แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพุทธศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดา กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาที่เกิด การรับเหตุเป็นธรรมบูชา พึงวางเป็นที่ระลึก ถึงพระอรหันต์ทั้งหลาย บรรดามีอยู่ในพระพุทธศาสนาประชุมกัน มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน และทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์คือบทอันเป็นประธานแห่งพระพุทธวจนทั้งปวงเป็นเหมือนกับการประกาศย้ำว่าหลักธรรมในพระพุทธศาสนานั้นเป็นอย่างไร อีกประการหนึ่งคือตรงกันกับสมัยที่ทรงพระชนม์มายุสังขารเพื่อการเสด็จดับขันธปรินิพพาน เพราะฉะนั้นจึงนับว่าเป็นเหตุการที่เกิด ควรแก่การระลึกถึง พุทธบริษัททั้งหลายจึงได้พากันประกอบพิธีเพื่อเป็นที่ระลึกแก่เหตุการณ์อันสำคัญนี้เป็นตามสติปัญญาของตนของตน ดั่งเช่นที่เราทั้งหลายก็กำลังกระทำอยู่ในบัดนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนจะได้กระทำในใจให้ดี กระทำในใจให้แยบคายให้สำเร็จประโยชน์เป็นตามความหมายของ (นาทีที่ 2:32.9 ไม่สามารถถอดเสียงได้) บูชานั้น ทรงทุกประการ ในวาระแรกนั้น ไม่ควรกระทำความรู้สึกในใจ อย่างเช่นในวันนี้ มีอะไรเป็นตัวกลางสำคัญของเรื่อง ถ้าจะตอบสั้นๆ ก็คือว่า พระอรหันต์นั่นเองเป็นตัวเรื่องสำคัญ ที่เป็นความหมาย ทั้งวันวันนี้ การที่ท่านประชุมกันโดยไม่ต้องนัดหมายถือว่าเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ถือว่าเป็นวันเพ็ญ มาฆบูชา ถือว่าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์เหล่านี้จึงนับว่าเป็นส่วนประกอบหรือเป็นส่วนปลีกย่อยข้อสำคัญ (นาทีที่ 2:43 ไม่สามารถถอดเสียงได้) นั่นก็คือคำว่าพระอรหันต์ หรือบุคคลที่เรียกกันว่าพระอรหันต์นั่นเป็นอย่างไร มีความหมายเกี่ยวเนื่องมาถึงพวกเราอย่างไร เราจะต้องประพฤติปฏิบัติ จะทำอย่างไรถึงจะเหมาะสมกับการที่วันนี้ เป็นวันที่ระลึกถึงพระอรหันต์ อาตมาอยากจะชักชวนท่านทั้งหลายทุกคนว่า (นาทีที่ 4:18-4:20 ไม่สามารถถอดเสียงได้) ที่จัดเป็นวันที่ระลึกถึงพระอรหันต์ทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้น ในพระพุทธศาสนา (นาทีที่ 4:30 ไม่สามารถถอดเสียงได้) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานทั้งอยู่ในโลกนี้ เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง เราควรจะระลึกนึกถึง โดยความสักการะเคารพ และด้วยการเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อเป็นการบูชาคุณตอบแทนคุณของท่าน เพราะฉะนั้นวันนี้ และจะต้องมีการเสียสละกิจการงานเป็นต้นจะต้องมีความอดกลั้นอดทนกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นเครื่องบูชาคุณของพระอรหันต์นั้นให้สมกัน เพียงแต่จะทำบุญทำทานตามปกตินั้นยังไม่พอเพราะวันนี้เป็นวันที่เกิด จึงขอร้องให้กระทำทุกอย่างทุกทาง จะเป็นการให้ทานก็ดี เป็นการรักษาศีลก็ดี เป็นการฟังธรรมเทศนาก็ดี เป็นการเจริญภาวนาในทางจิตใจ ให้มีความสะอาด สว่าง สงบก็ดี ตลอดจนถึงความอดกลั้นอดทนอย่างอื่นตลอดวันมานี้ ล้วนแต่จะต้องทำเป็นพิเศษ เพื่อบูชาคุณของพระอรหันต์ทั้งหลายดังที่กล่าวมา เราจะใช้เวลาในวันนี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุดด้วย ให้มีความเหมาะสมที่จะเป็นที่ระลึก อุทิศ บูชา แด่พระอรหันต์ทั้งหลายด้วย ทุกคนจะต้องตั้งอกตั้งใจคิดนึกว่าจะทำอย่างไร ให้เตือนสติปัญญาของตนทุกคน ก่อนอื่นทังหมด ควรจะได้ทราบความหมายของคำว่าพระอรหันต์ ให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน แล้วจะได้นำไปคิดนึกดูว่า เราจะปฏิบัติ กาย วาจา ใจ ของเราในวันนี้ ถ้าเป็นการคล้อยตามพระอรหันต์ทั้งหลายให้มากที่สุดได้อย่างไร การทำตามพระอรหันต์นั้น ไม่ใช้เป็นการอวดดี ท่านผู้ใดอย่าได้คิดว่าเมื่อพูดว่าเราจะทำตามพระอรหันต์ดังนี้แล้วจะเป็นการอวดดีดังนี้จะหาไม่อุบาสกอุบาสิกาที่ดีย่อม (นาทีที่ 7:43-7:44 ไม่สามารถถอดเสียงได้) องค์อุโบสถอยู่เป็นประจำทั้งแปดองค์ แต่ละองค์ๆ ก็มีว่าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านทำอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้นถึงแม้เราในวันนี้ก็จะทำตามพระอรหันต์ทั้งหลายนั้น ด้วยองค์อันนี้ๆ ครบทั้ง 8 องค์แห่งองค์อุโบสถ นี้ไม่ถือว่าเป็นการอวดดิบอวดดีอะไร เป็นการตั้งอกตั้งใจกระทำ เพื่อความดับทุกข์เช่นเดียวกับที่พระอรหันต์ท่านทำ (นาทีที่ 8:19-8:20 ไม่สามารถถอดเสียงได้) จะช่วยป้องกัน (นาทีที่ 8:22-8:23 ไม่สามารถถอดเสียงได้) ในวันหนึ่งๆ นั้น ให้คล้ายกันกับที่พระอรหันต์ ทั้งหลายท่านเป็นอยู่ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เราไม่ได้ประกาศว่าเราเป็นพระอรหันต์ แต่ว่าเราจะทำตามพระอรหันต์ให้สุดความสามารถของเราโดยเฉพาะในวันอุโบสถวันนี้ก็เป็นวันอุโบสถ แต่ว่าเป็นวันอุโบสถที่ยิ่งไปกว่าวันอุโบสถอื่นๆ คือเป็นวันมาฆบูชาด้วย การเรียกว่ามาฆบูชาเพราะว่า การบูชาที่ทำในเดือนมาฆะ เพียงเท่านี้ไม่ใช่มีความหมายอะไรนัก ก็เป็นที่ของเวลาในการกำหนดด้วยเวลา เราควรจะทราบถึงความหมายเสียใหม่ว่า การทำการบูชาในเดือนมาฆะเพื่อระลึกถึงพระอรหันต์ เพื่อบูชาพระอรหันต์ เพื่อทำตามอย่างพระอรหันต์ ให้เรามีความเป็นอยู่ที่คล้ายพระอรหันต์ให้มากที่สุดทุกลมหายใจเข้าออกในวันนี้ ทำอย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่าเป็นการทำมาฆบูชาที่แท้จริงหรือที่ถูกต้องตามความหมาย ถ้าทำอย่างอื่น หรือทำอย่างละเมอเพ้อฝันทำไปตามธรรมเนียมประเพณี สรวลเสเฮฮาอย่างใดอย่างหนึ่งไปตามเรื่องนั้น เป็นการทำมาฆบูชาของลูกเด็กๆ ไม่สมควรแก่อุบาสกอุบาสิกา ผู้ประกอบไปด้วยคุณธรรม ผู้รู้ความหมายของพระอรหันต์ดีว่ามีอยู่อย่างไร แล้วพยายามจะทำตนให้คล้อยตามให้มากที่สุดที่จะมากได้ ผู้ที่พิจารณาเห็นความหมายแท้จริงของความเป็นพระอรหันต์ โดยถูกต้องเท่านั้นที่จะทำมาฆบูชาให้เป็นมาฆบูชาอย่างถูกต้อง ความหมายที่แท้จริงของพระอรหันต์นั้น ก็คือความสะอาด สว่าง สงบ อีกนั่นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ หมายถึงบุคคลที่มีความสะอาดถึงที่สุด มีความสว่างไสวถึงที่สุด และมีความสงบเย็นถึงที่สุด ถึงด้วยว่าพระอรหันต์ ด้วยสะอาดหมายถึงบริสุทธิ์หมดจดไม่มีหยาบไม่มีความชั่วซึ่งเป็นสิ่งเคร้าหมอง ไม่มีความลับที่จะต้องปกปิด ว่ามีความสว่างไสวนั้นหมายถึงความรู้แจ้งในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอย่างถูกต้องเป็นตามที่เป็นจริง ประพฤติปฏิบัติถูกต่อสิ่งทั้งปวงไม่มีความทุกข์อันใดเกิดขึ้นมาได้เลย นี่เรียกว่าความสว่างไสวคือความรู้แจ้งเห็นจริงที่เรียกว่าความสงบนั่นหมายถึงความสงบเย็นปราศจากความทุกข์ไม่มีความเร่าร้อน ไม่มีความกระวนกระวายระส่ำระส่าย ไม่ถูกห่อหุ้มพัวพันตบตีทิ่มแทงเผารนแต่ประการใดจึงนับว่าเป็นความสงบเย็นอย่างแท้จริง ความสะอาด ความสว่าง และความสงบนี้เรียกเป็นภาษาไทยสั้นๆ เพื่อจำง่าย ความสะอาดก็คือสุทธิหรือสุทธิคุณ ความสว่างก็คือปัญญาคุณ ความสงบก็คือสันติคุณ การที่มีความสะอาด สว่าง สงบนี้หมายความว่า จะถึงที่สุดของการประพฤติปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ได้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาถึงที่สุด ได้ประสบความสะอาด สว่าง สงบ ถึงที่สุดนั่นแหละคือบุคคลประเภทที่เรียกว่าพระอรหันต์ ถ้ายังไม่ถึงที่สุดก็เป็นพระอริยเจ้าที่รองๆ ลงมา เช่นพระอนาคา(นาทีที่ 13:27-13:28 ไม่สามารถถอดเสียงได้) และพระโสดาบันเป็นต้น ถ้ายังมีความสะอาด สว่าง สงบน้อย ไม่ควรจะเรียกว่าพระอริยเจ้า จะเรียกได้แต่ว่าเป็นกัลยาณปุถุชนที่ดี ถ้าไม่มีความสะอาด สว่าง สงบจะเรียกว่า ปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลส โดยในเย็นนี้ เราจะเห็นได้ทันทีว่า ปุถุชนก็คือคนที่เต็มอยู่ด้วยความเศร้าหมอง ความมืดมัว และความเร้าร้อน คือไม่สะอาด ไม่สว่าง ไม่สงบนั่นเอง ส่วนพระอรหันต์นั่นตรงกันข้ามเป็นผู้ที่หมดความมืดมัว หมดความเศร้าหมอง หมดความมืดมัว หมดความเร่าร้อน แต่มีความสะอาด สว่างไสวแจ่มแจ้งสงบเย็นถึงที่สุดเกิดขึ้นแทน เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจได้ พอจะเทียบเคียงเอาได้ด้วยใจของตนเองว่า พระอรหันต์เป็นอย่างไรเสียแต่ว่าเราจะเป็นปุถุชนกันเกินไป จนไม่รู้จักความเป็นปุถุชนของตัวเอง หากจะเปรียบเทียบธรรมข้อนี้ เหมือนกับปลาที่มันอยู่ในน้ำ มันไม่รู้แม้แต่ความเป็นปลาของมันเอง คือไม่รู้ว่ามันเป็นสัตว์น้ำ ปลาไม่มีความรู้ว่าตัวเองเป็นสัตว์น้ำก็เกิดน้ำ อยู่ในน้ำ และก็ตายในน้ำ แล้วก็ยังไม่เห็นน้ำ เพราะน้ำมันเข้าถึงตาเกินไปจนไม่เห็นน้ำ จึง (นาทีที่ 15:33-15:34 ไม่สามารถถอดเสียงได้) ที่จะเรียกว่าน้ำ เหมือนที่พวกเราเรียกน้ำนั่นว่าน้ำ เพราะฉะนั้นปลาจึงไม่รู้จักตัวเองว่าเราเป็นสัตว์น้ำดังนี้เป็นต้น และกว่าจะรู้จักเบื้องบก หรืออยากเป็นสัตว์บกได้อย่างไรกัน เช่นเดียวกับคนที่เป็นปุถุชนเกินไป หลับหูหลับตามากเกินไป จนกระทั่งไม่รู้ว่าตัวเองเป็นปุถุชน คนพวกนี้เท่านั้นที่จะไม่อาจเข้าใจเรื่องราวของพระอรหันต์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ตรงกันข้ามกับปุถุชน แต่ถ้ามีสติปัญญาอยู่บ้างพอจะรู้สึกนึกได้เองว่า ความเป็นปุถุชนของตนนั้นเป็นอย่างไรแล้ว จนประจบพอเทียบเคียงหรืออนุมานเอาได้ว่า ความเป็นพระอรหันต์นั่นจะเป็นอย่างไร ปุถุชนคนที่ไม่หนาเกินไป ควรจะมีความรู้แจ้งว่า การธรรมดาของสัตว์ปุถุชนนั้น ก็คือผู้ที่จมอยู่ในกองทุกข์เหมือนกับปลาที่ฉลาดบางตัวพอที่จะรู้ได้ว่าเราเป็นสัตว์น้ำอยู่ในน้ำยังเสียเปรียบพวกสัตว์บก ยังเสียเปรียบสัตว์ที่อยู่บนฟ้า ถ้าอย่างไรเราจะค่อยกลายจากการเป็นสัตว์น้ำ ไปเป็นสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบกก็ยังดี อยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก จะได้รู้เห็นสิ่งต่างๆ กว้างขวางออกไป เหลือความสนุกสนานเพลิดเพลินมีมากกว่าที่จะอยู่ในน้ำแต่อย่างเดียว สัตว์ที่ครึ่งน้ำครึ่งบกมีความรู้สึกได้กว้างขวางยิ่งกว่าสัตว์ชนิดที่เป็นสัตว์น้ำ (นาทีที่ 17:42-17:43 ไม่สามารถถอดเสียงได้) นี่แหละเป็นเครื่องเทียบเคียงให้เห็นว่า ถ้าเราจะรู้อะไรในทางที่ตรงกันข้ามจากนิสัยของปุถุชนบ้างแล้ว เราอย่ามัวหลงเป็นปุถุชนให้มากเกินไป อย่าหลับหูหลับตาเอาแต่จะเป็นปุถุชนแล้วตะพึดตะพือ จะต้องพยายามทำความเข้าใจ เกี่ยวกับสิ่งที่กว้างขวางออกไปจนกระทั่งถึงสิ่งที่ตรงกันข้าม (นาทีที่ 18:20-18:21 ไม่สามารถถอดเสียงได้) เหมือนกับสัตว์ที่เป็นสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบกก็มีความรู้ในเรื่องบกได้ตามสมควร เมื่อได้เป็นสัตว์ชนิดครึ่งน้ำครึ่งบกดังนี้แล้ว ความคิดจะได้ก้าวต่อไป จนถึงกับว่าจะเป็นสัตว์บกยิ่งขึ้นทุกที เพราะว่าสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบกนั้นไม่ค่อยจะได้ขึ้นไปบนบกจริงๆ จะต้องอธิษฐานจิตต่อไปอีกว่า เราจะเป็นสัตว์บกมากยิ่งขึ้นทุกทีจนกระทั่งเที่ยวไปบนบกทั่วทุกหนทุกแห่ง รู้เรื่องบกดีมีอะไรแปลกๆ ออกไปจากในน้ำ ที่นี่ความคิดเดินสืบต่อไปว่า สัตว์ที่อยู่ในอากาศมันมีความเป็นอิสระ สะดวกสบาย สนุกสนาน คล่องแคล่วกว่าเรา เราก็ควรจะเป็นสัตว์ที่เที่ยวไปในอากาศได้บ้าง จึงได้อธิษฐานจิตเพื่อความเป็นอย่างนั้น และได้เป็นสัตว์ที่เที่ยวไปในอากาศ ก็จะได้รับความรู้หรือความรู้สึกต่างๆ นั้นได้มากยิ่งขึ้นไปอีกกว่าที่จะเป็นปลามุดอยู่แต่ในน้ำอย่างเดียว นี้เป็นอุปมาที่แสดงให้เห็นว่า ทางที่จะก้าวออกไปสู่ความเจริญนั่นมีอยู่ แต่ว่าสัตว์ในน้ำจะต้องมีความคิด ความนึก ความ (นาทีที่ 20:24-20:25 ไม่สามารถถอดเสียงได้) สังเกตุ จนกระทั่งรู้สึกความที่ตนตกอยู่ในภาวะที่ต่ำต้อยหรือในวงจำกัดอย่างไร ดังเช่นปลามีความจำกัด ด้วยการจมอยู่แต่ในน้ำหรืออะไรๆ ก็รู้อย่างปลา จะเป็นสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบกขึ้นมาก็จะได้รู้มากขึ้นไปอีก เป็นสัตว์บกโดยสมบูรณ์ก็รู้มากขึ้นไปอีก เป็นสัตว์ที่เที่ยวไปในอากาศได้ก็รู้มากขึ้นไปอีก คนเราที่เป็นปุถุชนอย่างหนาแน่นก็เหมือนกับปลานั่นเอง จมอยู่ในน้ำคือกามคุณหมายถึงความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุหรือทางเนื้อทางหนัง ที่ท่านเรียกว่ากามคุณนี้เป็นเหมือนกับน้ำ เป็นผู้ที่ติดตมอยู่ที่ (นาทีที่ 21:35-21:36 ไม่สามารถถอดเสียงได้) ของโลกทางวัตถุหรือทางเนื้อทางหนังเช่นนี้ ตาของตนได้ถูกหุ้มห่ออยู่ด้วยเหยื่อเหล่านั้น ตาก็เห็นแต่เหยื่อเท่านั้นไม่เห็นอะไรมากไปกว่านั้น จึงเรียกว่าติดตมอยู่ในโลกนี้ในโลกของปุถุชนที่เต็มไปด้วยเรื่องทางวัตถุหรือทางเนื้อทางหนังบางท่านมีคำอุปมาที่ควรจดจำไว้อีกอย่างหนึ่งว่า คนเราที่จะก้าวไปถึงนิพพานหรือความดับทุกข์ได้นั้น จะต้องแทงตลอดสิ่งห่อหุ้มเป็นชั้นๆ เป็นลำดับๆ ไปทีเดียว อันแรกที่สุดก็ต้องแทงตลอดกายเนื้อ ให้ถึงกายทิพย์ โดยเข้าถึงกายทิพย์แล้ว จะต้องแทงตลอดกายทิพย์นั้น ให้เข้าถึงกาย (นาทีที่ 22:45 ไม่สามารถถอดเสียงได้) เมื่อเข้าถึงกาย (นาทีที่ 22:49 ไม่สามารถถอดเสียงได้) แล้วจะต้องแทงตลอดกาย (นาทีที่ 22:52 ไม่สามารถถอดเสียงได้) ให้เข้าถึงกายธรรม คือธรรมะจึงจะมีอาการที่เรียกว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน ที่เรียกว่ากายเนื้อในที่นี้ เค้าจะอธิบายกันอย่างไรก็ตามใจเถิด เหล่าพุทธบริษัททั่วไปควรจะเข้าใจว่า ได้เป็นเหยื่อล่อหรือกามคุณของปุถุชนในมนุษย์บนโลกนี้เอง กามคุณของมนุษย์ในโลกนี้เป็นเครื่องหุ้มห่อจิตใจสัตว์ ให้รู้จักแต่เพียงเท่านี้ ให้มัวเมาอยู่แต่เพียงเท่านี้ ไม่มองเห็นอะไรมากไปกว่านั้น ปุถุชนชนิดนี้จึงเหมือนกับปลาที่เป็นสัตว์น้ำล้วนๆ รู้จักแต่เรื่องน้ำ ถ้าปุถุชนดีไปกว่านั้นก็แทงตลอดกายเนื้อไปสู่กายทิพย์ได้ เพราะว่ากายทิพย์นั้นมีดีกว่ากายเนื้อ ข้อนี้หมายถึงกามคุณอันเป็นทิพย์หรือสวรรค์ (นาทีที่ 24:11-24:12 ไม่สามารถถอดเสียงได้) กามคุณอย่างมนุษย์ เพราะกามคุณอย่างมนุษย์นี้หยาบ หรือเลวทรามกว่ากันมาก เมื่อแทงตลอดกายเนื้อจะหมายความว่าเห็นว่า กามคุณอย่างมนุษย์นี้เลวเกินไปถึงได้ปรารถนากามคุณอย่างที่เป็นทุกข์หรือเป็นสวรรค์นี้พอจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ที่รู้จักปรารถนาขึ้นจากน้ำเป็นสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก เช่นอึ่งอ่าง คางคก หรือเต่าเป็นต้น เป็นสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก ถ้าไปกินอะไรบางอย่างที่บนบกได้บ้างก็ยังดี ที่นี้สูงไปกว่านั้นก็จะเป็นสัตว์บกล้วนๆ หมายความว่าผู้ที่ได้ผ่านการคิดไปแล้วพิจาราณาเห็นความหลอกลวง ความเป็นมายาของกามคุณอันเป็นทุกข์ ถึงได้ปรารถนากายพรหม คือความเป็นสุข สงบ ระงับอยู่ได้อยู่ด้วย ผลอันเกิดจากสมาธิ นิพพาน หรือสมาบัติ หมายความว่าไม่เกี่ยวกับกามารมย์ ทั้งที่เป็นอย่างมนุษย์หรืออย่างเป็นทุกข์ แต่เกี่ยวกับความสงบที่เกิดมาจากฌานจากสมาธิที่มีอยู่สองประเภทด้วยกัน ฌานหรือสมาธิประเภทแรกเรียกว่า รูปฌานอาศัยสิ่งที่มีรูปเป็นอารมณ์สำหรับเจริญฌาน ฌานประเภทที่สองเรียกว่าอรูปฌานอาศัยสิ่งที่ไม่มีรูป เป็นอารมณ์สำหรับการเจริญฌาน เพราะฉะนั้นความสุขที่ได้มาจากการเจริญฌานทั้งสองประเภทนี้ย่อมจะต้องต่างกันเป็นธรรมดา ที่เป็นรูปฌานก็หยาบกว่า ที่เป็นอรูปฌานก็ประณีตกว่า แต่แล้วก็เรียกว่าฌานให้ความสุขเกิดแต่ฌาน ได้ด้วยกันทั้งนั้นและทั้งสองอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ คือไม่เกี่ยวกับรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสแต่ประการใด จนถือว่าเป็นของสูงไปกว่ากายทิพย์ เรียกว่ากายพรหม มีอยู่เป็นสองประเภท พอจะเทียบได้กับสัตว์ที่เป็นสัตว์บกแห้งแล้งสนิทหรือเป็นสัตว์ที่บินไปได้ในอากาศเช่นนกเป็นต้น เรียกว่าเป็นผู้เข้าถึงกายพรหมมีจิตใจสูง พอที่จะไม่ลุ่มหลงในกามารมณ์ทั้งอย่างมนุษย์และอย่างเป็นพิษ แต่แล้วในที่สุดก็ยังเห็นได้สืบไปว่า มันยังไม่ที่สุดของความทุกข์ ยังยึดถือตัวตน ว่าตัวตนของตนเป็นเจ้าของความสุขชนิดนั้น เป็นเจ้าของตัวของตัวเอง เป็นเจ้าของทุกอย่างทุกสิ่งที่ตัวชอบ แล้วก็จะต้องหนักอกหนักใจ เพราะสิ่งที่ตนยึดถือว่าเป็นของตนดังนี้ จึงเห็นว่าเพียงเท่านี้ยังไม่พอ คือยังไม่สามารถจะดับทุกข์ได้ถึงที่สุด ถึงได้พยายามแทงตลอดกายพรหมนี้ออกไปหากายธรรมหรือธรรมะ ด้วยการพิจารณาเห็นว่า แม้ความสุขที่เกิดจากฌานจากสมาธิเป็นต้นนั้นก็ยังเป็นมายาหลอกลวงอันประณีตชั้นหนึ่งอยู่ จะต้องสละความถือในความสุขทั้งหมดนี้ด้วยเหมือนกัน จึงต้องออกไปสู่ที่ว่างที่โล่งที่เป็นอิสระ อย่ามัวเมาหลงใหลติดพันอยู่ในความสุขชนิดนี้เลย นี้เรียกว่าออกจากกายพรหมไปสู่กายธรรมะหรือว่าสักกายะคือตัวตนนั้นเป็นทุกข์หนัก เบญจขันธุ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน จะเป็นรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม ที่ประกอบอยู่ด้วย อุปาทานแล้ว จะต้องเป็นของหนักแก่บุคคลผู้แบกผู้ถือ คือยึดถือว่าเป็นของกูมันก็ต้องหนักอกหนักใจ และก็จะต้องหนักยิ่งขึ้น เมื่อสิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไป สมน้ำหน้าของผู้อยากแบกอยากถืออยู่ทุกวันทุกคืนแล้ว จนผู้ที่มีปัญญาพิจารณาเห็นความจริงข้อนี้ได้พยายามปล่อยวางสิ่งทั้งปวง มีจิตใจหลุดพ้นจากสิ่งที่เคยยึดถือนั้น นี้เรียกว่าลุถึงกายธรรมแล้วปล่อยวางในขั้นต้นและปล่อยวางไปตามลำดับๆๆ จนกระทั่งหมดจดสิ้นเชิง ผู้ที่เริ่มปล่อยวางในขั้นต้นนั่นแหละ คือพระโสดาบันผู้ที่ปล่อยวางไปตามลำดับๆ นั่นแหละคือพระสกิทาคามีและพระอนาคามี และผู้ปล่อยวางโดยสิ้นเชิง นั่นแหละคือพระอรหันต์ ท่านทั้งหลายจงเปรียบเทียบดูระหว่างความเป็นปุถุชนกับความเป็นพระอริยเจ้า ผู้ที่หลงอยู่ในกายเนื้อก็เป็นปุถุชนอย่างเลว เลวมาก ผู้ที่หลงอยู่ในกายทิพย์ก็เป็นปุถุชนที่ค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อย ผู้ที่หลงอยู่ในกายพรหม ก็ค่อยยังชั่วขึ้นมากว่านั่นอีกแต่ก้ยังเป็นปุถุชนนั่นเอง เป็นคนหนาอยู่ด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน ยึดนั่น ยึดนี้ โดยความเป็นตัวตนบ้าง โดยความเป็นของๆ ตนบ้าง นี้เรียกว่าปุถุชน จะอยู่ในมนุษย์ก็ตาม อยู่ในสวรรค์ก็ตาม อยู่ในพรหมโลกก็ตาม ก็ยังเป็นปุถุชนคนหนาคนหนัก ตนไม่รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริงแล้ว ก็ไปแบกไปถือสิ่่งทั้งหลายทั้งปวงไว้ด้วยความยึดถือของตน เพราะฉะนั้นจึงจัดว่าเป็นปุถุชนเสมอกันหมด จะเป็นพวกกายเนื้อหรือกายทิพย์หรือกายพรหมก็ตาม โดยพระอริยเจ้านั่นไม่ยึดถือเช่นนั่น ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น เป็นผู้ที่เริ่มปล่อยวาง ปล่อยวางความยึดถือว่าตัวตนหรือของๆ ตนตามลำดับมา พระโสดาบันเป็นอันดับแรกของพระอริยเจ้า เพราะปล่อยวางสักกายะทิฐิคือปล่อยวางความยึดถือว่ากายนี้ของตน เป็นผู้ละวิจิกิจฉาได้ไม่ลังเลสงสัยว่า ไอ้พวกกายเนื้อกายทิพย์กายพรหมนั่นเป็นของน่าเสน่หาอีกต่อไป เป็นผู้ที่แน่ใจว่า มันเป็นของเสียดแทง เป็นของหักเป็นของเผารนให้เร่าร้อน อย่าไปสนใจกับมันอีกเลย ไม่ว่าชั้นมนุษย์หรือชั้นเทวดาหรือชั้นพรหม เป็นผู้มีความไม่ลังเล เป็นผู้ที่แน่ใจว่าหนทางอันประกอบไปด้วยองค์แปดประการออกมาเสียห่างจากกามารมณ์ หรือจากกายทั้งสามนั่น นั่นแหละเป็นทางถูกแน่ พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ มีความหมายตรงที่หลีกห่างออกมาเสียจากภพจากชาติจากวัฏสงสารเหล่านั้นนี้เป็นของถูกแน่ มีความแน่ใจไม่ลังเลอย่างนี้เรียกว่าละวิจิกิจฉาเสียบ้าง วางละ (นาทีที่ 32:49-32:50 ไม่สามารถถอดเสียงได้) คือสิ่งต่างๆ ที่เคยประพฤติอย่างโง่เขลางมงาย ไม่รู้ความหมายมาแต่เก่าแต่ก่อน คือตั้งแต่เมื่อตนยังเป็นปุถุชนงมงายโง่เง่าโน้น เคยประพฤติยึดถือปฏิบัติมาอย่างแน่นแฟ้นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็มาละเสียบ้าง ก่อนนี้เคยพึ่งผีพึ่งศาลก็มาพึ่งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์บ้าง ก่อนนี้เคยถือผีถือสางเป็นสรณะ เดี๋ยวนี้ถือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะ ก่อนนี้ยึดถือว่าผีสางจะช่วยบำบัดทุกข์ให้บ้าง แต่เดี๋ยวนี้ถือว่าการปฏิบิติของตนเองตามมรรคมีองค์แปดเท่านั้นที่จะทำตนให้พ้นทุกข์ได้ คนอื่นไม่สามารถจะช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ได้ ตนจะต้องทำของตนเอง พระพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางดังนี้เป็นต้น เป็นผู้เลิกเชื่อเรื่องงมงาย เลิกปฏิบัติอย่างงมงาย และเลิกความโง่เขลางมงายทุกชนิดเสียบ้างแรกว่าละ (นาทีที่ 34:02-34:03 ไม่สามารถถอดเสียงได้) เสียบ้างเมื่อละได้สามอย่างนี้ ท่านเรียกว่าเป็นพระโสดาบันคือเป็นพระอริยเจ้าในอันดับแรก พิจารณาดูจะเห็นได้ว่าหลักใหญ่ๆ ของการเป็นพระอริยเจ้านี้อยู่ตรงที่ไม่ยึดถืออย่างงมงาย ไม่มีความเข้าใจผิดอยางงมงายอีกต่อไป เมื่อยังเป็นปุถุชนเป็นเหมือนกับปลา อยู่ในน้ำหรือเป็นเหมือนกับเต่าที่อยู่ครึ่งน้ำครึ่งบก หรือเป็นเหมือนกับช้างม้าโคกระบือที่เป็นสัตว์บก หรือเป็นเหมือนอย่างนกอย่างกาที่เป็นสัตว์อากาศ คนล้วนแต่จะเห็นแก่กามารมณ์เห็นแก่ความสุขหรือเห็นแก่สุขเวทนาที่ยึดถือเอาเป็นตัวเป็นตน เป็นของตนด้วยกันทั้งนั้น แต่ครั้นมาถึงขั้นที่เป็นพระอริยเจ้าก็เลิกเป็นสัตว์อย่างนั้นกันเสียที ถ้าจะเปรียบเทียบก็คือเป็นมนุษย์ดีกว่าเป็นสัตว์ก็จะมีความรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ เพราะเต็มไปด้วยความโง่เขลางมงาย ไม่รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง เป็นผู้ที่มีจักษุคือดวงตาขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ไม่มีจักษุไม่มีดวงตาคือไม่มีปัญญา ไม่รู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง บัดนี้มีจักษุมีดวงตาคือมีปัญญารู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา คือเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเรื่อยไม่หยุดหย่อน เป็นสิ่งที่ทำความทรมานแผดเผาให้แก่บุคคลที่เข้าไปยึดถือว่านี่เป็นของฉัน และเป็นสิ่งที่ไร้สาระตัวตนที่ยึดถือเอาเป็นแน่เป็นนอนได้ นี่เรียกว่าอนิจจังทุกขังอนัตตา ผู้ใดเห็นความจริงของสิ่งทั้งปวง ว่าทุกสิ่งเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาดังนี้แล้วไม่ยึดถือโดยความเป็นตัวตนหรือเป็นของๆ ตน คนนั้นก็รอดตัวไปได้ คือไม่ถูกสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเบียดเบียนให้เป็นทุกข์แต่ประการใด เรียกว่าเป็นผู้ที่ลืมตาเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวง จนสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เกิดเป็นพิษเป็นสงขึ้นมาได้ ก่อนแต่หน้านี้ ก่อนหน้าแต่นี้เป็นปุถุชนคนโง่คนหลง ไม่รู้จักสิ่งทั้งปวง เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งปวง ในลักษณะถูกสิ่งทั้งปวงนั้นตบหน้าเอาบ้าง ทิ่มแทงเอาบ้าง เผารนเอาบ้างตามประสาของคนโง่ นี้ถ้าเราพิจาราณาดูในแง่ของการเปรียบเทียบแล้ว เราจะเห็นได้ว่ามันตรงกันข้ามที่เดียวเป็นคนละอย่างละทาง อธิบายว่าถ้าเราจะปล่อยไปตามเรื่องของปุถุชน ตามที่มันเป็นไปเองตามธรรมชาติของสัตว์ ที่มีกิเลสหนามีไฝฝ้าในดวงตาหนา คือคนธรรมดาเรานี้แล้วมันก็ต้องหมกจมอยู่ในน้ำหรือในความทุกข์เช่นเดียวกับปลา ดังที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ต้น มันไม่มีทางที่จะมีไปได้กว่านั้น เพราะมันเป็นธรรมดาอย่างนั้นเองแต่ถ้าเรา จะได้อาศัยบารมี ของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เอาหลักเกณฑ์เหล่านั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็จะเป็นการแก้ไขปลานั้นให้พ้นจากความเป็นปลา ให้รู้สึกคิดนึกพินิจพิจารณาเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงให้ถูกต้องตามที่เป็นจริง ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวงได้ คือเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงได้ ในลักษณะที่มันจะไม่ตบหน้าเราแต่จะเป็นผู้มีความชนะเหนือสิ่งเหล่านั้นเอาชนะสิ่งเหล่านั้นบ้าง เอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นบ่าวเป็นทาสบ้าง ให้ได้รับความสะดวกสบายอย่างอื่นอีกต่อไป แต่ไม่ใช่เอามาเป็นนายของเราอย่างเดียว เปรียบเทียบข้อนี้กับเรื่องของกามารมณ์ ปุถุชนคนหนาเข้าไปเกี่ยวข้องกับกามารมณ์ในลักษณะที่จะถูกแผดเผาเสียดแทงตบตี จะต้องมีจิตใจชอกช้ำเหมือนที่ได้ตรัสไว้ว่า เป็นเหมือนกับเขียงรองสับเนื้อ เป็นกระดานที่มีไว้สำหรับรอง หั่น หรือสับเนื้อ ในครัว เหมือนไม่ต้องชอกช้ำกับ (นาทีที่ 39:48-39:49 ไม่สามารถถอดเสียงได้) ถ้าเป็นปุถุชนคนเขลาเข้าไปเกี่ยวข้องกับกามารมณ์หรือสิ่งใดๆ ก็ตามในโลกนี้จิตใจของเขาจะต้องเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าไปในลักษณะของบุคคลผู้มีความรู้ มีพระอริยเจ้า ผลก็จะเกิดกลับเป็นตรงกันข้าม หรือจะไม่เป็นอย่างนั้น จะไม่ถูกกระทำอย่างนั้น แต่จะเป็นไปตามความประสงค์ที่ควรจะเป็นไปอย่างไร ให้สำเร็จประโยชน์ได้ตามความต้องการ พูดสั้นๆ ก็คือว่า ถ้ามีกิเลสหลับตาเข้าไป ก็ต้องไปเป็นบ่าวเป็นทาสของมัน ถ้าไม่มีกิเลสลืมตาเข้าไปก็ไปเป็นนายเป็นเจ้าของมัน การเป็นบ่าวเป็นทาสกับการเป็นนายเป็นเจ้า จึงต่างกันตรงกันข้ามอยู่แล้ว พอที่จะเข้าใจกันได้ว่าอย่างไหนเป็นอย่างไร ควรจะเลือกกันได้อย่างไร นี้เป็นตัวอย่างสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น ท่านเรียกว่าสังขารทั้งปวงหรือจะเรียกว่าโลกทั้งปวงก็บ้าง สังขารทั้งหลายทั้งปวงโลกทั้งปวงคืออะไรๆ ทั้งหมดทั้งสิ้นบรรดาที่มีอยู่ในโลกนี้ มันมีลักษณะเฉพาะของมันอยู่อย่างหนึ่งซึ่งเด็ดขาด ไม่มีเปลี่ยนแปลง ได้แก่ลักษณะสามประการที่กล่าวแล้วข้างต้น คือลักษณะที่มันเปลี่ยนแปลงเรื่อย ลักษณะที่มันจะใส่ความทุกข์ให้แก่บุคคลที่เข้าไปยึดถือด้วยความโง่ความเขลา ว่านี้ของกู แต่มันมีลักษณะ ที่เหลวคว้างเป็นมายา ไม่มีตัวไม่มีตนไม่มีสาระแก่นสาร เรียกว่าว่างจากตัวตนดังนี้อยู่เป็นประจำ เมื่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา ดังนี้อยู่และคนโง่เข้าไปเกี่ยวข้องยึดถือว่าจะให้เป็นของเที่ยง เป็นของสุข และเป็นอัตตาดังนี้ มันก็ไม่เป็นไปตามใจหวัง ในที่สุดมันก็จะต้องนั่งลงน้ำตาเช็ดหัวเข่า ในทุกกรณี ที่ต้องการจะให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามความต้องการของตน นี่แหละเรียกว่าเป็นผู้หลับตาเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ได้รับผลคือความทุกข์ แต่ถ้าเป็นบุคคลที่ได้ยินได้ฟังคำของพระอริยเจ้า มีสติปัญญาพิจารณาเห็นความจริง ในสิ่งทั้งปวงแล้ว มีจิตใจไม่ยึดถือสิ่งใดเป็นจริงเป็นจัง ไม่อยากเอาไม่อยากได้ไม่อยากเป็นสิ่งใดๆ หรือภาวะใดๆ ด้วยความยึดถือจริงๆ จังๆ เพราะเห็นความไม่เที่ยงและหลอกลวงเป็นมายาอยู่อย่างแจ่มชัด ก็จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ด้วยอาการตรัสว่าเป็นของสมมุติ เป็นของชั่วคราว เป็นของเล่นๆ หลอกๆ เป็นของอาศัยชั่วคราวเพื่อให้เกิดความรู้ที่ถูกต้องต่อไปข้างหน้าเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อลุ่มหลงในสิ่งนั้นดังนี้ ผลที่เกิดขึ้นก็เป็นไปในทางที่จะ ให้เกิด ความสะอาดสว่างสงบ ผิดจากแต่ก่อนซึ่งเต็มอัดอยู่ด้วยความเศร้าหมองมืดมัวและเร่าร้อน เราได้อาศัยคำสอนของพระอริยเจ้ามีพระพุทธเจ้าเป็นประธานมาเป็นหลักในเบื้องต้น ให้พิจารณาเห็นความจริงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ (นาทีที่ 44:07 ไม่สามารถถอดเสียงได้) และพิจารณาเรื่อยไปตามลำดับ ไฝฝ้าในดวงตาก็จะค่อยบางเข้าเองจนกระทั่งหมดสิ้นไป ข้อที่ไฝฝ้าในดวงตาบางลงบางลงนั่นแหละ เรียกว่าการละจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้าตามลำดับๆ จนกว่าจะหมดไฝฝ้าในดวงตาก็เป็นพระอรหันต์ รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริงไม่หลงไหลสิ่งใดอีกต่อไป เมื่อไม่หลงไหลก็ไม่อยากในสิ่งใดอีกต่อไป เมื่อไม่อยากในสิ่งใดอีกต่อไป ความทุกข์ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นจากสิ่งใด จึงเป็นผู้อยู่นอกเหนืออำนาจของสิ่งทั้งปวง อยู่นอกเหนือความทุกข์ ที่จะเกิดขึ้น ไม่มีทางที่ความทุกข์จะเกิดขึ้น แต่จิตใจของบุคคลที่มีความรู้แจ้งเห็นจริงในลักษณะดังที่กล่าวนี้ เมื่อเค้าเป็นผู้มีความเป็นผู้รู้แจ้งเห็นอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก แล้วความทุกข์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ขอให้ลองพิจารณาดูก็พอจะเข้าใจกันได้ด้วยกันทุกคน ปัญหาหรือหน้าที่มีอยู่ตรงที่ว่าทำอย่างไร เราจะรู้แจ้งเห็นจริงต่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ข้อนี้ก็อาศัยหลักเกณฑ์การธรรมดาหรืออาศัยกฏธรรมดานั่นอีกเหมือนกัน เราจะต้องประกอบในทางที่ตรงกันข้าม คือไม่ปล่อยไปตามอำนาจของกิเลส ตามธรรมชาติธรรมดา แต่ถ้าใครยังตระหนักที่จะปล่อยไปตามอำนาจของกิเลสตามธรรมชาติธรรมดาก็ทำได้ไม่มีใครว่าจะได้เป็นปุถุชนคนหนา หนาไปในกิเลสแล้วความทุกข์ต่อไปตามเดิม แต่ถ้าใครเบื่อก็มีทางจะทำได้เหมือนกัน ในการที่จะหลีกออกมา และหาวิธีการอันแยบคายของพระพุทธเจ้าเพื่อชำระไฝฝ้าในดวงตาให้บางลงไปจนกระทั่งหมดสิ้น ข้อนี้ได้แก่การพินิจพิจารณา ตามหลักที่ได้ตรัสไว้หรือวางไว้ คือหลักแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นแหละ เค้าจะต้องพิจารณาสิ่งที่ได้ผ่านมาแล้วให้ถูกต้องแล้วแยบคายที่สุด จะไปพิจารณาสิ่งอื่นนอกจากนี้นั้นไม่ได้ ไม่อาจจะพิจารณาได้ เราจะต้องพิจารณา แต่สิ่งที่เราได้ผ่านมาแล้วจริงๆ แต่หนหลังหรือกำลังผ่านอยู่ ต้องเอาเรื่องจริงมาพูดกัน ต้องเอาเรื่องจริงมาพินิจพิจารณากัน ต้องเอาเรื่องในหนังสือ หรือได้ยินได้ฟังมาแต่อื่น มาเป็นตัวจริง แล้วเชื่อตามนั้นๆ ทำไม่ได้ ไม่สำเร็จประโยชน์ถึงที่สุด เราจะต้องเอาเรื่องที่เราได้ผ่านกันมาแล้วจริงๆ ในชีวิตของเราเองมาเป็นหลักสำหรับพินิจพิจารณาให้เกิดความรู้ความเข้าใจแจ่มแจ้ง ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นว่าเรามีอายุมาถึงป่านนี้แล้วได้ผ่านอะไรมาบ้าง ผ่านรูปเสียงกลิ่นรส โสตสัพพะ อะไรมาบ้าง เคยมีเงินมีของมีทองมีอะไรมาแล้วทั้งนั้น ได้เคยวับัติพรัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจมาแล้วทั้งนั้น เคยรับภาระหนักหลายด้านหลายมุมมาแล้วทั้งนั้น แล้วก็กำลังแบกภาระหนักอยู่ตลอดเวลาแม้กระทั่งบัดนี้ มีความสุขบ้างไปอย่างหลอกๆ หลอกตัวเอง หลอกใจว่ามีความสุข ก็โดยที่แท้แล้วมันหนักอึ้งอยู่ด้วยความรับผิดชอบที่ตนยังแบกอยู่ก็ยังยึดถือว่านั่นมันของฉัน นี่ก็เป็นของฉันไม่มีที่สิ้นสุด เค้าจะต้องพินิจพิจารณาถึงตัวความทนทรมานอันนี้ให้เห็นชัด และให้เห็นชัดต่อไปว่า มันเกิดมาจากอะไร ซึ่งในที่สุดก็จะเห็นชัด ได้ด้วยตนเองว่า มันเกิดมาจากความอยาก อยากให้เป็นอย่างนั่น อยากให้เป็นอย่างนี้ อยากได้นั่นอยากได้นี้นี่เอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ถ้าเราไม่อยากอย่างนี้แล้ว ความทุกข์ไม่อาจจะเกิดได้เลย แต่ถ้าเราอยากมันก็ต้องเกิดความทุกข์มันห่วงว่าจะไม่ได้สมอยากมันก็เกิดความทุกข์ ได้มาสมอยากแล้ว มันก็ห่วงว่าจะวิบัติพลัดพรากไป หรือจะมีภัยมาแย่งชิงมันก็เป็นทุกข์ นอนหลับไม่สนิทเท่ากัน ถ้ายังไม่ได้ก็เป็นห่วงว่าจะไม่ได้ นอนไม่หลับ ได้มาแล้วก็เป็นห่วงว่าจะวิบัติพรัดพรากไปก็นอนไม่หลับ ถ้าวิบัติพลัดพรากไปจริงๆ มันก็ยังนอนไม่หลับ หมายความว่า ความอยากได้ อยากเอา อยากเป็น อยากให้คงอยู่ หรืออยากอะไรต่างๆ ซึ่งรวมเรียกกันว่าตัณหานี้นั่นเป็นที่งอกงามของความทุกข์ ด้วยประการทั้งปวง ถ้าเมื่อใดมีตัณหาเมื่อนั้นก็ต้องมีความทุกข์ กามตัณหาอยากได้ในทางกามก็เป็นทุกข์ไปตามเรื่องราวของทางกาม ภวตัณหาอยากเป็นนั้นอยากเป็นนี้อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ได้มีความทุกข์ ไปตามประสาของภวตัณหา เช่นอยากเป็นพ่อของเค้าอยากเป็นแม่ของเค้าก็ต้องได้รับความทุกข์อย่างเป็นพ่ออย่างเป็นแม่ หรือว่าอยากเป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็ต้องได้รับความทุกข์ไปตามประสาคนที่เป็นพ่อบ้านแม่เรือน ไม่อยากเป็นนายเป็นบ่าวก็ต้องได้รับความทุกข์ไปตามประสาที่เป็นนายหรือเป็นบ่าว จะเป็นอะไรๆ ก็ต้องได้รับความทุกข์ไปตามประสาของความเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น เป็นเศรษฐีก็ต้องได้รับความทุกข์อย่างเศรษฐี เป็นขอทานก็ต้องได้รับความทุกข์ อย่างขอทาน เป้นคนมีบุญก็ต้องมีความทุกข์ไปตามประสาหรือแบบอย่างของคนมีบุญ เป็นคนไม่มีบุญก็มีความทุกข์ไปตามประสาของคนที่มีบาป เป็นคนดีในโลกนี้ก็ต้องมีความทุกข์ไปตามประสาของคนดีในโลกนี้ ลองคิดดูทีว่า คนดีชนิดไหนที่จะไม่มีความทุกข์ไปตามประสาของคนดีก็ยังมีความโลภความโกรธความหลงความยึดถืออะไรต่างๆนานาว่าเป็นของฉัน มีบุคลลที่ต้องเลี้ยงดูมากรับผิดชอบมาก มีภาระหน้าที่ที่จะต้องทำมาก ก็ต้องมีความทุกข์ไปอย่างคนดี คนชั่วก็มีความทุกข์ไปอย่างคนชั่ว เป็นมนุษย์ก็ทุกข์อย่างมนุษย์ เป็นเทวดาก็ทุกข์อย่างเทวดา เป็นพรหมก็ทุกข์อย่างพรหม ภวตัณหาข้อไหนบ้างที่ไม่นำมาซึ่งความทุกข์ ในที่สุดแต่การได้เป็นนั้นได้เป็นนี้สมตามที่ตนอยากอย่างทุกประการแล้วแต่จะเลือกเอานั่นก็ยังเป็นทุกข์เพราะความยึดถือในการเป็นนั่นเป็นนี้ที่ตัวได้เป็นแล้วมันเป็นของหนัก หนักอยู่บนอิฐบนใจ ว่าตนเป็นนั่นเป็นนี้แล้วกลัวจะไม่ได้เป็น กลัวจะถูกถอด กลัวจะเปลี่ยนแปลงไปดังนี้เป็นต้น มันอยากไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปมันจึงเป็นทุกข์ แม้ตัณหาประเภทวิภวตัณหา อยากให้เป็นอย่างนั้นอยากให้เป็นอย่างนี้ กระทั่งอยากจะตายเสียอย่างนี้มันก็ยังเป็นทุกข์ จะเข้าใจว่าคนที่อยากตาย และได้ตายจริงๆ นั้นจะเป็นความสุข มันก็เป็นความทุกข์ไปอย่างนึง ความอยากให้เป็นอย่างนั้นอยากให้เป็นอย่างนี้นั้นก็เป็นความทุกข์ถ้าเอาความอยากเป็นอย่างนั้นความอยากเป็นอย่างนี้ ซึ่งที่เราไม่ชอบเราก็ไม่อยากเป็น มันก็ต้องเป็นทุกข์เพราะกลัวจะต้องเป็น เช่นเป็นผู้ที่น้อยหน้าต่ำตากว่าเค้าอย่างนี้เราไม่อยากเป็น แต่รวมความแล้วถ้าเป็นความอยากไม่ว่าชนิดไหนหมดจะต้องเป็นที่ตั้งของความทุกข์โดยแน่นอน ขอให้ทุกคนพิจาราณาดูความจริงข้อนี้จากสิ่งที่ได้ผ่านมาแล้วด้วยตนเองว่าเคยเป็นอะไรมาบ้าง เคยเป็นเด็กมาแล้ว ก็ลองคิดดูว่าเป็นเด็กนั่นมันสนุกไหม ในที่สุดก็คงจะสั่นหัว นี้ก็เราเคยเป็นเด็กมาแล้วต่างหากถ้าเรายังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่หรือไปถามเด็กเล็กๆ ดูมันก็คงจะตอบว่าสนุก แต่ถ้าถามเราซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้วคงสั่นหัวว่าเป็นเด็กนั่นไม่สนุกแน่ ถ้าจะถามว่าเป็นคนหนุ่มเป็นคนสาว ตามเรื่องตามราวของคนหนุ่มคนสาวสนุกไหม คนหนุ่มคนสาวคงจะตอบว่าสนุก แต่ถ้าคนที่ได้ผ่านความเป็นหนุ่มเป็นสาวไปอย่างสมบูรณ์แล้วก็คงจะสั่นหัวอีกอย่างเดียวกัน ท่านมาถึงพ่อบ้านแม่เรือนมาถึงคนเฒ่าคนแก่กระทั่งคนเข้าโลง เรื่องมันก็อย่างเดียวกันอีกคือไม่มีอะไรที่น่าสนุกน่าเป็น พิจารณาเห็นอย่างนี้จึงจะเกิดความเข้าใจหรือความรู้แจ้งอันถูกต้องว่าภวตัณหาคือความอยากเป็นนั่นเป็นนี้ เป็นความทุกข์หรือเป็นทางมาแห่งความทุกข์อันจะได้หมดอยากและไม่ทุกข์กันอีกต่อไป ทั้งหมดนี้สรุปความว่าบทเรียนของพระธรรมนั้นต้องเรียนจากเรื่องจริง จะเรียนจากหนังสือฟังเอาอย่างที่กำลังเทศน์อยู่นี้ ไม่พอ จะต้องเรียนจากเรื่องจริงในจิตในใจของตนเองในเรื่องที่ได้ผ่านมาแล้วด้วยตนเอง ถึงจะได้มีความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเช่นกำลังบอกอยู่ว่าตัณหาเป็นความทุกข์หรือเป็นเหตุให้เกิดทุกข์นี้ ยังฟังไม่ถูกจนกว่าจะได้รู้จักตัวตัณหาจริงๆ สักก่อน และรู้ว่าตัณหานั่นได้ทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง นั่นแหละจึงจะมองเห็นตามที่เป็นจริงว่าตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็จะได้แต่ความจำหรือความเชื่ออย่างงมงายไปเท่านั้นเอง จริงอยู่มันดีกว่าไม่รู้หรือไม่ได้ยินได้ฟังซะเลย แต่มันยังไม่พอ ยังไม่พอที่จะดับความทุกข์ได้ จะต้องเห็นแจ้งประจักษ์ชัดในใจ ด้วยเรื่องเราจริงๆ ของตน ตัณหาจึงจะค่อยจางไปละลายสูญหายไปในกรณีนั้นๆ นี้แหละเรียกว่าความรู้แจ้งเห็นจริงหรือความดับทุกข์ได้จริง ต้องเป็นไปในใจจริงๆ ต้องเป็นเรื่องจริงๆ ถ้าเราไม่มองเห็นความจริงข้อนี้ด้วยใจเองด้วยใจจริงก็เรียกว่ายังไม่มองเห็น ยังจะต้องงมงายไปก่อน แต่ถ้าเรามองเห็นพิจารณาเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้ว ก็จะมองเห็นสืบต่อไปถึงจิตใจของพระอริยเจ้าหรือพระอรหันต์ว่าการที่พระอรหันต์มีจิตใจหมดจดสิ้นเชิงจากกิเลสตัณหานั้นจะเป็นสิ่งที่น่าบูชาสักเพียงใด จะเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาสักเพียงใดจะเป็นความดับทุกข์หมดจดสิ้นเชิง สักเพียงไร และการที่เราป่าวประกาศตนว่านับถือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นั่นหนะจะมีความหมายขึ้นมา หรือการที่เราจะทำพิธีวิสาขบูชาเป็นที่ระลึกแก่พระอรหันต์ในวันนี้เป็นต้นนี้ก็จะมีความหมายแท้จริงขึ้นมา โดยมีเหตุที่เราหยั่งทราบถึงจิตใจของพระอรหันต์ว่ามีความสะอากสว่างสงบ ถึงที่สุดเพียงไรดังได้กล่าวแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของคนทุกคนจะต้องรีบพยายามพินิจพิจารณาจากความจริงของตนภายในใจของตนให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้คือให้รู้จักกิเลส ให้รู้จักเหตุของความทุกข์คือกิเลส จะให้รู้จักผลคือความทุกข์ที่เกิดมาจากกิเลสอย่างไรแล้วก็จะรู้ได้เองว่าการที่ความทุกข์จะดับไปนั่น มันจะต้องเพราะดับกิเลส จะได้มีความพอใจในการที่จะดับกิเลสจะได้มีความพากเพียรและกล้าหาญในการที่จะดับกิเลส ไม่ขี้ขลาดเหมือนกับที่แล้วๆ มาแต่หนหลังไม่หน้าไหว้หลังหลอกแต่ตัวเอง ซึ่งปากก็อยากจะพ้นทุกข์ แต่จิตใจยังรักที่จะจมอยู่ในความทุกข์เพราะความไม่รู้ตามที่เป็นจริง บัดนี้มารู้ชัดตามที่เป็นจริงไม่ต้องเชื่อตามคนอื่นอีกต่อไปว่ากิเลสเป็นอย่างนี้ๆ กิเลสนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ขึ้นมาอย่างนี้ๆ เห็นชัดด้วยใจเองจนถึงกับสามารถจะตัดกิเลส หรือบรรเทากิเลสเป็นอย่างน้อยเสียให้ได้ ด้วยความทุกข์ดับไปหรือเบาบางไปตามส่วน นั่นแหละเรียกว่าเป็นผู้ที่กำลังทำตามอย่างพระอรหันต์อย่างถูกต้อง เป็นผู้อ้างเอาพระอรหันต์เป็นตัวอย่างแล้วกระทำตามรอยของท่านอย่างถูกต้อง อย่างเหมาะสมกับที่เป็นพุทธบริษัทหรือเป็นภายกภายิกาทำตนให้เป็นผู้ที่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่เราควรจะได้รับไม่ให้เสียทีที่ได้เกิดมา เมื่อเป็นดังนี้ทุกคนควรจะถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรงที่คนทุกคนจะต้องทำกล่าวคือการทำความดับทุกข์หรือดับกิเลสตัณหานี่แหละเป็นหน้าที่ที่คนทุกคนจะต้องทำ ถ้าถามว่าเกิดมาทำไม ควรจะตอบว่าเกิดมาดับกิเลสตัณหาหรือดับทุกข์นี้แหละมากกว่าที่จะเห็นว่าเกิดมาเพื่อทำมาหากินเพื่อความสนุกสนานเอร็ดอร่อยเพลิดเพลินทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายเป็นต้น การเกิดมาเพื่ออย่างนั้นๆ มันน้อยเกินไปเพราะเป็นการเกิดมาเพื่อเป็นบ่าวของกิเลส กิเลสเป็นนายบังคับเที่ยวแสวงหาเหยื่อทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย กล่าวคือรูปเสียงกลิ่นรสและโสตผัสสะที่ยั่วยวนเป็นทาสของกิเลสแล้ว ก็ลงทุนแสวงหาไปเถิด แต่ก็มีโวหารที่จะเรียกเสียใหม่ว่าเกิดมาเพื่อทำมา หากินเพื่อการอยู่ดีกินดี โกหกตัวเองอย่างนี้ดีกว่าที่จะบอกตรงๆ ว่าเกิดมาเพื่อเป็นทาสของกิเลส การที่เกิดมาเป็นทาสของกิเลสนั้น ดูเหมือนจะไม่เป็นที่น่าอับอายขายหน้าของคนพวกนี้เลย แต่ว่าเป็นที่น่าอับอายขายหน้าสำหรับพระอริยเจ้าเป็นส่วนมาก ถ้าเราจะไปด่าพระอริยเจ้าว่าเป็นทาสของกิเลส ท่านคงจะรู้สึกว่าน่าเจ็บปวดยิ่งกว่าการด่าพ่อด่าแม่อย่างอื่นหมด เพราะว่าการเป็นบ่าวเป็นทาสของกิเลสนั้นมันมีความหมายลึกซึ้งเกินกว่าสิ่งใดๆ หมดคือเป็นการเสียหายหมดจดไม่มีอะไรเหลือ เป็นการที่น่าฉิบหายไม่มีอะไรเหลือสำหรับความเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าท่านจึงกลัว ท่านจึงพยายามทำให้หมด กิเลสเสียโดยเร็ว จนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ส่วนคนธรรมดาสามัญหรือปุถุชนนั้น กลับถือเสียว่าเราเกิดมาเพื่ออย่างนี้ เราก็ต้องเป็นอย่างนี้ เราอยากเป็นอย่างนี้ จนตลอดชีวิตดังนี้ก็แปลว่าเกิดมาอย่างปลาแล้วก็ต้องตายไปอย่างปลา หลับหูหลับตาเกิดมาแล้วก็หลับหูหลับตาตายไป พระพุทธเจ้าท่านถือว่า เท่ากับไม่ได้เกิดหรือเสียชาติเกิด แต่คนเหล่านี้ก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย และก็ไม่เห็นว่าเป็นการด่าที่ตรงไหนเพราะตนประสงค์เพียงเท่านี้ มีความอยากเพียงเท่านี้ มีความต้องการเพียงเท่านี้ จึงได้ตอบว่าเกิดมาเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อหาสิ่งต่างๆ ตามที่ต้องการซึ่งที่แท้เป็นความต้องการของกิเลสตัณหา ไม่ใช่ความต้องการของสติปัญญา ถ้าเป็นความต้องการของสติปัญญามันคงไม่ต้องการสิ่งที่มาเป็นนาย หรือมาทำให้เป็นบ่าวเป็นทาสของมัน มันคงต้องการอิสระภาพต้องการความไม่มีทุกข์เลย ต้องการความเป็นนายเหนือกิเลส ต้องการที่จะไม่ไปติดข้องอยู่ในเหยื่อใดๆ ทั้งสิ้น นี่แหละเรียกว่าความต้องการ ของสติปัญญา ถ้าเป็นความต้องการของกิเลสตัณหาแล้ว ก็คือหลับหูหลับตากินเหยื่อไม่มีที่สิ้นที่ซ่าง สมัครที่จะเป็นบ่าวเป็นทาสของเหยื่อทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย ไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมนอนจมอยู่ในกองทุกข์มั่วสุมอยู่ด้วยกิเลสนานาชนิดนั้น นี่คือนิสัยของปุถุชนที่มีความรู้สึกเพียงเท่านี้ มีความคิดนึกเพียงเท่านี้ มีความสมัครใจอย่างนี้ เกิดมาเพียงเพื่อความเป็นอย่างนี้จึงได้เห็นไปว่าหน้าที่ของคนเรานั้นคือการแสวงหาเหยื่อ มากินเข้าไปก็แล้วกัน ส่วนพระอริยเจ้าท่านถือว่าหน้าที่ของคนเรานั้นคือการดับกิเลสตัณหาชนิดที่จะไม่ต้องกินเหยื่ออีกต่อไป ผู้ที่เป็นปุถุชนคนเขลามีเนื่อมีตัว เป็นของกิเลสตัณหาหมดสิ้น ส่วนพระอริยเจ้านั้นมีเนื้อมีตัวเป็นของสติปัญญามันจึงต่างกันเดินกันคนละทิศคนละทาง หน้าที่ที่รู้สึกมันจึงต่างกันคนหนึ่งมีหน้าที่ที่จะเป็นนายเหนือตัณหาเหนือกิเลสตัณหา แต่อีกคนหนึ่งจะเป็นบ่าวเป็นทาสของกิเลสตัณหา แล้วมันจะมาพูดรู้เรื่องกันได้อย่างไร นี่แหละคือการที่ฟังเทศน์ไม่เข้าใจพูดธรรมะไม่รู้เรื่อง พูดกันตั้งแต่หนุ่มจนแก่ก็ไม่เคยรู้เรื่อง ในที่สุดก็เหมาเอาว่าเป็นเรื่องไร้สาระไปดังนี้ก็มี แต่ข้อที่ตัวเองหลับหูหลับตาเป้นกุ้งเป็นปลาจมอยู่ในน้ำมากเกินไปนั้น หาได้สำนึกไม่ขอได้พยายามนึกคิดกันเสียใหม่ในวันนี้ซึ่งเป็นวันศักดิ์สิทธิ์เป็นวันมาฆบูชา คือเป็นวันของพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าวันใดหมด ถ้าคิดดูให้ดี อาตมาพูดอย่างนี้ไม่ใช่แกล้งพูด แต่คนอื่นเค้าอาจจะเห็นเป็นอย่างอื่นเช่นเห็นว่าวันวิสาขบูชาต่างหากที่สำคัญ ก็วันนั่นเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นจึงเป็นวันสำคัญยิ่งว่าวันมาฆบูชา แต่อาตมาอยากจะแนะให้คิดว่า พระพุทธเจ้าก็เป็นเพียงพระอรหันต์องค์หนึ่งเท่านั้น ส่วนวันมาฆบูชาเช่นวันนี้นั้น มันเป็นวันสำหรับพระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ รวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วย ก็คิดดูเถิดว่าวันมาฆบูชากับวันวิสาขบูชานี้วันไหนจะสำคัญกว่ากัน วันไหนจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน ในเมื่อวันวิสาขบูชา มีความหมายถึงแต่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์เดียว เป็นจอมพระอรหันต์ก็จริง แต่วันมาฆบูชานั้นมันหมายถึงพระอรหันต์ทุกองค์รวมทั้งพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นจอมพระอรหันต์นั่งเป็นประธานอยู่ด้วย แล้ววันไหนจะสำคัญกว่าวันไหนนึกเอาเองก็แล้วกันไม่ต้องเถียงกันให้เหนื่อย แต่ถ้าเห็นว่าวันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญที่สุดจริงๆ ดังนี้แล้วก็จงถือโอกาสในวันแห่งวันนี้แหละ เป็นวันที่ตั้งต้นกันใหม่สำหรับคนที่ยังไม่เคยตั้งต้น เป็นวันที่สานให้ดีสืบต่อไปสำหรับคนที่ได้ตั้งต้นมาแล้ว และตั้งต้นมาอย่างดีแล้ว รีบกระตือรือร้นให้ก้าวหน้าไปโดยเร็ว รวมความว่าในวันเช่นวันนี้นั้นจะต้องเป็นวันที่ ทุกคนทำเพื่อความสะอาดสว่างสงบ อันเป็นความหมายแท้จริงของความเป็นพระอรหันต์ หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนที่นับถือพระพุทธศาสนาจะได้พินิจพิจารณาถึงความจริงข้อนี้ แล้วพยายามใช้วันนี้ให้สำเร็จประโยชน์ดังที่กล่าวมา โดยเห็นว่ามันเป็นหน้าที่ของเรา ถ้าท่านมีปัญหาต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดี อาตมาก็ขอให้น้อมระลึกนึกถึงหัวข้อพระธรรมเทศนาข้างต้น ที่ได้ยกขึ้นไว้เป็นนิกเขปบทว่า "สัพพปาปสะ อะสะระนัง กุสะระทู้ ประสัมประทา สะจิตะปะริโย ทะปันนัง เอตัง พุทธา นสาสะนัง" ซึ่งมีใจความว่า "สัพพปาปสะ อะสะระนัง" การกระทำความชั่วทุกชนิด "กุสะระทู้ ประสัมประทา" การทำความดีให้ครบถ้วน "สะจิตะปะริโย ทะปันนัง" การชำระจิตให้บริสุทธิ์สะอาด "เอตัง พุทธา นสาสะนัง" นั่นแหละคือคำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นแหละคือศาสนาของพระพุทธเจ้าดังนี้ ข้อนี้ไม่ยากที่จะได้ยินได้ฟัง ทุกคนได้ยินได้ฟังนานแล้วเป็นส่วนมาก บางคนเก่งถึงกับว่าเดาเอาเองกันบ้าง เพราะความชั่วเป็นสิ่งที่ไม่ต้องทำเด็ดขาด ความดีเป็นสิ่งที่ต้องทำแน่ จิตก็เป็นสิ่งที่ต้องชำระ เค้ามีความเห็นในข้อนี้ มีความเชื่อในข้อนี้ แต่แล้วก็ยังมีปัญหาเหลืออยู่อีกนั่นเองคือไม่มีใครทำอย่างนี้ ไม่มีใครละความชั่ว ไม่มีใครทำความดี ไม่มีใครชำระจิตให้หมดจดจากเรื่องเศร้าหมองใจอย่างจริงๆ จังๆ เลย ทำเพียงหลอกกันเล่นเท่านั้น ทำเพียงไม่ให้เค้าว่าได้เท่านั้น แล้วจะไปได้รับผลของหลักที่เป็นตัวพระพุทธศาสนานี้ได้อย่างไรกัน ทำไมเราจึงไม่อาจจะละความชั่วหรือทำความดี คำตอบคงง่ายๆ อย่างที่ตอบมาแล้วว่า มันสมัครไปเป็นบ่าวเป็นทาสของกิเลสตัณหาซะแล้ว จะมาละความชั่วหรือทำความดีอย่างไรกัน คนที่หมดอิสรภาพเช่นนี้จะเอาตัวตนที่ไหนมาละความชั่วหรือทำความดี เพราะว่าเอาตัวตนของตนไปมอบให้แก่กิเลสตัณหาสิ้นเชิงแล้วแต่ตัณหามันจะใช้ให้ทำอะไรจะเอาอะไรที่ไหน เวลาที่ไหน โอกาสที่ไหน ตัวตนที่ไหน มาละความชั่วหรือทำความดี เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดต้องการจะละความชั่วหรือทำความดีแล้ว จงถ่ายตัวเองออกมาซะจากความเป็นทาสกิเลสตัณหาให้หลุดออกมาซะก่อน ให้มาเป็นอิสระพอที่จะเกลียดคกวามชั่วรักความดีกันซะทีก่อนจะได้ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป ในวันเช่นวันนี้ อย่างน้อยก็ควรจะมีจิตใจชนิดที่น้อมไปตามร่องรอยของพระอรหันต์ เพราะกิเลสตัณหานั้นเป็นศัตรูเป็นผู้ทำลายล้าง เป็นสิ่งเศร้าหมองเดือดร้อน จะปลีกตัวออกมาซะจากอำนาจของกิเลสตัณหาแม้สักโอกาสหนึ่ง อย่างน้อยสุดก็วันหนึ่งคืนหนึ่งของวันนี้คืนนี้หลบหนีเจ้านายอันดุร้ายนั้น มาตั้งต้นคิดนึกกันใหม่ดูว่าจะทำอย่างไรจึงจะหลุดรอดตลอดกาลถ้าพิจารณาดูให้ดี เพราะมีทางที่ทำได้เพราะว่าอานุภาพของพระรัตนตรัยนั้นก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ขอแต่ให้ (นาทีที่ 1:12:48 ไม่สามารถถอดเสียงได้) รู้สึกคิดนึกที่จะฝากเนื้อฝากตัวกับพระรัตนตรัยกันให้จริงๆ จังๆ เท่านั้นอย่าเล่นตลกประสาทกับพระรัตนตรัยต่อไปอีกเลย ร้องตะโกนอยู่ว่าพุทธัง สะระณัง คัจชามิ อย่างนี้อยู่โวกๆ แต่ใจสมัครเป็นทาสของกิเลสตัณหานี้เรียกว่าเล่นตลกกับตัวเองด้วย เล่นตลกกับพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ด้วย ก็ได้เป็นทาสของกิเลสตัณหาสมน้ำหน้า แต่ถ้าเป็นๆ หนักเข้าๆ จนเบื่อแล้ว ก็จะน่าคิดเสียใหม่ น่าจะคิดเสียใหม่ว่าเหมือนกับทาสอีกคนหนึ่งเป็นทาสของเจ้านายที่ดุร้ายคนหนึ่งมานานเพียงพอแล้ว จนเบื่อแล้ว ก็สอดส่ายหาว่านายคนไหนบ้างที่จะมีอำนาจมากพอที่จะป้องกันเราได้ ถ้าหากว่าเราจะหลบหนีมาจากนายคนที่ดุร้ายนั้นแล้ว มาอยู่กับนายคนใหม่นี้ และนายคนใหม่นี้จะช่วยป้องกันอันตรายที่จะเกิดจากนายคนเก่าบ้าง พอมองเห็นว่าผู้มีใจดีมีเมตตากรุณามีอำนาจวาสนาคนใดคนหนึ่ง ที่มีอำนาจพอที่จะเป็นนายคนใหม่ให้แก่ตนได้ คืนดีวันดีก็หนีมาอยู่กับนายคนใหม่นี้หลุดจากอำนาจของนายคนเก่าที่โหดร้ายแล้วมาตั้งหน้าตั้งตาทำตามคำแนะนำชักจูง ของนายคนใหม่ที่เป็นนายที่ดีมีธรรมะเป็นต้น จนกระทั่งกลายเป็นคนอิสรภาพ ก็มีอิสรภาพหลุดพ้นจากความทนทรมานไปได้ดังนี้อุปมาข้อนี้เป็นฉันใดผู้ที่ตกอยู่เป็นบ่าวเป็นทาสของกิเลสตัณหาอยู่นั้น ควรจะได้นึกฉันนั้นเหมือนกัน ว่าพอกันทีเถิดสำหรับการเป็นบ่าวเป็นทาสของนายคือกิเลสตัณหา สมัครมาเป็นบ่าวเป็นทาสของพระรัตนตรัยกันสักทีเถิด ไหนๆ ก็ได้กล่าวมาหลายสิบครั้งหลายร้อยครั้งแล้วว่า พุทธัสาหัด สมิทา โสวะ ธัมมะสาหัด สมิทา โสวะ สังฆัสสาหัด สมิทา โสวะ พุทโธเม สามะหิสโร ดังนี้เป็นต้น ทุกคราวที่มีการทำวัตรเย็นเพราะเป็นบทสวดทำวัตรเย็น พอพระพุทธเจ้าเป็นนายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป้นบ่าวของพระพุทธเจ้า พระธรรมพระสงฆ์ก็เช่นเดียวกันแต่แล้วก็ไม่เห็นว่าเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ได้สักที มัวแต่มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่นายคือกิเลสตัณหาหรือพญาตัณหานั้นอยู่ร่ำไป เล่นตลกตัวเองนี้ก็คือทำบาปชนิดหนึ่งอย่างร้ายกาจก็เพราะว่าเป็นการหลอกลวงพระรัตนตรัย แม้ว่าจะเป็นพระรัตนตรัยชนิดที่หลอกลวงของตัวเอง มันก็ยังเป็นการหลอกลวงพระรัตนตรัยที่แท้จริงด้วย เพราะอ้างเอาของพระรัตนตรัยมาใช้เป็นเครื่องปฏิญญา เพราะฉะนั้นอย่าแก้ตัวเสียให้ยากเลยว่า สัณปฏิญาณพระรัตนตรัยชนิดที่หลอกๆ ชื่อว่าพระรัตนตรัยแล้วต้องไม่มีหลอก เพราะเป็นเรื่องจริง เป็นชื่อของความบริสุทธิ์ผุดผ่องจากกิเลสตัณหาจากความทุกข์ทั้งมวล เป็นชื่อของความสะอาดสว่างสงบถึงที่สุดซึ่งเป็นของมีตัวจริง เมื่อเอาสิ่งนี้เป็นที่พึ่งเป็นสรณะเป็นนายหรือเป็นอะไรแล้วก็ต้องเป็นจริง ถ้าหลอกก็จะต้องได้รับโทษหลายก้อนหลายชั้นทีเดียว ได้รับโทษเพราะ เป็นทาสของกิเลสตัณหาอีกอย่างหนึ่งแล้ว ยังจะต้องมารับโทษเพราะการหลอกลวงนี้อีกอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ทุกข์โทษก็จะมีแต่มากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นทุกคนไปนอนก่ายหน้าผากนึกกันดูเสียใหม่ ว่าจะสมัครเป็นบ่าวเป็นทาสของกิเลสตัณหาต่อไปดีหรือว่าจะถอนตัวมาเป็นทาสของพระรัตนตรัย ให้เด็ดขาดกันซะจริงๆ ดี อย่าทำหลุกๆ ล่อๆ พรุบๆ โผล่ๆ เหมือนที่แล้วมาไม่รู้จักสิ้นจักสุด นั่นแหละพอจะทันกับเวลาที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยไม่กี่ปีก็จะต้องตายด้วยกันทั้งนั้น เมื่อแน่ใจอย่างนี้ ก็หาโอกาสวันดีคืนดีหนีไปอยู่เสียกับนายคนใหม่ อย่างที่ได้กล่าวมาและโอกาสวันดีคืนดีนั้นอาตมาเห็นว่า ไม่มีวันไหนเป็นโอกาสดีคืนดีวันดีเหมือนกับวันนี้แล้ว เพราะวันนี้เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันของพระอรหันต์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ท่านได้ประดิษฐานหลักแห่งพระพุทธศาสนาหรือความเป็นพระอรหันต์ของท่านลงไปในโลก ด้วยการแสดงโอวาทปาติโมกข์คือประธานแห่งคำสอนทั้งหมดทั้งสิ้น ในพระพุทธศาสนานี้ไว้เป็นหลักมีหัวข้อดังที่อาตมาได้ยกขึ้นแสดงไว้ข้างต้นนั่นแล้วว่าไม่ทำความชั่วทุกอย่าง ทำความดีให้บริบูรณ์ ทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาดซึ่งเราจะได้พิจารณากันต่อไป ไม่ทำชั่วทุกอย่างก็คือเว้นจากความชั่วหรือสิ่งที่ตนรู้สึกด้วยตนเองว่าเป็นความชั่ว เพราะเห็นว่าเป็นข้าศึกคนละฝ่าย ล้วนแต่ทำตนให้ทนทุกข์ทรมานอย่างเดียวแล้วตั้งหน้าทำความดี เพราะถือว่าความดีนี้เป็นบันได เป็นยานพาหนะที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์สิ้นเชิง ถ้าเราไม่มีเรือเราจะข้ามน้ำได้อย่างไร ถ้าเราไม่มีบันไดเราจะขึ้นปราสาทได้อย่างไร อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องเห็นว่าบันไดก็ดียานพาหหนะก็ดีเหล่านี้ จะต้องมี เพราะฉะนั้นเราจึงต้องทำเราจะทำความดีชนิดต่างๆ ที่จะเป็นบันไดหรือเป็นยานพาหนะคือทำให้จิตใจสูงขึ้นๆๆ พอมีโอกาสมากขึ้นๆๆ ในการที่จะเอาชนะกิเลสตัณหานั่นเอง นี่เรียกว่าความดี เมื่อความดีมีมากพอแล้ว ความรบกวนต่างๆ ก็ไม่มี เราจึงอยู่เป้นผาสุข ร่างกายเป็นผาสุขดีแล้วจิตใจก็ผาสุข จิตใจที่ผาสุขนี้เหมาะสมที่จะทำให้บริสุทธิ์สะอาด จิตใจที่ผาสุขนี้มีความเหมาะสมที่เจริญกรรมฐานภาวนา ให้เป็นไปอย่างถึงที่สุดเด็ดขาดคือการทำกายให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองอันจัดเป็นข้อที่สามนั่นเอง ใจที่หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองนั่นหมายถึงใจที่ไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของๆ ตน ถ้ายังรักดีห่วงดีนี้ก็ยังยึดถือในความดี มันก็จะหนักตายเพราะการแบกการหามความดี อันนี้ก้ต้องปล่อยวางทั้งความชั่วและความดี ไม่มีอะไรที่ยึดถือไว้ให้หนัก มีแต่ความสะอาดสว่างสงบในใจเท่านั้นจึงจะเรียกได้ว่ามีใจบริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองการยึดถืออะไรไว้ โดยความเป็นของตนนั่นเป็นความเศร้าหมอง เพราะฉะนั้นต้องปล่อยวางสิ้งทั้งปวงอย่ายึดถืออะไรๆ ไว้เป็นของๆ ตนเลย จึงจะได้ชื่อว่าทำใจให้บริสุทธิ์หมดจด การพ้นจากทุกข์นั้น อยู่ที่การไม่แบกหามไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ถ้ายึดถือสิ่งใดไว้ก็ต้อง (นาทีที่ 1:21:32 ไม่สามารถถอดเสียงได้) ต้องทุกข์หรือต้องหนักเพราะการยึดถือสิ่งนั้นๆ พระอริยเจ้าท่านสลัดของหนักทิ้งลงซะหมดไม่เอาอะไรขึ้นมาถือไว้ ให้มาเป็นของหนักอีกต่อไป อุปมานี้แหละ คือการทำใจให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองโดยประการทั้งปวง ที่เป็นรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสชนิดไหนก็ตาม ให้ดีวิเศษประณีตอย่างไรก็ตาม ไม่ยึดถือไว้ไม่ได้ยึดถือไว้โดยความเป็นของตนเลย สูงขึ้นไปกว่านั้นจะเป็นความเป็นนั่นเป็นนี้ชนิดไหนก็ตาม วิเศษอย่างไรก็ตามไม่ได้ยึดถือว่าน่าเป็นเลยเพราะถือว่าความเป็นนั่นเป็นนี้นั่นล้วนแต่เป็นการแบกของหนักด้วยเหมือนกัน ไม่เอาอะไรเลยอย่างนี้จึงจะได้หมดคือได้พระนิพพาน ไม่เอาอะไรเสียเลยอย่างนี้ จึงจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างคือได้ความดับทุกข์สิ้นเชิงมา ความปรารถนาของคนเราควรจะไปสูงสุดอยู่ที่ความดับทุกข์สิ้นเชิง เมื่อเราไม่เอาอะไรในโลกนี้ทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว มันก็จะได้ของเหนือโลกที่เป็นโลกอุดรหรือโลกุตระคือมรรคผลนิพพาน เราจะต้องสละโลกนี้ทั้งหมดจึงจะได้โลกุตระคือมรรคผลและนิพพาน ถ้าเรายังจะยึดเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งในโลกนี้ไว้ก็ไม่มีหวังที่จะได้สิ่งซึ่งตรงกันข้ามคือโลกุตระหรือมรรคผลนิพพาน โลกิยะกับโลกุตระย่อมตรงกันข้ามอย่างนี้เสมอ ถ้าเราสละโลกิยะหมดก็จะได้โลกุตระทั้งหมดเหมือนกัน ถ้าเอาโลกิยะไว้ทั้งหมดก็ไม่ได้โลกุตระหมดเหมือนกัน ผู้มองเห็นเช่นนี้ย่อมกล้าหาญอย่างยิ่ง ย่อมกล้าเพียงพอที่จะสละสิ่งทั้งปวงที่เคยรักใคร่ยึดถือห่วงแหนมาแต่กาลก่อน ออกไปให้หมดจดสิ้นเชิงไม่เอาอะไรเลยแต่กลับได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาคือได้มรรคผลนิพพานที่เป็นทางดับทุกข์สิ้นเชิงเพราะหมดกิเลสตัณหาโดยประการทั้งปวงอย่างนี้ การได้เห็นความจริงข้อนี้ได้ ชัดเจนอย่างนี้นั่นแหละจะเป็นการชำระซักฟอกต่อจิตใจให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทุกสิ่งทุกอย่างเรียกว่า (นาทีที่ 1:23:55 ไม่สามารถถอดเสียงได้) คือการชำระจิตของตนให้หมดจดผ่องแผ่วจากเครื่องเศร้าหมองโดยประการทั้งปวงได้ดังนี้เป็นข้อสุดท้ายสำหรับการทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย ข้อแรกคือละความชั่วทั้งปวง ข้อที่สองคือทำความดีครบถ้วน ข้อสามคือทำใจให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองโดยสิ้นเชิงนี้อยู่เป็นสามข้อดังนี้ผู้ใดทำหรือประพฤติปฏิบัติ ผู้นั่นได้ชื่อว่าทำตามอย่างพระอรหันต์อย่างแท้จริงอย่างสูงสุด โอกาสเช่นวันนี้เป็นโอกาสอย่างยิ่งแล้วสำหรับที่ทุกคน จะได้ทำตามอย่างพระอรหันต์ ในสองข้อแรกย่อมไม่เป็นปัญหาเพราะมาทำในใจถึงพระอรหันต์อย่างนี้อยู่แล้วก็ไม่อาจจะทำความชั่วที่ไหนได้ เป็นการทำความดีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว แต่ข้อที่จะทำจิตของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองโดยประการทั้งปวงนั่นแหละยังเหลืออยู่ยังจะต้องพยายามหาทางทำต่อไป แต่โดยเฉพาะในวันนี้จะทำให้ดีที่สุดคือจะประคองจิตใจไว้ในลักษณะที่พิเศษที่สุดคือในลักษณะที่จะไม่ให้เกิดความอยากได้นั่นอยากได้นี่หรืออยากเป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมาเป็นอันขาด ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนตั้งจิตอธิษฐานในวันนี้ว่าในวันนี้นั่นจะประคับประคองจิตใจให้เกิดความรุ้สึกอยากได้นั่นอยากได้นี่หรืออยากเป็นนั่นเป็นนี่แม้แต่ประการใด การที่มีความรู้สึกคิดนึกไม่พอใจอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นก็เป็นวิภวตัณหาคืออยากไม่เป็นคนที่น้อยเนื้อต่ำตา หรือเค้าดูหมิ่นดูแคลน คือการที่โปรดใครอยู่คนใดคนหนึ่งนั่นก็เพราะอยากที่จะเป็นผู้ชนะ หรืออยากให้ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายแพ้ครุ่นอยู่ในใจ ดังนี้ แม้ความเป็นอย่างนี้ก็อย่าได้มีเลยในวันนี้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้หมดความอยากโดยประการทั้งปวงในวันนี้ ไม่อยากเป็นอะไรเลย ไม่อยากเอาอะไรเลย ไม่อยากได้อะไรเลยในวันนี้ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงซึ่งเป็นที่ตั้งของความอยากนั่นมันเป็นทุกข์ ต่อเมื่อว่าอยากอยากนี้แล้วจะได้ก็นิพพานมาเอง พระนิพพานนั่นไม่ต้องอยากถ้ายิ่งอยากยิ่งไม่ได้ ยิ่งอยากได้ยิ่งหนีห่างไป พอยิ่งไม่อยากอะไรทั้งนั่นนิพพานก็จะใกล้เข้ามา พอไม่อยากอะไรเลยสิ้นเชิงเท่านั้นก็จะเป็นนิพพานแท้จริงขึ้นมาเอง ถ้าเราทำให้เด็ดขาดอย่างนั้นไม่ได้ก็จงให้ได้นิพพานชิมลองแม้แต่วันหนึ่งคืนหนึ่งก็ยังดี จึงขอชักชวนทุกคนอธิษฐานจิตในการที่จะประคับประคองตัวเองในวันนี้ ให้มีกายวาจาใจให้บริสุทธิ์ให้มีความคิดนึกที่บริสุทธิ์ไม่มีความอยากในสิ่งใดทั้งในทางที่จะเอาหรือจะเป็น ก็จะได้ชื่อว่าเป็นการทำตามพระอรหันต์มีความสะอาดสว่างสงบถึงที่สุดได้วันหนึ่งหรือคืนหนึ่งเป็นแน่ ส่วนวันข้างหน้านั้นไว้ต่อยพิจารณากันต่อไป อย่าได้เป็นห่วงเลย สำหรับวันนี้เราจะทำให้เต็มที่ในการจะระมัดระวัง จิตซึ่งยังเป็นเหมือนกับลูกอ่อนของเราหรือจิตซึ่งยังเป็นเหมือนกับลิงที่เล่นตลกของเรา จะควบคุมมันให้อยู่ในอำนาจให้ปลอดภัยให้อยู่ในนิสัยของระเบียบวินัยที่ดี ให้อยู่ในร่องในรอยของพระอริยเจ้าคือพระอรหันต์เป็นประธาน ก็จะได้ชื่อว่าเป็นการได้ที่ดีที่สุดวันหนึ่งแล้วขึ้นมาเองโดยไม่ต้องอยากแต่เป็นการได้สิ่งที่วิเศษสุดที่มนุษย์เราควรจะได้และจะต้องได้อย่างน้อยวันหนึ่งคืนหนึ่งในวันนี้ ให้ได้หายใจอยู่ด้วยความบริสุทธิ์สะอาดตลอดวันตลอดคืน เป็นการได้สิ่งใหม่ซึ่งยังไม่เคยได้มาแต่กาลก่อน หรือเพิ่มมากขึ้นจากที่เคยได้มาแต่บางก่อน แล้วแต่กรณีของบุคคลผู้ประพฤติกระทำในวันนี้ ในที่สุดก็จะมีความสะอาดสว่างสงบ ครบสิ่งที่เรียกว่าพระอรหันต์ทั้งหลายได้ในจิตในใจของตนเองอยู่กับเพราะอรหันต์ได้ตลอดวันตลอดคืนเพราะการกระทำของตนเองนับว่าเป็นวันที่ประเสริฐที่สุด พอที่จะอุทิศให้เป็นที่ระลึกแก่พระอรหันต์ทั้งหลายนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานได้จริงๆ ดังนี้ ด้วยการถือหลักว่า สัพพะปาปะสะ อะสะระนัง ไม่กระทำบาปทั้งปวง อุตรทู้ปะสัมปะทา ทำความดีให้เต็มพร้อม สะจิตะปะริโยธะปะนัง ชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจด ทั้งสามอย่างนี้เป็นพระพุทธศาสนา คือเป้นตัวพระพุทธศาสนา อันจะเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย ตลอดกาลนาน และเป็นการกระทำตามพระพุทธประสงค์ของสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ ซึ่งทรงหวังว่าสัตว์ทั้งหลายได้ถอนตนออกจากความทุกข์ด้วยการเดินไปตามทางที่ได้วางไว้ เป็น (นาทีที่ 1:29:37 ไม่สามารถถอดเสียงได้) หลักมีองค์แปดแระการก็ดี เป็นหลักสิกขาสามประการก็ดี ถึงเป็นหลักโอวาทปาติโมกข์ สามอย่างนี้ก็ดี ล้วนแต่เป็นร่องรอยอันเดียวกันมีความโน้มเอียงไปสู่พระนิพพานเหมือนกับที่แม่น้ำทุกสายมีความโน้มเอียงไปสู่ทะเลฉันใดก็ฉันนั้น ที่ตรัสนามาพอเป็นเครื่องประดับสติปัญญาในโอกาสอันแรกนี้ ก็สมควรแก่เวลาธรรมเทศนาเอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ (บทสวดมนต์)