แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิกผู้เป็นพระเถรานุเถระทั้งหลายและญาติโยมทุกคน อาตมาชื่ออะไร คุณศรีธวัชก็ได้บอกไปแล้ว อาตมาได้อยู่ที่สวนโมกข์เป็นเวลา ๒๑ ปีแล้ว อาตมาถือโอกาสมาคุยกับบรรดาเพื่อนสหธรรมิกทุกคนด้วย คืออยากจะแสดงความรู้สึกในฐานะที่มารับใช้ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เฉพาะอาตมาองค์เดียว มีเพื่อนภิกษุสามเณรในวัดนี้ทุกรูปถือว่าเป็นเจ้าภาพ ก่อนอื่นจะต้องขออภัยแด่บรรดาท่านทั้งหลายทุกคนที่ไม่สามารถต้อนรับท่านทั้งหลายให้ได้รับความสะดวกสบาย อันนี้ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง เป็นความบกพร่องเพราะว่าเหลือกำลังเพราะว่าท่านมามากเกินไป อันนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ทีนี้อยากจะบอกอยากจะชวนทุกคนคือว่าพวกเรามาทุกคน มาที่นี่ทุกคน คงจะให้ของขวัญ ของขวัญแก่ท่านอาจารย์ ของขวัญบางองค์ บางคนยังไม่ทราบว่าของขวัญที่เราจะถวายแด่ท่านอาจารย์นั้นคืออะไร หลาย ๆ องค์หลายคนทราบแล้วว่าของขวัญของท่านอาจารย์คือการอดอาหาร ๑ วัน ของขวัญของท่านอาจารย์คือการอดอาหาร ๑ วัน เพราะฉะนั้นใครต้องการจะถวายของขวัญแด่ท่านอาจารย์ขอให้เตรียมเนื้อเตรียมตัวตั้งแต่บัดนี้ วันพรุ่งนี้ ๑ วันเราจะไม่รับประทานอาหาร จะไม่ฉันอาหาร ทำไมท่านอาจารย์จึงยินดีรับของขวัญโดยการให้ทุกคนอดอาหารนั้น ท่านมีเหตุผล อาตมาได้ฟังการล้ออายุของท่านทุกปีโดยเฉพาะปีแรก ๆ ท่านได้บอกอานิสงส์ของการอดอาหารไว้หลายอย่าง เท่าที่อาตมาจำได้ คือการอดอาหารนั้นคือการเป็นการทดสอบจิตใจของเราในขณะที่เราหิว ความหิวนี่ทำให้ขาดสติ ปกตินี่เช่นคนในครอบครัวระหว่างสามีภรรยาทะเลาะ ถึงกับหย่าร้างกัน รบราฆ่าฟันกัน เพราะอาหารไม่ทัน ทำอาหารไม่ทัน ปรุงอาหารไม่ทัน มีนิทานเคยฆ่ามารดาของตัวเองเพราะว่ามารดาเอาอาหารไปให้ไม่ทัน อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นการที่เราอดอาหาร ๑ วันมันเป็นการทดสอบจิตใจของเราว่ามันหงุดหงิดไหม มันรู้สึกปกติไหม ถ้าเราทำได้ปกติ หมายความว่าธรรมะของเราเพิ่มขึ้นมาก แล้วการอดอาหารหนึ่งวันนี้มันเป็นการประหยัด ประหยัดเศรษฐกิจเป็นอันมาก นี่ถ้าสมมุติว่าคนในประเทศอดอาหาร ๑ วันจะประหยัดเงินกี่ร้อยล้านนะ นี่เราหลาย ๆ คนชวนกันอดอาหารจะเป็นการประหยัด ถ้าเราหัดมีนิสัยอย่างนี้แล้วเราก็ไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องเศรษฐกิจที่หาเงินไม่พอใช้นี่ไม่ต้องเดือดร้อน สำหรับพระภิกษุสามเณร ถ้าเราหัดอดอาหารแล้วมันจะมีประโยชน์มาก ยกตัวอย่างการเดินทางในที่ที่ไม่เหมาะสม หาอาหารยากเราก็นั่งเฉยเสีย ไม่เป็นไร อดอาหารวันหนึ่ง ไม่ตาย เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร จิตใจนี่มั่นคง ยังมีอานิสงส์อื่น ๆ อีกมากมาย เพราะฉะนั้นหวังว่าญาติพี่น้องเพื่อนสหธรรมิกทั้งหลายทุกรูปทุกคน คงจะยินดีให้ของขวัญแก่ท่านอาจารย์ในวันพรุ่งนี้
อีกประการหนึ่ง ปีนี้อาตมาก็ยังไม่ได้กราบเรียนท่านอาจารย์ แต่ตะกี้ได้ปรึกษากับคุณศรีธวัชว่าปีนี้น่าจะทำเป็นพิเศษ ท่านอาจารย์จะอนุมัติหรือเปล่าก็ยังไม่ทราบ นี่จะไปเรียนท่านอาจารย์เสียก่อนแล้วจึงมาเรียนให้ญาติโยมพี่น้องทุกคนทราบก็ไม่ได้เพราะตอนนี้ท่านอาจารย์เข้าไปอยู่ข้างใน ก็ถึงเวลาอาตมาจะมาเรียนให้ทุกคนทราบ คืออาตมาคิดไว้อย่างนี้นะ แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าไม่ต้องก็ไม่เป็นไร ค่อยคืนคำใหม่ สำหรับวันพรุ่งนี้อาตมาคิดว่าอย่างนี้ สำหรับภิกษุสามเณรทุกรูป เราจะมีการมาพร้อมกัน แล้วก็มีจัดดอกไม้ธูปเทียน แล้วมาทำวัตรขอขมาท่านอาจารย์ก่อน มันเป็นการสวยงามดี หลังจากนั้นก็ประชาชนญาติโยมทั้งหลายทุกคน เราก็จัดไอ้ดอกไม้นี่สักอันหนึ่ง สักแจกันหนึ่ง เป็นตัวแทนของคนทั้งหมดให้เรากราบคารวะท่านอาจารย์ อันนี้จะดีไหม พวกเรามีความรู้สึกว่าจะดีไหม อาตมาคิดว่ามันน่าจะดี ปีก่อน ๆ นี้ท่านอาจารย์ขึ้นมาถึงก็ไหว้พระสวดมนต์ บูชาเสร็จแล้วท่านอาจารย์ก็พูดเลย แต่ปีนี้อาตมาคิดว่ามากันมาก น่าจะดีกว่า สวยงามกว่า คิดว่าถ้าท่านอาจารย์ออกมาข้างนอกอาตมาก็จะไปเรียน ถ้าอาจารย์ว่าอย่างไรก็จะเรียนให้ทราบอีกทีหนึ่งวันพรุ่งนี้
อาตมาที่ถือโอกาสขอเวลาท่านทั้งหลายก็อยากจะชักชวนกันวันพรุ่งนี้ให้ถวายของขวัญแก่ท่านอาจารย์ ฉะนั้นใครต้องการถวายของขวัญแก่ท่านอาจารย์ก็เตรียมเนื้อเตรียมตัวไว้ตั้งแต่วันนี้ วันพรุ่งนี้เราจะให้ของขวัญ อย่าไปกลัวว่าอดอาหาร ๑ วันแล้วจะตายนี่อย่าไปกลัว พระในวัดนี้มีหลายองค์อดอาหาร ๑๐ วันบ้าง ๗ วันบ้าง ไม่ฉันอะไรเลย คุณ Steve นี่เป็นฝรั่งเขาอดอาหารครั้งหนึ่ง ๓ วัน กินแต่ปัสสาวะของตัวเอง นี่ก็มาอดอาหารไม่ยอมกินอะไรเลย และมี ๆ หลวงพ่อกวงที่อยู่ในวัดอดอาหาร ๒๑ วันอยู่ที่โรงพยาบาล หน้าตายังยิ้มแย้มแจ่มใสเลย ไม่เป็นอะไรเลย เราอดอาหาร ๑ วันนี่อย่าไปกลัวว่าจะตาย ไม่ตายแน่นอน อดอาหารแล้วสบาย เพราะฉะนั้นน่าจะทดลองวันพรุ่งนี้ นี่แม้แต่ชาวต่างประเทศที่มาอยู่ที่วัดมาบอกอาตมา เขาบอกว่าขอปิดครัว วันพรุ่งนี้เขาจะไม่ฉันอาหาร ไม่ทานอาหารเหมือนกัน ฝรั่งที่มาอยู่เกือบ ๒๐ คนในวัดเขาก็ยินดีจะอดอาหารเพื่อท่านอาจารย์เพราะฉะนั้นเราคนไทยทั้งหมด ทั้งภิกษุสามเณรเรา ถ้าใครยินดีถวายของขวัญแด่ท่านอาจารย์ก็ ท่านอาจารย์คงจะเหมือนอย่างพอใจมาก และการกระทำอย่างนี้อาตมาถือว่าเป็นการต่ออายุของท่านอาจารย์ คือเราทำให้ท่านพอใจในสิ่งที่ท่านต้องการและเป็นการต่ออายุให้ท่านอาจารย์อย่างดีที่สุด หวังว่าทุกคนคงจะพอใจ อาตมาขอจบเพียงแค่นี้
ต่อไปก็อีกเรื่องหนึ่งนะ คืนนี้ท่านอาจารย์บอกว่าหลายคนหวังดีพาสไลด์พาอะไรกันมาจะมาฉายให้ญาติโยมดู ทีนี้ท่านอาจารย์ก็บอกว่าควรจะแบ่งแยกกัน ตรงนี้เราเป็นที่อภิปราย เป็นที่บรรยาย เป็นที่พูดธรรมะกัน แล้วก็ที่เรือให้ท่านมานะเอาสไลด์มานี่ให้เอาไปฉาย ใครต้องการไปดูสไลด์ก็ไปดู ใครต้องการจะฟังการบรรยายตรงนี้ก็ฟัง เผื่อว่าอันไหนชอบใจก็ ๆ อยู่ตรงนั้น นี่เราก็จะได้จัดกันต่อไป ต่อไปนี้ก็ขอดำเนินขอให้ดำเนินกันต่อไป
ครับ ก็ได้รับทราบจากการกล่าวของพระคุณเจ้าพระอาจารย์โพธิ์ ถึงสิ่งที่ท่านแนะนำหรือเสนอแนะเพื่อปฏิบัติให้เป็นพิธีการในพรุ่งนี้กันพอสมควรแล้วนะครับ กระผมคิดว่าทุกคนคงเห็นด้วยตามที่ท่านอาจารย์เสนอแนะมานั้น ใครจะไปชมสไลด์ก็ต้องย้ายที่นั่งไปเรือลำใหญ่ ใครจะอยู่ฟังหรือร่วมอภิปรายในหัวข้อว่าเราจะพูดกันถึงสิ่งที่ควรพูดเกี่ยวกับท่านอาจารย์ อภิปรายในเรื่องสิ่งที่ควรพูดเกี่ยวกับท่านอาจารย์ ก็เชิญอยู่ที่นี่ซึ่งจะได้อาราธนาพระคุณเจ้าพระอาจารย์วรศักดิ์ วรธัมโม มาเป็นประธานอีกเหมือนอย่างคืนก่อนครับ สำหรับพระคุณเจ้าทุกรูปถนัดที่จะรับประโยชน์ในทางไหนก็ตามอัธยาศัยเช่นกันนะครับ เพราะต่างคนต่างมาก็ต้อง มาเพื่อต้องการศึกษาและปฏิบัติเป็นอาจาริยบูชา อะไรคิดว่าถูกกับอัธยาศัยที่เราจะพึงรับ ร่วมและสนองได้ก็ไปทางนั้น เรามีทางให้เลือก ๒ ทาง ความสามารถของพระคุณเจ้าพระอาจารย์มานะนี่เหลือหลายเหมือนกัน หลายคนบอกว่าพระอาจารย์พยอมใช่ไหม พวกติดอาจารย์พยอม พวกนี้ไม่รู้จัก เพราะอาจารย์มานะท่านไม่ออกชื่อของท่านเลยว่าท่านคือใคร คนที่เคยมาดูอาจารย์พยอมบรรยายฉายสไลด์ทันอกทันใจโผง ๆ ผาง ๆ รุนแรงกันก็นึกว่าพระอาจารย์พยอมกระมัง บอกไม่ใช่ นี่คืออาจารย์มานะ ธมมารโต ท่านมีเมตตาต่อมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐและชมรมครูศีลธรรมมาก โรงเรียน สถานศึกษาหรือหน่วยราชการใด ๆ ต้องการให้ท่านไปแสดงโสตทัศนะอุปกรณ์คือการบรรยายธรรมะเกี่ยวกับภาพสไลด์ มูลนิธิและชมรมครูศีลธรรมแห่งประเทศไทยติดต่อไป อาราธนาท่านไป ท่านก็กรุณากันเป็นการประจำ เวลานี้งานท่านมากมีเกือบทุกวันเหมือนกัน แต่สำหรับญาติโยมพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายที่อยู่ในที่นี่ หากเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีใคร่ที่จะนำไปให้เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานที่ท่านเกี่ยวข้องบ้างนะครับ เมื่อไรอย่างไรนั้นก็ติดต่อได้เสมอครับที่มูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ ชมรมครูศีลธรรมแห่งประเทศไทย บอกเสียเลยเลขที่ ๙๘/๔ ๖๘/๔ ถนนตะนาว กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ ๒๒๔๒๐๒๐ ครับ
เอาละครับต่อไปนี้เราก็จัดรายการอย่างเมื่อคืนนี้ พระคุณเจ้าก็นั่งกันอยู่ในรูปนี้หรือจะนั่งขยับขยายกันอย่างไรให้เป็นที่สวยงามหรือจะนั่งกันอย่างนี้ โยมตรงนี้ต้องถอย ต้องถอยมาข้างหลังหน่อยนะ ให้มีทางเดินตรงนี้ ตรงหน้า กระผมเห็นว่าบรรยากาศพร้อมแล้ว ทุกอย่างพร้อมแล้วนะครับ เมื่อพร้อมแล้วผมก็จะขอเริ่มรายการ ก่อนอื่นก็จะขอกราบเรียนถึงผู้ที่ได้ให้ความกรุณาจากการที่ประกาศไว้เมื่อคืนนี้ว่า ท่านผู้ใดมีกุศลเจตนาปรารถนาที่จะใช้เสียงจาก จากใจ คือตั้งใจที่จะพูดในสิ่งที่ควรพูดเกี่ยวกับท่านอาจารย์ ก็ขอได้กรุณาบอกชื่อเรียงเสียงนามทั้งฝ่ายพระและฝ่ายญาติโยมให้ทราบ บัดนี้ผมได้ชื่อมาเยอะจากการบอกต่อ ๆ กันมาของผู้ที่คิดว่าจะพูดได้และก็เป็นประโยชน์ด้วย ฝ่ายพระสงฆ์มี ๑. พระมหาขจิต สิริวัฒโธ อดีตก็เคยอยู่ที่สวนโมกข์ เวลานี้ไปอยู่ที่เชียงราย ๒. พระอาจารย์เจริญ กุละวัฒโน ๓. พระครูสุนทรกรณี ๔. พระมหาทรงศักดิ์ ๕. พระมหาประทีป
วันนี้ว่าหลายชั่วโมงฝนตกก็ยังไม่หยุด ย้ายเวทีต่อที่เรือก็เป็นที่ประทับใจ หลายคนบอกว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยฟังธรรมะโผงผาง กินใจ จริงจังฉับพลันเช่นนี้เลย ผมก็ดีใจครับ ต่อไปพระอาจารย์วิรัตน์ วิรัตตโน ครับ อยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นทายาทใกล้ชิดที่จะช่วยกิจเล็กน้อยของท่านอาจารย์อยู่ในทุกรูปแบบ กิจน้อยใหญ่ ไม่ใช่เล็กน้อยครับ พระอาจารย์สุชาติก็อยู่ที่สวนโมกข์นี้ พระอาจารย์พระมหาบุญเพ็ง นิสากโร พระอาจารย์สุดชา สัจจญาโน พระอาจารย์สมปอง อชิโต พระมหาบัญญัติ พระครูประจักษ์ สุตตกิจ พระสนอง ถาวโร พระครูวินัยทรบัณฑิต พระอาจารย์มานะ ธัมมารโต บรรยายเมื่อตะกี้นี้ก็เห็นจะต้องทำหน้าที่อยู่ทางโน้นเสียแล้ว พระอาจารย์วิสุทธิ์ วิสุทธิจารี พระอาจารย์บุญนพ สุทธสีโล และพระมหาสมดี สุวรรโณ ซึ่งท่านเป็นหัวหน้าคณะผชค. (นาทีที่ 15:10) อยู่ภาคอีสาน เดินทางมาถึงพร้อมกับคณะตั้ง ๘๐ คนเมื่อตะกี้นี้ครับ ฝ่ายญาติโยมคฤหัสถ์ที่ให้เกียรติจากการที่บอกกล่าวกันมาล่วงหน้าแล้วก็มีที่จะขอรับเกียรตินะครับ อาจารย์ เช่น คุณหมอเสริมทรัพย์ นะครับ นายช่างเพียง นายวรรณ ว่องวานิช อาจารย์วรรณีรัตน์ วัชรากร อาจารย์ประยงค์ สุพานิช คุณพ่อบาทหลวงเมื่อคืนนี้ท่านยังพูดยังไม่จบเรื่องก็ว่าได้ คุณพ่อบาทหลวง (นาทีที่ 15:56) แล้วก็คุณหมอเชาว์ ทรัพย์คง เจ้าของรายการสวนพุทธทาสนิรันดร์ ครับ นี่ชื่อที่ได้มาล่วงหน้าแล้
ก็ขอกราบเรียนไว้ด้วยว่าท่านผู้ใด ใครมาที่ยังหลงหูหลงตา กระผมหรือผู้ที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดที่จะต้องสะกิดกันขึ้นมาพูดมากล่าว ช่วยกันบอกด้วยครับ พูดกันหลาย ๆ คน แต่ใช่ว่าทั้งหมดนี้จะมีเวลาให้พูดนะครับ ก็ถ้าพูดกันทุกคน คืนนี้สว่างก็คงไม่จบ เรากำหนดเวลาเพียงแค่ ๔ ทุ่ม แค่ ๔ ทุ่มเพื่อพักผ่อนเตรียมตัวเตรียมใจถวายของขวัญท่านอาจารย์วันพรุ่งนี้ เพียง ๔ ทุ่มเท่านั้นเองครับ เราจะต้องกำหนดกันไว้ล่วงหน้าว่าเราจะต้องพูด เราเป็นผู้พูดก็จะต้องพูดล่ะ เป็นผู้ฟังก็จะต้องฟังล่ะ เมื่อเขาไม่หยุดพูดเราก็ไม่หยุดฟัง อย่าหลบไปเสียที่ไหน ก็จะเป็นกุศลแก่กันทุกฝ่ายเพราะถ้าผู้พูดเห็นผู้ฟังขยับขยายลุกไปแล้ว ทำท่าจะไม่ค่อยสบายใจเหมือนกัน เมื่อคืนตั้งใจจะพูด ๖ ทุ่ม แต่เห็นคนขยับขยายเลยลดมาเสีย ๒ ชั่วโมงเหลือ ๔ ทุ่ม เขาก็เป็นห่วงว่าพิธีกรจะพูดมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคืนนี้ผมก็กำหนดเวลาสำหรับพิธีกรว่า พิธีกรคือคนมาส่งลูกโยนลูกหรืออะไร เชิญวิทยากร วิทยาจารย์ขึ้นมาพูดนั้น พูดได้เพียง ๒ นาที ไม่เกิน ๒ นาที นะครับ ถ้าใครเกิน ๒ นาที คนรักษาเวลามีสิทธิตีระฆังหยุดได้เหมือนกัน เพราะว่าพูด พิธีกรพูดมาก บางทีพูดมากกว่าวิทยากรเสียอีก นี่ก็บางคนเขาตำหนิกันอยู่เหมือนกัน เมื่อคืนผมก็โดนแล้ว เพราะฉะนั้นเลยต้องกำหนดสำหรับตัวเอง กติกาสำหรับตัวเองเสียด้วย ให้ช่วยกัน ช่วยกันดูว่าใครจะรักษาเวลากันบ้าง สำหรับพระคุณเจ้ากำหนด วิทยากรหรือผู้ที่ขึ้นมาพูดนั้นกำหนดเวลาท่านละไม่เกิน ๑๐ นาที ใครพูดไม่ถึงไม่เป็นไร แต่เกินไม่ได้ ถ้าพูดไม่ถึงก็คนอื่นจะได้มาเสริมต่อไปอีก พระคุณเจ้าพระอาจารย์วรศักดิ์มาแล้วนะครับ
ในเบื้องต้นนี้ ท่านที่เคารพผมขอเริ่มรายการอันจะพึงอำนวยประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายที่เราได้ประกาศไว้เป็นการล่วงหน้าว่าจะช่วยกันพูดในสิ่งที่ควรพูดเกี่ยวกับท่านอาจารย์ ณ บัดนี้ และเบื้องต้นเพื่ออนุรูปกับงานที่เรามาร่วมกันชุมนุมกันอยู่ด้วยเจตนาอย่างไร กระผมใคร่ขอประทานอนุญาตเรียนเชิญอาจารย์สมทรง บุญฤทธิ์ กับคุณสาลี่ครับ ขึ้นมาบรรยายภาษาธรรมโดยทำนองเพลงพุทธทาสจักอยู่กับเราตลอดไปนะครับ ขอเรียนเชิญ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศนี้
(นาทีที่ 20:03 - 26:00 เนื้อเพลง) พุทธทาสจักอยู่ไปไม่มีตาย แม้ร่างกายจะดับไม่ฟังเสียง ร่างกายเป็นร่างกายไปไม่ลำเอียง นั่นเป็นเพียงสิ่งเปลี่ยนไปในเวลา พุทธทาสคงอยู่ไปไม่มีตาย ถึงดีร้ายก็จะอยู่ ดีร้ายก็จะอยู่คู่ศาสนา สมกับมอบกายใจรับใช้มา ตามบัญชาองค์พระพุทธ ตามบัญชาองค์พระพุทธไม่หยุดเลย พุทธทาสยังอยู่ไปไม่มีตาย อยู่รับใช้เพื่อนมนุษย์ไม่หยุดเฉย ด้วยธรรมโฆษตามที่วางไว้อย่างเคย โอ้เพื่อนเอ๋ยมองเห็นไหมอะไรตาย แม้ฉันตายกายลับไปหมดแล้ว แต่เสียงสั่งยังแจ้วแว่วหูสหาย ว่าเคยพลอดกันอย่างไรไม่เสื่อมคลาย ก็เหมือนฉันไม่ตายกายธรรมยัง ทำกับฉันอย่างกับฉันไม่ตาย ยังอยู่กับท่านทั้งหลายแต่หนหลัง มีอะไรมาเขี่ยไคล้ (นาทีที่ 25:00) ให้กันฟัง เหมือนฉันนั่งร่วมด้วยช่วยชี้แจง ทำกับฉันอย่างกับฉันไม่ตายเถิด ย่อมจะเกิดผลสนองหลายแขนง ทุกวันนัดสนทนาอย่างเลิกแล้ง ทำให้แจ้งที่สุดได้เลิกตายกัน
ท่านที่เคารพ เมื่อคืนนี้เราก็ได้เริ่มรายการด้วยเพลงนี้ รายการอภิปรายก็ได้ดำเนินการไปสู่เป้าหมายโดยที่ผู้ขึ้นมาอภิปรายแต่ละท่านต่างก็ได้พูดจากมโนธรรมสำนึก จากความรู้สึกที่แท้จริงจากหัวใจ แล้วก็นำไปสู่ช่องทางที่จะเกิดผลในทางปฏิบัติแก่ผู้ฟังได้ทุกท่าน ซึ่งสรุปอยู่ในมโนปณิธานของท่านอาจารย์ ๓ ประการซึ่งคุณหมอประยูรผู้เป็นพิธีกรเมื่อคืนนี้ได้ชี้แนวทางให้เห็นซึ่งทุกคนย่อมจะมีโอกาสที่จะพูด ที่จะแสดงทัศนะได้ เมื่อคืนนี้เราทำได้เพียงมโนปณิธานข้อ ๑ คือความต้องการของท่านอาจารย์ที่จะให้พุทธบริษัทเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา เวลาก็หมดลง เพื่อความเป็นระเบียบในทางจดจำ นำไปปฏิบัติให้สืบต่อสำหรับบางท่านที่ไม่มีโอกาสได้มาฟังเมื่อคืนนี้ กระผมขอประทานอนุญาตอาราธนาท่านอาจารย์วรศักดิ์ครับ ได้มาเปิดรายการพร้อมกับสรุปงานเมื่อคืนนี้สักเล็กน้อย พร้อมกับชี้ช่องแนวทางที่เราจะพูดกันในหัวข้อว่าสิ่งที่ควรพูดอันเกี่ยวกับท่านอาจารย์ เพื่อจะอนุรูปลงในมโนปณิธาน ๒ ประการหลังของท่านอาจารย์ เพื่อเป็นแนวทางครับ สำหรับทั้งผู้ฟังและทั้งผู้พูดจะได้เห็นแนวทางว่าเราจะแสดงทัศนะของเราแล้วจะสรุปลงในมโนปณิธานของท่านอาจารย์ข้อใดได้บ้าง กระผมขออาราธนาอาจารย์วรศักดิ์เป็นผู้เปิดรายการและช่วยปูแนวทางครับผม
เพื่อนสหธรรมิกและท่านสาธุชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็ได้มาประชุมพร้อมกันเป็นจำนวนมากทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ก็มีความมุ่งหมายตรงเป็นอย่างเดียวกันก็คือว่ามาเพื่อที่จะทำบุญในวันล้ออายุพระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาส ทีนี้เมื่อคืนนี้เราก็ได้ดำเนินการอภิปรายสิ่งที่จะเห็นว่าเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่มาร่วมกันทำบุญเป็นการเกริ่นมาเมื่อคืนแล้ว นี่ก็ยังคืนนี้อีกคืนหนึ่ง พรุ่งนี้ถึงจะเป็นวันล้ออายุ เมื่อคืนนี้เราได้พูดกันถึงความตั้งใจของพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ว่า ในชีวิตของท่านนี่คิดว่าจะทำให้เรื่อง ๓ เรื่องเป็นผลสำเร็จได้มากน้อยก็แล้วแต่ว่าเหตุปัจจัย คือข้อที่ ๑ จะพยายามให้พุทธบริษัทได้เข้าถึงหัวใจพระพุทธศาสนาแล้วว่าอะไรคือหัวใจพระพุทธศาสนาและจะเข้าถึงโดยวิธีใดอย่างไร ข้อที่ ๒ เราจะพยายามที่จะดึงเพื่อนมนุษย์ออกมาเสียจากความหลงใหลในวัตถุนิยม และก็ข้อที่ ๓ ก็คือว่าการทำความเข้าใจร่วมกันระหว่างศาสนา
ทีนี้เมื่อคืนนี้ก็ได้อภิปรายกันไปเพียงหัวข้อเดียวหรือประเด็นเดียวว่า จะพยายามทำให้พุทธบริษัทนี่ได้เข้าใจถึงหัวใจพระพุทธศาสนา อีก ๒ ข้อก็คือว่าจะพยายามดึงเพื่อนมนุษย์ออกมาเสียจากความหลงใหลในวัตถุนิยมและการทำความเข้าใจกัน อยู่ร่วมกันได้ระหว่างศาสนาก็จะนำมาเป็นการอภิปรายในคืนวันนี้ แต่ว่าเท่าที่สังเกตว่าการอภิปรายเมื่อคืนนี้ หัวข้อที่ตั้งว่าเราจะเข้าถึงหัวใจพระพุทธศาสนาอย่างไรนี่ ดูจะเป็นเรื่องที่ออกจะยากสำหรับบางท่านที่จะออกมาพูดแสดงความคิดเห็น เพราะฉะนั้นในคืนนี้จึงได้เปลี่ยนแนวทางใหม่ว่าจะพูดในหัวข้อว่า สิ่งที่ควรพูดเกี่ยวกับท่านอาจารย์ สิ่งที่ควรพูดเกี่ยวกับท่านอาจารย์ ถ้าสิ่งไหนไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด คือเอามาพูดสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ นอกจากเป็นประโยชน์แก่คนส่วนมากก็แล้วกัน อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับท่านอาจารย์ หรือว่าเราได้รับประโยชน์ ได้รับความเข้าใจ ได้เกิดสติปัญญา ได้รับความสะอาด สว่าง สงบ หรืออะไรก็ตามจากคำสอนของท่านหรือที่เนื่องด้วยท่าน เป็นการแสดงความรู้สึกก็ได้หรือว่าจะมาพูดใน ๒ หัวข้อที่ว่า จะดึงเพื่อนมนุษย์ออกมาเสียจากวัตถุนิยม กับการทำความเข้าใจระหว่างศาสนาก็ได้ เพราะว่า ๒ ข้อนี้ก็เนื่องด้วยท่านอาจารย์เหมือนกัน
ทีนี้เมื่อคืนนี้เราได้จบลงด้วยข้อที่ ๑ คือการให้เพื่อนมนุษย์นี่เข้าถึงหัวใจพระพุทธศาสนา ก็ว่ามีหลายคนเอาหัวใจพระพุทธศาสนาในแง่มุมต่าง ๆ เช่นว่าเอาอริยสัจ ๔ เป็นหัวใจพระพุทธศาสนา เอาโอวาทปาติโมกข์ ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ชำระจิตให้บริสุทธิ์ให้ขาวรอบ บางท่านก็เอาปฏิจจสมุปบาท บางท่านก็เอาอิทัปปัจจยตา ตถตา บางท่านก็เอาสัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันใคร ๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา บางคนก็เอาการทำหน้าที่ การทำหน้าที่นี่คือหัวใจพระพุทธศาสนา การทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎธรรมชาติ เพราะว่าพุทธศาสนาก็คือธรรมะนั่นเอง พระธรรมคือศาสนา เราก็เข้าใจแล้ว และเพื่อที่จะเป็นการสรุปเราก็ปิดลงด้วยพระรัตนตรัยว่า พระรัตนตรัยนั่นแหละคือหัวใจพระพุทธศาสนา พระรัตนตรัยนั้นถ้าเรามองกันอย่างคนธรรมดาก็มีอยู่ ๓ จึงแยกจากกัน พระพุทธก็พระพุทธเจ้า พระธรรมก็พระธรรม พระสงฆ์ก็พระสงฆ์ แต่ถ้าเรามองให้เป็นสิ่งเดียวกันแล้วก็คือว่าเป็นสิ่งเดียวกัน พระพุทธเจ้าคือผู้ตรัสรู้พระธรรม เข้าถึงพระธรรม พระธรรมนั้นคือความสะอาด สว่าง สงบ พระพุทธเจ้าเข้าถึงพระธรรมก็จิตใจของพระองค์ก็สะอาด สว่าง สงบ แล้วก็ไปประกาศเผยแพร่ให้กับพระสงฆ์ พระสงฆ์ก็เข้าถึงความสะอาด สว่าง สงบ กล่าวโดยแท้จริงแล้วก็เป็นหนึ่งเดียว คือความสะอาด สว่าง สงบ แล้วก็มีบทเพลงที่แสดงถึงหัวใจพระพุทธศาสนาคือพระรัตนตรัยนี่ ในวันนี้ก็จะให้เป็นการสรุปของเมื่อคืนนี้ลงด้วยบทเพลงที่ว่านี้ แล้วก็ท่านที่จะออกมาแสดงต่อไปก็คงจะแสดงในหัวข้อว่า เรื่องควรพูดเกี่ยวกับท่านอาจารย์ ใครที่จะแสดงความรู้สึกก็ว่าไปตามความรู้สึก และใครที่จะแสดงในหัวข้อที่เหลือก็คือว่าจะดึงเพื่อนมนุษย์ออกมาเสียจากวัตถุนิยม กับการทำความเข้าใจระหว่างศาสนาอย่างไรก็ ท่านศรีธวัชจะได้ดำเนินการต่อไป อาตมาก็ขอพูดไว้เพียงเท่านี้
ผู้ที่จะขึ้นมาบรรยายครับคงทราบกติกากันตามที่ผมประกาศไปแล้วในเบื้องต้นว่า ขอเวลา ๑๐ นาที เมื่อ ๘ นาทีแล้วก็จะเคาะระฆัง ๑ ที พอครบ ๑๐ นาทีเคาะระฆังอีก ๒ ครั้งเป็นจบ พูดไม่จบก็ต้องจบเพราะผู้มีความสามารถย่อมสามารถจะทำอะไรให้มีประโยชน์ได้อย่างลัดสั้นนะครับ เพราะฉะนั้นคงจะได้ช่วยกันประคับประคอง ปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดนี้
ท่านแรกที่จะขออาราธนาขึ้นมานะครับก็คือพระคุณเจ้าพระมหาขจิต สิริวัฒโธ ครับอยู่วัดดงหนองเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย หวังว่าพระคุณเจ้าคงพร้อมครับ นิมนต์
กระผมขอโอกาสพระเถระทั้งหลายและเจริญพรผู้ใฝ่ธรรมทุกท่าน ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาศึกษาธรรมะที่สวนโมกข์แห่งนี้ ๒ แรกที่จะขออาราธนาขึ้นมานะครับ พรรษาแรก แล้วก็ไปอยู่สวนโมกข์เก่า ๒ พรรษาหลัง ทั้งหมดก็ ๔ พรรษาด้วยกัน เสร็จแล้วก็ได้ไปอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นเวลานานเพิ่งจะไปอยู่เชียงรายเมื่อ ๒๕๒๕ สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับประโยชน์จากท่านอาจารย์หรือว่าที่สวนโมกข์นี้ก็คือความอิสระทางจิตใจหรือความพ้นทุกข์ เคยแนะนำญาติโยมบ่อยครั้งว่าเราชาวพุทธนับถือพระพุทธศาสนา มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง แต่แล้วเราไม่ค่อยจะเข้าใจในความหมายที่จะนำมาปฏิบัติว่าทำอย่างไรจึงจะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ที่แนะนำนั้นก็ชี้ว่าพุทธะคือความรู้ที่ถูกต้อง ธรรมะคือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ สังฆะคือการปฏิบัติดี เอามารวมกันแล้วก็คือการปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นหนึ่งเดียว
ถ้าเรามีการดำเนินชีวิตสอดคล้องตามกฎของธรรมชาติด้วยความรู้ความเข้าใจถูกต้องแล้วทั้งในแง่ศีลธรรมและโลกุตรธรรม มันก็จะถูกต้องหมด กฎของการดับทุกข์นั้นก็คือ ถ้ายึดมั่นถือมั่นแล้วก็เป็นทุกข์ ถ้าปล่อยวางคือไม่ยึดถือก็ไม่ทุกข์ ด้วยเหตุนี้จึงย่อว่าความยึดถือในขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ พูดย่อ ๆ รวมแล้วความยึดถือในขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ วิธีปฏิบัติให้พ้นทุกข์ก็คือไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย การที่เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายได้ก็ด้วยการมองสิ่งทั้งปวงตามเป็นจริงว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่ในกฎของไตรลักษณ์ อนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังเป็นทุกข์ อนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ถ้าเรามีปกติมองตามเป็นจริงแล้วก็วางสิ่งทั้งปวงให้เป็นไปตามธรรมชาติของมัน อันไหนเป็นหน้าที่ก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ทำเสร็จแล้วเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย อย่างนี้เราก็จะอยู่ในโลกโดยไม่มีความทุกข์
ตอนอยู่เชียงราย ข้าพเจ้าก็ได้นำเอาผลงานท่านอาจารย์ไปศึกษาทุกวันพระและวันอาทิตย์ เรียกว่า รายการศึกษาธรรมะ บ่าย ๒ โมง ธรรมโฆษที่พิมพ์เป็นเล่ม ทยอยกันอ่านเรื่อย ๆ วันสำคัญทางศาสนา มาฆ วิสาข อาสาฬห ก็ทำคล้าย ๆ กับที่สวนโมกข์นี้ คือนำธรรมเทศนาของท่านอาจารย์มาอ่าน เรียกว่าฟังเทศน์ในอดีตของท่าน บ่าย ๓ ๓ ทุ่ม ตี ๓ ทำวัตรเช้า ตั้งแต่ไปอยู่นั้นทำสม่ำเสมอ งานล้ออายุที่แล้วมาใกล้หรือตรงกับวิสาขบูชาเลยไม่ได้มาร่วม ปีนี้มีโอกาสก็เลยมาร่วมด้วย มีโยมให้ที่ดิน ๒๐ ไร่เป็นที่นา ก็ตั้งใจไว้ว่าจะตั้งสวนโมกข์เชียงรายสักแห่งหนึ่ง คือสถานที่ที่เอื้ออำนวยแก่การพ้นทุกข์ตามวิธีการอย่างที่สวนโมกข์แห่งนี้ทำอยู่ เดี๋ยวนี้ก็กำลังขวนขวายที่จะทำตามให้ได้ ถ้าท่านผู้ใดมีโอกาสไปทางเชียงราย แวะไปหาไปเยี่ยม อาตมาอยู่วัดดงหนองเป็ด ตำบลเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ผ่านไปเชียงรายก็ไปเยี่ยมกันได้ ไปเสวนากันหรือว่าพบปะกัน นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ถือว่าเป็นการกระจายอุดมการณ์หรือหลักธรรมที่ท่านอาจารย์ได้พยายามตีแผ่ให้ชาวพุทธได้รู้จักให้กระจายไปทางภาคเหนือ
ถ้าเราหยิบหัวใจของพุทธศาสนาว่า การพึ่งพระพุทธศาสนาหรือพึ่งพระรัตนตรัยก็คือการเป็นอยู่ที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติด้วยความรู้ที่ถูกต้องแล้ว ก็เท่ากับว่าเราได้ทำสิ่งที่เป็นอุดมการณ์ทั้ง ๓ ก็ได้ ๑. คือเราได้รับประโยชน์สูงสุดจากพุทธศาสนา ถ้าเรามีการเป็นอยู่อย่างปล่อยวาง อย่างจิตว่าง ปัญหาต่าง ๆ มันเกิดขึ้นเหมือนไม่มีปัญหา เพราะเราไม่ยึดถือ ใช้สติปัญญาความสามารถแก้ปัญหาเท่าที่จะทำได้และก็วางมันไว้อย่างนั้น ข้าพเจ้าพูดเสมอว่าสิ่งที่ทำไปแล้วมันเหมือนกับไม่ได้ทำอะไร ทุกอย่างที่ทำ ๆ ไปแล้วเหมือนไม่ได้ทำอะไร เพราะเราไม่ได้ไปผูกพันกับเรื่องนั้นแต่เรามีอิสระอยู่ บางครั้งก็พูดกับเพื่อน ๆ ว่าที่ทำ ๆ นี้เป็นการเคลื่อนไหวชีวิตให้เกิดประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ นี่คือลักษณะของความไม่ยึดถือ ทำให้เรามีความเป็นอิสระทางจิตใจตลอดเวลา เราเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาคือไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วทำทุกอย่างด้วยสติปัญญาเต็มความสามารถ แล้วเราก็จะมองทะลุถึงว่าศาสนาอื่นก็มีหัวใจคือไม่ยึดมั่นถือมั่นเหมือนกัน คือไม่ยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา แต่วิธีไม่ยึดถือของเขานั้นมันต่างจากพุทธศาสนา เปรียบเหมือนกับว่าเราเดินทางกลางคืนมืดสนิทไปเหยียบเชือกเข้าตกใจนึกว่าเป็นงู วิธีของพุทธนั้นมีไฟฉายส่องดู เมื่อฉายไฟส่องดูแล้วมันเป็นเชือก ความกลัวว่างูจะกัดหายเป็นปลิดทิ้ง
แต่วิธีของศาสนาอื่นนั้นเขามีความเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ว่าเรามีความดีคุ้มครอง เรามีเครื่องรางป้องกันอันตราย เดินผ่านไปด้วยความสบายใจมั่นใจในความเชื่อมั่นอันนั้น เพราะเขาไม่รู้แจ้งว่าเป็นอะไร แต่เชื่อมั่นในพระเจ้า เชื่อมั่นในพระอัลเลาะห์ คือเชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเชื่อมั่นแล้วจิตมันก็เป็นอิสระคือหมดความกังวลเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นท่านอาจารย์จึงบอกว่าความรักผู้อื่นคือหัวใจของทุกศาสนา ความรักผู้อื่นคือการถ่ายถอนความยึดมั่นถือมั่น ถ้าเราไม่รักใครเลยหรือไม่รักผู้อื่นมันก็เต็มไปด้วยความยึดถือตัวตนของตน ความเห็นแก่ตนก็พอกมากขึ้น ๆ แต่ถ้าพุ่งความสนใจไปรักผู้อื่นแล้ว ความเห็นแก่ตัวก็ลดลง ๆ เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นไปเพื่อที่จะสละออกไป นี่ของพุทธศาสนา ศาสนาอื่นก็สอนว่าการช่วยเหลือผู้อื่นคือการอุปถัมภ์พระเจ้า กฎเกณฑ์ที่ว่าเราทำทุกอย่างเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนไม่เอามาเป็นของตนเอง นั่นคือกฎเกณฑ์ที่เสมอเหมือนกันทุกศาสนา รู้เรื่องนี้คือความรู้ที่ถูกต้อง และการทำให้ถูกต้องกับกฎเกณฑ์อันนี้คือการปฏิบัติถูกต้อง เราจะเห็นว่าการทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ด้วยความรู้ที่ถูกต้องนั้นมันเป็นสัจจะที่สงเคราะห์เขาได้ทุกศาสนา ผู้ที่ไม่รู้ตามกฎธรรมชาติก็รู้ตามที่ศาสดาสอนไว้สั่งไว้ เชื่อในสิ่งนั้น มันก็เป็นกฎเดียวกันว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น
ทีนี้มาอีกแง่หนึ่งที่ว่าดึงคนออกจากหล่มวัตถุนิยม ที่จริงถ้าหากว่าเราพิจารณาดูตามหลักคำสอนของศาสดาทั้งหลายโดยเฉพาะพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์สอนให้เรารู้จักตัวเองหรือศึกษาเข้าไปในกายยาววาหนาคืบอันมีสัญญาและจิตใจ เราศึกษาเข้ามาในตัวเองแล้วเราก็จะพบว่าในตัวเรานี้ที่จริงแล้วความต้องการไม่มีอะไรมากมาย ความต้องการเพื่อการอยู่รอดชีวิตไม่มีอะไรมากมายหรอก ที่เราเป็นทุกข์มากมายทุกวันนี้ก็เพราะว่าเราไปหลงสิ่งที่มันเกินจำเป็นแก่ชีวิต ถามว่าเกิดมาทำไม ก็ได้คำตอบว่าเกิดมาเพื่อแสวงหาความสงบสุข และความสงบสุขนี้มันเป็นสิ่งที่อยู่ในภายในใจเรา ถ้าเราพบสัจจะนี้แล้วเราจะเกี่ยวข้องวัตถุเท่าที่จำเป็น เมื่อเราเกี่ยวข้องวัตถุเท่าที่จำเป็น การตกเป็นทาสหรือตกหลุมของอบายมุขหรือของวัตถุนิยมมันก็จะหมดไป เหลือแต่การดำเนินชีวิตด้วยปัญญา ก็ตรงกับหลักที่ว่าปัญญา ญ ปริสุทธจิต บุคคลบริสุทธิ์ด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้นสรุปได้ว่า ถ้าเราศึกษาหลักธรรมในพุทธศาสนาที่ท่านอาจารย์พร่ำสอนแล้ว เราจะพบว่าชีวิตที่เป็นอิสระนั้นคือชีวิตที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นตัวตนของตน จิตที่มีอิสระจากความยึดมั่นตัวตนของตนนั้นจะเต็มเปี่ยมด้วยสติปัญญา เมื่อเต็มเปี่ยมด้วยสติปัญญาแล้วก็จะมองเห็นสิ่งที่ควรทำไม่ควรทำตามเป็นจริงแล้วก็ทำหน้าที่นั้น ทำเสร็จแล้วก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ มีสติอยู่ในปัจจุบัน มีหน้าที่อันใดควรทำ ทำให้ดีที่สุด เมื่อทำเสร็จแล้วก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ อย่างนี้ชื่อว่าเราอยู่ที่เดียวกันกับพระพุทธเจ้า หรืออาจารย์พุทธทาสอยู่กับเรา ที่มักจะมาพูดว่าที่นั่งอยู่ที่ดอกบัวนี่จงทำเหมือนกับเรามีชีวิตอยู่ คืออยู่ด้วยความว่างนั่นเอง เอาละข้าพเจ้าก็ขอยุติการกล่าวปรารภไว้เพียงเท่านี้
ระฆังสองยังไม่ขึ้น ท่านจบลงด้วยเวลาพอเหมาะพอดีระฆังสองเลยไม่ต้องตีครับ ต่อไปก็ถึงวาระท่านฝ่ายฆราวาสแล้วครับ ขอกราบเรียนเชิญคุณหมอเสริมทรัพย์ ท่านได้เทียวไล้เทียวขื่อจากสระบุรีมาที่นี่เป็นประจำนานมาแล้วครับ แล้วก็โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าท่านอาจารย์ไม่สบาย อุตส่าห์มาเฝ้า เอาเครื่องมือทุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่อที่จะไม่ให้ท่านอาจารย์พุทธทาสตาย แต่ท่านคงจะมีอะไรในใจที่จะแสดงให้เป็นประโยชน์แก่พวกเรา ผมไม่รู้จะหันหน้าไปทางทิศไหนเหมือนกัน ว่าจะไม่รู้หันหลังไปทางใคร นึกว่าท่านพุทธทาสอยู่ทุกทิศก็แล้วกัน ผมเหมาะที่จะยืนทางไหนกรุณาให้อภัยผมด้วย บัดนี้คุณหมอเสริมทรัพย์มาแล้วครับ ตั้งเวลาในทันทีที่ท่านพูดนะครับ
กราบนมัสการพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด แล้วก็ขอกราบนมัสการพระคุณเจ้าทุกรูป ขอความเจริญในธรรมของสหายธรรมที่มาในวันนี้นะคะ คือก่อนอื่นก็อยากจะขอออกตัวนิดหน่อยว่าคุณศรีธวัชคงจะเข้าใจผิดว่าเป็นแพทย์ผู้ดูแลท่านอาจารย์นะคะ ความจริงมีอายุรแพทย์จากโรงพยาบาลสุราษฎร์เป็นผู้ดูแลท่านอาจารย์นะคะ นี่ก็เพียงแต่ว่าเป็นแพทย์ผู้หนึ่งแล้วก็ได้มาสวนโมกข์นานหลายปีเป็นเวลา ๑๐ กว่าปีแล้วนะคะ พอทราบข่าวว่าท่านอาจารย์ไม่สบายก็มาเยี่ยมในฐานะอุบาสิกานะคะ ไม่ได้มาเยี่ยมในฐานะเป็นแพทย์เท่าไรหรอกค่ะ แต่ทีนี้คิดว่า พวกเราทุกคนนะคะก็คงจะมีความรู้สึกอย่างเดียวก็อยากจะให้ท่านอาจารย์อยู่กับเรานานที่สุดเท่าที่เหตุปัจจัยจะเป็นไปได้นะคะ คือในทางธรรมนั้นแน่นอนคือท่านอาจารย์จะอยู่กับเราตลอดไป เราคงไปก่อน แต่ว่าท่านอาจารย์ก็คงจะอยู่คู่กับโลกตลอดไปในทางธรรม แต่ในทางร่างกายนี่ถึงจะอย่างไรก็ตามคิดว่าทุกคนก็คงอยากจะให้ท่านอาจารย์ได้อยู่กับเรานานที่สุดเท่าที่จะนานได้นะคะ เพราะฉะนั้นในฐานะที่เป็นแพทย์ จริง ๆ ก็เป็นแพทย์สูติด้วยนะคะ ไม่ค่อยเกี่ยวกับโรค ไม่เกี่ยวกับโรคที่ท่านอาจารย์เป็น แต่ว่าก็อยากจะพูดนิดหน่อยว่าเราจะช่วยกันอย่างไรได้บ้างในฐานะลูกศิษย์ลูกหานะคะว่าควรจะปฏิบัติกับท่านอาจารย์อย่างไร ในฐานะของแพทย์นี่ คณะแพทย์หลาย ๆ คนหรือพวกทั้งหลายแหล่ก็มีความรู้สึกว่าอยากให้ท่านอาจารย์ได้พักมากที่สุดเท่าที่จะได้ เท่าที่จะพักได้ นะคะ แต่ว่าท่านอาจารย์ท่านก็มีเมตตามากต่อบุคคลที่มาที่นี่ว่าเขามาไกลก็อยากจะพูดด้วยอยากจะอะไรด้วย แต่ว่าสิ่งที่เราทำได้ก็คือว่าพยายามที่จะให้ท่านได้พักมากที่สุด เพราะฉะนั้นก็ช่วยกันคือว่าพวกแพทย์หลาย ๆ คนก็พยายามพูดว่าขอให้ท่านอาจารย์พักมาก ๆ ซึ่งถ้าเป็นคนไข้อยู่โรงพยาบาลก็คงจะต้องแบบว่านอนบนเตียงหรือว่าเดินน้อย ๆ อะไรอย่างนี้นะคะ แต่ท่านอาจารย์ท่านก็ยังเดินมาก แล้วก็สิ่งที่เราต้องการก็คือไม่อยากให้ท่านอาจารย์ฉันเค็มนะคะ แล้วเราก็ไม่สามารถที่จะควบคุมอาหารได้ ซึ่งท่านอาจารย์ท่านก็พิจารณาเองว่าอันไหนท่านจะไม่ฉันหรือฉันน้อยอะไรอย่างนี้ เราก็อยากให้ท่านลดน้ำหนักซึ่งก็ใคร ๆ ก็คงเห็นว่าท่านอาจารย์ก็ลดน้ำหนักได้ยากมาก ๆ อยากจะให้ลดสักร้อยกิโลกรัมก็ไม่ได้นะคะ แล้วก็มาดูก็ขึ้นเรื่อย ๆ ร้อยสองร้อยสามร้อยสี่ร้อยห้าร้อยหกนะคะซึ่งจริง ๆ คุณหมอทรงศักดิ์นี่ อยากได้ซัก ๙๕ เราก็นึกว่าซักร้อยนึงก็ยังดีนะคะ แต่น้ำหนักก็ขึ้นมาก คือถ้ายิ่งน้ำหนักยิ่งขึ้นก็คงจะเป็นสิ่งซึ่งไม่ค่อยดีเพราะฉะนั้นก็อยากจะขอร้องว่า ๑.ถ้าถวายอาหารก็อย่าเป็นอาหารเค็ม อย่าเป็นอาหารที่เป็นทุเรียนหรือมะม่วงหรืออะไรอย่างนี้ ที่ฉันแล้วอ้วน หรือข้าวเหนียวอะไรอย่างนี้นะคะ ก็ช่วย ๆ กัน จริง ๆ พวกหมอหลายคนอยากให้ท่านอาจารย์ฉันผักมาก ๆ อะไรอย่างนี้นะคะเพื่อเป็นการช่วยลดน้ำหนักด้วย
ทีนี้ก็คงมาพูดถึงว่าที่มาบ่อยนี้นะคะก็เป็นเพราะว่าได้รับประโยชน์จากพระเดชพระคุณท่านอาจารย์และก็พระภิกษุที่นี่นะคะ แล้วก็ธรรมชาติของสวนโมกข์ คือสิ่งที่ได้รับก็เป็นชีวิตที่เย็นแล้วก็สามารถที่จะไปทำงานกับเพื่อนร่วมงานได้โดยที่มันมีปัญหาน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก ๆ เลย แล้วก็สามารถที่จะช่วยให้พวกที่เขาอยู่ข้างเคียงเราเวลาเขามีปัญหาอะไรในใจเขาก็มาบ่นให้ฟัง เราก็พอจะช่วยพูดช่วยอะไรให้เขาคลายความทุกข์ลงไปได้ ก็คิดว่าเป็นสิ่งซึ่งหาไม่ได้นะคะ ในสติปัญญาที่เราจะมาแก้ปัญหาในความทุกข์เพราะว่าถ้าเผื่อไม่ได้มาพบท่านอาจารย์ก็คงจะเป็นชีวิตอีกแบบหนึ่ง
ทีนี้คือพูดถึงว่า ถ้าเผื่อเราชักชวนให้คนมาสนใจธรรมะได้แล้วก็ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่ทำให้ชีวิตเราเย็นเราเป็นสุขขึ้นนะคะ คนก็คงจะออกจากวัตถุนิยมได้ง่าย แต่ถ้าเผื่อตราบใดเรายังไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรมนะคะ คนก็ยังสนุกสนานกับวัตถุนิยม คนถ้าเผื่อเราแยกง่าย ๆ ก็คงจะเป็น ๒ ประเภท คนรวยกับคนจน คนรวยก็คงคิดว่าเมื่อมีเงินก็หาความสุขสนุกสนานจากการใช้เงินจับจ่ายใช้สอยนะคะ ส่วนคนจนก็คงจะมีความทุกข์แล้วก็คิดว่ามันทุกข์เพราะจนก็เลยมัวแต่หาเงินเพื่อจะหาเงิน ก็เลยสรุปแล้วหันมาสนใจธรรมะได้ยาก เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อเราจะโดยวิธีการใดก็ตาม จะดึงพรรคพวกเพื่อนฝูง หรือจะเป็นหมู่คณะหมู่เล็กหมู่ใหญ่ให้เขาหันมาสนใจธรรมะได้ เห็นประโยชน์จากพระธรรมว่าชีวิตนี้อยู่ได้ด้วยพระธรรมนะคะ คนก็คงจะหันไปหลงใหลในวัตถุนิยมน้อยลงหรือจะใช้วัตถุเพียงเพื่อประโยชน์ในทางธรรมมากขึ้น ก็คิดว่าคงจะกล่าวแค่นี้นะคะ ขอกราบขอบพระคุณ
ครับ ผมรู้สึกว่าเวลาล่วงไปเร็วเหลือเกิน น่าจะต้องตั้งกติกาจับเวลาสำหรับคนให้เวลาด้วย กลัวว่าจะให้เวลาผิด เคาะผิดก็ได้ คุณนอก ภักดีวงศ์เป็นคนให้เวลานะครับ เป็นธรรมดาสำหรับการฟังที่เพลิดเพลินถูกใจ ถูกตามใจของเรา เราก็รู้สึกว่าล่วงไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ถ้าไม่ถูกใจก็อาจรู้สึกว่าช้าเป็นอย่างนั้นได้ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ใช่ไหมครับ กระผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ พี่น้องทั้งหลายที่มีโอกาสที่จะนำอะไร ๆ มาถวายท่านอาจารย์ก็โปรดได้รับทราบถึงน้ำใจของคุณหมอผู้อยู่ใกล้ชิดนะครับด้วยว่าอะไรควร อะไรไม่ควร สำหรับท่านอาจารย์นั้นกระผมคิดว่าใครถวายอะไรท่านต้องฉลองศรัทธาตามหน้าที่ของพระแหละครับ คราวนี้เมื่อถึงท่านอาจารย์แล้วจะให้ท่านอาจารย์ทำอย่างไร หมอก็ไม่กล้าห้าม อันนั้นฉันไม่ได้ อันนี้ฉันไม่ได้ อันนี้เราจะท่านจะห้ามว่าคนนั้นอย่าเอาอันนั้นไปถวายก็ห้ามไม่ได้ เมื่อท่านได้แสดงออกอย่างนี้แล้วก็เป็นเรื่องที่สำหรับผู้ปฏิบัติใกล้ชิดจะได้ช่วยกันระมัดระวัง เพราะเราไม่ต้องการให้ท่านอาจารย์พุทธทาสจากเราไปโดยภาษาโลก ๆ เร็ว อยากให้อยู่กับเรานาน ๆ นั่นเอง
ครับ ท่านต่อไปถึงวาระฝ่ายพระคุณเจ้า พระคุณเจ้าพระอาจารย์เจริญ กุลวัฒโน ท่านได้ไปขยายอุดมการณ์ของท่านอาจารย์สวนโมกข์โดยไปตั้งสำนักชื่อสวนวางที่อำเภอกุรบุรี จังหวัดพังงาครับ ท่านเป็นพระวิทยาจารย์ที่โอภาปราศรัย เรียบ เย็น เป็นที่จับใจของผู้ที่ได้มีโอกาสฟังอย่างยิ่งท่านผู้หนึ่ง ไม่ค่อยสบายล่วงหน้านี้มาไม่กี่วันอุตส่าห์มา และก็มาแล้วก็ขอให้ญาติโยมได้สบายใจว่า เออท่านยังพออยู่เพื่อที่จะบรรยายธรรมกับพวกเราต่อไปอีก นิมนต์ครับ
ขอกราบนมัสการพระเถระ เพื่อนภิกษุสามเณร และขอเจริญพรญาติโยมผู้สนใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งหลาย ในเวลาจำกัด ๑๐ นาที ก็คงจะไม่มีเรื่องอะไรที่ยืดยาวนัก ตามหัวข้อที่กำหนดให้พูดก็ให้พูดเรื่องสิ่งที่เนื่องกับท่านอาจารย์ สำหรับกระผมหรืออาตมภาพก็มีเรื่องจะมาเล่าสู่ฟังสักนิดหนึ่ง คือนำมาเสนอสักนิดหนึ่ง ประการแรกสิ่งที่กระผมหรืออาตมาพูดอยู่ขณะนี้ การที่มาพูดได้นี่ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่เนื่องกับท่านอาจารย์ เพราะว่าก่อนหน้านี้ ๑๐ กว่าปีไม่รู้เรื่องธรรมะเลย ไม่ได้สนใจ ฉะนั้น สิ่งที่เอามาพูดหรือการพูดออกมาได้นี้ก็เป็นเรื่องที่เนื่องกับท่านโดยตรง แล้วอีกอย่างหนึ่งที่จะพูดสู่ฟังก็คืองานที่พยายามจะสนองของท่าน ที่จะสนองงานท่าน ในปี ๒๕๑๘ ช่วงนั้นรู้สึกว่าท่านจะพูดเรื่องไม่ให้เห็นแก่ตัวนี้มาก เท่าที่สังเกต ทีนี้พอดีในปีนั้นกระผมหรืออาตมานี่มาจำพรรษาอยู่ที่เกาะสมุย ในปีที่ ๒ โดยภาวะจำยอมต้องมาเป็นหัวหน้าพระอยู่ที่นั่นอยู่ที่เกาะฟาง เมื่อรับหน้าที่หัวหน้ามันก็จำเป็นละ ที่เขาจะต้องให้บรรยายหรือให้พูดให้เทศน์ให้โยมฟัง แรก ๆ ก็ไม่ไหวจริง ๆ ครั้งแรกถึงกับหูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงโยมเขารับศีล เรื่องธรรมะไปไม่ไหว ในที่สุดก็เอาหนังสือของท่านมาอ่านให้โยมฟังก็พอแก้ขัดไปได้เรื่อย ๆ
ทีนี้เนื่องจากการอ่านไปอ่านมาก็ทำให้เริ่มเข้าใจ ภาวะมันบังคับให้ทำก็ต้องทำอย่างนั้น ทีนี้อยู่ต่อมาไม่นานนักก็มาอ่านย้ำอยู่เรื่องที่ท่านพร่ำพูดว่าอย่าเห็นแก่ตัว อาตมาก็เลยได้ชอล์กนี่มาเขียนที่กระดาน ขีดไปเขียนมาก็เลยร่างออกมาเป็นรูปพระ ฉะนั้นปี ๒๕๑๘ เป็นปีที่รูปสติ๊กเกอร์คำว่าอย่าเห็นแก่ตัวเกิดขึ้น ผมได้ร่างไว้ที่หรืออาตมาได้ร่างไว้ที่เกาะสมุย ต่อมาก็พิมพ์กันกระจายออกไป สิ่งนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เนื่องกับท่านอาจารย์ ทีนี้ขอพูดถึงเรื่องสติ๊กเกอร์หรือรูปพระไปอีกสักนิดหนึ่ง ปี ๒๕๒๖ - ๒๗ พระที่เป็นสติ๊กเกอร์หรือรูปนี่ก็ออกมาในรูปของมีสติอย่าเผลอ และตามมาด้วยพระที่มีรูปตถตา สิ่งนี้เป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่กระผมหรืออาตมภาพพยายามจะสนองงานของท่านเท่าที่สติปัญญาน้อย ๆ จะทำได้ แล้วก็รู้สึกว่ามีผู้คนสนใจเอาไปเขียนเป็นภาพต่าง ๆ อีกมากพอสมควร อีกสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่ใคร่ขอเสนอให้ท่านทั้งหลายได้ฟัง อยากจะขอพูดถึงหนังสือปกดำที่มีชื่อว่าชุดธรรมโฆษ
ปีที่ ๓ ที่อยู่ในเพศพระนี่ก็ได้พบกับผลงานของท่านช่วงที่ไปพักอยู่ที่เกาะแตนซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ใกล้ ๆ กับเกาะสมุยนั่นเอง ก็ไปพบกับหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งพระอาจารย์ชอบได้เก็บไว้นั่นคือปรมัตถสภาวธรรมหรือที่เรียกง่าย ๆ ก็คือหนังสือที่ท่านกล่าวถึงเรื่องธาตุหรือธา-ตุ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ลึกซึ้งมากนะ ใช้คำว่าลึกซึ้งมาก ก็พยายามอ่านคืนที่ ๔ อ่านติดต่อกันถึง ๔ คืน พอคืนที่ ๔ นี้น้ำตาไหล เพิ่งจะเข้าใจ เพิ่งจะเข้าใจธรรมะขึ้นมาในช่วงนั้น อันนี้ก็ใคร่จะขอให้ท่านทั้งหลาย ใครที่ยังไม่ได้อ่านลองไปอ่านดูสักครั้งหนึ่ง บางที ๆ ทิฐิเดิมที่เราเคยเข้าใจผิดว่าตัวตนมีจริง ๆ นี่ที่เรียกว่าสักกายทิฐิ ความเห็นว่ากายนี้ ใจนี้ เป็นตัวเราตัวฉัน ซึ่งความเห็นอย่างนั้นเป็นมิจฉาทิฐินี่ บางทีมันจะระเบิดทิ้งได้บ้าง เพราะมองเห็นว่ากายกับใจไม่มีอะไรมากไปกว่าธาตุหรือธา-ตุ นี่เป็นมิจฉาทิฐิเบื้องต้นซึ่งสิ่งนี้อาจจะระเบิดได้สำหรับคนบางคน มิจฉาทิฐินี่นะที่มองเห็นว่ากายใจนี้เป็นตัวตนหรือเป็นสัตว์เป็นบุคคลมันอาจจะระเบิดได้หรือละลายไปได้ ถ้าหากว่าเราสนใจอ่านแล้วก็พิจารณาไปให้ดี ๆ ในหนังสือเล่มนี้
ทีนี้หนังสืออีกเล่มหนึ่งซึ่งน่าสนใจเหมือนกันคือหนังสืออิทัปปัจจยตา เล่มนี้กระผมหรืออาตมานี่อ่านอยู่ ๕ ปี ปีที่ ๕ จึงเข้าใจ ปีแรกเพื่อนพระซื้อมาถวาย ซื้อมาให้ อ่านชื่อหน้าปกก็ไม่ถูก ที่จริงเขาเขียนว่าอิทัปปัจจยตา แต่ไปอ่านอทิปอะไรก็ไม่รู้เรียกว่าไม่ไหวถึงขนาดนั้นแหละ แต่ก็ไม่เคยทิ้งหนังสือเล่มนี้พยายามหอบติดตามไปเรื่อย เป็นผลงาน เรียกว่าเป็นชิ้นเอกของท่านเลยนะของท่านอาจารย์ของเรา ทีนี้ก็ปีที่ ๕ ก็ไปอ่านหนังสือเล่มนี้เข้าใจที่จังหวัดประจวบฯ ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง มันก็ทำให้เข้าใจอะไร ๆ เกี่ยวกับเรื่องของจักรวาลนี่ได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นสุดท้ายแห่งเวลาก็ขอเสนอว่าในหมู่เราท่านใดที่ยังไม่เคยได้อ่านหนังสือที่ชื่อว่าปรมัตถสภาวธรรม หรือเรื่องธาตุ แล้วก็อิทัปปัจจยตานี่ ก็ควรที่จะสนใจกันสักหน่อยนะ บางทีอาจจะได้อะไร ๆ ที่เป็นแนวการสอนของท่านอาจารย์ของเรา เอาละ สำหรับการพูดของกระผมหรืออาตมาภาพก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้
ท่านได้ทราบหลักฐานอันสำคัญจากพระคุณเจ้าที่ผู้เป็นต้นคิดสติ๊กเกอร์อย่าเห็นแก่ตัวนะครับ คือพระคุณเจ้าพระอาจารย์เจริญ แล้วก็สติ๊กเกอร์อื่น ๆ ออกตามมาสะอาด สว่าง สงบ ที่เป็นรูปพระพุทธรูปนี่ครับ หลายรูปแบบนี่ก็เพราะความรู้สึกนึกคิดมาจากความสืบเนื่องจากท่านอาจารย์นั่นเอง กระผมเชิญผู้ให้เวลามานั่งอยู่ตรงนี้ก็เพราะเป็นห่วงครับว่าถ้านั่งอยู่ข้างนอกดีไม่ดีคนให้เวลาจะถูกตีหัว เพราะว่ากำลังฟังเพลิน ๆ แก๊งขึ้นมานี่ เวลาช่างล่วงไปอย่างรวดเร็วเหลือเกินครับเพราะว่าเวลาของเราเป็นเวลาที่มีค่ามีประโยชน์ และบรรดาท่านที่มานั่งอยู่นี่ผมคิดว่าล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีค่าควรแก่การที่จะได้ขึ้นมาเปิดหัวใจ แสดงความจริงใจที่เราได้รับมาจากท่านอาจารย์ด้วยกันได้ทุก ๆ คนด้วย เพราะฉะนั้นจึงต้องประหยัดเวลา
ช่วงต่อไปก็ขอเรียนเชิญจากใต้บ้างครับ ฆราวาส นายวรรณ ว่องวานิช ครับ นายวรรณ ว่องวานิช จากจังหวัดตรัง กระผมกราบเรียนไว้ตั้งล่วงหน้าแล้วแต่ท่านชอบนั่งห่าง ๆ ท่านผู้นี้ควรจะพูดได้อย่างไม่ต้องกลัวผิดพลาดว่าบรรดาคำกลอนสอนใจที่ท่านอาจารย์แต่งไว้รวบรวมเป็นเล่มนะครับ ท่านผู้นี้อยู่ในหัวหมด ท่องได้หมด เดินไปเช้า ๆ แกท่องหมดนี่ละครับ ท่องทุกวัน ๆ หายไปไหน เชิญครับ
พระคุณเจ้าที่เคารพ สหายธรรมที่รักทั้งหลาย วันนี้เป็นวันอะไร สำคัญอย่างไร หวังว่าสหายธรรมทั้งหลายย่อมซาบซึ้งดี กระผมยังมีความหวังอยู่ว่าถ้าจะเป็นได้ หมายความทุก ๆ ปีต้องให้มีเหมือนวันนี้เพราะเมื่อกี้ที่ท่านอาจารย์ก็บอกอยู่แล้วว่าท่านอาจารย์พุทธทาสไม่มีวันตาย เพราะไม่มีวันตายวันนี้ก็ต้องมีทุกวันในวันนี้ กระผมยังรู้สึกถึงคำพูดคำหนึ่งว่า เรานี่ทุกคนที่เกิดในเมืองไทยได้รับพระพุทธศาสนา เป็นบุญวาสนาที่ว่าเกิดในเมืองไทยได้รับพระพุทธศาสนา แต่ผมว่ายังน้อยไปคำนั้น ให้ซึ้งต้องพูดด้วยว่าสำหรับผมนะ ไม่ทราบสหายธรรมเห็นด้วยหรือเปล่าว่า เราโชคดีเหลือเกินที่เกิดมาเมืองไทย ได้รับพระพุทธศาสนา เฉพาะอย่างยิ่งในสมัยท่านอาจารย์พุทธทาส ความรู้สึกของผมว่ามันเป็นจริงอย่างนั้นจริง ๆ ชีวิตของกระผมเกือบไปแล้วนะ เกือบไป ไม่ใช่เกือบไปยังไงหรอก คือว่าตอนผมเรียนภาษาไทยพออ่านออกเขียนได้ก็สมัยนั้นก็เพียง ป.๓ เตี่ยผมก็ต้องให้ไปเรียนภาษาจีน เพราะว่าต้องเรียนวิชาการค้าขายต้องรู้ภาษาจีน ก็เลยไปเรียนปีนัง กลับมา ศาสนานี่มันไม่น่านับถือเลยมันงมงาย ความจริงในสมัยนั้นนะที่ว่าศาสนาพุทธเราศาสนางมงาย มันยังน้อยกว่าเวลานี้จริง ๆ นะสมัยนั้น เวลานี้ไม่รู้มันจะงมงายไปถึงขนาดไหน นี่เป็นโชคดีเราเกิดมาสมัยนี้สมัยท่านอาจารย์ของเราที่ได้เผยแพร่อยู่ ที่ทุกคนที่รู้ที่เข้าใจมันเป็นยังไง
สำหรับผมพูดแล้วเหมือนกับคุยโว รู้สึกว่าปัญหาชีวิตไม่มีสงสัย พูดได้ชัดเจนว่าไม่มีสงสัย ที่ว่ามาสงสัยเขาเรียนถึง ๙ ประโยคแล้วเขายังสงสัย เพื่อนผมหลายคนนะเพื่อนผมเรียน ๖ ประโยค เพื่อนเยอะแยะผม ๖ ประโยคเยอะแยะ เขายังสงสัย รุ่นน้องนะ ๘ ประโยค ๙ ประโยคเขายังสงสัยว่าชีวิตนี่ไปไหนมันมีอะไร เอ, ผมสงสัยจริง ๆ ดูเหมือนของท่านอาจารย์มีอยู่ไอ้ข้อหนึ่งตอนหลังที่ดูเหมือน ๕๐ ปีตอนหลังที่ว่า เมื่อก่อนตั้งใจว่าถ้าเรียนพุทธศาสนาแล้วก็เรียนก็เรียนให้เพิ่มไปเรื่อย ๆ สอบเปรียญมันขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าถึง ๙ ประโยคมันต้องใกล้นิพพานแน่นอน มีอยู่บทหนึ่ง มีอยู่ข้อหนึ่ง ผมนึกว่าจริงนะ สมัยนั้นผมก็เคยคิดเสียดายเหลือเกินไม่ได้ไปเรียนเหมือนเพื่อนเขา ผมสงสัยว่าถ้าผมเรียนเหมือนเพื่อนผมก็น่ากลัวเหมือนเพื่อนผมเวลานี้มันยังสงสัยอยู่ว่าตายแล้วไปไหน มันเรียน ๙ ประโยคแล้ว ตายแล้วไปไหน มันเรียนยังไงยังสงสัยกันอยู่
พูดถึงท่านอาจารย์ ในการสอนของสวนโมกข์นี่ พูดไปแล้วก็มีคำหนึ่งว่าเหมือนกับคุยโว บางคนก็ถามเมื่อก่อนสมัยก่อนว่า สวนโมกข์สอนอะไร ผมก็ตอบไม่ค่อยถูกเหมือนกันว่าสวนโมกข์สอนอะไร ผมก็รู้ว่าสอนแบบนี้ว่ารู้ความจริงแล้ว สัจธรรม แล้วสอนอะไรที่ว่ามันมีหลักฐานอะไรต่าง ๆ เพิ่งนึกได้ในตอนหลังว่าอ้อ, มี เขาสอนสูงนะดูภาพสิ ภาพที่โรงมหรสพทางวิญญาณ ใครเข้ามาแล้วสังเกตนะ แล้วก็รุ่นน้อง รุ่นหลาน ถ้าไม่สังเกตแล้วก็น่าเสียดาย ภาพที่แฉกดวงตา นั่นนะสอน ชัดเจนเลย สอนดวงตาว่าใครเข้ามาตรงนี้นะ ไม่มีคนที่ไม่มีดวงตานะ เปรียบเหมือนคนไม่มีดวงตา คนที่ไม่เข้าใจธรรมเรียกไม่มีดวงตา ใส่หัวให้ ใส่ดวงตาให้ แต่ส่วนมากดูรูปที่นั้นหรือเปล่า ส่วนมากหนีนะไม่รับ ไม่ทราบว่าพวกน้อง ๆ พวกหลาน ๆ นี่สังเกตบ้างหรือเปล่า ในโรงมหรสพแห่งวิญญาณตรงนั้นนะ ข้างในไม่ต้องพูดถึง เอาข้างนอกเอาอย่างเดียวก็พอ ว่าสอนดวงตา สอนเห็นธรรม
แล้วก็มีบทกลอนของท่านว่าสอนถึงขนาดที่ว่า ปริญญาตายก่อนตายใครได้รับ เป็นอันนับว่าจบสิ้นการศึกษา เป็นโลกุตรหลุดพ้นเหนือโลกา หยุดเวียนว่ายสิ้นสังสารวัฏวน ปริญญาแสนสงวนจากสวนโมกข์ คนก็ว่าโยก ๆ ไม่เห็นหน ไม่เห็นดีที่ตรงไหนใครสัปดน รับเอามาด่าบ่นกันทั้งเมือง นี่แหละหนาปริญญาตายก่อนตาย คนทั้งหลายมองดูไม่รู้เรื่อง เขาอยากอยู่ให้เด่นดังมลังมะเลือง เขาเลยเคืองว่าเราชวนให้ด่วนตาย สอนถึงขนาดนั้นนะ สอนถึงขนาดนั้นนะ แล้วก็ไม่ใช่ต้องเรียนมากต้องเรียนอะไร ความจริงท่านอาจารย์สอนขั้นต้นทีเดียวในสมัยดูเหมือน ๒๐ กว่าปีแล้วที่ผมเข้ามาในสวนโมกข์นี่ พอขั้นต้นฟังว่าตัวกูของกู ให้ละตัวกูของกู เอ, ผมว่าไอ้ตัวกูของกูนี่มันละยังไงนะ มันละยังไง มันทำไม่ได้ มนุษย์เรามันทำไม่ได้ ไอ้เรื่องตัวกูของกูมันจะละยังไง อย่าว่าแต่เรียนตามแนวของท่านอาจารย์ต้องละให้ได้ นี่แหละครับ คำว่าปัจจัตตัง อธิบายยากจริง ๆ อธิบายยากไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ว่าผมก็พยายามเหมือนกัน ผมนับถือท่านอาจารย์ ถึงผมไม่เห็นด้วย ผมสงสัยผมก็ต้องอ่าน ผมพยายามศึกษา พยายามฝึกของจิตของตัวเองก็ มันก็ค่อยซึมเข้าไปเรื่อย ค่อยซึมเข้าไปเรื่อย ซึมเข้าไปเรื่อย แต่มันใช้เวลามาตั้ง ๒๐ ปีมันก็ไม่ใช่น้อยเหมือนกันนะครับ บางคนบอกว่าอย่างนี้มันตายเปล่า มันเสียเวลาไม่ทันรู้เรื่อง เวลาจะถึงแล้วครับ ง่าย ๆ ว่าอย่างนี้ดีกว่า เรียนธรรมะอย่าตะกละเกินกว่าเหตุ จะเป็นเปรตหิวปราชญ์เกินคาดหวัง อย่าเรียนอย่างปรัชญามัวว่าดัง เรียนกระทั่งตายเปล่าไม่เข้ารอย เรียนธรรมะต้องเรียนที่ธรรมะ เรียนเพื่อละทุกข์ใหญ่ไม่ท้อถอย เรียนที่ทุกข์ที่มีจริงยิ่งเข้ารอย ไม่เลื่อนลอยมองเห็นตามเป็นจริง ต้องตั้งต้นการเรียนที่หูตา สัมผัสแล้วเกิดเวทนาตัณหาวิ่ง ขึ้นมาอยากเกิดก็อยากเป็นปากปลิง เรียนรู้ยิงตัณหาดับนับว่าพอ สวัสดีครับ
คุณวรรณ ว่องวานิช ออกชื่อท่านเพื่อเป็นที่รู้จักกันชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ท่านได้พูดถึงปริญญาตายก่อนตายซึ่งนับว่าเป็นปริญญาสำคัญของสวนโมกข์ กระผมใคร่ขออนุญาตที่ประชุมนี้ใช้เวลาขอเรียนเชิญนักร้องของเรานะครับ ขึ้นมากล่อมเพลงปริญญาตายก่อนตายซึ่งท่านอาจารย์ได้เขียนไว้ เชิญคุณสาลี่นะครับ
พอดีเลยนะคะคุณวรรณพูดได้ถูกใจดิฉันมากทีเดียว เพราะว่าปริญญาจากสวนโมกข์อยู่ในใจมานานแล้ว (ขับกล่อมเพลง)
ปริญญาตายก่อนตาย ใครได้รับเป็นอันนับว่าจบสิ้นการศึกษา เป็นอันนับว่าจบสิ้นการศึกษา เป็นโลกุตรหลุดพ้นเหนือโลกา หยุดเวียนว่ายสิ้นสังสารวัฏวน หยุดเวียนว่ายสิ้นสังสารวัฏวน ปริญญาแสนสงวนในสวนโมกข์ คนเขาว่าเยกโยกไม่เห็นผล คนเขาว่าเยกโยกไม่เห็นผล ไม่เห็นดีที่ตรงไหน ใครสัปดนรับเอามาด่าป่นกันทั้งเมือง รับเอามาด่าป่นกันทั้งเมือง นี่แหละหนาปริญญาตายก่อนตาย คนทั้งหลายมองดูไม่รู้เรื่อง คนทั้งหลายมองดูไม่รู้เรื่อง เขาอยากอยู่ให้เด่นดังมลังมะเลือง เขาเลยเคืองว่าเราชวนให้ด่วนตาย เขาเลยเคืองว่าเราชวนให้ด่วนตายเอย
จากการอภิปรายของท่านทั้งหลายทั้งฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายคฤหัสถ์อยู่ในวง แวดวงแห่งการพูดสิ่งที่ควรพูดแก่ท่านอาจารย์ด้วยอย่างดีมาแล้วทั้งนั้น ดังนั้นไม่จำเป็นจะต้องย้ำหัวข้อในระหว่างในระหว่างที่มีการใช้เวลามีค่านี้นะครับ กระผมขออาราธนาพระคุณเจ้ารูปต่อไป ท่านพระครูสุนทรกรณีครับ วัดมุจลินทราราม ตำบลแหลมปอ อำเภอสะหวี จังหวัดชุมพรครับ ไม่ทราบไปสนใจสไลด์เสียแล้วหรือเปล่า ครับ เพื่อประหยัดเวลาก็ขออาราธนาพระมหาประทีปเลยครับ อุตตมปัญโญ จากหาดแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ผู้ที่ทำการเสวนาธรรมกับญาติโยมตอนบ่ายจนฝนตกแล้วก็ย้ายเวทีต่อไปที่เรือ พวกที่กลับ กลับมาหัวเปียกแต่บอกว่าได้เปียกธรรมะชุ่มชื่นใจวันนี้ มาแล้วครับ ท่านทั้งหลายจงตั้งอกตั้งใจฟัง แล้วก็นำมาพิจารณาที่ใจของท่านด้วยว่าเราจะมีส่วนร่วมรับอุดมการณ์ตามที่พระคุณเจ้าหรือพระวิทยาจารย์หรือผู้ที่ขึ้นมาพูดนั้น ได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ใกล้เคียงของท่านอย่างไรบ้างด้วยนะครับ เกิดประโยชน์มากขึ้น ขออาราธนาครับ
เคารพพระธรรมที่อยู่ในพุทธบริษัททุกท่าน เรื่องที่จะต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องท่านอาจารย์ก็มีมากมายซึ่งจะได้ฟังกัน อาตมาจะมาพูดว่า คือเรามาสรรเสริญธรรมะที่อยู่ในพระสงฆ์ทั้งหลายมีพระเดชพระคุณท่านอาจารย์คืนนี้เป็นต้นเป็นพิเศษ ที่เรามาทั้งหมดนี้มาเนื่องจากว่าพระธรรมที่อยู่ในท่านไม่ใช่เรื่องอื่น ทั้งธรรมะที่ยังไม่ตาย ท่านเป็นปากให้พระธรรม ๕๐ กว่าปีแล้ว ซึ่งเราทั้งหลายก็ได้รับประโยชน์จากท่านคือธรรมะนั่นเอง ธรรมะที่ท่านแสดงเป็นเรื่องแก้ทิฐิในภายในจิตใจคนจึงต้องมีการพูดออกมา มิฉะนั้นแล้วความรู้สึกของคนจะไม่สามารถรู้เรื่องได้หรือทำความรู้สึกให้ถูกต้องได้ พุทธเจ้าจึงบัญญัติว่าสัมมาทิฐิทำให้คนพ้นทุกข์ทั้งปวงซึ่งคนก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าท่านดีแต่พูดที่สวนโมกข์ ทั้งที่คนเราคนหนึ่ง ๆ มีเรื่อง ๔ เรื่อง คือ เรื่องกาย เรื่องวาจา เรื่องจิต และเรื่องทิฐิ ในยุคที่พระพุทธเจ้าเห็นว่าเรื่องกาย วาจา จิตนี่ก็สมบูรณ์แล้วแต่พระพุทธเจ้ามาเพิ่มทิฐิให้ถูกต้อง ที่เรารู้สึกผิด ๆ คือรู้สึกว่าเป็นกูเป็นของกู ที่ท่านอาจารย์พยายามทำความรู้สึก ให้เราทำความรู้สึกว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ๕๐ ปีมาแล้ว เรื่องที่ท่านพยายามให้เราเข้าใจศาสนาให้ได้ก็คือตรงนี้เอง เวลาก็ไม่มาก คล้าย ๆ ว่าคืนนี้แบบเรียกว่าอะไร หางเครื่องมาแสดงคนละนิดคนละหน่อย หัวหน้าวงก็พรุ่งนี้
สิ่งที่น่าพูดถึงท่านก็คือ ๑. ท่านแสดงธรรมให้เราฟังตลอดสายสิ้นเชิง ๒. ท่านทำตัวอย่างปฏิบัติให้ดูอยู่ตลอดเวลา อันนี้คือเรามาพูดถึงท่านนิดหน่อย ทีนี้นี่คือเราจึงได้สามารถปรับความรู้สึกของเราถูกต้องได้ สิ่งที่ควรพูดถึงท่านพิเศษซึ่งท่านพูดในปีที่ท่านไม่สบายหนัก ท่านพูดว่าสิ่งที่ไม่น่าเอาไม่น่าเป็นเป็นสิ่งที่น่าเอาน่าเป็น ประโยคนี้เราพูดเป็นคนแรกในเมืองไทย อันนี้คือเป็นเรื่องทำลายความรู้สึกที่เป็นกูของกูออกไปได้ ถ้าใครเอาไปเคี้ยวแล้วกลืนเข้าไป โดยมากพวกเรามาอมไว้ อมแล้วคายทิ้ง บางคนเคี้ยว ๆ บ้างก็ไม่กลืน คายทิ้งอีกไม่สำเร็จประโยชน์ ทีนี้ และสิ่งที่ท่านพูดในปีนั้นอีกประโยคหนึ่งที่มันสะดุ้งเข้าไปในหัวใจว่า ทั้งชั่วทั้งดีอัปรีย์เท่ากัน คนฟังสะดุ้งอีก พูดหยาบจริง เขาบอกว่าเป็นสุนัขปากร้ายวันที่ ๒๗ ที่จริงไม่ใช่ปากร้ายหรอก ปากดีคือปากพระธรรม พูดเพื่อกระชากกิเลสออกมาจากจิตใจคน แต่ว่าคนฟังแล้วมันขัดหูไปหมดเพราะว่าอุปาทานในตัวกูยังแรง
ทีนี้จะได้มาสรุปเป็นกลอนหนังตะลุงเป็นตัวปฏิบัติไปเลย เพื่อให้เข้ากับปริญญาตายก่อนตายที่ได้ร้องเพลงเมื่อตะกี้นี้ด้วย ว่าภาษาเป็นกลอนหนังตะลุงภาคใต้นะ เพราะว่าเรื่องหนังตะลุงนี่ท่านอาจารย์มีดวงตาได้พบเรื่องหนวดเต่าเขากระต่าย (ชั่วโมงที่ 01:28:45) กบซึ่งจมดิ่งไปแล้วไม่มีใครรู้เรื่องเลย ท่านจึงเอามาเขียนไว้ในโรงหนัง นี้เอามาเป็นพิเศษ ถ้าพูดภาษาเป็นธรรมดาก่อน คือมีพระองค์หนึ่งเคยมาศึกษาที่นี่ชื่ออาจารย์ประสงค์ แกแต่งเป็นกลอนภาษาภาคกลาง เลยเอามาแก้เป็นภาษากลอนหนังภาคใต้ ถ้าพูดเป็นภาคกลางว่า ทั้งชั่วทั้งดีอัปรีย์เท่ากัน ถ้าไปยึดมั่นต้องทุกข์ต้องทุกข์ ไม่หวังอะไรจะได้ความสุข วิธีดับทุกข์ต้องไม่เป็นอะไร นี่จะได้ปริญญาตายก่อนตาย ถ้าว่าเป็นกลอนหนังนะก็ถูกตัวปฏิบัติไปเลย ซึ่งคำเหล่านี้ท่านพูดอยู่ตลอด โยมอยากฟังกลอนหนังไหม นี่มากันหลายจังหวัด หนังตะลุงนะ แต่ว่าพระไม่ใช่มาขับเป็นกลอนหนัง แต่มาสอนธรรมะ เป็นโวหารหนึ่งเหมือนกันในการทำให้คนเข้าถึงธรรมเพราะธรรมะมีหลายโวหารซึ่งพระเณรทั้งหลายจะมาบรรยาย ทั้งฆราวาสทั้งพระช่วยกัน เอานะ ว่ากลอนหนังให้ฟังนิดหน่อยนะ โยมจำไปปฏิบัติก็จะได้ปริญญาตายก่อนตาย จริง ๆ ด้วย ที่จริงถ้ามีกลอนหนังตี แล้วมันฟังเพราะดี และมันสนุก (กลอนหนังภาษาใต้) (ชั่วโมงที่ 1:30:10) ทั้งชั่วทั้งดีอัปรีย์เท่ากัน ถ้าไปยึดมั่นต้องทุกข์ต้องทุกข์ สาวสาวเอ้อต้องทุกข์ต้องทุกข์ (บ่าวบ่าวเอ้อต้องทุกข์ต้องทุกข์) ไม่หวังอะไรจะได้ความสุข
นี่คือตัวปฏิบัติทั้งหมดจะได้ปริญญาตายก่อนตายซึ่งท่านอาจารย์ทำตัวอย่างให้ดูอยู่เสมอ ซึ่งมีในท่าน เอ้า, โยมว่าพร้อม ๆ กัน เอ้า,ว่าสิ ว่าภาษาภาคกลางก็ได้นะ ทั้งชั่วทั้งดี อัปรีย์เท่ากัน ถ้าไปยึดมั่น ต้องทุกข์ต้องทุกข์ ไม่หวังอะไร จะได้ความสุข วิธีดับทุกข์ ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร เมื่อเราไม่เป็นอะไร ใครด่าให้ตายก็ไม่ถูก พุทธเจ้าเองท่านไม่เป็นอะไร นี่ท่านอาจารย์เองจึงบอกว่าสิ่งที่ไม่น่าเอาไม่น่าเป็นนี่เป็นสิ่งที่น่าเอาน่าเป็น เพราะเมื่อเราไม่เป็นอะไรเราก็ไม่ทุกข์เลย นี่วิธีตายเสียก่อนตาย คือให้ดับความรู้สึกเป็นนั่นเป็นนี่หวังนั่นหวังนี่ ออกไปจากจิตให้เกลี้ยงเกลา จิตจะได้ปริญญาตายก่อนตายคือจะไม่มีความทุกข์เลย สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในพระสงฆ์ทั้งหลายที่ปฏิบัติกันมาเป็นลำดับ ๆ จนถึงอาจารย์พุทธทาส ซึ่งท่านก็ดับไปอีกผู้หนึ่ง รับช่วงต่อไป จึงเคารพพระธรรมที่อยู่ในพระสงฆ์ทั้งหลาย มีอาจารย์พุทธทาสเป็นต้น ในคืนนี้เรามาสรรเสริญท่าน ซึ่งท่านยังมีเนื้อหนังให้เราสรรเสริญท่านอยู่ และตัวธรรมะนี้ยังไม่ตาย เป็นภาวะที่มีอยู่จริง แล้วก็พอสมควรแก่เวลาไม่เห็นตีระฆังที อีก ๒ นาที เอาละไม่ต้องมากแค่นี้ก็พอกินนะ ไปนอนท่องคืนนี้จนหลับไปเลย ก็ยุติการบรรยายเพื่อสรรเสริญพระธรรมที่อยู่ในพระสงฆ์ทั้งหลาย มีท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นต้นในคืนนี้ไว้เพียงแค่นี้ สาธุธรรมะที่อยู่ในพระสงฆ์ทั้งหลาย ครบ ๑๐ นาทีจนได้
ครับ การพูดไม่ถึง ๑๐ นาทีไม่มีปัญหาเพราะมีผู้ที่มีโอกาสที่จะได้พูดเสริมคุณค่าของเวลานี้อีกมากนักแต่ว่ามีจำกัดเฉพาะว่าไม่เกิน ๑๐ นาที พระคุณเจ้า เมื่อกี้ท่านประธานดำเนินการเรียกกระผมไปกระซิบว่าเวลาจะหมดเสียอีกแล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ใครมาพูด ท่านขอบิณฑบาตอีกสัก ๓ นาทีให้พูดเพียง ๗ นาที ไม่ทราบจะเป็นธรรมกับผู้ที่พูดทีหลังหรือเปล่านะครับ เวลานี้ก็ ๔ ทุ่ม ๓ ทุ่ม ๓๕ แต่วันนี้เราเริ่มช้ากว่าเมื่อคืน เพราะฉะนั้นสารัตถะที่จะพึงมีพึงได้ก็กลายเป็นเรื่องที่น้อยกว่าเมื่อคืนไปบ้างนะครับ กระผมคิดว่าท่านต่อไปก็ใคร่ขอเรียนท่านผู้ที่อยู่ในวงการศึกษาและมีความใกล้ชิดกับท่านอาจารย์อยู่เป็นพิเศษด้วยเหมือนกันอีกสักท่านหนึ่ง สุภาพสตรี ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนสตรี จังหวัดสุราษฎร์ธานีในอดีต ปัจจุบันท่านเป็นศึกษานิเทศก์กรมสามัญศึกษาครับ อาจารย์ประยงค์ สุภานิช ขอเรียนเชิญครับ ท่านนั่งอยู่ห่างก็ต้องกระหืดกระหอบหน่อย เพราะว่าเวลาจำกัดเหลือเกิน ผมเองไม่กล้าสรุปไม่กล้าอะไรพูดมาก ยกไว้ให้อาจารย์วรศักดิ์ทั้งหมด เพราะเราจะมีเวลาสรุป แล้วก็มีเวลาสำหรับเจริญสมาธิและแผ่เมตตาให้จบลงด้วยเวลาที่กำหนดกันไว้ บัดนี้อาจารย์ประยงค์มาแล้วครับ ขอเรียนเชิญอาจารย์
กราบนมัสการพระคุณเจ้า ญาติโยมพุทธบริษัทที่เคารพทุกท่านค่ะ ก่อนที่ดิฉันจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับความที่ดิฉันมาเกี่ยวพันกับสวนโมกข์นี้นะคะ ดิฉันก็ขออนุญาตพูดเรื่องส่วนตัวสักนิดหนึ่งค่ะว่า เดิมทีนั้นดิฉันเองก็ไม่เข้าใจธรรมะเลยค่ะ แล้วก็ไม่ทราบว่าพุทธศาสนาที่แท้จริงคืออะไร จนกระทั่งวันหนึ่งเป็นเหตุบังเอิญเมื่อประมาณ ๑๐ ปีมาแล้วนะคะ ก็จับพลัดจับผลูได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ก็ไม่มีใครส่งให้เป็นหนังสือที่อยู่ในกองหนังสือซึ่งไม่มีใครสนใจแล้ว ดิฉันก็หยิบขึ้นมา เป็นเวลาเย็นแล้วค่ะ ก็เปิดอ่าน เพราะว่าใจของดิฉันเองนั้นสนใจเรื่องธรรมะมานาน แต่ก็เลียบ ๆ เคียง ๆ แล้วก็ไม่เคยเห็นที่ไหนหรือว่าอ่านที่ไหนหรือเข้าวัดถูกใจสักแห่งหนึ่ง ดิฉันก็เสาะแสวงหามาตลอดเวลา หนังสือเล่มนี้เมื่อได้มาแล้วก็เปิดอ่าน เปิดอ่านแล้วดิฉันประทับใจมากค่ะ คืนนั้นทั้งคืนดิฉันก็ไม่นอนเช่นเดียวกันค่ะ ก็อ่านจนกระทั่งจบ อ่านจบแล้ว อ้อ, พระพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้เอง หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือเล่มง่าย ๆ คือพุทธประวัติสำหรับเยาวชน ดิฉันก็คิดว่าเอ๊ะ, เรานี่ปัญญาอ่อนนะ เพราะเราเคยอ่านเล่มอื่นแล้วไม่เคยเข้าใจเลย ก็อ่านแต่คำนำว่าใครเป็นผู้เขียน ใครเป็นผู้แต่ง พระเดชพระคุณท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ท่านแปลมา แล้วก็เอามาสอนเณรนะคะ แล้วภิกษุที่บวชใหม่ให้ศึกษาหนังสือเล่มนี้
หลังจากดิฉันได้หนังสือแล้ว ดิฉันก็ไปอวดกับเพื่อน ๆ ว่าใครได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วบ้าง หลายคนก็สนใจก็ขอไปอ่าน เราน่าจะขออนุญาตท่านอาจารย์แล้วก็ควรจะให้เป็นแบบเรียนนะคะ เพราะบังเอิญดิฉันทำงานเกี่ยวกับการศึกษาอยู่ ในที่สุดดิฉันก็ชวนเพื่อนคนหนึ่งจากที่บริษัทการพิมพ์ให้มาหาพระเดชพระคุณท่านอาจารย์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จำได้ว่ามาอยู่ที่นี่ ๗ วันฝนตกตลอดเวลาเลยก็ได้มีโอกาสคุยกับท่านอาจารย์แล้วก็ถามท่านถึงหลาย ๆ เรื่อง ถ้าเราจะขอพิมพ์จะได้ไหม ท่านบอกท่านยินดีอย่างมากถ้าเผื่อว่าเราทำได้ แต่ปรากฏว่าทุกอย่างก็ล้มเหลวเพราะว่าทั้งเหตุและปัจจัยเปลี่ยนแปลงไปค่ะ ในที่สุดตอนหลังสุด ดิฉันก็มาอยู่ที่สุราษฏร์ธานีค่ะด้วยความประทับใจว่าเป็นสาเหตุหนึ่งก็ดึงดิฉันมาที่นี่ เมื่อมาทำงานที่นี่ดิฉันก็ประทับใจในงานของท่าน ก็พยายามที่จะดึงนักเรียนเข้ามาสู่แห่งนี้ อันหนึ่งที่ดิฉันประทับใจมากก็คือว่าเมื่อมาอยู่ที่นี่แล้วก็พยายามที่จะอ่านหนังสือของท่านอาจารย์ แต่ว่าเวลาไม่มีพอที่จะอ่านค่ะ ดิฉันก็พยายามที่จะมาดูทางปฏิบัติก็เกิดความศรัทธาในปฏิปทาของท่านอาจารย์และพระสงฆ์องค์เจ้าที่นี่มากเหลือเกินคะและประทับใจมาก ก็ได้คุยกับท่าน ท่านพูดอยู่คำหนึ่งว่าถ้าเราสามารถที่จะสอนลูกเล็กเด็กแดงของเราให้เคารพในสถาบันของผู้มีพระคุณแล้ว ชาติบ้านเมืองก็จะอยู่รอดนะคะ อันนั้นเป็นเรื่องหนึ่งที่ดิฉันประทับใจมาก
เรื่องต่อไปก็คือว่าในฐานะที่เป็นนักการศึกษาก็เคยเรียนอะไรมามากพอสมควรค่ะ คือเรื่องเกี่ยวกับการศึกษา ฝรั่งก็เขียนไว้เยอะแยะทีเดียวว่าการศึกษาคืออะไร ก็จำได้ว่าเคยอ่านเคยท่องเคยจำแล้วก็ไปสอบมาแล้วก็ได้ประกาศนียบัตรได้ปริญญาอะไรมา อ่านแล้วก็ยังงง ๆ ว่าฝรั่งเขาว่ายังไงไม่ทราบเรื่องการศึกษานี่ ดิฉันก็เลยไม่อยากจะซ้ำในที่นี้ แต่อันหนึ่งที่ประทับใจมากของท่านอาจารย์ก็คือว่าท่านบอกว่าการศึกษาคือการทำชีวิตให้ถูกต้องทุกเวลานาที เมื่อถึงมาประโยคนี้นะคะ ดิฉันได้ประโยคนี้ไปประโยคเดียวเท่านั้นเอง ดิฉันเอาไปตีความหมายว่ามันคืออะไรกันแน่ ดิฉันขึ้นป้ายอย่างสวยงามทีเดียวแล้วก็ให้เขียนเป็นพิเศษเลยว่าการศึกษาคือการทำชีวิตให้ถูกต้องทุกเวลานาที ถูกต้องทางไหนคะ ถูกต้องทางกาย ทางวาจา และทางใจนะคะ แล้วก็ความถูกต้องนั้นหมายความว่าต้องละส่วนเกินทั้งหมด แล้วก็เฉลี่ยส่วนที่เราเหลืออยู่นี่ให้กับผู้อื่นบ้างนะคะ ดิฉันได้อธิบายอันนี้ เมื่อทำถึงขั้นนี้ก็พยายามที่จะเอาความหมายของท่านมาตีแผ่ ไม่ใช่แต่เท่านั้นนะคะ ดิฉันก็ได้ศึกษาจากท่าน
นอกจากนั้นดิฉันก็อยากจะเรียนให้ทราบว่าพระเดชพระคุณท่านอาจารย์หลายท่านทีเดียวที่สวนโมกข์ที่เป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์นะคะ ท่านก็ได้เป็นแบบอย่างที่ดี ท่านได้นำแนวทางของท่านพระอาจารย์นี่มาเป็นแนวปฏิบัติ ยกตัวอย่างเช่นในการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนซึ่งทำมาทุกปี หรือในการตั้งโรงเรียนเด็กเล็กของพระอาจารย์ซึ่งดิฉันไม่ได้กล่าวนาม ณ ที่นี้นะคะ ว่าพระอาจารย์องค์ใดบ้าง หลายองค์ทีเดียวได้ให้ความคิดความอ่านกับดิฉันมา ดิฉันก็เอาความรู้อันนี้นำเอาไปปฏิบัติในโรงเรียนคือเอาไปทำเป็นพฤติกรรมออกมาให้นักเรียนประพฤติปฏิบัตินะคะ แล้วสิ่งเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับเยาวชนอย่างยิ่งเพราะว่าเราได้ทำด้วยการปฏิบัติ ดิฉันเองไม่มีเวลาอ่านหนังสือของอาจารย์มากนักเพราะว่าเนื่องจากเวลาจำกัด แต่ว่าในทางปฏิบัติแล้ว ดิฉันพยายามที่จะเอาสิ่งที่ท่านสอนท่านกล่าวนี้ไปปฏิบัติในโรงเรียน ประทับใจหลายเรื่องทีเดียวค่ะ สิ่งที่ท่านพูดนั้นเราก็ได้เอามาใช้นะคะ ดิฉันคิดว่าเนื่องจากเวลาจำกัดดิฉันคงจะเล่าอะไรไม่มากนัก งานของท่านอาจารย์จะไม่มีวันเสื่อมหายไปจากสังคมแห่งนี้นะคะ เพราะว่าขณะนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการเองก็ได้เอานำหลักธรรมคำสอนของท่านอาจารย์นี้ไปทำเป็นหลักสูตรแบบเรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งของสำนักงานประถมศึกษาแห่งชาติก็ได้นำไปใช้แล้วนะคะ แล้วก็กำลังพิมพ์ออกมา เรามาทำที่สวนโมกข์เมื่อเร็ว ๆ นี้แล้วก็คิดว่าถ้าเผื่อหลักสูตรอันนี้ได้ออกไปแล้วก็เป็นประโยชน์กับหลาย ๆ ฝ่ายทีเดียว
สำหรับครูบาอาจารย์เองดิฉันเชื่อแน่ว่าหลักธรรมคำสอนของพระอาจารย์นั้นเป็นหลักธรรมคำสอนที่เราจะหาอ่านที่ไหนไม่ได้ ดิฉันเข้าใจว่าหลักธรรมคำสอนของท่านนั้นเป็นหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งเราพิสูจน์ได้ เดิมทีดิฉันเองไม่เคยศรัทธาในพุทธศาสนาเลยดิฉันก็ไม่อยากจะกล่าวคำนี้แต่จำเป็นจะต้องกล่าวเพราะว่าท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ดึงดิฉันเข้ามาสู่ทางชีวิตที่ถูกต้อง แล้วก็ช่วยดิฉันพ้นจากความไม่เข้าใจความไม่รู้ความมืดบอดอะไรหลายอย่างทีเดียว ความเป็นพุทธะก็เกิดขึ้นในตัวเรา สำหรับตัวดิฉันเองแล้วอันนั้นเรื่องนั้นเป็นเรื่องของงาน ในเรื่องงานนี้ได้ใช้คำสอนของท่านอาจารย์มาใช้ชีวิตในการทำงานมากทีเดียวค่ะ สำหรับชีวิตส่วนตัวเองดิฉันก็คิดว่าดิฉันได้ประโยชน์จากท่านอาจารย์เป็นอย่างมาก ดิฉันคิดว่าดิฉันมีความสุข แล้วก็คิดว่าจะมีความสุขตลอดไป แล้วก็คิดว่าตอนนี้ก็จะเตรียมตัวตาย คือศึกษาธรรมะของท่านมากแล้วก็คิดว่าจะเตรียมตัวตาย เตรียมพร้อมเสมอ ตายด้วยความสุขด้วยค่ะ ไม่ใช่ตายอย่างมีความทุกข์นะคะ เพราะดิฉันตื่นตลอดเวลาว่าดิฉันคือใครมาจากไหน เกิดมาทำไม แล้วก็ต่อไปจะทำประโยชน์แก่สังคมอย่างไรบ้าง คิดว่างานของท่านอาจารย์คงไม่ตายเช่นเดียวกันค่ะ ดิฉันขอกราบขอบพระคุณค่ะ
จากการเปิดใจของอาจารย์ประยงค์ สุภานิช ทำให้เห็นความสำคัญของตำรับตำราหนังสือที่ท่านอาจารย์ได้เรียบเรียงไว้ กระผมใคร่ขออนุญาตสักหนึ่งนาทีเพื่อเรียนว่าท่านประธานมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐที่เริ่มแรกคือคุณวิโรจน์ สิริอรรถ อดีตท่านเป็นทนายความที่เกรียงไกรผู้หนึ่ง หัวหกก้นขวิดต่อชีวิตของชาวโลกมากมายจนถึงกับเบื่อชีวิตคิดจะฆ่าตัวตาย มาพบหนังสือคู่มือมนุษย์ของท่านอาจารย์เมื่อไปหลบมุมสงบอยู่ที่วัดอุโมงค์เชียงใหม่นะครับ แล้วก็กลับตัวกลับใจมาเป็นผู้เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประกาศธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เผยแพร่มาหรือถ่ายทอดออกมาจากท่านอาจารย์พุทธทาส จนใคร ๆ ก็รู้จักกันอยู่เวลานี้ เพราะฉะนั้นจะใคร่ขอย้ำตอนนี้ว่า พระคุณเจ้า ภิกษุหนุ่ม สามเณรน้อยทั้งหลาย ตลอดถึงญาติโยมครับ อย่าเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย หนังสือชิ้นเล็ก ๆ แม้แต่เพียงคู่มือมนุษย์บาง ๆ ไม่ต้องถึงธรรมโฆษเล่มใหญ่ ๆ ถ้าสนใจอ่านจริง ๆ จัง ๆ จะเปลี่ยนชีวิตของท่านได้อย่างไม่ต้องสงสัย อย่าไปสนใจที่จะเรียนสอบถึงเปรียญ ๙ เลยครับ ผมเองเรียนถึง ๖ ประโยคก็เพึ่งยอมสารภาพว่ามารู้จักพระพุทธศาสนาจากท่านอาจารย์เหมือนกัน เหมือนอย่างที่ที่คุณวรรณ ว่องวานิช พูดเมื่อตะกี้นี้ เพราะฉะนั้นเรื่องการที่เราได้เข้ามาสู่สวนโมกข์พบท่านอาจารย์พุทธทาส ได้มีโอกาสได้รับหนังสือแม้แต่เพียงชุดเล็ก ๆ ชุดดอกปทุม ชุดลอยปทุมพวกนี้นะครับ ตั้งใจอ่านด้วยการพินิจพิจารณาหลายครั้งหลายหนครับและคิดว่าท่านจะต้องได้รับอะไร อะไร ๆ ที่แปลก ๆ เหมือนอย่างที่ท่านผู้อำนวยการอาจารย์ประยงค์ สุภานิช ขึ้นมากล่าวนี้ คือในที่สุดท่านก็จะเป็นผู้ไม่ตายด้วยผู้หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ครับ สำหรับท่านต่อไปที่จะขออาราธนาคือพระคุณเจ้าพระครูวินัยธรบัณฑิตครับ วัดเบญจมบพิตร เวลาเหลือเล็กน้อยกระผมจำเป็นต้องขออาราธนาท่านรูปนี้ก่อน เพราะว่าในสังคมชาวพุทธแห่งประเทศไทยเราย่อมรู้จักสวนโมกข์กับวัดเบญจมบพิตรมาดี และพระคุณเจ้ารูปนี้อยู่วัดเบญจมพิตรแล้วก็มาสนใจสวนโมกข์ สนใจอาจารย์พุทธทาสอย่างแรงกล้า ในชีวิตผมที่ผ่านมาผมจึงสนใจเป็นพิเศษด้วย ขอพระคุณเจ้าได้เปิดใจว่าทำไมพระคุณเจ้าอยู่วัดเบญจมบพิตรจึงหันมาสนใจสวนโมกข์ครับ
กระผมขอกราบนมัสการพระเดชพระคุณพระอาจารย์พุทธทาสที่เคารพยิ่ง ขอนมัสการพระคุณเจ้าทุกรูป ขอเจริญพรท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย วันนี้ก็มีโอกาสได้มาพูดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นี่เนื่องจากเวลาจำกัด ก็จะขอพูดให้เร็วสักหน่อย คือความเป็นมาเนื่องจากอาตมภาพที่ได้มาสนใจที่นี่คือหลายปีมาแล้วนี่การค้นคว้าปฏิบัติธรรมของอาตมาเริ่มมาหลายปี ค้นคว้ามาหลายตำรา หลายครูอาจารย์ ค้นไปค้นมามันก็ไม่กระจ่าง มันมืด เราจะว่าปัญญาเราโง่หรือยังไงก็ตามใจ ไม่กระจ่าง คราวนี้มีปัญหาเกิดขึ้นมาก ๆ หาทางแก้ปัญหาไม่ตก ก็มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งความจริงซื้อไปเก็บไว้นานแล้ว แล้วมานึกไปนึกมาก็ลองเอามาค้นดู คือได้รับการโฆษณาจากร้านธรรมบูชาบอกว่า หนังสือเล่มนี้ถ้าอ่านจบตัวกูของกูมันจะลด คือหนังสือเรื่องตัวกูของกูคำบรรยายชุดนั้นแหละ วันนี้ก็ตั้งใจว่าเอ้า, ถ้าตัวกูของกูอ่านไม่จบเมื่อไหร่ก็ไม่เลิก จะกี่วันก็แล้วแต่ อ่านโดยพินิจพิจารณาใช้เวลาหลายวัน จบตัวกูของกูก็รู้สึกว่าความสว่างมันก็เกิดขึ้น ปัญหาต่าง ๆ ที่มันหมกมุ่นอยู่ในจิตใจมันก็บรรเทาเบาบางไป คราวก่อนนู้นเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ร่างกายก็ผิดปกติเนื่องจากความกังวลมาก โรคกระเพาะอาหารกำเริบอย่างรุนแรงจนกระทั่งใช้ยาน้ำนี่ขวดละลิตรละลิตรนี่เอามาฉัน รวม ๆ กันแล้วเห็นจะหลายปีบ ไม่หาย พอตัวกูของกูจบ ใจโปร่งเบาสบาย โรคกระเพาะก็ไม่รู้ไปไหนหมด โยมที่เคยถวายยาก็บอกว่าท่านโรคกระเพาะเป็นยังไงหายแล้วหรือ ก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง ก็บอกว่ามันไม่มีแล้ว ไม่ปรากฏ ไม่มีแล้ว ก็ไม่ได้ใช้ยาอะไร ถาม ใช้ยาอะไร ไม่ได้ใช้ ก็ใช้ยาของพระพุทธเจ้านี่แหละ
คราวนี้ก็คิดว่าเราได้หูตาสว่างขึ้นมาก็เพราะว่าพระเดชพระคุณพระอาจารย์นี่ได้ขยายธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เราสว่างไสวได้ ก็ถือว่าท่านเป็นอาจารย์รูปหนึ่ง มีคนเคยมาถามอาตมาว่าศึกษาธรรมะหรือศึกษากรรมฐานจากอาจารย์ไหน อาตมาก็บอกว่าครูคนแรกมีอยู่คนเดียวมีอยู่รูปเดียวก็คือพระบรมครูเท่านั้นนะ รูปที่สองรองลงมาก็คือท่านอาจารย์พุทธทาสที่นี่ แล้วก็ที่เป็นอาจารย์ที่อยู่โดยภาวะก็คือว่าพระอุปัชฌาย์พระอาจารย์ที่บวชมาเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่มี เมื่อมีความสนใจอย่างนี้แล้วก็คิดว่าเราควรจะได้ไปกราบนมัสการท่านบ้างในฐานะที่เรายอมรับท่านเป็นครูบาอาจารย์แล้ว ก็หาโอกาสเดินทางมาเมื่อ ๗ ปีที่แล้วจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ได้ ๗ ปี มาปีละครั้ง ๆ ๆ
มาปีแรกก็ได้รับฟังที่ท่านล้ออายุ ท่านพูดถึงเรื่องปณิธาน ก็เลยคิดอยู่ในใจว่าเราต้องทำตามปณิธานอย่างที่ท่านทำกำลังทำอยู่ ท่านบอกว่าเราจะทำไปจนกว่าจะได้หรือจะตาย ถ้าไม่ตายต้องได้ท่านว่าอย่างนั้น อาตมาก็คิดว่าจะพยายามส่งเสริมที่จะกระทำนี้สืบต่อท่าน ก็พยายามทำอยู่จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ก็ทำอยู่ โดยที่ใช้เวลาว่างเท่าที่มีอยู่ทั้งหมดเต็มสติกำลังและปัญญาเท่าที่มีอยู่ทำ ระหว่างนี้ก็มาใช้เวลาในการอบรมจริยศึกษาอบรมจริยศึกษาจริยธรรมแก่เยาวชนตามโรงเรียนต่าง ๆ เท่าที่เวลาจะอำนวยให้ แต่แท้ที่จริงทุกวัน มานี่ก็หยุดไปชั่วคราว ขอเขาหยุดไปชั่วคราว ตั้งแต่ ๖ โมงเช้าถึง ๓ โมงเย็นประจำอยู่ที่โรงเรียน โรงเรียนพญาไท ๓ วันและโรงเรียนอื่นอีก ๒ วัน เสาร์อาทิตย์หยุด ถ้าว่าวันที่ ๑๐ ล่วงแล้วนี่โรงเรียนของพระเปิด เป็นครูสอนนักธรรมชั้นโทอยู่ ก็ต้องทำหน้าที่นี้อีกในเวลา ๔ โมงเย็นถึง ๖ โมงครึ่ง ก็พยายามทำอยู่อย่างนี้เพื่อจะสืบต่อให้คำว่าพุทธทาสนี่ยังมีอยู่โดยที่ปณิธานของท่านอาจารย์ท่านตั้งไว้ แต่แท้ที่จริงพระอาจารย์ท่านเคยพูดว่า อย่ามาเกณฑ์ให้ท่านเป็นพุทธทาสอยู่องค์เดียวเลย แท้ที่จริงทุก ๆ คนที่ปฏิบัติธรรมเป็นพุทธทาสทั้งนั้น อาตมาก็เห็นด้วย และหนังสือตัวกูของกูนี่ ไปร้านธรรมบูชาคราวใด ก็บางทีมีเขาพิมพ์อยู่ก็ซื้อมาทีหลาย ๆ เล่ม ใครมีปัญหาไปปรึกษาชีวิต เมื่อเรายังอธิบายให้เขาฟังแจ่มแจ้งไม่ได้ ขอให้เขานำหนังสือตัวกูของกูเอาไปอ่านพิจารณาดูแล้วก็ได้ผลเป็นส่วนมาก คนที่มีปัญหาชีวิต พออ่านตัวกูของกูจบด้วยสติปัญญาของตนเองแล้วนี่ รู้สึกว่าตัวกูของกูมันเบาลงไปเยอะ ไอ้โรคกระเพาะอะไรต่าง ๆ มันก็เลยไม่รู้ไปไหนหมด นี่ก็นำมาเล่าสู่กันฟัง
ครั้งนี้ในเรื่องกิจกรรมที่ทำอยู่ ตอนนี้ก็พยายามทำทุกวิถีทาง คือว่ามันมีคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้กับพระภิกษุที่เชตวัน อันนี้ท่านอาจารย์ได้รวบรวมเอาไว้ในพุทธประวัติจากพระโอษฐ์มีอยู่สูตรหนึ่งที่กล่าวบอกว่า ในกาลก่อนก็ดี แล้วในกาลปัจจุบันก็ดี ตถาคตสอนแต่เรื่องความทุกข์และความดับไม่มีเหลือแห่งความทุกข์เท่านั้น การสอนของพระตถาคตนี้แม้ใครจะติเตียนว่ากล่าวอย่างไร ตถาคตก็ไม่ได้ขึ้งเครียด ไม่ได้โกรธเคือง แม้ใครจะชมอย่างไร ตถาคตก็ไม่ได้ยินดีไหวตาม เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็มีเรื่องเดียว อาตมาไปพูดที่ไหน ไม่ว่าเด็กเล็ก ๆ หรือผู้ใหญ่จนกระทั่งเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ก็พูดเรื่องเดียวพูดเรื่องความทุกข์กับความดับทุกข์เท่านั้น เด็ก ๆ ก็พูดเรื่องความดับทุกข์อย่างเด็ก ๆ เท่าที่เด็ก ๆ จะรับได้ โต ๆ หน่อย หนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็ว่ากันไปอีกอย่างหนึ่ง คนเฒ่าคนแก่ที่มาประพฤติปฏิบัติธรรม บำเพ็ญสมาธิภาวนา เจริญวิปัสสนา ภาวนาอะไรนี่ก็เอาอีกแบบหนึ่ง พูดเรื่องเดียว แต่เดี๋ยวนี้มีคนเกิดผันแปรอะไรสักอย่างหนึ่งก็ขอพูดตอนท้ายนี่นิดเดียวคือว่าเมื่อวันที่ ๑๓ เดือนเมษายนนี่ อาตมาอ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ ๑๓ มีคอลัมน์คอลัมน์หนึ่งอยู่หน้าท้ายเขียนบอกว่าเดี๋ยวนี้สำนักวิปัสสนาตั้งกันขึ้นมารกบ้านรกเมือง ชวนคนโน้นคนนี้ให้ไปนิพพาน เราเป็นประชาชนธรรมดาไม่ควรอาจเอื้อมพระนิพพาน หมายว่าเป็นปุถุชนธรรมดาอย่าอาจเอื้อมพระนิพพาน ถ้าว่าคนไปนิพพานหมดบ้านเมืองฉิบหายล่มจมเขาว่าอย่างงั้น คนนี้เป็นใครอาตมาไม่เอ่ยชื่อ ท่านสงสัยอยากจะทราบว่าเขาเป็นใครหาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ ๑๓ เมษายนมาอ่านดู เอาละเวลาที่จะพูดก็เห็นจะเพียงเท่านี้ ถ้ามีโอกาสใหม่ก็ค่อยพูดกันใหม่ ขอเจริญพร