แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิกและท่านสาธุชนทั้งหลาย การบรรยายไม่อาจจะทำไปในรูปของธรรมเทศนา แต่จะทำไปในรูปของการปราศรัย ตามที่จะทำได้ ดังที่เป็นที่ทราบกันอยู่ดีแล้วว่า ผู้บรรยายนี่อยู่ในฐานะมีโรคภัยเบียดเบียน แต่จะไม่พูดไม่บรรยายกันเสียเลย มันก็ไม่ถูกต้อง ดังนั้นก็ขอทำการบรรยายในรูปของการปราศรัยเหมือนอย่างครั้งที่แล้วมาเมื่อตอนเช้า แล้วก็ไม่มีอะไรอีก มีแต่การให้ของขวัญ เมื่อตอนเช้านั้นให้ของขวัญ คือเสรีภาพในการรับนับถือธรรมะเพื่อชีวิต และก็ได้บอกถึงเรื่องที่สำคัญ คือเรื่อง เพชร และ เครื่องขุดเพชร อันมีอยู่ในพระไตรปิฎกในส่วนที่เป็นหัวใจ เพชรนั้นคือ ธรรมะที่เป็นเครื่องดับทุกข์โดยตรง ขอย้ำอีกทีหนึ่งว่า ความรู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนั่นเป็นความรู้ที่เป็นเพชร และการปฏิบัติที่ปฏิบัติไปเพื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดนั่นแหละ เป็นความรู้ อ้า, เป็นการปฏิบัติที่เป็นเพชร ทีนี้ก็ได้รับผลมา เป็นผลจากการปฏิบัติไม่ยึดมั่นถือมั่น มันก็เป็นเพชร ในส่วนของผลคือปฏิเวธ ฉะนั้นขอให้ได้มีความรู้ความเข้าใจและสามารถปฏิบัติได้ ในการที่จะได้รับของขวัญดังที่กล่าวแล้ว คือเสรีภาพในการรับถือธรรมะเพื่อชีวิต แล้วก็เพชรและเครื่องขุดเพชร คือหลัก ๑๐ ประการที่เรียกว่า กาลามสูตร นี่ขอให้ได้รับเอาไปด้วยกันจงทุกคนในฐานะเป็นของขวัญ
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของขวัญกัณฑ์ที่ ๒ ครั้งที่ ๒ นี่ก็จะเรียกชื่อของขวัญนั้นว่า สวรรค์ในทุกอิริยาบถ บางคนก็จะรู้สึกแปลกหรือฉงน หรือกับตกใจก็มี สวรรค์ในทุกอิริยาบถ นี่เป็นสิ่งที่มีได้และกำลังพยายามที่จะทำความเข้าใจให้มันเกิดมีขึ้นมาได้ และก็ให้ไปในฐานะเป็นของขวัญสิ่งที่ ๒ ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี
สวรรค์ในทุกอิริยาบถ ขอทำความเข้าใจปลีกย่อยสักนิดหนึ่งก่อนว่า มีคนจำนวนหนึ่งกล่าวหาว่าอาตมานี่ ยกเลิกสวรรค์ ยกเลิกนรก ว่าไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก เดี๋ยวนี้ก็จงเป็นพยานกันทุกคนว่า อาตมากำลังพูดว่ามีสวรรค์ได้ทุกอิริยาบถ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว สำหรับสวรรค์เดิมๆ ของท่าน ที่ว่าจะได้ต่อตายแล้วนั้น ก็ไม่ไปแตะต้อง ไม่ต้องไปยกเลิกให้มันเหนื่อย ให้มันเป็นสวรรค์ในความหวังกันไปเรื่อยๆ เถิด แต่ถ้าสวรรค์ที่จะเป็นความจริง ที่จะได้กันที่นี่และเดี๋ยวนี้และทุกอิริยาบถนั้น และต้องการจะให้ทราบ ต้องการจะให้ปฏิบัติ และต้องการจะให้ได้รับ จนเป็นผู้มีสวรรค์อยู่ในทุกอิริยาบถ
ทีนี้ข้อนี้ก็ฟังดูมันก็เป็นเรื่องใหญ่โต คล้ายกับว่าจะเหลือวิสัย บางคนจะนึกล่วงหน้าไปแล้วว่า มันเหลือวิสัย ไม่ ไม่ฟังก็ได้ ไม่สนใจก็ได้ สวรรค์ในทุกอิริยาบถ แต่อาตมาขอยืนยันว่า มันเป็นสิ่งที่มีได้ ไม่เหลือวิสัยและทำได้ นี่ก็ขอให้สนใจฟังให้ดีๆ เพราะเราไม่สนใจทำอะไรอย่างลึกซื้ง อย่างประณีต อย่างละเอียด นี่มันจึงไม่ค่อยจะรู้ธรรมะในชั้นที่ลึกซึ้ง ละเอียดหรือประณีต แล้วมันยังน่าหัวต่อไปอีกว่า สวรรค์ในทุกอิริยาบถนี้ ไม่ต้องลงทุนเป็นเงินเป็นทอง ไม่ต้องเหน็ดต้องเหนื่อยอะไรให้มากไปกว่าที่มีอยู่ก่อนแล้ว คือขอให้ทุกคนทำหน้าที่ของตนตามที่มีอยู่แล้วเป็นประจำวันในชีวิต แต่ขอเพิ่มอีกนิดเดียวว่า จงมีธรรมานุสติในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ ฟังให้ดี ไม่ได้เพิ่มอะไรๆ ที่ทำกันอยู่แล้ว, ทำกันอยู่แล้ว ขอให้ทำต่อไป ชาวนาทำนา ชาวสวนทำสวน คนค้าขายก็ค้าขาย ข้าราชการก็ทำราชการ กรรมกรก็ทำกรรมกร กระทั่งคนขอทานก็นั่งขอทานไปตามเดิม ทำตามที่เคยทำอยู่อย่างเดิม แต่ขอเพิ่มอีกนิดเดียวว่า ขณะที่ทำนั้นจงมีธรรมานุสติ สติระลึกถึงธรรมะ มันมีความลับอยู่ตรงที่คำว่า ธรรมะ มันไม่มีธรรมะจริง มันไม่รู้จักธรรมะจริง ไม่อาจจะทำให้ธรรมะเกิดขึ้น มันได้แต่ปากว่า ออกเสียงว่าธรรมะ แต่ไม่ได้ทำให้ธรรมะอันแท้จริงเกิดขึ้น ที่นี้จะทำให้ธรรมะที่แท้จริงเกิดขึ้น มันจะต้องมีการทำความเข้าใจ หรือปรับปรุงการกระทำกันสักหน่อย มันเป็นเรื่องละเอียดเร้นลับ คือความลับในข้อที่ว่า ธรรมะนั้นคือหน้าที่ ธรรมะนั้นคือสิ่งที่เป็นหน้าที่ สิ่งที่เป็นหน้าที่นั่นแหละคือธรรมะ เมื่อพูดอย่างนี้คนจำนวนหนึ่งนะก็ บ้าแล้ว! ทำการทำงานเป็นธรรมะ นั่นมันไม่รู้ มันไม่รู้ความลับข้อนี้ว่า ธรรมะนั้นคือการทำหน้าที่ ก็เลยจะต้องพูดกันถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษว่า ธรรมะ ธรรมะ ที่จะเป็นที่พึ่งได้โดยแท้จริงนั้นคืออะไร ใครๆ ก็ได้ยินอยู่ทั่วไปแล้วว่า ธรรมะคือสิ่งที่จะทรงผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกลงไปในกองทุกข์หรือในความชั่ว จะทรงผู้ปฏิบัติให้เลิศลอยอยู่ในความพ้นทุกข์ ธรรมะนั้นจะสามารถทรงผู้ปฏิบัติธรรมะให้อยู่เหนือความทุกข์เสมอไป ทีนี้จะปฏิบัติธรรมะอย่างไรให้มันอยู่เหนือความทุกข์ทุกอิริยาบถ ดังนั้นมันก็ต้องสวมรอยลงไปที่สิ่งที่ทำอยู่ทุกอิริยาบถนั่นเอง ทำอะไรอยู่ทุกอิริยาบถ ก็คือทำหน้าที่การงานตามที่เหมาะสมหรือต้องทำกันอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว มีหน้าที่โดยไม่ต้องออกชื่อ ก็คงจะรู้กันได้ว่า ชาวนาก็ไถนา ชาวสวนก็ทำสวน พ่อค้าก็ค้าขาย นี่เป็นหน้าที่โดยตรง เรียกว่าหน้าที่ในอาชีพ หน้าที่โดยความเป็นอาชีพ ทีนี้หน้าที่อีกส่วนหนึ่งก็คือหน้าที่ในการบริหารชีวิต หน้าที่ส่วนนี้เพื่อชีวิตรอด เราจะต้องหาอาหาร จะต้องกินอาหาร จะต้องบริหารร่างกาย จะต้องทำอีกหลายๆ อย่าง เรียกรายละเอียดว่า เป็นหลายๆ อย่าง แต่ทั้งหมดนี้เพื่อบริหารชีวิตและร่างกาย ฉะนั้นเราจะต้องทำหน้าที่ทั้ง ๒ อย่างนี้ หน้าที่โดยตรงคือ ประกอบการเลี้ยงชีวิต และหน้าที่โดยอ้อม หรือโดยตรงอย่างระดับน้อย คือว่าบริหารร่างกาย พูดให้ชัดกันลงไปเลยว่า หน้าที่กลุ่มน้อยคือหน้าที่บริหารร่างกายนั้น เราจะต้องกินอาหาร เราจะต้องถ่ายอุจจาระ เราจะต้องถ่ายปัสสาวะ เราจะต้องอาบน้ำ และเราก็จะต้องนุ่งผ้า จะต้องแต่งเนื้อแต่งตัว แล้วก็ให้พร้อมที่จะมีชีวิตอยู่สำหรับไปทำงาน ทีนี้เป็นหน้าที่โดยตรง ก็คือหน้าที่ที่เป็นตัวการงาน ชาวนาก็ไปนา ชาวสวนก็ไปสวน ข้าราชการก็ไปออฟฟิศ แม้แต่ที่สุดแต่ว่า คนขอทานก็ต้องไปนั่งตรงที่สำหรับจะขอทาน นี่เป็นหน้าที่เพื่อยังชีวิต ประกอบการหาเลี้ยงชีพ ทั้งหมดนั้นก็เรียกว่าหน้าที่ ทีนี้หน้าที่ปลีกย่อย บริหารร่างกาย อยู่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นหน้าที่ ทั้ง ๒ หน้าที่นี่แหละคือธรรมะ คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ เป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลา อย่างน้อยที่สุด ถ้าคันขึ้นมา มันก็ต้องเกา นี่แม้ว่าจะต้องเกาเมื่อคันขึ้นมา มันก็เป็นหน้าที่ ทุกๆ หน้าที่มันเป็นธรรมะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ
ข้อนี้เป็นคำแปลก เป็นเรื่องแปลกสำหรับท่านทั้งหลายส่วนมาก แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว มันคืออย่างนี้, มันคืออย่างนี้ ถ้าว่าโดยภาษาศาสตร์ เอาภาษาอินเดียเป็นหลัก ปทานุกรมในประเทศอินเดียนั่น คำว่า ธรรมะ ธรรมะ นั้นแปลว่า หน้าที่ คำว่า ธรรมะ ไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนของใครหรอก ธรรมะแปลว่าหน้าที่ แต่แล้วไอ้คำสั่งสอนต่างๆ ก็คือคำสั่งสอน ให้ทำหน้าที่นั่นเอง มันก็มาเป็นอันเดียวกันในตอนนี้ ที่นี้ถ้าจะศึกษากันในแง่ของที่มาหรือประวัติศาสตร์ของคำๆ นี้ มันเชื่อได้ว่า เมื่อมนุษย์ เป็นมนุษย์จาก จากความเป็นคนป่ามาเป็นคนที่ตั้งหลักแหล่งขึ้นมาแล้วนี่ มนุษย์เหล่านั้น ชุดแรก ยุคแรกนั้น ได้สังเกตเห็นสิ่งๆ หนึ่งซึ่งสำคัญมาก คือสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่นั่นเอง มนุษย์เริ่มสำนึกขึ้นมาได้ว่า โอ้, มันมีสิ่งที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ แล้วมันก็มองเห็นสิ่งเหล่านี้ แล้วมันก็ออกปาก หลุดปากออกมาว่า ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ คือหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ บอกเพื่อนฝูงให้รู้จักสิ่งที่เป็นหน้าที่โดยชื่อเรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ
ธรรมะก็คือหน้าที่ หรือคำสั่งสอนที่เกี่ยวกับหน้าที่ ฉะนั้นโดยปริยัติก็คือว่า ความรู้เรื่องหน้าที่ โดยปฏิบัติก็คือ การปฏิบัติหน้าที่ โดยปฏิเวธก็คือได้รับผลของการทำหน้าที่ ที่นี้มันจะมีเรื่องอะไรบ้าง หน้าที่ในชั้นสูงจะมีอะไรบ้าง ก็ต่างประกวดกันขึ้นมา มีครูบาอาจารย์แต่ละสำนักๆ แสดงหน้าที่ชั้นสูง คือหน้าที่ที่จะกำจัดกิเลสและกำจัดทุกข์ ให้พ้นจากความทุกข์นั้น ก็เกิดขึ้น, เกิดขึ้น เป็นพวกๆ เป็นนิกาย นิกายไป ล้วนแต่สอนธรรมะ คือหน้าที่ที่ปฏิบัติแล้วจะดับกิเลสและดับทุกข์ ฉะนั้นจึงมีหน้าที่ฝ่ายโลก ก็หน้าที่ฝ่ายโลกุตร หน้าที่ที่จะทำมาหากิน และบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ บริหารกายให้อยู่เป็นสุขได้อย่างไร นี่ก็คือธรรมะที่เป็นโลกียะ ทีนี้จะทำหน้าที่ทางจิตทางวิญญาณให้สูงขึ้นไปจนหมดกิเลส บรรลุมรรคผลนิพพาน นี่ก็เป็นหน้าที่ส่วนที่เป็นโลกุตร หน้าที่เลยมีเป็น ๒ ซีกขึ้นมาดังนี้ แต่ก็เรียกว่า ธรรมะโดยเสมอกัน คำว่า ธรรมะ ธรรมะ ที่เป็นชื่อของหน้าที่ ได้รับการสั่งสอนกันเรื่อยมา จนมีเป็นลัทธิ เป็นนิกาย เป็นศาสนา จนกลายเป็นมองแต่ในวงแคบว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนในทางศาสนา โดยลืมไปว่า ธรรมะ ตัวธรรมะคือตัวหน้าที่ ความรู้เรื่องหน้าที่ก็คือความรู้เรื่องธรรมะ ปฏิบัติธรรมะคือปฏิบัติหน้าที่ ได้รับผลจากการปฏิบัติหน้าที่ นั่นคือผลที่เราต้องการ
ทีนี้ตรงนี้คือความลับที่ท่านทั้งหลายจะไม่เคยนึกเคยฝัน หรือไม่เคยรู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ จึงขอร้องเป็นข้อแรก คำแรกในเบื้องต้นนี้ว่า จงรู้จักกันเดี๋ยวนี้เถิดว่า ไอ้ธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ หรือหน้าที่นั่นแหละคือตัวธรรมะ ฉะนั้นเรามีการทำหน้าที่กันอยู่แล้ว โดยไม่รู้สึกว่านั่นคือการปฏิบัติธรรมะ ข้อนี้จริงหรือไม่จริง ท่านทั้งหลายทุกคนทำหน้าที่ทุกอย่างตามหน้าที่ของตน, ของตนกันอยู่ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ไม่เคยสำนึกเลยว่าหน้าที่นั่นแหละคือธรรมะ มันก็เลยไม่บูชาหน้าที่ ไม่ชื่นใจในการทำหน้าที่ มันก็กลายเป็นทนทำหน้าที่ มันก็ตกนรกทุกอิริยาบถ สมน้ำหน้ามัน ถ้ามันรู้ว่าธรรมะนั่นแหละคือหน้าที่ พอเมื่อใดปฏิบัติหน้าที่ ก็คือปฏิบัติธรรมะ มันก็พอใจ, พอใจ, พอใจ อิ่มอกอิ่มใจเมื่อทำหน้าที่ มันก็เลยเป็นสวรรค์อยู่ทุกอิริยาบถ โดยการเปลี่ยนความรู้สึกในจิตใจเพียงนิดหนึ่งเท่านั้นแหละ ถ้าไม่รู้ว่าหน้าที่คือธรรมะ มันก็เห็นว่าหน้าที่เป็นของเหน็ดเหนื่อย ต้องจำใจทำ ไม่ทำไม่ได้เพราะมันอด ไม่มีอะไรจะกิน อย่างนี้มันก็เป็นการทรมานโดยหน้าที่ ก็เลยได้นรกไป ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ทุกอิริยาบถ แต่เดี๋ยวนี้มารู้ความจริงว่า ไอ้หน้าที่นี่แหละคือธรรมะ หน้าที่นั่นคือธรรมะ คือพระธรรมนั่นแหละ ที่มันจะช่วยเราได้นั่นแหละ แล้วก็พอใจ ยินดีปรีดาปราโมทย์ในการทำหน้าที่ หน้าที่มันก็ไม่เบียดเบียนให้เกิดความทุกข์ หน้าที่กลับส่งเสริมให้เกิดความพอใจ เย็นอกเย็นใจ ปรีดาปราโมทย์ เป็นความสุข ก็เลยมีความสุขตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ นี่คือสวรรค์ทุกอิริยาบถ ตรงกันข้ามกันอยู่กับนรกทุกอิริยาบถ ผู้ที่ต้องจำใจทำหน้าที่ของตน อยู่ด้วยความจำเป็น จำใจ เหมือนที่กระทำกันอยู่โดยมาก ซึ่งไม่จำเป็นและไม่กระทำ พอจำเป็นต้องกระทำก็ทนทรมาน เป็นทุกข์ นั่นน่ะเอานรกไปไว้ในทุกอิริยาบถ แลกเปลี่ยนกันเสียเถอะ ให้มีความรู้สึกที่ถูกต้องว่า หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ พอได้ทำหน้าที่แล้วก็พอใจ
จะขอวางหลักสำคัญๆ ว่า ที่ไหนมีการทำหน้าที่ ที่นั้นมีธรรมะ, ที่ไหนมีการทำหน้าที่ ที่นั้นมีธรรมะ ต่อให้ในโบสถ์เต็มไปด้วยอะไรในโบสถ์นั่นน่ะ และไม่มีการทำหน้าที่นะ มีแต่สั่นเซียมซี พิธีบวงสรวงอ้อนวอน ในโบสถ์นั้นไม่มีธรรมะสักนิดเดียว, ในโบสถ์นั้นไม่มีธรรมะสักนิดเดียว ธรรมะไปอยู่ที่กลางนา ที่ชาวนาคนหนึ่งรู้จักหน้าที่ไถนาอยู่ด้วยความพอใจ ความสุขใจ ไถนาอยู่โครมๆ ในนานั้น กลับมีธรรมะ ในโบสถ์กลับไม่มีธรรมะเพราะไม่มีการทำหน้าที่ หรือถ้ามีการทำหน้าที่ ก็ไม่รู้สึกว่าหน้าที่คือธรรมะ ก็มาทนทำอะไร คับอกคับใจอยู่กลางโบสถ์นั่นเอง มันก็เลยไม่มีธรรมะ ฉะนั้นอย่าไปเอาสถานที่เป็นหลัก เอาธรรมะเป็นหลัก เอาของจริงเป็นหลักว่า ที่ไหนมีการทำหน้าที่ ที่นั้นมีธรรมะ ทีนี้มันน่าหัวว่า เรามันก็ทำหน้าที่ หน้าที่ กันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วนะ แต่มันไม่รู้จักความจริงข้อนี้ ไอ้หน้าที่มันเลยกลายเป็นนรก คือบีบบังคับความรู้สึกให้รู้สึกเป็นการต้องทน ต้องอดกลั้นและต้องทน ไม่ได้ชื่นอกชื่นใจในการทำหน้าที่
เดี๋ยวนี้มารู้กันเสียใหม่ รู้ความลับข้อนี้ว่า ไอ้ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ปฏิบัติหน้าที่นั่นแหละคือปฏิบัติธรรมะ มันก็เลยเป็นการปฏิบัติธรรมะไป ไอ้สิ่งที่เคยทำอยู่ จะเป็นการทำไร่ทำนา ค้าขาย ถีบสามล้อ แจวเรือจ้าง อะไรก็ตาม เถอะ มันจะกลายเป็นธรรมะไปถ้ารู้สึกว่าหน้าที่คือธรรมะ แล้วมันก็พอใจอย่างยิ่งที่จะทำหน้าที่นั้น เมื่อพอใจ มันก็เป็นสุข, มันก็เป็นสุข ในการขุดดิน ทำสวน ทำมาค้าขาย ทำราชการ ทำกรรมกร ทำขอทาน มันเลยมีความพอใจและมีความสุขเมื่อได้ทำหน้าที่ นี่เรียกว่าหลักเกณฑ์ที่เราจะทำให้มันมีสวรรค์อยู่ทุกอิริยาบถ คือมีแต่ความพอใจชื่นใจในตัวเองอยู่ทุกอิริยาบถเลย
จะขอชี้ไปตั้งแต่ว่า ตื่นนอนขึ้นมา เอ้า, ตามธรรมดามันก็ล้างหน้า ถ้าทำความรู้สึกเป็นธรรมานุสติ ว่าไอ้หน้าที่ล้างหน้านั่นคือการปฏิบัติธรรมะ เป็นธรรมานุสติขึ้นมา แล้วก็พอใจ มันก็ล้างหน้าเป็นสุข ล้างหน้าได้อย่างดีที่สุด และก็พอใจ, พอใจ เป็นสวรรค์เมื่อล้างหน้า เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นนี่ มันไม่ได้ล้างหน้าด้วยความรู้สึกอย่างนั้นนี่ มันล้างหน้าด้วยความไม่รู้สึกอยากจะล้างด้วยซ้ำไป จิตใจไม่อยู่กับตัว ล้างหน้าเหมือนกับล้างก้น แล้วมันก็ไม่ ไม่ได้ผลเรื่องที่ว่า มันจะเป็นธรรมะอยู่ที่นั่น ฉะนั้นขอว่า พอตื่นนอนขึ้นมา หน้าที่แรกจะล้างหน้า หน้าที่การล้างหน้านั่นน่ะคือหน้าที่การบริหารร่างกาย บริหารชีวิต เป็นธรรมะอยู่ แล้วก็พอใจในการกระทำ ชื่นอกชื่นใจในการกระทำ ถ้าพอใจแล้วมันก็ชื่นใจ และก็ต้องเป็นความสุขแหละ ขอให้มีความพอใจ และความพอใจนั้นแหละตัวสำคัญ เรียกว่า ปีติ แล้วปีติอย่างนี้เขาเรียกว่า ธรรมะปีติ ปีติในธรรมะ ปีติโดยความเป็นธรรมะแม้ในการล้างหน้านั้น มันก็เลยเป็นสุขตลอดเวลาที่ล้างหน้า เป็นการปฏิบัติธรรมะตลอดเวลาที่ล้างหน้า มันจะเสียเวลาอะไรนักเล่าที่จะมาคิดนึกอย่างนี้กันบ้าง หรือให้ใจลอยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ล้างหน้าอย่างใจลอย จิตใจไปอยู่ที่เรื่องโมโหโทโสอะไรก็ไม่รู้ อย่างนั้นน่ะมันเป็นนรกแทบทุกอิริยาบถ ทำให้พอใจในความถูกต้อง และพอใจ โอ้, ถูกต้องแล้ว ไอ้ล้างหน้านี่ถูกต้องแล้ว เป็นหน้าที่ตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ เป็นธรรมะ ก็พอใจ เมื่อพอใจแล้วไม่ต้องกลัว จะเป็นความสุขเสมอ ความสุขทุกชนิดจะเกิดมาจากความพอใจ ไม่ได้เกิดมาจากอย่างอื่น พอใจมากก็สุขมาก พอใจน้อยก็สุขน้อย พอใจก็แล้วกัน มันก็เป็นสุข ถ้าพอใจอันธพาล ก็สุขอันธพาล ความพอใจของพวกอันธพาลก็เป็นความสุขของพวกอันธพาล นั้นเราไม่ต้องการ ไม่ต้องปรารถนา เอาความพอใจที่เป็นของวิญญูชนที่มีธรรมะเป็นหลัก
เอ้า, ล้างหน้าแล้ว ทำอะไรดีละ ไปถ่ายอุจจาระเข้าห้องน้ำ เข้าห้องน้ำ ใครรู้สึกอยู่ในใจว่า เมื่อถ่ายอุจจาระนั่นคือการปฏิบัติธรรม ดูไม่มีใครนึกว่ามันเป็นการปฏิบัติธรรม เมื่อถ่ายปัสสาวะก็เหมือนกันแหละ มันเป็นการปฏิบัติธรรม เพื่อบริหารร่างกายและชีวิตอย่างถูกต้อง มันก็เป็น เป็นธรรมะอยู่ในตัวการถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ นี่ก็มีธรรมานุสติในขณะแห่งการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ มันก็พอใจ มันก็ชื่นใจ มันก็เป็นสุขอยู่ในการถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะนั่นเอง ไม่ได้ทำอย่างลวกๆ จิตใจอยู่ที่อื่น และก็ไม่ได้ตั้งใจทำให้ดีที่สุด จนทำผิดๆ ถูกๆ จนเกิดโรคภัยไข้เจ็บเพราะการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ฉะนั้นจงถือว่า เมื่อมีการทำหน้าที่ที่ไหนแล้วเป็นการปฏิบัติธรรมะที่นั่น แม้เรื่องการถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ
เอ้า, ทีนี้สมมติว่าจะอาบน้ำ ก็ขอให้พอใจยินดีเข้าไปในห้องน้ำ ว่าจะเป็นการปฏิบัติธรรมะ จับขันมาตักน้ำอาบ หรือจะเปิดก๊อกน้ำให้ซู่ลงมา ก็มีธรรมานุสติว่าเป็นการทำหน้าที่ที่ถูกต้องตามธรรมชาติ ตามธรรมะแล้วก็เป็นสุข อาบน้ำรดอยู่ แม้แต่ว่าถูขี้ไคล ก็เป็นธรรมะอยู่ในการถูขี้ไคล พอใจและเป็นสุขอยู่ในการถูขี้ไคล ถ้าจะต้องทำอะไรอีกบ้างในเวลานั้น ก็พอใจทั้งนั้นแหละ มันก็เป็นสุขไปทุกอิริยาบถในห้องน้ำนั่นเอง
เอ้า, ทีนี้จะมาแต่งตัว ออกมาจากห้องน้ำ จะมาแต่งตัว หยิบผ้ามานุ่งมาห่ม มาใส่มาสอดอะไรก็ตามเถอะ ทุกอิริยาบถนึกถึงว่า โอ้, หน้าที่ ถูกต้อง คือธรรมะ ทำด้วยความพอใจ เป็นสุขตลอดเวลาที่สวมเสื้อผ้า นี่สวรรค์ทุกอิริยาบถเป็นอย่างนี้
เอ้า, ทีนี้จะไปไหน จะไปกินอาหารในห้องอาหาร จะเดินไปในห้องอาหาร ก็พอใจว่ามันเป็นการทำหน้าที่ เพราะต้องกินอาหาร พอจะหยิบจาน หยิบช้อน หยิบอาหารอะไรก็ ทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหวนั้นแหละ รู้สึกว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เป็นธรรมานุสติในการหยิบจานอาหารมา ในการตักอาหาร ในการกินอาหาร ในการเคี้ยวอาหาร ในการกระทำทุกอย่าง จนกว่าจะกินอาหารเสร็จ เป็นธรรมะหมด มันก็พอใจ โอ้, มันถูกต้องแล้ว มันถูกต้องแล้ว ข้าพเจ้าอยู่ในสภาพที่ถูกต้องแล้ว แล้วก็พอใจ พอใจ พอใจ มันก็เป็นสุข มันก็เป็นสวรรค์อยู่ตลอดเวลาที่กินอาหาร แม้แต่เวลาจะล้างจาน ก็มีความรู้สึกว่า ถูกต้องแล้ว การล้างจานนี้ถูกต้องแล้ว จะเช็ดจาน จะถูพื้น จะปัดกวาดอะไร ก็ถูกต้องแล้ว, ถูกต้องแล้ว พอใจ พอใจ นี่มันเป็นสวรรค์อยู่ทุกอิริยาบถอย่างนี้ แต่ที่แล้วมา มันไม่เป็นสวรรค์ มันเป็นนรก เพราะทนทำด้วยความอึดอัดใจนะ ไม่มีใครอยากทำ แม้แต่กินข้าวนี่ มันก็จิตใจลอยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ กำลังปวดหัว กำลังจะเป็นโรคประสาทรบกวน กินข้าว เพราะว่ามันไม่สามารถจะทำให้ไอ้ชีวิตนี้เป็นธรรมะ ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บโดยประการทั้งปวง
เอ้า, ทีนี้เรื่องที่บ้านเสร็จแล้ว จะไปทำงาน ชาวนาจะไปไถนา ข้าราชการจะไปทำราชการ กรรมกรจะไปทำกรรมกร ขอทานจะไปขอทาน ก็ถูกต้องแล้ว ก้าวย่างไปทุกก้าวย่าง พอใจ, พอใจ หรือจะขึ้นรถ นั่งรถไป ก็ทุกขณะ ทุกจังหวะ พอใจ, พอใจ พอไปถึงที่ทำงาน สำรวมจิตใจเป็นธรรมานุสติ ว่าหน้าที่การงานคือธรรมะ เรากำลังจะทำหน้าที่การงาน เราเคารพในการงาน บูชาการงาน พอใจในการทำการงาน พอจะได้ทำการงานก็พอใจว่ามันเป็นธรรมะ มันก็เป็นสุขเสียแล้ว อยากจะแนะไปถึงว่า ห้องทำงานนั้นก็ควรจะได้รับการบูชาด้วย เครื่องมือในการทำไร่ทำนานั่นแหละ ควรจะได้รับการบูชาด้วย เอ้า, สมมติว่า ชาวนาเอาวัว เอาไถ จูงไปถึงนาแล้วก็วางลง แล้วก็พนมมือให้แก่ควายสักครั้งหนึ่ง พนมมือให้แก่ไถที่ไถนานั่นสักครั้งหนึ่ง ว่ามันเป็นอุปกรณ์แห่งการปฏิบัติธรรมะ คือหน้าที่ หรือว่าข้าราชการมาถึงห้องทำงาน จะเข้าไปในห้องทำงาน ควรพนมมือให้ห้องทำงานนั้นเสียสักทีหนึ่ง ก็เข้าไปปฏิบัติธรรมะในห้องที่จะต้องทำการงาน และก็ทำการงานอยู่ด้วยความรู้สึกอย่างนี้ คนค้าขายก็เหมือนกันแหละ อะไรเป็นอุปกรณ์แห่งการงาน ก็ให้ความเคารพอย่างยิ่ง กรรมกรก็เหมือนกัน ให้ความเคารพในอุปกรณ์ในการทำงาน แล้วก็เคารพการงาน บูชาการงาน ไม่ไปอิดหนาระอาใจเรื่องนายทุนเอาเปรียบหรืออะไร ป่วยการ เพราะว่ามันทำกันอย่างไม่ซื่อ การงานมันไม่มีผล มีผลน้อย มันจึงเกิดปัญหาเหล่านั้นขึ้นมา ถ้าเป็นกรรมกรถีบสามล้อ ก็พอใจ มีสวรรค์อยู่ในขณะที่ถีบสามล้อ เพราะพอใจปฏิบัติธรรมะ แจวเรือจ้างก็ได้ กวาดถนนก็ได้ ล้างท่อถนน อะไรก็ได้ ที่เขาถือกันว่าเป็นงานต่ำ งานเลว ที่พวกรับปริญญาแล้วทำไม่ได้นั่นแหละ ขอให้มันถือว่ามันเป็นหน้าที่ และเป็นธรรมะ แล้วสมัครใจจะทำ แล้วก็ไม่มีใครตกงาน จะไม่มีปริญญาตรีตกงานเป็นแสนๆ อย่างนี้ นี่ขอให้มีความพอใจในขณะที่ทำหน้าที่ แล้วก็เป็นสุข แล้วก็เป็นสวรรค์ทุกๆ อิริยาบถ นี่คือของขวัญที่จะมอบให้ วันนี้มีนิดเดียว คือความรู้นิดเดียวว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ แล้วไปมีสติสัมปชัญญะทำหน้าที่ให้เป็นธรรมานุสติ ระลึกถึงความถูกต้อง แล้วก็พอใจก่อน แล้วก็ทำหน้าที่ไปพลาง อิ่มอกอิ่มใจเป็นสวรรค์ไปตลอดเวลา ถ้าเหงื่อออกมา กลายเป็นน้ำมนต์ จะเยือกเย็น
จะมองดูกันอีกทิศทางหนึ่งก็ได้ว่า ธรรมะนั่นแหละคือหน้าที่ และหน้าที่นั่นคือพระเป็นเจ้าที่จะช่วยเรา ให้นั่งบูชาอ้อนวอนพระเป็นเจ้าแต่เช้าจนค่ำ เมื่อลองไม่ทำหน้าที่ซิ ไม่มีพระเจ้าไหนช่วยหรอก พอทำหน้าที่ของตัวอย่าให้บกพร่องเสีย พระเป็นเจ้าทุกชนิด ทุกขนาด จะมารุมกันช่วย ฉะนั้นพระเป็นเจ้าผู้จะช่วยก็คือหน้าที่ีนั่นเอง การกระทำที่ถูกต้อง เป็นกุศลธรรมนั่นเอง นี่เรียกว่ามีธรรมะเป็นที่พึ่ง เห็นไหม จริงไหม มีธรรมะเป็นที่พึ่ง จริงไหม เป็นของจริงหรือเป็นของคาดคะเน มันเป็นของจริงยิ่งกว่าจริง ที่ว่าการปฏิบัติหน้าที่แล้วเป็นธรรมะ แล้วมันช่วย มันช่วยเต็มตามสัดส่วน และก็มีความพอใจ แล้วก็มีความสุข เรียกว่ามีสวรรค์อยู่ทุกๆ อิริยาบถ
ถ้าว่าเราจะมีสิ่งพิเศษมีค่าสูงสุด เป็นคู่ของชีวิตแล้ว ก็ขอให้เอาธรรมะนั่นแหละเป็นคู่ชีวิต ผัวก็มีธรรมะเป็นคู่ชีวิต เมียก็มีธรรมะเป็นคู่ชีวิต แล้วมันก็จะอยู่ด้วยกันอย่างเป็นคู่ชีวิต ถ้าไม่มีธรรมะ ผิดจากนี้แล้ว มันก็จะเป็นคู่ที่กัดกัน หรือฮื่อๆ แฮ่ๆ กันอยู่แทบจะทุกวัน นั่นมันจะเป็นเสียอย่างนั้น ฉะนั้นคู่ชีวิตนั่นแหละคือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ ทุกคนอย่าบกพร่องในหน้าที่ของตน ทั้งผัวทั้งเมีย ทั้งลูกทั้งหลานทั้งเหลน อะไรก็ตาม มันก็จะเป็นเรื่องสงบสุข สันติสุข สันติภาพไปหมดในครอบครัวนั้น ในหมู่บ้านนั้น ในบ้านเมืองนั้น นี่ธรรมะคือหน้าที่ มีความลับอยู่อย่างนี้ เคารพหน้าที่ในฐานะเป็นธรรมะหรือเป็นพระเจ้าไปเลย เคารพหน้าที่เป็นธรรมะ เป็นพระเจ้าผู้ช่วยไปเลย อย่าลืมว่า ทั้งในหน้าที่ที่บริหารชีวิตให้รอด หรือหน้าที่ในการกำจัดกิเลสให้หมดไป นี่เป็นหน้าที่เหมือนกัน ทุกอิริยาบถมันมีการทำหน้าที่ แม้แต่ว่ามันจะต้องลุกขึ้นจากที่ตรงนี้ไปที่ตรงนั้น มันก็ต้องมองเห็นเป็นหน้าที่ที่ถูกต้อง แล้วเราจะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้ว อย่างนี้ อิริยาบถเดิน มันจะต้องเดิน ก็พอใจในการเดิน มันถูกแล้ว มันทำหน้าที่ มันต้องทำหน้าที่ นั่งนอนอะไรก็ตาม มีสติสัมปชัญญะขนาดนี้ แล้วจะมีธรรมะซึ่งเป็นพระเจ้ามาช่วยเต็มไปหมด ทุกเวลา ทุกวินาที ทุกกระเบียดนิ้ว ไม่รู้จะวัดด้วยอะไรดี ก็ใช้คำว่าทุกเวลา ทุกเวลาวินาที, ทุกเวลาวินาที มีพระเจ้าช่วย เป็นสุข มีสวรรค์ ทุกกระเบียดนิ้วของพื้นที่ จะมีพระเจ้าช่วย เป็นสุข เรียกอีกอย่างว่าทุกอิริยาบถ ทุกอิริยาบถเป็นสวรรค์ไปหมด มีพระเจ้าคอยช่วยให้มีความพอใจ มีความเย็นใจ มีความสุขทุกอิริยาบถ ไม่ต้องใช้เงิน, ไม่ต้องใช้เงิน เห็นไหม ที่มันทำอยู่แล้วนั่นแหละ งานที่ทำอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้เงินเพิ่มเติมอะไรอีก แต่ขอให้มีธรรมานุสติ สติสัมปชัญญะเพิ่มเข้ามาในขณะที่ทำ มันก็จะให้ความสุขอยู่ตลอดเวลาที่ทำ เมื่อจิตใจมันอิ่มอยู่ด้วยความสุขอันแท้จริงอย่างนี้แล้ว มันจะไปคิดหาสถานเริงรมย์ เรื่องอาบอบนวดอะไรที่ไหนกันอีกเล่า มันก็มีความสุขอยู่ตลอดเวลา แล้วมันก็ไม่มีความทุกข์ มันก็ไม่อาจจะมีความทุกข์ เพราะเมื่อมันมีความสุขอิ่มเอิบอยู่ตลอดเวลาแล้ว มันจะไปหาไอ้ความเพลิดเพลินที่ หลอกลวงทำไมเล่า นี่คนมันไม่รู้เรื่องนี้ มันทนใจ อดทนทำงานเหมือนกับตกนรกตลอดเวลาที่ทำงาน พอได้เงินมา ก็ไม่ได้พอใจอยู่ที่การงาน เอาไปสถานเริงรมย์ อาบอบนวด กามารมณ์ เสียจนเงินไม่พอใช้อีก มันตกนรกตลอดเวลานะ เมื่อทำการงานอยู่ มันก็ตกนรกด้วยการจำใจทำ ทำแล้วมันก็เอาเงินไปซื้อหาความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ให้การเงินมันมีปัญหาหนักเข้าไปอีก มันก็ตกนรกชั้นลึกลงไปอีก ตกนรกทางสุขภาพ ตกนรกทางเศรษฐกิจ ตกนรกทางสังคม ตกนรกไปหมด นี่มันไม่มีสวรรค์เลย ไม่เป็นสวรรค์เลย
ฉะนั้นขอให้เข้าใจอันนี้ให้ชัด ทีแรกก็อย่าเพิ่งเชื่ออาตมาพูด โดยหลักกาลามสูตร อย่าเพิ่งเชื่อ เอาไปคิดดูก่อนให้เห็นจริง, เห็นจริง, เห็นจริง แล้วมันก็เชื่อพอที่จะลองทำดู พอลองทำดู มันก็ทำได้จริง แต่ขอรับสารภาพว่าในชั้นแรก มันคงจะทำยากเหมือนกันสำหรับคนที่ไม่เคยทำมาเลย แล้วมันจะรู้สึกว่า โอย, ประดักประเดิดอะไรอย่างนี้โว้ย อะไรก็ต้องนึกถึงธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เป็นธรรมานุสติเสียเรื่อยไป แม้แต่จะถ่ายอุจาระ จะถ่ายปัสสาวะ แม้แต่จะล้างจาน แม้แต่จะกวาดบ้าน นี่มันต้องทำธรรมานุสติไปเสียเรื่อย มันเห็นเป็นเรื่องประดักประเดิดเกินไป แล้วก็ไม่อยากจะทำ ไม่อยากจะลอง ฉะนั้นใคร่ครวญดูด้วยเหตุผลว่ามันเป็นไปได้ แล้วพยายามหัดไปทีละนิด ความเคยชินมันก็จะเกิดขึ้น เกิดขึ้นเองจนเต็มที่เลย สามารถจะรู้สึกเป็นธรรมานุสติ มีสติสัมปชัญญะทุกวินาที ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกอิริยาบถที่ทำงาน นี่คือสวรรค์ทุกอิริยาบถ ขอมอบให้เป็นของขวัญที่ ๒ ในวันนี้ ให้ทุกคนได้ของขวัญชนิดที่เอาไปทำให้ชีวิตนี้มีสวรรค์อยู่ทุกอิริยาบถ ข้อปฏิบัติก็คือว่า อย่า อย่า อย่าขาดสติ อย่าเผลอสติ มีสติสมบูรณ์ในข้อที่ว่าเป็นธรรมานุสติ ทำให้เป็นธรรมานุสติ เป็นธรรมะ เป็นหน้าที่ เป็นพระเจ้า ที่เราได้เข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ปฏิบัติหน้าที่ แล้วก็จะช่วย ตลอดวันทำอย่างนี้จนกว่าจะถึงเวลาเข้านอน ก็ควรจะคิดบัญชีดูสักทีหนึ่ง เผื่อมันมีความบกพร่อง เผลอเป็นนรกแทรกเข้ามา ก็จะได้เข็ดหลาบ ทีนี้พอจะนอน เอามาคิดดู โอ้, มันมีแต่ทุก ถูกต้องทุกเรื่อง, ถูกต้องทุกเรื่อง ถูกต้องและพอใจทุกเรื่อง พอใจตัวเอง ขอบใจตัวเอง ก็ยกมือไหว้ตัวเอง
ขอแถมอีกสักข้อหนึ่ง ที่จะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นก็ตามใจเถอะ แต่ขอแถมเข้าเป็นอันที่ ๔ ว่า ยกมือไหว้ตัวเองได้ทุกเวลาที่จะนอน ก่อนที่จะนอน คิดบัญชีสอบสวนดูตั้งแต่เช้าตื่นนอนขึ้นมามีแต่ความถูกต้องพอใจ, ถูกต้อง พอใ, ถูกต้องพอใจ บัดนี้จะนอนแล้ว ยกมือไหว้ตัวเอง นั่นคือสวรรค์สรุปประจำวัน สวรรค์สุดท้ายเป็นประจำวัน แล้วก็นอนหลับดี ไม่ฝันร้าย เป็นสวรรค์ตลอดเวลาหลับ จนกว่าจะตื่นขึ้นมาอีก จัดให้มันเป็นสวรรค์ไปทุกอิริยาบถอย่างนี้ อาตมาคิดว่า นี่คือความถูกต้องของพุทธบริษัท พุทธบริษัท มีความหมายเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้ก็รู้เรื่องของจริง ตื่นคือตื่นจากโง่ ตื่นจากหลับคือกิเลส เข้าใจถูกต้อง แล้วก็พอใจ เป็นสุข เบิกบานอยู่เสมอ มีสวรรค์อยู่ทุกอิริยาบถดังที่กล่าวแล้ว ใครจะฟังดูเป็นเรื่องประดักประเดิด บ้าน้ำลายก็ได้ ก็เชิญ อาตมาขอยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องบ้าน้ำลาย ไม่ใช่เรื่องประดักประเดิดเกินขอบเขต มันอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ ฉะนั้นขอให้ยอมรับเอากรรมฐาน คือธรรมานุสติ กรรมฐานที่ชื่อว่าธรรมานุสติ เอามาใช้อยู่กับเนื้อกับตัวให้ตลอดเวลา แล้วมันจะเป็นพุทธานุสติ สังฆานุสติ อะไรๆ สติหมด ได้ทั้งหมด ได้เลย ด้วยการทำสติ ในความถูกต้อง ถูกต้อง ธรรมะคือความถูกต้องสำหรับจะดับทุกข์ เป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ ธรรมะคือหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะอย่างนี้ ครั้งแรกมันก็คงจะเผลอ หละหลวมบ้าง แต่ถ้าว่ากวดขันเข้ามา, กวดขันเข้ามา ให้มันได้ยิ่งขึ้นๆ ไม่เท่าไรหรอก คงไม่กี่วันกี่เดือนอะไรนัก มันจะทำได้ คือเป็นผู้มีธรรมานุสติอยู่ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะทำอะไร
ทีนี้ก็จะพูดไปถึงว่า ถ้าเจ็บไข้ขึ้นมา เจ็บไข้ขึ้นมา จะเป็นสวรรค์ได้อย่างไร ใครคิดออก ว่ามีความเจ็บไข้อยู่นี่ จะเป็นสวรรค์ได้อย่างไร พอมันถูกต้องแล้ว มันดีแล้ว มันมาให้ศึกษาโว้ย มันมาช่วยให้ไปนิพพานได้เร็วโว้ย ก็พอใจยินดีในการเจ็บไข้ แล้วจะเจ็บไข้ให้ดีที่สุด ไม่ทราบทำอย่างนี้ ฟังถูกไหม จะเจ็บจะไข้ให้ดีที่สุด คือด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นธรรมานุสติแม้ในการเจ็บไข้ ถ้ามันจะต้องตาย มันมีนิมิตแห่งความตายต่อมาแล้ว โอ้, ก็ดีแล้วโว้ย เป็นการศึกษาอันสุดท้าย ก็จะดับสนิท ไม่เวียนว่ายตายเกิดกันเสียที เราได้พักผ่อนก่อนคนอื่นแล้ว คนอื่นทนทำไปเถอะ ไอ้เราที่ร่างกายแตกดับนี้ จะได้หยุด จะได้พักผ่อน แล้วก็พอใจ ก็ตายอย่างกล้าหาญ ตายอย่างมีสวรรค์ หรือมีนิพพาน ติดๆ กันไปเลยก็ได้ ตายอย่างมีสวรรค์ที่แท้จริง ที่นี่และเดี๋ยวนี้
นี่ขอให้มองดูให้ดีว่า มันมีความลับอะไรอยู่นิดเดียวที่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์ทรมานตลอดชีวิต ก็คือเราไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ, เราไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ เราไม่พอใจธรรมะ ไม่บูชาธรรมะ ไม่สงวนรักษา ปฏิบัติธรรมะให้อยู่กับเนื้อกับตัว เดี๋ยวนี้ไม่ได้เพิ่มอะไรให้เป็นเรื่องราวใหม่ หรือไม่ต้องใช้เงินเลย เขาบอกว่า ถ้าใช้เงินแล้ว ไม่ถูกแล้ว ถ้าต้องใช้เงินเพิ่มเพื่อซื้ออันนี้แล้ว ไม่ถูกแล้ว อันนี้ไม่ต้องใช้เงินเพิ่มซื้อหาอะไร สมกับคำที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพาน นิพพานนี้ให้เปล่า ไม่ต้องเสียสตางค์ เมื่อเวลาพระไปเจริญพุทธมนต์เย็นที่บ้าน ขอให้ตั้งใจฟังให้ดีเถอะ ทุกคนแหละ ไปฟังพระเจริญพุทธมนต์เย็นที่บ้าน มันจะมีอยู่ประโยคหนึ่งที่ว่า ลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา ประโยคนี้คือบอก นิพพานเป็นของให้เปล่า แก่ผู้ที่ปฏิบัติถูกต้อง ไม่คิดสตางค์ นิพพานให้เปล่า ไม่คิดสตางค์ นี่ก็อยู่ในรูปนั้นแหละ อยู่ในรูปที่มีสติสัมปชัญญะ ทำอะไรๆ ให้มันเป็นธรรมานุสติให้หมดเลย แล้วมันจะได้นิพพานมาบริโภคอยู่เปล่าๆ นิพพานน้อยๆ ไปก่อน จนกว่าจะเป็นนิพพานมากและสมบูรณ์ เป็นนิพพานน้อยๆ นิพพานตัวอย่าง ที่เรียกว่า ตะทังคะนิพพาน หรือสามายิกนิพพาน ไปก่อน แล้วมันก็จะค่อยมากขึ้นๆ จนเป็นนิพพานที่สมบูรณ์ เป็นอนุปาทิเสสนิพพานธาตุได้ นี่ขอให้ช่วยเข้าใจตรงนี้ให้ดีๆ นะ อาตมาไม่ได้เพิ่มภาระอะไรให้นะ สิ่งที่ทำอยู่แล้ว เท่าที่ทำอยู่แล้วนั่นแหละขอให้รู้จักมัน เท่านั้นแหละ ว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ แล้วมีธรรมะปีติอยู่ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ มันก็มีความสุข เป็นสวรรค์อยู่ทุกๆ อิริยาบถ ที่มันจะเห็นได้ชัดในทางโลกก็คือ จะทำงานสนุก ทำงานสนุกเหมือนกับเล่นกีฬา ไอ้งานบางอย่างมันก็สนุก แต่เดี๋ยวนี้เราจะทำให้สนุกไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะงานหนักงานเบาอะไร จะได้มีความสุขตลอดเวลา ทั้งวันทั้งคืน ไม่ต้องไปสถานเริงรมย์ กามารมณ์ จะมีความสุขอยู่ที่การงานที่ทำอยู่ตลอดเวลา ทุกวัน นี่มีสวรรค์ทุกอิริยาบถ แล้วมันก็จะพัฒนาได้ยิ่งกว่าแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ซึ่งยังเป็นเพียงให้ความหวัง ทำอย่างนี้ให้ได้เถอะ แผ่นดินธรรมแผ่นดินทองจะมาเอง ทำหน้าที่จนเป็นที่พอใจอยู่ทุกอิริยาบถ แล้วทำไปอย่างนี้ทุกคน แผ่นดินธรรมแผ่นดินทองจะเกิดพรึบขึ้นมาเอง ไม่อย่างนั้นแล้ว คอยดูเถอะ เป็นเรื่องเข็นครกขึ้นภูเขา จับปูใส่กระด้ง จะไม่มีที่สิ้นสุดอยู่นั่นแหละ นี่ขอบอกกล่าวแก่พวกที่จะพัฒนาแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองให้รู้ไว้ด้วย ว่าจงรู้จักธรรมะที่แท้จริง เมื่อธรรมะนั้นคือหน้าที่ พอทำหน้าที่ คือปฏิบัติธรรมะ ก็เป็นแผ่นดินธรรมะขึ้นมา ก็ง่ายนิดเดียวที่จะกลายเป็นแผ่นดินทอง คือมีสวรรค์อยู่ทุกๆ อิริยาบถ เดี๋ยวนี้มันถึงสมัยแล้ว, ถึงสมัยแล้ว ที่จะรู้จักธรรมะให้ดีกว่าที่แล้วมา ที่แล้วมารู้จักธรรมะน้อยเกินไปจนช่วยอะไรไม่ได้ จนจะเป็นโรคประสาทกันเต็มบ้านเต็มเมือง ในหมู่พุทธบริษัทนั่นเอง มีธรรมะแล้วมันก็จะป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้ มันจะอยู่ในความถูกต้องเสมอไป ทางรอดของประเทศชาติก็คืออันนี้ คือประชาชนพลเรือน พลเมืองทุกคนรู้จักธรรมะ มีหน้าที่เป็นธรรมะ มีธรรมะเป็นหน้าที่ เป็นสุขอยู่ทุกอิริยาบถ ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีแต่ความพอใจ อิ่มอกอิ่มใจอยู่ทุกอิริยาบถทั้งวันทั้งคืน เป็นอะไรละ เป็นความลับที่สุด เป็นเคล็ดที่สุด ที่ทำให้การงานกลายเป็นความสุขเสีย ทำให้การงานกลายเป็นเครื่องมือทำให้เกิดความสุขเสีย ที่อยู่ๆ กันนี่ ไม่อยากทำงาน เบื่อทำงาน หลบ หลบการทำงาน เอาเปรียบการทำการงานกันทั้งนั้น เพราะมันไม่มองเห็นการงานเป็นความถูกต้อง หรือเป็นธรรมะ ถ้าเข้าใจข้อนี้ข้อเดียวว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ แล้วก็จะพอใจทำ การงานนั่นแหละจะกลายเป็นความสุขเสียเอง ไม่ต้องกำจัดอบายมุข มันไม่ไปเองแหละ ไม่ต้องไปมัวตั้งโครงการกำจัดอบายมุข ขอให้เกิดผลเป็นทำงานให้เป็นสุข มีความสุขในการงานเถอะ ก็ไม่มีใครไปหาอบายมุขหรอก เพราะมันเป็นสุขอย่างถูกต้องและเพียงพออยู่แล้วในการทำหน้าที่ประจำวัน
ทีนี้ ก็จะพูดเป็นแง่สุดท้ายว่า ที่แล้วมามันหางด้วน มันรู้จักแต่ทำการงานด้วยความทนทุกข์ หางมันด้วน มันไม่รู้จักเสริมความคิดออกไปว่า ไอ้การงานนั่นก็คือธรรมะ แล้วก็พอใจ แล้วก็ทำงานสนุก, ทำงานสนุก ไม่มีความทุกข์เลยตลอดวันตลอดคืน นี่หางไม่ด้วน เดี๋ยวนี้ยังเป็นหมาหางด้วน รู้แต่ทำการงานสำหรับเป็นทุกข์ ความรู้มันด้วน ถ้าความรู้มันสมบูรณ์ มันจะรู้จักทำให้เป็นสุขในการงานนั้นเอง อย่าเพิ่งไปตัดสินเสียว่า เหลือวิสัย ทำไม่ได้ อย่าคิดอย่างนั้น อย่าคิดว่ามันเหลือวิสัย ทำไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ที่จะทำได้ คือทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชิวิต ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต จำไว้เป็นใจความสำคัญว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่ของใคร หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตชนิดไหน ทุกชนิดเลย มีชีวิตอย่างมนุษย์ ก็ต้องทำหน้าที่ มีชีวิตอย่างสัตว์เดรัจฉาน มันก็ต้องทำหน้าที่ เป็นธรรมะของสัตว์เดรัจฉาน มีชีวิตอย่างต้นไม้ต้นไร่ ก็ต้องทำหน้าที่อย่างต้นไม้ต้นไร่ที่มันทำ ดูมันจะทำเก่งกว่าคนเสียอีกนะ ต้นไม้ต้นไร่นี่ สำรวม สำรวม สงบเยือกเย็นทั้งวันทั้งคืน ทำหน้าที่ของมันตลอดทั้งวันทั้งคืน เคยมีคนอ่านหนังสือให้ฟังว่า ต้นไม้นี่คายแก๊สออกซิเจนตลอดทั้งวัน คายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดทั้งคืน และถ้ามัน มันไม่ทำงานทั้งวันทั้งคืนแล้ว มันจะเอามาจากไหน คายเล่า ถ้ามันคายได้ทั้งคืน มันก็หมายความว่ามันก็ทำงานตลอดคืนตลอดวัน นั่นแหละถ้าถือว่าต้นไม้เป็นครูบ้างก็น่าจะดี อย่าให้ละอายแก่ต้นไม้
ถ้าทำงานให้สนุกเหมือนมดปลวก เปิดดู บางทีบางรัง ปลวก แมลงผึ้งนี่ ทำงานอย่างสนุกสนาน ไม่มีความทุกข์ ทำงานอย่างสนุกสนาน ทีนี้คนมันไม่มีอย่างนั้นนี่ มันอิดเอื้อนนี่ มันคอยจะบิดพริ้วนี่ มันทำงานเพราะความจำเป็น มันก็เป็นนรกตลอดทุกอิริยาบถ ขอให้จำคำคู่นี้ไว้ว่า จะเอานรกทุกอิริยาบถหรือว่าจะเอาสวรรค์ทุกอิริยาบถ ไปเลือกเอาเอง ไม่ใช่คำพูดที่ประดักประเดิดให้มันมากเรื่อง ไม่ใช่คำพูดเล่นลิ้นเล่นโวหารอะไร เป็นความจริงของธรรมชาติ แล้วก็เป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยที่จะทำได้ สำคัญอยู่ที่จิตใจตัวเดียว ทั้งหมด กี่เรื่องกี่ราว กี่อย่าง มันขึ้นอยู่ที่จิตใจสิ่งเดียว ถ้าปรับปรุงจิตใจนั้นได้แล้ว มันก็จะปรับปรุงได้หมด เรื่องชีวิต อัตภาพร่างกาย ความสุข ความทุกข์ อะไรก็ตาม ปรับชีวิตให้ถูกต้องแล้ว มันจะเป็น ความสุขหรือเป็นที่น่าพอใจไปหมด แม้แต่ความเจ็บ ความไข้ ความแก่ ความตาย ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นทุกข์ ยึดถือเอาด้วยความโง่ เป็นของกู แล้วก็เป็นทุกข์ไปตามไอ้ความรู้สึกของคนธรรมดา ยังแก่ เจ็บ ตาย พระอริยเจ้าทั้งหลายก็ต้องแก่ เจ็บ ตายอยู่นั่นแหละ แต่ทำไมไม่มีความทุกข์เล่า มันอยู่เหนือปัญหาที่จะต้องเป็นทุกข์ มันไม่ได้ยึดถืออะไรไว้เป็นของตน จนกระทั่งมีขึ้นมา ก็เรียกว่าเป็นไปตามธรรมชาติ แต่เดี๋ยวนี้เรายังเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ก็รู้โดยวิธีของเราก่อนสิว่า มันเป็นสิ่งที่มาสอนให้เราฉลาด ความเจ็บไข้มา มาสอนให้เราฉลาดในการรักษา ป้องกันความเจ็บไข้ ความแก่ก็เหมือนกันแหละ มันจะมาสอนให้รู้จักต่อสู้กับความแก่ ความตายมันก็มาสอนให้รู้จักความจริงอันสุดท้ายของธรรมชาติหรือของชีวิต ควรจะต้อนรับว่า ถูกแล้ว พอใจ ถูกแล้ว เราได้พักผ่อนก่อนคนอื่นแล้ว ที่ยังจะต้องทนทำกันต่อไป
นี่เรื่องนิดเดียว แต่พูดเกือบชั่วโมงหรือตั้งชั่วโมง เรื่องนิดเดียว, เรื่องนิดเดียว สวรรค์ทุกอิริยาบถ ทุกอิริยาบถ ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกวินาที ของผู้ที่รู้จักว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ พอเกิดหน้าที่แล้วก็พอใจที่จะได้ปฏิบัติธรรมะ แล้วก็มีความพอใจ พอใจก็เป็นสุข นั่นไม่ต้องสงสัย นี่สวรรค์ทุกอิริยาบถ ที่เขาด่าอาตมา ด่ากันมากมาย ว่ายกเลิกสวรรค์ ยกเลิกนรก มันพูดข้างเดียวนี่ เราไม่เคยยกเลิก เพียงแต่เราขอร้องว่า สวรรค์แบบของคุณ นรกแบบของคุณ เก็บไว้เสียก่อน มาสนใจสวรรค์แบบนี้กันก่อนเถิด มาสนใจนรกสวรรค์แบบที่นี่และเดี๋ยวนี้กันก่อนเถิด เขาก็ไม่ ไม่ ไม่ฟัง แล้วโกรธ แล้วแกล้งหาความว่าอาตมาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยกเลิกเรื่องนรกสวรรค์ในพระพุทธศาสนา อย่างนี้เป็นต้น ใครเห็นใจในข้อนี้ ก็ช่วยไปอธิบายให้เขาฟังให้เข้าใจเสียด้วย ว่าไม่ได้ยกเลิกสวรรค์ ไม่ได้ยกเลิกนรก ไม่ได้ยกเลิกเรื่องโลกหน้าเรื่องโลกอื่น ไม่ได้ยกเลิก แต่ต้องการให้ทำให้ตรงพระพุทธประสงค์โดยเร็ว ว่าอยู่ที่นี่และเดี่ยวนี้ไม่มีความทุกข์เลย ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ นี่มันรู้สึกเหนื่อยๆ ขึ้นมาแล้ว แล้วเรื่องมันก็จะจบพอดีแหละ ว่าของขวัญชิ้นที่ ๒ นี่ คือสวรรค์ทุกอิริยาบถ ขอให้มีความรู้เรื่องนี้ไปอย่างเต็มที่ และขอให้ได้ปฏิบัติเรื่องนี้กันอย่างเต็มที่ และขอให้ได้รับผลจากเรื่องนี้กันให้เต็มที่ มีสวรรค์เพื่อเป็นที่พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่ทุกๆ ทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติคำปราศรัยงวดที่ ๒ งวดที่ ๓ บอกไม่แน่นะ ไม่แน่นะ อาจจะไม่ไหวก็ได้ ๓ ทุ่มถ้ามา ก็เอา ถ้าไม่ไหวก็จะไม่มา เอ้า, โปรแกรมต่อไป (นาทีที่ 53:46)
(พิธีกร)
เราได้รับของขวัญระยะที่ ๒ จากท่านอาจารย์ ด้วยเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง เรื่องสวรรค์ในทุกอิริยาบถ มีผู้ที่นั่งคอยนั่งฟังอยู่นี้ สามารถบันทึกย่อไว้สั้นๆ และเป็นคำกลอนด้วย คงจะเหมาะแก่การที่จะมาหึ่มเสียง ให้เป็นเครื่องส่งเสริมนันทนาการในธรรมตามสมควร ดังนั้นกระผมจะขออนุญาต ผู้ที่ผมไว้ใจที่สุด ที่ผมผู้ประกาศก็จะไม่ขายหน้า ไม่เสียหน้า ว่าจะสามารถร้องได้ กระทำได้ในลักษณะนี้ ให้เป็นที่เจริญใจของท่านทั้งหลายได้อย่างไม่ต้องสงสัย กระผมขอเรียนเชิญอาจารย์สมทรง ปุญญฤทธิ์ ครับ ประธานชมรมครูศีลธรรมแห่งประเทศไทย ได้โปรดมาใช้เสียงของท่านให้เป็นบุญเป็นกุศล สรุปของขวัญขั้นที่ ๒ คือสวรรค์ในทุกอิริยาบถ เสนอต่อที่ประชุมนี้ ขอปรบมือเรียกอาจารย์สมทรงหน่อยครับ
(อาจารย์สมทรง ปุญญฤทธิ์)
ดิฉันได้ของขวัญชิ้นที่ ๒ จากท่านอาจารย์ในภาคบ่าย ๓ โมงนะคะ สรุปว่า สวรรค์ในทุกอิริยาบถ แล้วตัวเองนั้นก็แก่ ก็กลัวจะขี้ลืม ดิฉันก็เลยรีบเขียนย่อๆ สำหรับเก็บเอาไว้ แล้วก็เพื่อจะช่วยสรุปให้มันกระทัดรัดสำหรับพวกเรา ซึ่งบางคนก็ ปัญญาแก่กล้าแล้วก็ไม่เป็นไรนะคะ คนที่ยังปัญญาน้อยอย่างดิฉัน ก็จะได้ไม่มาสูญเปล่า ขอสรุปว่า
สวรรค์นั้นอาจมีในทุกนาที ทุกอิริยาบถ
โดยกระทำให้ปรากฏขณะทำหน้าที่หนา
ใช้ธรรมานุสติทุกเวลา
ได้สวรรค์เฉพาะหน้าในฉับพลัน
ขอทุกคนพอใจทำหน้าที่ให้ดีเถิด
เป็นสิ่งประเสริฐสร้างจิตใจให้สุขสันต์
เปลี่ยนความรู้สึกให้พอใจในการทำงาน
ทุกวันวานก็จะมีธรรมะปีติเอย
(หลังจากอ่านแล้ว ร้องเป็นเพลง)
(พิธีกร)
“ท่านที่เคารพ รายการอันเป็นประโยชน์ที่เราจะพึงมีพึงได้ ในการร่วมกันมาเพื่อถวายของขวัญแด่ท่านอาจารย์ในวันล้ออายุวันนี้ กระผมคิดว่า ทุกท่านคงมีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับกระผมที่จะเรียนว่า เราได้ผลคุ้มเกิน เกินคาดหมาย เหมือนอย่างที่ ท่านอาจารย์โพธิ์บอกว่า พี่น้องทั้งหลายมากันเกินคาดหมายเหมือนกัน เพราะว่าเรารู้มาล่วงหน้าว่า ท่านอาจารย์อยู่ในภาวะที่ ต้องอยู่ในความควบคุมของนายแพทย์ แน่นอนว่า เมื่อผมมาถึงนี้แล้ว ก็แน่นอนแต่เพียงว่า ท่านอาจารย์จะให้ของขวัญได้ ช่วงแรกคือภาคเช้า ภาคบ่ายยังไม่แน่ แต่วันนี้ภาคบ่ายเราได้แล้ว สำหรับภาคกลางคืนก็ยังไม่แน่ว่า ท่านอาจารย์จะออกมาหรือไม่ แต่เพื่อไม่ให้ชวดประโยชน์สำหรับผู้ที่ร่วมกันมา ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ต่างหมายมั่นตั้งใจที่จะถวายของขวัญแด่ท่านอาจารย์ ให้สมกับความเคารพสักการะ และสมรรถนะที่ตนได้รับได้รู้ ได้มีมา จึงได้มีการประชุมกันไว้เป็นการล่วงหน้าว่า สำหรับวันนี้ หลังจากภาคเช้าจบลงแล้ว ถ้าอาจารย์ออกมาไม่ได้ ครับกระผมขอประชาสัมพันธ์เพื่อความเห็น เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้เห็นถึงความเตรียมพร้อมของพวกเราที่เกี่ยวข้องใกล้ชิด อันจะไม่ทำให้ท่านทั้งหลายต้องขาดประโยชน์ไป เราเตรียมกันไว้อย่างไร ในช่วงภาคบ่ายได้กำหนดกันไว้ว่า จะจัดกลุ่มบรรยายธรรมะ หรือกลุ่มมอบของขวัญให้ท่านแทนท่านอาจารย์ โดยกำหนดกันไว้ดังนี้ กระผมขอประทานอนุญาตใช้เวลาประกาศ เพื่อท่านทั้งหลายเห็นถึงความไม่ประมาทของพวกเราที่จะทำให้ท่านทั้งหลาย ผิดหวังน้อยลงไปในการที่ว่าถ้าไม่ได้ฟังอะไรๆ จากท่านอาจารย์ ก็คือเรากำหนดไว้ว่า เวลา ๑๓.๐๐ นาฬิกา เป็นต้นไปนั้น จัดแบ่งเป็นกลุ่ม
กลุ่มที่ ๑ คือ กลุ่มเจริญสมาธิภาวนา กำหนดใช้สถานที่บนเขาพุทธทอง โดยมีพระคุณเจ้าพระอาจารย์มานะ ธมฺมรโต กับพระอาจารย์บุญเพ็ง นิสสากโร เป็นพี่เลี้ยง ร่วมด้วยกับคณะพระธรรมทายาท
กลุ่มที่ ๒ กลุ่มแนะนำสวนโมกข์ กำหนดสถานที่ที่โรงธรรมเก่า มีพระคุณเจ้าพระมหาขจิต สิริวฑฺโฒ กับพระคุณเจ้าพระมหาจันทร์ เป็นพี่เลี้ยง หรือจะเรียกภาษาว่าเป็นพระวิทยากรก็ได้ แล้วก็ร่วมด้วยพระธรรมทายาท ช่วยกันดำเนินการ
กลุ่มที่ ๓ ชื่อว่า กลุ่มธรรมะบรรยาย คลายสงสัย กำหนดสถานที่ที่เรือลำใหญ่ โดยมีพระคุณเจ้าพระอาจารย์ วรศักดิ์ วรธัมโม เป็นพระพี่เลี้ยง ร่วมกับพระธรรมทายาททั้งหลายที่มีโอกาสมาในวันนี้ ที่จะได้ช่วยกันส่งเสริม ร่วมกัน ธรรมะบรรยาย คลายสงสัย
กลุ่มที่ ๔ กลุ่มพุทธทาสนิรันดร์ กำหนดใช้สถานที่ที่ลานหินโค้งนี้ โดยมีพระคุณเจ้าพระมหาประทีป อุตตมปัญโญ และคณะพระธรรมทายาท ช่วยกันเป็นพี่เลี้ยงหรือเป็นวิทยากรร่วมกัน
กลุ่มที่ ๕ กลุ่มบรรยายภาพในโรงหนัง โดยพระคุณเจ้าพระอาจารย์วีระ วีรัตโน กับพระอาจารย์นุ้ย ทำหน้าที่ด้านใน พระอาจารย์สุชาติทำหน้าที่ด้านนอกโรงหนัง
และกลุ่มที่ ๖ คือ กลุ่มอุปกรณ์สอนธรรม กำหนดสถานที่ที่โรงปั้น อันเป็นสถานที่ผลิตอุปกรณ์อันนี้ ซึ่งมีพระคุณเจ้าพระอาจารย์ไสว ทำหน้าที่อยู่แล้ว และพระธรรมทายาทจะร่วมกันไปเสริมที่นั่น
กำหนดการที่เราได้กระทำมานี้ ก็เพื่อที่จะได้เอื้ออำนวยประโยชน์ให้ท่าน อย่าต้องผิดหวังมากนัก ถ้าหากว่าไม่ได้ฟัง อะไรๆ จากท่านอาจารย์ แต่บัดนี้ท่านอาจารย์ได้เมตตามาให้ของขวัญแก่เราแล้ว กลุ่มทั้งหลายที่จะพึงทำหน้าที่นั้น ก็เป็นอันว่าไม่ต้องทำหน้าที่ และบรรดาผู้ที่กำหนดจะทำหน้าที่ ก็คิดว่าคงได้ผลคุ้มค่าในการที่ได้มารับอะไรๆ จากท่านอาจารย์ โดยเฉพาะของขวัญทั้ง ๒ ช่วง ช่วงแรกและช่วงที่ ๒ แล้วนะครับ สำหรับภาคกลางคืน ช่วงภาคกลางคืนนั้นกำหนดไว้ว่า เริ่มแต่เวลา ๑๘.๐๐-๒๒.๐๐ นาฬิกาเช่นกัน หลังจากทำวัตรค่ำแล้ว ครับ คืนนี้ถ้าท่านอาจารย์ออกมาได้ เราก็ไม่ต้องทำหน้าที่ที่ประกาศไว้หรือที่กำหนดไว้ แต่ถ้าท่านอาจารย์ออกมาไม่ได้ เราก็จะต้องร่วมกันอภิปรายในสิ่งหรือในเรื่องที่ควรพูดเกี่ยวกับท่านอาจารย์อีกเช่นเคย เหมือนอย่างที่ปฏิบัติอยู่ในช่วงเมื่อคืน คืนที่ ๑ คืนที่ ๒ และในช่วงระยะที่เรารวมกันอยู่ที่นี่ เพื่อการพักชั่วระยะของท่านอาจารย์นั้น ดังนั้นคืนวันนี้พี่น้องที่เคารพ ท่านที่ไม่จำเป็นจะต้องรีบกลับโดยรถไฟนครศรีธรรมราช หรือรถไฟตรังนะครับ ก็คงจะมานั่งร่วมชุมนุมกันที่นี่ เป็นปฏิบัติอาจาริยบูชา เหมือนอย่างภาพที่เรากำลังเห็นอยู่ขณะนี้อีกเช่นเคย มีพระคุณเจ้าผู้มีสมรรถนะ และคฤหัสถ์ศิษย์ของอาจารย์พุทธทาสที่แสดงความจำนงด้วยความเคารพ ที่จะมาร่วมกันอภิปราย อยู่ในมือกระผมซึ่งผ่านการพิจารณาจากพระอาจารย์วรศักดิ์ ในฐานะผู้ประธานดำเนินการเรียบร้อยแล้วนะครับ อีกหลายท่านยังไม่ได้พูด ซึ่งจะพูดในช่วงต่อไป อาจจะเป็นช่วงต่อไปนี้ก็ได้ หรืออาจจะเป็นช่วงหลังจากควรจะพักกันสัก ๑๐ นาที หรือ ๑๕ นาที เพราะสังเกตดูหลายท่านเข้มแข็งเหลือเกิน จนมีความเกรงใจว่า ถ้าจะลุกไปเข้าตรงนั้นตรงนี้ ก็รู้สึกว่าจะไม่เป็นการแสดงความเคารพ อะไรทำนองนั้น ทั้งๆ ที่ให้โอกาสกันอยู่เสมอ นอกจากเวลาที่อาจารย์พูดเท่านั้น ว่าใครจะไปที่ไหน เดินอย่างไร ไปอย่างไร ทำอะไร ก็ย่อมทำได้ตามอัธยาศัย แต่สังเกตดูว่าเราเคร่งครัด มัธยัสถ์ในการที่จะแสดงกิริยาอาการ อันจะทำให้คนอื่นเข้าใจว่า ขาดความเคารพหรือเคารพในท่านอาจารย์ น้อยไปนั้นน่ะ ผมรู้สึกอย่างนั้น ดังนั้นในช่วงต่อไปนี้ ครับ มีหลายท่านบอกว่า ต้องประกาศเป็นทางการว่า หยุดสัก ๑๐ นาที หรือ ๑๕ นาที ให้คนที่เคร่งกันเหลือเกินนี่ ได้เข้าห้องน้ำห้องท่า เปลี่ยนอิริยาบท อย่างไรก็ดีกระผมเองก็ขอมอบหมายหน้าที่ที่ได้รับฉันทานุมัติให้เป็นพิธีกร ภาษาเขาว่าอย่างนั้นนะครับ ให้แก่คุณหมอประยูร คงวิเชียรวัฒนะ ได้รับภาระช่วงต่อ บรรดาชื่อของท่าน ทั้งพระคุณเจ้าและฆราวาสนั้น ก็มอบหมายให้คุณหมอประยูรแล้ว เพื่อท่านจะได้ดำเนินการต่อไป สำหรับภาระหน้าที่ของกระผมที่มอบหมาย ก็หยุดกัน พักกันแค่นี้...