ผู้ที่เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อาตมาขอจบไว้แค่นี้
(พิธีกร)
ครับ ตอนนี้ก็ขอวกมานิดหนึ่ง ฝากล้อง ฝากล้องถ่ายรูปนะครับ ของใครหายนะครับ ของใครทำหล่นไว้ มาเอาจากผมได้นะครับ ฝากล้องถ่ายรูปยี่ห้อ Cosina Cosina
(พระสงฆ์) (นาทีที่ 19:45)
เคารพพระธรรมที่มีอยู่ในพระสงฆ์ โดยมีพระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นต้น และเจริญธรรมแก่ญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณวิทยากรที่ได้เอ่ยชื่ออาตมา จึงได้มีโอกาสมาพูดเพื่อแสดงความรู้สึกกับเขาบ้างในคืนวันนี้ การพูดแสดงความรู้สึกนั้น ก็ได้พูดกันไปเป็นลำดับ โดยเฉพาะพระมหาเถระฝ่ายบรรพชิต และผู้ทรงคุณวุฒิฝ่ายฆราวาส ก็ได้พูดกันมาเป็นลำดับ แต่ละคนแต่ละท่าน ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง คำว่า ประโยชน์อย่างยิ่ง นี่สำคัญมาก ในทางธรรมะเรียกว่า ปรมัตถธรรม สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง อย่างยิ่ง เรียกว่าไม่มีอย่างไหนจะยิ่งกว่านี้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้เป็นวันพิเศษอย่างยิ่ง ที่เราทั้งหมดได้มาร่วมกันทำบุญล้ออายุท่านอาจารย์ด้วยการงดอาหาร ๑ วัน เป็นการบูชาคุณธรรมของท่าน ร่วมทำบุญร่วมกัน และแต่ละคนก็ได้ร่วมรับส่วนบุญนี้โดยทั่วถึงกัน หน้าตาก็เบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส และท่านอาจารย์นั้นท่านก็ได้ให้ของขวัญแก่เราเป็นการตอบแทนเช่นเดียวกัน นั่นก็คือท่านได้ให้ปรมัตถธรรม คือสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่พวกเรา และท่านได้ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่พวกเราอย่างสมบูรณ์ที่สุดแล้ว ดังที่ได้ปรากฏแก่สายตา และแก่เสียงที่เราได้ฟังท่านแสดงธรรมให้แก่เรา ผ่านไปเมื่อตอนกลางวันนี้
คำว่า สมบูรณ์ที่สุดแล้วอย่างยิ่ง นี่คือสมบูรณ์ครบทั้ง ๓ ประการ คือท่านได้แสดงธรรม นั่นก็คือการพูดให้พวกเราได้ฟังอย่างแจ่มแจ้ง ตลอดสาย โดยสิ้นเชิง ไม่มีข้อกังขาใดๆ เพื่อให้เราจะได้นำตัวปฏิบัติไปใช้ เป็นของขวัญที่ท่านให้เป็นพิเศษสุดวันนี้ และข้อที่ ๒ ท่านได้แสดงธรรมด้วยการปฏิบัติให้พวกเราได้ดู เสียแต่ว่าท่านแสดงธรรมนี่ ท่านได้ทำหน้าที่อย่างถึงที่สุดโดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน ถึงแม้ท่านจะดื้อต่อหมอ ซึ่งไม่ยอมให้ท่านนั้นได้พูด แต่ท่านก็ยอมเพื่อความถูกต้อง ท่านยอมตาย เพราะท่านเป็นพุทธทาส สิ่งที่ท่านได้พูดได้ประทับใจพวกเราไปแล้ว ก็คือว่าเมื่อครั้งสุดท้ายที่พระองค์จะดับขันธปรินิพพานไป พระองค์ก็ได้พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์แม้วินาทีสุดท้าย จนกระทั่งมีผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ นี่ก็แสดงว่าท่านเป็นพุทธทาสอย่างสมชื่อจริงๆ ท่านได้ปฏิบัติให้เราได้ดู นี้ข้อที่ ๓ ท่านได้แสดงธรรมด้วยการมีความสุขให้พวกเราได้ดู ความสุขที่ท่านมีให้เราได้ดูนั้น คงจะประทับใจเราไปอีกนาน ท่านมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม บ่งบอกถึงความปิติ อิ่มในธรรม ธมฺมปีติ สุขํ เสติ อิ่มในธรรม เป็นสุข ไม่ใช่อิ่มอาหาร ไม่ใช่อิ่มข้าว เราทุกคนวันนี้ก็ไม่ได้อิ่มอาหาร หรืออิ่มข้าวเลย แต่เราก็อิ่มในธรรม เราก็สามารถเป็นสุขด้วยกันถ้วนทั่วทุกคน จิตอย่างนี้แหละเป็นจิตที่ออกจากวัตถุนิยม เราก็หาความสุขได้โดยไม่ต้องอาศัยวัตถุเลย แต่เราอาศัยธรรมะต่างหาก วัตถุนั้นให้ความสะดวกสบายบางประการทางร่างกายเท่านั้น แต่ธรรมะต่างหากที่ให้ความสุขทางจิต สิ่งนี้เราไม่ต้องไปเชื่อใคร พิสูจน์ได้ที่ตัวเราเองเดี๋ยวนี้ ที่วาระจิตเราเดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งพิสูจน์ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้แหละที่เราจะได้ไป จากการที่เราได้มาร่วมทำบุญในวันล้ออายุอาจารย์นี่ อันนี้แหละเป็นของขวัญที่ท่านได้ให้เรา เป็นของขวัญที่พิเศษอย่างยิ่ง และเราทั้งหลายก็เหลือตัวปฏิบัติเท่านั้น ที่จะปฏิบัติให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อเข้าถึงความเป็นพุทธทาสเช่นเดียวกับท่าน คือความไม่ทุกข์ แต่ถ้าหากจิตใจเรายังมีความทุกข์อยู่ พิสูจน์ได้ตอนนี้ สอบได้หรือสอบตก เราก็เป็นกิเลสทาส ก็คือเป็นทาสของกิเลสไป แต่ใครทุกคนนี่ เชื่อได้ว่าคงไม่ชอบเป็นทาสของกิเลสเป็นแน่ ทุกคนต้องการเป็นทาสของพระพุทธเจ้า หรือพุทธทาสด้วยกันทั้งนั้น คือไม่ต้องการมีความทุกข์ เพราะฉะนั้นเมื่อใดจิตใจเราไม่มีความทุกข์ เราก็เป็นพุทธทาสด้วยกันทุกคน ซึ่งท่านอาจารย์ท่านก็ได้บอกแล้ว ท่านไม่ได้เป็นพุทธทาสเพียงคนเดียวหรอก เราทุกคนนั่นแหละเป็นพุทธทาสเช่นเดียวกัน เพราะเราทุกคนนั้นก็ต้องการพ้นไปจากความทุกข์ เพราะฉะนั้นเมื่อใดจิตใจเรามีความทุกข์ พุทธทาสก็ได้ตายไปจากจิตใจของเรา แต่เมื่อใดจิตใจของเราไม่มีความทุกข์ เมื่อนั้นพุทธทาสจะไม่ตาย เราต้องการให้พุทธทาสยังคงอยู่ต่อไปนิจนิรันดร์ เราก็ต้องทำจิตใจของเรานั้นไม่ให้ทุกข์ตลอดกาล นั่นแหละพุทธทาสจะยังอยู่คู่กับเรา ตราบลมหายใจเราจะหมดสิ้นไป ดังที่ท่านอาจารย์ได้มีคำกลอนเอาไว้ ซึ่งเราก็ได้กล่าวเป็นเพลงร้อง ทำนอง ไปหลายครั้งแล้วว่า
ทำกับฉัน เหมือนกับฉัน นั้นยังอยู่
อยู่เป็นคู่ กันชั่วฟ้า ดินสลาย
ทำกับฉัน อย่างกับฉัน นั้นไม่ตาย
ท่านทั้งหลาย ก็อยู่ คู่นิรันดร์
คำพูดคำนี้ เราคิดว่าท่านพูดกับตัวท่านเอง แล้วยังเคยมีนะ ผู้มีเขียนหนังสือวิจารณ์ท่านในทางลบ ว่าท่านเป็นผู้ที่พูดเอง เออเอง ในคำพูดที่เป็นบทกลอนนี้ แต่เราอย่าไปสนใจเลย เรามาดูว่า คำพูดคำนี้ที่ออกมาจากท่านผู้รู้ ออกจากบัณฑิต ท่านไม่ได้พูดเพื่อตัวท่านเองแน่ ผู้รู้จะต้องพูดคำพูดที่เป็นประโยชน์โดยมหาชนโดยส่วนมาก เพราะฉะนั้น คำพูดนี้จะต้องเป็นคำพูดของเราด้วย เพราะเราก็เป็นพุทธทาสเช่นเดียวกับท่าน เพราะฉะนั้นเราต้องพูดกับเราทุกวันว่า ทำกับฉัน เหมือนกับฉันนั้นยังอยู่ เราจะทำตัวเราอย่างไรให้เราอยู่ต่อไป คือไม่ตาย ญาติโยมอาจจะคิดว่าเป็นไปได้อย่างไร ทุกคนเกิดมาต้องตาย มีใครหลีกเลี่ยงพ้นได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องตาย แต่เรารู้จักหรือยังว่า ความตายที่แท้จริงคืออะไร ท่านอาจารย์ได้พูดเสมอว่า คนเรานั้นมีชีวิตอยู่ได้ประกอบด้วยสิ่ง ๒ สิ่ง คือกายกับจิตใจ จึงจะเป็นคนคนหนึ่งนี่ เพราะฉะนั้นเมื่อเราพูดถึงความตายนี่ ต้องพูดถึง ๒ สิ่งนี้ด้วย คือความตายทางร่างกายด้วย และก็ความตายในทางจิตใจด้วย ความตายทางร่างกายไม่ต้องพูดก็ได้ เรารู้กันทุกคน เด็กก็ยังรู้ แต่ว่าความตายทางจิตใจนี่ เรายังไม่ค่อยรู้ ท่านอาจารย์ ท่านจึงบอกให้พวกเราว่า มีความตายอีกชนิดหนึ่งซึ่งคนยังไม่รู้จัก คือเมื่อจิตใจเราเป็นทุกข์ นั่นคือเราตายแล้ว เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ความตายทางร่างกายนั้น เราไม่สามารถควบคุมได้ ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายทุกคน แต่ความตายทางจิตใจนั้น เราควบคุมได้ที่จะไม่ให้ตาย คือเราควบคุมความรู้สึกของเรานี้ ไม่ให้ทุกข์ เช่นเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้ที่มีชีวิตที่อมตะ ไม่ตาย คือพระพุทธองค์นั้นท่านมีจิตใจที่ไม่ทุกข์อีกต่อไป ไม่ว่าความแก่ ความเจ็บ ความตาย จะปรากฏขึ้นแก่พระองค์ ก็ไม่ทุกข์ เพราะเมื่อพระองค์เกิดความแก่ขึ้นมา พระองค์ก็ไม่ทุกข์กับความแก่ เห็นว่าเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง ก็เท่ากับว่าไม่ได้แก่ เมื่อเวลาพระองค์เจ็บ พระองค์ก็ไม่ทุกข์กับความเจ็บนั้น รักษาแก้ไขไปตามหน้าที่ โดยไม่ทุกข์เลยกับความเจ็บนั้น ก็เท่ากับว่าไม่ได้เจ็บ และเวลาความตายจะมาถึง พระองค์ก็อิ่มใจ พอใจ ไม่ทุกข์กับความตายเลย เพราะได้ทำหน้าที่อย่างถึงที่สุดแล้ว แม้วินาทีสุดท้ายของลมหายใจจะหมดสิ้นไป สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวของเราเองด้วย เมื่อใดเราไม่ทุกข์ เมื่อนั้นเราไม่ตาย
ท่านอาจารย์ได้แสดงธรรมให้เราได้ดูแล้ว ครบทั้ง ๓ อย่างในวันนี้ เป็นตัวปฏิบัติที่เราจะได้เอาไปปฏิบัติอย่างถูกต้อง แล้วเราก็จะเป็นผู้ที่ไม่ตาย เราก็จะเป็นพุทธทาสที่สมบูรณ์ เป็นพุทธทาสที่อยู่คู่กับฉันนิจนิรันดร์ ดังที่คำกลอนของท่านได้กล่าวเอาไว้ เป็นตัวปฏิบัติเพื่อให้เราได้ไม่ตายเหมือนกันทุกคน เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการทำบุญร่วมกันในครั้งนี้ ก็ขอความร่วมมือจากญาติโยมด้วย ด้วยการเปล่งวาจาด้วยความรู้สึกในบทกลอนที่เราจะกล่าวร่วมกันต่อไปนี้ ซึ่งอาตมาจะเป็นผู้ว่า แล้วญาติโยมก็ว่าตามพร้อมกัน เพื่อเป็นการทำบุญร่วมกันให้แก่ท่านอาจารย์
คนถึงธรรม ธรรมถึงคน จนจิตว่าง
ไม่ยึดถือ อะไรสักอย่าง หยุดหลงใหล
ไม่มีกู หรือของกู ในสิ่งใด
ทุกๆ อย่าง ล้วนทำไป ด้วยปัญญา
ญาติโยมสงบสติอารมณ์ส่งจิตใจ ให้สงบ ๑ นาที แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทุกๆ ชีวิตที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แผ่ไปข้างหน้าให้ไกลที่สุดไม่มีประมาณ แผ่ไปข้างหลังให้ไกลที่สุดไม่มีประมาณ แผ่ไปข้างขวาให้ไกลที่สุดไม่มีประมาณ แผ่ไปข้างซ้ายให้ไกลที่สุดไม่มีประมาณ แล้วรวบรวมสมาธิจิตที่ตั้งมั่นทั้งหมด แผ่ไปรอบทิศให้กว้างไกลที่สุดไม่มีประมาณ เหมือนกับเราเอาก้อนหินขว้างลงไปในน้ำ มันกระเพื่อมไปรอบทิศอย่างนั้น ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นการแบ่งบุญให้แก่ทุกๆ ชีวิต ที่เราได้ร่วมกันทำบุญในวันนี้ สมควรแก่เวลา ไม่ต้องมีการให้พรกัน เพราะขณะนี้ก็เป็นพรที่ประเสริฐอยู่แล้ว สาธุ พระธรรม
(พิธีกร)
ถึงเท่าไรกันแน่ อย่างไรนั้น ผมได้ปรึกษาคณะทั้งหลายแหล่แล้วนะครับ ไม่ใช่ผมว่าเอาคนเดียว ผมว่าคนเดียวไม่ได้หรอกครับ เรื่องของท่านทั้งหลายที่ต้องการให้ดำเนินการกันไป ก็อยากจะขอพูดกันแบบนี้ แสดงความคิดความเห็นกันแบบนี้ สลับกันไประหว่างฆราวาสกับพระนี่ เอาจนถึง ๕ ทุ่มนะครับ ถึง ๕ ทุ่ม ที่นี้หลังจาก ๕ ทุ่มหรือ ๑๑ แล้วนะครับ ขอนิมนต์พระธรรมทายาท พระธรรมทายาททั้งหมด เห็นว่าอย่างนั้นนะครับ ขอนิมนต์พระธรรมทายาททั้งหมด มาปรึกษาหารือกันเพื่อดำเนินการต่อไป เพื่อเอาวันของ วันเกิดของอาจารย์ พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ ให้มันเป็นประโยชน์จริงๆ นะครับ ธรรมทายาทจะประชุม ๑๑-๑๒ นะครับ ส่วนการอภิปรายนี้ เออ, ไม่ใช่การอภิปรายหรอกครับ การที่มาแสดงความคิดเห็นนี้ จะว่าถึง ๕ ทุ่ม หรือถ้าว่ามันหมดคนเสียก่อน ก็เลิกก่อน ๕ ทุ่มก็ได้ แล้วก็การประชุมธรรมทายาท ได้ดำเนินการต่อไป ครับ นี่ประกาศให้ทราบแล้วนะครับ เพื่อไม่ให้เสียเวลาต่อไปเลย ขอเชิญคุณหมอกรรณิการ์นะครับ ทางฝ่ายฆราวาสต่อ คุณหมอกรรณิการ์จากโรงพยาบาลพระพุทธบาท อยู่นะครับ อยู่ไหมครับ อยู่นะครับ เชิญเลยครับ
(คุณหมอกรรณิการ์)
ขอกราบนมัสการท่านอาจารย์และพระคุณเจ้าทั้งหลาย แล้วก็ขอแสดงความยินดีกับเพื่อนสหธรรมิกด้วยกัน ดิฉันก็อยากจะขอเล่าอะไรให้ฟังสักเล็กน้อยว่า แต่ก่อนนี้ดิฉันเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยสนใจพุทธศาสนาเลย ไม่ว่าศาสนาไหนๆ ก็ไม่เคยสนใจ และก็ไม่เคยสนใจวัดด้วย เพราะยังไม่เคยเห็นคุณประโยชน์อะไรจากการที่ไปวัด เมื่อสมัยเด็กๆ ก็เคยได้เห็นเพื่อนๆ ที่เขาไปวัด ส่วนมากก็มักจะไปดูหมอดูบ้าง ส่วนมากก็เป็นอย่างนี้ ดูหมอดู ดูอะไร แต่ดิฉันเองเป็นคนไม่เชื่อหมอดู ก็เลยคิดว่าไม่มีธุระอะไรจะต้องไปวัดเลย จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนเอาหนังสือมาให้ที่คลีนิก เขาก็เอามาวางไว้เฉยๆ ตั้งหนึ่ง แล้วเจ้าตัวเขาก็เดินออกไป ดิฉันก็เดินมาดูว่า เอาอะไรมาให้ ก็ปรากฏว่าเป็นหนังสือของท่านอาจารย์พุทธทาสทั้งหมด ดิฉันก็เลยลอง ทดลองอ่านดูสิ ทำไมเขาต้องเอามาให้ ก็อ่านไปทีละเล่มๆ อย่างปราศจากความสนใจเลย ก็เก็บอะไรไม่ได้ แต่ว่ามันก็มีสิ่งหนึ่ง ทั้งๆ ที่ไม่สนใจนั่นแหละ ที่ได้มาก็คือความสงบ จิตมันสงบขึ้น หลังจากอ่านจบแล้วมันรู้สึกว่าอยากจะอ่านอีก ทั้งๆ ที่ยังไม่มีความรู้อะไรเกิดขึ้นเลย ดิฉันก็เลยต้องไปที่ร้านธรรมบูชา ก็ไปถามเขาว่า สำหรับคนอ่านหนังสือใหม่ๆ นี่ ควรจะอ่านเล่มไหนดี เจ้าของร้านเขาตอบว่าหนังสือของท่านอาจารย์นั้น เล่มไหนก็ดีทั้งนั้น ดิฉันก็เมาเลย เพราะหนังสือเต็มร้านเลย จะซื้อทั้งหมดก็ซื้อไม่ได้ ก็เผอิญเลือกไปเลือกมา ก็ไปเห็นอยู่เล่มหนึ่ง ชื่อประหลาดๆ ว่า ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร ดิฉันก็เลย เอ้า, เล่มนี้แหละ เพราะฟังแล้วไม่รู้เรื่อง อ่านชื่อแล้วก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ก็เอามาอ่าน ซื้อมาเล่มเดียว หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ไปแล้วนี่ ดิฉันก็ต้องไปร้านธรรมบูชาอีกบ่อยๆ เพราะว่าจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ ได้ความรู้อย่างแจ่มแจ้งในเรื่องหลักของพระพุทธศาสนา อ่านแล้วมีความรู้สึกว่า มีตาใหม่เกิดขึ้นอีกตาหนึ่ง ซึ่งท่านอาจารย์เป็นผู้ให้ เพราะว่าแต่ก่อนดิฉันก็ถือว่าเป็นผู้ที่มืดบอดสนิทเลย ไม่ทราบเลยว่าพุทธศาสนามีส่วนดีอะไรบ้าง และหลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ก็ทำให้ดิฉันต้องเดินทางมาที่นี่ ซึ่งแต่ก่อนนี้มีเพื่อนเคยชวนมา ว่าให้มา ดิฉันก็ปฏิเสธ จะให้หนังสืออ่าน ก็บอกไม่อ่าน แต่เมื่ออ่านเล่มนี้แล้วก็ต้องไปหาเพื่อนบอกว่า ช่วยพามาที่นี่หน่อย เพราะว่าต้องการมากราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่ให้ดวงตาอีกดวงตาหนึ่งแก่ดิฉันมา และดิฉันเองก็เป็นผู้ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของวัตถุนิยมอย่างมากคนหนึ่งทีเดียว สารพัดอย่างก็ซื้อเข้าไปในบ้าน จนรกบ้านไปหมด ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้ แต่หลังจากที่มาสวนโมกข์แล้ว ในสวนโมกข์นี้สอนอะไรหลายๆ อย่าง โดยที่ไม่ต้องใช้คำพูด เช่น บ้านพักซึ่งไม่มีอะไรเลย ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย มีเสื่อเก่าๆ มีหมอนเก่าๆ ให้เรานอน เราก็นอนได้ แล้วก็อาหารที่ทาน ก็เป็นอาหารที่ไม่มีรสชาติอะไร เราก็ทานได้ และหลังจากที่กลับไปจากที่นี่ มาเพียงครั้งเดียว กลับไปจากที่นี่ ดิฉันก็สามารถหลุดพ้นออกมาจากอำนาจของวัตถุนิยมได้ ก็เลิกซื้อของที่ไม่จำเป็น ก็สามารถเก็บเงินได้มากเหมือนกัน แล้วก็เอาเงินนี่แหละ มาทำบุญที่นี่ ก็มีความเห็นว่า มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นแหละที่เราจะออกจากอำนาจของวัตถุนิยมได้ ก็โดยการปฏิบัติธรรม
คำสอนของท่านอาจารย์มีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือท้าทายให้เราพิสูจน์ว่าสิ่งที่พูดมานั้นเป็นความจริง แล้วดิฉันก็ถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง เมื่ออ่านแล้วก็ยังไม่เชื่อ ก็ต้องพิสูจน์ อันนี้แหละ คือดิฉันตกหลุมของท่านอาจารย์ ดิฉันก็ต้องปฏิบัติธรรมในการที่จะพิสูจน์ เมื่อพิสูจน์ได้ครั้งหนึ่ง ทำได้ครั้งหนึ่งแล้ว มันก็เป็นการกระตุ้นให้เรานี่อยากจะทำต่อๆ ไป แล้วอันนี้แหละ คือการที่เราจะยกตัวเราให้พ้นจากวัตถุนิยมได้ ดิฉันก็พยายามเอาความรู้เหล่านี้จากสวนโมกข์ ไปสอนนักศึกษา ซึ่ง เออ, มันเป็น ดิฉันถือว่าเป็นโอกาสดีที่ว่า ถูกขอร้องให้ไปสอนจริยศาสตร์ให้กับนักศึกษาพยาบาล ดิฉันเองไม่ได้เป็นครู เป็นหมอ ไม่มีความรู้เรื่องการสอน แต่พอเขาบอกว่าให้ไปสอนจริยศาสตร์ ดิฉันก็รับทันที เพราะว่าเราจะได้ถือโอกาสเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามปณิธานของท่านอาจารย์ไปยังเยาวชน เราจะได้ช่วยกันให้เด็กๆ ของเราออกจากวัตถุนิยมให้ได้ แล้วก็แต่ละปี ดิฉันก็ได้นิมนต์พระอาจารย์จากสวนโมกข์ คือท่านอาจารย์วรศักดิ์ วรธัมโม ไปสอนธรรมะให้กับนักศึกษาเหล่านั้น ก็รู้สึกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษา จะไม่เคยได้ฟังธรรมะแบบนี้มาเลย เขาก็มีความพอใจและสนใจ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งที่เราได้พยายามทำมา
ดิฉันก็ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง ที่ช่วยให้ชีวิตของดิฉันได้รอดออกมาจากวัตถุนิยมได้ แล้วก็ยังได้ช่วยคนอื่นๆ ซึ่งหลังจากที่ได้อ่านหนังสือธรรมะของท่านอาจารย์แล้ว ปฏิจจสมุปบาทนี่ ดิฉันได้ซื้อแจกเพื่อนไปหลายๆ เล่มทีเดียว แล้วก็ทุกๆ คนก็ชอบ พอใจ แล้วก็อ่านแล้วก็เข้าใจ คำสอนของท่านอาจารย์ รู้สึกจะแจ่มแจ้ง อ่านแล้วไม่ต้องถามใคร มีทั้งตัวอย่าง มีทั้งอะไร จนกระทั่งเราสามารถเข้าใจได้ด้วยตัวเอง ก็คิดว่า มีเรื่องเล่าให้ท่านฟังได้เพียงแค่นี้ เพราะดิฉันไม่ใช่นักพูด สวัสดีค่ะ
(พิธีกร)
ครับ ขอขอบคุณคุณหมอมากครับ แล้วก็พอดีท่านก็รักษาเวลา กลัวเวลาจะหมด ความจริงเวลาเตือน ก็ยังไม่เตือนที ถ้าพูดตามความจริงแล้ว ยกเวลานี้ให้ผมนะครับ ผมขโมยเอาหมดแหละ ทีหลังถ้าใครทิ้งเวลาเหลือ ผมต้องรีบฉวย ฉวยโอกาสเอาเสียให้หมดละครับ ก็โดยเฉพาะผู้หญิง โดยเฉพาะของคุณหมอนี้ มีแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ท่านจำได้ไหม ท่านพอจะนึกได้กันไหมว่า คุณหมอชอบสนใจสิ่งที่ไม่รู้เรื่อง นี่เป็นก้าวแรก แปลกกว่าคนอื่นนะครับ คือสนใจสิ่งที่ไม่รู้เรื่อง ชื่อแปลกๆ เอาสิ่งนั้นมาศึกษา พอดีกลายเป็นสิ่งนั้นเป็นเรื่องสำคัญเสียด้วย นะครับ คือปฏิจจสมุปบาท และชื่อนี้ ชื่อนี้แหละครับ เป็นชื่อที่สวนโมกข์ดัง ผมว่าตรงๆ แหละว่า สวนโมกข์ดัง ผมไม่ใช้คำว่า อาจารย์พุทธทาสดัง สถาบันสวนโมกข์มันดัง นะครับ เพราะว่าธรรมปฏิจจสมุปบาทชนิดที่ สันทิฏฐิโก รู้แจ้งเห็นจริงเองได้ รู้ รู้แต่ละบุคคล อกาลิโก รู้เมื่อไรก็ได้ ธรรมะมันต้องเป็นอย่างนั้น ต้องรู้แจ้งเห็นจริงได้ รู้เมื่อไรก็ได้ เพราะว่าปฏิจจสมุปบาทที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ได้เผยแพร่ออกไปนั้น เป็นปฏิจจสมุปบาท ที่มอง ที่เกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง แวบเดียวเท่านั้นแหละ ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นแหละ ๑๑-๑๒ อาการ แล้วเข้าใจว่า คงมีหลายท่านก็ได้อ่านกันแล้ว และคงจะมีบ้างกระมังครับ ที่ยังฟังแล้วว่ายังเป็นของแปลกอยู่ แต่ความจริงก็คงจะได้ยินกันหมดทุกท่านแล้ว แต่เป็นจุดเด่นนะครับ เป็นจุดเด่นที่ว่า ปฏิจจสมุปบาทเดิมนั้นมันข้ามภพข้ามชาติ แต่เราก็ไม่ได้ไปโจมตีอะไรว่าผิดหรือถูก จะไม่ขอวิจารณ์ แต่มันข้ามภพข้ามชาติ ถ้าเรื่องที่เหตุอยู่ชาติก่อน แล้วมาผลชาตินี้ แล้วเหตุจากชาตินี้ ไปผลชาติหน้า มันรู้แจ้งเห็นจริงไม่ได้ สันทิฏฐิโกไม่ได้ มันก็เป็นธรรมะที่ลำบากหน่อย มันฝืนหน่อย มันขัดต่อหลักใหญ่ของธรรมะ มันยาก พระเดชพระคุณท่านอาจารย์จึงได้มองเห็นธรรมะที่มันไม่ขัดต่อหลัก เหมือนกับกฎหมายที่ไม่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายถ้าขัดรัฐธรรมนูญ ใช้ไม่ได้นะ กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแม่บท ที่นี้ถ้ากฎอะไรที่มันขัดกันแล้ว ต่อหลักธรรมแล้ว มันก็ มันก็ยากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นปฏิจจสมุปบาทนี้นะครับ เป็นหัวใจแท้ แก่นแท้ ผมถือโอกาสพูดไว้นิดหนึ่งเลยครับ เวลา ๓ นาที ผมเอาเสียแล้ว หมดพอดี ที่เหลือของคุณหมอนะครับ เอ้า, ทีนี้ต่อไปก็ขอเชิญ ขอโทษ ผิดไปเรื่อยเหมือนกัน พอชักดึกแล้ว ชักเพี้ยนแล้ว ขอนิมนต์พระ พระสงวนแล้ว พระบุญนพแล้ว เอ้อ, ยัง มาหรือยังครับพระบุญนพ ผมผ่านไปเมื่อครู่ มาหรือยังครับ มาแล้วขอนิมนต์ด้วยนะครับ ตอนนี้เพราะผมมองไม่เห็น พระบุญนพมาแล้ว ขอนิมนต์นะครับ
(พระบุญนพ)
ขอกราบคารวะพระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาส ตลอดจนมหาเถระ และพระเถระ และเพื่อนสหธรรมิกทุกท่าน และขอเจริญพรญาติโยมผู้ที่สนใจในธรรมะ อาตมาออกมาก็พอดีรอบดึกพอดี อาตมาเองก็ได้มาที่สวนโมกข์ เดิมทีเดียวสมัยที่บวชครั้งแรก อาตมาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะบวชมาถึงป่านนี้ ก็ลาบวช กะว่าสักเดือนเดียว บวชให้คุณ บวชให้ทดแทนโยมพ่อโยมแม่ ก็บวชตามประเพณี ทีนี้พอบวชมาแล้ว หลังจากที่บวชได้ประมาณเดือนหนึ่ง เราก็คิดว่า น่าจะอยู่ต่อศึกษาต่อ ก็เลยไปจำพรรษาที่เกาะฟาน ที่เกาะสมุย แล้วก็พอดีได้มาได้หนังสือเล่มหนึ่งของท่านอาจารย์ ก็คือ คำสอนผู้บวช เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ทำให้อาตมาเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ไอ้ที่เราบวชอยู่เดือนหนึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ นี่ยังไม่ได้อะไร พอมาอ่านหนังสือท่านอาจารย์ บอกยังมีอะไรอีกเยอะที่เรายังไม่ได้ศึกษา ก็เลยศึกษาหนังสือจากเล่มนั้น แล้วก็ประพฤติปฏิบัติ รวมทั้งได้มาพบกับท่านอาจารย์เจริญ ซึ่งท่านอาจารย์เจริญกับอาตนานี่ เมื่อก่อนก็เหมือนกับเป็นพระคู่แฝด ไปไหนไปด้วยกัน ๗ ปี ก็ติดตามท่าน ก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ท่านองค์หนึ่ง ก็ไปด้วยกันเรื่อย แล้วก็ที่สวนโมกข์ อาตมาจะเพิ่ง เพิ่งมาครั้งแรกก็เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ นะ มาวันล้ออายุ
พอมาที่สวนโมกข์แล้ว อาตมาก็มีความรู้สึกหลายอย่าง เพราะว่าธรรมะอะไรๆ ที่ก็ได้จากท่านอาจารย์ไปเยอะ รวมทั้งท่านอาจารย์อีกหลายองค์ด้วยกัน เดิมทีเดียวอาตมาเองเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้า เป็นคนประหม่า แล้วก็ไม่ค่อยอยากออกหน้าออกตา ไม่ค่อยอยากไปพบผู้คน เลยอยากจะอยู่ป่า บวชมาก็อยู่เขา อยู่ป่า อยู่ถ้ำ ตามท่านอาจารย์เจริญไปเรื่อย ธุดงค์ไป ทีนี้พอนานไปๆ ก็คิดว่า เอ๊ะ, เราศึกษาธรรมะท่านอาจารย์ไปแล้ว ก็น่าจะได้ประโยชน์ หรือทำประโยชน์อะไรให้กับผู้คนบ้าง เท่าที่สติปัญญาความสามารถตัวเองมี อาตมาได้พบภาพภาพหนึ่งซึ่งเขียนที่โรงมหรสพ แต่เขาเขียนไว้ว่า สมัยนี้ชาวพุทธเรา เอาแต่ไหว้ พอพระบอกให้ประพฤติธรรม ก็เอามือกำหู ได้พบภาพภาพนี้ก็เกิดความคิดขึ้นมา เอ๊ะ, ชาวพุทธเขาเอามือกำหูนี่ยังดี สมัยที่อาตมายังไม่บวช แค่ๆ กำหูเท่านั้นเอง เพราะว่าภาพนี้เขียนมานานแล้ว คนเวลากำหูนะโยม ถ้ามือมันเมื่อย มือมันห้อยลงมา ก็ยังได้ยินเสียงพระบ้าง แม้สักคำหนึ่ง บางทีอาจจะแวบเข้าไปในใจก็ได้ แล้วเกิดความสว่างขึ้นมา ก็ยังดี แต่พอมายุคที่อาตมาบวชแล้ว ชาวพุทธสมัยนี้ไปไกล คือเขาไม่กำหูนะโยม เขาจ้ำหนีเลย จ้ำหนีไป พอดีอาตมาได้ไปพบกลอนของท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าใช่ของท่านหรือเปล่า ธรรมรักษา ท่านแจกเป็นกระดาษเล็กๆ พิมพ์ เขียนว่า ชาวพุทธสมัยนี้ จ้ำหนี อาตมาเลยไปเอาทำเป็นภาพ อุปกรณ์ ซึ่งก็ได้ทำไว้หลายภาพด้วยกัน อันนี้ก็จะเป็นตัวอย่างให้โยมได้ดู ในกลอนนี้เขาเขียนไว้ว่า ชาวพุทธสมัยนี้ สมัยนี้ชาวพุทธเรา เอาแต่ไหว้ เอาแต่กราบแต่ไหว้ พอพระบอกให้ประพฤติธรรม ก็จ้ำหนี อ้างโน่นนี่จิปาถะ ประดามี เกิดทั้งทีเสียชาติ อนาถใจ อย่างคืนนี้ก็จ้ำหนีไปหลายคนแล้วนะ คนที่อยู่สู้กันก็มีอยู่พอสมควร แต่ที่หนีไปเยอะ เพราะง่วงนอนทนไม่ได้ ตอนแรกๆ อาตมาเองก็จะจ้ำหนีเหมือนกันแหละ แต่รายการเขาให้อยู่สุดท้ายพอดี อีกอย่างก็มาเห็นภาพเมื่อเช้า มาเห็นท่านอาจารย์ ท่านอุตส่าห์ไม่สบาย ท่านยังอุตส่าห์มาให้ของขวัญกับเรา อาตมาเองก็นึกว่า เอ๊ะ, อย่างน้อยๆ ไอ้ที่มันคิดจะหนี จะหนีไปไหนล่ะ ท่านอุตส่าห์ให้ของขวัญเราตั้ง ๒ อย่างแล้ว เราก็ควรจะให้ของขวัญท่านบ้าง แล้วก็เป็นอย่างนี้จริงๆ แหละโยม อันนี้จะทำเป็นภาพเคลื่อนไหว แล้วเขาเรียกว่าหนังกระดาษ คือคนทั่วไป เวลาเขาจะชวนไปไหนโดยเฉพาะเรื่องของธรรมะ ปกติรายการดีๆ เขาจะอยู่ตอนดึกๆ แหละโยม พอชวนให้ฟัง ให้นั่น หรือไปธรรมะ ไปฟังปาฐกถา เขาไม่ค่อยไป อ้างโน่นอ้างนี่ ติดโน่นติดนี่ บอกมันวุ่นไปหมด มันไม่ว่าง ไอ้ที่ไม่ว่าง ไม่ใช่อะไรโยม มันไม่วาง ถ้ามันวาง มันก็ว่าง ฉะนั้นที่สวนวาง ท่านอาจารย์เจริญจึงให้ตั้งชื่อว่า สวนวาง เพราะว่าใครไปที่นั่น สอนให้วางหมด วางตั้งแต่ข้างนอก คือวางอบายมุข สิ่งเสพติด แล้วชีวิตจะแจ่มใส ถ้าวางการยึดถือตัวเราของเรา แล้วก็จะเบาใจ ก็จะพบกับพระนิพพาน
ทีนี้คนที่ไปวัดส่วนใหญ่ก็ไปอย่างนี้แหละโยม ไปถึงก็ไปแค่ไปกราบๆ ไปแค่กราบๆ ไหว้ๆ แต่พอพระบอกให้ประพฤติธรรมนี่ ไม่หรอก เขาจ้ำหนีเลยโยม เขาวิ่งหนี เขาไม่ได้สนใจหรอก ไม่เหมือนเมื่อก่อนนะที่ในภาพโรงมหรสพ อาตมาเห็นยังว่า เออ, นั่นแค่กำหู แต่คนสมัยนี้มันจ้ำหนีนะโยม พอจ้ำหนีแล้วพระก็ไม่รู้จะไปเทศน์ให้ใครฟัง อย่างพวกที่หนีไปหลับแล้วคืนนี้ บางทีต่อจากอาตมา รอบดึกๆ อาจจะมีดีกว่านี้อีก ก็เลยไม่ได้ฟังของดี แล้วมาสรุปคำสอนของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ได้พยายามชี้แนะแก่น ส่วนที่เป็นแก่นของธรรมะ แต่ละท่านได้แต่งเป็นกลอน แล้วก็มังคุดธรรม ถ้าพวกโยมได้อ่านกลอนนี้ ก็คงจะจำได้ ก็เลยเปรียบเหมือนลิง ๒ ตัวนะโยม ไอ้ลิง ๒ ตัว ไอ้ลิงขาวกับลิงดำ ลิง ๒ ตัวเหมือนกับคน มันมีอยู่หลายประเภท สรุปแล้วประเภทใหญ่ๆ ก็มี ๒ ด้วยกัน คือประเภทไอ้ลิงขาวกับลิงดำ ลิงขาวนี่ตั้งใจฟัง ฟังอย่างดี พยายามเลือก พยายามเฟ้นเอาแต่ไอ้สิ่งที่มันเป็นประโยชน์เป็นสาระ แต่ไอ้ลิงดำไม่ค่อยอย่างนั้น มาฟังพระ บางทีก็นั่งหลับบ้าง, นั่งหลับบ้าง คุยกันบ้าง นั่นบ้าง ไม่ค่อยได้สนใจหรอก บางทีเนื้อหาดีๆ ที่ท่านอาจารย์พูด หลับไปบ้าง คุยกันบ้าง เลยไม่ได้ประโยชน์ ท่านอาจารย์พยายามชี้นะ บอกถ้าเราอยากจะได้เนื้อของธรรมะ อยากจะได้แก่น แล้วต้องปอกเปลือกออกเสีย ทีนี้ไอ้ลิงดำนี่ มันไม่ได้ฟังนะโยม มันไม่ได้ตั้งใจฟัง มันหลับ พอตื่นขึ้นมา มันเห็นมังคุดอยู่ มันก็คว้าขึ้นมา มังคุดนี่ ทีนี้มันก็ดูแล้ว ใช่นี่มังคุด ก็ลองงับดูสิ เอ้า, มังคุดทำไมมันฝาด เพราะเขางับทั้งเปลือก มังคุดฝาด มันก็เลยโมโหเขวี้ยงทิ้ง มันไม่กินแล้ว มันไม่เอามังคุด มันบอกมังคุดนี่มันฝาด มังคุดมันไม่หวานเลย เห็นท่านอาจารย์บอกว่าธรรมะมันดีนี่ ธรรมะถ้าใครได้รับเข้าไปแล้ว จะได้สวรรค์ทุกอิริยาบถ ได้ธรรมะปีติ แต่ไม่ ไอ้นี่มันงับทั้งเปลือก แต่ลิงขาวเขารู้ว่า ท่านอาจารย์บอกว่าต้องปอกเปลือกเสียก่อน ต้องมีธรรมานุสติ ถ้ายังจำได้ ตอนบ่ายที่ท่านอาจารย์ว่า ปอกเปลือกเสียก่อน แล้วค่อยๆ งับ งับเข้าไป ต้องงับแรงๆ งับหลายๆ ที ปอกเข้าไปลึกๆ เคี้ยว เคี้ยว เคี้ยว เคี้ยว เคี้ยว พอเปลือกหลุดปุ๊บ ทีนี้ก็ได้กินเนื้อหวานๆ ได้กินเนื้อหวานๆ ของมังคุด พอได้กินเนื้อหวานๆ ก็บอก อร่อยจริงโว้ย อร่อยจริงโว้ย นี่ถ้าคนรู้จัก เข้าใจ แล้วฟังธรรม แล้วก็แยกแยะ พิจารณาตาม แล้วก็จะได้ประโยชน์จากธรรมะ
อาตมาก็สรุปให้สั้นๆ พอดีระฆังตีแล้ว อาตมามีข้อจะเสนออยู่นิดหนึ่ง เพราะได้ยินมาตั้งแต่ที่บวชมา มีคนพูดผ่านหูมาว่า ที่สวนโมกข์นี่ท่านอาจารย์สอนเรื่องตัวกูของกู คือสอนให้ละตัวกูของกู มีพูด มีผู้พูดว่าในสวนโมกข์นี้ยกเว้นท่านอาจารย์องค์เดียวเท่านั้นเอง นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นองค์ไหนๆ จะเป็นฆราวาสคนใดก็ตาม ล้วนแต่มีตัวกูของกูทั้งนั้น อาตมาเองก็ไม่ทราบว่ามันจริงเท็จแค่ไหน ก็ฟังจากเขาว่า นะเขาว่ามา จะจริงเท็จแค่ไหน โดยเฉพาะหลัก ๓ ข้อที่ท่านอาจารย์ได้พูด ให้รักผู้อื่น บังคับตนเอง แล้วก็มีความสุขกับการทำงาน
ข้อแรกที่ท่านบอกให้รักผู้อื่น อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกัน อาตมาสังเกตดู ยังมีอยู่บ้าง ทำไมเราจึงยังเข้ากันไม่ได้ ทั้งๆ ที่บางทีเราก็ถือธรรมะของท่านอาจารย์เหมือนกัน นับถือท่าน แล้วก็มาประพฤติปฏิบัติ มาฟัง มาล้ออายุ มาทำบุญให้ท่านนี่ มาทุกปีๆ แต่ก็ยังมีอะไรๆ ที่มันลงกันไม่ได้ ก็คงจะเป็นเพราะทิฏฐิมานะ หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ อย่างที่เขามีกลอน เขาทำเป็นกลอนไว้ ไอ้ตากับตีนน่ะโยม ไอ้ตากับตีนน่ะ ไอ้ตากับตีนที่จริงมันก็ออกมาจากท้องแม่เหมือนกัน มันก็ติดเป็นพี่น้องกัน ถ้าจะว่าฝาแฝดกันก็ได้ ทีนี้มันเกิดทะเลาะกัน อวดเก่ง อวดดีกัน ทิฏฐิมานะ ไอ้ตีนมันอวดเก่ง มันบอก ไอ้ตา มึงรู้ไหมที่มึงได้ไปดูสาวๆ ที่สวยๆ สาวเอ๊าะๆ นี่ เพราะใครพาไป ไม่ใช่เพราะตีนเหรอ ไอ้ตาก็บอกว่า เออ, ไอ้ตีน ถ้ามึงเก่งจริง มึงเดินไปนี่ ถ้าหากว่ากูไม่ดู กูหลับตาเสีย แล้วมึงจะเดินไปถูกเหรอ มันเกิดทะเลาะกัน มันก็ไม่ยอมลงกัน ทะเลาะกัน ปรากฏว่าไอ้ตาก็บอก เอ้า, มึงเก่งจริง มึงเดินไปสิ กูหลับตา ไอ้ตีนมันก็เดินไป เดินไป เดินไป ปรากฏว่าไปเดินเหยียบเอาหนามนิ่มเข้า หนามนิ่มเข้า ขาเป๋เลย ไอ้ตาก็หัวเราะชอบใจใหญ่เลย บอกเป็นยังไง เป็นยังไง เห็นไหม เหยียบถูกของดีเข้าแล้ว เหม็นไหมล่ะ ไอ้ตีนโมโห ทีนี้ก็วิ่งเอาเลย พอวิ่งไป ปรากฏว่าไอ้ตาไปถูกหนามทิ่มตาข้างหนึ่งบอด ร้องไห้ใหญ่เลย บอกว่าไอ้ตีน มึงเดินยังไงไม่ดูบ้าง เอ้า, แล้วมึงล่ะทำไมไม่ดูบ้าง มึงมีตาทำไมไม่ดูเสียบ้าง ก็ทะเลาะกันอีก พอทะเลาะไปทะเลาะมา ปรากฏว่าไอ้ตาก็บอกว่า เอ้า, ถ้ามึงแน่จริง มึงก็ไปอีกสิ ไอ้ตาหลับตาที่เหลืออีกข้างเดียว ก็หลับตานะ ก็เดินเฉิบๆ ไปถึงหน้าผา ปรากฏว่าไอ้ตามันหลับตา ไอ้ตีนก็เดินเอา วิ่งเอา ไปถึงหน้าผา ก็ตกหน้าผาเลย ตายห่าทั้งตาทั้งตีนเลย มีกลอนเขาแต่งไว้ อาตมาสรุปเป็นกลอน
ตากับตีนอยู่กันมา แสนผาสุก
จะนั่งลุก ยืนเดิน เพลินหนักหนา
มาวันหนึ่ง ตีนทะลึ่ง เอ่ยปรัชญา
ว่าตีนมีคุณแก่ตา เสียจริงๆ
ตีนช่วยพาตาไป ที่ต่างๆ
ตาจึงได้ชมนาง และสรรพสิ่ง
เพราะฉะนั้น ดวงตาจงประวิง
ว่าตีนนี้ เป็นสิ่งควรบูชา
ตาได้ฟัง ตีนคุยโม้ ก็หมั่นไส้
จึงร้องบอก ออกไปด้วยโทสา
ว่าที่ตีน เดินไปได้ก็เพราะตา
ดูมรรคา เศษแก้วหนามไม่ตำตีน
เพราะฉะนั้น ตาจึงสำคัญกว่า
ตีนไม่ควร จะมาคิดดูหมิ่น
สรุปแล้ว ตามีค่าสูงกว่าตีน
ทั่วธานินทร์ ตีนไปได้ก็เพราะตา
ตีนได้ฟัง ให้คั่งแค้นแสนจะโกรธ
วิ่งกระโดด โลดไปใกล้หน้าผา
เพราะอวดดี คุยเบ่งเก่งกว่าตา
ดวงชีวา จะดับไปไม่รู้เลย
ตาเห็นตีน ทำเก่งเร่งกระโดด
ก็พิโรธ แกล้งระงับหลับตาเฉย
ตีนพาตา ถลาล้มทั้งก้มเงย
ตกแล้วเหวย ตายห่าทั้งตาตีน
นี่เพราะมันอวดดีกัน ก็จบเพียงเท่านี้เพราะว่าเวลาระฆังหมดแล้ว
(พิธีกร)
เอาละครับ ก็ความจริงนาฬิกานี่ช่วยให้แยะเลย ช่วยให้พวกเราได้ฟังอะไรแยะครับ พยายามดึงกันไว้ ดึงเวลากันไว้ ก็ดีให้ท่านได้จบเลย ไม่เช่นนั้นเราไม่ได้ฟังอะไรดีๆ ครับ ไม่ได้ฟัง ตีนกับตามันจะตายกันหรือเปล่า ตอนจบนะครับ นี่เป็นเรื่องที่ผมใคร่เรียนให้ทราบ ที่ผมดูแล้วนี่ เวลาเหลือ ๕ นาที ๕ นาทีนี่คงจะอีกท่านหนึ่ง คงจะไม่ไหวแล้ว นะครับ ได้ใช่ไหม ก็ต้องเป็นฆราวาสสิครับ ถ้าได้ ไหนครับ อาจารย์สรวิทย์ เดี๋ยวๆ นะครับ เดี๋ยวผมขอดู ดูใบ้ก่อน อาจารย์สุรวิทย์ นะฮะ อาจารย์สุรวิทย์ ครับ ได้ครับ ๑ ท่าน เวลาก็เลยไปหน่อย ทางฝ่ายพระอนุญาต ไม่เป็นไร ขอเชิญอาจารย์สุรวิทย์ครับ
(อาจารย์สุรวิทย์)
ขอกราบนมัสการท่านอาจารย์ และพระคุณเจ้าทุกๆ รูป และสหายธรรมทุกๆ ท่าน ขอสวัสดีครับ กระผมสุรวิทย์ คงทอง จากวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช กระผมจะขอกล่าวเพื่อเป็นการสดุดีต่อท่านอาจารย์ และก็เพื่อเป็นการสารภาพบาปของตัวเองพร้อมๆ กันไปด้วย คือกระผมได้ยินชื่อท่านอาจารย์พุทธทาสครั้งแรก ตอนนั้นผมบวชเป็นสามเณร ก็อยู่ที่วัดคูหาสวรรค์ จังหวัดพัทลุง บวชได้ปีที่ ๒ สาเหตุที่ได้ยินชื่อท่านอาจารย์พุทธทาส ก็คือท่านปัญญานันทะ ท่านไปบรรยายที่วัดคูหาสวรรค์ ท่านได้กล่าวถึงหนังสือเล่มหนึ่ง บอกว่าพระเณรควรจะอ่าน ก็คือ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ กระผมตอนนั้นก็กำลังเรียนนักธรรมชั้นโท ก็อยากจะหาอ่าน ก็ไปหาในตลาด ก็ไม่พบ ก็อยู่มา รู้สึกจะเป็นปีผ่านมา ก็พอดีมาธุระที่ตลาดบ้านดอน ก็ไปเที่ยวหาหนังสือในตลาดบ้านดอน คิดว่าใกล้ๆ กับสวนโมกข์คงจะพบ ก็ไปพบหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า คู่มือมนุษย์ ส่วนหนังสือ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ไม่มีครับ ก็ซื้อไป แล้วก็ไปอ่าน ตรงนี้แหละครับ ขอสารภาพว่า ผมอ่านผมไม่เข้าใจ อ่านไม่รู้เรื่องครับ ทั้งๆ ที่ผมเคยเรียนนักธรรมมา ตอนนั้นได้ชั้นตรี นักธรรมตรี ผมอ่านไม่รู้เรื่อง แต่ผมก็ขืนอ่านไป แต่ก็ยังไม่รู้เรื่องนั่นแหละครับ ก็จนกระทั่งว่า เวลาผ่านมาๆ จนถึง พ.ศ. ๒๕๑๓ คือหลังจาก หลังจากที่ผมเรียนอยู่ที่วัดคูหาสวรรค์พักหนึ่ง ผมก็ไปอยู่กรุงเทพฯ จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๑๒ ผมก็มา กลับมาอยู่ที่พัทลุง ขอโทษ อยู่ที่วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช มารับราชการอยู่ที่นั่น แล้วก็จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๑๓ ก็ได้รวบรวมพรรคพวก ว่ามาให้ถึงสวนโมกข์สักที เพราะว่ามันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันเท่าไร ก็ได้มากัน คณะอาจารย์จากวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช จำได้ว่าคืนนั้นประมาณสัก ๒ ทุ่ม หรือเกือบ ๒ ทุ่ม ท่านอาจารย์ได้บรรยายให้คณะครูที่มาฟังที่ลานหินโค้งตรงนี้แหละครับ แล้วผมก็ได้เห็นท่านอาจารย์ครั้งแรกในวันนั้นเอง
ท่านได้พูดที่มันจับใจ แล้วก็ฝังจิตใจอยู่ ก็มีคำๆ หนึ่ง ท่านบอกว่า ครูนี่นะ อย่าทำตัวเป็นโสเภณีทางวิญญาณ ท่านพูดคำนี้ครับ อย่าทำตัวเป็นโสเภณีทางวิญญาณ คำพูดของท่านคำนั้นแหละทำให้อาจารย์ที่มากันทั้งผู้หญิงและผู้ชาย กลับไปวิพากษ์วิจารณ์ บางคนก็บอกว่า ท่านพูดรุนแรงมาก พระอะไรพูดรุนแรงเหลือเกิน นะฮะ ผมก็ได้ฟังแล้วก็เอามาคิด แต่ก็ยังไม่ได้สนใจอะไรเท่าไรหรอกครับ จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกหลายปี จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๑๘ ตอนนี้ผมก็มาอีก มาที่สวนโมกข์ ตอนนี้ก็มีอยู่ตอนหัวรุ่ง ท่านก็ได้บรรยายธรรมให้พวกกระผมฟัง ท่านได้พูด ก็เหมือนกับที่ท่านพูดตอนบ่ายวันนี้แหละครับ คือท่านบอกว่า ธรรมะมันอยู่ในการปฏิบัติธรรม ขอโทษ อยู่ในการทำงาน ธรรมะนั้นอยู่ในการทำงาน หรือการทำงานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม ท่านบอกว่าอย่างนี้ครับ ผมก็เห็นจริง และผมก็รู้สึกว่าคำพูดของท่านมีค่าเหลือเกินกับการทำงาน ตั้งแต่นั้นมาครับ ผมรู้สึกสนใจขึ้น แล้วก็พยายามอ่านหนังสือของท่านมากขึ้น แล้วก็หลังจากนั้น รู้สึกว่า ทุกเทอมนะครับ หลังจากนั้นผมก็ได้มา แล้วก็นอกจากมาตัวเองแล้ว ได้นำนักศึกษามาด้วย แล้วก็มีพระคุณเจ้าท่านหนึ่ง ที่อดกล่าวเสียไม่ได้ เพราะทำให้ท่าน ทำให้กระผมนี่ซาบซึ้งเหลือเกิน จนกระทั่งขนลุกเลยทีเดียวครับ คือท่านอาจารย์วรศักดิ์ วรธัมโม
ผมนี่เคยบวชมา ได้นักธรรมชั้นเอก แล้วก็ได้เปรียญสามประโยค สอบนักธรรมชั้นเอกได้ แต่พอมาได้ยินท่านอาจารย์วรศักดิ์ได้บรรยายเรื่องพระรัตนตรัย ผมขนลุกเลยครับ ผมว่า อ๋อ, นี่พระรัตนตรัยเป็นอย่างนี้เอง ผมสอบได้นักธรรมชั้นเอก แต่ผมไม่เข้าใจดอก ก็คือเสา ๓ เสาที่โรงมหรสพทางวิญญาณนั่นเองครับ ทำให้ผมเข้าใจเรื่องรัตนตรัย แล้วผมยังคิดว่า ถ้าชาวพุทธเราเข้าใจเรื่องรัตนตรัยอย่างที่ผมเข้าใจ จะไม่คลอนแคลนเรื่องศาสนาเด็ดขาด ผมคิดอย่างนี้ แล้วผมก็ได้นำคณะครูบ้าง ที่ผมสอนนะครับ คือมีครูมาเรียนด้วย และก็นักศึกษาระดับอนุปริญญาและปริญญามาที่นี้ เทอมหนึ่งครั้งบ้าง สองครั้งบ้าง เหตุใดครับ เพราะผมอยากจะให้เขาได้เข้าใจเรื่องรัตนตรัย เพราะผมคิดว่า ถ้าทุกคนได้เข้าใจรัตนตรัยอย่างที่ผมเข้าใจแล้ว จะไม่คลอนแคลนเรื่องศาสนาเป็นเด็ดขาด และก็บางครั้งผมก็นิมนต์ท่านอาจารย์วรศักดิ์เข้าไปบรรยายให้นักศึกษาและครูที่วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราชฟัง ครับ ผมก็ทำอย่างนี้ และก็นอกจากเรื่องรัตนตรัยแล้ว ผมมาที่สวนโมกข์ ผมมาได้เห็นหลายอย่าง ผมมาเห็นนรกที่สวนโมกข์ มาเห็นเปรตที่สวนโมกข์ คือมารู้จักเปรตนะ ผมเคยเรียนเรื่อง เคยแปลธรรมบทเรื่องนรก เรื่องเปรต เรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม รูปพรหม อรูปพรหม ผมแปลมา ผมรู้มา แต่ผมไม่เข้าใจ ผมเพิ่งมาเห็นมารู้ที่สวนโมกข์นี่เองว่า อ๋อ, นรกมันคืออย่างนี้ เปรตคืออย่างนี้ สวรรค์คืออย่างนี้ ผมจึงไปบอกกับครูอาจารย์ที่วิทยาลัยว่า ผมได้เห็นนรกแล้ว ได้เห็นสวรรค์แล้ว ได้เห็นพรหมแล้ว ได้เห็นอรูปพรหม ผมเห็นหมดแล้ว บางคนหาว่าผมนี่ อะไรแปลกๆ ไปแล้ว ผมว่าผมเห็นจริงนะครับ นี่มันเป็นอย่างนี้ครับ
ผมก็ได้ทำอย่างนี้ครับ ได้นำครูมาบ้าง อะไรบ้าง ผมก็ได้ทำมาเรื่อย จนกระทั่งมาถึงวันหนึ่ง เหตุการณ์มันก็เกิดทำให้ผมชะงัก ก็คือว่าเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๒๖ ผมก็นำคณะครูมา ๑ คันรถ ประมาณสัก ๖๐ คน พอรถออกจากเมืองมานิดเดียวครับ เกิดอุบัติเหตุ ทำให้คนบาดเจ็บถึง ๒๔ คน สาหัส ๗ เสียชีวิต ๓ ตัวผมเองนั้นกระเด็นออกมาทางกระจกรถ แล้วก็คลุกฝุ่นนิดหน่อย แล้วก็วันนั้นเองครับ คืนนั้นได้นัดพบกับท่านอาจารย์วรศักดิ์ ว่าท่านมาที่นครฯ แล้วผมไปรับ แล้วจะมารถคันนี้ด้วยกัน แต่บังเอิญอย่างไรไม่ทราบ ผมไปคอย คอยอย่างไรก็ไม่พบท่าน ถ้าท่านมาด้วยก็คงจะคลุกฝุ่นพร้อมกับผมด้วย นี่ก็คงจะเป็นบุญกุศลอะไรสักอย่างนะครับ นี่ก็เล่าเรื่องว่าความสัมพันธ์ผมกับสวนโมกข์ มันเป็นมาอย่างไรนะครับ
นอกจากท่านอาจารย์วรศักดิ์แล้ว มีพระองค์อื่นที่สวนโมกข์ ที่ทำให้ผมเข้าใจเรื่องศาสนา เรื่องธรรมะอะไรมากยิ่งขึ้น ผมอดกล่าวเสียไม่ได้ บางท่านอาจจะลืมชื่อบ้างก็ขออภัยด้วยครับ ก็คือท่านอาจารย์โพธิ์ ท่านอาจารย์วิรัตน์ ท่านอาจารย์สุชาติ ท่านอาจารย์นุ้ย และก็อีกองค์หนึ่งคือท่านพยอม ท่านอาจารย์พยอม ตอนนั้นท่านยังอยู่ที่สวนโมกข์ ทำให้ผมเข้าใจเรื่องสวนโมกข์มากนะครับ
อีกตอนหนึ่งนะ นี่ประทับใจ ก็คือเมื่อมากันที่สวนโมกข์ บางทีก็ตอนแรกๆ ที่มาใหม่ๆ ผมยังไม่ชำนาญเรื่องสวนโมกข์ ก็ได้อาศัยท่านโพธิ์ได้นำเที่ยว นำชมสวนโมกข์ แล้วท่านก็ได้นำผ่านไปทางมะพร้าวนาฬิเกร์ ไม่ทราบว่าบางคนอาจจะไม่เคยไป หรือบางท่านอาจจะไปแล้ว บางท่านอาจจะชำนาญแล้ว ท่านบอกว่า นี่คือนิพพาน มะพร้าวนาฬิเกร์ ท่านบอกว่านิพพาน ท่านอธิบายว่านิพพานอย่างไร ท่านบอกว่า มะพร้าวนาฬิเกร์นี่คือความหมายนิพพานแล้ว มันเป็นบทเพลง ท่านก็อธิบายต่อไปอีกว่า มันเป็นบทเพลงกล่อมเด็กของภาคใต้ คือใจความมันมีว่า มะพร้าวนาฬิเกร์เอย ต้นเดียวโนเน อยู่ในทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง อยู่ในทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญเอย ท่านก็อธิบายความหมายย่อๆ ว่า มะพร้าวนาฬิเกร์นี่ก็คือนิพพาน อยู่ในทะเลขี้ผึ้งก็คืออยู่ในวัฏสงสารนี่เอง ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง ก็คือกิเลสทั้งหลาย ทั้งที่เป็นฝ่ายบวกและฝ่ายลบ เข้ามาพัวพันมันไม่ได้ แล้วก็คนที่จะไปถึงนิพพานได้นั้น ก็คือคนที่พ้นจากติดดีติดชั่ว คืออยู่เหนือดีเหนือชั่ว ก็คือพ้นบุญแล้วเท่านั้นเอง แล้วกระผมก็ขอโอกาส อยากจะร้องกล่อมเป็น เป็นเพลงพื้นเมือง เป็นภาษาปักษ์ใต้ หรือเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ เผื่อว่าทางภาคอื่นไม่เคยได้ยิน อาจจะได้ยินไว้ด้วยนะครับ แล้วก็ขออภัยด้วยเพราะเสียงผมไม่เพราะ แต่ว่าพอเป็นแนวก็แล้วกันนะครับ แล้วส่วนที่คนอยู่ภาคใต้นี่ ก็ผมอยากจะขอร้องอีกว่า กรุณาช่วยรักษาเพลงกล่อมเด็กภาคใต้เอาไว้ด้วยครับ เพราะมันมีความหมายลึกซึ้งในทางธรรมะมาก ผมเคยวิเคราะห์แล้วก็เคยส่งมาให้ท่านอาจารย์วรศักดิ์ช่วยวิเคราะห์วิจารณ์ ก็หลายบทนะครับ อันนี้ก็ ผมส่งไปยังสำนักวัฒนธรรมแห่งชาติพิมพ์ ก็ป่านนี้ยังไม่ทราบว่าเขาจะพิมพ์ให้รึเปล่า ผมตามไปดู เขาก็ยังไม่ทราบ แล้วผมว่าถ้าเขาไม่พิมพ์ ผมอยากเสนอให้มูลนิธิช่วยพิมพ์ครับ ก็คงจะสำเร็จนะฮะ ครับ ขออภัยนะครับ เขาใช้ร้องเพื่อตอนที่ให้เด็กนอนนะ ไม่ทราบว่าท่านจะนอนกันด้วยรึเปล่า หรือถ้าจะรู้สึกอาจจะตื่นขึ้นเลยก็ได้เพราะเสียงผมมันไม่เพราะ
(ร้องเป็นภาษาใต้) ฮ่าเออ.... มะพร้าวเฮ้อ มะพร้าวนาฬิเกร์ ต้นเดียวโนเน อยู่ในทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง อยู่ในทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญเอ้อ...เหอ
ครับ เวลายังเหลือใช่ไหม ขออีกเพลงนะฮะ ครับ อันนี้ก็เป็นเพลงพื้นเมืองภาคใต้อีกเหมือนกัน เพลงกล่อมเด็ก เพลงกล่อมเด็กจะขึ้นว่า ฮ่าเออ ก่อนนะ เป็นการทำให้เด็กนี่ จิตใจเขาเยือกเย็นขึ้น
(ร้องเป็นภาษาใต้) (นาทีที่ 01:10:39) ฮ่าเออ... ลมพัดเหอ พัดมาวอกแวก ในอกในทรวงของน้องเหมือนจะแตก ใครเลยจะเข้ามาล่วงรู้ ถ้าเป็นขี้พร้า น้ำเต้า น้องผ่าให้คนแลกันฉาวโฉ่ ใครเลยจะเข้ามาล่วงรู้ในอกในทรวงน้องเอ้อ...เหอ
ครับ ขอเพียงแค่นี้ครับ
(พิธีกร)
ครับ ก็รู้สึกว่าจะสมบูรณ์แบบเลยนะ จบคนสุดท้ายก็มาลงสู่พระนิพพาน ซึ่งเป็นปณิธานข้อที่ ๑ ของพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ ให้ได้เข้าถึงแก่น แก่นของพุทธศาสนา หัวใจจริงๆ ก็สู่พระนิพพานกันแน่ ครับ ผมก็ได้เรียนให้ทราบแล้วว่า รอบสุดท้ายคือภาคกลางคืนนี่ รอบอวสานนี่ ใครๆ ต้องเห็นว่าสำคัญทั้งนั้น ฉะนั้นใครที่อยู่รอบอวสานนี้คงจะได้อะไรดีๆ กลับไปหลายอย่าง ฉะนั้นก็เวลาที่มันเกินเลยไปบ้าง กระผมก็ต้องขออภัยแก่ท่านผู้ฟังด้วย ที่ให้ความไม่พอใจบ้าง บางท่านก็ได้ และกระผมก็ขอเรียนหรือปวารณาไว้ว่า จะรับใช้ทุกๆ ท่านในสวนโมกข์นี้อีกต่อไป ฉะนั้นสิ่งใดหรือคำพูดใดที่ผมพูดไป เพื่อมีเจตนาที่ต้องการดึงกันไว้เพื่อความสนุกสนาน เพื่อเป็นการอะไรก็ตามในแง่ของการที่ให้ได้มีมาในทางแง่ดี ไม่ใช่แง่ร้าย เพราะเรามองในแง่ดีแล้วสบาย ดึงกันไว้ แก้ง่วงบ้าง อะไรต่างๆ นี้ เป็นการกระทำที่มีเจตนารมณ์เพื่อส่วนดีอย่างเดียว ผมขอบอกไว้ได้แค่นั้น เพื่อส่วนดีอย่างเดียว ส่วนด้านอื่นนั้น ผมไม่ได้มีความหมายหรือเจตนารมณ์ไปอย่างหนึ่งอย่างใด แล้วผมก็ปวารณาตัวว่าจะรับใช้อย่างนี้ตลอดไป แล้วก็เราเคยจัดอะไร ทำอะไรกันอยู่ในสวนโมกข์กันอยู่เรื่อยๆ ก็ล้วนแต่ได้ความสนุกสนานในทางธรรมกันบ้างไม่มากก็น้อย ทุกครั้งแหละครับ แล้วก็โดยเฉพาะในเรื่องของทางธรรมขั้นลึก ขั้นสูง ขั้นหัวใจ แล้วก็จะได้ฟังกันรอบดึกกันเกือบจะทุกที แล้วผมเอง บางทีก็ในฐานะที่ได้ใกล้ชิดอยู่ที่นี่มานานๆ บางทีก็ได้ฟังมาเรื่อยๆ ฟังๆ ไปมันก็ซาบซึ้งไปเอง ซาบๆ ไปบ้าง ฉะนั้นแต่ว่ามันไม่มีโอกาสที่จะได้แสดงออกเท่าไรหรอกครับ เพราะเขาเกณฑ์ให้ขึ้นมาทำหน้าที่อย่างนี้ พูดมากก็โดนด่า จดไว้แล้วหลงก็โดนด่า จดๆ ไว้แล้วหลงก็โดนด่า ขอเชิญพลาดไปก็ไม่ได้ อะไรต่างๆ คอยระวังแต่เรื่องอย่างนี้ไว้แยะ เอาละครับ ฉะนั้นขอขอบคุณทุกท่าน และตอนนี้เป็นรายการธรรมทายาท แต่อาจารย์วรศักดิ์บอกว่า โยมทั้งหลาย ฆราวาสทั้งหลาย ใครจะอยู่ร่วมฟังอะไรด้วยก็ได้ทั้งนั้นนะครับ แต่ว่าเป็นเรื่องของธรรมทายาทที่จะประชุมกันต่อไปที่ลานหินโค้งนี้ครับ จนถึงเวลา ๒ ยาม ครับตอนนี้กระผมขอจบหน้าที่ของผมเพียงเท่านี้