แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ เพื่อจะฟังธรรม หรือศึกษาพระธรรมเพิ่มพูนยิ่งๆขึ้นไป ท่านที่มาแต่ที่ไกล ได้รับความลำบาก ก็ขออนุโมทนา และขออภัยถ้ามีความบกพร่องในการต้อนรับอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นธรรมดา สำหรับวัดป่า พระเถื่อนอย่างนี้ และมีความยินดีที่ว่าได้มานั่งพูดจากันในลักษณะอย่างนี้ คือกลางดิน ใต้ต้นไม้ บางคนก็ทราบแล้วว่ามีความหมายอย่างไร แต่บางคนก็ยังไม่ทราบ มันก็พูดกันได้ง่ายๆกันลืมว่า พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดิน พระพุทธเจ้าสอนกลางดิน พระพุทธเจ้าอยู่กลางดิน และพระพุทธเจ้านิพพานกลางดิน ดูที่แผ่นดินมีความหมายสำหรับพระพุทธเจ้าอย่างไร เดี๋ยวนี้เราก็ได้มานั่งพูดกันกลางดิน ควรจะรู้สึกภาคภูมิใจ
แม้ศาสดาแห่งศาสนาอื่นก็เช่นเดียวกัน เข้าใจว่าคงจะมีลักษณะอย่างนี้บ้างไม่มากก็น้อย อีกอย่างหนึ่งก็ใต้ต้นไม้ๆ เดี๋ยวนี้เรานั่งกันใต้ต้นไม้ พระพุทธเจ้าประสูติโคนต้นไม้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้โคนต้นไม้ พระพุทธเจ้าสอนส่วนใหญ่โคนต้นไม้ ส่วนใหญ่ประทับอยู่โคนต้นไม้ และในที่สุดก็นิพพานโคนต้นไม้ อย่าเข้าใจว่านิพพานที่โรงพยาบาล หรืออยู่บนศาลา บนกุฏิ วิหารอะไร ต้องนิพพานกลางดิน โคนต้นไม้ เดี๋ยวนี้เราก็ได้มานั่งกันโคนต้นไม้ เป็นการง่ายที่สุดที่จะทำในใจเป็นพุทธานุสติ ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ประสูติกลางดิน โคนต้นไม้ เป็นต้น ดังที่กล่าวแล้ว ขอให้ความรู้สึกอันนี้ติดใจท่านทั้งหลายไป เป็นเครื่องเตือนความทรงจำ ว่าเราได้มานั่งพูดกันในลักษณะอย่างนี้ ในสถานที่อย่างนี้ มีความหมายราวกับว่าในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือกลางดิน โคนต้นไม้ กลางดิน โคนต้นไม้ ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ สั่งสอนอยู่ และนิพพานของพระพุทธเจ้า
บางคนอาจจะสงสัยว่าพูดแก้ตัวๆ ไม่มีที่นั่งที่ อะไรที่ให้เหมาะสมกันแล้วก็พูดแก้ตัว เอาหล่ะ ถ้าว่าจะแก้ตัวก็เป็นส่วนที่แก้ตัว แต่จะขอร้องให้ทำความเข้าใจว่าส่วนที่มันจะได้รับมากยิ่งไปกว่าการแก้ตัวนั้นมันมีอยู่มาก คือการที่เราจะได้มีจิตใจเหมาะสมที่จะฟัง หรือจะศึกษาพระธรรม และเป็นอยู่ให้คล้ายธรรมชาติ ก็จะเข้าใจเรื่องของธรรมชาติได้โดยง่าย เป็นเกลอกับธรรมชาติ แล้วก็รู้เรื่องของธรรมชาติได้โดยง่าย เรื่องของธรรมะโดยเฉพาะในพระพุทธศาสนานั้น ไม่มีเรื่องอะไรนอกไปจากเรื่องของธรรมชาติ เรื่องตัวธรรมชาติ เรื่องกฏของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ และเรื่องผลที่จะได้รับจากหน้าที่นั้น มันเป็นเรื่องธรรมชาติถึงขนาดนี้ มานั่งอยู่เป็นเกลอกับธรรมชาติก็ง่าย และสะดวกที่จะเข้าใจเรื่องธรรมชาติ ฉะนั้นขอให้ตระเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลาย ให้เป็นไปเข้ารูปกันในลักษณะอย่างนี้ด้วย
ทีนี้โดยส่วนตัวก็เกือบจะมาพูดไม่ได้ คือเป็นหวัด ก็ต้องขออภัยที่จะต้องพูดเบาๆ ถ้าพูดดังแล้วมันก็ไอขึ้นมาทันที ถ้าพูดเบาก็พอจะพูดกันได้บ้าง ฉะนั้นก็จำเป็นที่จะต้องพูดเบาๆ ขอให้ตั้งใจฟังเอาก็แล้วกัน มันเป็นหวัด อาตมาพยายามอย่างยิ่ง ต่อต้านอย่างยิ่ง นี่เอากระป๋องลูกอมแก้หวัด ยาดมแก้หวัดมาขู่ไวรัส ไม่รู้มันจะกลัว หรือไม่กลัว อาจจะพูดไม่จบก็ได้ แต่ไหนๆก็ได้ตั้งใจจะพูด แล้วก็พยายามจะพูด
ทีนี้เรื่องที่จะพูดในวันนี้ คืนนี้นั้น ก็คือหัวข้อที่ว่า ศาสนาเปรียบเทียบแห่งสากลโลก ท่านจงทำในใจถึงศาสนาทุกศาสนาที่มีอยู่ในโลก ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ปัจจุบันนี้ มันจะมีอยู่สักกี่ศาสนาก็สุดแท้ เราจะได้มาวินิจฉัยกัน จะได้พิจารณากัน ด้วยการทำการเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบนี้มีได้ทั้ง ๒ อย่าง คือเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างกัน แล้วก็เกลียดชังกันก็ได้ อาตมาสังเกตเห็นว่านักศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ Comparative study religion นี้มันมักจะเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างกัน จนเข้ากันไม่ได้ แล้วก็เกลียดน้ำหน้ากัน เราจะเปรียบเทียบกันอย่างนี้ก็ได้ ทีนี้เปรียบเทียบอีกอย่างหนึ่งก็เปรียบเทียบให้เห็นความที่มันคล้ายกัน หรือมันเข้ากันได้ ในที่สุดก็พอใจที่จะร่วมมือกันอย่างนี้ก็มี นี่คือการเปรียบเทียบ มีอยู่เป็น ๒ อย่างๆนี้
เดี๋ยวนี้เราจะเปรียบเทียบในลักษณะที่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ คือมองเห็นช่องทางที่เหมือนกัน และจะเข้ากันได้ แล้วก็ร่วมมือกันทุกฝ่ายทำประโยชน์ให้แก่โลก คือช่วยมนุษย์ในโลก ถ้าศาสนาทุกศาสนาร่วมมือกัน เพื่อทำประโยชน์ให้แก่โลก โลกจะดีกว่าอย่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน แล้วปัญหาเรื่องการกระทบกระทั่งระหว่างศาสนาก็จะไม่มี นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องระลึกนึกถึงประจำใจอยู่เสมอว่าโลก มนุษยโลก มนุษยชาติกำลังต้องการความช่วยเหลือจากศาสนาทุกศาสนารวมกัน แต่มนุษย์มันไม่รู้ มนุษย์มันไม่รู้เรื่องนี้ มันหลับตา ไม่รู้เรื่องนี้ ไม่ส่งเสริมเพื่อการกระทำอย่างนี้ แล้วบางทีก็กระทำเพื่อการแตกแยกกันเสียด้วย มันกลายเป็นเพิ่มวิกฤตการณ์ เพิ่มความเลวร้ายขึ้นมาในโลก ถ้าในทางโลกก็แตกกัน ในทางศาสนาก็แตกกัน แล้วโลกนี้ก็เลวร้ายลงไปกว่านี้อีกมาก จึงควรหาทางทำความเข้าใจ เป็นการป้องกัน หรืออีกทีหนึ่งก็ว่าจะขึ้นปีใหม่อยู่รอมร่อแล้ว เราควรจะทำอะไรให้ดีกว่าปีเก่า ฉะนั้นเรามาทำความเข้าใจระหว่างศาสนานี่กันให้มากยิ่งขึ้นไปกว่าปีเก่า ศาสนามีบทบาทเพื่อสันติภาพของโลกยิ่งขึ้น และยิ่งขึ้นปีใหม่กี่ปีๆมันก็เป็นการเพิ่มความหวัง เพิ่มความปลอดภัยในการได้รับสันติภาพ สันติสุขในโลกนี้ นี่เราควรจะทำความเข้าใจกันในข้อนี้
อีกอย่างหนึ่งพูดตรงๆว่า เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างศาสนา และไม่เกิดการกระทบกระทั่งภายในสังคมเดียวที่มีศาสนาต่างกัน เช่น ประเทศไทย สังคมนี้ก็ถือศาสนาได้ตามชอบใจ ศาสนาไหนก็ได้ รัฐธรรมนูญอนุญาติให้อย่างนั้น ดังนั้นแม้ประเทศไทยประเทศเดียวจะถือศาสนาทุกศาสนาก็ได้ แต่แล้วจะทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดการกระทบกระทั่งกันในระหว่างศาสนา อาตมาเห็นว่ามีทางเดียวเท่านั้น คือการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ด้วยการทำการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างศาสนา นี่คือความมุ่งหมายที่จะพูดเรื่องนี้ ขอให้ทุกคนทุกท่านที่มีศาสนา ศาสนาใดก็ตาม ใครมีศาสนาแล้วก็ขอให้ตั้งใจฟังว่า เราจะทำความเข้าใจระหว่างศาสนากันได้อย่างไร จึงจะเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่สังคมของเรา เรายังจะต้องมีปัญหาอย่างนี้กันไปอีกทุกๆประเทศก็ได้ หรือทั่วโลกก็ได้ เพราะว่าในโลกนี้มีศาสนาหลายศาสนาอยู่ในโลก จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ทีนี้จะดูส่วนน้อยที่สุด ส่วนเล็กที่สุดว่าในครอบครัวหนึ่งมันมีต่างศาสนาก็ได้ จะมีการสมรสระหว่างศาสนา ผัวถือศาสนาหนึ่ง เมียถือศาสนาหนึ่ง แล้วจะอยู่กันได้อย่างไรด้วยความสนิทสนมผาสุก สันติสุข ร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ มันก็ไม่มีอะไรนอกจากการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ดังนั้นจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ว่าจะทำความเข้าใจด้วยการศึกษาเปรียบเทียบ ในลักษณะที่ให้มองเห็นความที่จะร่วมมือกันได้ ไม่ใช่ให้เห็นความแตกต่าง และเกลียดชังกันเหมือนกับที่เขาชอบกระทำกันโดยมาก ซึ่งอาตมาถือว่านั่นเป็นการทำบาป การเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างศาสนาเพื่อเข้าหน้ากันไม่ได้นั้นคือการทำบาปอย่างยิ่ง ควรจะสังวรณ์กันไว้
ทีนี้ก็จะได้พูดต่อไปในข้อแรก ประเด็นแรก ก็คือจะพูดว่าคำพูด หรือคำถามที่จะถามว่า ศาสนาไหนดีกว่าศาสนาไหน ศาสนาไหนดีที่สุด นี่ขอให้เข้าใจว่าเป็นคำถามที่บ้าบอที่สุด คำถามที่บ้าบอที่สุดก็คือคำถามที่ถามว่าศาสนาไหนดีกว่าศาสนาไหน ถ้าเรามองเห็นส่วนลึกแก่นแท้ของศาสนาแล้ว จะไม่ๆเกิดคำถามอย่างนี้ เพราะว่าศาสนาหนึ่งๆมันก็ดีไปอย่างหนึ่ง เหมาะสำหรับคนพวกหนึ่ง ยุคสมัยหนึ่ง ในถิ่นที่แห่งหนึ่ง คือเป็นอย่างนี้ แล้วมาถามว่าศาสนาไหนดีกว่าศาสนาไหน มันก็เป็นการหลับตาถาม เป็นคำถามที่บ้าบอที่สุด เช่นเดียวกับจะถามว่ากินขนมปังอย่างฝรั่งดี หรือว่ากินข้าวอย่างคนไทยกินดี กินขนมปังกับการกินข้าวนี่ไหนมันดีกว่ากัน หรือถูกกว่ากัน นี่คำถามนี้บ้าบอที่สุดเลย ท่านทั้งหลายคงจะทราบได้ว่ามันเป็นคำถามที่บ้าบอที่สุดเท่าไรที่จะถามว่ากินขนมปังดี หรือกินข้าวดี สำหรับคนที่กินขนมปังมันก็ดี มันก็ถูก มันก็มีเหตุผล มันก็เป็นปกติสุขไปแล้ว ไอ้คนที่กินข้าวมันก็มีความถูกต้อง มีปกติสุขไปแล้ว มาถามว่าอันไหนดีกว่ากัน มันตอบไม่ได้หรอก ถ้าถามฝ่ายหนึ่งมันก็ต้องตอบอย่างหนึ่ง คนที่ถามนั้นมันไม่รู้มันเป็นคนกินอะไร ถ้าตัวเองกินข้าวก็ต้องตอบว่ากินข้าวดี ดังนั้นเป็นคำถามที่บ้าบอ ถ้าจะถามว่ากินขนมปังดี หรือกินข้าวดี
ทีนี้แคบเข้ามาในหมู่พวกที่กินข้าว ภาคเหนือ ภาคอีสาน กินข้าวเหนียว ภาคใต้กินข้าวเจ้า ภาคกลางกินข้าวเจ้า ถ้าเกิดถามว่ากินข้าวเหนียวดีกว่ากินข้าวเจ้า หรือกินข้าวเจ้าดีกว่ากินข้าวเหนียว มันก็เป็นคำถามที่บ้าบอที่สุดอยู่นั่นเอง อาตมาเคยไปลองกินข้าวเหนียวมาแล้ว มันๆๆกินไม่ได้ มันกินไม่ค่อยจะได้ มันฝืนๆมากเกินไป นี่เพราะว่าเรามันกินข้าวเจ้า แล้วพวกที่กินข้าวเหนียวก็มากินข้าวเจ้า แล้วก็บ่นว่าไม่ๆเต็มท้อง ไม่อิ่มท้อง ไม่มีกำลังวังชาอะไรอย่างนี้ เป็นต้น ฉะนั้นจึงเลิกคำถามอย่างนี้ ให้มันมีความถูกต้องของภูมิหลัง เบื้องหลัง เกิดมาอย่างไร เกิดมาในถิ่นไหน ในยุคไหน ในสมัยไหน มีเลือดเนื้อที่สร้างขึ้นมาในลักษณะอย่างไร อย่างนั้นมันก็ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจงมี หรือกินก็ได้ ถ้ามีก็มีศาสนา จะกินก็กินข้าว ให้มันถูกต้องกับเรื่องของตนเอง ภูมิหลังของตนเป็นอย่างไร มีวัฒนธรรมอย่างไร ไปเกิดในถิ่นไหน ในบ้านๆเมืองที่มีดินฟ้าอากาศอย่างไร มันมีอีกหลายอย่าง หลายปัญหาที่มันจะทำให้มองเห็นได้ว่าจะกินเนยดี หรือกินน้ำกะทิดี เพื่อผลอย่างเดียวกัน มันก็ตัดสินไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องของความเคยชินมากกว่า ที่เรียกว่ารสนิยม หรืออะไรก็แล้วแต่ ฉะนั้นเราจะไม่มีการถามกันว่าศาสนาไหนดีกว่าศาสนาไหน เพราะศาสนาหนึ่งย่อมดีสำหรับคนพวกหนึ่งโดยสมบูรณ์ ฉะนั้นเขาก็รับเอาศาสนานั้นเป็นศาสนาประจำ สืบทอดกันมาจนกลายเป็นศาสนาประจำวงศ์สกุล หรือศาสนาประจำชาติ ดังนั้นก็แล้วแต่ ถ้ามองดูถึงความเหมาะสมที่ได้รับจากศาสนาแล้วมันก็ดีด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีคำว่าดีกว่า แล้วก็จะไม่มีคำว่าดีที่สุดด้วย อาตมากล้าพูดว่าไม่มีๆศาสนานาไหนดีที่สุด เช่นพุทธศาสนาอย่างนี้ใช้กับคนโง่ไม่ได้ พุทธศาสนาจะดีที่สุดไปได้อย่างไร เพราะมันใช้กับคนทุกคนไม่ได้ ศาสนาที่นิยมปัญญา รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา มันใช้ไม่ได้สำหรับคนโง่ นี่คือข้อที่ว่ามันไม่ดีที่สุดไปได้ ถ้าดีที่สุดจริง มันก็ต้องใช้ได้กับคนทุกคน ทุกพวก ทุกชนิดจริง ฉะนั้นเราจึงไม่อาจจะพูดได้ว่ามีศาสนาไหนดีที่สุด แล้วก็จะไม่พูดว่าศาสนาไหนดีกว่าศาสนาไหน เพราะว่ามันจะเหมาะสำหรับผู้ที่ถือศาสนานั้นๆ ตามภูมิหลังของตนที่มีอยู่ ทีนี้เราจะเลิกพูด เลิกถามชนิดนี้
ทีนี้ก็จะมาดูในแง่ดีว่าแต่ละศาสนานั้นก็มีส่วนดี มีแง่ดี ส่วนที่เป็นประโยชน์แก่ศาสนิกของศาสนานั้นเต็มที่ เป็นศาสนาๆไป ทุกๆศาสนา นี่เดี๋ยวนี้มาพิจารณากันถึงคำว่าศาสนาๆนี้ก่อน คำว่าศาสนาๆนี้ไม่ๆได้หมายถึงลัทธิสำหรับเชื่อ เพียงแต่เป็นลัทธิสำหรับเชื่อนั้น ยังไม่เรียกว่าศาสนา ต้องเป็นระบบของการปฏิบัติ ปฏิบัติอยู่ ปฏิบัติลงไปแล้วเป็นระบบๆ ถูกต้องตามระบบแล้ว นี่จึงจะเป็นตัวศาสนา ถ้ายังเป็นแต่เพียงลัทธิของความเชื่อ มันยังเป็นของลมๆแล้งๆ มันยังไม่เป็นตัวศาสนา มันต้องมีการปฏิบัติ เมื่อมีการปฏิบัติลงไปแล้ว มันก็จะมีผลของการปฏิบัติ เพื่อจะเกิดผลขึ้นมาตามสมควร ดังนั้นจึงดับความทุกข์ หรือแก้ปัญหาได้อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอไป หัวใจของทุกศาสนามันจึงอยู่ที่ความดับทุกข์ ปฏิบัติแล้วดับทุกข์ได้ จะเป็นแต่เพียงความรู้เฉยๆยังไม่พอ และหลักวิชาความรู้มันก็มีเพื่อจะปฏิบัติได้ถูกต้อง ปฏิบัติอย่างเดียวมันยังไม่พอ มันต้องได้รับผลของการปฏิบัติด้วย และผลของการปฏิบัตินั้นก็คือการดับทุกข์ได้ มันก็เลยมีค่าอยู่ที่ความดับทุกข์ ซึ่งมีด้วยกันทุกศาสนา ศาสนานี้ดับทุกข์ของคนในเอเชียได้ ศาสนานี้ดับทุกข์ใน ของคนในยุโรปได้ ในแอฟริกาได้ ในที่ไหนได้ ไอ้ส่วนที่มันดับทุกข์ได้นี้มันเหมือนกัน เพราะว่าความทุกข์มันไม่มีต่างชาติ ต่างศาสนา ตัวความทุกข์มันทุกข์เหมือนกันหมดเลย แล้วก็มันดับทุกข์ได้ มันก็มีค่าเท่ากัน
คำอธิบายเรื่องจะดับทุกข์อย่างไรนั้นมันเป็นส่วนพิเศษประจำศาสนา แต่ว่าสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติ ครั้นปฏิบัติแล้วดับทุกข์ได้ ความดับทุกข์ได้นั้นคือค่าอันแท้จริงซึ่งมีอยู่ในทุกศาสนา ถ้าศาสนาไหนไม่มีส่วนที่ดับทุกข์ได้แล้วก็ขีดฆ่าออกไปได้เลย ขีดชื่อออกไปได้เลยจากบัญชีของศาสนา ถ้ามันยังมีอยู่ มันต้องดับทุกข์ได้ในชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือระดับใดระดับหนึ่งก็ตาม เพราะว่าคนในโลกมันมีหลายชนิดนัก หลายระดับนัก มันจึงต้องมีหลายศาสนา เพื่อให้พอเหมาะพอดีกันกับคนเหล่านั้น ฉะนั้นศาสนาทุกศาสนาจึงมีส่วนดีอยู่ตรงที่ดับทุกข์ได้ ด้วยการปฏิบัติถูกต้องจนดับทุกข์ได้ แม้จะมีรูปร่างของการปฏิบัติต่างกันบ้างก็ไม่เป็นไรๆ เมื่อกินข้าวเหนียวเข้าไปมันก็บำรุงร่างกายได้ กินข้าวเจ้ามันก็บำรุงร่างกายได้ กินขนมปังก็บำรุงร่างกายได้ ไม่เป็นไร ขอแต่ให้ดับทุกข์ได้ ดังนั้นจึงมองดูที่ส่วนลึก ส่วนหัวใจ ที่เป็นจุดๆกลาง ใจกลาง เป็น Nucleus ของทุกศาสนาว่าดับทุกข์ได้ ดังนั้นทุกศาสนาจึงเหมือนกันในส่วนนี้
เปรียบเทียบข้อนี้ก็จะเปรียบเทียบได้กับว่า น้ำๆ ของเหลวๆที่เรียกว่าน้ำ มันมีมากชนิดเหลือเกิน มากชนิดนับไม่ไหว เอ้า, น้ำฝน น้ำประปา น้ำบ่อ น้ำคลอง น้ำท่า น้ำในนา น้ำในคู น้ำในหนอง กระทั่งน้ำสกปรกใต้ถุนบ้าน มันมี มันเป็นน้ำเหมือนกัน กระทั่งว่า น้ำผึ้ง น้ำตาล น้ำส้ม น้ำปลา น้ำอะไรก็สุดแท้ ที่มันเหลวเป็นน้ำ เราก็เรียกว่าน้ำ จะเป็นเหม็น หรือหอม เปรี้ยว หรือขม หรืออะไรก็สุดแท้ แต่ถ้ามีสติปัญญาก็จะรู้ว่าในน้ำทุกชนิดมีน้ำบริสุทธิ์ ในน้ำโคลนก็เอาแยก เอาน้ำบริสุทธิ์เป็นน้ำกลั่นออกมาได้ เป็นน้ำคลองก็ได้ น้ำฝนก็ได้ แม้แต่ในน้ำส้ม ในน้ำตาล ในน้ำอุจจาระ มันก็อาจจะแยกเอาน้ำบริสุทธิ์ออกมาได้ น้ำบริสุทธิ์ H2O นั้นแหละเอาออกมาได้ ทุกจากทุกน้ำ จากทุกน้ำ น้ำเหงื่อ น้ำไคล น้ำปัสสาวะ น้ำอุจจาระ มันก็มีน้ำที่บริสุทธิ์อยู่ในนั้น แยกออกมาได้ แต่นี่คนเรามันก็เกลียด เช่นน้ำเหม็น น้ำสกปรก จนถึงกับว่ามันเข้ากันไม่ได้ โดยที่ไม่รู้ว่าน้ำเลือด น้ำหนองของตนนั้นมันก็มีน้ำที่บริสุทธิ์อยู่ในนั้น น้ำทั้งหลายมีหัวใจเป็นน้ำบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันทั้งนั้น มันแล้วแต่ใครจะรู้จักแยกออกมา หรือไม่รู้จักแยกออกมา ดังนั้นเราจึงมองให้เห็นว่า น้ำทั้งหลายมีน้ำบริสุทธิ์อยู่เป็นแกนกลางอยู่ข้างในทั้งนั้น อย่าไปดูถูกดูหมิ่นมันเลย
ดังนั้นศาสนากี่สิบศาสนาก็ตาม มันมีส่วนที่ดับทุกข์ได้ตามมาก ตามน้อย อยู่ทั้งนั้น ตั้งแต่มีโลกมา มีมนุษย์มานี่มันมีศาสนาตั้งต้นมาหลายรูปแบบ เปลี่ยนแปลงมาตามลำดับๆ ถ้าจะนับกันจริงๆแล้วต้องหลายสิบศาสนา ในแต่ละศาสนานั้นเคยดับทุกข์ของประชาชนที่นั่นมาแล้วทั้งนั้นไม่มากก็น้อย หมายความว่ามันเคยดับทุกข์มาแล้วทั้งนั้น ดังนั้นส่วนที่มันดับทุกข์ได้นี่มันก็เป็นส่วนหัวใจของศาสนา เราจึงถือว่าทุกศาสนามีหัวใจเหมือนกัน คือดับทุกข์ได้ เหมือนกับในของเหลวทุกชนิดมีน้ำบริสุทธิ์อยู่ในนั้นทั้งนั้น แล้วจะไปรังเกียจรังงอนให้มัน พูดหยาบคายอีกแล้ว จะไปรังเกียจกันให้มันโง่ทำไม การรังเกียจกันระหว่างศาสนามันจึงเป็นเรื่องที่โง่เขลาที่สุด ที่มันไม่ควรจะมีในหมู่มนุษย์ เพราะว่าในแต่ละศาสนามีคุณค่าที่ดับทุกข์ได้อย่างนี้ทั้งนั้น ดังนั้นเราจึงพบว่าในทุกศาสนามีค่าดับทุกข์ได้อย่างเดียวกัน เลยไม่ต้องเปรียบเทียบใช่ไหม น่าหัวไหม มันดับทุกข์ได้โดยเสมอกันแล้ว อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว มันก็เป็นศาสนาแล้ว ก็ไม่ต้องเปรียบเทียบก็ได้ มีแต่จะเลือกๆๆๆให้เหมาะสมแก่ปัญหาของตน ให้เหมาะสมแก่ความทุกข์ของตน แล้วก็ดับทุกข์ เอาไปใช้ดับทุกข์ได้ก็พอ ฉะนั้นเราจึงไม่มีการกระทบกระทั่งระหว่างศาสนา นี่คือการเปรียบเทียบชนิดที่ให้มันเข้ากันได้ ให้มันเป็นมิตรกันได้ ให้มันร่วมมือกันได้ แก้ไขปัญหาในโลกได้ ไม่ใช่มาเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่าง แล้วก็เกลียดชังกัน อย่างนั้นมันไม่ใช่เรียกศาสนาแล้ว ถ้าอย่างนั้นเป็นเรื่องของภูติผีปีศาจไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องของพระศาสนาแล้ว ถ้าเป็นเรื่องของพระศาสนา มันก็ต้องทำชนิดที่ให้มนุษย์ได้รับประโยชน์ โดยร่วมมือกันได้
เดี๋ยวนี้เรามองเห็นหัวใจของศาสนาแต่ละศาสนา ดับทุกข์ได้ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง อย่างนี้มันเหมือนกันเสียแล้ว ไม่ต้องเปรียบเทียบโดยขนาด มันไม่มีความหมาย เพราะความทุกข์ของคนโง่ เอาศาสนาคนฉลาดมาดับไม่ได้ ความทุกข์ของคนฉลาดเอาศาสนาคนโง่มาดับไม่ได้ มันก็มีถูกฝา ถูกตัวกันไปทั้งนั้น มันก็เลยมีค่าเหมือนกันในข้อที่ว่ามันดับทุกข์ได้ นี่เราจะมองกันในแง่นี้ว่าทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ของตนๆ มีแต่ความสงบสุข มีแต่การทำให้ความเป็นมนุษย์นี้เป็นประโยชน์ อยู่ร่วมกันอย่างมีประโยชน์ ทุกคนไม่มีความทุกข์ แล้วทุกคนกำลังผลิตประโยชน์ออกไปรอบตัวให้เพื่อนมนุษย์กันพลอยได้รับ นี่คือความสมบูรณ์ของศาสนา เมื่ออยู่ในระดับต่ำมันก็มีความหมายเต็มที่ของการดับทุกข์ มันจะอยู่ในระดับสูงเท่าไร มันก็มีความหมายเต็มที่ของการดับทุกข์ เอาที่ไม่มีความทุกข์กันนั่นแหละเป็นเครื่องวัด นี่เรียกว่าเราจะเปรียบเทียบดูว่า แต่ละศาสนานั้นมีส่วนดี ไม่ใช่เพียงแต่พูดว่ามีสอนให้คนทำดี เหมือนที่เขาชอบพูดกันมาก อาตมาพูดว่า พูดอย่างนั้นมันเป็นเด็กอมมือเกินไป เช่นพูดว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนแต่สอนให้คนทำดี แล้วก็เหมือนกัน อย่างนี้ก็ได้ ถูกที่สุด แต่มันถูกอย่างลูกเด็กอมมือ มันจะต้องพูดว่า ทุกศาสนามันดับทุกข์ได้ ดับทุกข์ของมนุษย์ มนุษย์มีกี่ร้อยชนิด มันก็มีศาสนาหลายร้อยชนิด เหมาะสมถูกฝาถูกตัว ดับทุกข์ของมนุษย์แต่ละชนิดได้ เราจึงพอใจ
เอ้า, ทีนี้ก็ดูต่อไปในอนาคต ในอนาคตนี้โลกมันอยู่ใต้อำนาจวิสัยของวิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ ที่กำลังก้าวหน้าๆๆอยู่ในโลก แล้วโลกก็ยอมรับวิทยาศาสตร์ ยอมรับนับถือวิทยาศาสตร์ยิ่งๆ ขึ้นไป โลกมันเปลี่ยนพื้นฐาน เปลี่ยนอุปนิสัย เปลี่ยนอะไรไปในทางที่จะยึดวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ดังนั้นในอนาคต มันจะเหลืออยู่แต่ศาสนาเดียว คือศาสนาวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องเรียกว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกซ์ อะไร ไม่ต้องเรียกแล้ว มันจะเรียกว่าศาสนาวิทยาศาสตร์ คือศาสนาที่กล่าวถึงความจริงอันเด็ดขาดของธรรมชาติ เรียกว่าศาสนาของความจริง ความจริงของอะไร ของธรรมชาติ ของธรรมชาติที่ศึกษาได้ เกี่ยวข้องได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ด้วยวิถีทางวิทยาศาสตร์ ในอนาคตเมื่อมนุษย์เข้าถึงระดับสูงสุดของวิทยาศาสตร์ ศาสนามันก็จะเหลืออยู่แต่วิทย์ ศาสนาวิทยาศาสตร์ ที่เข้ากันได้กับวิทยาศาสตร์ ที่ Einstein, Einstein เคยพูดไว้ว่าจะเหลืออยู่ศาสนาเดียวที่สามารถจะ Cove, Can cove (นาทีที่ 35:19) ศาสนาที่จะสามารถจะตอบคำถามหรือสู้หน้าได้กับความต้องการของวิทยาศาสตร์ตามธรรมชาติ ศาสนานี้จะเหลืออยู่ จะเรียกว่าศาสนาอะไรก็ตามใจ เพราะมนุษย์เป็นลูกน้องของวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้ว เมื่อมนุษย์เป็นลูกน้องของวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้ว มันก็เป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ แต่อย่าลืมว่าหัวใจของทุกๆศาสนา แต่ละศาสนา มันเข้าไปอยู่ที่นั่น คือมันดับทุกข์ได้ มันจะดับทุกข์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ตามใจเถิด มันก็ต้องตรงกับหลักของศาสนาใดศาสนาหนึ่งที่เป็นมาแล้วแต่ในอดีต จะได้เชื่อพระเจ้า หรือว่าจะได้เชื่อการกระทำของตัวเองแล้วแต่
เดี๋ยวนี้เขาแบ่งเป็นเหลือ ๒ ศาสนาแล้วในโลกนี้ ๒ ศาสนาแล้ว เหลือเพียง ๒ ศาสนาแล้วในโลกนี้ คือพวก Creationist เชื่อพระเจ้า พระเจ้าสร้าง เชื่อพระเจ้านี่เป็น Creationist มีกี่ศาสนาก็ไปนับดูเอาเอง ศาสนาอีกพวกหนึ่งเป็น Evolutionist เชื่อวิวัฒนาการตามธรรมชาติ มีอยู่กี่ศาสนาก็ลองไปนับดูเอาเอง เท่าที่มันเห็นชัดๆอยู่ พุทธศาสนาอยู่ในพวก Evolutionist คือถือความเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ ตามเหตุ ตามปัจจัยของธรรมชาติ พุทธศาสนาที่แท้จริงไม่ได้สอนว่าสุข หรือทุกข์นี้เป็นไปตามกรรม ความสุข ความทุกข์ของมนุษย์ไม่ได้เป็นไปตามกรรม แต่พุทธบริษัทส่วนมากยังโง่อยู่ว่าสุข ทุกข์เป็นไปตามกรรม แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ ท่านไม่ได้ตรัสว่า สุข ทุกข์ ไม่ใช่เป็นผลของกรรมเก่า แต่เป็นผลของอิทัปปจยตา ที่มันทำผิด หรือมันทำถูก ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นี่คือวิทยาศาสตร์ เป็น Evolutionist ไม่ต้องมีพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วก็ว่าไอ้สุข ทุกข์นี่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าพระเจ้าบันดาล นี่พุทธศาสนาเป็นอย่างนี้ ความสุข ความทุกข์ของมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้า หรือสิ่งสูงสุดบันดาล และไม่ใช่ผลของกรรมเก่า แต่เป็นผลของอิทัปปจยตาที่ทำลงไปผิด หรือทำลงไปถูก เพราะว่าถ้ามันจะเกิดความทุกข์ร้อนเจียนตายขึ้นมา แต่ถ้าปฏิบัติถูกตามกฏอิทัปปจยตาแล้ว มันไม่เป็นทุกข์เลย ขอให้เข้าใจส่วนนี้
แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วยเจียนตาย เป็นทุกข์เจียนตายอยู่แล้ว ถ้าดำรงชีวิตถูกต้องตามกฏของอิทัปปจยตาแล้ว มันก็ไม่เป็นทุกข์เลย มันจึงยกเลิกกรรมเก่า หรือยกเลิกอำนาจของพระเจ้า ของเทพเจ้า ของภูติผีปีศาจ ของอะไรออกไปหมดสิ้น นี่พุทธศาสนามีลักษณะเป็น Evolutionist อย่างนี้ ไม่มีลักษณะเป็น Creationist เดี๋ยวนี้ศาสนาในโลกเหลืออยู่เพียง ๒ ศาสนาแล้ว ศาสนาหนึ่งเป็น Creationist มีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง ก็ทำไปตามแบบนั้น ศาสนาหนึ่งเป็น Evolutionist เป็นไปกฏของวิวัฒนาการ เหตุปัจจัย ก็ทำไปตามแบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ควรจะเอามาเปรียบเทียบว่าศาสนาไหนดีกว่ากัน อย่าให้มันโง่ไปอีก มันจะเป็นคำถามที่โง่เง่าที่สุดที่จะถามว่าศาสนาไหนดีกว่ากัน เพราะสำหรับคนบางพวกมันก็ต้องใช้แบบๆของตน แบบอื่นใช้ไม่ได้ พวกที่มีพื้นเพ นิสัย สันดาน วัฒนธรรม จิตใจมาตามแบบที่เหมาะสมกับศาสนา Creationist มันก็ๆต้องถือศาสนานั้น ส่วนพวกที่ไม่เป็นอย่างนั้น หรือเป็นไปตามแบบของธรรมชาติ ก็ต้องถือศาสนา Evolutionist เป็นธรรมดา แต่ว่าทั้ง ๒ ศาสนาจะมาเปรียบเทียบกันอย่างไร มันก็ยังเสมอกัน หรือได้ผลด้วยกัน คือว่าดับทุกข์ได้ตามแบบของตนๆ
ถ้ามันเหลือ ๒ ศาสนา มันก็ยังไม่มีทางที่จะมาพูดว่า อันไหนดีกว่าอันไหน อันไหนดีที่สุดอยู่นั่นเอง เพราะประชาชน หรือคน สัตว์ทั่วไปนี่มันมีปัญหาตามแบบของตนๆ ตามลักษณะนิสัย จิตใจของตน แล้วยังเป็นไปตามไอ้การศึกษา หรือวัฒนธรรม หรือประเพณีอะไรอีกมากที่ฝังแน่นอยู่ในสันดาน เขาก็ต้องได้ศาสนาที่เหมาะสม เขาจึงจะดับทุกข์ของเขาได้ ก็ยังดีไปตามแบบนั้น ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น มันก็ต้องมาแบบอิทัปปจยตา คือว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัย กฏของธรรมชาติอย่างไร ปฏิบัติให้ถูกต้อง แล้วก็ดับทุกข์ได้ ฉะนั้นพวกที่กินขนมปังก็กินไปสิ พวกกินข้าวก็กินไปสิ มันจะมามีปัญหาอะไรที่จะถามว่าอันไหนจะดีกว่ากัน และอันไหนจะดีที่สุด
แต่ทีนี้ถ้ามันมาถึงชั้นวิทยาศาสตร์ ขออภัยจะพูดว่าในอนาคตข้างหน้านานไกล ถ้าคนในโลกมันเป็นสมาชิกของวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้ว น่ากลัวว่าจะเหลืออยู่แต่ศาสนาเดียว คือศาสนาวิทยาศาสตร์ ทุกศาสนาเอามาใส่ครกหลอมตำๆๆเข้าเป็นอันเดียวกัน เหลือเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ นั้นแหละจะอยู่เป็นศาสนาเดียว แล้วก็ไม่ต้องเปรียบเทียบ ทีนี้มันมีอยู่ศาสนาเดียวแล้ว จะเปรียบเทียบกับใครได้อย่างไร มันก็ไม่ต้องเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบทางศาสนามีไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะมันเหลือศาสนาเดียวเสียแล้ว นี่ศาสนาเปรียบเทียบแห่งสากลโลก สากลจักรวาล มันมีเค้าเงื่อนอย่างนี้ มีเค้าโครงอย่างนี้ มีปัญหาอย่างนี้ เรามาพูดกัน แล้วก็พูดถึงอนาคต อนาคตนี่ไม่ๆๆๆแค่ไหน ไม่เท่าไรก็กลายเป็นอดีต ไม่อีกกี่ อีกไม่กี่หมื่นปี อีกไม่กี่พันปี อีกไม่กี่หมื่นปี อนาคตนั้นก็กลายเป็นอดีต แล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมดาไปอีก เพราะว่าอนาคตมันก็กลายมาเป็นอดีตอยู่เรื่อยไป พรุ่งนี้มันจะมากลายเป็นวานนี้ของวันนี้ได้เรื่อยไปๆๆ ฉะนั้นอนาคตมันจึงอยู่ใกล้ๆๆ นี้เอง สักวันหนึ่งมันก็จะถึงยุคหนึ่ง ซึ่งอะไรๆมันก็ต้องเหมาะสมสำหรับยุคนั้น
นี่อาตมาจึงคิดว่า และเชื่อว่าด้วย มันจะมีเหลืออยู่ศาสนาเดียวในยุคหนึ่ง คือศาสนาวิทยาศาสตร์ ที่มนุษย์ทุกคนในโลกเป็นสมาชิกของวิทยาศาสตร์ไปหมด แต่ถ้ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นมาอีก นอกจากวิทยาศาสตร์นั้นก็ค่อยพูดกัน แต่นี่เค้าเงื่อนที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ มันมองเห็นอยู่ว่า วิทยาศาสตร์ ความรู้ เหตุผล เหตุปัจจัย ตามกฏวิวัฒนาการนี้มันจะครองโลก เราเปรียบเทียบกันไว้ล่วงหน้า เปรียบเทียบกันว่าเพื่อจะให้ร่วมมือกันได้ เรา ถ้าเราจะถือเป็นศาสนา ศาสนานั้น ศาสนานี้ ขอให้รู้ไว้เถิดว่า เราจะมีปัญหาอย่างเดียวกัน ปัญหาร่วมกัน คือจะต้องต่อสู้กับศาสนาวิทยาศาสตร์ อันจะมีมาในอนาคต ศาสนาไหนก็ตามที่มีอยู่ในโลกในเวลานี้จะต้องเผชิญปัญหาในอนาตต คือต่อสู้กับศาสนาวิทยาศาสตร์ ถ้าศาสนาไหนเป็นวิทยาศาสตร์อยู่แล้วก็ดีไป แต่ศาสนาที่มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์นั้นจะเป็นอยู่ได้ง่าย เป็นไปได้ง่าย หรือเคลื่อนไหวได้ง่าย ทีนี้เปรียบเทียบอย่างนี้แล้วก็จะทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่งว่าต่อไปนี้มันก็เตรียมตัวสำหรับจะมีความรู้เรื่องของธรรมชาติ รู้เรื่องกฏของธรรมชาติ รู้เรื่องหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ รู้หน้าที่ผลของธรรมชาติ แล้วผู้ที่เคยเรียกว่าพระเจ้าก็จะต้องเปลี่ยนพระเจ้าเป็นธรรมชาติ ที่เคยเรียกว่าธรรมชาติ ก็จะต้องเปลี่ยนธรรมชาติเป็นพระเจ้า คือเป็นสิ่งสูงสุดแล้วแต่จะใช้ชื่อไหน แล้วแต่จะชอบชื่อไหน คำว่าพระเจ้าหมายถึงสิ่งสูงสุดก็แล้วกัน ไอ้สิ่งสูงสุดนั้นคืออะไรก็ไปว่ากันข้างหน้า แล้วไอ้การถือศาสนานี้มันแล้วแต่คนในโลก ถ้าคนในโลกถือศาสนาอะไร ศาสนานั้นมันก็อยู่ ถ้าคนในโลกไม่ถือศาสนาอะไร ศาสนามันก็ดับไป มันก็มีเท่านี้
วิทยาศาสตร์ในที่นี้หมายถึงความจริงของธรรมชาติ ตามธรรมชาติ ตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ เดี๋ยวนี้ก็อยากจะพูดถึงเค้าเงื่อนของไอ้ธรรมชาติ เพราะว่าเราพิจารณาดูแล้ว เห็นเรื่องทุกเรื่องเป็นเรื่องของธรรมชาติ ในหลักของพุทธศาสนาจะเรียกว่าธรรมชาติเสมอกันหมด ไม่มีอะไรมากไปกว่าธรรมชาติ ในการศึกษาใหม่ๆ การศึกษาของฝรั่งก็ดี ที่มีคำว่า Supernatural เหนือธรรมชาติ หรือผิดธรรมชาตินั้น เป็นคำพูดที่ไม่มีในพุทธศาสนา ในพุทธศาสนาไม่มีคำว่าเหนือธรรมชาติ หรือผิดจากธรรมชาติ มันจะเป็นธรรมชาติไปหมด นี่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในโลกยังไม่ทันพุทธศาสนา เพราะว่าไอ้คำวิทยาศาสตร์ที่ใช้กันอยู่ในโลกมันยังมีคำว่า Supernatural คือเหนือธรรมชาติ แต่หลักพุทธศาสนาไม่มีอะไรที่จะเหนือธรรมชาติ หรือผิดจากธรรมชาติ เป็นธรรมชาติไปหมด รู้จักธรรมชาติที่มีอยู่ตามธรรมชาติ รู้จักตัวของธรรมชาติ จะเป็นร่างกายก็ได้ เป็นจิตใจก็ได้ เป็นความรู้สึกคิดนึก เป็นการกระทำอะไรก็ได้ มันเป็นธรรมชาติ แล้วมันก็มีกฏของธรรมชาติ บังคับให้เป็นไป แล้วมันก็มีหน้าที่ๆจะต้องทำตามกฏนั้นๆ แล้วก็ได้รับผลจากการกระทำนั้นๆ เช่นคนๆหนึ่งมีเนื้อหนัง ร่างกาย กระดูก โลหิต อะไรต่างๆ ทั้งหมดนี้คือธรรมชาติ จะเรียกประกอบด้วยธาตุ ๔ ก็ได้ หรือจะประกอบ จะอยู่ด้วยธาตุอะไรก็แล้วแต่จะเรียกด้วยวิชาอะไร แต่ว่ามันเป็นธรรมชาติ มีมาตามธรรมชาติ สืบต่อกันมาตามธรรมชาติ เป็นตัวธรรมชาติ
ทีนี้ในตัวธรรมชาติ ในตัวธรรมชาตินี้มันมีกฏของธรรมชาติบังคับอยู่ มันจึงเปลี่ยนแปลง เช่นเนื้อหนังของเราเจริญเติบโตได้ เป็นผู้ใหญ่ได้ เป็นของขับถ่ายออกได้ เป็นของเกิดใหม่ได้ เป็นของสะสมไว้ได้ นี่กฏของธรรมชาติทำให้เป็นอย่างนี้ ในตัวเรามีทั้งธรรมชาติ เป็นทั้งธรรมชาติ และเป็นทั้งมีกฏของธรรมชาติ แล้วเราก็มีหน้าที่ๆจะต้องปฏิบัติตามกฏของธรรมชาติ นับตั้งแต่ว่าเราต้องกินอาหาร ต้องถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ต้องบริหารร่างกายให้ถูกต้อง มันจึงจะไม่ตาย มันอยู่ได้ ถ้ามันมีความทุกข์เกิดมาจากอะไร ก็ต้องบริหารให้ถูกต้อง ความทุกข์เกิดมาจากกิเลสตัวไหน ข้อไหน ก็ต้องละกิเลสตัวนั้น ข้อนั้น แล้วก็ไม่มีความทุกข์ นี่ก็กฏของธรรมชาติ
กิเลสเกิดขึ้นมาเพราะความไม่รู้ ความโง่ของมนุษย์นั้นเอง ความโง่ของมนุษย์นั้นเองปรุงให้เกิดสิ่งที่เรียกว่ากิเลส แล้วสิ่งที่เรียกกิเลสก็บังคับให้ทำไปผิดๆ แล้วก็เดือดร้อนเป็นทุกข์ทั้งตัวเองและผู้อื่น ถ้าศึกษาเรื่องนี้ดี รู้อย่างเพียงพอแล้ว กิเลสเกิดไม่ได้ คือโง่ไม่ได้นั่นเอง เมื่อโง่ไม่ได้มันก็ไม่มีกิเลสเกิด มันก็ไม่มีทำอะไรผิด แล้วมันก็ไม่มีปัญหา มันไม่มีความทุกข์ เมื่อเราทำหน้าที่ตามธรรมชาติถูกต้องแล้ว ก็ได้รับผลเป็นที่พอใจ คือไม่ต้องเป็นทุกข์ มนุษย์เป็นอย่างนี้ๆ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็เป็นอย่างนี้ แม้แต่สุนัขตัวหนึ่งนี่ ทั้งหมดนั้นมันก็เป็นธรรมชาติ แล้วมันก็เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ ทุกอณูๆ ทุกปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายของมัน มันเลยมีหน้าที่ตามๆแบบของมัน จะต้องกินอาหาร จะต้องถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ จะต้องบริหารอย่างนั้น อย่างนี้ ตามกฏของธรรมชาติ มันรอดชีวิตอยู่ได้ มันได้รับผลจากการปฏิบัติถูกต้องตามหน้าที่ของธรรมชาติ
ทีนี้ต้นไม้ต้นไร่นี้ก็เหมือนกัน มันมีตัวธรรมชาติที่ประกอบกันขึ้นเป็นต้นไม้ จะเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุอะไรก็แล้วแต่จะเรียกตามภาษา ภาษาอะไร วิชาแขนงไหน ต้นไม้แต่ละต้น ทั้งต้นนี้เป็นธรรมชาติ มันมีกฏของธรรมชาติบังคับอยู่ทุกๆปรมาณู มันต้องเปลี่ยนไปทุกๆปรมาณูตามกฏของธรรมชาติ ดังนั้นต้นไม้จึงมีหน้าที่ๆจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ เช่นว่ามันจะต้องดูดน้ำขึ้นไป ดูดแร่ธาตุขึ้นไป เมื่อมีแสงแดดมันก็ปรุงให้เป็นอาหารทางใบ แล้วก็ส่งกลับมาเลี้ยงลำต้นงอกงาม แล้วมันก็รอดอยู่ได้ เพราะมันปฏิบัติถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ เราจึงพูดว่าสิ่งที่มีชีวิตในระดับมนุษย์ก็ดี ในระดับสัตว์เดรัจฉานก็ดี ในระดับต้นไม้ต้นไร่ก็ดี อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์อันนี้ เพราะมันเป็นตัวธรรมชาติ แล้วมันถูกควบคุมอยู่ด้วยกฏของธรรมชาติทุกๆปรมาณู นี่จะเรียกว่าเป็นสิ่งสูงสุด กฏของธรรมชาติเป็นสิ่งสูงสุดเข้าไปควบคุมอยู่ในทุกๆปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลก แม้แต่ในกองอุจจาระ กฏของธรรมชาติก็เข้าไปควบคุมกองอุจจาระให้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นอย่างอื่นไปได้ กลายเป็นอาหารของหนอน กลายเป็นไอ้อาหารของแมลงอะไรไปได้ นี่เรียกว่าไปควบคุมอยู่ทุกๆปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลก นี่เราเรียกว่ากฏของธรรมชาติ ใครจะเรียกว่าพระเจ้า หรือใครจะเรียกอะไรก็สุดแท้ ไม่มีใครห้าม แต่สำหรับพุทธบริษัทก็เรียกว่ากฏของธรรมชาติ ควบคุม สิงสถิตอยู่ในทุกๆปรมาณูของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นสากลจักรวาล สากลจักรวาลจะมีกี่ปรมาณู กี่อะตอม จะมีกฏของธรรมชาติเข้าไปควบคุมอยู่ทุกๆปรมาณู แล้วมันก็เป็นไปตามกฏนั้น ฉะนั้นสิ่งใดจะมีชีวิตรอด สิ่งนั้นต้องประพฤติให้ถูกต้องตามกฏอันนั้นให้ถูกต้อง
อย่างกฏวิทยาศาสตร์ที่ว่า The fitted The survival The fitted The survival สิ่งใดเหมาะสมสิ่งนั้นจะรอดอยู่ นี่มันจะต้องมีการประพฤติ ปฏิบัติ ให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติที่ควบคุมอยู่ในทุกๆปรมาณูของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจัการวาลนี้ แม้แต่ก้อนหินนี่ ไม่มีชีวิตนี่ มันก็ยังเป็นธรรมชาติ มีกฏของธรรมชาติควบคุมอยู่ทุกปรมาณู ให้ทุกๆปรมาณูของก้อนหินนี้เปลี่ยนไปตามกฏเกณฑ์อันนั้น แล้วในที่สุดมันจะเป็นอย่างอื่น หรือมันจะเป็นอย่างไรก็สุดแท้ เพราะมันจะเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ นี่คือความเป็นวิทยาศาสตร์ตามหลักแห่งพุทธศาสนา ซึ่งอาตมาได้กล่าวแล้วว่า พุทธศาสนานี่เป็นศาสนาประเภท Evolutionist ไม่มีเค้าเงื่อนแห่ง Creationist เหลืออยู่เลย แต่การที่คนจะถือไขว้เขวกันนั้นมันห้ามไม่ได้ มันแล้วแต่คน แต่ถ้าถือพุทธศาสนาโดยตรง โดยถูกต้องแล้ว มันจะมีลักษณะเป็น Evolutionist เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ตามกฏของอิทัปปจยตา แล้วก็สามารถที่จะใช้กฏเกณฑ์อันนี้ทำอะไรได้ สร้างนั่น สร้างนี่ขึ้นมาได้ โดยถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ สามารถที่จะสร้างอะไรขึ้นมาได้ สามารถที่จะเลิกสร้างอะไรก็ได้ เพราะทำถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ
ขอให้เรามองดูส่วนลึกที่สุดของสิ่งที่เรียกว่า ความจริงๆๆ ความจริงของธรรมชาติซึ่งจะเป็นพื้นฐานของวิชาวิทยาศาสตร์สำหรับจะค้นคว้า สำหรับจะรู้ สำหรับจะบัญญัติ แต่งตั้งกฏเกณฑ์อะไรต่างๆ นี่เป็นสิ่งที่ว่าเป็นใจกลาง เป็นแกนกลางของสากลจักรวาลๆ ของCosmos (นาทีที่ 54:10) มันยิ่งกว่าๆทุกโลกเสียอีก ของสากลจักรวาล ทุกๆจักรวาลรวมกันเป็นนี่ ไม่ใช่เพียงแต่ระหว่างชาติ มันระหว่างจักรวาล ประกอบอยู่ด้วยกฏเกณฑ์อันนี้ แล้วจะอยู่เป็นใจกลางสำหรับที่ใครจะศึกษาให้รู้ แล้วก็ปฏิบัติให้ได้รับผลตามที่ตนต้องการ จึงถือโอกาสว่าพูดในวันที่มันจะขึ้นปีใหม่
ขอให้ความรู้ ความก้าวหน้าๆๆไปตามคำว่าปีใหม่ๆๆๆนี้เรื่อยๆไป แล้วมันจะถึงไอ้ความสมบูรณ์เข้าสักวันหนึ่ง ถูกต้องตามความจริงทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วมนุษย์ก็จะหมดปัญหา มนุษย์ก็จะถือความจริงข้อเดียวกัน ความจริงสิ่งเดียวกัน แล้วก็จะรักใคร่กัน เป็นมนุษย์คนเดียวกันทั้งสากลจักรวาล เดี๋ยวนี้ยังเป็นไปไม่ได้ แม้แต่ในประเทศไทยนิดเดียวก็ยังรักกันไม่ได้ เว้นไว้แต่เมื่อไหร่เราจะเข้าถึงความจริงอันสูงสุดของสากลจักรวาล แล้วทุกคนจะยอมปฏิบัติ เป็นสมาชิกเดียวของสากลจักรวาลเดียว แล้วมันจะรักใคร่กัน จะเลิกเบียดเบียนกัน เลิกรบราฆ่าฟันกัน เลิกแย่งชิงๆกัน เลิกเอาเปรียบกันอย่างที่กำลังกระทำอยู่บัดนี้ เพราะมันมีตัวกู มีของกู เกิดมาจากความโง่ของตน เห็นแก่ตน ความเห็นแก่ตน เดี๋ยวนี้เพียงแต่ทุกๆศาสนาช่วยกันทำลายความเห็นแก่ตนของมนุษย์ให้หมดไปก็นับว่าประเสริฐที่สุดแล้ว แล้วก็เป็นหน้าที่ด้วย
ไปศึกษาดูให้ดี โดยประวัติๆความเป็นมาของแต่ละศาสนา ดูจะตั้งต้นขึ้นมาจากปัญหาที่เกิดมาจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ทั้งนั้น คือมนุษย์ไม่รักกัน แล้วก็เดือดร้อนกันไปหมด หรือว่าเห็นแก่ตัว ยึดถือตัว เพราะกลัวตายอย่างนี้เป็นต้น มันก็เดือดร้อน เป็นทุกข์ส่วนตัว เห็นแก่ตัว เบียดเบียนผู้อื่น มันก็เป็นทุกข์ส่วนสังคม ความทุกข์ส่วนตัว หรือความทุกข์ส่วนสังคม มันเกิดมาแต่ความเห็นแก่ตัว เป็นหน้าที่ของแต่ละศาสนาจะต้องช่วยกันกำจัด แล้วศาสนาก็อย่ามาเห็นแก่ตัวเสียเองจนเกิดการขัดแย้ง กระทบกระทั่ง ทะเลาะวิวาทระหว่างศาสนาเลย อาตมาเห็นว่าการศึกษาศาสนาเปรียบเทียบในลักษณะที่จะให้เข้ากันได้อย่างนี้ ในลักษณะที่จะรวมกันเหลือแต่เพียงศาสนาเดียวนี้จะช่วยมนุษย์ได้ จึงขอถือโอกาสนำมาพูดในลักษณะคล้ายๆ กับว่าเป็นของขวัญปีใหม่ที่มาถึงในวันมะรืนนี้แล้ว ขอให้ช่วยกันเข้าใจไว้ ช่วยกันสืบต่อไปๆให้มันมีสิ่งสูงสุด หรือความจริงอันสูงสุดนี้มาช่วยโลก มาควบคุมโลก มาช่วยโลกให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฏของความจริง นี่มีธรรมะ ๔ ความหมายเป็นบทเรียน คือเรียนรู้เรื่องธรรมชาติ เรียนรู้เรื่องกฏของธรรมชาติ เรียนรู้เรื่องหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ แล้วก็เรียนรู้เรื่องผลอันเกิดจากหน้าที่นั้น แล้วจะเป็นความจริงของสากลจักรวาล
การปฏิบัติเข้าถึงความจริงข้อนี้แล้วจะประเสริฐที่สุดคือดับทุกข์ได้ เมื่อดับทุกข์ได้ก็ต้องเรียกว่าเป็นทุกศาสนา โดยการปฏิบัติให้ดับทุกข์ได้นี้เราจะเป็นสมาชิกของทุกศาสนา มันจะมีกี่สิบศาสนาในโลก เดี๋ยวนี้มาถือกันแต่ปาก เป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม เป็นฮินดู เป็นซิกซ์ นี่มันว่าแต่ปาก แล้วก็ไม่ได้เป็นด้วยซ้ำไป เป็นเพียงศาสนาเดียวก็ยังไม่ได้ เพราะมันเป็นแต่ปาก ถ้าปฏิบัติจริงๆมันดับทุกข์ได้ ปฏิบัติความจริง จนดับทุกข์ได้ คนๆเดียวนั้นจะถือหมดทุกศาสนา มันจะมีกี่สิบศาสนาก็ตามใจ เราคนเดียวสามารถถือได้ทุกศาสนา มีศาสนาทุกศาสนาในคนๆเดียว นี่ดูอย่างนี้เถิดมันๆๆดีหรือไม่ดี มันจะมีกี่ศาสนาก็ลองว่ามาดู ถ้าปฏิบัติความดีก็ดับทุกข์ได้ แล้วมันก็เป็นทุกศาสนาแหละ ผู้ทำความดีอยู่นั่นแหละเป็นผู้ถือศาสนาทุกศาสนาโดยไม่ต้องเรียกชื่อ โดยไม่ต้องขึ้นทะเบียน โดยไม่ต้องไปจดบัญชี ขอให้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ก็ดับทุกข์ได้อยู่โดยสิ้น ถูกต้องอยู่นี่ เขาถือ นั่นแหละคือเขาถือทุกศาสนา เขามีศาสนาจริงๆทุกศาสนา เป็นศาสนาจริงที่มาอยู่ในตัวบุคคลเดียวทุกศาสนา เลยไม่ต้องเปรียบเทียบ เห็นไหม ไม่ต้องเปรียบเทียบ คนเดียวสามารถเป็นศาสนิกได้ของทุกๆศาสนาในโลก ใครจะเอาหรือไม่เอานั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง เดี๋ยวนี้คนเดียวเป็นศาสนาเดียวก็ยังไม่ได้ เพราะถือแต่ปาก คนๆเดียวถือศาสนาเดียวยังไม่ได้ เพราะมันถือแต่ปาก มันพูดแต่ปาก นี่มันดับทุกข์ไม่ได้ คนเดียวแท้ๆยังถือศาสนาเดียวก็ยังไม่ได้ แต่นี่คนเดียวเป็นได้ทุกศาสนา เป็นผู้มีศาสนาทุกศาสนา เพราะปฏิบัติถูกต้องตามความจริงของธรรมชาติ และดับทุกข์ได้ตามความมุ่งหมายของสิ่งสูงสุด ซึ่งจะเรียกว่ากฏของธรรมชาติ หรือจะเรียกว่าพระเป็นเจ้า หรือจะเรียกว่า ไกลวัน(นาทีที่ 01:00:56) หรือจะเรียกว่าอะไรก็เรียกเถิด มันมีชื่อมากๆสิ่งสูงสุดนี่
มีสิ่งสูงสุดที่แท้จริง ไม่สักแต่ว่าชื่อสมมติ ก็จะใช้อำนาจของสิ่งสูงสุดนั้นดับทุกข์ได้จริง แล้วคนนั้นจะมีศาสนาทุกศาสนาอยู่ในตัวเขา นี่ไม่ต้องเปรียบเทียบ เรื่องก็จบ เพราะมันไม่อาจจะเปรียบเทียบต่อไปแล้ว เรื่องมันจบ คนๆเดียวปฏิบัติชนิดที่เรียกว่ามีศาสนาทุกศาสนาอยู่ในตัวเขา แล้วเรื่องมันก็จบ อาตมาเรียกว่าศาสนาเปรียบเทียบแห่งสากลโลก หรือสากลจักรวาล สากลโลกนี่แคบนิดเดียวนะ สากลจักรวาลคือทุกโลก ทุกกลุ่มแห่งโลก เรามีศาสนาแห่งสากลจักรวาลครอบงำได้ทุกศาสนาที่ดับทุกข์ได้ ศาสนาที่ดับทุกข์ได้ ถ้าดับทุกข์ไม่ได้ไม่ใช่ศาสนา ถ้าเป็นศาสนาต้องดับทุกข์ได้ ซึ่งเราก็มีทางที่จะช่วยกันแก้ปัญหาของมนุษย์ในโลกที่กำลังไม่มีสันติภาพ ก็มีแต่ความเอาเปรียบกัน ไม่รักกันๆ เอาเปรียบกัน คอยช่วงชิง คอยกอบโกย มีเครื่องมือเป็นการเมืองบ้าง เป็นการทหารบ้าง เป็นการอะไรบ้าง แล้วเราจะแย่งชิงประโยชน์ของกันและกัน แล้วก็ถูกลงโทษๆโดยกฏของธรรมชาติ ถูกลงโทษโดยกฏของธรรมชาติให้มันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยวิกฤติการณ์เลวร้าย ไม่มีความดี ความงาม เป็นผาสุกเลย ศาสนาทั้งหลายก็เป็นหมัน ถ้าในโลกนี้มันยังมีแต่วิกฤติการณ์อันเลวร้าย ก็ต้องพูดว่าศาสนายังเป็นหมันอยู่ ทุกๆศาสนายังเป็นหมันอยู่ ขอให้ทุกศาสนาลุกขึ้นมาจัดการให้วิกฤติการณ์อันเลวร้ายในโลกนี้หมดไป แล้วก็จะเรียกว่าศาสนานั้นยังอยู่ และข้อนี้จะต้องสำเร็จได้ด้วยการร่วมมือ เพราะว่าศาสนาเดียวทำไม่ได้ เพราะคนในโลกมันมีหลายสิบชนิด ชนิดหนึ่งมันต้องการศาสนาชนิดหนึ่ง ชนิดหนึ่งมันต้องการศาสนาชนิดหนึ่ง ดังนั้นศาสนาทุกโลกลุกขึ้นมาร่วมมือกันกำจัดความเลวร้ายในโลก ทำให้โลกนี้มีสันติภาพ ทุกศาสนามีอำนาจศักดิ์สิทธิ์คือดับทุกข์ได้อยู่ด้วยกันทุกศาสนา เช่นเดียวกับในน้ำ หรือของเหลวทุกชนิด มีน้ำบริสุทธิ์อยู่ทั้งนั้น เอาน้ำชนิดไหนมาก็ตาม เสร็จแล้วมากลั่น มาแยกออกเป็นน้ำบริสุทธิ์ได้ทั้งนั้น นี่คือข้อที่ว่าทุกศาสนาจะอยู่ในชื่ออะไร อย่างไร ก็มีส่วนหนึ่งซึ่งจะมาใช้ดับทุกข์ได้ แล้วเอาส่วนนี้มาเทรวมกันด้วยการหลอมเข้าด้วยกัน ร่วมมือกันดับทุกข์ในโลก นี่คือการเปรียบเทียบศาสนาเพื่อเห็นความเข้ากันได้ ความร่วมมือกันได้ และสามารถขจัดวิกฤติการณ์อันเลวร้ายในโลกได้ ไม่ใช่เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างศาสนา แล้วเกลียดชังกัน เหมือนที่กระทำกันอยู่โดยมาก ต้องขอพูดอย่างนี้ว่าเหมือนที่กระทำกันอยู่โดยมาก เพราะว่าศึกษาศาสนาด้วยการเปรียบเทียบ แล้วเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างกัน เปรียบเทียบให้เห็นความดีกว่ากัน ความเลวกว่ากัน มันโง่ๆ เหมือนกับที่จะถามว่ากินขนมปังดีกว่ากินข้าว หรือกินข้าวดีกว่ากินขนมปัง หวังว่าเราคงจะได้ต้อนรับปีใหม่กันด้วยการเข้าใจในสิ่งที่จะช่วยเราให้รอดนี่ยิ่งๆขึ้นไปกว่าทุกปี แล้วพรุ่งนี้ก็จะพูดเรื่องปีใหม่ ชีวิตใหม่ให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก
ในวันนี้ขอให้เตรียมตัวว่าจะเข้าถึงเครื่องมือที่จะช่วยโลกให้มีสันติภาพให้มากกว่าปีเก่า ก็เรียกว่าเราไม่บกพร่องในหน้าที่ เราไม่บกพร่องในหน้าที่ของมนุษย์ นี่อาตมาก็แพ้ พ่ายแพ้แก่ไวรัสแล้ว เจ็บคอแล้ว พูดไม่ไหวแล้ว ขอโอกาสยุติการพูดในวันนี้ ขอแสดงความยินดีอีกครั้งหนึ่งในการมาของท่านทั้งหลาย มาจากที่ไกลๆ มาทนความลำบากบางอย่าง บางประการ เพื่อจะศึกษาสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะใน ๔ ความหมาย คือตัวธรรมชาติ คือตัวกฏของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ ตัวผลที่จะได้รับจากหน้าที่ แล้วนำติดตัวไปศึกษา ปฏิบัติให้เกิดเป็นศาสนาขึ้นมา คือมีระบบการปฏิบัติเป็นตัวศาสนาขึ้นมา อย่ามีแต่ความรู้ หรือความเชื่ออย่างเดียวมันไม่พอ ต้องมีการปฏิบัติให้เกิดผลขึ้นมา หวังว่าคงจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นบ้างตามควร ในการที่จะปรับปรุงชีวิตใหม่ ชีวิตปีใหม่นี้ ให้ก้าวหน้ากว่าปีเก่าด้วยกันทุกๆคนแล้ว มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรี อาตมาขอยุติการบรรยาย
คุณประยุกต์ ไม่มีอะไรเหรอ ก็วางไว้ให้แล้ว ใครจะมีอะไร ใครจะถามปัญหาอะไร หรือจะมีอะไร นี่นักศึกษามอ. มาหลายคน เขาเป็นคนเจ้าปัญหาอยู่ เมื่อสักครู่คุยกัน เขาจะถามอีกก็ได้
ผู้ดำเนินรายการ : ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ตอนนี้ก็คงจะเปิดอภิปรายทั่วไป ถ้าภาษาของเราสัมมนากันว่า โยนมาให้พอแล้ว ตอนนี้ก็เป็นรายการเพื่อ เขาเรียกว่าทำความเข้าใจกันเพิ่มเติมต่อไปนะครับ ผมดูว่าเวลามันยังๆไม่ดึกเท่าไหร่ พระเดชพระคุณท่านอาจารย์หยุดบรรยายก็เพื่อได้พักผ่อน แต่พวกเรามีปัญหาอะไรก็มาว่าากันต่อ หรือขยายความ หรือไม่ใช่ขยายความหรอกครับ มันขยายความน่าเกลียด มันหมายความว่ามาทำความเข้าใจกันได้อีกนะครับ แล้วถ้ามีปัญหาที่จะต้องตอบ หรือชี้แจง ท่านพระเดชพระคุณท่านอาจารย์สู้ไม่ไหว เราก็มีพระคุณเจ้าท่านก็จะช่วยเหลือได้นะครับ เพราะฉะนั้นตอนนี้ขอเชิญนะครับ ถ้าที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ได้ๆพูดมา มันเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่จริงๆ และเป็นเรื่องที่ยังกลัวกันนักกันหนานะครับ นี่เราพูดกันตรงๆแล้วนะครับว่าถึงขนาดจะเกิดสงครามกัน สงครามศาสนา แม้แต่ในเมืองไทยก็กลัวกันเหลือเกิน กลัวศาสนานั้นจะกลืนศาสนานั้น กลัวศาสนานี้จะกลืนศาสนานี้ นี่เราพูดกันในแง่ที่ว่า ในแง่ที่ไม่ดี ที่เป็นข่าวมานะครับ ท่านพระเดชพระคุณได้นำเรื่องศาสนาเปรียบเทียบสากลแบบนี้ครับ มาพูดกันนี่ ผมว่ามันคงจะ ถ้าเราทำความเข้าใจกันได้จริงแล้วนะครับ ปัญหาที่เรากลัวๆกัน หรือที่จะเกิดขึ้นในเมืองไทย มันอาจจะไม่ มันๆจะหายไปเองนะครับ มันจะไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าใครยังๆสงสัยในแง่ไหนก็ขอเชิญครับ เพื่อจะได้มายกเป็นประเด็น หรือเป็นเรื่องสำหรับจะพูด หรือจะอภิปรายในแง่ของศาสนาต่างๆ ควบเลยครับ ควบ(นาทีที่ 01:09:48) ศาสนาสากลเลยครับ ตอนนี้พูดถึงสากลเลย ไม่ต้องเอ่ยศาสนาอะไรก็ได้ เชิญครับ
พุทธทาส : อย่าไปจับไมโครโฟน อย่าไปจับตัวไมโครโฟน มันจะดังโก๊กกั๊กๆ
ผู้ดำเนินรายการ : มันๆติดนิสัยใกล้ตัวครับท่านอาจารย์ครับ (นาทีที่ 01:10:00) ใครๆๆมีอะไรเชิญครับ คือมันต้องทำหลายอย่าง ผมพูดมันไม่จับ ต้องทำหลายอย่าง ทีนี้เชิญครับ มีใครมีๆอะไร อาจารย์มาเยอะแยะ นะครับ เชิญทางๆโน้นครับ วันนี้เห็นนั่งฟังอาจารย์ท่าน(นาทีที่ 01:10:20)อยู่ก็หลายท่าน มาจากมหาวิทยาลัยผู้สนใจ คือถ้าทำความเข้าใจเรื่องนี้กันได้ดีแล้ว รับรองไม่มีการทะเลาะกันแน่
พุทธทาส : มอ. นักศึกษามอ. ไปไหนหมด เมื่อสักครู่มานั่งคุย ถามปัญหากันพักใหญ่นะ
ผู้ดำเนินรายการ : ครับ เชิญครับ ก็ถามเรื่องอื่นแต่มันได้ประโยชน์ในแง่นี้ก็แล้วกันครับ มากันทีนะครับ ในประเด็นคืนนี้ แล้วคืนพรุ่งนี้เรายังมีอีกนะครับ แต่ว่าเราเปิดๆๆข้อ(นาทีที่ 01:10:52)ในเรื่องของศาสนาเปรียบเทียบ คือศาสนาทั่วไป แต่เปรียบเทียบในแง่ที่มันเข้ากันได้กันนะครับ เพื่อจะทำความเข้าใจกัน โดยเฉพาะเรื่องของพระเจ้า เรื่องของทางวิทยาศาสตร์ จะมีคน มีคนถาม จะลุกขึ้นถามใช่ไหมหนู หรือว่าจะลุกขึ้นเข้าห้องน้ำ ครับๆ คือมีบ่อย ผมสงสัยนึกว่าจะลุกขึ้นมาแล้ว เปล่า ยืนลุกขึ้นเข้าห้องน้ำ แยะครับ เชิญเลยครับ โดยเฉพาะพุทธศาสนาที่เมื่อสักครู่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ได้ Grouping ไว้ในพวก Evolutionist นะครับ อยู่ในพวก ไม่ใช่ๆๆๆ Creationist เป็น Evolutionist แล้วก็ต่อไปจะเป็นวิทยาศาสตร์ ทุกศาสนาจะเป็นวิทยาศาสตร์ ทีนี้วิทยาศสตร์ทางจิต ก็ยังมีผู้สงสัยกันอยู่เรื่อยนะครับ ถ้าใครยังๆๆพร่องอยู่ตอนไหน จะมาถามต่อ หรือคุยกันต่อก็ได้นะครับ เรื่องพุทธศาสนาเรา เพราะว่าจะไม่เอ่ยถึงศาสนาไหนแล้ว มันต้องเอ่ยกันอยู่ดี เชิญๆเลยครับ เชิญเลยครับ แต่ถ้าไม่มีอะไรจริง ก็เรื่องอื่นทั่วไปก็ยังได้นะ แต่อยากให้เรื่องนี้เคลียร์เสียก่อน
ถาม : นมัสการพระคุณท่าน และกราบเรียนครูบาอาจารย์ แล้วก็สวัสดีเพื่อนๆทุกคนนะครับ ทีนี้การที่พระอาจารย์ได้พูดว่า ถ้าทุกศาสนานี่นะครับสามารถทำให้โลกเป็นสันติสุขได้นี่ ในทางศาสนาพุทธเราต้องการจะเน้นเรื่องทุกข์ และทางดับทุกข์ ทีนี้ในทางศาสนาคริสต์หรืออื่นๆนี่ ผมไม่ทราบว่าเขาจะเน้นตรงหลักนี้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นจะเป็นแนวทางร่วมกัน เพื่อให้เกิดสันติสุขได้หรือไม่
พุทธทาส : ไม่ๆๆรู้เรื่อง ไม่ได้ยิน ได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง ได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง ไม่รู้เรื่อง ถามให้คำถามสั้นๆ รัดกุม และดังๆหน่อย
ถาม : นะครับ คือว่าในศาสนาพุทธใช่ไหมครับ เราเน้นเรื่องทุกข์ และทางดับทุกข์ ทีนี้ไม่ทราบว่าในคริสต์ หรือว่าของอิสลามนี่เขาเน้นกันเรื่องนี้หรือเปล่า แล้วมันเป็น จะมีระดับเดียวกันซึ่งจะมาทำให้เกิดสันติสุขได้อย่างไรครับ
พุทธทาส : ถ้าอย่างนั้นก็ตอบได้ว่ามันมีด้วยกันทั้งนั้น ถ้ามันมีการดับทุกข์แล้ว มันก็ต้องมีวิธีการดับทุกข์ ถ้ามันดับทุกข์ได้ มันต้องมีวิธีการดับทุกข์ ตัววิธีอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าผลมันเป็นอย่างเดียวกันได้ เป็นของธรรมดาที่สุด วิธีการกระทำไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกัน แต่ออกผลมาเป็นอย่างเดียวกันได้ เช่นการผลิตทางวัตถุ มันก็ทำกันหลายๆวิธี แต่วิธีสร้างสิ่งเดียวกันขึ้นมาได้ มันก็เหมือนกับว่ากินขนมปังก็ได้ กินข้าวก็ได้ แล้วผลมันก็ออกมาเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นชีวิตอยู่ได้ อย่างนี้ก็ๆแสดงอยู่แล้ว
ถ้าดับทุกข์ได้ต้องมีวิธีการดับทุกข์ ก็มีหลักเกณฑ์ มีกฏเกณฑ์สำหรับจะปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ที่เหมาะสมที่สุดกับประชาชนในถิ่นนั้นๆ ในยุคสมัยนั้นๆ มีภูมิๆจิตใจ การศึกษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างนั้นๆเหมาะสม จะให้รูปแบบของๆวิธีเหมือนกันนั้นไม่ได้ มันได้แต่ว่าผล มันได้ผลดับทุกข์ได้ เหมือนเราจะทำอาหาร จะปลูกบ้าน ปลูกเรือน จะนุ่งห่มอะไรก็มันไม่จำเป็นที่ว่าจะต้องมีวิธี การกระทำที่เหมือนกัน แต่มีผลอย่างๆที่ตามที่เราต้องการได้ เหมือนว่าจะทำข้าวๆ ทำข้าวสารให้กินได้ เป็นข้าวสุก วิธีการทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกเดี๋ยวนี้มีหลายวิธี
ถาม : กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ ท่านอาจารย์จะกรุณาแนะนำกฏเกณฑ์ วิธี หรือว่าคำสอนของศาสนาบางศาสนาที่ชี้แนะวิธีการดับทุกข์ให้พวกเราเห็นบ้างได้ไหมครับ
พุทธทาส : คือไม่ใช่พุทธศาสนาใช่ไหม
ตอบ : ครับผม
พุทธทาส : แต่คุณรู้พุทธศาสนาแล้วนะ มันจะพูดให้เข้าใจกันยังไงได้ ความทุกข์เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจชนิดนั้น เราๆๆเรียกมันว่าความทุกข์ ถ้ามีวิธีทำให้ความรู้สึกชนิดนั้นที่มีอยู่ในใจออกไปเสียจากจิตใจได้ มันก็ได้ทั้งนั้น ทีนี้วิธีที่จะทำให้ออกไปเสียได้ก็แล้วแต่ จะทำสมาธิ หรือทำวิปัสสนา คือว่าเปลี่ยนความคิดอันนั้นเสีย หรือเอาไอ้ความรู้สึกที่แรงกว่ามาบังคับไอ้ความคิดอันนี้ไว้เสีย ไม่ให้มันแสดงออกมาได้ หรือว่ามีปัญญาถอนรากถอนโคนไอ้ความคิดอันนั้นเสีย มันก็ไม่มีจะแสดงอีกต่อไป
ถ้ามีความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไอ้ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นแหละ มันมาช่วยระงับความรู้สึกที่เป็นทุกข์ คือมันเปลี่ยนความรู้สึกได้ ก็ไปมอบทุกอย่างไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจของความเชื่อนั้นมันก็ระงับความรู้สึกที่เป็นทุกข์เสียได้ อย่างนี้ไม่ใช่วิธีๆพุทธศาสนา แต่ก็มีมากมาย มีตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ในครั้งพุทธกาล คือการใช้อำนาจของสิ่งที่ตัวถือว่าศักดิ์สิทธิ์นั้น มาปิดกั้นความรู้สึกที่เป็นทุกข์นั้นเสีย แต่ท่านตรัสว่าไม่ถาวรๆ คือไม่เป็นการขุดรากออกเสีย จึงมีวิธีที่ว่าไอ้ความทุกข์นี้เกิดมาจากอะไร แล้วก็ตัดทำลายไอ้สิ่งอันนั้นเสีย ความทุกข์มันเกิดมาจากความไม่เข้าใจ เรื่องเกี่ยวกับตัวตน เกี่ยวกับของตน มันทำให้เป็นทุกข์ก็ถอนความรู้สึกว่าตัวตนนั้นเสีย มันก็ไม่เป็นทุกข์ นี่ก็เป็นวิธีพุทธศาสนา ไม่ต้องอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอกตนเข้ามาเกี่ยวข้อง อาศัยการกระทำจัดการกับสิ่งที่มีอยู่ในภายใน ที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ถูกทำลายไป มันก็ใช้ได้ด้วยกัน ดับทุกข์ได้ด้วยกัน ตามมาก ตามน้อย ตามสัดตามส่วน ตามความเหมาะสมแก่บุคคลนั้นๆ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรเสียเลย แม้จะเป็นศาสนาของคนป่าชั้นต่ำที่สุด มันก็ยังดับความทุกข์ของเขาได้ตามความเหมาะสม เพราะเขารับเอาได้เพียงเท่านั้น ถ้าสอนดีกว่านั้นเขารับเอาไม่ได้ สอนถูกกว่านั้นเขาก็รับเอาไม่ได้ มันก็ดับทุกข์ไม่ได้ การสอนดี หรือสอนถูกไปกว่านั้นมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร จึงสอนพอเหมาะพอสมกับไอ้คนเหล่านั้น เหมือนกับปากเด็ก ปากเด็กทารก ปากเล็กๆจะให้กินข้าวคำใหญ่ไม่ได้ มันต้องเพียงแต่เหมาะกับปากของเด็กทารกนั้น
เราจึงถือว่าในสิ่งที่เรียกว่าลัทธิ หรือศาสนามันมุ่งหมายจะดับทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น แล้วปฏิบัติได้ตามสัดตามส่วน อย่างถูกฝาถูกตัว พอผิดฝาผิดตัวแล้วจะวิเศษอย่างไรก็ดับไม่ได้ กล้าพูดว่าแม้จะถือพุทธศาสนาวิเศษอย่างไรก็ดับทุกข์ของคนที่ไม่ถึงขนาดไม่ได้ คือไม่สามารถจะรับเอาพุทธศาสนาได้ ก็เลยไม่มีประโยชน์เหมือนกัน มันไม่มีประโยชน์เหมือนกัน ตามที่มันมีประโยชน์จริงในโลกนี้ มันก็คือดับทุกข์ได้ตามสัดตามส่วน ตามความเหมาะสมแห่งจริตนิสัยของบุคคลผู้เป็นเจ้าทุกข์ มันไม่ได้อยู่ที่ว่าของนั้นมีเกียรติ หรือแพง หรือจะๆมีประโยชน์ ประโยชน์ก็คือประโยชน์ นี่เราไปนิยมของแพง ของมีเกียรติ เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องอะไรต่างๆ ว่าจะๆดี จะดับทุกข์ได้ มันก็เหลวทั้งนั้น บางทีมันกลายเป็นของแสลงไปเลยก็มี ไอ้ของที่สวย ที่แพง ที่ว่าดี มีเกียรติ กลายเป็นของแสลงไปเสียก็มี ถ้ามันถูกเรื่อง ถูกตัว มันก็จะดับทุกข์ได้ ฉะนั้นตลอดเวลาที่ในโลกนี้มันยังมีคนหลายสิบชนิด ศาสนาหลายสิบศาสนาก็ยังจำเป็นอยู่ ไม่ต้องแก้ไขที่ศาสนา ไปแก้ไขที่คน ให้เขารู้จักใช้ให้มันๆเป็นประโยชน์ ให้มันสูงขึ้นมาๆ เหมือนเราจะเอารถยนต์ไปให้คนป่า นี่คงจะไม่สำเร็จประโยชน์อะไร คำโบราณเขาพูดไว้มากกว่านั้น เอาแก้วไปให้กับวานร ไม่มีประโยชน์อะไร
ถาม : กราบเรียนท่านอาจารย์นะครับ ผมจะถามว่าเมื่อสักครู่นี้อาจารย์กล่าวฒษว่าอีกหน่อยศาสนานี้จะเหลือศาสนาเดียวนะครับ ทีนี้ผมยังไม่เข้าใจกระจ่างว่าจะเหลือได้อย่างไร แสดงว่าศาสนาบางศาสนาเริ่มมีความเสื่อม จากเดิมหลายๆศาสนามันเหลือเป็นสอง แล้วจะกลายเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ ไม่ทราบว่า คือยังไม่เข้าใจนัก ช่วยชี้แจงด้วยครับ
พุทธทาส : ก็บอกๆตรงๆแล้วว่าเมื่อทุกคนในโลกมันเป็นสมาชิกของวิทยาศาสตร์ไปหมด ศาสนาอื่นมันก็เข้าไม่ได้ นอกจากศาสนาวิทยาศาสตร์ คือทำไปตามกฏแห่งเหตุผล อิทัปปจยตา เมื่อทำลงไปอย่างนี้ ผลจะเกิดอย่างนี้ เมื่อทำลงไปอย่างนี้ ผลจะเกิดอย่างนี้ เช่นเดียวกับที่วิทยาศาสตร์กำลังก้าวหน้า สร้างอะไรขึ้นมาเรื่อยๆๆ นี่พูดจะต้องเรียก จะเรียกว่าโดยสมมติก็ได้ เพราะมันๆๆยังไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ว่าทุกคนในโลกเป็นสมาชิกวิทยาศาสตร์กันหมด มันคงจะยังอีกนาน ยังอีกนานกว่าการศึกษา หรืออะไรมันจะสมบูรณ์ถึงขนาดว่าทุกคนในโลกถือหลักวิทยาศาสตร์กันหมด เมื่อนั้นมันก็จะมีแต่ศาสนาวิทยาศาสตร์ ไม่ยอมรับแต่สิ่งนอกตัว หรือสิ่งที่มองไม่เห็นตัว หรือสิ่งที่ต้องคาดคะเน หรือสิ่งที่ต้องอาศัยความเชื่อเป็นหลัก มันก็ๆไม่มี มันมีแต่สิ่งที่เฉพาะหน้า รออยู่ เห็นอยู่เฉพาะหน้า แล้วก็จัดการกันไป
ถาม : นมัสการพระคุณเจ้า และกราบเรียนท่านอาจารย์ และสวัสดีเพื่อนนักศึกษา และก็น้องๆทุกคนนะคะ คือติดใจคำถามที่พี่อีกคนถามเมื่อสักครู่นี้ว่า เมื่อโลกๆในอนาคตของเราต่อไปที่ท่านสมมติไว้ว่าศาสนาจะเป็นศาสนาเดียว ก็คือศาสนาวิทยาศาสตร์ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสงสัยว่าเมื่อโลกของเรามีศาสนาเดียวนั้น เป็นไปได้ไหมคะที่ว่าโลกของเราจะเกิดสันติภาพ เพราะว่าปัจจุบันนี้การที่โลกของเราขัดแย้งในส่วน เกือบทุกภูมิภาคของโลกนั้น เกิดจากการที่ว่าศาสนาไม่ตรงกัน เกิดการ เกิดจากการขัดแย้งเกี่ยวกับทางด้านศาสนา ซึ่งที่ผู้นับถือศาสนานั้นไม่เข้าใจถึงศาสนาของตัวเองที่แท้จริง คือสักได้แต่ว่าตัวเองนับถือศาสนานั้น แล้วทีนี้เมื่อทุกคนเป็นสมาชิกของศาสนาวิทยาศาสตร์ในโลกอนาคต ข้าพเจ้าอยากถามพระคุณเจ้าว่าต่อไปโลกของเราจะมี จะเกิดสันติภาพเป็นหนึ่งเดียวไหมคะ ขอถามแค่นี้ค่ะ
พุทธทาส : ข้อนี้หมายความว่า เท่าที่เราเห็นอยู่เดี๋ยวนี้มนุษย์ในโลกเป็นทาสของวิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นๆ เห็นไหมเล่า คนในโลกเวลานี้เป็นทาสวิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นๆ แล้วก็หันหลังให้ศาสนา หลายๆศาสนา ถ้ามันเป็นอย่างนี้เรื่อยๆไป มันจะมีสักวันหนึ่งที่คนจะยึดถือกันแต่หลักทางวิทยาศาสตร์ แล้วศาสนานั้นก็จะต้องเข้ากันได้กับวิทยาศาสตร์ ทุกคำพูด ทุกประโยค ทุกอะไรเลย นี่จะเรียกว่าศาสนาของวิทยาศาสตร์ เช่นมาเรียนรู้เรื่องจิตใจ ว่าถ้ามันดำรงไว้อย่างนี้ก็เป็นทุกข์ พลิกไปอย่างนี้ก็ไม่เป็นทุกข์ มันก็คือหลักวิทยาศาสตร์ ต่อเมื่อโลกมันเจริญถึงขนาดนั้น ก็ไม่รู้ว่าสัก อีกสักเท่าไหร่ เมื่อโลกมัน มนุษย์ทุกคนในโลกมันเจริญถึงกับสามารถเข้าถึงวิทยาศาสตร์ ยึดถือหลักวิทยาศาสตร์กันหมด ศาสนามันก็จะเหลืออยู่แต่ศาสนาวิทยาศาสตร์ ศาสนาที่บัญญัติออกมาตามกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ หรือจะเอาศาสนาทุกศาสนามารวมกันเข้าแล้วเก็บเอาแต่กฏเกณฑ์วิทยาศาสตร์ อย่างนี้มันก็ได้
เมื่อคนถือศาสนาเดียวกัน มีความเห็นอย่างเดียวกัน เข้าใจตรงกัน แล้วมันก็สร้างสันติภาพได้ เดี๋ยวนี้ไม่มีๆความคิดเห็นอย่างเดียวกัน ไม่มีความร่วมมือกัน เห็นแต่ประโยชน์ตัว สมมติว่าวิทยาศาสตร์เจริญด้วยระเบิดปรมาณู พิสูจน์ให้เห็นด้วยระเบิดปรมาณูว่าถ้าแกยังขืนรบกันแล้วฉันก็จะให้ผลอย่างนี้ ทีนี้คนก็จะเลิกๆรบกัน เพราะระเบิดปรมาณูมันจะให้ผลอย่างนี้ นี่ก็เรียกว่าวิทยาศาสตร์ช่วยจัดการให้ เอาหล่ะ ทำอย่างไรก็ๆได้ ที่จะให้ทุกคนมองเห็นเหมือนกันว่าอันนี้เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ อันนี้ไม่เกิดทุกข์ แล้วก็ถือเหมือนๆกัน ก็ใช้ได้ แต่เท่าที่เราเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ ไอ้เรื่องของวิทยาศาสตร์กำลังครอบงำจิตใจของมนุษย์มากขึ้น ทั้งใน ทั้งฝ่ายที่จะดับทุกข์ และฝ่ายที่จะไม่ดับทุกข์ ครอบงำจิตใจของมนุษย์มากขึ้น มนุษย์กำลังหลงใหลเรื่องทางวิทยาศาสตร์ ทางผลิตผลของวิทยาศาสตร์ อะไรๆก็ทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น สักวันหนึ่งมันก็จะยอมรับกฏเกณฑ์อันนี้ที่ถูกเอาไปใช้ เอาๆไปทำให้ใช้ดับทุกข์ ดับทุกข์โดยวิถีทางวิทยาศาสตร์ คือจะเป็นศาสนาก็เป็นศาสนาที่เป็นไปตามกฏเกณฑ์วิทยาศาสตร์
ผู้ดำเนินรายการ : ครับ คือตอนนี้ผมฟังๆ ผมเองก็ชักอยากจะมีอะไร คือมันมีอะไรชักสงสัยขึ้นมานิด สักนิดๆแล้วครับ คือว่าเมื่อสักครู่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวแล้วนะครับว่าเราเป็นเรื่องของทาส ของวิทยาศาสตร์มาเรื่อยๆ แล้วสักวันหนึ่งเราก็จะหันกลับมาเอาศาสนาที่เราใช้กฏเกณฑ์ของวิทยาศาสตร์ เพื่อไปใช้ศาสนานั้นเป็นที่พึ่ง แต่ที่ผมสงสัยอยู่นิดๆ อยู่ตอนนี้ก็ว่า เหตุไฉนเล่าพวกด๊อกเตอร์ทางวิทยาศาสตร์ทั้งหลายนะครับ มันยังไม่ใช้ศาสนาที่เป็น ให้มันเป็นวิทยาศาสตร์ มาเพื่อช่วยแก้ทุกข์ของตัวเอง ยังหันไปใช้น้ำมนต์รดหัวอยู่ ยกตัวอย่างอย่างนี้ครับ ผมอยากจะให้พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ได้ลองชี้แจงเรื่องนี้บ้างครับ
พุทธทาส : นี่เป็นเรื่องพิเศษ พิเศษปลีกย่อยมากที่สุด ที่ด๊อกเตอร์เรียนกลับจากเมืองนอกยังไปรดน้ำมนต์อยู่นี่ คือมันไม่เป็นด๊อกเตอร์ ไอ้เรื่องไสยศาสตร์นี่มันลึกซึ้ง เป็นๆนักวิทยาศาสตร์ก็ยังกลัวเลข ๑๓ อย่างนี้เป็นต้น มันทำไม่ได้ที่จะให้ทุกคนเปลี่ยน เพียงๆแต่จะให้ทุกคนกินขนมปัง หรือว่ากินข้าวอย่างเดียวก็ยังทำไม่ได้ ด๊อกเตอร์ไม่ได้เรียนเรื่องดับทุกข์ เรียนเรื่องวิชาหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเท่านั้นแหละ วิชาในโลกเป็นวิชาชีพหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มันไม่ได้สอนเรื่องดับทุกข์ในทางจิตใจเหมือนกับศาสนาเลย แม้จะเป็นด๊อกเตอร์ทางศาสนามันก็ยังไม่มากไปกว่า ไม่ คือไม่ได้ๆเพิ่มอะไรขึ้น มีแต่จะอธิบายให้เฟ้อมากขึ้น ยิ่งอธิบายให้ฟังยาก ให้เฟ้อมากยิ่งขึ้น ถ้าใครมีความประสงค์จะไปพักผ่อนก็ได้ ไม่ๆๆๆเป็นไร เชิญได้
ถาม : ขอเรียนถามว่า ขอนมัสการพระคุณท่านช่วยอธิบายเรื่องลัทธิจิตนิยม และลัทธิวัตถุนิยม
พุทธทาส : อะไรนะ ยังฟังไม่ถนัด
ถาม : ขอให้พระคุณท่านอธิบายความหมายของคำว่า ลัทธิจิตนิยม และลัทธิวัตถุนิยม
พุทธทาส : น่าจะเข้าใจได้กันแล้วเรื่องนี้ ในโลกมันมีอยู่ ๒ เรื่อง คือเรื่องวัตถุ กับเรื่องจิต คือเรื่องวัตถุที่ไม่มีจิต กับเรื่องจิต คนก็เลยมองเห็นเป็น ๒ อย่าง คนที่รู้แต่เรื่องทางวัตถุ ก็มองเห็นเป็นเรื่องทางวัตถุอย่างนั้นๆๆ ไม่เข้าใจเรื่องจิต ทีนี้เรื่องจิตนี่มันก็มีลึกซึ้ง และลึกลับ ส่วนที่ลึกลับนี่เอามาพูดผิดๆ ผิดเพ้อไปเป็นใช้ไม่ได้ไปเสียก็มี มันก็เลยไม่ได้ประโยชน์ ในเรื่องจิตเหมือนกัน ทีนี้คนเราคนหนึ่งๆ มีทั้งร่างกาย และจิตใจ ถ้ายอมรับข้อนี้แล้วก็พูดง่าย คนเราคนหนึ่งมีทั้งร่างกาย มีทั้งจิตใจ แล้วก็ไปคิดดูว่าอะไรมันเหนือกว่าอะไร ร่างกายมันก็รองรับจิตใจ จิตใจมันก็บังคับร่างกาย มันอาศัยกันอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงไม่อาจจะแยกกัน
พุทธศาสนาไม่ใช่จิตนิยม และไม่ใช่วัตถุนิยม แต่ว่ามีคนเป็นอันมากพูดผิดๆว่าพุทธศาสนาเป็นจิตนิยม พุทธศาสนาไม่ได้เป็นจิตนิยม คือไม่ได้ยึดเรื่องจิตโดยส่วนเดียว พุทธศาสนาก็ไม่ใช่วัตถุนิยม ก็ยิ่งไม่ใช่วัตถุนิยม แต่พุทธศาสนาเป็นความถูกต้องของทั้งจิตนิยม และวัตถุนิยม ความที่ทั้ง ๒ อย่างนี้เกี่ยวข้องกัน จิกับวัตถุนี่เกี่ยวข้องกันอย่างไร มีความถูกต้องอย่างไร พุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่พูดถึงทั้งเรื่องจิต และเรื่องวัตถุ ไม่พูดเรื่องจิตโดยส่วนเดียว ไม่พูดเรื่องวัตถุโดยส่วนเดียว แล้วก็พูดอยู่ตรงกลาง ไอ้คำนี้ใช้ได้กับคำที่ว่า พุทธศาสนานี่เป็นศาสนาที่สอนทางสายกลาง ไม่จิต ไม่วัตถุ แต่อยู่ตรงกลาง ให้ถูกต้องทั้งทางจิต และทางวัตถุ นี่คือพุทธศาสนา
ศาสนาอื่นจะเป็นอย่างไรก็ตามใจ บางศาสนาจะจิตเกินไป บางศาสนาจะวัตถุเกินไป ในโลกนี้มันก็มี แต่พุทธศาสนาไม่เป็นอย่างนั้นเลย เป็นความถูกต้อง เกี่ยวข้องกันระหว่างจิต กับวัตถุ ทีนี้ถ้าถือวัตถุเป็นหลักเกินไป มันก็หลงใหลไปทางวัตถุ ยึดถือแต่เรื่องจิตอย่างเดียวเกินไป มันก็ขาดแคลนทางวัตถุ มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะคนเราประกอบอยู่ด้วยร่างกาย และจิตใจ คือทั้งวัตถุ และทั้งจิต คนๆหนึ่ง ความรู้ที่ถูกต้องของทั้ง ๒ เรื่องนี้รวมกันแล้วก็คือสายกลาง ทางสายกลาง พุทธศาสนาเป็นมัชฌิมาปฏิปทา เป็น Middle way เป็นทางสายกลาง ระหว่าง ไม่ใช่ทั้งหมด ระหว่างดี ระหว่างชั่ว ระหว่างผิด ระหว่างถูก ระหว่างทุกข์ ระหว่างสุข คือไม่ๆไปเอาอะไรเข้าโดยส่วนเดียว แต่อยู่ตรงที่ความถูกต้องของทั้ง ๒ ฝ่ายที่อยู่ตรงกลาง ถ้าจะให้อธิบายเรื่องจิต หรือวัตถุ มันไม่ใช่พุทธศาสนา คือมันมีพวกที่ถือจิตโดยส่วนเดียว พวกที่ถือวัตถุโดยส่วนเดียวอยู่พวกหนึ่ง พุทธศาสนามันอยู่ตรงกลางระหว่างจิตกับวัตถุ คือจะพูดทั้ง ๒ เรื่องนี้ให้เกี่ยวข้องกันอย่างถูกต้อง แล้วก็ปฏิบัติดำเนินไป เป็นความถูกต้องทั้งของจิต และของวัตถุ ถ้าจะพูดอีกทีก็ว่าทั้ง ๒ อย่าง เป็นเรื่องที่พูดทั้งๆคู่ ทั้งจิต และทั้งวัตถุ แต่มันสำคัญอยู่ที่ความถูกต้อง เลยเรียกอีกชื่อหนึ่ง ช่วยจำไว้ด้วยคนที่ถาม เรียกว่าธรรมนิยม พุทธศาสนาไม่ใช่จิตนิยม พุทธศาสนาไม่ใช่วัตถุนิยม แต่เป็นธรรมนิยม คือความถูกต้องระหว่างจิตกับวัตถุ
ถาม : นมัสการพระคุณเจ้า และสมาชิกที่สนใจในการดับทุกข์ทั้งหลายนะครับ กระผมใคร่ขอเรียนถามพระคุณเจ้าว่า การที่ศาสนาทุกศาสนาสอนเรื่องการดับทุกข์ แต่ในปัจจุบันพอจะวิเคราะห์ได้ไหมว่า จากการที่มีสงครามศาสนานี้ ทำไมมันจึงเกิดขึ้นได้ ขึ้นบ่อยๆนะครับ แล้วก็ควรจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ที่จะให้สงครามศาสนาที่มันเกิดขึ้นในหลายๆประเทศในโลกนี้ มันจะได้ยุติลงไปครับ
พุทธทาส : นั่นมันไม่ใช่ผิดอยู่ที่ตัวศาสนา มันผิดอยู่ที่ตัวบุคคลที่เอาศาสนามาใช้ มันจึงเกิดสงครามศาสนา สงครามศาสนามันเกิดขึ้นเพราะบุคคลที่ไปยึดเอาตัวศาสนามาใช้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวศาสนาเอง ถ้าทุกคนเข้าใจศาสนาของตนอย่างถูกต้องแล้ว สงครามศาสนาจะไม่เกิด เดี๋ยวนี้คนมันมากเกินไป ควบคุมกันไม่ได้ อย่างผู้ที่มีอำนาจที่เข้าใจศาสนาผิด ถือเอาศาสนาผิด เอาศาสนามาเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ มันก็เกิดสงครามที่อาศัย ที่ๆศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แล้วก็โยนบาปมาให้ว่าเป็นสงครามศาสนา ที่จริงเป็นสงครามความโง่ของคนที่เอาศาสนามาใช้ผิดๆ ถือผิดๆ ไม่ใช่ความผิดของศาสนา เป็นเรื่องของศาสนาที่ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือ เครื่องมืออะไรก็ได้ เครื่องมือการเมือง เครื่องมือสงคราม เครื่องมืออะไรก็ได้ แล้วมันก็เกิดสงครามขึ้นมา แล้วก็โยนบาปให้ว่าเป็นสงครามศาสนา
ถาม : กราบเรียนพระคุณเจ้านะคะ แล้วก็สวัสดีพี่ๆทุกคนนะคะ ก็วันนี้มี ดิฉันก็มีคำถามที่ไม่ค่อยเข้าใจบางอย่าง คือตามที่พระคุณเจ้าได้กล่าว ได้สอนพวกเราให้ทราบว่า จุดมุ่งหมายของทุกๆศาสนาคือการ หนทางแห่งการดับทุกข์ใช่ไหมคะ แต่พุทธศาสนานั้นคือทำให้เรานี้เข้าใจถึงธรรมชาติ แล้วก็เรามีหลักเกณฑ์ในการ เราๆ คือเราไม่เชื่อธรรมชาติ เราไม่เชื่อพระเจ้า แต่เรามีหลักเกณฑ์ของการนับถือ คือการเข้าถึงธรรมชาติ แต่ดังที่ทราบกันแล้วว่าจุดมุ่งหมายใหญ่นั้นก็คือ เป็นแบบหนทางแห่งการดับทุกข์ แล้วบางศาสนาที่เราได้เห็นกันมา ซึ่งเพื่อนๆของเราบางคนก็นับถือกันอยู่นะคะ ซึ่งบางครั้งหลักใหญ่ของเขาคือการเชื่อพระเจ้าอย่างนี้ เขาจะอุทานคำ ชื่อของพระเจ้าออกมาหรืออะไรอย่างนี้ แล้วขอถามว่าเขามีหลักเกณฑ์อย่างไร ถึงจะให้พ้นทุกข์จริงๆ นั่นดูเพียงผิวเผินๆ แบบการยกเหตุผลของเราแล้ว เราว่าการอุทานชื่อพระเจ้านั้นคงจะไม่พ้นทุกข์อย่างแท้จริง แล้วเขามีหลักเกณฑ์อย่างไรบ้างคะ
พุทธทาส : เมื่อสักครู่พูดมันยังไม่ตรงจุด ตรงเรื่อง คือว่าศาสนาทุกศาสนามุ่งหมายจะดับทุกข์ แม้พุทธศาสนาก็มุ่งหมายจะดับทุกข์ แต่มีวิธีการตามแบบของตนๆ ศาสนาไหนก็มีวิธีการดับทุกข์ตามแบบของตนๆ แม้ว่าพุทธศาสนาจะพูดเรื่องธรรมชาติ เรื่องกฏของธรรมชาติ ก็เป็นวิธีการดับทุกข์ตามแบบของพุทธศาสนา คือเราดับทุกข์โดยการใช้ความรู้อันถูกต้อง อันเกี่ยวกับธรรมชาติ แล้วจะมีปัญหาอะไร
ทีนี้สำหรับคำว่าพระเจ้าๆนี้ คำพูดคำเดียวนี้ความหมายเยอะแยะไปหมด ความหมายในแต่ละๆศาสนาที่มีพระเจ้า หรือแม้แต่คนบางคนที่ถือศาสนาเดียวกัน คนบางคนหลายๆคนนี้ก็ไม่ได้ให้ความหมายคำว่าพระเจ้าเหมือนกัน เพราะเขาสติปัญญาไม่เท่ากัน ออกๆๆๆเสียงว่าพระเจ้า แต่ความหมายไปคนละทิศคนละทาง ที่จริงคำว่าพระเจ้าก็หมายถึงสิ่งสูงสุด ที่จะทำอะไรให้เป็นอะไรได้ พุทธศาสนาก็มีกฏของธรรมชาติเป็นเหมือนพระเจ้า ที่ทำอะไรๆให้เป็นอะไรได้ หรือมีตัวธรรมะๆๆที่ทำถูกต้องแล้วเกิดอะไรได้ตามที่ตัวต้องการ นั่นแหละเป็นพระเจ้า แต่เราออกเสียงว่าธรรมะ เราไม่ได้ออกเสียงว่าพระเจ้า แต่ความหมายเหมือนกันคือสิ่งสูงสุดที่จะบันดาลให้เกิดอะไรได้ ทำหน้าที่สร้างอะไรก็ได้ ทำหน้าที่ควบคุมอะไรก็ได้ ทำหน้าที่เลิกล้างอะไรก็ได้ มีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง หรือทุกสิ่งอย่างนี้ เรียกว่าพระเจ้า นี่เขาถือว่าเป็นคนๆหนึ่งก็ตามใจเขา เป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดวงหนึ่งก็ตามใจเขา เราถือว่าธรรมะ ไอ้ความจริงถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติเป็นพระเจ้า พุทธศาสนาก็มีพระเจ้า พวกฝรั่งไปเขียนเรียนกันผิดๆว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า ว่าพุทธศาสนาเป็น Atheist มันไม่ถูก พุทธศาสนาก็มีพระเจ้า คือกฏของธรรมชาติ กฏของอิทัปปัจจยตา กฏของอิทัปปัจจยตาทำหน้าที่อย่างเดียวกับที่เขาเรียกกันว่าพระเจ้า เป็นพระเจ้าในพุทธศาสนา แต่เขาไม่สอนกันอย่างนี้ ไม่แนะนำกันอย่างนี้ แล้วใครเชื่อตามพวกฝรั่งที่พูดเอาเองว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า
ทุกคนมีพระเจ้า แม้แต่หมาก็มีพระเจ้า มันมีสิ่งสูงสุดที่มันเกรงกลัว แล้วมันจะเชื่อฟัง มันก็มี มีพระเจ้าตามแบบของสุนัข แต่ว่าคนมันต้องมากกว่านั้น มันต้องเป็นสิ่งที่จะทำอะไรได้ ได้จริงตามหน้าที่ของพระเจ้า เราเรียกว่ากฏของธรรมชาติ มีชื่อเรียกว่ากฏอิทัปปัจจยตา จะสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้ จะควบคุมอะไรก็ได้ จะยกเลิกอะไรก็ได้ แล้วควบคุมอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ทุกปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นสากลจักรวาล ฉะนั้นพระเจ้าของเราเข้าไปอยู่กองขี้หมาก็ได้ ในทุกๆปรมาณูของกองขี้หมา กฏของธรรมชาติอันนี้ก็เข้าไปควบคุมอยู่ ฉะนั้นพระเจ้าชนิดนี้ก็เข้าไปควบคุมอยู่ได้ในที่ทุกหนทุกแห่งจริงๆ ทีนี้พระเจ้าของคนบางพวกนั้นเขากลัวๆว่าจะไม่เข้าไปอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งได้ เพราะเป็นบุคคลๆ หรือเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นอะไร จะเข้าไปอยู่ได้ในกองขี้หมาเหรอ นี่ขอให้มองความหมายของคำว่าพระเจ้ากันให้ดีๆ คือสิ่งสูงสุด มีอำนาจสูงสุดในการสร้าง ในการควบคุม ในการทำลาย ในการดูแล ในการอะไรๆอยู่ในทุกๆปรมาณูของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาล นั่นแหละคือพระเจ้า ตามหลักการในพุทธศาสนา
ส่วนพระเจ้าในศาสนาอื่นนั้นเราไม่วิพากษ์วิจารณ์ ในทุกๆปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายของเรามีพระเจ้าสิงควบคุมอยู่ทุกๆปรมาณู เราก็ควรจะกลัวเกรงพระเจ้า เพราะควบคุมอยู่ในทุกๆปรมาณู เป็นผู้ที่ควรจะกลัวเกรง หรือเชื่อฟัง หรือเคารพ และปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏเกณฑ์อันนั้น อย่าให้ฝืนกฏเกณฑ์อันนั้นเป็นเด็ดขาด ถ้าฝืนกฏอันนั้นจะมีความทุกข์อย่างนี้ เราเชื่อฟังพระเจ้าก็คือเชื่อฟังอย่างนี้ เราขอร้องพระเจ้าก็คือขอร้องอย่างนี้ ขอร้องด้วยการที่เราปฏิบัติถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของพระเจ้าอิทัปปัจจยตา อยากจะท้าหน่อยว่านักศึกษาเหล่านี้ไม่เคยได้ยินคำว่าอิทัปปัจจยตากระมัง นักศึกษามอ. นี่มีที่ไม่เคยได้ยินคำว่าอิทัปปัจจยตากระมัง กลัวจะฟังไม่ถูก รีบไปสนใจเสียบ้าง หัวใจพุทธศาสนาถือเป็นสิ่งสูง ถือว่ามีสิ่งสูงสุดคือกฏอิทัปปัจจยตา ทุกอย่างเป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตา สุขทุกข์ไม่ได้มาจากพระเจ้าอื่น นอกจากมาจากพระเจ้าอิทัปปัจจยตา คือการกระทำผิด หรือการกระทำถูกต่อกฏอิทัปปัจจยตามันจึงเกิดเป็นความทุกข์หรือความสุขขึ้นมา และไม่ได้เกิดจากพระอิศวร หรืออิศวระนั้น ที่ว่าเป็นพระเป็นเจ้าตามความหมายทั่วไป ไม่ๆ แล้วก็ไม่มีด้วยในหลักพุทธศาสนา แล้วจะพูดว่าความสุข ความทุกข์ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยก็ไม่ได้ มันมีเหตุ มีปัจจัย คือกฏของอิทัปปัจจยตา พอทำผิดตามกฏเกณฑ์นี้ มันก็เป็นทุกข์เกิดขึ้นทันทีในจิต ในใจ ดำรงจิตใจไว้ผิดมันก็เกิดความทุกข์ ดำรงจิตใจไว้ถูกก็ไม่เกิดความทุกข์ ผิดหรือถูก มันผิดหรือถูกต่อกฏเกณฑ์อิทัปปจยตา เอ้า, อีก ๑๐ นาทีจะหมดเวลา
ถาม : กระผมขอกราบเรียนถามพระคุณเจ้านะครับว่า ถ้าดูตามกฏเกณฑ์ของ ตามหลักของอิทัปปัจจยตาแล้ว จะแสดงว่าศาสนาพุทธของเรานี่เป็นวิทยาศาสตร์ใช่ไหมครับ
พุทธทาส : คุณรู้เอง
ถาม : คือตอนนี้ผมเกิดมีข้อสงสัยอยู่บางอย่างนะครับ คือตอนนี้มีหลักเกณฑ์ในทางศาสนาอื่นไหมครับที่แสดงว่าศาสนาอื่นนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ หรือเป็นแค่เพียงปรัชญา หรือเป็นแค่เพียงหลักของศีลธรรมเท่านั้น อันนี้คือผมมีข้อสงสัยอยากจะเรียนถามว่า มีหลักเกณฑ์ในทางศาสนาอื่นใดไหมที่เป็นวิทยาศาสตร์นะครับ
พุทธทาส : กลายเป็นเรื่องของคำพูดไปเสียแล้ว ไม่ใช่เรื่องของศาสนาแล้ว นี่มันกลายเป็นเรื่องคำพูดแล้ว เรื่องคำพูดว่ากฏ ว่า แม้แต่คำว่าศาสนามันก็เป็นเรื่องคำพูด หรือคำว่าปรัชญาก็ยิ่งยุ่งกันใหญ่ เรามีคำอีกคำหนึ่ง คือคำว่าสัจจะๆ คือของจริง หรือความจริงของธรรมชาติ พุทธศาสนาบรรยายในฐานะเป็นสัจจะของธรรมชาติ พุทธศาสนาไม่ๆใช่ ไม่ใช่ๆปรัชญา อยากจะพูดว่าพวกคุณถือกันผิดๆว่าพุทธศาสนาเป็นปรัชญา คือเป็น Philosophy ตัวพุทธศาสนาไม่ได้เป็น Philosophy แต่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็น Science แต่คนเขาไปพูดว่าเป็น Philosophy กันมาก เป็น Philosophy ไม่ได้ เพราะ Philosophy ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ Philosophy มันป็นไปตามสมมติฐาน เป็น มี Hypothesis ซึ่งสมมติขึ้นมาว่าป็นตัวปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ หรือว่าคิดใคร่ควรญแวดล้อมตามกฏเกณฑ์ทาง Logic พุทธศาสนาเป็นอย่างนั้นไม่ได้ พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ คือมีความทกข์จริงๆ อยู่ในความรู้สึกจริงๆ และเกิดมาจากสิ่งนี้จริงๆ แล้วก็จะทำลายต้นเหตุเสีย แล้วก็ดับทุกข์ได้ มันเป็นสัจจะของธรรมชาติ
เพราะเหตุว่าเราไปเอาคำของชาวอินเดียมาพูดผิดๆ เมื่อคำว่า Philosophy เข้ามาในประเทศไทย คนบางคนไปคำว่าปรัชญาของอินเดียมาเป็นคำแปลของคำว่า Philosophy พวกอินเดียก็หัวเราะเยาะกันฟันหัก เพราะว่ามันไม่ใช่ปรัชญา ไอ้สิ่งที่เรียกว่า Philosophy ไม่ใช่ปรัชญา ในๆอินเดียก็มีคำว่าปรัชญาใช้เหมือนกัน แต่เขาๆหมายถึงความรู้ที่ถูกต้องตามแบบของสัจจะ ไม่ๆๆๆใช่ ไม่ใช่ Philosophy, Philosophy ไม่ใช่สัจจะ Philosophy เป็นเพียงการคำนวณ ผลของการคำนวณตามวิถีทาง Logic ทางการคำนวณ ไม่ใช่มีของจริงมาดู จึงไม่ใช่ๆวิทยาศาสตร์ แล้วก็ไม่ใช่สัจจะ
สิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า Philosophy นั้น ชาวอินเดียที่เป็นผู้รู้จริงเขาบอกว่า ภาษาอินเดียมีคำใช้ว่าทัศนะ ทัศนะคือคำแปลที่ถูกของคำว่า Philosophy แล้วคนไทยนี้ไปเอาคำว่าปรัชญามาใช้ สำหรับคำว่า Philosophy แล้วก็บ้าเอง พูดไม่ถูก พูดไม่เข้าเรื่องกันเอง เพราะปรัชญาต้องเป็นของจริง ไม่อาศัยไอ้การคำนวณ ไม่อาศัย Induction Deduction ไม่อาศัยอะไรเหล่านี้ ไม่อาศัย Hypothesis เลย มันเป็นเรื่องความจริงเหมือนกับวิทยาศาสตร์ เขาเรียกสัจจะ ความรู้อันนี้เรียกว่าปรัชญา แต่ไม่ใช่ตรงกับคำว่า Philosophy คำว่า Philosophy ตรงกับคำว่าทัศนะ ทัศนะซึ่งมันเป็นไปตามความคิดเห็น ตามการคำนวณผิดก็ได้ ถูกก็ได้ ถ้าเป็นปรัชญาผิดไม่ได้ ถ้าเป็นทัศนะนี่ยังผิดได้ ถูกได้
ปรัชญารู้แจ้ง เห็นแจ้งแทงตลอดตามที่เป็นจริงอย่างไร ฉะนั้นผิดไม่ได้ มันมีค่าเท่ากับ ยถาภูตสัมมัปปัญญาในพุทธศาสนา แต่นี่คำทำเลอะ คำว่าปรัชญา คำว่าอะไรที่ใช้กันอยู่นี้มันผิดๆ ผิดภาษา ผิดหลักของภาษา ยืมคำเขามาใช้ผิด เพราะฉะนั้นเราช่วยกันบอกพวกฝรั่งเสียทีว่า พุทธศาสนาไม่ใช่ Philosophy ฝรั่งชอบๆเรียกอย่างนี้ และเขียนอย่างนี้กันเป็นหนังสือ เป็นเล่มๆเต็มไปหมด พุทธศาสนาไม่ใช่ Philosophy พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ เป็น Science หรือเป็น Way of life ไม่ใช่ Philosophy ไม่อาศัยการคำนวณ อาศัยการ Speculation แม้แต่นิดเดียว อีก ๓๐ นาที ปิดไฟฟ้า เชิญกลับไปสู่ที่พัก ปิดไฟฟ้า ขอปิดประชุมๆๆ