แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การพูดครั้งสุดท้ายนี้ ก็ยังเป็นการพูดแบบให้หลักเกณฑ์สำหรับกำหนดจดจำเอาไปไว้ใช้ในการศึกษาธรรมะสืบต่อไปจนตลอดชีวิต ได้แก่หลักกว้างๆ บอกลักษณะเกี่ยวกับพุทธศาสนา เพื่อให้รู้จักพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นเรื่องของธรรมชาติตามหลักของวิทยาศาสตร์ และมิใช่ไสยศาสตร์ นี่ขอให้ระวังให้ดีๆ ว่ามันต้องเป็นเรื่องพุทธศาสตร์ มิใช่ไสยศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์ก็มิใช่ไสยศาสตร์ เป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่มีเรื่องอะไรที่จะนอกเหนือไปจากเรื่องของธรรมชาติได้ แต่ให้รู้ไว้ว่า คำว่าธรรมชาติในภาษาธรรมะภาษาพุทธศาสนานี้ มีใจความมีความหมายพิเศษกว้างขวางกว่าคำธรรมชาติที่พูดกันอยู่ตามธรรมดา เราประสบปัญหาความยุ่งยากเมื่อจะอธิบายพุทธศาสนาในฐานะเป็นธรรมชาติให้พวกฝรั่งฟังไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร คำว่า Nature หรือ คำว่า Natural นั้นตามความหมายของฝรั่งนั้นมันเล็งแต่เรื่องทางวัตถุ และเพียงแต่ว่ามนุษย์ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องจนคำว่าธรรมชาติในภาษาธรรมะนี้มันหมดเลย ไม่ว่าจะพูดกันในแง่ไหน ไม่มีอะไรที่มิใช่ธรรมชาติ แม้แต่ตัวคนนี้ก็เป็นธรรมชาติ ส่วนประกอบกันขึ้นเป็นตัวคนนี้ก็ยังเป็นตัวธรรมชาติ ความรู้สึกคิดนึกของคนก็เป็นธรรมชาติ จิตใจของคนก็เป็นธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่อย่างแน่นอนตายตัว ฉะนั้นการค้นพบหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาก็คือการค้นพบเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติเหล่านี้นั่นเอง รู้จักตัวธรรมชาติว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติ รู้จักกฎของธรรมชาติว่าสิงสถิตย์อยู่ในตัวธรรมชาติ บังคับบันดาลให้ธรรมชาติเหล่านั้นเป็นไป แล้วก็รู้หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติของมนุษย์เรา คือจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกตรงตามกฎของธรรมชาติในฝ่ายที่จะไม่ให้เกิดปัญหา หรือเกิดความทุกข์ขึ้นมา จะใช้คำว่าผิดธรรมชาติไม่มี ไม่มีทางจะพูดหรอก ในทางพุทธศาสนาไม่มีทางจะพูดผิดธรรมชาติ เพราะอะไรมันก็เป็นธรรมชาติไปหมด แต่ถ้าเรื่องทางโลกทางการศึกษาอย่างของโลกของปัจจุบันนี้มันมีธรรมชาติ มีผิดธรรมชาติ มีเหนือธรรมชาติ นี่ก็มี ทางธรรมะไม่มี จะไม่มีคำว่าเหนือธรรมชาติ หรือผิดธรรมชาติ เป็นธรรมชาติไปหมด นี้รู้ไว้ก็ดีจะไม่งง จะไม่ฉงน เมื่อจะต้องพูด หรือเผอิญมันพูดถึงเรื่องนั้นเข้า แล้วมันไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร นี่เราควรจะรู้ไว้ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์นั่นน่ะมันก็คือเรื่องของธรรมชาติโดยรายละเอียด อะไรต่างๆที่มนุษย์ค้นพบกระทำขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดที่สุดมันก็อาศัยความรู้เรื่องธรรมชาติ ปรับปรุงธรรมชาติให้เกิดของใหม่ขึ้นมาไปตามกฎของธรรมชาติ ดังนั้นมันจึงไม่รู้สึกว่าวิเศษอะไรแปลก อะไรอัศจรรย์ อะไร นี่ลอง ลองใคร่ครวญดูให้ดี เดี๋ยวนี้เรามันยังมีจิตใจชนิดที่รู้สึกว่าแปลกบ้างไม่แปลกบ้าง สวยบ้าง ไม่สวยบ้าง น่าอัศจรรย์ที่สุดบ้าง มีเหมือนกับเป็นปาฏิหาริย์บ้าง อย่างนี้เพราะไม่รู้ว่าที่แท้มันก็เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีอะไรแปลก พระอรหันต์เป็นผู้ที่มีจิตใจชนิดนั้น คือถึงธรรมะที่เป็นธรรมชาติแล้วก็ไม่มีอะไรแปลก เราจะเอาอะไรไปให้ท่านรู้สึกแปลกมันก็ไม่มี หรือไม่ได้ อย่างเราๆ นี่อะไรมันก็แปลกแม้แต่เครื่องจักรกลเล็กๆ น้อยๆ เครื่องคิดเลข เครื่องทำบัญชีอย่างสมัยใหม่นี้ก็ดูเป็นของแปลก หรือว่าจะมียานพาหนะส่งไปโลกพระจันทร์ ไปโลกอื่นก็เห็นเป็นของแปลก แม้ที่สุดแต่ของที่มันแปลก แปลกตามธรรมชาติ ซื้อขายกันแพงมาก เป็นเพียงของแปลกตามธรรมชาติก็เห็นเป็นของแปลก ไอ้คำว่าแปลกอย่างนี้มันไม่มีสำหรับผู้ที่มีจิตใจถึงที่สุด ที่เรียกว่าพระอรหันต์ จิตใจเข้าถึงสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงถึงที่สุด เลยเป็นคนที่ไม่มีอะไรแปลก และไม่มีอะไรชนิดที่อย่างที่คนธรรมดาสามัญรู้สึก สวยหรือไม่สวย หอมหรือเหม็น ก็รู้ รู้สึกแต่มันไม่เกิดผลอะไรขึ้นมา เช่นหอมก็รู้สึกว่าหอม เหม็นก็รู้สึกว่าเหม็น แต่มันไม่เกิดผลแตกต่างอะไรกัน เป็นสักว่าธรรมชาติแล้วจิตใจก็ไม่หวั่นไหว ไม่ยินดียินร้าย เมื่อไม่ยินดียินร้ายมันก็คือไม่มีความทุกข์ นี่เป็นหลักง่ายๆ ถ้าเราจะใช้เป็นหลักปฏิบัติตลอดไป ก็คือนึกถึงไอ้ข้อที่ว่าเป็นตามธรรมชาติแล้วมันก็ไม่แปลก จะเอาอะไรมาให้มาให้ดู ว่าเพชรชั้นเอก ชั้นเลิศ ชั้นวิเศษอะไรก็ธรรมชาติก็ธรรมชาติ เอาของน่ากลัวมาให้ดูมันก็ธรรมชาติ นี่ถ้าทำได้ถึงที่สุดอย่างนี้จริงๆ ก็เรียกว่าเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว จะอิทธิพลหรือ ความหมายหรืออะไรของสิ่งที่มีอยู่ในในจักรวาล ในที่ทั่วไป ไม่มีอะไรแปลก นี้เป็นวิธีลัดที่เราจะรู้จักหรือเข้าใจเรื่องของผู้หลุดพ้น หรือพระอรหันต์ คนธรรมดาจะรู้สึกไปตามไอ้ความหมายของโลก ที่โลกสมมุติกันว่าอย่างไร เรื่องสวยไม่สวย เรื่องไพเราะไม่ไพเราะ เรื่องหอมเรื่องเหม็น เรื่องอร่อยไม่อร่อย เรื่องนิ่มนวล หรือแข็งกระด้าง เรื่องถูกใจเรื่องไม่ถูกใจ มันจะรู้สึกไปอย่างนั้น สับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดวันตลอดคืน ผู้ที่มีใจพิเศษอบรมถึงที่สุด มันไม่เป็นอย่าง คือมันไม่เกิดความยินดียินร้ายเพราะสิ่งที่เป็นคู่ๆ เหล่านั้นได้ นี้ก็เป็นหลักอันหนึ่งที่ใช้คำสรุปสั้นๆว่าไม่ถูกลวงด้วยของเป็นคู่ นี่คุณๆ จำไว้ว่าไม่ถูกลวงด้วยของเป็นคู่ ถ้ายังถูกลวงด้วยของเป็นคู่อยู่มันก็จะต้องมีความรู้สึกไปตามไอ้สิ่งที่เป็นคู่ จิตมันหวั่นไหวๆมากๆ ไปตามความรู้สึกที่ว่ามันต่างกันถึงกับตรงกันข้าม ไอ้ของเป็นคู่ในโลกนี้มันมาก มากมายจนเหลือที่จะมาจดรายการให้หมดได้ แต่ทุกคนก็จะรู้ได้เอง รู้ได้เอง เราเปรียบของที่เป็นคู่เป็นคู่ คืออันหนึ่งมันก็น่ารัก น่าพอใจ อันหนึ่งก็ไม่น่ารักไม่น่าพอใจ นี่มันเป็นคู่อย่างนี้ เช่น ว่าสวยกับไม่สวยอย่างนี้คู่หนึ่ง ไพเราะกับไม่ไพเราะนี่คู่หนึ่ง หอมกับเหม็นคู่หนึ่ง เป็นคู่ๆ ไอ้สิ่งเหล่านั้นมันทำให้จิตใจเปลี่ยนไป ไอ้ๆตามความยึดถือว่าฝ่ายน่ารักน่าพอใจ กับฝ่ายที่ไม่น่ารักไม่น่าพอใจ ฉะนั้นคนเราตามธรรมดาปุถุชนจึงมีความรู้สึกขึ้นลงๆๆ ฟูๆ แฟ้บๆไปตามเรื่องที่มากระทบ ที่นี้ของที่เป็นคู่อย่างอื่นยังมีมาก มากกว่านั้น มันมีละเอียดออกไปจนถึงกับว่าคนธรรมดาจะไม่สนใจ เช่นว่าดำกับขาวเป็นคู่ตรงข้ามอย่างงี้ นี้มันก็โง่ว่ามันเป็นคู่ตรงกันข้าม มันก็รู้สึกต่างกัน แม้ไม่เกี่ยวกับเรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องเจ็บเรื่องปวด แต่มันก็มีความรู้สึกต่างกันเมื่อเห็นสิ่งที่ดำกับเห็นสิ่งที่ขาว กลางวันกลางคืนอย่างงี้ วันกับคืนนี้คนธรรมดาก็รู้สึกว่าตรงกันข้าม แต่ถ้าผู้ไม่ยึดถือตัวตนไอ้วันกับคืนก็ตามมันก็เพียงเวลา เวลาที่ผ่านไป กระทั่งมาถึงคำสำคัญๆ เช่น คำว่าดี ว่าชั่ว ว่าดีว่าชั่ว ก็ไม่มาทำให้จิตใจหวั่นไหวไปตามความรู้สึกว่าดีชั่ว แพ้หรือชนะ ก็ยังคงเดิมไม่มีหวั่นไหวไปตามไอ้สมมุติ แพ้หรือชนะ บุญบาปมันก็เท่ากัน อย่างนั้นมันก็เป็นบุญอย่างนั้นมันก็เป็นบาป ยึดถือไม่ได้ทั้งสองอย่าง ก็เลยจิตใจ ก็ไม่ขึ้นลงไปตามบุญและบาป เรียกว่าอยู่เหนือบุญเหนือบาป เป็นคำที่ไม่ค่อยจะได้ยิน แต่คำชนิดนี้เป็นคำบอกลักษณะของผู้ที่เป็นพระอรหันต์ อยู่เหนือบุญเหนือบาปเหนือดีเหนือชั่วเหนือสุขเหนือทุกข์ ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็จำไว้คอยสังเกตต่อไป คือถ้าว่าไปหลงยึดถือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมันก็มีปัญหาขึ้นมาทันที เช่น รู้สึกว่าแพ้นี้มันก็ไม่สบายไปอย่างหนึ่ง รู้สึกว่าชนะมันก็วิตกกังวลไปอีกอย่างหนึ่ง เรื่องแพ้เรื่องชนะนี่เป็นเรื่องสมมุติ ชั่วขณะชั่วกรณีเท่านั้นเอง ที่สำคัญที่มนุษย์เป็นปัญหามากเรื่องสุขเรื่องทุกข์เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องแพ้เรื่องชนะ ถ้ายังมีจิตใจขึ้นลงไปตามนั้นก็เรียกว่าธรรมดา เป็นปุถุชนตามธรรมดา ถ้าไม่หวั่นไหวไปตามนั้นยังคงมีจิตปกติอยู่แล้วก็เห็นสิ่งนั้นๆ ตามที่เป็นจริงอยู่นั้นน่ะ คือบุคคลที่มีคุณธรรมน้อย หรือมากก็แล้วแต่ ทว่ามากถึงที่สุดมันก็ไม่หวั่นไหว คือเป็นจิตที่ไม่หวั่นไหวอีกต่อไป ฉะนั้นคุณไปสังเกตดู มันกี่อย่างกี่อย่างที่มันรบกวนเราให้มีจิตวิปริต อยู่ในที่ซึ่งมันมีหนวกหูมันก็คู่กันกับไม่หนวกหู พอหนวกหูขึ้นมามันก็รำคาญมันก็โกรธ ถ้าไม่หนวกหูมันก็ชอบว่าสบายดี นี่ไม่ต้อง ถือซะว่ามันเช่นนั้นเอง ไม่รู้ไม่ชี้ จะทำอะไรก็ทำไป ไม่ต้องไปสนใจเรื่องหนวกหู หรือไม่หนวกหู เว้นไว้แต่ว่ามันเกินไปมันดังเกินไป เช่น เป็นสียงระเบิด เป็นเสียงปืนใหญ่มันก็รู้สึกนะ แต่ก็ไม่เป็นอะไร รู้สึกก็ไม่เป็นอะไรรู้สึกว่ามันดังเท่านั้นเอง มันไม่ได้โกรธ ไม่ได้ขัดใจ ไม่ได้หวาดกลัว มิได้อะไรหมด นี่ชีวิตชนิดที่ว่ามันหลุดพ้นมันคือความเป็นอย่างนี้ อะไรๆ ในโลกไม่อาจจะทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวอย่างนั้นหรืออย่างนี้ คือไม่หวั่นไหวไปในทางบวก หรือในทางลบ ไม่ ไม่ ไม่อยู่ใต้อำนาจของคู่ คำว่า Positive Negative ไม่มีใช้ในภาษาของพระอรหันต์ มันเป็นกลาง มันว่างจากตัวตนไปหมด คำว่า Optimist Pessimist ก็ดี ไม่มีๆ การใช้ในอยู่พระอรหันต์ไม่มีในปทานุกรมของพระอรหันต์ พระอรหันต์จะไม่ได้คิดอะไรไปในแง่ร้ายไม่คิดอะไรไปในแง่ดี อยู่ตรงกลางเป็นทั้งปวง มันจะมาในท่าไหน ขณะไหน มันก็คืออิทัปปัจจยตา มีสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ดังนั้นมันเหมือนกันหมดไม่ว่าในโลกนี้มันจะมีกี่ร้อยอย่าง กี่พันอย่าง หมื่นอย่าง แสนอย่าง ถ้าหากว่าเป็นไอ้ตัว หรือกระแสแห่งอิทัปปัจจยตาไปหมด แล้วจิตจะเป็นอย่างไร ที่พูดว่าจะศึกษาได้เองหมายความว่าไม่ต้องอาศัยไอ้หนังสือ คัมภีร์ หรือข้อความในคัมภีร์ เราไปศึกษาได้เองใน ในความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของเราเอง ไม่มีอะไรรบกวนจิตใจได้ คือสิ่งภายนอกที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจน่ะ ก็เป็นผัสสะแล้วก็ไม่ ไม่ ไม่ปรุงให้เกิดยินดียินร้ายได้ มันจึงไม่ได้ต้องการอะไรชนิดที่เป็นที่ตั้งความยินดียินร้าย จะเอากามารมณ์มาให้ภูเขาเลากามันก็ไม่รู้สึกยินดี หรือไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยมันก็ไม่รู้สึกยินร้าย ถ้าเป็นไปได้แม้ว่าใครจะเอาสวรรค์มาให้สักสิบชุดมันก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะมันต้องการจะเป็นอิสระอยู่สงบนิ่งหยุดอยู่ ใครจะเอานรกมาขู่สักสิบชุดก็ไม่เป็นอะไร ไม่มีอะไร ในที่สุดความเกิดก็อย่างนั้นเอง ความตายก็อย่างนั้นเอง ความเจ็บไข้ก็อย่างนั้นเอง ไม่หวั่นไหว ความเกิดกับความตายเหมือนกัน กระแส อิทัปปัจจยตาความเจ็บไข้กับความหายก็อย่างเดียวกัน กระแสอิทัปปัจจยตา จิตไม่หวั่นไหว ถ้าจะต้องรักษาก็รักษาไปโดยที่จิตไม่ต้องหวั่นไหว เดี๋ยวนี้มัน มันอะไร มันแย่มาก เพราะมันหวั่นไหว มันกลัว มันเป็นทุกข์ มันดิ้นรน แม้ว่าจะรักษา รักษามันก็ยังเป็นทุกข์ดิ้นรน มันก็เลยได้ผลหลายเท่าเป็นทุกข์ และดิ้นรน แล้วก็หวาดกลัว ที่นี้ไม่ต้องเป็นทุกข์ไม่ต้องดิ้นรนไม่ดีกว่า ถ้าเป็นไข้ที่รักษาได้ ก็รักษาไปโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ หรือดิ้นรน ถ้าความตายจะมาถึงก็เช่นนั้นเอง เมื่อมันควรจะตายแล้วมันก็ ก็ยินดี มันเช่นนั้นเอง ถ้ามันยังไม่ต้องตายก็ไม่ต้องตาย จะต่อสู้จะป้องกันไว้ได้ก็ไม่ต้องหวั่นไหวในจิตใจ นี่แหละว่าเป็นหลักทั่วไปซึ่งรู้ไว้เถิด แล้วก็คอยทำให้เป็นอย่างนั้น ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เท่าที่จะเป็นได้ ในชีวิตประจำวันซึ่งยังจะต้องมีชีวิตอยู่ในโลกอีกหลายปี หลายสิบปี ให้มันเก่งขึ้นๆๆ ในทางที่จะไม่เป็นทุกข์ สำหรับกิเลสที่มีเหตุปัจจัยมีเจตนาเป็นเหตุให้เกิดขึ้นก็ป้องกันโดยเจตนา โดยปฏิบัติธรรมะ มีสติปัญญา จัดการแก้ไขในเวลาที่มันเกิดขึ้น ตั้งต้นตั้งแต่ผัสสะเป็นต้นไป ถ้าเป็นเรื่องของนิวรณ์เกิดโดยไม่เจตนา เกิดมาจากอนุสัยในภายในที่ที่ที่เป็นความเคยชิน มันก็ออกมาเหมือนกับเหมือนกับดุนขึ้นมา เป็นความรู้สึกห้าประการนั้นก็ควรจะศึกษา เข้าใจที่สุดเลย ธรรมดาเขาไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ แล้วยังเข้าใจผิดว่าตอนไปทำสมาธินู่นนิวรณ์ยังจะเกิดขึ้นรบกวน อย่างนี้ไม่ถูก นิวรณ์เคยรบกวนอยู่ตลอดเวลา ตลอดเวลาที่ยังตื่นอยู่ หลับไปแล้วนี่มันก็พูดลำบาก แต่ถ้ามันฝันนี่ก็เรียกว่ามันรบกวนเหมือนกัน ไอ้นิวรณ์ห้าช่วยไปจำให้แม่นยำ อย่าดูถูกว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีความหมายอะไร หรือเห็นเป็นเรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องเด็กๆ เป็นเรื่องหญ้าปากคอกนะ ที่จริงไปรู้จักนิวรณ์ทั้งห้า และดำรงชีวิตอยู่ชนิดที่นิวรณ์ไม่รบกวนนั้นล่ะ มันก็จะพอซะแล้ว มันจะพอซะแล้ว ถ้านิวรณ์เกิดขึ้นก็มีวิธีไล่ออกไป ปัดออกไปก็ยังดี นิวรณ์ที่หนึ่งความรู้สึกทางเพศ เพศตรงกันข้ามในความหมายอะไรก็ตามมันเกิดขึ้นรบกวนจิตใจ เราก็สูญเสียความปกติแห่งจิตใจ จิตใจมันก็วุ่นวาย กระวนกระวาย ทุรนทุรายเร่าร้อน แล้วจะทำอะไรได้ นี่ไปนึกดูที่แล้วมาแต่หนหลังว่า เมื่อใดความรู้สึกทางเพศตรงกันข้าม มันรบกวนแล้วมันทำอะไรไม่ได้ จะเขียนหนังสือสักบรรทัดหนึ่งยังทำยาก ทำได้ยาก มันจะมีวิธีขจัดออกไปจนจิตใจเกลี้ยง คล่องแคล่วอิสระตามเดิม มันก็ทำอะไรได้ ไอ้นิวรณ์ที่สองคือความรู้สึกชนิดอึดอัด ชนิดไม่ชอบ ขัดใจ ชนิดขัดใจ เพราะมันไม่เป็นไปตามที่ต้องการมันก็ขัดใจ ขัดใจ บางทีก็จองเวรไว้กับใคร ผูกอาฆาตไว้กับใคร เห็นหน้าคนนั้นแล้วมันก็เหมือนกับว่าเอาอะไรมาทุบ มาตี มาต่อย มาเผา มารน บางทีเพียงแต่นึกชื่อของคนนั้นเท่านั้นน่ะ จิตใจก็เป็นทุกข์เร่าร้อนจนทำอะไรไม่ได้ นี่มันก็เสียเวลา เสียประโยชน์ ไม่ต้องมี นิวรณ์ที่สามนั่น จิตละเหี่ย แฟ้บ ถอยกำลัง คอยแต่จะหยุด คอยแต่จะหลับ คอยแต่จะง่วง เฉื่อยชาอย่างงี้ นี่เกิดขึ้นก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องมีทางขจัดให้ไป นิวรณ์ตัวที่สี่ จิตมันฟุ้ง ตรงกันข้าม ตัวที่สามกับตัวที่สี่นี่มันตรงกันข้าม ตัวหนึ่งมันแฟ้บตัวหนึ่งมันฟู ตัวหนึ่งมันไม่มีกำลังตัวหนึ่งมันเดือดคลั่งออกมา จิตฟุ้งซ่านก็แล้วกันน่ะ สังเกตจำคำนี้ไว้ได้ ให้ได้ ถ้าเมื่อใดจิตฟุ้งซ่านแล้วก็ขอให้นึกให้ทันคือไอ้ตัวนั้นเอง ขนาดหนักก็ทำอะไรไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ มันก็เหมือนกับว่าไม่มีค่า ชีวิตนี้ไม่มีค่าอะไรถ้าจิตมันฟุ้งซ่านซะแล้ว มันก็เป็นคนบ้า ไอ้ตัวสุดท้ายที่ว่าความไม่แน่ใจ วิจิกิจฉา ความลังเลไม่แน่ใจ อันนี้มีมากคนธรรมดามันยากที่จะรู้สึกแน่ใจ ลึกซึ้งถึงที่สุด มันลังเล มันลังเล เช่น ลังเลถึงความไม่ปลอดภัย ศัตรูคู่อาฆาตจะมารอบทำร้าย หรือลังเลว่ามันจะถูกโกงถูกอะไรเอาเปรียบอย่างงี้ ลังเลว่ามันจะเกิดเรื่องชนิดที่ทำให้เราเสียหายเดือดร้อน หรือถึงกับหมดเนื้อหมดตัว เงินฝากไว้ในธนาคารก็ยังลังเลว่าธนาคารอาจจะล่มแล้วเราก็จะลำบาก ยังมีละเอียดละเอียดเล็กๆ คือว่าไม่เชื่อความสามารถของตนเอง จะว่าจะเรียนสำเร็จไหม หรือจะไปสอบไล่นี่มันมีแต่ความลังเลว่ามันจะสอบตก มันมันร้อยแปดพันอย่างแหละไอ้ความลังเล คุณไม่สังเกตมันก็เหมือนกับไม่มี แต่จริงมันก็รบกวนความผาสุขของมนุษย์เป็นอันมาก นี่เรียกว่านิวรณ์เกิดขึ้นรบกวนจิตใจให้หมดสภาพปกติ ไม่เยือกเย็น ไม่แจ่มใส ไม่สดชื่น ไม่เป็นอิสระ ก็ดูเอาเอง ไม่ ไม่ อะไรบ้าง ก็ดูเอาเอง แล้วก็ดูในทางตรงกันข้ามมันก็พอจะรู้ว่ามีอะไรบ้าง นี่ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องของธรรมชาติ แล้วก็ขจัดไล่ออกไปโดยวิธีที่คนทั่วไปจะคิดว่า ธรรมดา หรือเล็กน้อย หรือว่าไม่น่าเชื่อ คือการหายใจ กำหนดลมหายใจจะไล่นิวรณ์ไปได้ทุกชนิดแหล่ะ มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้นเอง หายใจให้ดัง ให้แรง แล้วกำหนดตามลมหายใจเข้าออก มันก็หมดความรู้สึกที่เป็นของนิวรณ์ไปอยู่ที่ความรู้สึกที่เป็นการกำหนดลมหายใจ หายไปอย่างนี้เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติไม่ใช่ไสยศาสตร์ อย่าเข้าใจว่าการทำอานาปานสติเป็นไสยศาสตร์ แล้วขจัดนั่นขจัดนี่ตามแบบของไสยศาสตร์ มันไม่ใช่อย่างนั้น มันมีเหตุผลตามธรรมชาติ นี่รู้ไว้ด้วยข้อที่พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์มันไม่ใช่ไสยศาสตร์ ไม่ต้องบนไม่ต้องบวงสรวงอะไร ขอให้กำหนดลมหายใจเท่านั้นล่ะนิวรณ์ก็จะหายไป ถ้ามันรุนแรงก็กำหนดให้รุนแรง แล้วก็ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องทำอะไรก็เอ้ากำหนดลมหายใจไล่ไปเสียให้ได้จนกว่ามันจะไม่มีแล้ว จึงจะค่อยทำอะไรต่อไป อย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปทดลองดู แล้วก็เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจเอง เข้าใจเอาเอง กว้างขวางออกไป ตอนสังเกตกว้างขวางออกไปกว้างขวางออกไป ก็จะรู้ธรรมะว่าอยู่นอกวัด เมื่ออยู่นอกผ้าเหลือง เมื่ออยู่นอกวัดจะมากขึ้นมากขึ้น นี่ขอให้สนใจเถิด บางทีจะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มันก็พูดเล่นอยู่นี่ มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ มันเป็นตัวเรื่องที่สมบูรณ์ทีเดียว บวชทั้งทีไม่รู้จักแม้แต่ขจัดนิวรณ์อย่างนี้มันก็จะเสียผ้าเหลืองเหมือนกัน สนใจให้เพียงพอ กิเลสประเภทนิวรณ์นี่เรียกว่าเสียหายมากแหละ แต่คนไม่สังเกต มันก็เหมือนกับว่าไม่มีพิษร้ายอะไร ที่จริงทำให้จิตขุ่นมัวทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรให้ดีไม่ได้ จะทำงานฝีมือ ทำงานฝีมือก็ลองคิดดู ถ้าจิตมีนิวรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ เช่น ความรู้สึกทางเพศตรงกันข้ามมารบกวนอยู่ มันก็ทำไม่ได้ จะทำงานละเอียดๆ ก็ยังทำไม่ได้ จะเขียนจดหมายสักฉบับหนึ่งก็ไม่เป็นที่พอใจได้ มันมีอุบายสำหรับขจัดไอ้นิวรณ์ทั้งห้าซึ่งเป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่สุดในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เหลือจากนั้นก็ค่อยฝึกต่อไป นี่เอาแต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ได้เถอะ มันก็หมด หมดปัญหามากมายทีเดียว หมดปัญหาคือการที่เราทำอะไรได้ไม่ดี ทำอะไรให้ดีไม่ได้ เพราะจิตมันถูกรบกวนอยู่ในนิวรณ์ นี่ทำได้ก็มันก็เรียกว่าได้รับผล ได้รับอานิสงห์มากมาย ให้จิตมันดีอยู่เสมอก็มีความสุขอยู่ในนั้นด้วย ถ้าจะคิดอะไรก็คิดได้ดี จะทำอะไรก็ทำได้ดีพร้อมกับมีความสุขในการที่จิตเป็นอย่างนั้นด้วย นี้เรียกว่าเป็นการดำรงชีวิตที่ดีที่สุด
พวกฝรั่งที่เขามาศึกษาพุทธศาสนาแล้วเขาใช้คำว่า Art Art Art ที่ว่าศิลปะน่ะ นี่คือ Buddhism Art Art ของพวกพุทธบริษัทที่รู้จักจัดรู้จักทำให้ชีวิตสดชื่นแจ่มใสร่าเริงเป็นอิสระ แล้วก็เห็นว่าดีที่สุดสูงสุดเลย เลยใช้คำว่า Artistic Artistic คือเป็น Art ที่สุดเลยสูงสุดเลยในการที่มนุษย์จะรู้จักทำจิตใจไม่ต้องให้เป็นทุกข์เลย เป็น Art สูงสุดของมนุษย์ เพียงแค่กำจัดนิวรณ์ได้นี่ก็เป็นที่พอใจเหลือประมาณแล้ว ถ้ากำจัดกิเลสอนุสัยอาสวะได้ก็ยิ่งวิเศษกว่านั้นไปอีก ผมพูดพอเป็นตัวอย่างว่ามันมีเค้าเงื่อนอย่างไรที่เราจะศึกษาธรรมะได้สืบต่อไปหลังจากลาสิกขาไปแล้ว หรือไม่มีโอกาสมาวัดอยู่กับการงาน ก็ศึกษาธรรมะอย่างสูงสุดได้ ถ้ารู้จักดำรงจิตใจให้ดีที่สุดอย่างที่ว่านี่ ทำการงานอย่างสนุกสนาน พอใจในการที่ทำการงานได้ดี แล้วก็เป็นสุข มีความสุขแท้จริง มีความสุขในการงานนั้นเอง ไม่ต้องใช้เงินซื้อ ความสุขที่แท้จริงใช้เงินซื้อไม่ได้ ถ้าใช้เงินซื้อป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง นี่ก็เป็นเรื่องที่ขอให้จำเอาไปสำหรับสังเกตศึกษา แยกแยะกันเสียให้ดีว่ามันคนละเรื่อง ความสุขที่แท้จริงคนละอันกับความเพลิดเพลินที่หลอกลวง แล้วเราเคยหลงใหลในความเพลิดเพลินที่หลอกลวงมาแล้วเท่าไร เราไม่เคยพบความสุขอันแท้จริงเลยอย่างไร ในอนาคตต่อไปข้างหน้าก็จะเดินเสียให้มันถูกทาง ให้มันไปในฝ่ายที่ว่าให้มันมีความสุขอันแท้จริง ไม่ตกเป็นทาสของความเพลิดเพลินอันหลอกลวง อย่างที่ว่ามาแล้ว ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งที่เป็นคู่ๆ มีความหมายเป็นคู่ๆ หลอกลวงให้ยินดีให้ยินร้าย ไปเป็นคู่ๆ
สรุปความว่าทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ตามธรรมชาติแท้ๆ เลย ไม่เกี่ยวกับผีสางเทวดาพระเป็นเจ้าที่ไหน เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเป็นกฏอิทัปปัจจยตา นี่คือความที่เป็นวิทยาศาสตร์ แล้วก็มิใช่ไสยศาสตร์ มันเกิดในตัวเอง มันดับในตัวเอง มันช่วยตัวเอง มันอะไรได้ในตัวเอง ถ้าเป็นไสยศาสตร์มันต้องอ้อนวอนสิ่งอื่น ขอร้องจากสิ่งอื่น มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเข้าใจไม่ได้ แล้วก็เป็นพิธีรีตอง มีหลักการให้ผู้อื่นช่วยเรื่อยไป ให้ผีสางเทวดาช่วย นั่นน่ะมันเป็นไสยศาสตร์ แสดงว่ามันยังต่ำมากแหล่ะ ต่ำมาก บางทีจะเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานซะอีก สัตว์เดรัจฉานยังมีความเป็นไสยศาสตร์น้อยกว่ามนุษย์บางคน หรือบางพวกซะอีก คือมันไม่ได้กลัวผี ไม่นั่ง ไม่นั่ง อ้อนวอนเทวดา ไม่ต้องอะไร ไม่ต้องไปโง่เพราะเหตุเหล่านั้น แต่มนุษย์บางคนบางพวกนั้นงมงายถึงขนาดที่ทำอย่างนั้น เพราะสอนกันมาผิดๆ อบรมกันมาผิดๆ มีความกลัวเป็นพื้นฐาน แล้วก็เข้าไปในไสยศาสตร์ ถ้ามีปัญญาเป็นพื้นฐานก็มาในกลุ่มของพุทธศาสตร์ ดำเนินชีวิตตามแบบของพุทธศาสตร์ แล้วมันก็จะเป็นวิทยาศาสตร์โดยอัตโนมัติ นี่เรื่องชนิดนี้คุณจะต้องเผชิญต่อกันไปอีกมากมาย มันจะเข้ามา มันจะเปลี่ยนหน้ากันเข้ามาทำให้เกิดปัญหา หรือทำให้เกิดการรบกวนอะไรก็ตาม มีความรู้เพียงพอที่จะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ และรู้ว่าเราก็เป็นพุทธบริษัท ไม่ใช่ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ ถ้ามีอะไรเป็นไสยศาสตร์ก็ควรจะละอายให้มาก เพราะมันตรงกันข้าม ไสยศาสตร์มันศาสตร์ของคนหลับ พุทธศาสตร์มันศาสตร์ของคนตื่น มันตรงกันข้ามอย่างนี้ เป็นพุทธบริษัทจะถือศาสตร์หลับไม่ได้ ถ้าเคยถือมาแล้วก็ขจัดออกไป ระบายออกไป บรรเทาออกไป ศึกษาเสียใหม่ให้เข้าใจ สิ่งที่เคยกลัวโดยไม่มีเหตุผล ศึกษาจนหายกลัว ความงมงายในการกระทำบางอย่าง ทำความเข้าใจเสียให้ดีแล้วก็ไม่ต้องทำ เรื่องเปรียบเทียบเคยพูดให้ฟังวันก่อนแล้วว่า ตัวอย่าง เช่น การแขวนพระเครื่องไว้ที่คอ ถ้าเป็นไสยศาสตร์ก็แขวนไว้ในฐานะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ไว้คุ้มครอง ไว้อ้อนวอน ไว้ให้มีลาภก็แล้วแต่โดยไม่ต้องทำอะไร อย่างนี้เป็นไสยศาสตร์ แต่ถ้าแขวนพระเครื่องด้วยความรู้พระคุณของพระพุทธเจ้า รู้จักการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า รู้จักการดับทุกข์ตามวิธีของพระพุทธเจ้าแล้วเอาพระเครื่องที่เป็นสัญลักษณ์ของท่านมาแขวนคอไว้กันลืม กันลืม ถ้าอย่างนี้ไม่เป็นไสยศาสตร์ เป็นพุทธศาสตร์ ฉะนั้นเรื่องเดียวกันทำอย่างเดียวกันอาจจะเป็นได้ทั้งพุทธศาสตร์และไสยศาสตร์ โดยเฉพาะเกี่ยวกับพิธีรีตองอันแสนจะมากมาย ระวังให้ดี ถ้าไปประกอบพิธีอะไรก็ขอให้เป็นพุทธศาสตร์ อย่าให้เป็นไสยศาสตร์ แล้วผมก็พูดอีกเรื่องหนึ่งว่าขอให้รู้จักสังเกตแนวของพุทธศาสนาว่าเป็นวิทยาศาสตร์ ว่าเป็นพุทธศาสตร์ สามารถจะดำเนินไปได้ แก้ไขไปได้ตามหลักการของธรรมชาติ นี่หัวข้อ นี้รายละเอียดก็ไปแจกแจงดูเป็นเรื่องๆๆๆไปเพราะมันไม่รู้ว่ากี่ร้อยเรื่องพันเรื่อง เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้จักและแก้ไขให้ถูกวิธี ก็จะไม่เสียทีที่ได้บวช ได้เรียน ได้เป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา ยุติการบรรยายครั้งนี้โดยเหตุที่วันนี้วันอาทิตย์ คืนวันอาทิตย์ เป็นคืนสำหรับตอบปัญหาถามปัญหาโดยตรง มันโอนมาเป็นรวมกันที่นี่ ฉะนั้นเวลาต่อไปนี้ก็เป็นเวลาของการถามปัญหา คือจะซักไซ้อะไรก็ได้
โยม ขอเรียนถามท่านอาจารย์ที่เคยได้ยินก็คือว่ามีเหตุปัจจัยอะไรครับที่ทำให้สภาพสังคมปัจจุบันไม่มีนี่สันติภาพ
อันที่สองก็คือ ข้อสองก็คือ สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการเข้าถึงธรรมของปัจเจกชนแค่ไหน เช่นว่า ถ้าบุคคลคนๆนั้นนี่ไม่เคยได้รับความรู้ความเข้าใจในด้านของพุทธธรรม หรือว่าไม่เคยผ่านกระบวนการศึกษาหรือได้รับความการฟังธรรมว่าบุคคลนั้นจะมีโอกาสหรือเป็นไปได้ไหมที่เขาจะสามารถเข้าถึงธรรมได้
ข้อที่สามคือว่า สันติภาพของสังคมน่ะครับ มีความสัมพันธ์กับสันติสุขของปัจเจกชนแค่ไหน ในที่นี้ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่สังคมนั้นน่ะเกิดความวุ่นวายจนถึงขีดสุด คนๆ นั้นนี่จะสามารถดำรงตนอยู่ได้จนเกิด จนสามารถเกิดสันติได้อย่างไร
ข้อที่สี่ก็คือว่าอยากจะให้ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาแจกแจงน่ะครับอุบาย หรือวิธีในการกำจัดนิวรณ์ทั้งห้าข้อ
ต้องจดนิวรณ์พูดแล้ว ข้อหนึ่งว่าอะไรคนฟังเขาฟังไม่ถูก ข้อหนึ่งคุณถามว่าอะไร
[โยม : ข้อหนึ่งคือว่ามีเหตุปัจจัยอะไรครับที่ทำให้สภาพสังคมปัจจุบันไม่มีสันติภาพ แล้วก็ยกตัวอย่างเช่น การที่คน คนแต่ละคนนี่ไม่ไม่ค่อยมีคนที่สามารถจะเข้าถึงบรรลุธรรมได้]
ไม่มีสันติภาพในโลก มีเหตุปัจจัยหลายอย่าง ถ้าตอบกำปั้นทุบดินก็คือไม่มีธรรมะนั่นเอง คนในโลกไม่ดำรงตนอยู่ในธรรมะ คือความถูกต้อง จึงเกิดปัญหากระทบกระทั่งเบียดเบียนอะไรกันขึ้นมา หรือปัญหาที่มันซับซ้อนเช่นว่า มันเป็นโลก เป็นยุคที่คนในโลกมันมึนเมาในทางวัตถุ บูชาเรื่องวัตถุปัจจัยแห่งกิเลสแห่งกามารมณ์ โลกปัจจุบันนี้ ขอให้ดูให้ดีเถิดโลกปัจจุบันนี้กำลังบูชาวัตถุปัจจัยแห่งกามารมณ์ มีความรู้ มีทุนรอนอะไรก็ผลิตปัจจัยแห่งกามารมณ์ขายกันเทน้ำเทท่า พร้อมกันทั้งโลก นี่แสดงว่ามันบูชาสิ่งเอร็ดอร่อยทางอายตนะ มันก็จะแย่งชิงกัน แย่งชิงกัน แย่งชิงกันหาก็เป็นการเบียดเบียน หรือว่ามันเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น ความหลงบูชาในเนื้อหนัง ในเรื่องของเนื้อหนังของวัตถุ ซึ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้น แล้วมันพูดกันไม่รู้เรื่องที่จะทำความสงบ นี่เจรจาสันติภาพเป็นไปไม่ได้ด้วย ก็พยายามกันมาตั้งกี่สิบปีแล้วตั้งแต่เสร็จสงครามโลกครั้งที่สองจนเดี๋ยวนี้มันก็ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง สงครามก็มากขึ้นๆ เพราะว่ามันไม่รู้เรื่องสันติภาพมันจึงไม่อาจจะสร้างสันติภาพ จะพูดอย่างอื่นให้มันมากอย่างก็พูดได้มันมีหลายอย่างเหลือเกินล่ะ แต่สรุปใจความแล้วก็มนุษย์มันไม่รู้เรื่องสันติภาพ มันก็ทำไปตามกิเลสตัณหา มันก็มีวิกฤติการณ์ เดือดร้อนเป็นทุกข์กันอย่างที่สุดทั่วไปทั้งโลก ไอ้ส่วนเรื่องที่ว่าคนโลกคนในโลกมันเพิ่มมันอะไรนั้น ไม่ ไม่สำคัญหรอก มันมองกันแคบๆ แต่ถ้าคนทุกคนในโลกดี มีธรรมะแล้ว ยังเพิ่มได้อีกมาก โลกนี้ยังเพิ่มมนุษย์ได้อีกมากไม่มีปัญหาอะไร เดี๋ยวนี้คนมันเลว เท่าที่มีอยู่ปัจจุบันนี้มันก็แย่แล้ว ทำให้โลกเต็มไปด้วยการกระทบกระทั่ง เรื่องไม่รู้หนังสือ เรื่องสุขภาพอนามัยนี่มันก็เป็นเรื่องของความมีศีลธรรม มีจริยธรรมอยู่มาก แต่เรื่องไม่รู้หนังสือไม่ใช่เรื่องสำคัญ สมัยที่มนุษย์ไม่รู้หนังสือเขาก็ยังมีสันติสุข และสันติภาพ หลังหลังพุทธกาลขึ้นไปมนุษย์ไม่ได้มีหนังสือใช้ในอินเดีย หรือสมัยคนป่าที่มันไม่มีหนังสือเอาเสียเลยมันก็ยังอยู่กันผาสุขจนเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์สมัยนี้คิดดูเถอะ ไอ้เรื่องไม่รู้หนังสือเห็นเป็นเรื่องใหญ่โตจนลืมเรื่องที่ใหญ่โตคือเรื่องมีธรรมะ หรือไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะแล้วมันก็ไม่มีปัญหา มันก็อยู่กันไปได้ โลกนี้ยังบรรจุคนได้อีกมากถ้ามันเป็นคนที่มีธรรมะ ไม่มีปัญหายุ่งยากอะไร เดี๋ยวนี้ที่ว่าทำไมถึงไม่มีสันติภาพก็เพราะมันไม่รู้จักสันติภาพ แล้วข้อสองถามว่าอะไร
โยม: ข้อสองต่อเนื่องมาจากข้อแรก คือว่า ที่อาจารย์ได้บอกว่าเพราะว่าไม่รู้ธรรมะจึงเกิดปัญหาขึ้น ไอ้การรู้ธรรมะนี่ครับ ไอ้แต่ละคนนี่จำเป็นรึเปล่าที่จะต้องผ่านกระบวนการการศึกษา หรือการรับรู้ เช่นว่า ศึกษาทั้งสามนี่ คนนั้นสมมุติจะสามารถรู้ได้เองได้โดยที่ไม่เคยฟังธรรมเลยหรือว่าไม่เคยเข้ามารับทราบธรรมะเลย
เหตุปัจจัยที่จะทำให้รู้ธรรมะ ถ้าพูดตามหลักในบาลีมีอยู่สองอย่าง ปรโตโฆโส การโฆษณาเผยแผ่ของคนเหล่าอื่น และโยนิโสมนสิกาโร การกระทำอันแยบคายในภายในใจของตนเอง มีอยู่สองอย่าง มีคนมาพูด มาเผยแผ่ มาแสดงธรรมะ นั้นก็เป็นเหตุปัจจัยอันหนึ่งที่จะทำให้รู้ธรรมะ แล้วก็เอามาคิดนึกใคร่ครวญอย่างละเอียดละออด้วยสติปัญญาของตัวเองนี่สำคัญ แต่บางทีมันก็เนื่องกันนะ ไม่เนื่องกันก็ได้ โยนิโสมนสิการ ใคร่ครวญเอาโดยลำพังของตัว ไม่ได้ยิน ได้ฟังมาแต่ก่อนจากใครเลย มันก็โยนิโสมนสิการได้ตามความสังเกตเป็นผู้ที่มีสติปัญญาสังเกต ก็เกิดความรู้ได้ อย่างการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านี่มาจากโยนิโสมนสิการขององค์โดยไม่ต้องได้ยินได้ฟังมาจากใคร นี่ถ้ามันเป็นสมัยที่มีการโฆษณาธรรม มันก็มันก็อาศัยการโฆษณานั้น อาศัยที่เขามาบอกกล่าวป่าวประกาศกันแล้วค่อยรู้ขึ้น แล้วเอามาใคร่ครวญอย่างโยนิโสอีกทีหนึ่งมันก็รู้ดีขึ้น มันจึงถือโอกาสให้ดี ถ้ามีการประกาศธรรมะ โฆษณาธรรมะ แสดงธรรมะก็คอยจ้องโอกาส จับฉวยเอาให้ดี ให้ได้เรื่องได้ราว แล้วเอาไปทำโยนิโสมนสิการในใจของตนให้รู้ชัดแจ้งยิ่งขึ้น เห็นว่าจะดับทุกข์ได้ก็ลองปฏิบัติดู ถ้ามันดับทุกข์ได้ก็แน่นอน อันนี้ใช้ได้อันี้เอาเป็นหลักเลย นี่เป็นเหตุให้มีธรรมะ ให้รู้ธรรมะด้วยการกระทำของตนเองโดยปัจจัยสองอย่างคือว่า ฟังจากผู้อื่น หรือ/และการกระทำในใจโดยแยบคายของตนเอง หัวข้อนี้ใช้ได้ตลอดกาลไม่ว่าที่ไหน เมืองไหน ข้อสามว่าอะไร
โยม สันติภาพของสังคมมีความสัมพันธ์กับสันติสุขของประเทศ
นี่ไม่ต้องตอบแล้วมั้ง ถ้าทุกคนมีสันติสุข แล้วสันติภาพของสังคมมันจะไปไหนเสีย เพราะว่าสังคมมันประกอบขึ้นด้วยบุคคล ปัจเจกชน ปัจเจกชนคนหนึ่งๆ มีความสุขมีความสงบแล้วสังคมมันก็สงบ ฉะนั้นหลักธรรมะจึงเพ่งเล็งให้แต่ละคนๆ ทำหน้าที่เอาใจใส่เรื่องของตนโดยเฉพาะให้ลุล่วงไปด้วยดี เมื่อเป็นคนดีเป็นคนดี คนนี้หมดปัญหา เป็นคนดี ในครอบครัวทั้งครอบครัวเป็นคนดีทั้งนั้นก็เป็นครอบครัวดี ในหมู่บ้านนี้ประกอบไปได้ด้วยครอบครัวที่ดีมันก็เป็นหมู่บ้านดี จังหวัดนี้เมื่องนี้ประกอบอยู่ด้วยหมู่บ้านที่ดีมันก็เป็นจังหวัดที่ดี จังหวัดที่ดีประกอบกันขึ้นมาก็เป็นประเทศที่ดีมีสันติสุขสันติภาพ ถ้าทุกประเทศมันดีโลกทั้งโลกมันก็ดี นี่ว่าสันติภาพของมนุษยชาติทั้งโลกมาจากการที่แต่ละคนๆๆ เป็นคนดี มีความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ มีธรรมะชนิดที่ขจัดปัญหาได้ทุกอย่างทุกประการ
[โยม : เดี๋ยวนี้มองในมุมกลับกันนะครับว่า สมมุติว่าเราโชคร้ายเกิดขึ้นมาในสภาพของสังคมที่ไม่มีสันติภาพ เราในตัวของเราเองสามารถจะมีสันติภาพจะเป็นไปได้ไหมครับ 56:02]
อ้าว เราก็ต้องแสวงหาสิถ้าเรารู้สึกว่าเราอยู่ในสังคมที่ไม่มีสันติภาพคือมีความทุกข์ ก็แสวงหาจนรู้ธรรมะจนพบธรรมะ จนปฏิบัติธรรมะ เราก็ไม่ไปผูกพันไว้กับไอ้สังคมบ้าๆบอๆ
[โยม : หมายถึงจะต้องแยกตัวออกมา
ไอ้อย่างนี้มันพูดยาก ไม่รู้แยกตัวคือแยกอย่างไร ถ้าอยู่ในบ้านในเมืองด้วยกันมันมันจะไม่เกี่ยวข้องกับใครมันทำไม่ได้ เอาแต่เพียงว่าไม่ไปร่วมกันทำผิดก็แล้วกัน ทำแต่ถูก แยกตัวโดยทางจิตใจก็ได้ ทางกายมันยังจะต้องสัมพันธ์กันอยู่กับหมู่บ้าน กับสังคม แต่จิตใจนั้นไม่เอาด้วยกับคนเหล่านั้น ถ้าว่ามันเป็นกันหมดเหลือแต่เราคนเดียวอันนี้ไปอยู่ในป่าดีกว่า รู้จักจัดทำจิตใจ ไม่เป็นทุกข์ในท่ามกลางสังคมที่เป็นทุกข์ วิเศษ เขาเป็นทุกข์กันทั้งนั้นเราคนเดียวไม่เป็นทุกข์ เรายังอาจจะทำส่วนจิตใจโดยเฉพาะได้คือไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์จนตาย สมมุติว่าสงครามเกิดใหญ่ปรมาณูลงมาจะต้องตายกันทั้งหมดแล้วก็เป็นทุกข์ เราคนเดียวไม่เป็นทุกข์ แล้วก็ตายเหมือนกัน นี่เตรียมเตรียมตัวไว้เตรียมจิตใจไว้เตรียมอะไรไว้ให้พร้อม ว่าในเมื่อมันพูดกันไม่รู้เรื่องกับสังคมทั้งหลาย เราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ของเราคนเดียวพอ ได้พยายามทุกอย่างทุกประการแล้วที่จะไม่ให้เกิดความทุกข์ หรือปัญหาขึ้นมา แต่มันทำไม่ได้เพราะอันธพาลทั้งหมดเลย เหลือแต่เราคนเดียวเราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์หรอก เมื่อคนอื่นเขาเป็นทุกข์ก็ให้เขาเป็นไปเราก็ไม่เป็นทุกข์ เมื่อคนอื่นเขาตายอย่างเลวคือเป็นทุกข์ เราก็ตายอย่างดีคือไม่เป็นทุกข์ อย่างไอ้สงครามปรมาณูนี่มันอาจจะมาได้จริง ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์จนวาระสุดท้ายดับจิตไปก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ เป็นอย่างนั้นเอง
[โยม : ข้อสุดท้าย ในการกำจัดนิวรณ์ไม่ทราบว่าเราจะทำยังไง
นั่นแหล่ะทำสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้าออกเสีย นิวรณ์ไม่ได้โอกาส หลักมีเท่านี้
[ทราบมาว่าสาเหตุที่ไม่มีสมาธิเพราะว่านิวรณ์มันเข้ามากั้น
นั่นเพราะมันไม่ทำสมาธิ
[ถ้าทำแล้วนิวรณ์ยังเข้ามา จะมีอุบายอะไรในการกำจัด
ก็ทำให้ถูก ทำให้ดี ทำให้จริง
[อย่างในชีวิตประจำวันน่ะครับ ที่ท่านอาจารย์ได้บอกว่านิวรณ์ก็สามารถจะเกิดขึ้นได้..
นั่นล่ะถ้ามันเกิดขึ้นแล้วก็ขอให้ทำอานาปานสติ กำหนดลมหายใจซู้ดซ้าด ๆๆๆๆ อยู่อย่างนี้แล้วนิวรณ์จะไม่รู้สึก
[จะสามารถกำจัดนิวรณ์ได้ครบทั้งห้าข้อ 1:00:32]
ทั้งห้าข้อสิ มันเหมือนกัน
[ถ้าเราจะ สมมุติว่าเราเป็นคนที่มีจริตทางนิวรณ์บางอย่าง จะมีปลีกย่อยไหมครับว่าเราจะสามารถกำจัดแต่ละข้ออย่างไร
มันต้องกำจัดโดยวิธีนี้ก่อน เหมือนกับปฐมพยาบาล กำจัดในขั้นแรกเสียก่อนแล้วค่อยไปโรงพยาบาล คือไปประพฤติกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งตรงกับเรื่อง ตรงกับปัญหา เป็นเรื่องที่สอง นี้เพื่อกำจัดนิวรณ์มันเพียงแต่เท่านี้ก็พอ ถ้าจะกำจัดต้นตอของนิวรณ์คือกิเลสอนุสัยก็ต้องทำสมาธิวิปัสสนาให้ยิ่งขึ้นไปให้สมบูรณ์ อย่าเห็นเป็นเรื่องเล่น เป็นเรื่องเล็กน้อยนี้ ไอ้การกำหนดลมหายใจนี่ เป็นเรื่องทั้งหมดของการทำสมาธิ ไปลองดูก็แล้วกันว่ามันเกิดขึ้นหรือเปล่า หายใจยาวๆโล่งๆ มันก็สลัดเหี้ยนไปทีหนึ่ง แล้วทำติดต่อกันจนเหตุปัจจัยมันเปลี่ยน มันก็หายไป
หลวงพ่อครับ มาถึงเรื่องสมาธิในการภาวนาในปัจจุบันนี้มีหลายสำนัก หรือหลายอาจารย์มากมายเหลือเกินแล้วก็มีความแตกต่างกันออกไป เรามักจะมีการถาม หรือวิจารณ์ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด นี้หลวงพ่อพอจะให้ข้อคิดหรือแนวทางที่พอจะใช้ตัดสินใจได้ว่าอันไหนจะถูกผิดยังไงได้.
ก็ให้ถือเอาตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแนะเอง ก็คืออานาปานสติ ตรัสว่าทรงกระทำอานาปานสติเอง เอง ทรงทำเองจนตรัสรู้แล้วก็แนะให้คนอื่นทำอานาปานสติ แบบที่เราเอามาสวดเป็นตัวบท ที่นี้เดี๋ยวนี้มันมีมาก มันไม่ใช่มากแต่เดี๋ยวนี้มันมีมากตั้งแต่สมัยที่เขาแต่งเพิ่มเติม เช่นวิสุทธิมรรค ทำขึ้นมา 40 แบบอย่างนี้เป็นต้น เดี๋ยวนี้ก็มีเลือนออกมาเลือนออกมาเลือนออกมาจนเป็นตลาดๆ มันก็....(1:03:15)
1:03:48 ซ้ำกับก่อนหน้านี้ตั้งแต่ นาทีที่ 47:37