แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้ผมจะพูดปรารภ(นาทีที่ 0.11) ผู้ที่จะลาสิกขาเพราะได้ทราบว่าส่วนมากกลับไปเพื่อลาสิกขา นี่จึงถือโอกาสที่จะพูดเรื่องนี้เพื่อว่าจะได้มีอะไรติดกลับออกไปตามสมควร มันก็ต้องพูดกันถึงเรื่องบวชก่อนจึงจะมีการลาสิกขา การบวชนั้นมีอยู่เป็น ๒ ชนิด คือคนสูงอายุเบื่อโลกแล้วก็ไปบวชเพื่อหาความสุขสงบในบั้นปลายแห่งชีวิตอย่างนี้ก็บวช แล้วเป็นส่วนมากถือเป็นธรรมเนียม ทีนี้มีอีกพวกหนึ่งก็บวชเพื่อเข้าไปอยู่ในอาศรม โดยมากพวกนี้ไม่ได้ไปอยู่ป่าคือไปอยู่ในอาศรมคือที่ที่อยู่ร่วมกันมากมากแล้วก็ฝึกฝนการปฏิบัติตามที่คนหนุ่มควรจะได้รับ แล้วก็กลับออกมาเป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะอยู่ในโลก ทีนี้ประเพณีการบวชในประเทศไทยเราสำหรับคนหนุ่มบวชมันอยู่ในพวกนี้อยู่ในพวกหลังนี้ ดังนั้นมันจะต้องหวังที่จะได้ประโยชน์ประเภทนี้ ไอ้ประโยชน์ที่จะได้รับนั้นมันมากมายมหาศาลจนเหลือที่จะกล่าวโดยรายละเอียด แต่ถ้าจะรวมเข้าเป็นประเภทมันก็พอจะได้สัก ๓ ประเภท ตามที่ผมมองเห็น หรือ ๔ ประเภทก็แล้วแต่ อานิสงค์ที่จะได้ประเภทที่หนึ่งนั้นก็คือตัวผู้บวชนั่นเอง จะได้รับอะไรมากพอที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในชีวิตจิตใจจากความผิดเป็นความถูกต้องจากความหลับเป็นความตื่น จากความไม่รู้อะไรไปมีความรู้อะไรตามที่สมควรนี้มันเรียกว่าได้ ได้มากน่ะ ได้สิ่งที่ดีที่มนุษย์ควรจะได้เป็นการได้ที่ดี ถ้าบวชจริงเรียนจริงกันมันก็จะได้ถึงขนาดที่เรียกว่าเกิดใหม่ แต่อย่าลืมว่ามันต้องเป็นการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริงมันถึงจะได้ ถึงจะได้การเกิดใหม่เหมือนกับธรรมเนียมในโบราณ ธรรมเนียมโบราณในอินเดียไอ้นักบวชนี่เขาเรียกว่าเกิดหนที่ ๒ เกิดจากท้องแม่เป็นหนที่ ๑ แล้วก็เกิดบวชนี้เกิดเป็นหนที่ ๒ เกิดใหม่ในทางธรรมะวินัย ทีนี้อานิสงค์ประเภทที่ ๒ จะเพ่งเล็งไปยังญาติทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือบิดามารดาผู้มีบุญ บิดามารดาผู้มีพระคุณจะพึงได้รับ ในข้อนี้มันก็เลยกลายเป็นบวชเพื่อสนองพระคุณ ถ้าบิดามารดามีศรัทธามากขึ้น มีปิติปราโมทย์มากขึ้นใกล้ชิดกับศาสนามากขึ้น มีความรู้มากขึ้น มีการปฏิบัติมากขึ้น มีสัมพันธ์กับศาสนามากขึ้นก็ได้รับประโยชน์ไปแบบนั้น แต่มันก็ต้องเป็นเรื่องบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริงของลูกผู้บวชอีกเหมือนกัน ทีนี้ข้อที่ ๓ เรียกว่าพระศาสนานั้นแหละจะได้รับ ข้อนี้หมายความว่าบวชสืบอายุพระศาสนาพระศาสนาจะมีอายุยืนยาวไปนั้นก็เพราะว่ามีคนบวช และมีคนเรียนมีคนปฏิบัติมีคนได้รับผลของการปฏิบัติและก็มีคนสอนสืบต่อต่อกันไปถ้ามันมีอย่างนี้อยู่ก็เรียกว่าศาสนายังไม่สูญหายศาสนายังอยู่ยังมีชีวิตอยู่ แต่แล้วมันก็อย่างเดียวกันอีกว่า ต้องบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริงสืบต่อกันไปจริงๆสอนสืบกันไปจริงๆ มันถึงจะทำให้ศาสนามีชีวิตอยู่ ทีนี้ถ้าศาสนามีชีวิตอยู่ในโลกมันก็ทำให้โลกมีศาสนามีธรรมะ เลยเป็นประโยชน์แก่คนทั้งโลก นี่เราจะเรียกว่าเป็นอานิสงค์ประเภทกว้างขวางที่สุดคือเป็นประโยชน์แก่คนทั้งโลก เพราะเรามีศาสนาไว้ให้เขาในโลก ที่จะแยกข้อนี้เป็นรวมกันหรือว่าจะแยกกันถ้าแยกกันก็เป็น ๒ ประเภท สำเร็จประโยชน์เป็นอานิสงค์แก่ศาสนาและก็สำเร็จประโยชน์อานิสงค์แก่กับสัตว์โลกทั้งปวง ถ้านับอย่างนี้มันก็ได้อานิสงค์๔ ประเภท ถ้านับรวมกันมันก็เป็นประโยชน์ ๓ ประเภท ประโยชน์แก่ศาสนาที่มีไว้เพื่อสัตว์โลกทั้งปวง คุณคุณลองคิดดูมันมหาศาล ประโยชน์ทั้ง ๓ อย่างนี้มันมหาศาล ยิ่งมองถึงประโยชน์แก่โลกแล้วก็ยิ่งมหาศาล ใหญ่เลย ถ้าพูดเอาเปรียบหน่อยก็ว่าเป็นประโยชน์แก่โลกทุกโลก ทั้งมนุษย์ส่วนโลก ทั้งเทวะโลก ทั้งพรหมโลก ถ้ามันทำให้มีคนดีประพฤติดีมนุษย์ส่วนโลกมีแต่คนดี เทวะโลกก็ไม่ล้าง เทวะโลกมีคนไปเกิดเพิ่มเติมพรหมโลกก็เหมือนกันมันไม่ล้างมันมีคนไปเกิดเพิ่มเติม นี่คำนึงถึงประโยชน์มหาศาลอย่างนี้แล้วก็เรียกว่ามันไม่ใช้เรื่องเล็กน้อยแต่เราก็ไม่มองเห็นแล้วรู้สึกเป็นเรื่องเล็กน้อยก็บวชเล่นเล่นไปวันหนึ่งวันหนึ่ง ซึ่งเป็นกันโดยมาก บวชกันไปเล่นเล่นวันหนึ่งๆก็โลเลเหลาะแหละไม่มีการบังคับตัวเองให้เป็นการบวชอย่างแท้จริงมันก็ไม่ได้ประโยชน์อานิสงค์ดังที่กล่าวแล้วแล้วก็จะโทษใคร นี่ประโยชน์อานิสงค์เหล่านั้นมันก็จะได้ต่อเมื่อผู้บวชน่ะ บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ถึงกับสอนสืบต่อๆไปข้างหน้าอีกเขาเรียกว่าสอนจริง ควรจะท่องๆกันไว้บ้างว่าบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริงสอนสืบๆกันไปจริง ประโยชน์มหาศาลในการบวชของบุคคลเพียงคนเดียวครั้งเดียวมีประโยชน์มหาศาล แต่เดี๋ยวนี้ไม่ทำความเข้าใจอย่างนี้มันก็เลยเป็นเรื่องเล่นๆ ลองบวชหรือว่าบวชพักผ่อนหรือว่าบวชอะไรก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้อานิสงค์อย่างที่กล่าวมานี้ก็เรียกไม่คุ้มกัน แล้วทีนี่จะชี้ให้เห็นว่ามันเป็นอานิสงค์ที่จะเอาไปใช้เป็นประโยชน์ต่อลาสิกขาแล้วได้อย่างไร ข้อนี้ให้ดูในแง่ที่ว่าถ้าคนนั้นมันบวชจริง คนนั้นมันบวชจริง มันก็จะมีการปฏิบัติชนิดที่ขัดเกลากิเลสมากมายหลายอย่างทีเดียว กิเลสที่ติดมาจากบ้านก็ขัดเกลาให้เหลือน้อยหรือบางอย่างหมดไปสูญสิ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่เอาจริงนิสัยความผิดไม่ทำอะไรทำจริงเหลาะแหละ โลเล ตามแบบคนหนุ่มน่ะตามใจตัว อันนั้นอันตรายมาก การตามใจตัวอันตรายมาก ทีนี้ถ้าเขาบวชเข้ามาแล้วเขาบวชจริงมันก็ไม่มีโอกาสที่จะตามใจตัวแล้วมันจะต้องปฏิบัติตาม สิกขา วินัย ธรรมะอยู่ตลอดเวลา ไม่มีโอกาสที่จะตามใจตัว ไอ้นิสัยที่ตามใจตัวมันก็หายไปก็กลายเป็นคนเกิดใหม่ ไอ้เรื่องตามใจตัวนี้มันเป็นเรื่องเหลวไหลโลเลเหลาะแหละ คำว่าตามใจตัวในทีนี้โดยแท้จริงก็คือการตามใจกิเลสไม่ได้ยึดหลักธรรมะตามใจตัวคือการตามใจกิเลสมันก็เป็นคนของกิเลส มันก็ทำอะไรอะไรเป็นไปในลักษณะที่เพื่อกิเลสไปเสียหมด ถ้าเราบวชจริงมันมีการประพฤติปฏิบัติตามธรรมะวินัยตามพระพุทธประสงค์ นั่นแหละลองคิดดูให้ดี มันก็จะเป็นคนจริงขึ้นมา ทีนี้คนเหล่านี้สึกออกไปเป็นฆราวาสมันก็เป็นคนจริงเป็นคนที่บังคับตัวเองได้ เป็นคนที่เรียกได้ว่าไม่เป็นคนของกิเลส พูดง่ายๆไม่เป็นคนของกิเลส กายเป็นคนของธรรมะ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนประพฤติ สิกขา วินัยธรรมะนี้ให้เต็มที่ด้วยการอุทิศ อธิษฐาน มันก็จะได้รับประโยชน์อานิสงค์ข้อนี้ติดไป อย่างน้อยเป็นข้อแรกว่าเราจะเป็นผู้บังคับกิเลสไม่ปล่อยตามใจกิเลส ก็ยังมีข้ออื่นต่อไปอีกที่น่าจะนำมาพูด ก็เช่นสิ่งที่เรียกว่าขันติ ในความอดกลั้นอดทน ในการประพฤติพรหมจรรย์นี่ คือนี่มีหัวใจอยู่ที่ความอดกลั้นอดทน พอไม่มีความอดกลั้นอดทนเท่านั้นแหละมันก็ล้มละลายทันที มันไม่มีแก่จิตใจที่จะปฏิบัติศึกษาวินัยอะไรได้ถ้าไม่มีความอดกลั้นอดทน ฉะนั้นผู้ที่มีความอดกลั้นอดทนก็รักษาสิกขาวินัยไว้ได้ชั้นดีเลิศก็ไม่ยอมให้ผิดพลาด แม้ว่าจะต้องหลั่งน้ำตา นี่เขามีคำพูดว่าประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา หมายความว่ารักษาสิกขา วินัยไว้ไม่ให้เสียหายแม้จะต้องอดทนจนน้ำตาไหล นี่เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา มีความหมายความในความอดทน คำว่าอดทน อดทนนี้มันจำไว้ให้ดีนะว่า สรุปความแล้วมันอดทนต่อการบีบคั้นของกิเลส ในโรงเรียนนักธรรม ครูอาจจะสอนว่าอดทน ต่อ ดิน ฟ้า อากาศ หนาว ร้อน อดทนต่อความเจ็บความไข้ อดทนต่อคนด่า คนว่า มันก็หลายอย่างนะ แต่ว่าทุกอย่างนั้นน่ะมันสรุปมารวมอยู่ที่คำว่าอดทนต่อการบีบคั้นของกิเลส เช่นอดทนต่อเขาด่าว่า มันเป็นกิเลสทำให้โกรธ คือว่าก็ไม่โกรธ คือการบังคับกิเลส หรือการอดทนต่อการบีบคั้นของกิเลส ก็ไม่โกรธ ในความเจ็บไข้ ได้ป่วย ทุกขเวทนาก็เหมือนกันถ้าอดทนได้ มันก็อดทนต่อกิเลส อดทนต่อความลำบาก ตรากตรำ กิเลสมันใช้ทิ้งทิ้งไปเสีย อย่าให้ลำบากนัก อดทนได้อดทนต่อการบีบคั้นของกิเลสก็ไม่ทิ้งงานนั้นไปเสีย อดทนต่อความยากความลำบากความตรากตรำ มองให้ดี ทั้ง ๓ อย่างนี้ มองให้ลึกแล้วก็จะพบว่า มันไปสรุปรวมอยู่ที่อดทนต่อการบีบคั้นของกิเลส ขอให้รู้จักไว้ถ้าว่าอดทนได้ตลอดเวลาที่บวชอยู่มันก็เกิดใหม่ เปลี่ยนนิสัยเป็นคนอดกลั้นอดทนอย่างสูงสุดไม่โลเลไม่ละทิ้งหน้าที่การงานง่ายๆ ไม่ปล่อยให้กิเลสดึงไปหาอบายมุข หรือว่าทำเหลวไหลอย่างอื่น เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ทำให้เต็มขนาด เรียกว่าไม่มีความอดทนก็ได้ อยากเล่นหัวก็เล่นหัว อยากกินอะไรก็กิน หามากิน โดยไม่ต้องอดกลั้นอดทนให้มันอยู่ในระเบียบ อยากจะเล่นอะไรก็เล่นไม่มีความอดทนให้อยู่ในระเบียบ มันก็เลยไปลุกลามไปถึงไม่อดทนต่อสิ่งที่ที่เกิดขึ้น ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็มีการลุอำนาจแก่กิเลส มีความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้น ถึงได้ทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงและบันดาลโทสะทำอันตราย ทำร้ายกัน ทั้งที่เป็นพระ เป็นเณร เพราะไม่มีความอดทน ขอให้ ขอให้เห็นว่าตัวพรหมจรรย์น่ะ คือตัวความอดกลั้นอดทน พอไม่มีความอดกลั้นอดทนเมื่อไหร่ พรหมจรรย์ล้มละลาย ล้มละลาย ให้ดูเอาเอง ดูเอาเองจะเห็น ถ้ารักษาไว้ได้ มันก็มี และมันก็มีมากขึ้นมีมากขึ้น เป็นบารมีหรือเป็นอุปนิสัย คือมันจะเป็นอุปนิสัยที่จะเป็นเช่นนั้น ในทางฝ่ายดี และมันมากขึ้นมากขึ้น และที่มันจะเป็นไปในทางฝ่ายชั่ว เราเรียกว่าอนุสัย ถ้าเป็นไปในทางที่ดีมากขึ้นมากขึ้น นี่ก็เรียกว่าบารมีบ้างอุปนิสัยบ้าง ฉะนั้นขอให้มีแต่อุปนิสัยที่มันจะดีขึ้น หรือมีบารมีที่มันจะดีมากขึ้น จนกว่ามันจะเต็ม นี่ถ้าได้อย่างนี้มันก็ได้ผลเกินคาด ในการที่บวชชั่วคราวแล้วก็สึกกลับสึกออกไปได้ผลเกินคาด และมันก็จะได้อานิสงค์อย่างที่ว่าครบถ้วนทั้ง ๓ ประการแน่นอน ฉะนั้นจะขอย้ำในข้อนี้ว่า ธรรมะที่เป็นขั้นต้นพื้นฐานแห่งพรหมจรรย์ ถึงจะมีการบังคับตัวเองมีความอดกลั้นอดทน มีสละสิ่งที่ไม่มีอยู่ในที่ไม่ควรจะมีอยู่ในตน ในฆราวาสธรรมน่ะแหละเอามาใช้ได้ คงจะได้ฟังได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว ฆราวาสธรรม ๔ ประการ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ธรรมะ ๔ อย่างนี้หรือหมวดนี้มันเป็นธรรมะประเภทเครื่องมือ ธรรมะทั้งหลายทั้งสิ้นทั้งหมดทั้งสิ้นน่ะ เอามาแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท ประเภท ๑ เป็นธรรมะ เครื่องมือ ประเภทเครื่องมือให้ได้ผลตามที่ต้องการ และธรรมะอีกประเภทหนึ่งคือผลที่จะพึงได้รับ ธรรมะเช่นอิทธิบาท ก็ดี เช่นอะไรต่างๆที่จะทำให้เกิดผลอะไรขึ้นมานี่เราเรียกว่าธรรมะเครื่องมือ แม้แต่ธรรมะ ๔ ประการนี้ ที่เรียกว่าฆราวาสธรรม แล้วปฏิบัติ ๔ ประการนี้แล้วมันก็ได้อะไรขึ้นมาเป็นธรรมะอีกหมวดหนึ่ง ไปแยกดูในสาระบบของธรรมะ เช่นหนังสือนวโกวาทนี้ ถ้ามีปัญญาฉลาดก็จะมองเห็นได้ว่า ธรรมหมวดไหนเป็นเครื่องมือให้ได้อะไรธรรมะหมวดไหนเป็นผลของการของสิ่งที่ได้ แต่ว่าธรรมะบางข้อก็เป็นได้ทั้ง ๒ อย่าง คือเป็นได้ทั้ง ๒ อย่าง ก็มีเหมือนกัน ศีล สมาธิ ปัญญาเหล่านี้เป็นธรรมะเครื่องมือ เพื่อธรรมะที่ควรจะได้ คือ มรรคผลนิพพาน แบ่งธรรมะได้เป็น ๒ ประเภทได้อย่างนี้ นี่เราต้องรู้จักให้ครบถ้วนว่าเราจะมีธรรมะ สำหรับเป็นเครื่องมืออย่างไร อะไรบ้างและอย่างไร อย่างอิทธิบาท ๔ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสานี่ เป็นเครื่องมืออย่างรุนแรงเป็นเครื่องมือขั้นต้นและอย่างรุนแรง เมื่อต้องการจะได้อะไรจะมีอะไรจะหวังอะไรนี่ก็มีฉันทะ พอใจในสิ่งนั้น มีความพากเพียรในสิ่งนั้น มีจิตตะเอาใจใส่ในสิ่งนั้น วิมังสาใคร่ครวญ แก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา มันก็เลยได้ นี่เรียกว่าธรรมะเป็นเครื่องมือ บวชเข้ามาแล้วก็เรียนแล้วอย่าทิ้งไว้ที่วัด ก็เอาติดตัวไปด้วย ตัวอย่างของธรรมะประเภทที่เป็นเครื่องมือ ที่นี้ก็จะให้ จะบอกให้เห็นให้สังเกตุเห็นธรรมะหมวดประหลาดที่สุด คือฆราวาสธรรม ๔ ประการ ฆราวาสก็ได้ บรรพชิตก็ได้ มันมีความหมายลึกซึ้ง กว้างขวางกว่าอิทธิบาทไปเสียอีกเรียกว่าฆราวาสธรรมก็จริง แต่มันสูงถึงขนาดว่าเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานก็ได้ หลักการอันนั้นหลักเกณฑ์อันนั้นล่ะ คือสำหรับฆราวาสถือปฏิบัติเป็นฆราวาสที่ดีที่สมบูรณ์ก็ได้แล้วก็เป็นฆราวาสที่จะใช้ปฏิบัติให้สูงให้พ้นพ้นขึ้นไปเสียจากความเป็นฆราวาสมาเป็นพระอริยเจ้าก็ยังได้ มันก็ยังเป็นธรรมะสำหรับฆราวาสอยู่นั่นเองเห็นไหมล่ะ ฆราวาสอาศัยธรรมะนี้เพื่อปฏิบัติให้สูง พ้นขึ้นมาจากความเป็นปุถุชนมาเป็นพระอริยเจ้าก็ได้ด้วยธรรมะนี้ ก็เป็นธรรมะสำหรับฆราวาสอยู่นั่นเอง ถ้าว่าภิกษุ บรรพชิตจะเอามาใช้มันก็ก็เปลี่ยนวัตถุของเรื่องราวมาเป็นระดับบรรพชิต มีสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ในเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องของบรรพชิตที่มีสัจจะ จริงใจจริงใจต่อความเป็นบรรพชิต ถ้าเป็นฆราวาสก็มีสัจจะจริงใจต่อความเป็นมนุษย์หรือความเป็นฆราวาส หรือสัจจะจะทำอะไรก็ตั้งใจจริง จริงสำหรับความเป็นมนุษย์หรือความเป็นบรรพชิตหรือฐานะที่ตนกำลังเป็นอยู่อย่างไรต้องจริงต่อสิ่งนั้น เป็นพระก็จริงต่อความเป็นพระ เป็นฆราวาสก็จริงต่อความเป็นฆราวาส อะไรเป็นไปเพื่อประโยชน์ก็จริงตั้งใจจริงแล้วก็มีธรรมะบังคับให้กระทำตามที่ได้ตั้งใจไว้จริง คือรักษาความจริงธรรมะก็บังคับเอาไว้ ความจริงก็ยังอยู่ก็ยังจริงไปได้ตามที่ตั้งใจไว้ ฆราวาสก็จริงในความเป็นฆราวาสและก็มีธรรมะบังคับให้ทำหน้าที่ของฆราวาส เป็นบรรพชิตมันก็จริงในหน้าที่ของบรรพชิต บังคับให้ทำให้จริงในหน้าที่ของบรรพชิต นี่ธรรมะบังคับตนมันเป็นอย่างนี้ บังคับกันอย่างเต็มที่บังคับกันอย่างสุดเหวี่ยงสุดฝีมือ ทีนี้มาบังคับมันก็ต้องมีการเจ็บปวดเป็นธรรมดา ก็ต้องมีขันติ ความอดกลั้นอดทนไม่ยอมสละสัจจะ สัจจะยังคงอยู่อยู่ด้วยการบังคับ ถ้ามีการเจ็บปวดก็มีขันติอดกลั้นอดทน ทีนี้ถ้าว่าไม่ให้อดทนมากเกินไปจนล้มละลายก็มีจาคะเป็นระบาย เป็นรูรั่วระบายความกดดันอันแรงอันร้ายแรงออกไปเรื่อย ออกไปเรื่อยๆ สิ่งใดที่ไม่ควรมีอยู่ในตน กิเลสประเภทไหนทุกอย่างทุกขั้นตอนน่ะ ระบายออกอยู่เรื่อย ระบายออกอยู่เรื่อย แม้แต่วัตถุสิ่งของที่ควรให้ควรจ่ายไปควรให้ก็ให้ไปเป็นการระบายทางหนึ่งด้วยเหมือนกัน แต่ว่าการระบายไอ้ความกดดันในภายในน่ะคือการประพฤติวัตร ปฏิบัติประเภทที่ระบายความกดดันในภายใน แม้ที่สุดแต่การทำวัตรสวดมนต์เองก็เป็นการระบายความกดดันให้รั่วออกไป ให้รั่วออกไป ไปทำสิ่งที่ควรทำเสียก็เป็นการระบายความกดดันได้ทั้งนั้น ดังนั้นเราจึงมีธรรมะชั้นเลิศนี่ ๔ ประการ สัจจะ ความจริงใจ ทมะบังคับตัวเอง ขันติอดทน จาคะสละสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในตน อย่าเข้าใจว่าจาคะ จาคะแล้วก็มีแต่สละสิ่งของนี่มันด้วยแหละ แต่ว่ามันยังเป็นส่วนน้อย มันต้องสละทุกสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในตน อย่างที่สิ่งของที่ควรสละ สิ่งของนั้นถ้าคนถือเอาไว้นะ มันก็จะกลายเป็นคนขี้ ขี้เหนียว ขี้ตืด เห็นแก่ตัวมากขึ้น ก็สละสิ่งของเหล่านั้นออกไปเสียมันก็บรรเทาไอ้ความเห็นแก่ตนหรือความขี้เหนียวหรืออะไรต่างๆ และก็ไปสละในทางที่เป็นประโยชน์นะไม่ใช่เอาไปทิ้งทะเล สละไปในทางที่จะเป็นประโยชน์มันก็เป็นประโยชน์ต่อไปต่อไปอีก ไปบำรุงศาสนาก็เป็นประโยชน์แก่ศาสนา ทำสังคมสงเคระห์มันก็สังคมสงเคราะห์ มันก็มีประโยชน์ นี่จาคะ จาคะคำนี้เข้าใจให้กว้างเข้าไว้ว่าสละสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในตน ขืนเก็บไว้น่ะมันเป็นโทษ นี่มันเป็นการระบายออก ระบายออก ความกดดันของกิเลสมันก็รั่วไหลไปรั่วไหลไป มันก็ทนได้สบายประพฤติพรหมจรรย์ได้สบาย ถ้ามีธรรมะ ๔ ประการนี้ เพราะฉะนั้นสังเกตดูให้ดีว่าไอ้ธรรมะประเภทเครื่องมือนั้นน่ะสำคัญ ต้องปฏิบัติให้จริงจังลงไปแล้วไอ้ธรรมะประเภทที่จะเป็นผลที่จะได้รับ มันก็มาเอง มันก็มาเอง ถ้าปฏิบัติลงไปจริงจังและถูกต้อง ผลมันก็จะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องสงสัย ดังนั้นขอให้ทุกคนสอดส่องศึกษาดูให้ดีๆว่าธรรมะอะไรที่มันเป็นเครื่องมือแล้วได้อะไรอย่างไร มีมากนะ มันควรจะสังเกตเห็นได้เอง ด้วยสติปัญญาของตนเองเพราะมันไม่ ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรเกินไป แล้วเราก็บวชมา มาหลายวันแล้ว หลายเดือนแล้วควรจะสังเกตเห็น ทีนี้ก็จะพูดเลยไปถึงว่าออกไปสู่ความเป็นฆราวาสหมายความว่าบวชนี้ได้ศึกษาฝึกฝนเรื่องเกี่ยวกับจิตใจหรือกาย วาจา ใจ โดยเฉพาะการต่อสู้ทำลายล้างกิเลสให้อยู่ในแนวที่ถูกต้อง มันจะต้องติดตัวเอาไปสำหรับไปเป็นฆราวาส ไอ้ที่แล้วๆมาแต่หนหลังคงจะเป็นฆราวาสที่ผิดๆถูกๆมีการกระทำทั้งที่เป็นบวกและเป็นลบ เอาล่ะทีนี้ถ้าสึกไปเป็นฆราวาสก็ขอให้ตั้งต้นใหม่ ให้มีแต่บวกอย่าให้มีลบ ถ้าเราศึกษามามากพอมีความรู้พอที่จะควบคุมตัวเอง ควบคุมชีวิต ให้มันมีแต่เรื่องบวกอย่าให้มีรื่องลบ แล้วก็บวกต่อไปจนตลอดชีวิต ที่นี้ก็เป็นฆราวาส สำหรับที่จะลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสมันก็ถือว่าเหมือนไปเรียนเรื่องความเป็นฆราวาสมาก็ได้ เรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ความเป็นฆราวาส เรื่องสัจจะ ทมะ ขัตติ จาคะนี้ ถ้าเป็น เป็นผู้บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริงอยู่ในวัดนี้จะปฏิบัติมากเหลือเกินปฏิบัติในสิ่งที่เรียกว่าสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ มันก็มีคุณธรรมเหล่านี้ที่สำหรับจะเอาไปใช้ในความเป็นฆราวาส คือไปเป็นฆราวาสที่มีสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ สมัยก่อนถ้าไม่ไปต่อไปในทางเพศบรรพชิต มันก็เอามาใช้เป็นฆราวาสก็ได้ แล้วถ้าจะอยู่ต่อไปเป็นบรรพชิตก็ใช้ต่อไปจนถึงที่สุดด้วยอำนาจของสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ การที่ท่านเรียกธรรมบวชนี้ว่าฆราวาสธรรมนั้นเดี๋ยวว่าท่านจะเข้าใจกันผิดว่าจะใช้กันแต่ฆราวาส ต้องให้เป็นว่าฆราวาส สำหรับใช้ ใช้สำหรับฆราวาสเพื่อพ้นสำหรับการเป็นฆราวาสนั่นคือปุถุชนนั่นเอง ธรรมะ ๔ ประการนี้ สามารถจะช่วยบรรลุมรรคผลได้ด้วย ด้วย ด้วย ๔ ประการนี้จะช่วยให้บรรลุมรรคผลได้ มีสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เอาล่ะเดี๋ยวนี้เป็นอันว่าเราจะลาสิกขาไปเป็นฆราวาส ก็พูดถึงเรื่องฆราวาสกันตามสมควรฆราวาสแปลว่าผู้ครองเรือน แต่มันต้องครองอย่างถูกต้องตามแบบของพุทธบริษัท มิฉะนั้นมันก็เป็น เป็นชาวป่า ชาวดง เป็นสัตว์ สัตว์บางชนิดก็ได้มีเรือนอยู่เหมือนกัน ถ้าจะเป็นฆราวาสครองเรือนมันก็ต้องครองอย่างถูกต้องตามแบบของพุทธบริษัท ยังมีหน้าที่ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัทซึ่งจะต้อง ซึ่งจะขอระบุไปเสียเลยว่าแม้เป็นฆราวาสแล้วก็ยังมีหน้าที่ที่ต้องสืบอายุพระศาสนา ฟังดูให้ดีๆ ไม่ใช่ว่าสึกออกไปแล้วมันจะพ้นหน้าที่การสืบอายุพระศาสนา เพราะว่าฆราวาสก็สามารถสืบอายุพระศาสนา คือการช่วยให้พระศาสนายังคงอยู่ อย่างฆราวาสจะช่วยได้มากเหมือนกัน อย่างที่เห็นๆกันอยู่นี้ ช่วยบำรุงวัดวาอารามอะไร การศึกษาอะไรก็ได้ แต่ว่ายังไม่สำคัญเท่ากับว่าเป็นฆราวาสที่ดีให้ดู คือเป็นฆราวาสที่มีธรรมะมีความสุขแท้จริงให้คนอื่นดู นั่นแหละคือการสืบอายุพระศาสานาอย่างยิ่ง มันเป็นการสอนชั้นเลิศนะ ทำตัวอย่างให้ดูมันเป็นการสอนชั้นเลิศ เราทำตนเป็นตัวอย่างในการที่มีธรรมะทั้งเนื้อทั้งตัว ปฏิบัติธรรมะให้ดู เสวยผลของธรรมะให้ดูคืออยู่เป็นสุขสงบเย็นให้ดู อย่างนี้มันจับใจคือได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังมากที่สุด เขาก็พากันทำตามเองไม่ต้องขอร้องไม่ต้องบังคับขู่เข็นอะไร เพราะมันทำให้ดูอย่างจับใจ ฉะนั้นฆราวาสก็ยังสืบอายุพระศาสานาได้ด้วยเหตุนี้ คือปฏิบัติธรรมะให้เพื่อนมนุษย์กันดู เป็นที่พอใจแล้วก็ปฏิบัติตาม แม้ที่สุดจะ จะปฏิบัติธรรมะของฆราวาสเป็นฆราวาสที่สมบูรณ์แบบให้ดู นั่นก็เป็นการสืบอายุพระศาสนา เป็นการทำตัวอย่างให้ดู สอนผู้อื่นด้วยการทำตัวอย่างให้ดูเป็นการสอนที่ประเสริฐ ประเสริฐกว่าการสอนด้วยปาก พูดกันอย่างเดียวไม่พูดด้วยปากแต่ทำให้ดูอย่างนี้ยังสำเร็จประโยชน์กว่า และเคยสำเร็จประโยชน์มามากมายแล้ว ฆราวาสก็ยังมีหน้าที่ที่ต้องสืบอายุพระศาสนา ดำรงตนให้อยู่ในความถูกต้องให้ผู้อื่นเขาดูแล้วเขาก็อยากจะทำตาม ทีนี้ก็พูดให้หมดเสียเลยว่าเราเป็นฆราวาสสมบูรณ์แบบให้ดูเป็นฆราวาสที่สมบูรณ์แบบให้ดู ฆราวาสสมบูรณ์แบบมันก็พูดกันได้หลายอย่างตั้งแต่พูดตามที่ท่านกล่าวไว้ในหลักธรรมะ สำหรับใช้อบรมสั่งสอนกันนั้นน่ะ ท่านก็กล่าวไว้ชัดเจนว่าเป็นผู้ที่มีสิ่งที่ฆราวาสควรจะมีอย่างครบถ้วน ข้อที่ ๑ จะต้องเป็นผู้ที่มีทรัพย์สมบัติพอตัว ข้อที่ ๒ ต้องมีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว ข้อที่ ๓ ต้องมีไมตรี การเข้าหาสมาคมที่ดีอย่างพอตัว ๓ อย่างนี้พอ ทีนี้ทรัพย์สมบัติพอตัวในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นมหาเศรษฐี พอตัวอย่างที่พอจะมี อย่างสะดวกสบาย แต่ถ้ามันจะเป็นมหาเศรษฐีได้ก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ต้องเป็นมหาเศรษฐีก็เรียกว่ามีทรัพย์สมบัติพอตัวได้เหมือนกัน คือไม่เดือดร้อนด้วยเรื่องทรัพย์สมบัติ เดี๋ยวนี้ยังบูชาอบายมุขอยู่ ทรัพย์สมบัติก็ไม่สะสมขึ้นมาได้ ไปเป็นอบายมุขเสียหมด เป็นฆราวาสดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียรติคร้านทำการงานอะไรเหล่านี้ ทรัพย์สมบัติมันก็ไม่ตั้งขึ้นมาได้ ฉะนั้นก็ไม่สมบูรณ์ด้วยการหาการรักษา การใช้จ่ายที่ถูกต้องอะไร มันก็ไม่มีทรัพย์สมบัติขึ้นมาได้ ฉะนั้นการที่ว่าเราฝึกบังคับตนเมื่อยังบวชอยู่นี่ มันจะไปเป็นประโยชน์เมื่อออกไปเป็นฆราวาสสำหรับจะสะสมทรัพย์ เหมือนกับว่าสอบไล่ให้ได้ เป็นฆราวาสที่สอบไล่ให้ได้ จะต้องมีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติยศชื่อเสียง มีไมตรีคบหาสมาคม ๓ อย่างนี้ครบถ้วนบริบูรณ์ แม้ว่าที่บวชเป็นพระอยู่ฝึกความอดกลั้นอดทน เป็นพระที่จริงอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้เงินสักบาทเดียว ถ้าเป็นพระที่จริงมันอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้เงินสักบาทเดียว ไม่มีมันก็ไม่ซื้อก็ไม่ใช้ การเป็นอยู่อย่างถูกต้องอย่างเป็นพระนี้ก็ไม่อดตาย มันก็อยู่ได้มันก็มีทางมาที่จะมาได้ ไอ้สิ่งที่ไม่จำเป็นอย่างว่าถ่านไฟฉายนี้ก็ไม่ต้องซื้อมันอยู่มืดๆได้ เรียกว่ามันฝึกฝนในการที่จะบังคับตนให้อยู่ในความมัธยัสถ์ บังคับกิเลสได้มันก็ไม่มีอะไรที่จะไปทำให้ต้องใช้จ่ายในสิ่งที่ฟุ่มเฟือย ก็เป็นฆราวาสที่ไม่ฟุ่มเฟือยมันก็ค่อยๆสะสมทรัพย์ได้ สะสมทรัพย์ทีละนิดๆด้วยความอดกลั้นอดทน อย่าเหมือนกับพวกอันธพาลที่ว่ามันไม่ได้ทันอกทันใจไปขโมยดีกว่าไปปล้นไปจี้ไปคดโกงดีกว่า อย่างนั้นมันก็นำไปสู่ความวินาศในที่สุด ทรัพย์เซิบก็ไม่ต้องมี นี่มีทรัพย์สมบัติพอตัวได้ด้วยเหตุที่ว่าดำรงตนอยู่ในความถูกต้องในการแสวงหา ในการรักษา ในการใช้จ่าย บังคับกิเลสได้ ไม่ให้ทำไปในทางที่ไม่ควรทำ ทรัพย์สมบัติก็จะเหลือจะเหลือมากขึ้น คือว่าปฏิบัติให้มีความสุขอยู่ทุกอิริยาบทเหมือนอย่างที่เราพูดกันเมื่อคืน เพราะมีความสุขทุกอิริยาบทอยู่แล้ว ไอ้เงินที่ต้องจ่ายไปเพื่อความสุขมันก็ไม่ต้องจ่ายมันก็ไม่จำเป็น เหมือนกับทำงานให้สนุกได้ผลงานมามากเสียอีกเงินก็ยิ่งเหลือมาก เรื่องที่พูดเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องเล่นๆเป็นเรื่องที่จะช่วยให้รอด ทำหน้าที่อย่างถูกต้องพอใจและเป็นสุขอยู่เสมอ ไม่เท่าไหร่ก็มีทรัพย์สมบัติ เอ้า,ทีนี้มีทรัพย์สมบัติแต่ไม่มีใครนับถือ มันก็ไม่ ไม่มีอะไร ไม่มีสาระอะไร มีทรัพย์สมบัติแล้วจะต้องมีอะไรดีที่ให้คนนับถือด้วย เป็นเกียรติยศชื่อเสียง ทำดีสิ่งที่เรียกว่าดี ที่ใครๆก็ยอมรับว่าดี มันก็นับถือเองแหละ มันก็มีคนนับถือมากขึ้น มันก็เป็นคนที่มีเกียรติยศชื่อเสียงมากขึ้นเป็นเกียรติยศชื่อเสียงที่แท้จริงที่ได้มาโดยแท้จริง ไม่ใช่จอมปลอม ทีนี้เราก็มีเกียรติยศชื่อเสียงขึ้นมาตามลำดับ ตามลำดับ คือมีคนนับหน้าถือตา ไว้วางใจมากขึ้นตามลำดับ นี่เรียกว่ามีชื่อเสียงพอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว เอาล่ะไม่ต้องเด่นดั่งเป็นมหาบุรุษ วีรบุรุษก็ได้แต่ให้มันมีชื่อเสียงพอตัวพอสมควรแก่อัตภาพ นี่ก็ได้ไปก่อนข้อที่๒ ที่นี้ข้อที่๓ ที่ว่ามีไมตรี ไมตรีนั่นน่ะคือมีคนรัก มีคนรักรอบด้าน มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีใครรักก็ได้มีเกียรติยศชื่อเสียงเขายิ่งเกลียดยิ่งกลัวไปเสียอีกไม่รักก็ได้ มีทรัพย์สมบัติกับมีชื่อเสียงน่ะมันไม่แน่ว่าคนรอบข้างจะรักนะ มันจะต้องทำอีกอย่างหนึ่งให้ทุกคนเห็นแล้วรัก เห็นแล้วนับถือเห็นแล้วบูชา แล้วก็รักมีความรักไมตรีอย่างนี้เราต้องการ จะเหลียวไปทางไหนพบแต่คนที่เป็นมิตร พบแต่คนที่เป็นมิตร คือหวังดี คนหวังดีต่อเรา คนเหล่านั้นพร้อมที่จะช่วยเหลือไปหมดถ้าว่าคนเหล่านั้นมันอยู่ในฐานะที่สูงกว่าเรา มีอะไรสูงกว่าเรา แล้วเขาก็ยินดีที่จะช่วยดึงเราขึ้นไปในทางสูง ไมตรีที่บริสุทธิ์มันเป็นอย่างนี้ มันดีอย่างนี้ ถ้าว่าเป็นคนเสมอกันกับเรามันก็จะแวดล้อมป้องกันเราไว้ไม่ให้เถลเฉไฉ ไปออกนอกลู่นอกทาง ไปทำผิดทำชั่ว แวดล้อมไว้ในความปลอดภัยนี่ ทีนี้ถ้าคนเหล่านั้นอยู่ต่ำกว่าเรา มีฐานะต่ำต้อยกว่าเรา หรือเขารักเราเขาก็ยินดีที่จะดันเราขึ้นมาส่งเสริมขึ้นมาจากข้างล่างนี่เรียกว่าไมตรีอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่อยู่เหนือกว่าก็ดึงขึ้นไปพวกที่เสมอกันก็แวดล้อมไว้ให้ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าก็ช่วยดันขึ้นมา แล้วคนนั้นมันจะไม่เจริญอย่างไรเล่า คิดดูสินี่ไมตรีข้อที่ ๓ สังคมมันประเสริฐอย่างนี้ เพราะเป็นคุณสมบัติอันหนึ่งด้วยที่จะต้องได้ ดังนั้นขอให้จำไว้ ๓ คำว่าทรัพย์สมบัติอย่างหนึ่ง เกียรติยศชื่อเสียงอย่างหนึ่ง แล้วก็ไมตรี เรียกว่าไมตรีคำเดียวก็พอ ความเป็นมิตรที่ดี ไมตรีที่ดี มันก็เจริญ นั่นแหละเป็นประกาศนียบัตรรับรองความเป็นฆราวาสที่ถูกต้องและสมบูรณ์ ถ้าเรายังไปทำให้มันมีครบทั้ง ๓ อย่างนี้ เรียกว่ายังเป็นฆราวาสไม่สมบูรณ์ ยังครึ่งๆกลางๆขาดๆแหว่งๆ ถ้ามีครบทั้ง ๓ อย่างนี้ ก็เรียกว่ามีความเป็นฆราวาสที่สมบูรณ์แล้วเราจะใช้ธรรมะ ๔ ประการที่ว่านั้น สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ให้ถูกต้องทุกเหตุการณ์ แล้วก็ค่อยๆสร้างไอ้คุณธรรม ๓ ประการนี้ขึ้นมาได้ มีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว มีไมตรีที่ดีพอตัว อย่าไปตัดออกนะ จะเป็นมนุษย์แหว่งๆไปตัดไมตรีออกไม่มีคนรัก มันก็มีแต่เกลียดเตลิดเปิดเปิงไปไหนไม่รู้ ไม่มีเกียรติมีแต่ทรัพย์ เป็นห่วงไม่มีใครเคารพนับถือ ยังจะเกลียดน้ำหน้าด้วยซ้ำ หวังร้ายเสียอีก รีบสอบไล่ให้ได้ในความเป็นฆราวาสที่สมบูรณ์ คือมีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติยศชื่อเสียงและไมตรี และถ้าได้อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่เสียทีบวช ไม่เสียที่มาฝึกฝน สำหรับเพื่อที่ไปเป็นฆราวาสที่สมบูรณ์ หวังว่าทุกคนจะได้กำหนดไว้ในใจ ว่าจะเป็นฆราวาสที่สมบูรณ์ โดยเหตุที่ว่าต่อไปนี้จะไม่ประพฤติให้ผิดหลักธรรมะ คือไม่มีนรกอีกต่อไป ไอ้ความเลว ความผิดพลาดที่ทำให้เกลียดตัวเองเกลียดน้ำหน้าตัวเองแล้วเป็นนรกอยู่ในใจ อย่าต้องมีนั้นมันเป็นเรื่องนรก ให้มันมีแต่ความยินดี พอใจเคารพนับถือตัวเองแล้วเป็นสุขเป็นสวรรค์อยู่ในใจตลอดเวลานั่นแหละต้องมี ทีนี้ก็เป็นฆราวาสสมบูรณ์แบบและความถูกต้องทั้งหลายก็จะมีมาแก่ฆราวาสที่สมบูรณ์แบบได้โดยอัตโนมัติ ตัวอย่างที่เรียกว่าทิศทั้ง ๖ ที่เราเรียนในที่ ที่ปฏิบัติ ทิศทั้ง ๖ ทิศทางน่ะเป็นสิ่งที่ฆราวาสทั้งหลายจะต้องรักษาป้องกันไว้ได้ไม่ให้เกิดพิษ เกิดภัย เกิดโทษ เกิดอันตรายขึ้นมาจากทิศเหล่านั้น แต่บางคนจะประมาทหรืออวดดีไม่อยากจะจำ ผมเชื่อว่าถ้าถามเดี๋ยวนี้ที่นั่งอยู่เดี๋ยวนี้คงจะตอบไม่ได้ทั้ง ๖ ทิศ หรือตอบสับสนก็ได้เพราะไม่สนใจจะจำ ทิศข้างหน้าบิดามารดา ทิศข้างหลังบุตร ภรรยา สามี ทิศข้างซ้ายเพื่อนฝูง ทิศข้างขวาครูบาอาจารย์ ทิศข้างบนสมณะพราหมณ์ ทิศข้างล่างกรรมกรหรือคนที่มีฐานะต่ำกว่า มันหลีกไม่ได้ที่จะไม่สัมพันธ์กับคนเหล่านี้ถ้าทำผิดพลาดมันก็เกิดอันตราย เสียหาย เกิดโทษขึ้นมาจากทิศใดทิศหนึ่ง นั่นแหละมันจะเป็นอย่างไรขอให้ลองคิดดู ทำผิดต่อบิดามารดา มันก็เกิดโทษมาจากบิดา มารดา ทำผิดข้างหลังก็เกิดโทษมาจากอันตราย บุตร ภรรยา สามี ทำผิดข้างซ้ายก็เกิดโทษมาจากมิตรสหาย ทำผิดข้างขวาก็เกิดโทษมาจากครูบาอาจารย์ ทำผิดข้างบนก็มีโทษจากสมณะพราหมณ์หรือพระอรหันต์ ทำผิดจากข้างล่างก็ได้รับโทษจากคนใช้กรรมกรที่อยู่ข้างใต้ แต่อย่ากลัวถ้าเรามีธรรมะ ๔ ประการที่ว่านั้น สามารถมีความเป็นฆราวาสสมบูรณ์แบบแล้วทิศเหล่านี้จะถูกต้องโดยอัตโนมัติพร้อมกันไปเลย เพราะเป็นเรื่องเดียวกัน ในความเป็นฆราวาสสมบูรณ์แบบนะมันจะสมบูรณ์มาในลักษณะที่ว่าทิศทั้ง ๖ ถูกต้องด้วยเสมอไป แต่ว่าเราก็ควรจะสนใจดูบ้างระมัดระวังดูบ้าง ใน ๖ ทิศทางนั้น อย่าเผลอให้เกิดโทษเกิดอันตรายเข้ามาทางทิศนั้นๆ คำบาลีก็ใช้คำปิดกั้นไว้เป็นอย่างดีปิดกั้นทิศไว้เป็นอย่างดี หมายความว่าไม่ให้เกิดโทษ เกิดทุกข์ พิษภัยอะไรขึ้นมาจากทิศทั้ง ๖ นี้ความเป็นฆราวาสสมบูรณ์แบบในพระพุทธศาสนาซึ่งกล่าวไว้ชัดเจนในพระบาลีในพระคัมภีร์ นี่ขอให้เราเป็นพระพุทธบริษัทที่ถูกต้องจะเป็น ภิกษุ ภิกษุณี ก็ถูกต้อง จะออกไปเป็นอุบาสก อุบาสิกาก็ถูกต้อง มีความเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าซึ่งมีความหมายสำคัญที่สุดว่าเป็นผู้รู้เป็นผู้ตื่นเป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้รู้คือรู้ทุกสิ่งที่ควรจะรู้เป็นผู้ตื่นคือไม่มัวหลับอยู่ ไม่รู้อะไร มันก็ไม่ เบิกบานเรียกว่ามีความสุขสงบเย็นเบิกบานตกเป็นผลของธรรมะทำให้เบิกบาน แล้วก็เป็นฆราวาสที่มีคุณธรรมเหล่านี้เป็นผู้รู้เป็นผู้ตื่นเป็นผู้เบิกบาน เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าได้เหมือนกัน นั่นแหละมันไม่เสียทีที่ว่าได้พบพระพุทธศาสนา ได้อาศัยหลักพระพุทธศาสนาดำเนินชีวิตเป็นหนทางที่ถูกต้อง แล้วก็ไปสู่จุดหมายปลายทางที่น่าปรารถนาที่พึงปรารถนา ที่ควรจะปรารถนาดังกล่าวแล้ว วันนี้พูดเรื่องสำหรับฆราวาสสำหรับผู้ที่จะลาสิกขาก็พูดอย่างนี้ ถ้าไม่ลาสิกขาก็ยังคงไปอย่างโน้น แต่ถ้าจะลาสิกขา จะออกไป ก็ขอให้ได้รับประโยชน์จากการบวชอย่างครบถ้วน อย่าให้เกิดความเสียหายขึ้นในพระพุทธศาสนา คือบวชแล้วไปเป็นคนเลว บวชแล้วไปเป็นคนเลว คนทั้งบ้านทั้งเมืองมันก็แช่งด่าว่าไอ้นี่บวชแล้วยังมาเป็นคนเลว หรือเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้หรืออะไรก็ตามเป็นโอกาสที่ให้เขาดูถูกดูหมิ่นได้อย่าให้มันมี ให้มันได้ชื่อว่าสมกับที่ได้บวชแล้วหรือว่าโดยทั่วไปโดยส่วนใหญ่ก็ว่าให้สมที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบกับพระพุทธศาสนา นี่พูดอย่างโอหังเสียหน่อย ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบกับพุทธศาสนาหมายความว่าศาสนาอื่นไม่ต้องการ เราไม่ต้องการศาสนาอื่นเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบกับพุทธศาสนาคือมีอะไรเพียงพอที่ จะแก้ปัญหาได้หมด จะดับทุกข์ได้หมด จะเอาตัวรอดได้หมด จะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ท่านใช้คำว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ และได้พบกับพระพุทธศาสนานี้เป็นโชคดีอย่างยิ่ง ดังนั้นขอให้โชคดีทุกคนจะสำเร็จได้ด้วยการไม่ลืมตน ไม่ลืมธรรมะที่ได้ศึกษาได้ปฏิบัติในระหว่างที่บวชและเอาไปใช้ในระหว่างที่ลาสิกขาเป็นฆราวาสได้ ให้นึกถึงอยู่เสมอไม่ประมาท ก็อยากจะแนะเรื่องเบ็ดเตล็ดนิดหน่อยเบ็ดเตล็ดด้วย แล้วก็นิดหน่อย ว่าไอ้บาตรได้จีวรนั่นแหละเก็บไปด้วยเก็บไปไว้ดูตลอดเวลา มีที่บ้านน่ะมีห้องพระห้องอะไรก็เก็บไว้ในห้องพระหรือห้องหนังสือ หรือว่าไว้บนหลังตู้ที่มันอยู่ในลักษณะที่เหมาะสมมันจะเตือนใจจะเตือนใจว่าบวชแล้วนะ บวชแล้วนะ เอาบาตรจีวรไปไว้ที่บ้านไว้เตือนตนดีกว่ารูปถ่ายเป็นไหนๆ คุณไม่เชื่อก็ลองดู ไอ้รูปถ่ายที่แขวนๆไว้น่ะไม่เท่าไหร่มันก็เฉยมันก็ มันก็ไร้ความหมายเอาไว้แลบลิ้นหลอกก็ได้ แต่ถ้าว่าเอาบาตรเอาจีวรไปไว้เป็นเครื่องเตือนใจมันเหมือนกับเอาพระพุทธเจ้าไปคอยเตือนใจ นี่ถ้าทำได้ก็จะดี เชื่อว่าอย่างน้อยก็มีตู้หนังสือห้องสมุด ใส่ไว้ในตู้หนังสือให้เห็นชัดให้แดงล่าอย่างนั้นแหละ ให้เหมือนกับคอยขู่ตัวเองไว้ว่าอย่าเผลอ อย่าประมาท อย่าลืม อย่าทำให้เสียชื่อเสียงเสียเกียรติของผ้าเหลือง แล้วว่าถ้าเกิดมีลูกมีหลานอะไรขึ้นมาแล้วจะได้สอนไหว้ ด้วยความรู้สึกว่าพ่อได้บวช ลูกมันก็อยากจะบวชบ้าง จะเป็นเรื่องไปในทางดีมากขึ้น นี่บางคนบวชวันนี้พรุ่งนี้จีวรหมาเอาไปกัดรองรังนอน สึกวันนี้พรุ่งนี้หมาเอาจีวรไปนอนกัดเล่นแล้วบาตรก็ไม่รู้ไปอยู่ทางไหนคนละทิศคนละทาง เหมือนกับว่ามีพระอุปัชฌาอาจารย์คอยตักเตือนอยู่มันดีกว่ารูปถ่าย ลองดู มันไม่ใช่เรื่องลำบากหรือเกินวิสัยเหลือวิสัยอะไร นี่เป็นสิ่งที่คอยตักเตือนอยู่ตลอดเวลาแล้วมันลึกซึ้งถึงใจ เพราะมันมีความหมายพิเศษมันมีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัญลักษณ์ของพระธรรม ของพระศาสนา ของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ นั่นแหละผมก็คิดว่าพอสมควร สำหรับจะพูดกับผู้ที่จะลาสิกขา ขอทบทวนว่าบวชแล้วต้องหวังว่าจะได้อานิสงค์ ๓ ประการ คือผู้บวชเองก็ได้ ญาติทั้งหลายมีบิดา มารดาเป็นต้นก็ได้ ศาสนาและโลกทั้งปวงก็จะพลอยได้ ต้องหวังอานิสงค์ ๓ อย่างนี้ แม้เราว่าลาสิกขาไปแล้วมันก็ยังได้ติดไป ติดไป เราก็ยังคงได้ตลอดชีวิต ญาติทั้งหลายมีบิดามารดาก็ยังพลอยได้ตลอดชีวิต โลกทั้งโลกที่มีศาสนาอยู่มันก็พลอยได้รับประโยชน์กันทั้งโลก อานิสงค์มันมหาศาลอย่างนั้น ขอให้จัดให้เข้ารูปเข้ารอย ที่นี้เราว่าการบวชนี้ถ้าเป็นบวชพลายแก่ก็แสวงหาความสุขตลอดชีวิตไปในชั้นสูงนั่นเลย แต่ถ้าว่าจะบวชเพื่อขวนขวายหลักธรรมะออกไปเป็นฆราวาส ก็ออกไปเป็นฆราวาส ประพฤติปฎิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องที่สุดตามที่ได้บวชได้เรียนมา และถ้าเป็นฆราวาสก็ให้สมบูรณ์แบบ คือมีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว มีไมตรีพอตัว แล้วทั้งหมดนั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้ก็ด้วยธรรมะประเภทเครื่องมือ คือฆราวาสธรรม หรืออิทธิบาทเป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งฆราวาสธรรมนี่ก็พอมีสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ มีสัจจะอธิษฐานจิตซื่อตรงต่อความจริงที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบกับพระพุทธศาสนา ก็บังคับตัวเองเหมือนกับพวกบังคับสัตว์ บังคับช้าง บังคับช้างน่ากลัวมากแต่เขาก็ยังบังคับได้ บางทีช้างตกน้ำมันควานช้างก็สามารถที่จะบังคับได้ บังคับกันขนาดนั้น กิเลสนั้นเหมือนกับช้างตกน้ำมัน มีขันติอดทนแม้น้ำตาไหลก็ไม่ยอมให้เสียไปในความถูกต้อง รักษาพรมจรรย์คือความถูกต้องไว้ได้แม้ด้วยน้ำตา แล้วก็มีจาคะสละสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในตนในกายในใจของตนไม่ควรจะมี สละออกไปนี่มันจะสำเร็จประโยชน์ แม้แต่บรรพชิตแม้แต่ผู้ที่ลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสแล้ว ในที่สุดก็มีความเป็นพุทธบริษัทที่สามารถสืบอายุพระพุทธศาสนาออกต่อไปได้ในเพศฆราวาสนั่นเอง เรื่องก็หมดแล้วปัญหามันก็หมดแล้วถ้าปฏิบัติได้ตามนี้ปัญหาทั้งหลายมันก็หมด ฉะนั้นขอให้กำหนดจดจำไปให้ดี แล้วปฏิบัติอย่างสุดความสามารถ มีสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะที่ถูกต้องอยู่เสมอ แล้วก็มีความสุขอยู่ตามแบบของพุทธบริษัทเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติ ขอยุติการบรรยายในวันนี้เพียงเท่านี้