แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิกที่เป็นนักศึกษาทั้งหลาย ในการบรรยายครั้งนี้ก็ให้ถือว่าเป็นการบรรยายเรื่องนอกหลักสูตรอย่างที่แล้วๆมา แล้วค่อนข้างจะฟังดูก้าวร้าว คือผมจะพูดในหัวข้อว่า การศึกษาที่มหาวิทยาลัยยังขาดอยู่ ผมเคยพูดมากกว่านั้นว่าโลกนี้มีการศึกษาชนิดสุนัขหางด้วนทั้งโลก คือเรียนกันแต่เรื่องหนังสือและอาชีพ มหาวิทยาลัยทั้งหลายในโลกเรียนหนังสือและเรียนอาชีพ ๒ เรื่อง เรื่องที่ ๓ คือ เรื่องจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรนั้นไม่ได้เรียน เพราะมันเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ ขอให้สังเกตดูเถอะทั่วทั้งโลกแหละ การศึกษามันระบุไปยัง รู้หนังสืออักษรศาสตร์ ศิลปศาสตร์ จากนั้นก็เป็นวิชาชีพ แม้จะมิใช่วิชาชีพโดยตรง ก็เป็นอุปกรณ์แก่วิชาชีพ ไม่ค่อยจะเรียนเรื่องจิต เรื่องวิญญาณ เพราะว่าการศึกษาสมัยใหม่ในโลกนี้ตกอยู่ในกำมือของมนุษย์พวกที่ไม่สนใจเรื่องจิต เรื่องวิญญาณ ที่เมืองไทยเราเป็นประเทศเล็ก ไปตามก้นเขา มันก็ได้มาแต่การศึกษาสองชนิด อย่างเดียวกัน มันจึงยังขาดอยู่ เลยเรียกว่าการศึกษาแบบสุนัขหางด้วน นั้นเป็นคำกล่าวที่ว่ากว้างครอบคลุมไปทั้งโลก ทีนี้จะให้แคบเข้ามาในการศึกษาของเรานี่ โดยเฉพาะในประเทศไทย แล้วก็ในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยของสงฆ์ ก็มีการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์เหมือนกัน คือไปเกาะหรืออิงอาศัยหลักสูตรของไอ้นักศึกษาของโลกมากไป เลยขาดการศึกษาชนิดหนึ่งซึ่งจะเอามาพูดกันในวันนี้
โดยหลักทั่วไปเราพูดได้ว่าการศึกษามีสองชนิด คือศึกษาจากภายนอกและศึกษาจากภายใน ศึกษาจากภายนอกก็หมายความว่า ต้องอาศัยคน บุคคลสอนหนังสือหนังหาตำรับตำราอุปกรณ์การศึกษา มีลักษณะเป็นวัตถุเป็นอะไรภายนอกนี่ ก็เรียนกัน แล้วก็ได้ปริญญา ทีนี้การศึกษาจากภายในโดยไม่ต้องมีครู ไม่ต้องมีครู ไม่ต้องมีคนสอน ไม่ต้องมีหนังสือหนังหาตำรับตำรา มันทำโดยบุคคลนั้นเอง คนเดียว ศึกษาในภายใน แล้วก็รู้ ดังนั้น มันก็ต้องรู้อีกอย่างหนึ่งแหละ ไม่ได้รู้เหมือนกันนะ ข้อนี้ก็มีหลักที่ผมพบเข้าแล้วก็สะดุด คือมีพระบาลี พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปริญญามีสาม สามคืออะไร สามคือ ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย ภิกษุทั้งหลาย นี้แลปริญญาสาม เมื่อสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ รู้อะไรบ้างนั่นแหละคือปริญญา รู้รอบ รู้ถึงที่สุด มันเลยกลายเป็นปริญญาอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่แผ่นกระดาษ ไม่ใช่ใครมอบให้ มันเป็นอยู่ในตัวมันเอง ที่เราพิจารณาถึงการศึกษาชนิดนี้ ที่รู้จักเรื่องปริญญาสามนี้ มันพบว่ามันเรียนจากภายในโดยบุคคลนั้นเอง ถึงแม้ว่าจะได้รับฟังทีแรกจากภายนอกจากพระพุทธองค์ก็ตาม แต่นั้นก็เป็นการศึกษาภายนอก แต่ครั้นมาถึงเป็นตัวการศึกษาจริงๆมาทำของตนเอง ทำแต่ว่าในภายในนี่ก็เรียกว่าการศึกษาภายใน ไม่เกี่ยวกับอะไรๆในภายนอก นี่ได้รับปริญญาอีกแบบหนึ่ง เมื่อวันก่อนผมก็ได้เสนอแนะว่า ความเห็นของผมถือว่าคำว่า สิก สิกขา หรือศึกษานี่ เชื่อตามตัวหนังสือตามพยัญชนะดีกว่าว่า เห็นเอง เห็นซึ่งตนเอง เห็นโดยตัวเอง เห็นเพื่อประโยชน์แก่ตัวเอง นี่สิกขา สิกขา นี่มันเองไปทั้งหมด มันก็เลยไม่ต้องอื่น คือไม่ต้องเกี่ยวกับผู้อื่น เราดูตัวเอง ดูด้วยตนเอง แล้วก็ดูเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง เพื่อรับประโยชน์สูงสุดของตนเอง นี่การศึกษาโดยความหมายจากคำ คำบาลีคำนั้น นี่มันเล็งถึงการศึกษาภายใน ไม่เกี่ยวกับโรงเรียน ไม่เกี่ยวกับหนังสือ ไม่เกี่ยวกับครู ไม่เกี่ยวกับอะไร คือมันมองตรงลงไปยังไอ้เรื่องภายใน มีคำๆหนึ่งซึ่งน่าสนใจ คือคำว่าอะไรล่ะ ก็ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดี ลองแปลดูเองดีกว่าว่า Spiritual Experience, Experience นี่มีทั้ง Spiritual และทั้ง Physical ทีนี้มัน Experience ฝ่าย Spiritual คือฝ่ายวิญญาณ ความเคยชิน ความเจนจัด ความอะไรแล้วแต่จะแปลเถอะ ฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณ ที่มันเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นตั้งแต่เกิดจนตาย ขอให้ถือว่า คือมองเห็นว่าความเจนจัด Experience น่ะ ทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณมันก็มีอยู่พวกหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งมันก็เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นตั้งแต่เกิดจนตายเหมือนกัน ถ้าเอาไอ้อันนี้มาเป็นวัตถุแห่งการศึกษา แล้วก็เกิดมีการศึกษาชนิดภายใน ชนิดศึกษาเรื่องฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณไม่เกี่ยวกับวัตถุ อันนี้จะเป็นการศึกษาที่สอง ที่สมบูรณ์
เราศึกษาภายนอกเนื่องด้วยวัตถุเนื่องด้วยบุคคลเนื่องด้วยอะไรมากมายแล้ว ก็ล้วนแต่มีความเจนจัดทางวัตถุทั้งนั้น ที่มาถึงเรื่องความเจนจัดทางวิญญาณนี่ ขอฝากไว้ให้สนใจ เป็นของมีค่ามหาศาล แต่แล้วเราก็ได้ละเลยปล่อยให้มันหายไป หายไป หรือไม่ ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไร ปล่อยให้มันหายไป หายไป ความเจนจัดทางฝ่ายวิญญาณ นี่ขอให้คิดกันใหม่ ตั้งเจตนากันใหม่ ที่จะเก็บมาเป็นไอ้การศึกษา รวบรวมมาได้เท่าไรก็จะเป็นการศึกษาที่ลึกลงไป การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นการศึกษาประเภทนี้ คือการศึกษาลงไปที่ความเจนจัดในฝ่ายวิญญาณ เรื่องกิเลส เรื่องความทุกข์ เรื่องทุกอย่างที่มันเกี่ยวกับฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ ในที่สุดก็ตรัสรู้ เลยคุยโตว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์น่ะ พระศาสดาทุกพระองค์ไม่ได้ตรัสรู้ในมหาวิทยาลัย ตรัสรู้ในป่า แต่ว่ามันมีมหาวิทยาลัยอยู่ในตัวเอง ก็คือจิตที่คิดนึกได้ แล้วความเจนจัดทางวิญญาณที่มีอยู่ ก็เอามาพิจารณาศึกษาเรื่อยไปจนพบความจริงข้อนี้ ทีนี้ก็มีสิ่งที่จะมองเป็นการสรุปว่า ชีวิตเป็นการศึกษาอยู่ในตัวมันเอง เพราะว่าชีวิตมันเพิ่มความเจนจัดทางวิญญาณมากขึ้น มากขึ้น ตัวชีวิตเองทุกขั้นตอนเป็นการศึกษาหมด ทีนี้เราไม่ได้ถือหลักกันอย่างนั้นนี่ อย่างที่ถือกันอยู่เดี๋ยวนี้ว่าเราต้องเรียน เข้าโรงเรียน โรงเรียน มหาวิทยาลัยก็เรียนๆๆๆ พอหลังจากเรียนศึกษาจบแล้วก็ปฏิบัติๆๆ แล้วก็มีผลของการปฏิบัติ ก็ไม่เรียกว่าการศึกษา เรียกว่าการศึกษาแต่เฉพาะการศึกษา ส่วนการปฏิบัติไม่เรียกว่าการศึกษา ผลของการปฏิบัติก็ไม่เรียกว่าการศึกษา เมื่อเสวยผลของการปฏิบัติอยู่ไม่เรียกว่าการศึกษา นี่มันผิดกันตรงนี้ ผิดกันตรงนี้ ที่ว่าศึกษาเรื่องข้างนอก หรือศึกษาเรื่องข้างใน ถ้าศึกษาเรื่องข้างใน ในชีวิตทั้งหมดน่ะ ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตมันเป็นการศึกษาไปหมด เมื่อเล่าเรียนในโรงเรียนก็เป็นการศึกษา เมื่อลงมือปฏิบัติงาน ปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติอยู่แท้ๆ นั่นก็เป็นการศึกษา แต่เราไปเรียกมันเสียว่าการปฏิบัติ นั้นเป็นภาษาคน
การศึกษาในภาษาคนเรียกการปฏิบัติว่าเป็นการปฏิบัติมิใช่การศึกษา แต่ถ้าเป็นการศึกษาในภาษาธรรม ความหมายลึกซึ้งละเอียดแล้ว แม้การปฏิบัติก็เป็นการศึกษา เพราะว่าการปฏิบัตินั่นเอง มันสอนให้มากกว่าดีกว่าเมื่อเรียน เมื่อเรียนไอ้อย่างไอ้การศึกษาโดยตรงเสียอีก มันเรียนในตัวการปฏิบัติที่มันสอนให้ จะยกตัวอย่างเหมือนกับว่า ขี่รถจักรยานนี่ เข้าใจว่าคงเคยขี่จักรยานเป็นกันมาแล้วทั้งนั้น มักจะพูดกันว่าคนนั้นสอนให้ คนนี้สอนให้ หลับตาพูด ไม่มีใครสอนให้ได้หรอกไอ้ขี่รถจักรยาน นอกจากว่ารถน่ะมันจะสอน ไอ้การล้มน่ะมันจะสอน การที่หมุนทำ Balance ไม่ถูกต้อง แล้วมันล้มน่ะมันสอน คนสอนไม่ได้หรอก อย่าว่าแต่เรื่องขี่รถจักรยานเลย ไอ้เรื่องง่ายกว่านั้นอีก ไอ้เรื่องพายเรือนี่ เข้าใจว่าคงจะพายเรือเป็น เป็นกันส่วนมาก ใครมันสอนได้ นอกจากเรือมันจะสอน เห็นเขาอยู่แท้ๆ อธิบายกันเป็นคุ้งเป็นแคว มันก็พายให้ตรงไม่ได้ มันไม่รู้ไอ้ตัวมันเอง ต้องไปพายเรือเข้า แล้วคดไปคดมา เรือมันก็สอนให้ พายมันก็สอนให้ อะไรมันก็สอนให้ เดี๋ยวก็พายเรือได้ตรงแน่ว นี่ยกตัวอย่างสักสองอย่างว่า ขี่รถจักรยานก็ดี พายเรือก็ดี ไอ้สิ่งนั้นแหละมันสอน คือการปฏิบัติงานนั้นแหละมันสอน อย่าไปเข้าใจว่าใครสอนให้ขี่รถจักรยานได้ มันใส่ความ ไม่เป็นธรรม ไม่ยุติธรรม ไอ้รถน่ะมันสอน การล้มแหละมันสอน ระบบประสาทที่มันสัมผัส การล้มน่ะมันจะสอน มันจะรู้จักทำให้ตรง ก็ขี่ตรง ขี่ตรงแน่วเลย ไม่คดเค็ดคดเค็ด แล้วในที่สุดก็ขี่มือปล่อยวางหมดเลยก็ได้ รู้จักทำความทรงตัว สิ่งเหล่านี้การปฏิบัติมันสอน ฉะนั้นชีวิตนี้มีการศึกษา แล้วก็มีการปฏิบัติ พอถึงขั้นการปฏิบัตินี่มันยิ่งสอนมาก ทีนี้มาถึงขั้นที่รับผลของการปฏิบัติ นี่ยิ่งสอนใหญ่ ยิ่งเป็นการศึกษาอย่างยิ่ง เป็นการศึกษาใหญ่ ทำให้เกิดความสุข เกิดความทุกข์ เกิดความได้ เกิดความเสีย เกิดความพ่ายแพ้ เกิดความชนะ เกิดอะไรๆทุกอย่างขึ้นมา เพราะว่าการปฏิบัตินั้น บางทีก็ได้ผล บางทีก็ไม่ได้ผล แม้ได้ผล สอน ไม่ได้ผล มันก็สอน แล้วยิ่งไม่ได้ผล ล่ะยิ่งสอนมาก
จึงอยากจะพูดว่าไอ้ความทุกข์น่ะ มันสอนได้ดีมากกว่าความสุข ความสุขก็มีแต่ระเริงเหลิง เมาความสุข ไม่ได้เรียนอะไร แต่ถ้ามีความทุกข์แล้วมันจะสอนมาก มันจะสอนละเอียด และสอนรุนแรง และสอนเจ็บปวด เราก็ได้รับความรู้จากที่ความทุกข์มันสอน นี่มากกว่าที่ความสุขมันสอน นี่เรียกว่าเสวยผลของงาน รับผลของงาน มันก็ยังเป็นการศึกษาอยู่นั่นแหละ ฉะนั้นจงมองให้เห็นไอ้การศึกษาส่วนนี้ด้วย มันเป็นฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ศึกษาแต่ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการศึกษาภายนอก ถ้าเป็นการศึกษาภายใน แล้วเมื่อเรียนก็เป็นการศึกษา เมื่อปฏิบัติก็เป็นการศึกษา เมื่อรับผลของการปฏิบัติก็ยังคงเป็นการศึกษาอยู่นั่นเอง การทำ การทำการงานนั้นแหละเป็นการศึกษาชั้นสูงไปกว่าที่เมื่อเรียนในสำนักเรียน การได้ผลมันก็ มันก็สอนอย่างไรได้ผล สอนสนิทสนม สอนลึกซึ้ง การบริโภคผล การเสวยผล นั่นก็ยิ่งเป็นการสอน แต่คนมันเรียนไม่เป็น หรือมันไม่เรียนเอาๆได้ มันก็เลยไม่ ไม่สนใจ หรือไม่เรียกว่าเป็นการสอน ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ในที่สุด นี่เป็นการสอน เขาจะเรียกอะไรก็ตามใจ แต่ผมมองดูเป็นการศึกษา การที่เกิดมา แล้วแก่ แล้วเจ็บ แล้วตาย นี่เป็นการศึกษา กิเลสก็เป็นการศึกษา กรรมก็เป็นการศึกษา วิบากกรรมก็เป็นการศึกษา เพราะมันให้ความรู้สึกแก่จิตใจเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เราก็ศึกษาได้ทั้งหมด จนต้องพูดว่าชีวิตทั้งหมดเป็นการศึกษาอยู่ในตัวมันเอง แต่ยืนยันว่าไอ้ความทุกข์นี่สอนดีที่สุด คนเราฉลาดเป็นนักปราชญ์ก็ล้วนแต่เรียนมาจากความทุกข์และอุปสรรคทั้งนั้น ที่เรียนมาจากหนังสือนั้นเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะแก้ปัญหาอะไรไม่ค่อยได้ คือไม่รู้จริงนั่นแหละ ฉะนั้นอย่าลืมคำว่า สิกขา สิกขา ศึกษานี่มองดูตัวเอง มองข้างในตัวเอง มองโดยตนเอง มองเพื่อตนเอง ถ้าจบแล้วมันก็จบ มันก็รู้มากและรู้หมดสิ เอามาใช้เป็นประโยชน์ได้เต็มหมด นี่ชีวิตเป็นการศึกษาอยู่ในตัวตลอดเวลา ถ้าเราพูดกันอย่างภาษาธรรมดา ภาษาคน หรือภาษาลูกเด็กๆ มันก็มีการศึกษาแต่ในโรงเรียน พอเสร็จแล้วออกจากโรงเรียน แล้วก็ไปทำการ ไปทำงาน ไม่เรียกว่าการศึกษาแล้ว พอได้เงินมาใช้มาสอย ก็ไม่เรียกว่าการศึกษา มันเรียกว่ามันมองตื้นกว่ากันมาก พอออกไปทำงานนั่นแหละมันศึกษาด้วยการงาน พอได้รับผลของการงาน มันก็ศึกษาด้วยผลของการงานนั่นแหละที่จะเป็นอย่างไร หัวหกก้นขวิดอย่างไร เป็นการศึกษาทั้งนั้น นี่เรียกว่าการศึกษา ความทุกข์ก็สอน ความสุขก็สอน ความไม่ทุกข์ไม่สุขก็สอน ขอให้มองดูอย่างนี้ ความได้ก็เสีย ความแพ้ความเสียก็เป็นสอน ความไม่ได้ไม่เสียก็สอน มีกิเลสก็สอนให้รู้จักรสของกิเลส มีการทำกรรม ก็สอนให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่ากรรม ได้รับผลของกรรม ก็เรียกว่ามันสอนให้รู้จักผลของกรรม เมื่อชีวิตเป็นการศึกษาไปทั้งหมดทั้งสิ้นอย่างนี้ เราก็จะต้องถือเอา เพื่อเป็นการศึกษาที่สมบูรณ์ เอาชีวิตนั่นแหละเป็นตัวการศึกษา ก็จะพูดเผื่อเอาไว้อีก เอาชีวิตนั่นเป็นอุปกรณ์การศึกษาด้วย เอาชีวิตเป็นการศึกษาด้วย เป็นอุปกรณ์แห่งการศึกษาด้วย เราก็คงจะได้การศึกษาที่สมบูรณ์ เมื่อประสพความสำเร็จ นั่นก็ไปหลงความสำเร็จ ไม่เป็นการศึกษา ไปเที่ยวเพลินมัวเมาเสีย เมื่อไม่ประสพความสำเร็จ ก็ไปโกรธแค้นขัดเคืองเสีย ไม่เป็นการศึกษา มันจะโง่เท่าไหร่ แล้วมันจะมีอะไรมากไปกว่านั้น มันมีแต่เรื่องประสพความสำเร็จ หรือไม่ประสพความสำเร็จ แต่แล้วมันก็ไม่เป็นการศึกษา เพราะเราไม่ได้อบรมสั่งสอนกันมาให้ศึกษาในลักษณะนี้
ดังนั้นผมจึงขอเรียกว่าการศึกษาที่ไม่มีในมหาวิทยาลัยในโลก แต่ไปมีในมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า ถึงนักเรียนนั่งเรียนอยู่คนเดียวโดดในป่านั่น กลับมีๆๆอย่างเต็มที่ นี่เรียกว่าการศึกษาที่ไม่มีในมหาวิทยาลัย ถึงอยากให้ดูไปสักแวบหนึ่ง มองออกไปสักแวบหนึ่งว่า ทำไมการศึกษาของเรามันจึงไม่ออกไปถึงๆๆนั่น คือไม่มีขอบเขตขยายออกไปถึงเรื่องทางจิตทางวิญญาณที่ลึกซึ้งนั่น นี่มัน มันเป็นเรื่องตอบยากนะ ถ้าเราเอากำปั้นทุบดิน มันก็ว่าเพราะวัฒนธรรมมันไม่อำนวย มันไม่มีวัฒนธรรมที่จะชักจูงบุคคลให้ศึกษาออกไปถึงขนาดนั้น แล้วทีนี้ธรรมชาติแท้ๆล้วนๆมันก็ไม่ส่งเสริมถึงขนาดนั้น คนเรานี่ธรรมชาติมันสร้างมา มีความประสงค์ของธรรมชาติหลายอย่างหลายประการ แต่ประการที่สำคัญที่สุดที่มันเป็นอุปสรรคแก่เราที่สุดก็คือ ธรรมชาติแห่งการสืบพันธุ์ ในเนื้อในตัวมันใส่อวัยวะและองค์ประกอบแห่งอวัยวะหรือส่วนประกอบต่างๆเพื่อการสืบพันธุ์ ไว้ในเนื้อในตัวในชีวิต ฉะนั้นพอเกิดมาอายุพอสมควร ไอ้สิ่งเหล่านี้ก็ลุกขึ้นทำหน้าที่เพื่อการสืบพันธุ์ ดังนั้นสัตว์เดียรัจฉานก็ทำเป็น มนุษย์ก็ทำเป็น แล้วก็ไม่ต้องมีใครสอน แล้วก็มันมีอำนาจรุนแรงมากกว่าอำนาจอย่างอื่น นี่ชื่อว่าอันตรายของภิกษุสามเณร ในนวโกวาทนั้นผมว่ามันยังไม่รุนแรงเท่าสัญชาติญาณแห่งการสืบพันธุ์ที่ธรรมชาติมันใส่มาในชีวิต เราก็ไม่รู้เรื่องนี้ เราก็ไม่ควบคุมมัน เราก็เลยศึกษากันเพื่อประโยชน์แก่การสืบพันธุ์ ส่งเสริมการสืบพันธุ์ แล้วนี่บอกกันเองนะว่าไอ้เรื่องการสืบพันธุ์นั่นน่ะมันคนละเรื่องกับกามารมณ์ การสืบพันธุ์นั้นเพื่อจะให้มีพันธุ์เกิดเพิ่มขึ้น แต่กามารมณ์นั้นเป็นความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ ทางกิเลส เป็นคนละเรื่องกัน ถ้าไม่มีกามารมณ์ชนิดนี้ให้ ไอ้คนก็ไม่สืบพันธุ์นะ เพราะส่วนที่เป็นการสืบพันธุ์นั้นมันยุ่งยากลำบากสกปรกน่าเกลียดเหน็ดเหนื่อย มันไม่น่าทำทั้งนั้นแหละ แต่เพราะธรรมชาติมันฉลาดกว่า มันอยู่เหนือกว่า มันใส่ไอ้สิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์ ไว้เป็นค่าจ้างปะหน้าไว้ เมื่อคนไปติดข่าย เข้าไปในข่ายของมัน ต้องการกามารมณ์ มันก็ไม่เห็นไอ้ความสกปรกเหน็ดเหนื่อยยุ่งยากลำบากเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ เพราะฉะนั้นมันจึงยอมทำการสมรสเพื่อการสืบพันธุ์ แต่ที่จริงน่ะมันกิน กินค่าจ้างของธรรมชาติ ที่หลอกให้สืบพันธุ์ นี่มันต้องนึกถึงพวกเราด้วยนะ พวกภิกษุสามเณรทั้งหลายนี่ ถ้ามันยังตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งนี้แล้ว ไอ้การเรียนมันน้อมไปเพื่อสิ่งนี้หมด แล้วก็ดูสิที่เขาเรียนกันน่ะ เด็กหนุ่มๆสาวๆเรียนมหาวิทยาลัยเป็นฝูงๆน่ะ จุดหมายปลายทางอยู่ที่รสของกามารมณ์ ทั้งที่ไม่ชอบการสืบพันธุ์ แต่แล้วก็ต้องยอมสืบพันธุ์ ฉลาดหน่อยก็คุมกำเนิดอะไรไปตามเรื่อง นี่มันก็เป็นเรื่องที่จริงยิ่งกว่าจริง แล้วก็อยู่กับสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลาย อย่าว่าแต่มนุษย์ แม้สัตว์เดรัจฉานก็เป็นอย่างนี้ มันมีไอ้ส่วนที่ล่อหรือจ้างให้ทำการสืบพันธุ์ตามแบบที่ธรรมชาติมันจัดเอาไว้เสร็จต่อแปลนทั้งหลาย ยิ่งกว่านั้นแม้แต่ต้นไม้นี่ก็ต้องการสืบพันธุ์ ก็มีส่วนที่เป็น รสอร่อยที่สำหรับให้ต้นไม้รู้สึกและทำการสืบพันธุ์ แต่เรื่องนี้มันละเอียดมาก แล้วไม่ได้สอนกัน ต้องศึกษาเป็นพิเศษ ต้นไม้มีอะไรหลายๆอย่าง มีพฤติกรรมที่ต้องการจะสืบพันธุ์ แล้วก็มีสิ่งที่ยั่วที่ทำให้ได้สืบพันธุ์
ฉะนั้นคำว่าไอ้การสืบพันธุ์นั้น มันเป็นธรรมชาติอันลึกลับของมนุษย์ แล้วธรรมชาติมันสร้างมานี่ ธรรมชาติมันสร้างมานี่ แล้วมันใส่มาเสร็จเรื่องการสืบพันธุ์ เรื่องไอ้ความรู้สึกเพื่อการสืบพันธุ์ ทีนี้ไอ้คนทั้งโลกมันก็มุ่งแต่รสอร่อยของค่าจ้าง คือกามารมณ์น่ะ ที่ธรรมชาติมันเอามาจ้างให้คนสืบพันธุ์ ถ้าใครตกเป็นเหยื่อของไอ้ความหลอกลวงอันนี้แล้ว การศึกษาไม่ไปทางอื่น การศึกษาจะไม่ไปทางอื่น จะไปในทางเพื่อประโยชน์แก่รสอันอร่อยที่เป็นค่าจ้างทางการสืบพันธุ์ทั้งนั้น ถ้าจะมีการศึกษาเรื่องนี้กันไว้บ้างก็จะดีนะ พระเณรเราจะได้ต่อสู้ จะได้ทนทานในการต่อสู้ จะไม่ได้มุ่งหมายประโยชน์เป็นวัตถุเป็นเนื้อทางเนื้อหนังเป็นอะไรทางนั้น มันก็จะมีการศึกษาวกไปในทางลึกในทางไกล ในทางที่จะลึกถึงในเรื่องกิเลส เรื่องฆ่ากิเลส ซึ่งเป็นเรื่องที่เขา ที่ธรรมชาติใส่มาให้เป็นการหลอกลวงให้สืบพันธุ์ ถ้ากำจัดกิเลสได้ ความรู้สึกอันนี้มันก็ไม่มี ก็จะได้ศึกษาภายใน รับปริญญาของพระพุทธเจ้า คือ ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย ซึ่งเป็นปริญญาของพระพุทธเจ้า ถ้าจะรับปริญญาของพระพุทธเจ้าต้องศึกษาอย่างนี้ แล้วต้องการจะศึกษาอย่างนี้ จะต้องเอาชนะไอ้ความล่อลวง ล่อหลอกของกามารมณ์ ซึ่งเป็นค่าจ้างเพื่อการสืบพันธุ์ของธรรมชาติ ใครจะเรียกว่าพระเจ้าอะไรก็ตามใจ แต่ผมเรียกว่าของธรรมชาติ ธรรมชาตินี่มันเหลือ มันลึกซึ้งเหลือประมาณ เป็นอจินไตยที่จะคิด ธรรมชาติมันสร้างทุกอย่างมาโดยอย่างนั้น เพื่ออย่างนี้ ที่เราเรียกกันว่าสัญชาตญาณทั้งหลาย เป็นฝีมืออันละเอียดลึกซึ้งของธรรมชาติ แล้วเราก็สร้างตัวเองไม่ได้ เราก็มีกำเนิดมาจากบิดามารดา แต่ในนั้นในเนื้อในตัวในชีวิตนั่น ธรรมชาติมันใส่สิ่งเหล่านี้มา เพื่อประโยชน์สูงสุดคือการไม่สูญพันธุ์ ไม่รู้ธรรมชาติมันกลัวอะไรนักหนาที่เรามนุษย์จะสูญพันธุ์ มันก็ใส่มาในชนิดที่ไม่สูญพันธุ์จริงๆด้วย ดังนั้นไม่ต้องกลัว ไม่ต้องพูดเขลาๆไปว่า ถ้าไปบวชกันเสียหมดแล้วโลกนี้มันจะร้าง หรือไปนิพพานกันไปเสียหมดแล้วโลกนี้มันจะร้าง มันเป็นไปไม่ได้ มันหลับตาพูด อย่าไปสนใจกับมัน ไอ้ธรรมชาติมันเหนือกว่านัก มนุษย์มันจะหลุดไปได้สักหนึ่งเปอร์เซนต์ก็ทั้งยาก มันก็กลายเป็นไอ้พลเมืองของพญามารหรือของกิเลสไปหมด นี่อันเป็น เป็นปัจจัยลึกซึ้งที่ทำให้การศึกษาของเราไม่ไปในทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ เพื่อจะให้เข่นฆ่ากิเลสเสีย เป็นการศึกษาเพื่อจะได้ผลเป็นการส่งเสริมความรู้สึกทางเพศทางสืบพันธุ์ทางอะไรเสียหมด ถ้าจะมาสอนกันในการศึกษาให้มันควบคู่กันไปบ้างก็จะดี เมื่อจะเรียนให้ลึกซึ้งแล้ว ก็ให้ลึกให้หมด ให้ลึกถึงไอ้ลึกที่มันของธรรมชาติที่มันกำลังครอบงำเราอยู่นี่ ให้รู้เท่าทัน แล้วมันก็จะมีการศึกษาที่สมบูรณ์
เอาละ, ทีนี้ก็ให้มองกันว่า ชีวิตเป็นการศึกษาในตัวมันเอง ดังนั้นการเคลื่อนไหวทั้งหมดของชีวิต การปรุงแต่งทั้งหมดของชีวิต การต่างๆนี่ เป็นการศึกษาหมด เดี๋ยวนี้เรามีหน้าที่สำคัญที่ว่าจะต้องปฏิบัติสนองพระพุทธประสงค์ เราก็ต้องศึกษาให้ดีสำหรับที่จะสอน เดี๋ยวนี้ศึกษาในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยอย่างเดียวมันไม่พอ มันต้องศึกษานอกโรงเรียน ศึกษาอย่างทางจิตทางฝ่ายวิญญาณคนเดียวนี่เพิ่มขึ้น ถึงจะมีการศึกษาเพียงพอสำหรับจะไปสอนประชาชนตามพระพุทธประสงค์ได้ ขอทบทวนถึงข้อที่ว่าพระพุทธองค์ตรัสในทางทำนองบังคับ ขอร้อง อ้อนวอน อะไรก็ตามว่า ให้ไป ไป ไป ไป อย่าไปทางเดียวกันสองคน ไปทางละคนมันจะได้มีสายมาก แล้วก็ไปประกาศพรหมจรรย์ แล้วก็แสดงธรรมไพเราะเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ถ้าสอนไม่ได้ถึงที่สุดถึงเรื่องที่จะขจัดกิเลสประเภทนี้แล้ว ก็เรียกว่าไม่ใช่ที่สุด ไม่มีความงดงามถึงที่สุด อาจจะมีความงดงามแต่เพียงเบื้องต้น หรือท่ามกลางบ้าง แต่ไม่ถึงที่สุด ผู้ที่จะสนองพระพุทธประสงค์จะประกาศพรหมจรรย์ แสดงธรรมให้งดงามเบื้องต้นที่สุด จะต้องเรียนมาอย่างสมบูรณ์ คือ เข้าโรงเรียนเข้ามหาวิทยาลัยกัน ทั้งทางฝ่ายวัตถุและทางฝ่ายจิต เพราะว่าการศึกษาทางฝ่ายจิตนี่มันไม่ค่อยจะมีในมหาวิทยาลัย แต่โดยเหตุที่เราเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ มีหลักพุทธศาสนาเป็นหลัก มันก็ต้องนึกถึงเรื่องการศึกษาฝ่ายจิตด้วย แม้ว่าเขาไม่มีหลักสูตร เราก็ทำเอาเองได้ พยายามที่จะทำตนให้เป็นพระสาวกที่สมบูรณ์ เป็นบุตรตถาคตที่สมบูรณ์ ก็หาเรื่องนี้เรียนเอาเอง มันอาจจะเป็นได้ว่าในอนาคต การศึกษาของมนุษย์นี่จะเพิ่มขึ้นโดยสมบูรณ์ ไม่เป็นสุนัขหางด้วน แล้วก็มีการศึกษาทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณเพิ่มขึ้น เมื่อนั้นมันจะเป็นไอ้ความรอดของมนุษย์ ไอ้ความรอดของมนุษย์จะมี
เดี๋ยวนี้ก็เห็นอยู่นี่ เห็นอยู่ทั้งโลกว่า ไอ้ความรอดของมนุษย์มันยังหวังยาก มีแต่ถลำเข้าไปในภายใต้อิทธิพลของอารมณ์ของกิเลส เดี๋ยวนี้ทั้งโลกนะสนใจค้นคว้าแต่เรื่องสิ่งที่จะเป็นอารมณ์ของกิเลสได้มากเท่าไร ค้นคว้ากันยิ่งกว่าสิ่งใดนั้น โดยจะค้นคว้ายิ่งกว่าเรื่องปรมาณู เรื่องอวกาศเสียอีก และเมื่อพบแล้ว ก็ทำเป็นอุตสาหกรรมผลิตออกมาด้วยเครื่องจักร สิ่งที่ส่งเสริมกิเลสในโลกมันจึงขายทั้งโลก แล้วผลิตด้วยเครื่องจักรอุตสาหกรรม แล้วมนุษย์ในโลกนี้มันจะไปไหนไหวล่ะ มันก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งเหล่านี้หมด จนกว่าเมื่อไรมันจึงจะถึงที่สุด เจ็บปวดมากถึงที่สุด ระลึกนึกขึ้นมาได้ แล้วก็หมุน หมุนความมุ่งหมายความปรารถนาของการศึกษาของการประดิษฐ์ของการอะไรต่างๆ ไปเป็นเรื่องสันติภาพ เดี๋ยวนี้เขาไม่มีความสนใจเรื่องสันติภาพที่แท้จริงทางจิตใจ มีแต่สันติภาพหลอกๆ คือพักรบสงครามกันชั่วคราว หรือเตรียมตัวเพื่อจะสร้างอะไรมารบกันใหม่ นั่นล่ะคือสันติภาพที่พูดถึงกันอยู่ในโลกนี้ ในเวลานี้ ในสมัยนี้ ฉะนั้นจะมีองค์การโลกสักกี่องค์การ มันก็สร้างสันติภาพไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ได้ไปแก้ไขที่มูลเหตุอันแท้จริง นับตั้งแต่ว่าการศึกษาไม่พอ แล้วมันก็เป็นทาสของไอ้กิเลสเรื่อยๆไป ถ้าพูดแล้วมันก็เป็นเรื่องที่ว่าดูหมิ่นผู้อื่น คือเป็นคำพูดที่หยาบคาย ที่ว่าไอ้การศึกษาทั้งโลก นักศึกษาทั้งโลก นี่มันเป็นการศึกษาเพื่อเป็นทาสของกิเลส ไม่รู้จักความสุขอันแท้จริง มันไปถือเอาได้เป็นทาสของกิเลสนั่นแหละว่าเป็นความสุข คือได้เพลิดเพลินไปตามความต้องการของกิเลส แล้วก็เรียกว่าเป็นความสุข ที่ครอบงำ มันครอบงำโลกอยู่ในเวลานี้ ส่วนพระนิพพานคือเป็นอิสระจากอำนาจของกิเลสนั้น เขาไม่มองเห็น ไม่รู้จัก พูดขึ้นก็ไม่รู้จัก แล้วก็ไม่ชอบ ไม่ชอบความสงบ ไม่ชอบความหยุด ชอบความดิ้นรนวุ่นวาย ชอบการกระตุ้น ให้ปรุงแต่งไม่มีที่สิ้นสุด ก็เรียกว่ามันชอบสังขารนั่นแหละ มันไม่ชอบวิสังขาร คือมันชอบการปรุงแต่ง การกระตุ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งขึ้นไป ไม่มีขอบเขตจำกัดว่าจะไปสิ้นสุดหยุดลงได้อย่างไร เพราะความก้าวหน้าทางวัตถุมันมีได้เรื่อยนี่ เดี๋ยวนี้เขาประดิดประดอยอะไรกันทางวัตถุทาง การกระทำ ทางอะไร ทางภายนอกกายนี่ ให้มันส่งเสริมไอ้ความรู้สึกทางกิเลสอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าสิ่งใด นั้น มันก็มีผลทำให้ผู้ผลิตนั้นรวยด้วย ก็คนโง่มันมากในโลก มันก็ซื้อหา ไอ้คนที่ผลิตมันก็รวย มันก็เลยผลิตกันใหญ่ การผลิตที่เป็นอุตสาหกรรมแล้วมันก็มีแต่การผลิตเหยื่อเพื่อส่งเสริมกิเลสทั้งนั้น เพราะว่าการศึกษาในโลกมันไม่พอ ไอ้คนซื้อ คนซื้อก็โง่เพราะการศึกษาไม่พอไปซื้อหา ไอ้คนขายมันก็เรียกว่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์เห็นแก่กำไรของตัว การศึกษามันก็ไม่พอ ผู้ที่จะควบคุมสันติภาพในโลก ก็ไม่รู้ว่าสันติภาพของโลกนั้นมันอยู่ที่ไหน มันก็เลยไปเพ่งสันติภาพตรงว่าเมื่อกูชนะแล้วครองโลก จะมีสันติภาพ มันก็เลยแย่งกันครองโลก แล้วมันจะสันติภาพได้อย่างไร ถ้าจะสันติภาพต่อเมื่อเราครองโลกนั้นน่ะ แล้วคนอื่นมันจะยอมเหรอ มันก็ไม่มีหวังในเรื่องสันติภาพจากความคิดของมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ เพราะว่าทุกคนมันเป็นทาสของกิเลส ไม่ได้ต้องการไอ้อารมณ์วัตถุเหล่านั้นมาเสนอสนอง มันก็ ความคิดมันก็ไปไกล แล้วก็ไม่คิดว่าเป็นกิเลส หรือเป็นความผิด เป็นความร้าย เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง ก็จะเห็นเป็นสิ่งดีไปเสียอีก เอาละ, เป็นอันว่า ขอร้องให้มองดูการศึกษาอีกประเภทหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่ง หรืออีกด้านหนึ่ง ซึ่งไม่มีในมหาวิทยาลัยไหนในโลก นอกจากมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า
ขอทบทวนว่าเมื่อเรียนก็เป็นการศึกษา เมื่อปฏิบัติก็เป็นการศึกษา เมื่อรับผลของการปฏิบัติก็เป็นการศึกษา ก็เป็นการศึกษาไม่รู้จบ เป็นการศึกษาที่ไม่รู้จบก็จริงนะ แต่มันเป็นการศึกษาที่ให้ผลพร้อมกันไปในตัวเองที่เป็นการศึกษา หมายความว่าเมื่อฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น แล้วก็ทำถูกต้องมากขึ้น ทำถูกต้องมากขึ้น มันก็มีวันจบ มันถึงขนาดที่มันมีความสุขสวัสดีด้วยกัน มันก็จบได้ แล้วอย่าลืมว่าสันติภาพในโลกนั้นน่ะ มันจะมีได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์มีธรรมะ ข้อสำคัญที่สุดคือ ความรักผู้อื่น ฟังดูจะเป็นคำพูดเล่นนะ ความรักผู้อื่น เรื่องศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย ก็พูดไว้ในบาลี อยู่ในบาลี เป็นที่ประสงค์จำนงหมายกันมาตลอดเวลา แต่ไม่มีใครรู้ว่าไอ้ๆความหมายของพระศรีอาริยเมตไตรยนั้นน่ะ คือความรักผู้อื่น นี่พวกเรานี่ลองคำนวณดูกันบ้างว่า ถ้ามันมีมนุษย์ที่รักผู้อื่นแล้วมันจะมีปัญหาอะไร มันก็ฆ่ากันไม่ลง มันขโมยกันไม่ได้ มันล่วงกาเมกันไม่ได้ มันทำอะไรไม่ได้ทุอย่าง แล้วมันมีแต่จะช่วยๆๆๆ จะหันหน้าไปทางไหน มีแต่มือยกขึ้นมาสลอน ว่าขอช่วย อยากจะช่วย จะให้ช่วยอะไร นั่นน่ะศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย
นี่ขอให้มองดูว่าเดี๋ยวนี้ปัญหาร้ายกาจในโลกที่กำลังทรมานโลกอยู่ ก็คือความไม่รักซึ่งกันและกัน ความอาฆาตมาดร้ายซึ่งกันและกัน เมื่อโลกแบ่งออกเป็นสองค่าย สองค่ายใหญ่ๆ คือฝ่ายที่มีนายทุน ประชาธิปไตยนายทุนนั่นน่ะ มันก็เพื่อคนมั่งมี ทีนี้ฝ่ายสังคมนิยมกรรมกรชนกรรมาชีพ มันก็ฝ่ายคนยากจน แล้วมันรักกันไม่ได้ ขอให้ช่วยพิจารณาปัญหานี้ด้วย ว่าการที่สันติภาพไม่มีในโลกเวลานี้ ก็เพราะว่าคนมันรักกันไม่ได้ นายทุนมันก็จะทำลายกรรมกร กรรมกรก็จะทำลายนายทุน มันก็คิดกันแต่เรื่องจะทำลายซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นในองค์การโลก เช่น สหประชาชาติ เป็นต้น มันก็เป็นมี เป็นเพียงมีที่ถกเถียงกัน ที่ต่อรองกัน โต้แย้งกันระหว่างคนสองฝ่าย คือ เพื่อประโยชน์ฝ่ายนายทุนและฝ่ายกรรมกร เมื่อใดมนุษย์รักกัน มันก็หมด หมดปัญหานี้แหละ ทีนี้มันจะรักกันได้อย่างไร นั่นมันคือเป็นปัญหา ถ้ามันมีการศึกษาทางศาสนาถูกต้องแล้ว ผมเชื่อว่ามันจะแก้ปัญหาได้ เพราะทุกศาสนาล้วนแต่สอนให้รักผู้อื่น ศาสนาพุทธเราก็รู้กันอยู่แล้วว่าสอนให้รักผู้อื่นอย่างไร โดยมีหลักรากฐานว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น มันก็ต้องรักกันอยู่ดี ศาสนาคริสต์ก็พระเยซูก็เน้นมากเรื่องนี้ เรื่องรักผู้อื่น ศาสนาอิสลามที่ว่าดุร้าย ก็ยังมีส่วนที่ให้รักผู้อื่น ให้เสียสละเพื่อผู้อื่นอยู่มากเหมือนกัน เป็นอันว่าทุกศาสนาเลยแหละ แต่ไม่มีใครถือหลักข้อนี้ ไปถือหลักข้ออื่นที่ไม่เกี่ยวกับข้อนี้ ความรักผู้อื่นมันก็เกิดขึ้นไม่ได้ ผมเคยคิดขึ้นมาเล่นๆว่า พุทธศาสนาเรานี่มี Spirit นะ มีเจตนารมณ์เป็นสังคมนิยม คือไม่ให้เห็นแก่บุคคล แต่เห็นแก่สังคม เห็นแก่ปัญหาของสังคม ดังนั้นมันก็จะต้องมุ่งหมายแก้ปัญหาสังคมน่ะ อาจถือเอา เอาตัวสังคมนั้นน่ะเป็นหลัก มันก็ต้องแก้ปัญหาของสังคม มันก็ทำให้เกิดการรักผู้อื่นตามเจตนารมณ์ของพุทธศาสนาหรือของธรรมะ คือ เมตตาๆๆ ให้เมตตาเข้ามาครองโลก มันก็จะเป็นโลกพระศรีอาริยเมตไตรยขึ้นมาในเวลาอันสั้น แต่จะทำอย่างไรให้มันเมตตาเข้ามาครองโลก มันมองดูแล้วมันก็ยังไกล ไกลมาก ที่จริงว่าการศึกษามันไม่พอ ถ้าการศึกษาในโลกมันพอ ให้การศึกษาด้านจิตด้านวิญญาณกันบ้าง หรือให้มากหน่อย มันก็จะแก้ปัญหาทางจิตทางวิญญาณนี้ได้ คือทำให้คนรักกันได้ ผมก็เลยคิดคำว่าสังคมนิยมชนิดที่เป็นธรรมะประกอบด้วยธรรมะ เรียกว่าธรรมิกสังคมนิยม เป็น Socialist ที่มีธรรมะ ไม่ใช่ Socialist อันโหดร้ายของชนกรรมาชีพ ที่จะพังทลายนายทุน แล้วอ้างประโยชน์ของสังคมขึ้นมาบังหน้า มันก็ต้องเป็นสังคมนิยมที่บริสุทธิ์ ศาสนาทั้งหลายมุ่งหมายประโยชน์ของสังคมทั้งนั้นแหละ แม้พุทธศาสนาเราก็เน้นถึงไอ้เรื่องเพื่อนมนุษย์และเทวดา ให้มีประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์ ที่แค่ว่าจะทำได้มันก็ต้องรู้ไอ้สิ่งที่มันเป็นรากฐานซึ่งเดี๋ยวนี้เขามักจะเรียกกันว่าเป็นปรัชญา หรือว่าเป็นอะไร ว่าทำไมเราจึงต้องรักกัน
ถ้าเราไม่รักกัน เราเกลียดกัน เราก็วินาศหมด เราก็ทำลายกันไปเรื่อยๆ เราก็วินาศหมด ฉะนั้นทางรอดมันก็อยู่ที่การรักสิ่งที่มีชีวิตด้วยกัน นอกจากจะรักมนุษย์แล้ว ยังจะต้องรักสัตว์เดรัจฉานด้วย เพราะว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน และยิ่งกว่านั้นยังจะต้องรักลงไปถึงต้นไม้ต้นไร่ด้วย เพราะมันมีชีวิตเหมือนกัน สิ่งที่มีชีวิตแล้วก็จะต้องรัก เพราะมันเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเหมือนกัน ถ้าอย่างนี้แล้วก็ไม่มีปัญหาเรื่องที่ว่าเดี๋ยวนี้ฝนมันแล้ง เพราะมันทำลายต้นไม้กันเสียหมด สร้างแผ่นดินให้ดีขึ้นมาไม่ได้ เพราะต้นไม้ไม่งอก เพราะต้นไม้ไม่เกิดขึ้นทันความต้องการนี่ เพราะว่าคนมันไม่มีความรู้สึกประเภทสังคมนิยมให้กว้างลงไปถึงสัตว์เดรัจฉาน ถึงต้นไม้ต้นไร่ ซึ่งล้วนแต่มีชีวิตทั้งนั้น พุทธศาสนามีเจตนาที่จะให้ทำประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์นะ มีมากที่สุดในพระบาลีในพระไตรปิฎก มีคำตรัสที่ไหนก็จะเน้นถึงเรื่องว่าให้ไปประพฤติประโยชน์เทวดาและมนุษย์ ผมตีความเอาเองว่า เทวดาคือคนร่ำรวยไม่รู้จักเหงื่อ มนุษย์ก็คือพวกที่ไม่ร่ำรวยยังรู้จักเหงื่อ ยังต้องมีอาบเหงื่อ ทั้งพวกที่มีเหงื่อและพวกที่ไม่มีเหงื่อนี่ เป็นพวกที่มีความทุกข์ตามแบบของตนของตน ต้องทำให้รักกันได้ แล้วก็มีแต่ความเกื้อกูลนั้นน่ะศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย แม้จะพูดแล้วก็อยากจะพูดอีกว่า คำว่าเศรษฐี เศรษฐีนั้น เราก็ไม่มีทางที่จะแปลอย่างอื่นนะ แปลว่าประเสริฐที่สุดนั่นแหละ เศรษฐ เศรษฐี แปลว่าประเสริฐที่สุด แล้วมันประเสริฐยังไง มันก็คือว่า มีเมตตากรุณา รักผู้อื่นนั่นน่ะเป็นเบื้องหน้า ในบรรดาข้าทาสบริวารทั้งหลายเศรษฐีก็รักเหมือนลูกเหมือนหลาน นี่เศรษฐีที่ถูกต้องนะ ก็เลี้ยงดูเหมือนลูกเหมือนหลาน ไปวัดด้วยกัน ทำงานด้วยกัน ทำนาด้วยกัน อะไรด้วยกัน มันก็สบาย มันไม่ใช่ทาสในความหมายที่ต้องเลิก ทาสในความหมายชนิดนั้นไม่ต้องเลิก เพราะว่าทาสมันสมัครที่จะจับกลุ่มอยู่กับเศรษฐี ทั้งเศรษฐีนายและทาสมันก็ทำงานด้วยความรักซึ่งกันและกัน ไม่ใช่คอยเข่นฆ่ากันเหมือนนายทุนกับกรรมกร มันก็ทำงานได้มาก มันก็มีผลงานมาก มันก็มาตั้งโรงทาน มันก็หาสำรองไว้สำหรับหล่อเลี้ยงโรงทาน ไม่ให้บกพร่องได้ สะสมทรัพย์ไว้เพื่อเลี้ยงโรงทานตลอดไป นั่นมันอยู่กันอย่างไร คนยากจนกับคนมั่งมีมันอยู่กันอย่างไร มันอยู่กันด้วยหลักธรรมะที่ว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ดังนั้นเศรษฐีกับทาสในสมัยพุทธกาลนั้น ต่างกันลิบกับนายทุนกับชนกรรมาชีพสมัยนี้ เพราะนายทุนกับชนกรรมาชีพสมัยนี้มุ่งหมายจะประหัตประหารจะทำลายน่ะ เหลือไว้แต่ดึงเอาประโยชน์มา เป็นข้าศึกเป็นศัตรูกันอยู่ อย่าเอาเศรษฐีที่บริสุทธิ์ชนิดนั้นมาให้เทียบให้กับนายทุน แล้วก็อย่าเอาไปทาสชนิดนั้นมาเทียบกันให้กับกรรมกรสมัยนี้ ไอ้ทาสสมัยโบราณนั้นมันเป็นผู้ยอมรับสภาพว่าเรามีกรรมเป็นของตน เมื่อเราจะเป็นอันนั้นไม่ได้ เราก็จะเป็นอย่างนี้ ที่มันสมกับฐานะของเรา ก็ยินดีที่จะทำหน้าที่นั้นๆด้วยความพอใจ จึงไม่ต้องคิดฆ่าเศรษฐี แต่ถ้าชนกรรมาชีพสมัยนี้ไม่ยอมรับสภาพอย่างนั้น ถูกเสี้ยมสอนให้เรียกร้องความเสมอภาคไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าเป็นมนุษย์ด้วยกันต้องมาเฉลี่ยเท่ากัน อย่างนี้มันไม่ถูกต้อง มันไม่ยุติธรรมตามธรรมชาติ ดังนั้นกรรมกรสมัยนี้จึงมีการคุมพวกมีการอะไรที่จะทำลายฝ่ายนายทุน โลกก็มีสองฝ่าย สำหรับจะทำลายมุ่งหมายกันต่อไป ที่เราเห็นกันอยู่เดี๋ยวนี้ ปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้ ประเทศชาติกลุ่มหนึ่งสนับสนุนนายทุน ประเทศชาติกลุ่มหนึ่งสนับสนุนไอ้ชนกรรมาชีพ จะรบกันไปอีกเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรู้ได้ จนกว่าเมื่อไหร่มันจะเห็นว่าเป็นมนุษย์ด้วยกัน มีความเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน เรื่องนี้แหละมันเป็นปัญหาใหญ่ที่ดักอยู่ข้างหน้า
ถ้าสมมติว่าพวกเราทั้งหมดนี้ต้องการจะสั่งสอนเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้โลกมีสันติภาพ มันก็มาติดอยู่ที่ตรงนี้ ติดอยู่ที่ตรงที่ว่าโลกมันกำลังแบ่งเป็นสองค่าย ระหว่างนายทุนกับชนกรรมาชีพ ต่างก็พิทักษ์ประโยชน์ของตนจนถึงกับว่าฆ่าผู้อื่นก็ได้ง่ายๆ ทำลายผู้อื่นได้ สำหรับคิดสะสมเครื่องมือที่จะทำลายกัน มันก็คือทำลายโลกนั่นเอง เดี๋ยวนี้ก็มองเห็นกันอยู่แล้วว่า ถ้ามันจะรบกันคราวนี้ล่ะก็ไม่มีใครชนะหรอก คือวินาศกันทั้งสองฝ่ายแหละ เพราะมันมีเครื่องมือพอที่จะทำให้วินาศกันทั้งสองฝ่ายพร้อมๆกัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังดีกันไม่ได้ ดูสิ มันยังรักกันไม่ได้ พระเจ้ายังไม่มาช่วยไม่รู้อยู่เสียที่ไหน จึงจะทำให้คนมันรักกัน เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน มันก็มีพระเจ้าองค์หนึ่งที่เราหวังพึ่งกันอยู่ คือ สัมมาทิฐิ พระเจ้าสัมมาทิฐินั่นแหละจะช่วยได้ ถ้าเราสามารถทำให้คนในโลกมีสัมมาทิฐิกัน แล้วปัญหาหมด มีบาลีอันหนึ่งว่า สมฺมาทิฏฐิ สมาทานา สพฺพํทุกฺขํ อุปจฺจคุo สัตว์ทั้งหลายก้าวล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ เพราะสมาทานสัมมาทิฐิ นี้ไปหาสัมมาทิฐิในโลกเวลานี้ มันก็ไม่มี เพราะมันเพื่อประโยชน์กูทั้งนั้น มันมีตัวกู มีประโยชน์กู มันก็ไม่เป็นสัมมาทิฐิขึ้นมาได้ เพราะมันขัดกับหลักที่ว่าเราเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต่างคนต่างเป็นไปตามกรรม ไม่มองเห็นอย่างนั้น ไม่ยอมรับสภาพอย่างนั้น มันก็ไม่เป็นสัมมาทิฐิหรือความจริงตามธรรมชาติ ขอให้เราช่วยกันทำให้โลกนี้มันลืมตาขึ้นมาจากความหลับด้วยอวิชชา มาทางรอดมีอยู่ทางเดียว คือความเข้าใจอันถูกต้องซึ่งกันและกัน แก่กันและกัน นำไปสู่ความรักซึ่งกันและกัน คือศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย ศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรยที่พรรณนาไว้อย่างนั้นน่ะ ต้องตีความนะ จะไปที่ไหนก็มีต้นกัลปพฤกษ์ ใครไปขออะไรก็ได้ มันก็ทุกคนมันรักกัน แล้วมันใครมันจะขาดแคลนอะไรล่ะ ไปที่ไหนก็มีแต่คนรักเรา มันก็ให้ทั้งนั้น ที่จริงก็เป็นกัลปพฤกษ์ ต้นกัลปพฤกษ์ทั่วไปทั้งเมือง แล้วพูดถึงการเบียดเบียนกัน มันก็รักกันนี่ ใครมันจะทำลายล้างกันล่ะ เพราะฉะนั้นจึงนอนไม่ต้องปิดประตูเรือน หรือจะเรียกว่าทำเรือนไม่ต้องทำประตูก็ได้ ถ้าไม่ต้องการจะทำ นอนไม่ต้องปิดประตูเรือน ในส่วนช่วยเหลือกัน มันก็ช่วยเหลือกันอย่างเพื่อนเกิด แก่เจ็บ ตาย แล้วมีคำอีกประโยคหนึ่งซึ่งว่า ซึ่งน่าสนใจ ในศาสนาพระศรีอาริย์ ในโลกพระศรีอาริย์พอลงจากเรือนแล้วจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะมันเหมือนกันไปหมด เขาเขียนไว้อย่างนั้น ต่อกลับมาถึงบ้านแล้ว ถึงรู้ว่า อ้าว, นี่บ้านของเรา นี่ผัวของเรา นี่เมียของเรา นี่ลูกของเรา พอลงจากเรือนไปสู่ท้องตลาดหรือสังคม ไม่มีใครรู้จักใครว่าเป็นอะไร มันคือมันเหมือนกันไปหมดนี่ คำว่าเหมือนกันไปหมด นั่นแหละคือความรักผู้อื่น ตั้งแต่ยื่นมือขึ้นมาจะช่วยเหลือ มีมากแหละข้อความเกี่ยวกับโลกพระศรีอาริย์ ล้วนแต่ตีความหมายในทางภาษาธรรมได้ จะแก้ทำให้มีมาได้ด้วยธรรมะในพระพุทธศาสนา คือมีสัมมาทิฐิในการที่จะรักผู้อื่น ไปที่ไหนก็มีแต่คนให้ คนช่วย พร้อมที่จะช่วย
คำว่ากัลปพฤกษ์นี่ต้องตีความหมายว่า คนทุกคน ทุกหนทุกแห่งพร้อมที่จะช่วย เดี๋ยวนี้ถ้ามีรถมาคว่ำ รถยนต์บรรทุกของมาคว่ำ มันก็แย่งเอาไปหมด แม้แต่เสื้อผ้า แย่งกันไปขนาดนี้ แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนเพียงห้าสิบหกสิบปีที่ผมยังพอจะจำความได้ เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้ารถมาคว่ำคนเจ้าของตายหรือเจ็บป่วย มันจะช่วยนะ มันจะช่วยทุกอย่างที่จะหยอดน้ำข้าวให้ยานะ มันไม่รีบไปขนของหมด กระทั่งปลดกางเกงไปด้วย นี่มัน มันเพียงไม่กี่สิบปี มันไกลกันถึงขนาดนี้แล้ว ไอ้คนที่มาตายตามท่าน้ำท่าเรือ ก็มีคนช่วย มันช่วยกันอย่างยิ่ง ว่าได้บุญมาก ช่วยผีไม่มีญาติ ได้บุญมากกว่าผีมีญาติ ไปเผากันเป็นการใหญ่ นี่ยังทันเห็นนะ มันเปลี่ยนถึงขนาดนี้ เดี๋ยวนี้มันถือศาสนาประโยชน์ ศาสนาประโยชน์ คนในโลกทุกคนรู้จักแต่ประโยชน์ เห็นประโยชน์เป็นใหญ่ ถือศาสนา ถือลัทธิประโยชนาธิปไตย มองเห็นไหม มองเห็นไหม ลัทธิประโยชนาธิปไตยกำลังครองโลกนะ แต่ไม่มีใครพูดถึง แล้วดู ดูตามความจริงสิ ประโยชน์เป็นใหญ่ ประโยชน์ของใหญ่ แล้วประโยชน์ของกูด้วย มันก็เลยเป็นโลกอย่างที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ นี่ทำไมเขาจึงไม่เอาไปสอนไปชี้แจงในวงการศึกษาให้นิสิต นักศึกษา ครูบาอาจารย์ รู้เรื่องเหล่านี้กันเสียบ้าง มันกำลังเปลี่ยนไปสู่ศาสนาประโยชน์ชนาธิปไตย ระวังให้ดีๆ แม้จะประกาศตนว่าถือพุทธศาสนา ถือศาสนาคริสต์อิสลามอะไร แต่ในใจจริงมันถือศาสนาประโยชนาธิปไตย ในๆๆๆปากๆว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ แต่ในใจว่าสตางค์ สรณัง คัจฉามิ ปากอย่างใจอย่างอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ถือศาสนาประโยชนาธิปไตย แต่มันไม่เอามาพูด มาเรียน มาสอน มาทำความเข้าใจกันเสียบ้าง ถ้าจะแก้ปัญหาของโลกแก้วิกฤตการณ์ของโลกนั้น ศาสนาต้องเข้ามามีบทบาทในหัวใจมนุษย์ จนมนุษย์รักกันเท่านั้นแหละปัญหาก็หมดแล้ว มันทำร้ายกัน เบียดเบียนกันไม่ได้ เบียดเบียนกันไม่ลง จะทำให้มีศีล ห้า มันก็สอนให้รักผู้อื่นอย่างเดียว แต่รักผู้อื่นนั้นต้องมีศีลห้าทันที มันฆ่าไม่ได้ มันขโมยไม่ได้ มันละเมิดของรักไม่ได้ มันประทุษร้ายผู้อื่นด้วยวาจาไม่ได้ มันประทุษร้ายตัวเองด้วยของเมาไม่ได้ มันก็เลยหมดปัญหา ลองช่วยกันหาวิธีอย่างไร เป็นส่วนๆสัดๆไป ที่ว่าจะทำให้เกิดความรักผู้อื่นขึ้นมาในหมู่มนุษย์ แล้วมันก็ตอบได้ว่า ทำให้เกิดลัทธิไม่เห็นแก่ตัว มันอันเดียวกันแหละ ถ้าไม่เห็นแก่ตัว รักผู้อื่นน่ะ ถ้ามันเห็นแก่ตัว มันก็รักผู้อื่นไม่ได้ คำว่าไม่เห็นแก่ตัวนั้นน่ะ กลับเเป็นคำพูดอีกคำหนึ่งซึ่งคู่กันและสำคัญมาก ทุกศาสนาก็พูดถึงความไม่เห็นแก่ตัว แต่มันอาจจะผิวๆไป เป็นชั้นๆเป็นชั้นๆตามระดับของมนุษย์ที่มี่มีสติปัญญาเพียงเท่านั้นนะ ฉะนั้นพระพุทธศาสนาของเราเลิศประเสริฐที่สุดตรงที่สอนความไม่มีตัว ถ้าไม่มีตัวจะเห็นแก่ตัวได้อย่างไรล่ะ ถ้ามันยังมีตัวอยู่ แม้ตัวชนิดไหน ดีเท่าไรมันก็ยังเห็นแก่ตัวชนิดนั้นอยู่แล้ว อย่างศาสนาฮินดูชั้นเลิศของเขา ไปมีปรมาตมัน มีอาตมัน มันก็ยังมีตัว แล้วมันก็ต้องเห็นแก่ตัวชนิดนั้นอยู่แหละ เดี๋ยวมันก็ขยายออกมาเป็นตัวของกิเลส ถ้าไม่มีตัว ก็ไม่ต้องเห็นแก่ตัวสิ เพราะมันไม่มีตัว ดังนั้น เราจึงมองดูให้ดีว่าวิธีที่จะทำให้ไม่เห็นแก่ตัวนั้นมีหลายระดับ ให้ถือศีล ให้สมาทาน ให้ขู่ ให้บังคับ ให้อะไรก็มีอยู่พวกหนึ่ง เกลี้ยกล่อมไว้ก็มีอยู่พวกหนึ่ง เสร็จแล้วมันก็หมดตัวไม่ได้ จนกว่าจะมองเห็นว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันก็ไม่มีตัว มันก็ไม่เห็นแก่ตัว นี่พระพุทธศาสนาที่เป็นหลักสำคัญเช่นนี้มันช่วยโลกได้ ช่วยมนุษย์ได้ ช่วยโลกทั้งโลกได้ แต่ก็ไม่มีใครเอาไปเรียนไปสอน ไปทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เขาก็ไม่ต้องการ เพราะเขากำลังถือประโยชน์เป็นใหญ่ ไอ้เราก็เข้าไปสอนเขาไม่ได้ ไม่สามารถที่จะไปทำให้ไอ้คนเหล่านั้นน่ะ หันมาหาธรรมะได้ คนที่กำลังมัวเมาประโยชน์ของตัวน่ะ เขาก็เห็นแก่ประโยชน์ของตัว เห็นธรรมะเป็นของสกปรก รกรุงรัง น่าเกลียด น่าชัง ไม่ต้องการมันอีก
นี่จะคิดอย่างไรกันดีล่ะพวกเรา ว่าเรียนกันมาถึงขนาดนี้แล้ว น่าจะเผยแผ่เพราะศาสนากันบ้าง มันจะเผยแผ่กันอย่างไร ปัญหามันมีอยู่อย่างนี้ เพราะว่าสัตว์โลกทั้งหลายเป็นทาสของกามารมณ์ แล้วยิ่งกว่านั้นอีกก็คือเห็นแก่ตัว ที่เป็นตุ๊เป็นตัวของอวิชชา ตัวที่เกิดมาจากอวิชชา ตัวที่เกิดมาจากกิเลสตัณหา มันไม่ใช่ตัวของสติปัญญา แม้จะเป็นตัวของสติปัญญาก็ไม่ควรจะมีอยู่แล้วนะ เพราะมันเป็นที่ตั้ง เป็นที่ยึดถือแล้วมันหนัก ถ้ามีตัวมันต้องถือตัวแล้วมันหนัก ไม่ถือตัวมันเบาสบายกว่า นี่ศึกษากันไว้ให้เพียงพอ แต่ว่าปัญหาต่างๆมันจะแก้ได้โดยความไม่เห็นแก่ตัว แม้เกี่ยวกับตัวผู้เดียว ถ้ายังมีความเห็นแก่ตัว มันก็หนัก แบกตัวถือตัวเป็นของหนัก ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา อยู่นั่นแหละ ยิ่งถ้าเกี่ยวกับผู้อื่นด้วยมันก็ยิ่งหนักใหญ่ ศึกษาเรื่องเหล่านี้ไว้เถิด ที่เรียกว่าการศึกษาที่ยังไม่มีในมหาวิทยาลัย มันไม่ใช่ของเรานี่ มันก็ยังไม่มีการศึกษาส่วนนี้ ยิ่งมหาวิทยาลัยของโลกของมนุษย์ ยิ่งไม่มีใหญ่เลย มันสอนแต่เรื่องส่งเสริมประโยชน์ของตัว ความเห็นแก่ตัว เพราะมนุษย์ต้องการประโยชน์ของตัว เพราะฉะนั้นการศึกษาที่สอนให้สนับสนุนประโยชน์ของตัวน่ะ มีคนนิยมมาก มันจะเรียนประวัติศาสตร์ มันจะเรียนปรัชญา มันจะเรียนตรรกวิทยา มันจะเรียนอะไรก็ตาม มันเอาไปใช้เพื่อส่งเสริมความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ส่วนที่มันตรงกันข้าม ไม่ได้เอามาสอน ไม่ได้เอามาใช้ ไม่ได้เอามาเรียน ไอ้ศาสตร์บริสุทธิ์ ศาสตร์ทั้งหลายที่บริสุทธิ์ มันกลายเป็นบริวารของไอ้ศาสตร์ที่เศรษฐศาสตร์ที่ทำความเห็นแก่ตัว ที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว โลกนี้จึงอยู่ในสภาพอย่างนี้ การที่จะหวังให้มหาวิทยาลัยใหญ่ๆโตๆในโลก มาสนใจเรื่องนี้ เอามาศึกษากัน สั่งสอนกัน อบรมลูกศิษย์ลูกหาให้รู้จักความเห็นแก่ตัวนี้มันยังไม่มีหวัง ยังไม่มีหวัง เพราะว่าเขากลัวจะล้าหลัง ถ้ามี มีธรรมะชนิดนี้มันจะล้าหลัง ประเทศที่ไม่มีธรรมะจะได้เปรียบ ประเทศที่จะมีธรรมะกลัวจะเสียเปรียบ ประเทศที่ไม่มีธรรมะเลยไม่เอา ไม่เอา ไม่เอาธรรมะ เอาประโยชน์เป็นใหญ่ เอาอำนาจเป็นใหญ่ เอากำลังเป็นใหญ่ อำนาจก็เพื่อหาประโยชน์น่ะ อำนาจน่ะมันไม่มีเพื่ออย่างอื่น มันเพื่อหาประโยชน์ทั้งนั้นแหละ แล้วมันก็ยิ่งหลงประโยชน์ พร้อมกับยิ่งหลงอำนาจ ทั้งโลกมันเป็นอย่างนี้ เรื่องนี้ไม่รู้จะพูดให้ใครฟัง จริงไหม ถ้าเราจะพูดเรื่องธรรมะจริงๆ พุทธศาสนาจริงๆ ไม่รู้จะพูดให้ใครฟัง ชาวโลกทุกคนไม่ต้องการ (นาทีที่ 64:04-64:18) เสียงในเทปไม่สามารถฟังได้ชัดค่ะ) การศึกษาที่ทำลายความเห็นแก่ตนน่ะ ยังไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย (นาทีที่ 64:23- 64:27) เสียงในเทปไม่สามารถฟังได้ค่ะ) รวมทั้งมหาวิทยาลัยของเราด้วย (นาทีที่ 64:30- 64:35) เสียงในเทปฟังไม่ชัดค่ะ) การศึกษามันทำลาย ทุกอย่างเป็นการศึกษาไปหมด ไปเรียนก็เป็นการศึกษา ปฏิบัติก็เป็นการศึกษา ได้ผลก็เป็นการศึกษา ชีวิตก็เป็นการศึกษา และไม่มีการศึกษาชนิดที่ทำลายความเห็นแก่ตัว