แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิกและท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีและขอบคุณพร้อมกันไปในตัวในการมาของท่านทั้งหลายในสถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ ด้วยความหวังดี สำหรับอาตมา ปีนี้ประจวบเหมาะไม่ค่อยสบาย คุณหมอทั้งหลายก็ขอร้องว่าอย่าทำอะไร ให้นอนนิ่งๆ ตลอดวันตลอดคืน ติดต่อกันไปสัก ๒ เดือน ก็อาจจะหายจากโรคที่เป็นอยู่นี้ได้ แต่แล้วอาตมาก็ต้องขออภัย ดื้อหมอ มาพบกับท่านทั้งหลายจนได้ในวันนี้ ในลักษณะอย่างนี้ อย่างที่ท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่ได้แล้วว่าเป็นอย่างไร
ก็ดื้อมา หมอก็เกรงใจ อาตมาก็ดื้อได้ เดี๋ยวนี้ความดัน ๒๒๐ กับ ๑๐๐ เรียกว่าเกือบจะไม่มีแรงสำหรับจะพูด แต่ด้วยความขอบคุณในท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์มา และยิ่งกว่านั้นก็คือว่า อาตมาเป็นพุทธทาส ต้องทำสนองพระพุทธประสงค์ทุกอย่าง ก็เลยขอบอกให้ทราบว่าพระพุทธองค์นั้นทรงทำหน้าที่ของพระองค์จนวินาทีสุดท้าย คือนิพพาน บางคนก็จะทราบเรื่องดีอยู่แล้วว่าจะปรินิพพานอยู่หยกๆ แล้ว ก็ยังมีปริพาชกในลัทธิอื่นเข้ามาขอเฝ้า ขอเรียนธรรมะ พระสงฆ์ทั้งหลายก็ไล่ออกไปว่าอย่ามากวนๆ เวลาป่วยแล้ว พระพุทธเจ้าป่วยแล้ว หนักแล้ว พระพุทธเจ้าได้ยินเสียงล่ำไอ้คนนั้นออกไป ท่านบอกว่าอย่าไล่ แล้วก็เรียกให้เข้ามา เขาก็ได้ทูลถามและก็ได้ศึกษาในโอกาสอันสั้นนั้น จนบรรลุธรรมสำเร็จ เสร็จแล้วไม่กี่นาทีต่อมา ก็ปรินิพพาน ขอให้นึกถึงข้อนี้กันบ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงทำหน้าที่ของท่านจนวินาทีสุดท้าย อาตมาเป็นทาสของพระพุทธเจ้าก็จำเป็นจะต้องทำตาม ถ้ามันจะเป็นอะไรไป ก็ให้มันเป็นไป เพื่อจะได้ทำหน้าที่จนวินาทีสุดท้ายด้วยเหมือนกัน ขอให้ทราบข้อเท็จจริงว่าเดี๋ยวนี้อยู่ในสภาพที่หมอห้ามพูด และก็ไม่ฟัง ก็จะมาพูดให้จนได้ และก็จะทำให้สำเร็จครบถ้วนตามที่เคยทำมาทุกๆ ปี
ข้อแรกก็ขอขอบคุณที่อุตส่าห์พากันมาจากที่ไกล ทั้งเหนือทั้งใต้และหลายจังหวัดด้วยกัน และข้อสองก็ขออภัย ถ้าการต้อนรับมันบกพร่อง เพราะความจำเป็นหรือเพราะเหตุอะไรก็ตาม ถ้าการต้อนรับบกพร่อง ก็ขออภัย ทีนี้ก็ขอร้องว่าให้สนใจฟังเหมือนอย่างเคย ให้รับเอาข้อความที่กล่าวในวาระนี้ ในโอกาสเช่นนี้ ในลักษณะเช่นนี้ไปให้ดีที่สุดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อาตมาก็จะเรียกธรรมะที่จะกล่าวในวันนี้ว่าของขวัญ ของขวัญในวันล้ออายุปี ๒๕๒๘ ของขวัญนั้นเป็นเสรีภาพอันสูงสุดในการที่จะรับและนับถือธรรมะประจำชีวิตของตน ขอให้ทุกคนได้รับของขวัญอันนี้ คือทุกคนมีเสรีภาพในการที่จะรับถือธรรมะเป็นของตน เป็นที่พึ่งแห่งตน และสิ่งที่จะให้ไปเพื่อมีเสรีภาพนั้น ขอเรียกว่าเพชรในพระพุทธศาสนา จะขอมอบสิ่งที่อยู่ในฐานะเป็นเพชรในพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งเครื่องขุดหาเพชร คือเสรีภาพในการที่จะรับนับถือพระพุทธศาสนานั่นเอง จะขอกล่าวไปตามลำดับๆ
ข้อแรกที่ว่าเป็นเสรีภาพในการรับและถือพุทธศาสนานั้นก็คือ กาลามสูตร พระบาลีกาลามสูตรตรัสไว้อย่างประทานเสรีภาพสูงสุดเป็นประชาธิปไตยที่สุด และก็เคยพูดมาหลายครั้งหลายหนแล้ว ในวันนี้ก็จะพูดแต่ชื่อ จะออกแต่ชื่อว่า เมื่อมีผู้ทูลถามพระองค์ว่ามีคนสอนหลายลัทธิต่างกัน จนไม่รู้จะถืออย่างไรแล้ว จะให้ทำอย่างไร พระองค์ก็ตรัสเรื่องที่เรียกว่ากาลามสูตรนี้ ๑๐ หัวข้อด้วยกัน ใน ๑๐ หัวข้อนั้น ๓ หัวข้อเกี่ยวกับได้ยินได้ฟังหรือการศึกษาก็ตาม
ข้อ ๑ อย่ารับถือเอาด้วยเหตุว่าฟังบอกตามๆ กันมา
ข้อ ๒ อย่ารับถือเอาด้วยเหตุว่าทำตามสืบๆ กันมาอย่างปรัมปรา
ข้อ ๓ อย่าถือเอาเพราะเหตุว่ามันกำลังเล่าลือกันอยู่อย่างกระฉ่อนไปทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งโลก นี้เรียกว่าเกี่ยวกับการฟังหรือการศึกษา
ข้อ ๔ อย่าถือเอาด้วยมีที่อ้างในปิฎก อย่าถือเอาด้วยมีที่อ้างในปิฎก คำว่าปิฎกก็คือตำรา สำหรับพุทธกาลก็คือบันทึกข้อความต่างๆ ที่เขียนไว้ในใบไม้เอามารวมกันไว้เรียกว่าปิฎก แต่ในพระพุทธศาสนายังไม่ทันจะทำอย่างนั้น จึงจำกันไว้ด้วยปาก เป็นหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันแล้วมาจัดเรียกว่าเป็นปิฎกทีหลังเมื่อเขียนเป็น ลงลายลักษณ์อักษรแล้ว ครั้งแรกก็เรียกว่าธรรมะวินัย ใครฟังอย่างไรก็จำกันไว้ให้ดี
นี่หนึ่งข้อเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าปิฎกหรือตำรา ทีนี้อีก ๔ ข้อเกี่ยวกับการคำนวณ
ข้อ ๕ มา ตกฺกเหตุ อย่ารับถือเอาด้วยการใคร่ครวญตามวิธีของตรรกะ ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาเรียกว่า logic วิธีการ logic คิดนึกอย่างไรเอามาจับกับคำนี้แล้วมันถูกต้องตามหลักของตรรกะแล้ว ก็อย่าเพ่อเอา ให้ถือว่าตรรกะยังผิดได้
ข้อที่ ๖ อย่าถือเอาด้วยเหตุว่ามีเหตุผลทางนัยยะ นัยยะ ที่เรียกว่านัยยะในครั้งพุทธกาลคือสิ่งที่เรียกว่า philosophy อย่างของพวกฝรั่งน่ะ แต่เดี๋ยวนี้มันเรียกว่าปรัชญา มันเรียกผิดชื่อ ปรัชญาไม่ใช่ philosophy แต่มันเรียกแล้วก็เรียกไป อย่าถือเอาด้วยวิธีคิดนึกตามวิธีของ philosophy หรือปรัชญาแล้วเอามาเชื่อ
ทีนี้ข้อที่ ๗ อย่าถือเอาด้วยการตรึกตามอาการ คือตรึกตามอาการ ตามความคุ้นเคย ตามความสบายใจ ที่เรียกสมัยนี้ว่า common sense มีคนหลายพวกนิยมใช้ common sense แต่ในพุทธศาสนาใช้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสห้ามไว้โดยข้อนี้
ข้อที่ ๘ อย่าถือเอาเพราะว่ามันทนได้กับการเพ่งเล็งด้วยทิฎฐิของตัวเอง ตัวเองมีทิฏฐิอย่างไร ถ้ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตัวเอง ก็ถือเอานี่ก็อย่าเพ่อ อย่าเพ่อ เพราะว่าทิฏฐิของตัวเองนั้นมันก็ผิดได้
ทีนี้อีก ๒ ข้อเกี่ยวกับบุคคล
ข้อ ๙ ก็ว่าอย่ารับเชื่อถือเอาเพราะเหตุว่าผู้พูดนั้นมันน่าเชื่อ ผู้พูดนั้นพูดน่าเชื่อ พูดควรเชื่อ
และข้อสุดท้าย ข้อ ๑๐ ว่าอย่าเชื่อรับถือเอาเพราะว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา
นี่ขอให้จำไว้ ๑๐ ข้อนี้ จะเรียกว่าเสรีภาพในการรับถือธรรมะมาเป็นที่พึ่งของตน จะกล่าวทวนอีกทีหนึ่ง ช่วยตั้งใจฟังให้ดี
ข้อ ๑ อย่าไปรับเชื่อถือเอามาเป็นหลักปฏิบัติ เพราะเหตุว่าฟังตามๆ กันมา ฟังบอกต่อๆ กันมา และก็อย่ารับถือเอาเพราะเหตุว่ามันเป็นการปฏิบัติสืบตามๆ กันมาอย่างปรัมปราแบบเถรส่องบาตร และอย่าเชื่อเพราะว่ามันเล่าลืออยู่กระฉ่อนไป มันก็เล่าลือเรื่องนั้นเรื่องนี้ เล่าลือเรื่องปีมะบ้าง เล่าลือเรื่องอะไรบ้าง นี่ก็อย่าเอา นี่สามข้อนี้เกี่ยวกับการฟังจากข้างนอก
ทีนี้ข้อที่ ๔ ก็ว่าอย่ารับถือเอาเพราะมีที่อ้างอยู่ในปิฎก ข้อนี้จะพูดมากที่สุดเพราะว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าเราในปัจจุบันนั้นงมงายต่อสิ่งที่เรียกว่าปิฎกหรือพระไตรปิฎกกันมากเกินไป จนเป็นทาสของพระไตรปิฎกหรืออะไรทำนองนั้น
แล้วก็ข้อที่ ๕ ว่าอย่าถือตามหลัก logic เพราะเข้ากับเหตุผล logic แล้วก็เอา อย่าถือเอาตามหลัก philosophy ว่าเข้าหลัก philosophy แล้วก็ถือเอา และก็อย่าถือเอาโดย common sense ความตริตรึก ไปตามอาการที่มันแวดล้อมอยู่ และก็อย่าถือเอาเพราะว่ามันทนได้กับความคิดเห็น มันเข้ากันได้กับความคิดเห็นของข้าพเจ้า
ทีนี้ข้อ ๙ ก็ว่าอย่ารับถือเอาเพราะว่าผู้พูดมันมีท่าทางน่าเชื่อหรือควรจะเชื่อ และข้อสุดท้ายข้อ ๑๐ อย่ารับถือเอาเพราะเหตุว่าผู้พูดนั้นสมณะนี้เป็นครูของข้าพเจ้า มา สมโณ โน ครูติ ข้อสุดท้ายอย่ารับถือเอาเพราะว่าสมณะผู้พูดนั้นเป็นครูของข้าพเจ้า
นี่เสรีภาพสูงสุดที่พระพุทธเจ้าประทานแก่สรรพสัตว์ แม้พระองค์เองเป็นสมณะและคนทั้งหลายนับถือเป็นบรมครู ก็อย่าได้เชื่อถือเอาด้วยเหตุว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา นี่ท้าทายให้ไปค้นหาคำสอนชนิดนี้ในศาสนาไหน ศาสนาไหน ก็ไม่มีนะ มันมีแต่ผูกขาดเป็น Dogmatic system ไปซะหมด นี่มัน อนุญาตกว้างจนว่าแม้สมณะผู้เป็นครูของเรานี้ก็ไม่เอา ต้องมาใคร่ครวญสิ่งเหล่านั้นให้เห็นด้วยเหตุผลที่ประจักษ์แก่ในใจของตนว่ามันมีเหตุผลที่จะดับทุกข์ได้จริง แล้วก็มาลองปฏิบัติดู ถ้าปฏิบัติแล้วมันดับทุกข์ได้ ก็เชื่อแล้วรับเอาเป็นหลักปฏิบัติสืบต่อไปจนตลอดชีวิต
นี่ ขอให้เข้าใจดีๆ อย่าได้ตกเป็นทาสของความงมงาย ๑๐ ประการนั้น แต่ขอบอกว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้าท่านห้ามว่าไม่ให้ทำอย่างนั้น ใน ๑๐ ประการนั้นไม่ได้ห้ามว่าอย่าทำอย่างนั้น มันทำได้ แต่อย่าเพิ่งเชื่อ เขาเล่าลือมาอย่างไร เขาบอกกันมาอย่างไรก็เอามาพิจารณาดูได้ ถ้ามันมีส่วนที่จะดับทุกข์ได้ ลองปฏิบัติดูดับทุกข์ได้ ก็เอา หรือเขาทำตามสืบๆ กันมา ก็เอามาพิจารณาดูได้ ไม่ใช่ว่าไม่ฟังไม่ดู ดูเถอะแต่แล้วยังไม่เชื่อ จะต้องเห็นวี่แววของการดับทุกข์ได้ ลองปฏิบัติดูแล้ว ดับทุกข์ได้แล้วจึงเชื่อ ข้อที่ว่าเล่าลือกันอยู่กระฉ่อนทั้งวันทั้งเมือง ก็ไม่ใช่ไม่ฟัง ไม่ต้องอุดหูหรอก ไม่ต้องอุดหูให้มันโง่เกินไปอีก ฟังแต่ว่ายังไม่เชื่อ ต้องดูว่าเป็นเรื่องที่พอจะดับทุกข์ได้ จึงลองปฏิบัติดู แล้วก็ปฏิบัติตลอดไปเมื่อมันดับทุกข์ได้
ทีนี้ข้อ๔ ที่แรงร้ายที่สุด ก็อย่าเชื่อเพราะมีที่อ้างในปิฎก ท่านใช้คำว่าปิฎก ในภาษาไทยนี้ก็แปลกันว่าตำรา แต่อย่าลืมว่าคำว่าปิฎกมันรวมทั้งตำราทางชาวบ้าน ตำราทางพุทธศาสนา และรวมทั้งไตรปิฎกที่ได้เกิดขึ้นในยุคหลังๆ รวมกันอยู่ในคำว่าปิฎก อย่าเชื่อว่าเพราะมีอ้างในปิฎก ข้อนี้จะต้องวินิจฉัยกันมาก เดี๋ยวก่อน จะพูดให้ฟัง
มีข้อที่ว่าโดยทางตรรก ตรรกนี่ เรื่องเด็กๆ ก็ทำได้ ด้วยเหตุผลที่เรื่องเด็กๆ ก็เป็นตรรก กระทั่งเป็นผู้ใหญ่ วางหลักเป็นศาสตร์อันหนึ่ง ก็อย่ายึดถือเป็นหลักตายตัวว่าถ้ามันถูกต้องตามหลักนั้นแล้ว มันจะดับทุกข์ได้ มันก็ยังดับไม่ได้ก็มี เพราะฉะนั้นการที่จะอ้างหลักทางตรรก หรือ logic จะอ้างหลักทางนัยยะ หรือ philosophy แล้วเอามาเชื่อนั้น มันก็ไม่ถูก มันจะกลายเป็นทาสของตรรก เป็นทาสของนัยยะ เหมือนกับที่กำลังเป็นอยู่มากเดี๋ยวนี้ อะไรก็อ้าง logic บ้าง อะไรก็อ้าง philosophical ก็เป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นไป ไม่เป็นอิสระ
ทีนี้ก็ แต่ว่าจะเอาเรื่องตรรกมาคำนวณก็ได้ ถ้ามีความรู้ เอาสิ เราท้าทาย ถ้าใครมีความรู้เรื่องตรรก วิธีการคิดอย่างตรรก แล้วมาจับกับหลักธรรมะนี้ก็ได้ เราท้าทาย เราจะพิสูจน์เห็นได้ว่ามันไม่ใช่ถูกต้องอยู่ที่บทสรุปของตรรกหรือของ philosophy แต่เราจะมองดูอย่างนั้นบ้างก็ได้ ถ้าเราอยากจะมอง ถ้าเรามีเวลามอง ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่ต้องมองก็ได้ มันไม่ต้องเสียเวลา
ทีนี้การตรึกตามอาการตาม common sense ก็ได้ มี common sense ก็ใช้ไป เอาไปจับดู แต่ว่าอย่าเพ่อยุติว่ามันเป็นอย่างนั้น มันต้องมาทำให้เป็นเรื่องดับทุกข์ได้โดยวิธีของสติปัญญาอันสูงสุด ที่เรียกว่า ยถาภูตสัมมัปปัญญาปัญญาเห็นตามที่เป็นจริงโดยชอบของตนเอง แล้วก็ว่าตัวมีทิฏฐิอย่างไร มีความเชื่ออยู่อย่างไร พออะไรมาเข้ากันกับทิฏฐิของตัว มันก็เชื่ออย่างนี้มันก็ไม่ถูก แต่ว่าตนมีความเชื่ออย่างไรก็เอาไปจับดูก็ได้ ไม่ห้าม ในที่สุดข้อ ๙ ข้อ ๑๐ เป็นเรื่องของบุคคลนั้นลองก็ได้ คนนี้มันน่าเชื่อ ท่าทางมันน่าเชื่อ พูดจาน่าเชื่อ ก็ฟังก็ได้ ไม่ได้ห้ามหรอก ฟังก็ได้ แต่อย่าเพ่อเชื่อ อย่ารับเอามาทันที แล้วสมณะนี้เป็นครูของเราท่านพูดท่านสอน ก็ฟังก็ได้แต่ยังไม่รับเอามาทันที ข้อนี้อย่างสูงสุดเลย อย่างสูงสุดที่พระพุทธเจ้าทรงประทานเสรีภาพ
เพราะฉะนั้นความมีเสรีภาพตามหลัก ๑๐ ประการนี้ อาตมาขอนำมากล่าวในวันนี้ ในฐานะเป็นของขวัญวันล้ออายุปีนี้ว่าเสรีภาพในการที่จะรับหรือจะถือ หรือจะมี หรือจะปฏิบัติธรรมะเป็นเครื่องประจำชีวิต ถ้าที่แล้วมายังไม่ได้ถือ ต่อไปนี้ก็ขอร้องให้ถือว่าหลัก ๑๐ ประการนี้แหละ จงถือเอาไว้ในฐานะเป็นของขวัญที่มอบให้ในวันนี้ และเป็นของขวัญที่อาตมารับมอบมาจากพระพุทธเจ้าตามหลัก ๑๐ ประการนี้ด้วยเหมือนกัน อาศัยหลักของพระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง แล้วก็ใช้วิพากษ์วิจารณ์ต่อคำที่พระพุทธองค์ตรัสสอนทั้งหมดทั้งสิ้น มันก็ได้พบสิ่งที่แท้จริง แม้ในสิ่งที่เรียกว่าพระไตรปิฎก ขอให้ใช้หลัก ๑๐ ประการนี้แก่พระไตรปิฎก
ทีนี้ก็จะชวนให้นึกถึงว่าเพชร เพชรในพระไตรปิฎก เพชรในพระไตรปิฎกมีอยู่ คือสิ่งที่จะดับทุกข์ได้ในฐานะเป็นหัวใจของพุทธศาสนา ก็มีอยู่เรียกว่าเป็นเพชร แล้วก็มีเครื่องมือสำหรับขุดเพชร ก็บอกไว้ในพระไตรปิฎก หีบหรือลังหรือกล่องจะใส่เพชร ก็ชัดไว้ในพระไตรปิฎก กระดาษจะห่อชั้นนอกต่อหีบต่อกล่องนั้นก็มีในพระไตรปิฎก ขอให้รู้จักพระไตรปิฎกในลักษณะอย่างนี้ ว่าส่วนสำคัญหัวใจนั้นเป็นเพชรมีอยู่ในพระไตรปิฎก ที่จะขุดเพชรไม่ได้ ถ้าไม่รู้เรื่อง ก็ตรัสไว้มีอยู่ในพระไตรปิฎก ทีนี้ไอ้หีบไอ้กล่องไอ้เปลือกที่จะใส่ก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก กระทั่งกระดาษที่จะใช้ห่อหีบนั้นก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก
เห็นไหมพระไตรปิฎกจะเชื่อถือได้อย่างไร เท่าไร เพียงไหน ควรจะทำอย่างไร ทีนี้กลัวว่าจะไปถือเอากระดาษห่อของกันหมด ไม่เข้าถึงแม้แต่หีบที่จะใส่เพชร ไม่มีเครื่องขุดเพชรแล้วจะหาเพชรได้ที่ไหน เพราะฉะนั้นขอให้สนใจเรื่องนี้ให้มาก
ทีนี้เราก็จะพูดกันว่าพระไตรปิฎกนั้นมีค่าอย่างไร มีค่าอย่างไร เท่าไร แต่คนโง่นั้นมันพูดว่าหมดเลย รวมทั้งเปลือกทั้งกล่องห่อเปลือกกระดาษห่อกล่อง มันหมดไปเลยอย่างนี้มันไม่ถูก มันต้องเอาเฉพาะที่เป็นเพชร ที่ดับทุกข์ได้ ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาที่หยิบออกมานั้นมันก็ได้หลายอย่าง หรือได้เป็นหลายสิบอย่างก็ได้ เรื่องอริยสัจก็ดี เรื่องคถาพระอัสสชิ ก็ดี ปฏิจสมุปบาทก็ดี ตถตา สุญญตาก็ดี มันถึงเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนาทั้งนั้น แต่ว่าเป็นหัวใจในแง่ของปริยัติบ้าง เป็นหัวใจในแง่ของปฏิบัติบ้าง เป็นหัวใจในแง่ของปฏิเวทบ้าง ที่นี้อะไรที่จะเป็นหัวใจทีเดียวหมด ทั้งของปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท ก็คือพระพุทธภาษิตที่พระองค์ตรัสไว้เองว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตนหรือเป็นของตน สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ นั่นแหละเพชร ตัวเพชรในพระไตรปิฎก เม็ดเดียวจะขยายออกไปเป็นรูปจำลองอะไรก็ได้ ก็ได้หลายๆ อย่าง มีคำตรัสไว้ว่า ผู้ใดได้ยินได้ฟังคำนี้ คำว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ผู้นั้นได้ยินได้ฟังทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ผู้ใดได้ปฏิบัติเพื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น ผู้นั้นได้ปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ผู้ใดได้รับผลของการปฏิบัติความไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ผู้นั้นได้รับผลทั้งหมด ผลที่พึงได้ทั้งหมดจากพระพุทธศาสนา ดังนั้นมันจึงเป็นหัวใจทั้งในแง่ของปริยัติ ในแง่ของปฏิบัติ และในแง่ของปฏิเวท ขอให้ท่านทั้งหลายได้จับเอาเพชรในพระพุทธศาสนาที่เป็นชั้นหัวใจคือ พระธรรมที่เป็นคำสรุปธรรมในพุทธศาสนาทั้งหมด
คำที่พูดว่ามี ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ นี้สมมติว่ากันเองทีหลัง ถ้าจะว่าให้แท้แล้ว เพชรมันมีเม็ดเดียวเท่านั้นแหละ แต่มันกระจายเรื่องราวออกไปได้มาก เป็นเรื่องลักษณะอาการ คุณค่าอะไรของเพชรนั้น แม้กระทั่งวิธีจะขุดเพชรอย่างไรๆ กี่สิบกี่ร้อยวิธีก็กล่าวไว้ในสิ่งนั้น อ้าว , ทีนี้ก็ต้องยกให้พระอาจารย์ชั้นหลัง พระอาจารย์ชั้นหลัง หรือจะเป็นชั้นไหน เมื่อไหร่ ก็ค่อยว่ากันแต่ว่าท่านยัดหีบสำหรับใส่เพชรเข้าไปในพระไตรปิฎกด้วย แล้วอาจารย์ชั้นหลังได้เอากระดาษห่อของยัดเข้าไปด้วย เพื่อจะห่อด้วย พระไตรปิฎกเป็นมาโดยสมัยโดยสมัย ในครั้งแรกไม่มีพระไตรปิฎก ในครั้งทำสังคายนาครั้งแรกนั้นไม่มีพระไตรปิฎก มันมีไม่ได้ และที่โกหกมากกว่านั้นก็คือคำตถกถาธรรมบท (นาทีที่ 26.15) มีคำกล่าวว่า มีคนบวชใหม่ไปถามพระพุทธเจ้าว่า บวชแล้วจะให้ทำอะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีธุระ ๒ อย่างคือ คันถธุระ และวิปัสสนาธุระ คันถธุระ เป็นอย่างไร เขาเขียนให้พระพุทธเจ้าตรัสตอบคนนั้นว่า คือการเรียนปิฎกทั้งสามหรือปิฎกใดปิฎกหนึ่ง นี่เป็นการโกหก ใส่เรื่องราว ไตรปิฎกจะมีไม่ได้ในครั้งพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ มันไม่ต้องจำเป็นทำเป็นไตรปิฎกหรอก มันมีแต่ธรรมะวินัยสอนไว้อย่างไร พอนิพพานปรินิพพานลงไป สิ่งแรกที่กระทำคือสังคยานานั้น ก็เป็นการไปเอาเรื่องที่ได้ตรัสไว้ทั้งหมดจากผู้ที่ยืนยันว่าได้ฟังมา มาจัดเข้าเป็นพวกๆ พวกเรื่องยาวๆ พวกหนึ่ง พวกเรื่องขนาดกลางพวกหนึ่ง พวกเรื่องสั้นๆ พวกหนึ่ง และพวกที่จัดให้เป็นหมวดเป็นวรรค วรรคๆ นั้นอีกพวกหนึ่ง เป็นสี่พวก นี่เป็นหลักแท้จริง แล้วก็อีกพวกหนึ่งถือไว้ว่าเป็นพวกเบ็ดเตล็ดสำหรับจะได้เติมเข้าชักออกอะไรได้ตามพอใจ เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดเรื่องฝอย อันที่ห้านี่ใส่เติมกันเข้ามาในครั้งหลังทั้งนั้น ครั้งที่แรกทีเดียวมีเพียงสี่นิกายหรือสี่อาคม ข้อนี้ตรงกันทั้งเถรวาทและมหายาน มหายานเขาก็ยึดถือสี่อาคมนี้เป็นหลัก
ทีนี้ต่อมาๆ เรื่องของพระไตรปิฎกที่เป็นต่อมาก็คือว่า การทำสังคายนาครั้งหลังๆ มันเป็นโอกาสให้เติม เติมๆ เข้าไปจนมากมาย จนมากมาย เป็นสามปิฎก เป็น ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ นี่ในครั้งพุทธกาลเป็นไปไม่ได้ สามปิฎกเป็นไปไม่ได้ อยากจะเป็นได้ก็เป็นเพียงปิฎกเดียว คือว่าเรื่องที่เรียกว่าสุตันตระทั้งหลาย สุตันตระทั้งหลายที่ได้ตรัสไว้อย่างไร มีคำเดียวเท่านั้น พวกฝรั่งที่เป็นนักศึกษาคงแก่เรียนทั้งทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี ทางธรรมะก็ใช้คำๆ นี้ คือ สิ่งที่จะยึดถือได้นั้น เรียกว่า oldสุตันตระ oldสุตะ คือ สุตะเก่า สุตะแรก อะไรเป็นสุตะแรก นั่นคือตัวแท้ของพุทธศาสนา สุตันตระก็เป็นอย่างที่กล่าวมาแล้วว่าท่านจัดให้เป็นเรื่องยาวๆ ไว้พวกหนึ่ง เรื่องขนาดกลางพวกหนึ่ง เรื่องสั้นๆ พวกหนึ่ง เรื่องเป็นหมวดๆ พวกหนึ่ง แต่แล้วก็ไม่วายที่จะถูกเติมเข้ามา เติมเข้ามา ๆ ไม่มีวินัยปิฎก ยังไม่จัดวินัยเป็นปิฎก เพราะว่ารวมไว้ใน ขุททกนิกาย (นาทีที่ 29.23) รวมไว้ใน ขุททกนิกาย หรือว่าจัดเรื่องพวกนี้รวมไว้เรียกว่าขุททกนิกาย อภิธรรมปิฎกยังไม่เกิด อภิธรรมปิฎกยังไม่เกิด จึงไม่มีวินัยปิฎกและไม่มีอภิธรรมปิฎก มีแต่สุตันตระเดิมที่เรียกว่าธรรมะวินัยเดิม ไม่มีคำว่าอภิธรรมปิฎกในคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่จะเป็นชั้นบาลี นอกจากในอรรถกถารุ่นหลังที่แต่งขึ้นเมื่อพันปียัดใส่พระโอษฐ์ว่าอย่างนั้น ทำให้คนเข้าใจไปว่าพระไตรปิฎก ไตรปิฎกมีมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
เอาหลักกาลามสูตรที่ว่านี้เข้าไปจับเถอะ มันก็หงายหลังกระเด็นไปหมด มันก็จะเหลือแต่ว่าพระธรรมวินัย ทีแรกก็มีแต่พระธรรมวินัย จัดไว้เป็นเรื่องยาวๆ เรื่องกลางๆ เรื่องสั้นๆ เรื่องเป็นหมวด แล้วก็เรื่องเบ็ดเตล็ด ต่อมาก็ได้มีการเพิ่มเติมให้มากขึ้น ถ้าเราจะเอาแต่เพชรแท้ๆ ล้วนๆ เม็ดเดียวแล้วก็จะมีประโยคเดียวเท่านั้นแหละ ประโยคที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ เป็นหัวใจของทั้งหมด ได้ฟังเรื่องนี้คือได้ฟังทั้งหมด ได้ปฏิบัติเรื่องนี้คือได้ปฏิบัติทั้งหมด ได้รับผลของเรื่องนี้คือได้รับผลของทั้งหมด ขอให้นึกถึงที่เราเคยพูดกันมาหลายครั้งหลายหนเรื่อง สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นว่าตัวตนหรือของตน
ทีนี้ก็มีเรื่องประกอบเข้ามา ประกอบเข้ามาๆ เพื่ออธิบายๆ ให้เข้าถึงหัวใจนี่แหละ คำอธิบายเหล่านี้อาตมาจะเรียกมันว่า เครื่องขุดเพชร เพชรนั้นคือไม่ยึดมั่นถือมั่น ในความไม่ยึดมั่นถือมั่นที่เป็นเรื่องความรู้ และก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นที่เป็นเรื่องปฏิบัติ แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นที่มันเป็นเรื่องผลของการปฏิบัติ คือมรรคผลนิพพาน ไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้แต่นิพพาน ว่าเป็นนิพพานหรือว่าเป็นนิพพานของเรา อย่างนี้คือหัวใจของพระพุทธศาสนาประโยคเดียว ธรรมทั้งหลายทั้งปวง คือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น สัพเพ ธัมมา ธรรมทั้งหลายทั้งปวง นาลัง อภินิเวสายะ อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่น นาลัง แปลว่าไม่ควร อภินิเวสายะ ฝังตัวเข้าไป จำให้ดีๆ สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ อย่าให้ลุกขึ้นจากนี้แล้วลืมไปเสีย ก็ไม่ได้รับอะไรจากการมา
เพชรเม็ดเดียวว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ สัพเพ ธัมมา แปลว่าสิ่งทั้งปวง นาลัง แปลว่าไม่สมควร อภินิเวสายะ ที่จะฝังตัวเข้าไป นี่แปลตามตัวหนังสือแท้ๆ ก็แปลอย่างนี้ แต่ถ้าแปลตามความหมายก็สิ่งทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูว่าเป็นของกูนั่นเอง นี่คือเพชร ทีนี้คำอธิบายเพื่อจะให้ได้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือขุดเพชร
ทีนี้ในชั้นต่อมามันถูกขยายความออกไปเป็นกระทั่ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ เป็นเรื่องวินัยดึงออกมาทำให้เป็นอภิวินัย ภินีตวัตถุ (นาทีที่ 33.11) อะไรเหล่านี้ เป็นของทีหลังทั้งนั้น เอามาใส่กันเข้ากับวินัยเก่า เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เป็นวินัยปิฎก แล้วก็แต่งคัมภีร์อภิธรรมปิฎกขึ้นมา ไม่เก่าเกินกว่า ๖๐๐ หรือ ๗๐๐ ปี เอามาตั้งว่าเป็นอภิธรรมปิฎก ก็ต้อง make up มุเรื่องว่าพระพุทธเจ้าไปตรัสบนดาวดึงส์โน่น ก็ถ่ายทอดกันมาจนเป็นอภิธรรมปิฎก นี่มันเป็นเรื่องเปลือก หีบ หีบห่อหุ้มพระไตรปิฎก เพราะว่าอภิธรรมปิฎกทั้งหลายก็คือการขยายความสุตันตระเก่าข้อหนึ่งๆ ให้ละเอียดออกไปๆ ข้อนี้พิสูจน์ได้โดยผู้ที่มีปัญญา ถ้าเรียนพระอภิธรรมปิฎกจบแล้วก็จะพบที่มาเดิมข้อนั้นในสุตันตระเก่าทั้งนั้นเลย นั่นเรียกว่าขยายตัวออกไป ขยายตัวออกไปเป็นเรื่องประกอบมากออกไปกลายเป็นหีบสำหรับใส่เพชร ไม่ใช่เพชร ไม่ใช่เครื่องมือขุดเพชร แต่เป็นหีบสำหรับใส่เพชร และเป็นกระดาษห่อหีบ กระสอบป่านห่อหีบ มันชั้นนอกๆ ออกมา ระวังให้ดีอย่าให้มันมาติดแค่ชั้นกระดาษห่อหีบหรือหีบ ให้มันเข้าไปถึงเครื่องมือขุดเพชรแล้วก็ขุดเพชรให้ได้
ที่ว่ากระดาษห่อหีบชั้นนอกสุดนั่น ขอระบุตัวอย่างเช่น จันทิมสูตร เรื่องพระราหูจับจันทร์ สุริยสูตรเรื่องพระราหูจับพระอาทิตย์ นี่เรื่องชั้นห่อกระดาษนอก แล้วไม่มีคำของพระพุทธเจ้าว่าเลย เป็นคำของพระสังคีติกาจารย์ ผู้ร้อยกรองพระไตรปิฎกเล่าเรื่องว่าอย่างนั้น เล่าเรื่องว่าราหูจับพระจันทร์ พระจันทร์ร้องให้พระพุทธเจ้าช่วยแล้ว ราหูก็ปล่อย ไปบอกนายของตัวว่ามันเกิดเรื่องอย่างนี้แล้ว ทีนี้สูตรที่พระอาทิตย์ก็เหมือนกันแหละว่าพระราหูจับพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ก็ร้องให้พระพุทธเจ้าช่วย ออกชื่อพระพุทธเจ้าให้ช่วย ราหูก็ปล่อย นี่คิดดูเถอะว่ามันจะเป็นได้อย่างไร พุทธบริษัทเดี๋ยวนี้จะยังเชื่ออยู่ว่าพระจันทร์เป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง พระอาทิตย์เป็นเทพบุตรองค์หนึ่งที่ราหูจับไปคาบได้อย่างนั้นหรือ แต่ยังเชื่ออยู่ในยุคนี้ สูตรนี้ควรจะฉีกออกจากพระไตรปิฎกไหม นี่เรียกว่าของเกินเข้ามารวมอยู่ในคำว่าไตรปิฎก และมีสูตรที่น่าหัวอีกสูตรหนึ่งในมัชฌิมนิกายที่เรียกว่าอาฏานาฏิยสูตรพวกยักษ์พวกหัวหน้ายักษ์มากราบทูลเล่าเรื่องเมืองยักษ์ให้พระพุทธเจ้าฟังตั้งยืดยาวเป็นชั่วโมงๆ และขอร้องพระพุทธเจ้าว่าจงสอนเรื่องนี้แก่พระสาวกอุบาสกอุบาสิกาให้รู้ไว้ แล้วยักษ์ทั้งหลายจะไม่เบียดเบียนอุบาสกอุบาสิกา เรื่องมันก็เข้าทีอยู่แหละ ว่าถ้ารู้เรื่องยักษ์แล้วยักษ์ก็จะไม่เบียดเบียน แต่เดี๋ยวนี้มันรู้ชนิดที่ให้โง่ ไอ้ความโง่ของตนมันก็กลายเป็นยักษ์ตัวใหม่ยิ่งไปกว่ายักษ์ตัวเดิม เพราะฟังสืบๆ กันมา เพราะไม่อาศัยหลักกาลามสูตร ได้เอามาสวดภาณยักษ์ พระโก่งคอยักโฆวายักฆินีวา (นาทีที่ 37.01) เดี๋ยวสวดภาณยักษ์ที่นั่นสวดภาณยักษ์ที่นี่ แล้วก็เป็นปรัมปรา คือทำสืบต่อๆ กันมา ไม่ยกเลิก ข้อที่สองที่ว่า มา ปรัมปายะ อย่ารับถือเอาด้วยเหตุที่ว่าทำสืบต่อๆ กันมา หรือบอกๆ กันมา นี่พุทธบริษัทชนิดไหนที่ยังจะต้องพึ่งยักษ์ พึ่งสวดเรื่องยักษ์ แล้วจะให้ยักษ์คุ้มครอง มันต้องปฏิบัติธรรมะชนิดที่ถูกต้องแล้วก็จะดับทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นสูตรชนิดนี้ควรฉีกออกเสียจากพระไตรปิฎก
คนเป็นล้านๆ ก็ด่าอาตมาว่าจ้วงจาบพระไตรปิฎก ว่าพระไตรปิฎกนี้ควรฉีกออกเสียบางส่วน ถ้าไว้ทั้งหมดมันจะมีเหมือนกับจะมีเพชร มีเครื่องขุดเพชร มีหีบกล่องใส่เพชร มีกระดาษหรือกระสอบป่านห่อนอก มันก็ติดที่กระสอบป่านห่อนอก พระอาจารย์ชั้นหลังก็มองเห็นว่าเมื่อคนมันยังเชื่อว่าพระจันทร์กับพระราหูเป็นอย่างนั้น ก็พูดอย่างนั้นซะเลย เพื่อให้เรียกคนทั้งหมดมานับถือพระพุทธเจ้า มันก็เป็นอุบายเหมือนกัน เป็นอุบายลัดสั้นที่ให้คนงมงายทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้นทั้งปวงมารับนับถือพระพุทธเจ้าเพราะว่ามันสามารถขับราหูออกไปได้ นี่มันน่าหัวหรือไม่น่าหัว ก็ลองคิดดู
ในกรุงเทพฯ นั่นแหละ มันยังตีป๋องตีแป๋งยิงปืนเมื่อเป็นจันทราคราส สุริยคราสไหม เดี๋ยวนี้ก็ยังมีนะในกรุงเทพฯ อย่าว่าบ้านนอกเลย เมื่อเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการ ก็ได้เขียนเรื่องนี้ไว้ว่า เสียงดังเอ็ดตะโรหมด ตีป๋องตีแป๋งยิงปืนอะไรดังเอ็ดตะโรหมด ว่าอะไรกันๆ ลุกขึ้นมาถามก็ได้ความว่า ช่วยพระจันทร์ คนกรุงเทพฯ นั่นมันช่วยพระจันทร์ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีก็ถามตัวเองว่านี่มันถึงเวลาหรือยังที่จะประกาศพระราชบัญญัติประถมศึกษาบังคับ มันถึงเวลาหรือยัง แม้ในกรุงเทพฯ ยังทำอย่างนั้น ท่านก็ถึงเวลาแล้วที่จะประกาศพระราชบัญญัติประถมศึกษาบังคับ มันจึงออกพระราชบัญญัตินี้มาบังคับให้ไปเรียนหนังสือ ให้รู้ คือว่าไม่ต้องช่วยจันทร์กันอย่างนั้น ถ้ามันเรียนหนังสือรู้เรื่องต่างๆ ดี กระทั่งรู้วิทยาศาสตร์ว่าดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ถูกเงาของโลกไปบังเป็นสุริยคราสเป็นจันทรคราส แล้วมันก็จะหยุดช่วยจันทร์ช่วยอาทิตย์อย่างที่ทำกันอยู่อย่างปรัมปรา
นี่เดี๋ยวนี้มันก็ประกาศพระราชบัญญัติประถมศึกษามาตั้งหลายปีแล้ว ยี่สิบสามสิบปีแล้ว มันก็ยังอยู่นั่น มันก็ยังช่วยจันทร์ตีกระป๋องตีแป๋งตีฆ้องตีระฆังยิงปืนอะไรกันอยู่ เรียกว่ามันไม่ใช่พุทธบริษัท หรือจะเอาไว้ เอาไว้ สำหรับจะสงวนไว้สำหรับยึดถือเพื่อจะได้ตีกระป๋องช่วยจันทร์กันต่อไปเอาไหมเล่า สงวนสูตรนี้ไว้เป็นหลักสำหรับจะได้ตีกระป๋องยิงปืนช่วยจันทร์กันต่อไป เอาหรือไม่ นี่มันก็จะกลายเป็นปรัมปรายะอีกที่สืบไว้ไม่ให้ขาดตอน เป็นอนุสสเวนะ บอกกล่าวกันต่อๆ ไป แล้วก็เป็น อิติกิรายะ เล่าลือกันต่อไป แล้วก็อ้างว่ามีในพระไตรปิฎก มีก็มีในพระไตรปิฎกสิ แต่เป็นพระไตรปิฎกของคนชั้นหลังที่ทำมันขึ้นอยู่ในลักษณะเหมือนผ้ากระสอบป่านห่อลังนั่น ยังไม่ถึงชั้นลัง มันถึงชั้นลังชั้นหีบชั้นตลับชั้นเครื่องใส่เพชร เพชรเม็ดเดียวมันอยู่ข้างใน ทีนี้มาติดอยู่ที่นี่โดยอ้างว่ามีในพระไตรปิฎกก็ได้ เอาซิบางทีจะได้ตีกระป๋องกันต่อไปช่วยจันทร์กันต่อไป ก็อ้างได้ว่ามีในพระไตรปิฎก
เอาล่ะทีนี้อาตมาก็ขอรับบาป ใครมันจะด่ากันทั้งบ้านทั้งเมืองจะด่าอาตมา ก็ด่าเถอะ อาตมาบอกว่าพระไตรปิฎกมันเป็นอย่างนี้ ถ้าจะพูดกับนักศึกษา ชั้นนักศึกษายุคปัจจุบันแล้ว ก็จะพูดว่าพระไตรปิฎกนี่ควรจะปลดออกหรือฉีกออกเสียสักสามสิบเปอร์เซ็นต์ คือเรื่องเหล่านี้เอาออกไปๆ จากพระไตรปิฎก เรื่องราหูจับจันทร์ ราหูจับพระอาทิตย์ เรื่องเมืองยักษ์ เรื่องคำที่ซ้ำๆ กันแล้วความบางอย่างที่มันพูดไว้ในลักษณะเป็น สัตสตทิฏฐิ คนเดียวเวียนว่ายตายเกิด เป็นลักษณะ สัตสตทิฏฐิ ควรจะเอาออก ก็เหลือพระไตรปิฎกอยู่สักเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นนักศึกษาปัญญาชนมาถามว่าพระไตรปิฎกคืออะไร คืออย่างไร ถ้าสำหรับพวกคุณ ฉีกออกได้สามสิบเปอร์เซ็นต์ เอ้า ทีนี้ถ้าเป็นชั้นครูบาอาจารย์ยิ่งไปกว่านั้น เป็นฝรั่งมังค่าชั้นครูบาอาจารย์ศึกษามารอบอย่างทุกๆ อย่าง มาลูบคลำพระไตรปิฎกแล้ว เขาก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ครูอาจารย์พวกฝรั่งไม่เชื่อพระไตรปิฎก เรียกว่าเป็นของใหม่ เชื่อแต่ oldสุตันตระเก่า อย่างหลักสั้นๆ ที่ว่านั้น และก็เพียงไม่เท่าไหร่หรอก ถ้าเอาพวกนักศึกษาชั้นครูบาอาจารย์ชั้นวิเศษอย่างนั้นเป็นหลักแล้ว พระไตรปิฎกควรจะฉีกออกไปเสียอีกสักสามสิบเปอร์เซ็นต์ และมันก็จะเหลือเท่าไหร่ล่ะ ฉีกไปสามสิบ ฉีกไปสามสิบ มันก็เหลือสี่สิบเปอร์เซ็นต์ ราวๆ สี่สิบเปอร์เซ็นต์ แม้ที่เหลืออยู่ราวสี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็ยังมากมายมหาศาลมากกว่าคัมภีร์ไบเบิ้ล มากกว่าคัมภีร์กุรอ่าน มากกว่าคัมภีร์ของศาสนาไหนหมดแหละ ทั้งที่ฉีกออกเสียแล้วหกสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ยังมากกว่าคัมภีร์ศาสนาไหนหมด ที่เหลือสี่สิบเปอร์เซ็นต์เอามาเฟ้น เฟ้นก็หมายถึงกรอง ใส่เพชรแล้ว เฟ้นมาถึงเครื่องขุดเพชรแล้ว มาพบตัวเพชร เม็ดเพชรแล้วนั่นหล่ะ จะเรียกว่าหัวใจของพระไตรปิฎก ก็คือ เพชรเม็ดเดียว ที่ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าของตน
อาตมาถูกด่า และยอมให้ด่า ให้ด่าว่าเป็นคนนอกศาสนา จ้วงจาบพระไตรปิฎก ไม่จ้วงจาบพระไตรปิฎก แต่บอกให้รู้ว่าพระไตรปิฎกนั้นส่วนเปลือกก็มี ส่วนหีบใส่ก็มี ส่วนเครื่องขุดเพชรก็มี ส่วนเพชรก็มี ขออย่าได้ไปติดอ้างพระไตรปิฎกในส่วนที่มันเป็นเปลือกหรือเป็นกระดาษหุ้มนอก ขอให้เลื่อนเข้าไปข้างในตามลำดับ ให้มันถึงเครื่องมือขุดเพชร ว่าปฏิบัติอย่างไรจะได้เพชร ก็เป็นหลักอยู่ในตัวอย่างที่ว่ามาแล้ว ถ้าเรียนรู้เรื่องสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ก็เรียน รู้สิ่งที่เป็นเพชร ถ้าปฏิบัติมันเข้า ก็เป็นการขุดเพชรแหละ พอได้มาก็ได้เพชร เรียกว่ามันหมดปัญหาสำหรับพุทธบริษัท
ถ้ายังจะตีกระป๋องตีปี๊บจุดประทัดไล่ราหูกันอยู่ ก็ตามใจสิ มันก็มีที่อ้างในพระไตรปิฎกเหมือนกัน แต่อาตมาถือว่าถ้าเอาหลักกาลามสูตรสิบประการมาจับกับพระไตรปิฎกแล้ว สิ่งเหล่านี้จะกระเด็นหายไปหมดเลย ไม่มีเหลือหรอก มันเป็นของที่ใส่เข้ามาทีหลัง ใส่เข้ามาทีหลัง สังคายนาครั้งหลังๆ สังคายนาครั้งแรกสุดไม่มีไตรปิฎก แต่มาเทศน์สังคายนากันว่ามีพระไตรปิฎกมาตั้งแต่ครั้งทำสังคายนาครั้งแรก นั่นก็เพราะไปหลงตามคำกล่าวชั้นหลังสุดเมื่อเขามีพระไตรปิฎกเต็มรูปเต็มแบบกันแล้ว มันก็เทศน์อย่างนั้นแหละ เทศน์สังคายนาเรื่องว่ามีพระไตรปิฎกมาตั้งแต่ทำสังคายนาครั้งแรกนั้นน่ะไม่มีความจริง อาศัยหลักกาลามสูตรแล้วมันก็ต้องพูดอย่างอื่น คือพูดมีแต่ธรรมะวินัยที่จัดไว้เป็นเรื่องยาว เป็นเรื่องขนาดกลาง เป็นเรื่องสั้น เป็นเรื่องหมวด และเป็นเรื่องเบ็ดเตล็ด ยังไม่มีคำว่าพระไตรปิฎกใช้
เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็ตรัสมหาประเทศไว้เป็นหลักว่าถ้ามันเกิดปัญหาทางข้อความในทางธรรมนี้ขึ้นมาแล้วให้เอาไปหยั่งลงดูในสูตร ทดสอบดูในวินัย ท่านใช้คำสองคำเท่านั้น ให้ไปทดสอบหรือหยั่งดูในสูตรและในวินัย ไม่มีคำว่าไปหยั่งดูในอภิธรรม มันไม่มี นี่เป็นเครื่องแสดงว่าครั้งพุทธกาลนั้นมันมีแต่สิ่งที่เรียกว่าพระธรรมและวินัย ถ้าเอามาเขียนเป็นตัวหนังสือเข้าก็เรียกว่าปิฎกหรือตำราได้ แต่ในครั้งแรกยังไม่มีการเขียน มีการช่วยจำกันไว้ในใจ เอาเนื้อเอาตัวนี้เป็นกระดาษบันทึกธรรมะวินัยไว้
นี่อาตมาเรียกว่าได้บอกในสิ่งที่เป็นเพชรให้แก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ เพื่อให้เพชรในพระไตรปิฎกเป็นของขวัญแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ รวมทั้งเครื่องขุดเพชรด้วย แต่ส่วนเรื่องเปลือกหรือเรื่องกระดาษห่อลังนั้นไม่อยากจะให้ แต่ถ้าใครยังอยากจะเอาก็เอาเถอะ ขอให้ตีปี๊บตีกระป๋องยิงปืนช่วยราหูช่วยพระจันทร์ต่อไป สวดภาณยักษ์โครมๆ กันต่อไป เพราะมันมีที่อ้างในพระไตรปิฎกเหมือนกัน พระไตรปิฎกรุ่นหลังซึ่งมัน ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ขึ้นมาแล้ว ในของแท้ๆ ในของเดิมแท้ๆ มันข้อเดียว คำเดียวว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เป็นหัวใจเพียงเม็ดเดียว
ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงวิธีปฏิบัติ วิธีปฏิบัติก็ว่า กาลามสูตรสิบประการนั้นน่ะ ไม่ใช่ห้ามว่าอย่าไปแตะต้อง ที่อะไรมาให้ฟังก็ฟัง ที่อะไรทำให้ดูก็ดู อะไรเล่าลือกันมาก็ฟัง แต่แล้วไม่เชื่อ เอามาใคร่ครวญว่ามันจะดับทุกข์ได้หรือไม่ ถ้ามันเห็นวี่แววว่าจะดับทุกข์ได้แล้วล่ะก็ จึงค่อยเชื่อ ในพระไตรปิฎกนั้นน่ะ ก็จงอ้างอิงให้ถูกหัวใจของพระไตรปิฎก อย่าให้เป็นเรื่องถูกกระดาษห่อนอกหรือเปลือกหรือลังของพระไตรปิฎกเลย วิธีปฏิบัติ วิธี logic อันวิเศษของพวกฝรั่งก็ฟังได้เอามาใช้ได้ถ้าอยาก ถ้ามีเวลาพอเอามาจับพระไตรปิฎกดู แล้วก็จะพบแต่เพชร ถ้าใช้ถูกต้องตามหลักวิชาจริงๆ จะพบเพชร คือไม่ใช่พระไตรปิฎกทั้งหมด แต่เป็นหัวใจของพระไตรปิฎก คือ เรื่องดับทุกข์ได้ วิธีปรัชญาก็เหมือนกัน ถ้าชอบถ้าหลงบูชาปรัชญา ก็เอามาใช้จับหลักพุทธศาสนาดูได้ แต่ว่าพุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นศาสนา เป็นหลักการอย่างวิทยาศาสตร์ ถ้าพบได้ ก็เรียกพบหัวใจพุทธศาสนา
ทีนี้ที่เรื่องเกี่ยวกับความคิดเห็นของตนนั้นน่ะ มันต้องให้เป็นไปตามหลักของ ยถาภูตสัมมัปปัญญา เห็นจริงด้วยตนเองว่าจะดับทุกข์ได้อย่างไร ก็ฟังผู้ที่ควรจะพูด ควรจะฟัง และใช้วิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ผู้ที่เป็นครูของตัวเองโดยเฉพาะ ก็คือพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ตรัสว่าเราพูดก็อย่าเพ่อเชื่อ ต้องเอาไปทำให้เป็นสัมมัปปัญญาก่อน พระสารีบุตรก็กล้าทูลซึ่งๆ หน้าว่า ข้าพระองค์ก็ไม่เชื่อ พระสารีบุตรกล้าทูลเฉพาะพระพักตร์เลยว่า ข้าพระองค์ก็ไม่เชื่อ เว้นไว้แต่จะทำให้เป็น ยถาภูตสัมมัปปัญญาก่อนแล้วจึงเชื่อ
นี่มันรุนแรงนะ มันเฉียบขาดนะ มันถูกด่าแน่นะ เอาแล้วอาตมายอมทุกอย่าง จะด่าก็เถอะ สักกี่ล้านๆ ก็ตามใจ ยินดีที่จะพูดอย่างนี้ เพื่อให้เม็ดเพชรในพระไตรปิฎกโผล่ออกมาจากลังจากเครื่องหุ้มห่ออันแสนจะรกรุงรังไปหมดแล้ว ถ้าหากว่าเชื่อธรรมะเหมือนกับเชื่อเรื่องราหูอมจันทร์ได้ก็จะดี ได้ยินว่าพอราหูอมจันทร์แล้วขนลุกกันทั้งนั้น เพราะมันเชื่อ เพราะมันเชื่อว่าเทพบุตรนั้นถูกราหูกัด มันเชื่อไปแล้ว ขนจึงลุก แต่ทีเชื่อธรรมะทำไมจึงไม่เชื่อถึงกับขนลุกบ้างหล่ะ เพราะมันไม่รู้ เพราะมันไม่เข้าถึง ก็ขอให้ถือว่าเพชรเม็ดหนึ่งในพระไตรปิฎกนั้นมันมีอยู่จริง แล้วก็มีเครื่องขุดเพชรอีกมากมายใส่ไว้ให้ด้วยเต็มไปหมด แล้วก็มีลัง มีกล่องมีหีบสำหรับใส่ แล้วก็ใส่ลังแล้วก็หุ้มห่อด้วยกระสอบป่าน หรือหุ้มห่อด้วยอะไรก็ตาม หุ้มเข้าไปๆๆ เครื่องหุ้มชั้นนอกเหล่านี้ก็เช่นสูตรที่ว่านี้ สูตรเรื่องสุริยคราส จันทรคราส สูตรอาฏานาฏิยสูตร เรื่องภาณยักษ์ กี่คน หรือจะทั้งบ้านทั้งเมืองยังเชื่อกันอยู่ แม้ที่กรุงเทพ ที่ว่าเป็นศูนย์กลางการศึกษาความเจริญมันก็ยังจุดประทัดช่วยจันทร์ ตีกระป๋องช่วยจันทร์อยู่นั่นแหละ นี่มันเป็นพุทธบริษัทกี่มากน้อย นั้นขอให้คุ้นเคย คุ้นเคยอย่างยิ่งกับหลักกาลามสูตรทั้ง ๑๐ ข้อนี้ เอาไปใช้สำเร็จประโยชน์ ก็จะได้ถือ จะถือได้ว่าวันนี้อาตมาได้มอบของขวัญชั้นเลิศให้แก่ท่านทั้งหลาย คือ เสรีภาพในการที่จะรับจะนับถือพระธรรมประจำชีวิต ได้แก่ ทำให้พบเม็ดเพชรในพระไตรปิฎก ให้หลุดพ้นจากเครื่องหุ้มห่อภายนอก ขนบธรรมเนียมประเพณีพิธีรีตองที่เพิ่มเข้าไป เพิ่มเข้าไป เพื่อประโยชน์ให้คนยึดในทางศีลธรรมสำหรับคนที่ไม่อาจจะเรียนรู้ เมื่อคนทั่วไปไม่อาจจะเรียนรู้ปรมัตถธรรม เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ต้องให้ของยึดนอกๆ ไกลออกมาๆๆ จนเป็นเรื่องสำหรับเด็กหรือเป็นเรื่องสำหรับคนโง่ ก็ดีว่าที่มีแก่ใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปถึงเด็กถึงคนโง่ สร้างหลักอะไรขึ้นมาให้พอเหมาะสำหรับเด็กสำหรับคนโง่จะยึดถือไปพลางก่อน พอเขาโตขึ้นมาเขาก็เลื่อนได้เอง เลื่อนเข้าไปๆ จนพบหัวใจของพระไตรปิฎก คือเพชรเม็ดดังที่กล่าวนั้น
เราจงรู้จักใช้เครื่องมือขุดเพชรอันยิ่งใหญ่คือ กาลามสูตร ๑๐ ประการนี้ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเราตลอดเวลา พวกเรามันเกี่ยวกับเรื่องของกาลามสูตรอยู่ตลอดเวลา แต่เราก็ใช้ไม่เป็น มันจึงมีแต่ฟังบอกตามๆ กันมา มีปฏิบัติตามๆ กันมา มีตามเสียงเล่าลืออยู่กระฉ่อน แล้วก็มัวอ้างพระไตรปิฎกส่วนเปลือกที่เข้ากับทิฏฐิความคิดความเห็นของตน ที่ฉลาดก็ใช้หลักตรรกะบ้างหลัก philosophy บ้าง ที่เป็นนักคิดหัวดื้อก็จะเอาแต่ทิฏฐิของกู เอาแต่ทิฏฐิของกู ว่าเป็นอย่างไร ก็เป็นนักคิดหัวดื้อ มันตรงกับความคิดของฉันก็ต้องถูกสิ นี่มันเป็นเหตุให้ได้เถียงได้ทะเลาะกัน เอาหล่ะถ้าเราทำอย่างนี้เราจะพบพระพุทธเจ้า พระธรรมของพระพุทธเจ้าและวิธีปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของพระพุทธเจ้า มิฉะนั้นเราก็จะพบแต่เปลือกของพระไตรปิฎก อย่างเดียวกับเปลือกของพระพุทธเจ้า มันอยู่ในประเภทเดียวกัน พระพุทธเจ้าที่เป็นเปลือก คือไปยึดถือบุคคล และไปยึดถือของแทนบุคคล เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ก็ยังทรงสั่งไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ตถาคตนะ ไอ้ร่างกายไม่ใช่ตถาคตนะ ธรรมะจึงจะเป็นตถาคต ท่านปฏิเสธร่างกายแท้ๆ ของท่าน ที่เดินกันมาอยู่ได้นั้นนะไม่ใช่ตถาคต และไม่ใช่ธรรมะของตถาคต และเดี๋ยวนี้มันทำไม่ได้ มันเห็นธรรมะไม่ได้ มันเข้าถึงธรรมะไม่ได้ ผู้มีปัญญาจึงเอาของมาแทน แทนองค์พระพุทธเจ้าที่ดับไปแล้ว เช่น พระสารีริกธาตุ เป็นต้น พระบาท พระพุทธบาท อะไรเป็นต้น ให้แทนเพื่อยึดถือชั้นนอกเข้าไปก่อนตามลำดับจนกว่าจะถึงชั้นใน แต่เราน่าจะคิดว่าเป็นพุทธบริษัทกันมาสิบๆ ปีแล้ว มันน่าจะเลื่อนชั้นเข้าไปได้ ถึงชั้นกลาง ถึงชั้นใน ก็จะเป็นการดี
เดี๋ยวนี้มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวอยู่กับเรา เรื่องฟังตามๆ กันมา บอกอะไรกันมา นี่จึงต้องพูดเรื่องนี้ให้เป็นที่เข้าใจ ถ้าปฏิบัติตามหลักกาลามสูตร ๑๐ ประการนั้นแล้ว จะเข้าถึงพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ไม่ติดอยู่แค่เปลือก ขอให้ใช้หลัก ๑๐ ประการนั้นเถิด มันจะเจาะทะลุเปลือกของหีบเพชรเข้าไปจนถึงเม็ดเพชร หรือว่าจะเจาะเปลือกเข้าไปจนถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง
เอ้า, ทีนี้พูดออกไปนอก วงนอกบ้างว่าถ้าเรารู้จักใช้หลักกาลามสูตร ๑๐ ประการนี้แล้ว จะทำให้พุทธศาสนาของเราเด่นออกมาเหมาะสมสำหรับยุคปรมาณู ยุคปรมาณูที่เจอกันด้วยวิทยาการอย่างนี้ ศาสนาบางศาสนาอย่าต้องออกชื่อเลยนะ มันจะต้องถอยกลับ มันจะต้องหดตัว มันยิ่งไม่เหมาะสมสำหรับยุคปรมาณู พระพุทธศาสนาจะเหมาะสมสำหรับยุคปรมาณูถ้าปอกเปลือกออกเสียให้หมด ที่ประพฤติกระทำเล่าเรียนศึกษากันอยู่ในชั้นเปลือกนี่ เอาออกเสียให้หมด โดยอาศัยเครื่องมืออันวิเศษคือ กาลามสูตร จึงต้องพูดเรื่องกาลามสูตร เพื่อว่าเราจะช่วยกันผดุงพระพุทธศาสนาไว้ในลักษณะที่บริสุทธิ์ผุดผ่องให้เหมาะสมกับยุคปรมาณู
ทีนี้อีกพวกหนึ่งเขาประกาศตัวเป็นผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนา มันก็ทำหลับหูหลับตามันก็พิทักษ์กันแต่เปลือกนั่น ถ้าจะพิทักษ์ถึงเนื้อในก็ขอให้รู้จักใช้หลักกาลามสูตร จะสามารถพิทักษ์พระพุทธศาสนาที่เป็นชั้นเนื้อแท้คือเป็นเพชรหรือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงได้โดยแน่นอน ทีนี้ดูมาข้างนอกอีกทีว่ากาลามสูตร กาลามสูตรนี้แหละจะเป็นเครื่องซักฟอกความงมงายต่างๆ ออกไป จะรักษาความถูกต้องเอาไว้ได้ ไอ้ความยึดถืออย่างงมงายที่เป็นเฮโรอีน ล้างออกยาก ต้องใช้ของที่มีอำนาจวิเศษทันกันคือ กาลามสูตร เท่านั้นแหละที่จะขจัดความงมงายทางศาสนาที่กลายเป็นเฮโรอีน เฮโรอีนทางศาสนาไปแล้วนั้นน่ะ มันจะล้างออกได้โดยอาศัยกาลามสูตร
นี้ในที่สุดเราจะได้มีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงซึ่งมีอยู่ตลอดกาลมาเป็นพระศาสดาของเราในปัจจุบันนี้ ไม่ต้องมีบุคคลเป็นศาสดา ไม่ต้องมีกระดูกเป็นพระศาสดา ไม่ต้องมีรอยเท้าเป็นพระศาสดา แต่จะเข้าถึงทะลุกระดูกพระสารีริกธาตุหรือรอยพระบาทอะไรเข้าไปถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริงแล้วทะลุไปถึงตัวธรรมะซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธเจ้า ทำได้อย่างนี้ ชื่อว่าเราได้ทำให้พระพุทธเจ้าแท้จริงยังคงมีอยู่ อย่าพูดโง่ๆ ว่าพระพุทธเจ้าตายแล้ว พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว คำพูดนั้นมันคำพูดของคนโง่ ที่พูดว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วมันไม่ถูก มันตู่ เกินไป พระพุทธเจ้าแท้จริงไม่ปรินิพพาน และยังอยู่กับเราจนตลอดเวลา ที่ปรินิพพานนั้นกิเลสโน่น กิเลสที่เคยมีปรินิพพานหรือว่าร่างกาย เรื่องกายเนื้อหนังนี่ปรินิพพาน แต่องค์พระพุทธเจ้าแท้จริงคือเพชรเม็ดนั้นยังอยู่จนบัดนี้จนตลอดอนาคตกาลไม่มีที่สิ้นสุด นี่ขอให้พุทธบริษัทเป็นพุทธบริษัท เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือมีธรรมะจริง และเบิกบานอยู่ด้วยความสุขสำราญตามแบบของพระธรรม
มีเหตุผลอย่างนี้แหละ อาตมาถึงได้เอาเรื่องกาลามสูตรมาพูดให้ท่านทั้งหลายเข้าใจ แต่พร้อมกันนั้นคนอีกพวกหนึ่งก็จะหาว่าอาตมาทำลาย ทำลายพื้นฐาน ทำลายความเชื่อความยึดถือของประชาชน หรือทำลายความยึดถือพระไตรปิฎก จนถึงกับบางคนพูดว่าต้องยึดถือตามนั้นทุกตัวอักษร อาตมาขอบอกว่าอย่าไปยึดถือตามนั้นทุกตัวอักษร อักษรชั้นที่เป็นเปลือกเป็นเครื่องหุ้มห่อ เป็นเครื่องช่วยงมงายนั้นเอาออกซะได้ไม่ต้องไปยึดถือ ถ้าให้ความเป็นธรรมกันแล้ว เมื่อจะพูดกับนักศึกษา จะพูดว่าพระไตรปิฎกนี้น่าจะหรือควรจะฉีกออกสามสิบเปอร์เซ็นต์นั่นสำหรับพวกเธอ ถ้าจะพูดกับครูบาอาจารย์ชั้นสูงสุดที่เขาศึกษาเรียนกันมาแล้ว โดยเฉพาะฝรั่งที่มีสติปัญญาสูงสุดลูบคลำพุทธศาสนามาแล้ว เราก็ไม่ต้องพูด เขาก็พูดได้เอง แต่ถ้าเขาถามเรา เราก็พูดได้เหมือนกันว่าควรฉีกออกอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ ฉีกออกไปหกสิบเปอร์เซ็นต์ เหลือสี่สิบเปอร์เซ็นต์นี่จะเป็นเนื้อแท้ และในเนื้อแท้นั่นแหล่ะจะหาพบเพชรเม็ดนั้น ขอให้ช่วยจำไว้เป็นพยานด้วยว่าอาตมาได้พูดว่า ถ้าพูดสำหรับนักศึกษานะ มีสติปัญญานะ จึงจะพูดว่าฉีกพระไตรปิฎกออกไปได้สักสามสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าพูดกับคุณย่าคุณยายหรือใครก็ตามที่ตีกระป๋องช่วยจันทร์อยู่แล้ว ไม่ต้องฉีกๆ พระไตรปิฎกทั้งหมดไม่ต้องฉีก เพราะว่าเรื่องให้ช่วยจันทร์เรื่องเกี่ยวกับราหูมันก็อยู่ในพระไตรปิฎกส่วนนั้น ถ้าพูดกับคนชั้นหนึ่งชั้นทั่วไปนั้นที่ต่ำทั่วไปนั้น ไม่ต้องฉีกพระไตรปิฎกไม่ต้องฉีก ถ้าพูดกับนักศึกษาฉีกออกราวสามสิบเปอร์เซ็นต์ เช่น สูตรเรื่องพระจันทร์ เรื่องพระราหู เรื่องอาฏานาฏิยสูตร และคำพูดบางตอนที่มันเป็นลักษณะสัสสตทิฏฐิ นี้ฉีก มันจะเป็นประมาณสักสามสิบเปอร์เซ็นต์ ทีนี้ถ้าไปพูดกับนักศึกษาที่เขารู้พระไตรปิฎกนั้นมันเพิ่งเกิด โดยเฉพาะอภิธรรมปิฎกนี่เพิ่งเกิดเมื่อสัก ๕๐๐-๖๐๐ ปีมาแล้วนี่ เพราะว่ามันมีเรื่องหลังๆ เช่น หลักคำสอนเครื่องโต้แย้งในอันตระประเทศอินเดียใต้ ซึ่งเกิดทีหลัง มันก็เข้าไปมีอยู่ในอภิธรรมปิฎกนั่น อภิธรรมปิฎกจึงเป็นที่รวบรวมของเรื่องชั้นหลังไว้มากทีเดียว เป็นความคิดในรูปแบบของปรัชญา เช่น หมวดอันตระนั้นล่ะ หมวดนั้น อภิธรรมปิฎกเป็นของใหม่ เกิดในอันตระประเทศอินเดียใต้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็เอาออก เขาก็ปลดออก
นักศึกษาที่แตกฉานอย่าง ขอออกชื่อสักคนหนึ่งอย่าง Professor Rich David (นาทีที่ 01.04.26) ไม่ได้เอาเหล่านั้น คงใช้คำๆ เดียว old สุตันตระ old สุตระ คือสุตระเก่าเท่านั้น ไม่มีปิฎก ไม่มีไตรปิฎก ไม่มีอะไร มีแต่ old สุตระ ถ้าว่าคำพูดนั้นมันมีในอภิธรรมปิฎกรุ่นหลังๆ หรือพระไตรปิฎกรุ่นหลัง ก็อ้างบอกเหมือนกันว่านี้มีในอภิธรรมปิฎก ไม่ใช่ old สุตันตระ
แล้วเป็นอันว่า อาตมาก็ยอม เสียสละ ไม่ใช่เรียกว่าเสี่ยง ไม่ใช่เรียกว่าเสี่ยง ถูกแน่ๆ ถูกคนด่า ถูกคนรุมกันด่าค่อนบ้านค่อนเมืองที่ว่ากล้าพูดว่าพระไตรปิฎกนั้น ถ้าสำหรับนักศึกษาฉีกออกได้สามสิบเปอร์เซ็นต์ สำหรับยายแก่ตาแก่ทั่วไปไม่ต้องฉีก จนชั้นครูบาอาจารย์ฉีกออกอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ เหลือสี่สิบเปอร์เซ็นต์นั่นแหละ ค้นให้พบเถอะ ตรงไหน ตรงไหน ในพระไตรปิฎกที่ไม่อาจฉีกออกได้ ที่เหลืออยู่สี่สิบเปอร์เซ็นต์นั่นแหละคือพระพุทธศาสนาชั้นที่เป็นเพชร ชั้นที่เป็นเครื่องขุดเพชร เป็นพระไตรปิฎกส่วนที่เป็นเพชร และเป็นส่วนที่ใช้สำหรับขุดเพชร
นี่คือของขวัญปีนี้ คือเสรีภาพในการถือหลักธรรมะเพื่อประโยชน์แก่ชีวิตของตน โดยการขุดหาเพชรให้พบ มีสิทธิเสรีภาพด้วย มีสมรรถภาพด้วยในการที่จะขุดหาให้พบหัวใจของพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นเพชรแล้วเอามาประดับประดาไว้กับเนื้อกับตัว ไม่ต้องไปซื้อเพชรราคาแสนราคาล้านจากต่างประเทศมาแขวนแล้ว มันคงจะหนักคอเปล่าๆ มันไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น แต่ถ้าว่ามีเพชรของพระพุทธเจ้า ความรู้หรือเครื่องเตือนให้มีความรู้อยู่ตลอดเวลาว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด โดยความเป็นตัวตนหรือเป็นของของตน นับตั้งแต่ขี้ฝุ่นขึ้นไปเป็นลำดับจนถึงเทวดา พรหมอะไรก็ตาม จนกระทั่งถึงพระนิพพาน ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นพระนิพพานว่าเป็นนิพพานหรือเป็นนิพพานของเรา ขอให้พระนิพพานก็เป็นธาตุตามธรรมชาติ เป็นธรรมธาตุตามธรรมชาติ ตามแบบของพระนิพพาน ไม่อาจจะเป็นตัวเราไม่อาจจะเป็นของเรา อย่างนี้คือทำถูกต้องตามพระพุทธประสงค์ ฉะนั้นอย่าได้ยึดมั่นถือมั่นอะไรให้มากนัก แม้ที่สุดแต่ว่าศีล ศีล อย่าไปเอาศีลด้วยความยึดมั่น จงเอาศีลด้วยสติปัญญาเรียกว่า สมาทาน สมาทานศีลนั้นใช้ได้ แต่ถ้าอุปาทานในศีลแล้วบ้าเลย มันเป็นสีลัพพตปรามาส ไป ถ้าอุปาทานในศีล ยกหูชูหาง กูมีศีลมึงไม่มีศีลอะไรอย่างนี้ด้วย หรือเน้นเรื่องศีลจนว่าเรื่องอื่นไม่มีความหมาย อย่างนี้มันเป็นเรื่อง ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องศีล เพราะมันเป็นอุปาทานไปหมด ศีลก็อุปาทาน สมาธิก็อุปาทาน วิปัสสนาก็อุปาทาน อุปาทานกันไปหมด ไม่พบของจริง
แล้วอาตมาดื้อหมอมาหลายนาทีแล้วหลายสิบนาทีแล้ว ไม่ให้พูดๆ เดี๋ยวนี้ก็มีความเห็นใจในการที่อุตส่าห์มากันจากที่ไกล อุตส่าห์มากันจากที่ไกล ขอขอบพระคุณ ถ้าการต้อนรับมันบกพร่องก็ขออภัย และขอเป็นคำสุดท้ายว่า ช่วยรับของขวัญวันนี้เอาไป ของขวัญที่มอบกันวันล้ออายุปีนี้ คือ เสรีภาพในการรับนับถือธรรมะมาประจำชีวิต ด้วยการเข้าให้ถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้เพชรเม็ดเดียวที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนามาประดับอยู่กับเนื้อกับตัว โดยอาศัยหลักธรรมะอันสูงสุด คมเฉียบที่สุด คือ กาลามสูตร อยากจะพูดว่าครูบาอาจารย์แต่ก่อนนั้นน่ะ กลัวคนจะฉลาดเกินไปด้วยกาลามสูตร เลยไม่เอามาสอน กาลามสูตรไม่ถูกเอามาสอนให้แพร่หลายเหมือนสูตรอื่นๆ ทั้งที่ว่ามันเป็นสูตรที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยเกิดผลดีดังที่กล่าวแล้ว ให้พุทธศาสนายังคงเป็นพุทธศาสนา ให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ต่อสู้ได้กับความก้าวหน้าแห่งโลกในยุคปรมาณู
ไอสไตน์เขาพูดไว้เป็นหลักข้อหนึ่งว่า ศาสนาที่จะเหลืออยู่เพียงศาสนาเดียวในโลกนั้น คือ ศาสนาที่ can hope the modern need (นาทีที่ 01.10.10) ที่จะสามารถผจญหน้า ประจันหน้ากันได้ความต้องการของมนุษย์แห่งยุคปัจจุบัน ซึ่งก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เรื่อยไป นี่หมายถึงโลกในสมัยที่วิทยาศาสตร์เป็นไปอย่างสูงสุดแล้ว ศาสนาจะเหลืออยู่เพียงศาสนาเดียว คือศาสนาที่สามารถเผชิญหน้ากับความต้องการของคนในโลกยุคนั้น
อาตมากล้าพูดว่า พุทธศาสนาสามารถที่จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดในทำนองเที่ยวพาดพิงถึงศาสนาอื่น แต่ว่าถ้าว่ามันจะเป็นได้เช่นนั้นจริง ก็เพราะว่าพวกเราทุกคนทำให้มันเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าพวกเรายังชอบตีกระป๋องตีกระแป๋ง จุดประทัดไล่พระราหู ยิงปืนไล่พระราหูอยู่ ไม่มีหวัง ไม่มีหวัง ที่จะช่วยให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สามารถทนอยู่ในโลกแห่งยุคปรมาณู ขอด้วยช่วยกันฟังให้ดีๆ เอาเครื่องมือวิเศษสูงสุดคือ กาลามสูตร ขจัดสิ่งที่เป็นเปลือกนอกออกไปเสีย เข้าถึงหัวใจแท้ๆ ของพระพุทธศาสนา เอาเพชรเม็ดนั้นมาประดับประดาไว้ที่เนื้อที่ตัว ความเป็นพุทธบริษัทก็สมบูรณ์ๆ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ จนยกมือไหว้ตัวเองได้ แต่ไม่ต้องก็ได้ แต่มันสมบูรณ์วิเศษจนพอจะยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้าอย่างนี้ถืออย่างนี้อยู่ก็เอา ก็ทำชนิดที่ยกมือไหว้ตัวเองได้ทุกอิริยาบถ เป็นสวรรค์สูงสุดไปพักหนึ่ง นั่งเล่นนั่งพักในสวรรค์สักพักหนึ่ง ยกมือไหว้ตัวเองแล้วต่อไปก็เลิก ก็ไม่ต้องไหว้ ก็อยู่อย่างว่างเปล่าจากการกระทำด้วยความยึดมั่นถือมั่นโดยประการทั้งปวง
แล้วถ้าแรงยังมีสำหรับพูดตอนบ่ายก็จะพูดเรื่องนี้ สวรรค์ในทุกขณะจิตที่เนื้อที่ตัว ตอนนี้ขอยุติการบรรยายในภาคเช้า เพราะว่ามันเลยเวลาที่หมอกำหนดแล้ว ถ้ามันตายเสียก็ดีไป ถ้ามันไม่ตาย ตอนบ่ายขอพูดอีกสักนิด กลางคืนไม่รับรอง