แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เรื่องที่จะพูดกัน ก็เป็นเรื่องที่จะมีประโยชน์แก่ผู้ที่จะลาสิกขาบท เพราะได้ทราบว่าส่วนมากหรือทั้งหมดที่มานี่ ล้วนแต่จะกลับไปลาสิกขาบท คิดว่าควรจะพูดเรื่องที่มีประโยชน์แก่ผู้ที่จะลาสิกขาบท เพื่อว่าจะได้ช่วยให้การบวชนั้นได้รับประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้จะกลับออกไปเป็นฆราวาสตามเดิม การเข้ามาบวชนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ทำเล่น ไม่ใช่เล็กน้อย ไม่ใช่สักว่าทำ ๆ ไปก็ได้ เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องลึก เรื่องมีค่า แต่ว่าเราไม่อาจจะดำเนินชีวิตทั้งหมดตามแบบนั้นได้ จึงแยกเอา คัดเอา เฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ในเมื่อลาสิกขาออกไป ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดพวกที่เข้ามาบวชนี้ ช่วงเวลา ๓ – ๔ เดือนนี้ ควรจะรวบรวมวิธีที่จะศึกษาธรรมะอย่างไรด้วยตนเอง นำออกไปสำหรับใช้ศึกษาธรรมะด้วยตนเองจนตลอดชีวิต สำนักไหนมันก็สอนอะไรให้ ให้มากหรือให้หมดไม่ได้หรอก เพราะมันบวช ๒ – ๓ เดือน ๓ – ๔ เดือน เพราะฉะนั้นอยากจะพูดว่าทำได้เพียงรวบรวมเอาเรื่องที่จะศึกษาหรือจะปฏิบัติธรรมะด้วยตนเองเอาไว้ให้พอ จดไว้ในสมุดบันทึกให้พอ สำหรับออกไปแล้วก็จะได้ประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง นอกจากนั้นก็หมายความว่ามาฝึกอยู่อย่างชีวิตธรรมดา ชีวิตง่ายๆ เรียกว่าปอน ปอน กินอยู่อย่างง่าย นุ่งห่มอย่างง่าย อะไรก็อย่างง่ายๆ ธรรมดาเข้าไว้ตามแบบของพระ แม้เดี๋ยวนี้เราก็นั่งกลางดิน คิดดู ถ้าว่ามันไม่มีจิตใจงุ่นง่าน เพราะไม่ชอบเป็นต้นแล้ว มันก็คงจะได้รับรสของการนั่งกลางดินนี้บ้างตามสมควร เพื่อเป็นเครื่องเปรียบเทียบว่าการนั่งในที่อย่างอื่นซึ่งตรงกันข้าม นั่งบนเตียง บนตั่ง บนฟูก บนเก้าอี้ บนอะไรก็ตาม มันเป็นอย่างไร ยิ่งกว่านั้นถ้าสนใจมากพอ ควรจะสนใจไปถึงว่าพระพุทธเจ้านั้นประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน แล้วก็ตายกลางดิน บางคนอาจจะยังไม่ทราบ เพราะเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่ที่จริงสำคัญ ตัวสำคัญ ไม่มีพระศาสดาแห่งประเทศไหน แห่งศาสนาไหนจะตรัสรู้ในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัยเป็นต้น ไม่มี แม้เขาจะมีอาศรมเพื่อศึกษามีอะไรแบบรูปโรงเรียนมหาวิทยาลัยเป็นต้น ก็ไม่มีศาสดาองค์ไหนในโลกที่ได้ตรัสรู้ในมหาวิทยาลัย ล้วนแต่ตรัสรู้ในที่เงียบสงัด หรือส่วนมากก็กลางดินอีกนั่นแหละ ฉะนั้นรู้จักไอ้สิ่งที่มันตรงกันข้ามไว้สำหรับเปรียบเทียบดูด้วยว่าเมื่อนั่งกลางดิน จิตเป็นอย่างไร เมื่อนั่งในมหาวิทยาลัยจิตเป็นอย่างไร มหาวิทยาลัยอาจจะเป็นเพียงที่อัดความรู้เข้าไปอย่างบ้าๆ บอๆ ตลอดเวลา อัดความรู้เข้าไป อัดความรู้เข้าไปอย่างหลับหูหลับตา แต่ถ้านั่งปฏิบัติธรรมในรูปแบบของศาสนานั้น มันไม่ใช่เรื่องอัดความรู้เข้าไป อัดความรู้เข้าไป มันเป็นเรื่องทำให้เห็นแจ้งด้วยความรู้สึก ไม่เกี่ยวกับความจำเลย แต่ว่ามันเกี่ยวกับความรู้สึก ได้รู้สึกอะไรใหม่ๆ ขึ้นมานั่นแหละ จะเป็นส่วนประกอบของการศึกษาต่อไปข้างหน้าให้รู้ว่าที่จริงชีวิตนี้มันเป็นการศึกษาชนิดที่แท้อยู่ในตัว แต่คนมันไม่รู้ มันก็ไม่ได้ถือเอา แล้วก็ไปแสวงหาการศึกษาอย่างอื่นซึ่งมันเป็นการศึกษาที่ต่างกันมาก อย่างศึกษาในโรงเรียน ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย มันก็เรียนกันแต่หนังสือกับวิชาชีพจนเป็นเทคโนโลยีไปหมด ไม่ว่าอะไร แล้วก็ไม่ได้เรียนรู้ว่าจะดับทุกข์อย่างไร เกิดมาทำไม นั่นแหละมันขาดอยู่แต่ส่วนนั้น รู้แต่หนังสือกับวิชาชีพ แต่วิชาที่จะเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร จะได้เป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุขนั้นไม่ได้เรียน ผมจึงถือโอกาสพูดว่า การศึกษาทั้งโลกยังเป็นเสมือนสุนัขหางด้วน ไม่น่าดู มันต้องมีอย่างที่ ๓ เข้ามาด้วยคือรู้ว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร หรือชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม เหล่านี้ล้วนแต่เกิดเป็นคำถามที่เนื่องกันหมด ถ้าได้มาปฏิบัติการเป็นอยู่ตามแบบของภิกษุ มันจะค่อยๆ กระจ่างขึ้นมาในส่วนนี้ ในส่วนที่ ๓ ที่ยังขาดอยู่ เพื่อจะรู้ว่าเป็นมนุษย์เป็นทำไม ควรจะได้อะไร เพียงแต่ได้เงิน ได้เกียรติยศ ได้ความกว้างขวางในทางสมาคมนั้น มันพอแล้วเหรอ ที่จริงนั้นมันยังเป็นเพียงผลของการศึกษาชนิดหางด้วน มันไม่สามารถจะดับความทุกข์ร้อนแห่งจิตใจได้ ดังนั้นขอให้สนใจเรื่องนี้ จับฉวยเอาเขาเงื่อนเรื่องนี้เอาให้ได้ว่าจะต้องศึกษากันอย่างไร ให้รู้เรื่อง รู้วิธี แล้วก็ประพฤติปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ ไปจนตลอดชีวิต แม้ว่าจะลาสิกขาไปแล้วก็ยังรู้จักวิธีที่จะศึกษาจากภายในชีวิตนั่นแหละ ให้รู้จักชีวิตนั่นแหละ ว่ามันคืออะไร จะต้องจัดการกับมันอย่างไร มันจึงจะเป็นชีวิตที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้ จึงหวังว่าทุกคนจะพยายามที่จะทำความเข้าใจในเรื่องนี้ แล้วก็จดบันทึกส่วนที่จะลืม ส่วนสำคัญที่จะลืมไว้อย่าให้ลืม ไปศึกษาปฏิบัติต่อไปแต่ละวันๆ ทำจิตใจอย่างไร จิตใจจึงจะดีขึ้นๆๆ ที่เรียกว่ามันมีการพัฒนาในทางจิตใจ ในที่สุดก็จะได้รับในผลดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ การเรียนอย่างโลก ๆ มันก็ไม่ได้อะไรมากไปกว่าทรัพย์ สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียงและการสมาคมที่ถือกันว่าโก้หรู มันมีเท่านั้น แต่จิตใจยังร้อนเป็นไฟ ยิ่งฉลาดยิ่งรู้จักโกง ยิ่งเรียนมากยิ่งรู้จักเอาเปรียบมาก ฉะนั้นมันก็ไม่มีผลดีสำหรับจะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ดังนั้นต้องเรียนในส่วนนี้ เพราะถ้ามาบวชก็มาเรียนในส่วนที่หาไม่ได้ หาเรียนไม่ได้จากชีวิตฆราวาส ต่อให้เรียนจบทุกมหาวิทยาลัยในโลก มันก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นในการที่จะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เพราะว่ามันสอนอย่างเดียวกันหมด สอนเรื่องหนังสือยิ่งๆ ขึ้นไป สอนเรื่องวิชาชีพ ในรูปแบบของเทคโนโลยี กี่แขนง กี่แขนงมันก็เท่านั้น ความเห็นแก่ตัวไม่ลด ยิ่งมีความรู้มาก ยิ่งเพิ่มความเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดมากยิ่งรู้จักใช้ความรู้ความฉลาดนั้นเอาเปรียบผู้อื่น โลกกำลังเป็นอย่างนี้ ดูก็แล้วกัน โลกทั้งโลกก็กลายเป็นโลกของการสับสนวุ่นวาย ไม่มีความสงบ สันติภาพมีแต่เพียงชื่อ วิกฤติการณ์เป็นของที่มีอยู่จริง ดังนั้นขอให้มองดูกันในแง่นี้ แล้วก็จะเห็นคุณค่าที่แท้จริงของพระธรรม หรือของพระศาสนาซึ่งจะทำให้อยู่เหนือปัญหาทั้งปวงในโลก ขอให้เข้าใจคำว่า “ ปัญหาทั้งปวงในโลก ” กันซะทีก่อนเถอะว่าเดี๋ยวนี้โลกมีปัญหาอย่างไร และโลกเมืองไทยเรานี่กำลังมีปัญหาอย่างไร เต็มไปด้วยสิ่งเลวร้ายอย่างไร ไม่มีความปลอดภัยอย่างไร ไม่มีการรับประกันสิทธิเสรีภาพอะไรที่แน่นอนอย่างนี้เป็นต้น แล้วคนก็เป็นบ้ามากขึ้นทุกที หรือเป็นโรคนอนไม่หลับเพิ่มขึ้น โรคประสาทเพิ่มขึ้น แล้วก็เป็นบ้าวิกลจริตมากขึ้น มากขึ้น เท่ากับที่การศึกษามันเจริญ หรือมันยิ่งกว่าไปอีก ถ้าเทียบส่วน เทียบ ratio แล้วก็ จะได้ผลว่าการศึกษายิ่งเจริญนี่ มันมีคนบ้ามาก เร็วกว่าเมื่อการศึกษาไม่เจริญ พูดอย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะติเตียนใคร หรือจะปรับโทษใคร แต่เป็นการบอกให้ดูความจริงที่มันมีอยู่ และเราก็รวมอยู่ในหมู่พวกคนเหล่านี้ เพราะฉะนั้นก็หลีกไม่พ้น บางทีเราไม่ได้มีส่วนกระทำ แต่ว่าไอ้ผลปฏิกิริยาของมันพลอยมาถูกต้องเราด้วย เช่น ถ้ามันเกิดสงคราม เราก็ไม่ได้ร่วมสงคราม แต่ผลที่คลอดออกมา เป็นผลพลอยได้จากสงคราม มันก็มาถึงเราด้วยอย่างนี้เป็นต้น
มนุษย์ได้เคยสังเกตเห็นปัญหาในทางจิตใจมาแล้วตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ จนกระทั่งมันเกิดระบบคำสอนที่เป็นศาสนาขึ้นมา เป็นรูปแบบ จะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมสุดท้ายก็ได้ เป็นวัฒนธรรมทางจิตใจ เป็นวัฒนธรรมระดับสุดท้าย ที่ทำให้มนุษย์รู้จักวิธีประพฤติปฏิบัติกันอยู่ชนิดที่อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง คือจะทำให้เกิดปัญหาหรือความทุกข์ไม่ได้ ถ้ามีธรรมะอยู่อย่างถูกต้อง ใช้คำว่าอยู่เหนือโลกเลย หรือมีชีวิตเย็นเป็นนิพพาน คำว่า “ อยู่เหนือโลก ” ก็ดี คำว่า “ นิพพาน ” ก็ดี ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัยทั้งหมดในโลก หรือจะสอนก็เพียงสอนเรื่องประวัติ ในฐานประวัติของการศึกษา ไม่ได้สอนเรื่องจริงลงไปว่าจะทำชีวิตนี้ให้เย็นอย่างไร ที่จะอยู่เหนือโลกได้อย่างไร แม้แต่คำว่าโลก โลกนี้ก็ไม่รู้จัก มหาวิทยาลัยในโลก ทั้งโลก ทั้งหมด มันมีความหมายของคำว่าโลก โลกนี้เพียงวัตถุเท่านั้น เพียงวัตถุหรือเนื่องอยู่ด้วยวัตถุ ตัวโลกเท่านั้น แต่คำว่าโลก โลกในทางธรรมะไม่ใช่อย่างนั้น มันหมายถึงอิทธิพลของสิ่งต่างๆ ที่มันเข้ามาสู่จิตใจของเรา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางผิวหนังและทางใจ คือมีที่รับสัมผัส ๖ อย่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้ามาแล้วทำการบีบคั้นให้เกิดความรู้สึกรักและไม่รัก คือยินดียินร้าย และก็ทำไปตามความยินดียินร้าย ยินดีกับโลก จะได้ จะเอา ยินร้ายก็จะฆ่าให้ตาย มันก็ขึ้นลง ขึ้นลงอยู่อย่างนี้ อย่างนี้เรียกว่ามันเป็นคนจมโลก มุดอยู่ใต้โลก โลกมันก็บีบคั้นได้ตามต้องการ ดูคำว่าโลก ไม่ใช่โลกแผ่นดิน มันไม่ใช่โลกวัตถุ แต่มันเป็นโลกทางจิตใจเรียกว่าในภาษาธรรมะ ในภาษานามธรรม เรียกโดยชื่อว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ รูปที่เห็นด้วยตา เสียงที่ฟังด้วยหู กลิ่นที่รู้ด้วยจมูก รสที่รู้ด้วยลิ้น สัมผัสที่รู้ได้ด้วยผิวหนัง ความรู้สึกนึกคิดที่รู้ได้ด้วยใจ มันพร้อมอยู่เสมอที่จะทำหน้าที่ของมัน ก็เพราะว่าเรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่จะทำอย่างไร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ทำหน้าที่ของมัน เพื่อจะสัมผัสสิ่งเหล่านั้น ครั้นสัมผัสแล้ว ในบุคคลนั้นมันมีแต่ความโง่ มันต้อนรับสัมผัสเหล่านั้นไม่ถูกต้อง สัมผัสเหล่านั้นก็ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา นี่คือข้อเท็จจริงประจำวันในแต่ละวัน ๆ ของทุกคน ๆ ในโลก ถ้ารู้เรื่องนี้ก็เรียกว่าจะรู้เรื่องทั้งหมด รู้เรื่องสิ่งที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วทำให้จิตใจยินดีหรือยินร้าย ไม่คงที่อยู่ได้ เพราะว่าเราขาดความรู้อะไร ถ้ามีความรู้อะไรแล้วเราจะคงที่อยู่ได้ในชีวิตนี้จะเป็นชีวิตเย็น เป็นนิพพาน กิริยาหรืออาการที่สิ่งต่างๆ มันครอบงำจิตใจเราไม่ได้ ดังนี้เรียกว่าไม่มีปัญหา ไม่มีอะไรมาทำให้เรารัก โกรธ เจ็บ กลัวได้ ไม่มีอะไรมาทำให้เราเกิดกิเลสและเป็นทาสของกิเลส เราสมัครเป็นทาสของกิเลสอย่างสนุกสนานไปเลย อย่างนี้เรียกว่าอยู่เหนือโลก ขอย้ำอีกทีหนึ่งว่าอยู่เหนือโลก โลกนั้นมันไม่มีอะไรหรอก อย่าไปบ้าตามการศึกษาใหม่ๆ ซึ่งเรียกว่าโลกมีอะไร ๆ มากมาย ไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น รู้หลักธรรมะอย่างเดียวก็พอว่า โลกคือสิ่งที่เราจะสัมผัส รู้สึกได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ไอ้โลกตามทางฟิสิกส์ ทางรูปธรรม ทางไอ้นี้มันมากมายแหละ มันมากมายแต่ก็ความหมายเดียวกันทั้งนั้น คือเรื่องที่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ มนุษย์ถือเอาไม่ถูกต้อง มันก็กัดเอา เพราฉะนั้นคำว่าโลกที่พูดอยู่กันตามธรรมดา มันความหมายหนึ่ง แต่โลกในภาษาธรรมะที่ว่าจะอยู่เหนือโลก คือมันความหมายนี้ คุณก็เปรียบเทียบตัวเองดูว่า ไอ้โลกทั้งหลาย วัตถุทั้งหลายในโลก ผลิตผลหรือการประดิษฐ์หรืออะไรต่างๆจากวัตถุเหล่านั้นมันรวมกันแล้ว มันก็ไม่มีอะไร นอกจากมันกระทบจิตใจคน มากระทบจิตใจคน บางทีก็มาทางตา บางทีก็มาทางหู บางทีก็มาทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง และทางจิตใจเอง การพูดว่าโลกคือสิ่งที่มากระทบทางอายตนะ ๖ เป็นคำพูดของคนมีปัญญา ไม่ต้องไปแจกแจงว่าโลกนี้มีอะไร ๆ ที่ไหน ภูเขา ดิน น้ำ อย่างที่ได้ให้เด็กนักเรียน เรียนจนไม่รู้จะเรียนกันไปทำไมนั่นแหละ ก็รู้เรื่องทางโลก พอมีประโยชน์เรื่องทางโลก ทางวัตถุ แต่ไม่ดับทุกข์ เรารู้ว่าไอ้โลก โลกเหล่านั้น โลกทั้งหมดเหล่านั้นมันทำอันตรายเราทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งที่เข้ามากระทบเราทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจคือโลก นั่นแหละคือตัวโลก ไอ้ตัววัตถุสิ่งของถ้ามันไม่มาถึงเราทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เท่ากับไม่มี พูดง่าย ๆ ถ้าเราไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรๆ มันก็ไม่มีใช่ไหม อะไรๆ มันก็ไม่มี เดี๋ยวนี้เพราะมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างที่จะช่วยไม่ได้ มันก็ต้องมี ก็มีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วความรู้มีไม่พอมีแต่ความโง่ ก็สัมผัสหรือเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นในลักษณะผิดๆ แล้วก็ได้เป็นทุกข์ ถ้ามาเรียนเรื่องดับทุกข์ ก็คืออย่างที่มาบวชในพุทธศาสนา เมื่อเรียนให้รู้ว่าจะดับทุกข์กันได้อย่างไร เพราะมีความรู้ที่ถูกต้อง สว่างไสวอยู่ ต้อนรับสิ่งทั้งปวงที่เข้ามาสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจแต่ละวันๆ ไม่ให้เป็นปัญหาขึ้นมาได้ คือทำให้ไม่ยินดียินร้ายขึ้นมาได้ ก็คือไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดกิเลสมันก็ไม่เกิดทุกข์ ดังนั้นขออย่าได้คิดว่า ไอ้ความรู้ธรรมะนี่เป็นความรู้ครึคระ เหมือนพวกที่เรียนมาจากนอกนั่นแหละ มันเกลียดคำว่านิพพาน และมันเกลียดคำว่าเหนือโลก ได้เผชิญได้พบมามากแล้ว พวกที่เรียนมาจากเมืองนอกจะเกลียดคำว่านิพพาน โดยที่ไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร แล้วมันสั่นหัวเรื่องเหนือโลก เพราะมันไม่รู้ว่าเหนือโลกคืออะไร และความคิดมันจะเป็นไปในทางที่ว่า เราอยู่เหนือโลกไม่ได้ เพราะว่ามันอยู่บนโลก ในโลกอยู่นี่เอง ก็เลยไม่ยอมฟัง ไม่ยอมพิจารณาว่าอยู่เหนือโลกนั้นคืออย่างไร แล้วชีวิตที่เย็นเป็นนิพพานนั้นคืออย่างไร เรื่องเดียวกันแต่แยกดูคนละตอน อยู่เหนือโลก สิ่งต่างๆ ในโลกมาทำให้เกิดกิเลสไม่ได้ มันก็ไม่เกิดกิเลสซึ่งเป็นของร้อน มีชีวิตไม่มีของร้อน ความร้อน มันก็เป็นชีวิตเย็น ดังนั้นคำว่านิพพาน นิพพานนั้นแปลว่าเย็น ในพระบาลีมีครบคำอธิบายเรื่องนี้ แต่เขาไม่ได้เอามาสอน แล้วมันสอนลับกันเองด้วยวิธีอะไรก็ไม่รู้ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ โดยใครก็ไม่รู้ สอนนิพพานจนเป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ได้ แล้วก็เข้าใจผิดว่านิพพานเป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นโลกอีกโลกหนึ่ง ไปอยู่ที่โลกนั้นแล้วก็เป็นสุขสบาย เป็นเมืองนิพพานไปซะเลย ถ้าอย่างนี้มันผิด ถ้าไปอยู่ในโลกอย่างนั้นอีก มันก็มีปัญหาเดียวกับอยู่ในโลกนี้ คือมีสิ่งที่รบกวนตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดังนี้ไม่ต้องไปอยู่ในโลกไหน ยังคงอยู่ตามเดิม แต่มีความรู้เพียงพอที่จะไม่ให้เกิดความโง่หรือความผิดพลาดขึ้นมาเมื่อมีการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าบวชจริง ปฏิบัติจริง มันก็ปฏิบัติข้อนี้ ปฏิบัติข้อนี้ตลอด ๓ เดือน มันก็พอจะรู้เค้าเงื่อนเป็นอย่างไร จำออกไปสำหรับประพฤติปฏิบัติตลอดชีวิตได้ ถ้าได้อย่างนี้ บวช ๓ เดือนก็มีค่าคุ้ม ถ้าไม่ได้อย่างนี้ก็ไม่มีอะไรคุ้มค่ากัน แล้วก็ยังไม่เข้าใจคำว่าเหนือโลก ยังไม่ได้เข้าใจคำว่านิพพานต่อไปตามเดิม เรียกว่ามันไม่ได้อะไรเลยเรื่องการศึกษาธรรมะในการบวชนี้ จะพูดได้เลยว่า ถ้าไม่มีเรื่องเหนือโลก ถ้าไม่มีเรื่องนิพพานดังนี้ มันก็ไม่มีพุทธศาสนา ถ้าเอาเรื่องเหนือโลกหรือเรื่องนิพพานออกไปเสีย พุทธศาสนาก็จะไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรเหลือ การประพฤติปฏิบัติทั้งหลายทั้งปวงนี่ มันเป็นไปเพื่ออยู่เหนือโลก และเพื่อมีชีวิตเย็นเป็นนิพพาน รู้เรื่องเหนือโลกและใต้โลกให้ถูกต้องและเพียงพอเสียก่อน สิ่งที่มีอยู่ในโลกเข้ามาสัมผัสตัวเอง แล้วก็ทำผิด มีแต่ความเป็นทุกข์ทนทรมาน นานเข้าเป็นโรคประสาทเป็นบ้าไปเลยอย่างนี้ ซึ่งปรากฏว่ามันมากขึ้นทุกที สถิติที่เปิดเผยออกมานี่ คนเป็นโรคประสาทหรือเป็นโรคจิตมาก มากขึ้นทุกที เพราะไม่รู้ว่าจะดำรงจิตไว้อย่างไร จึงจะปลอดภัยจากปฏิกิริยาต่างๆ ที่มาจากสิ่งที่มีอยู่ในโลก ถ้าไม่รู้จักต้อนรับไอ้สิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง มันก็เข้าไปทำให้เกิดความยินดียินร้าย คือรักหรือจะเอาเมื่อมันถูกใจ และโกรธเกลียดหรือกลัวเมื่อมันไม่ถูกใจ ไอ้ชีวิตมันก็เลยมีแต่เรื่องรัก โกรธ เกลียด กลัว อยู่อย่างนี้ และนะเป็นอย่างไร ต้องพูดว่าเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานมันไม่ต้องทนทรมานมากเหมือนอย่างนี้ ไอ้ความรัก โกรธ เกลียด กลัว ในสัตว์เดรัจฉานมันมีน้อย มนุษย์กลับมีมากเพราะการศึกษามันเดินผิดทาง เป็นการศึกษาสุนัขหางด้วน การศึกษาในโลกนี้มีแต่เพื่อจะให้สร้างสิ่งซึ่งเป็นปัจจัยแก่กิเลส เทคโนโลยีทั้งหลายสร้างปัจจัยของกิเลสเกือบทั้งนั้นเลย ไม่มีเทคโนโลยีไหนที่จะเป็นไปเพื่อจะกำจัดกิเลส ดังนั้นจึงก้าวหน้าในการสร้าง สร้าง สร้าง สร้าง สิ่งซึ่งเป็นปัจจัยแก่กิเลส ที่มีมากที่สุด ผลิตมากที่สุด ขายดีที่สุด ก็คือวัตถุที่เป็นปัจจัยแก่ความเอร็ดอร่อยสนุกสนานทางเนื้อทางหนัง มีมากที่สุด เทคโนโลยีมันเจริญนักก็เพราะว่าผลิตของเหล่านี้ออกมามันขายดี อีกทางหนึ่งก็คือผลิตสิ่งที่จะมาทำร้าย ทำร้าย ทำลายกันคืออาวุธ เทคโนโลยีทั้งหลายมันก็ช่วยสร้างอาวุธ ด้วยหวังว่าเราจะชนะผู้อื่น จะครองโลก ผู้ที่คิดจะครองโลกก็ขยายแต่เทคโนโลยีชนิดที่จะสร้างอาวุธหรือ สร้างเครื่องมือเอาชนะผู้อื่น แล้วจะเอาอะไรกันทีนี้ ใช้วิชาความรู้เพื่อจะส่งเสริมกิเลสฝ่ายความโลภ และส่งเสริมกิเลสฝ่ายความโกรธหรือความเกลียดชัง มัวแต่ติดปัจจัยแห่งกิเลส เอร็ดอร่อย สนุกสนาน แล้วมัวแต่ผลิตปัจจัยของสงคราม เพื่อจะทำลายล้างกัน แต่มันก็เพื่อว่าจะไปเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตัวอีกนั่นแหละ ที่มันจะครองโลกเพื่อจะเอาสิ่งสวยงาม เอร็ดอร่อยต่างๆ ในโลกเป็นของตนคนเดียว สรุปแล้วความโง่มันไปรวมอยู่ในหลงใหลในสิ่งเป็นที่ตั้งแห่งความยินดียินร้ายทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง ถ้าทุกคนรู้สึกอย่างนี้ ไม่หลงใหลในเรื่องเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังอย่างนี้ มันก็จะหยุดลงไปมาก จะเย็นลงไปมาก ไอ้โรงงานทั้งหลายที่ผลิตวัตถุปัจจัยแก่กิเลส มันต้องปิดหมดแหละ มันไม่มีใครซื้อหรอก เดี๋ยวนี้ยิ่งมีเท่าไหร่ก็ยังยิ่งไม่พอ ไม่พอต้องขยาย ต้องขยายแม้แต่โรงเหล้าโรงเบียร์ จนไม่รู้ว่าจะผลิตกันไปทำไมอยู่แล้ว ขอให้ดูว่าสภาพปัจจุบันแท้จริงของมนุษย์นี้เป็นอย่างไร กำลังโง่ขนาดนี้ ที่เขาเรียกในธรรมะว่ามันมีอวิชชา มีความมืด ความบอด ความโง่ ความหลง จมอยู่ในวัฏสงสาร คำว่าวัฏสงสารนั้นก็เข้าใจว่าเป็นคำที่ไม่เคยรู้จักกันอย่างเดียวกับคำว่าเหนือโลกและคำว่านิพพาน เพราะเรื่องมันเนื่อง ๆ กัน วัฏสงสารมันคือความโง่ที่เป็นกิเลส และก็ให้ทำไปตามอำนาจของกิเลสคือทำกรรม ดังนั้นทำกรรมไปตามอำนาจของกิเลสแล้วก็ได้รับผลตามสมควรแก่การกระทำ ฉะนั้นได้รับผลมาแล้วมันส่งเสริมให้โง่ยิ่งขึ้นไปอีก ให้โง่ยิ่งขึ้นไปอีก อย่างเทคโนโลยีอันนี้คิดขึ้นมาได้ แล้วก็เป็นเหตุให้ทำกรรม ผลิตของแปลกของใหม่ ของแปลกออกมา เอร็ดอร่อยสวยงามกว่าเดิม แล้วผลอันนี้มันก็ส่งเสริมความต้องการอันใหม่ที่ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ค้นหาวิธีหรือเทคโนโลยีที่ใหม่ขึ้นไปอีก แปลกออกไปอีก ไกลออกไปอีกก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ที่เรียกว่าวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร โดยใช้คำว่ากิเลส กรรมและผลกรรม ๓ คำนี้จำให้ดีเถอะ คือสิ่งที่คนโง่เวียนอยู่ไม่รู้จักจบจักสิ้น จนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ กิเลสมันมาจากความโง่ จะเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลงมันก็มาจากความโง่ ฉะนั้นมันมีกิเลสแล้วมันทำกรรม การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งไปตามอำนาจของกิเลส ครั้นได้รับผลของการกระทำมา มันก็ยินดียินร้ายหลงใหลกันไปตามเรื่องแล้วมันก็เพิ่มกิเลส เพิ่มกิเลส เพิ่มกิเลสอีกมันก็เพิ่มกรรม เพิ่มผลกรรม เพิ่มกิเลส เพิ่มกรรม เพิ่มผลกรรม เป็นวงกลมกันอยู่อย่างนี้ นี่แหละคนตกอยู่ในวัฏสงสาร ไม่ได้หมายความว่าไปว่ายอยู่ในทะเลมหาสมุทรที่ไหน ตามภาพพจน์ที่มักจะพูดกันอย่างสมมติ แล้วก็เข้าใจผิด การที่ไม่เวียนวนอยู่ในวัฏสงสารคือการนิพพาน เราไม่โง่จนไปทำกรรม รับผลกรรมแล้วก็โง่กว่าเดิม ไปทำกรรมรับผลกรรมแล้วก็โง่กว่าเดิม ดังนี้มองดูให้เห็นว่าไอ้ทั้งโลกมันกำลังตกอยู่ในวัฏสงสารอย่างนี้ โลกมันจึงใกล้ต่อความวินาศยิ่งขึ้นไปทุกที ถ้าเมื่อไหร่บังคับความรู้สึกไว้ไม่ได้ มันก็เข่นฆ่ากันอย่างที่เรียกว่าเป็นมิคสัญญีทำลายโลก แต่ถ้ามองเห็นมันก็ทำไปอย่าง มันสร้างไอ้ความรักผู้อื่นขึ้นมา ไม่เห็นแก่ตัว ไม่สร้างอาวุธขึ้นมาสำหรับจะจ้องทำลายล้างผู้อื่นเพื่อจะครองโลก มันก็กลายเป็นมิตรเป็นสหายกันไปหมดทั้งโลก อย่างนี้เขาเรียกว่าโลกพระศรีอริยเมตไตรย คือคนทุกคนในโลกเป็นมิตรอย่างยิ่งแก่กันและกัน โดยความรู้สึกพื้นฐานว่าเราเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน แล้วเราจะมาเบียดเบียนกันทำไม แล้วก็มีความรักกัน มีการช่วยเหลือกัน แล้วมันก็อยู่กันอย่างเป็นสุข ไม่มีจี้ปล้นกลางถนน ไม่มีอย่างที่กำลังมีตามหน้าหนังสือพิมพ์นั่น และก็ไม่มีการเบียดเบียนโดยตรงและโดยอ้อม กระทั่งว่าเบียดเบียนใหญ่หลวงคือสงคราม มันก็ไม่มี การที่ทุกคนมีความรักผู้อื่นในฐานะเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันนั่นแหละเป็นรากฐานสำคัญของธรรมะที่จะสร้างความสงบสุขขึ้นมาในโลก เดี๋ยวนี้ทุกคนพร้อมที่จะกอบโกยผลประโยชน์มาเป็นของตน อย่างเลวที่สุดก็คือบังคับขู่เข็ญ เอามาปล้นจี้ เอามาอะไร เอามาอย่างใหญ่โตก็เป็นการทำสงครามเพื่อจะได้อะไร เพื่อจะขยายอะไร ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ตัว มันก็ใช้คำหลอกลวงว่า ทำสงครามเพื่อความสงบ แล้วมันจะสงบได้อย่างไร เพราะมันมีมูลเหตุมาจากความโง่
ดังนี้ผมพูดมาในตอนนี้ก็สรุปความว่าบวชนี่ ๓ เดือนนี่ทำอะไรไม่ได้มากก็อย่าอวดดีซะแล้ว เพียงแต่รวบรวมความรู้ให้เพียงพอว่าจะศึกษาธรรมะต่อไปอย่างไรจนตลอดชีวิตเท่านั้น พอจะทำได้ ประมวลความรู้ให้เพียงพอ สึกออกไปแล้วจะปฏิบัติธรรมะอย่างไรจนตลอดชีวิต ดังนี้ส่วนหนึ่งเรียกเป็นส่วนแฝงก็ได้ เป็นส่วนพลอยได้ก็ได้ว่า ระหว่างที่บวชนี่หัดเป็นอยู่อย่างมีธรรมะ มีความอดกลั้นอดทน มีความสันโดษมักน้อย มีการอยู่อย่างต่ำ ที่จริงมันควรจะลองดูว่าบวชตลอดเวลา บวชไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียวนี่ มันอยู่ได้ไหม ถ้ามันฉลาดพอสมควรมันก็อยู่ได้ ตลอดเวลาที่บวช ๓ เดือนไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว หรือว่าไม่ต้องมีอะไรที่เป็นบำรุงบำเรอมันก็อยู่ได้ มันก็ไม่ตาย ทีนี้ก็เอาไปปรับปรุงให้พอดีสิว่าเราจะใช้เงินเพียงเท่าไหร่ จะอยู่กันเพียงเท่าไรพอดี พอดี มันง่าย ลองอยู่อย่างต่ำที่สุดดู แล้วมันก็จะง่ายที่จะอยู่อย่างกลางๆหรือพอดี ความจริงก็ต้องการให้อยู่พอดี อยู่ตรงกลาง ๆ ซึ่งเป็นหลักของพุทธศาสนา ข้อนี้ก็ควรจะจำไว้ว่าหลักธรรมะ หลักพระพุทธศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้นคือการดำรงตนอยู่ตรงกลาง ไม่ตึง ไม่หย่อน ไม่เปียก ไม่แห้งอะไรอย่างนี้ พูดอย่างภาษาวิทยาศาสตร์ก็ว่ามันไม่ Positive มันไม่ Negative มันอยู่ตรงกลาง Positive มันก็ยั่วให้รัก Negative มันก็ยั่วให้เกลียด มันก็อยู่ตรงกลางก็เลยไม่มีความทุกข์ ถ้าไปรักเข้าก็มีความทุกข์อย่างของรัก ไปเกลียดเข้าก็มีความทุกข์อย่างของเกลียด ดังนั้นอยู่ในจิตใจปกตินี้มันไม่มีความทุกข์เลย จะเอากำลังอะไรมาสนับสนุนให้ทำการงาน มันก็ความรู้นี่แหละ ปุถุชนสามัญศาสตร์มันต้องมีสิ่งที่ส่งเสริมกำลังใจ ดังนี้เขาก็ไม่ได้ปิด เขาไม่ได้ค้าน มันยังถูกแหละ ทุกคนต้องการ Motive สำหรับจะส่งเสริมให้ทำสิ่งที่ควรกระทำ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มี Motive ชนิดนั้น มันไปมี Motive ของกิเลส มันจึงทำไปเพื่อกิเลส และทำพร้อมๆ กัน ไอ้โลกนี้มันจะวินาศ ที่เอาสติปัญญานั่นแหละมาเป็นเครื่องส่งเสริมกำลังใจให้กระทำ ที่จริงก็มันไม่ควรจะต้องให้ใครมาส่งเสริมกำลังใจอะไรกันหนักหนา ถ้ามันมีสติปัญญาเพียงพอตามหลักของธรรมะแล้ว มันเป็นกำลังใจให้ทำทุกอย่างอย่างไม่บกพร่อง จะยกตัวอย่างพระอรหันต์ ก็เดี๋ยวก็จะหาว่าเอาเปรียบเพราะยังไม่รู้เรื่องพระอรหันต์ แต่พอจะคำนวณได้ว่าพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ท่านไม่มีกิเลส แล้วทำไมท่านจึงทำงานมากกว่าคนที่มีกิเลส เอากำลังอะไรมาดันให้ทำงาน ปุถุชนคนโง่มันก็มีกิเลสผลักดันให้ทำงาน อยากได้ผลงานมากๆ หรือว่าเอาความไม่รู้อะไรตามที่เป็นจริง เพราะเข้าใจผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เป็นเครื่องผลักไสให้ทำงาน แต่ที่คนสมัยนี้ชอบพูดกันนักตามก้นฝรั่งว่า ชีวิตอยู่ด้วยความหวัง เพราะว่าชีวิตอยู่ด้วยความหวัง มันสำหรับจะบ้า ช่วยจำผมพูดไว้บ้าง ไอ้ชีวิตที่อยู่ด้วยความหวังมันสำหรับจะบ้า ชีวิตมันต้องอยู่ด้วยความปกติ มีสติปัญญา ไม่ต้องหวัง รู้ว่าควรทำอย่างไรก็ทำ ไม่ต้องหวังให้มันปวดหัวใจ อย่าไปยึดถือคติบ้าๆ บอๆ อะไรมาจากเมืองนอกเมืองนาด้วยซ้ำไปว่า ต้องหวัง ต้องมีที่หวัง ต้องมีความหวัง ชีวิตอยู่ด้วยความหวัง มันคนโง่ มันหลับตาพูด แล้วดูคนพูดซิ มันมีความสงบสุขเมื่อไหร่ มันเดือดร้อนอยู่ในความหวังทั้งหลับและตื่น ดังนี้เราไม่มีปัญหาอย่างนั้น ทั้งหลับและทั้งตื่น เราจะอยู่ด้วยความสงบสุขเยือกเย็น คำว่านิพพานแปลว่าเย็น เมื่อตะกี้พูดไปแล้ว แต่มันยังย่อนัก คำว่านิพพานนั้น เป็นคำยืมไปจากคำชาวบ้านไปใช้เป็นชื่อของธรรมะที่พบใหม่ คือเย็น เย็นเพราะไม่มีไฟ คำว่า เย็นเขาหมายความเพราะไม่มีความร้อน ถ้ามีความร้อน มันก็ร้อนไม่เย็น ทีนี้วัฒนธรรมทางจิตของผู้มีปัญญาค้นพบวิธีที่จะทำให้จิตไม่มีไฟ จิตไม่มีราคะ โทสะ โมหะ จิตไม่มีไฟและจิตนั้นมันเย็น คำว่านิพพานนี้ แปลว่า เย็น พูดอยู่ตามธรรมดาอะไรเย็นก็ใช้คำว่านิพพาน เมื่อช่างทองหลอมทองร้อนจนเหลวคว้าง แล้วเขาต้องรดน้ำให้มันเย็น เพื่อจะทำให้สีดีขึ้น ให้ดีขึ้น เพื่อจะทำให้เป็นของต่อไป คำที่เอาน้ำรดให้เย็นนั้นเขาใช้คำว่านิพพาน (นาทีที่ 43.05) นิพพาไปยะ ยังแท่งทองนั้นให้นิพพานคือเย็นลงมา หรือว่าในครัวทำอาหารเสร็จใหม่ๆ ก็ร้องบอกว่ารอเดี๋ยวให้มันนิพพานแล้วก็มากินพร้อมกัน กำลังร้อนมันกินไม่ได้ อาหารที่จะกินเย็นลงอย่างนี้เขาเรียกว่า นิพพาน หรือสัตว์ตัวนี้ฝึกดีแล้วไม่มีอันตรายอีกต่อไป ก็เรียกนิพพานเหมือนกัน นิพพานอย่างสัตว์ เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งเห็นพระสิทธัตถะเดินผ่านไป หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้นว่า บุรุษนี้ถ้าเป็นลูกของใคร บิดาของเขาจะเย็น มารดาของเขาจะเย็น ถ้าเป็นสามีของใคร ภรรยาของเขาจะเย็น คิดดูมันเป็นคำธรรมดา ๆ ที่พูดอยู่ในหมู่คนธรรมดา เย็นอกเย็นใจ นี่ก็ใช้คำว่านิพพาน นิพพาน นิพพุโต นิพพุตา ตามเรื่องของคำพูด ฉะนั้นคำว่านิพพานแปลว่าเย็น เพราะไม่มีความร้อน ทำไมจะต้องเป็นเรื่องครึคระ มันเป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุดสำหรับมนุษย์ ถ้ามันร้อนอยู่ด้วยกิเลสติดต่อกันสักไม่กี่วัน มันก็เป็นบ้า แล้วมันก็ตายอยู่ไม่ได้ ถ้ามันอยู่ด้วยกิเลสโดยไม่ว่างจากกิเลสเลย มันก็ต้องเจ็บป่วย เป็นบ้า และตาย เดี๋ยวนี้เราอยู่ด้วยเวลาที่ไม่มีกิเลสนั้นมากนะ ในวัน ๒๔ ชั่วโมง คุณมีกิเลสกี่ชั่วโมง เวลา ๒๔ ชั่วโมงเกิดกิเลสกี่ชั่วโมง แล้วไม่เกิดกิเลสกี่ชั่วโมง โดยเฉพาะเวลานอนหลับก็ไม่เกิดกิเลส ฉะนั้นเวลาที่อยู่กับนิพพานคือเย็น แล้วมันก็ช่วยให้รอชีวิตอยู่ได้ตามธรรมดาสามัญอย่างนี้ นิพพานอย่างนี้เป็นอัตโนมัติไม่ต้องปฏิบัติ แต่ควรจะศึกษาให้เข้าใจไว้ว่า เมื่อมันไม่เป็นไฟ ไม่เป็นกิเลสขึ้นมาแล้ว มันก็มีผลอย่างนี้ ขอบคุณพระนิพพานที่ช่วยให้ไม่เป็นบ้า ไม่ให้เป็นโรคประสาท แต่มีกิเลสรบกวนตลอดเวลาไม่เท่าไหร่ก็นอนไม่หลับ ไม่เท่าไหร่ก็เป็นโรคประสาท ไม่เท่าไหร่ก็เป็นบ้า เดี๋ยวนี้คนทั้งโลกแหละ เขามีเวลาที่จิตว่างจากกิเลส หรือว่างจากไฟอยู่พอสมควร จึงไม่เป็นบ้ากันทั้งโลก เพราะมันมีจำนวนหนึ่ง มันอยู่ด้วยกิเลสหรือไฟที่น้อยลงพอสมควร ดังนั้นควรจะขอบใจนิพพาน ไม่ใช่จะต้องรังเกียจว่าครึคระ แล้วไม่รู้ว่ามีไว้ทำไม มันเป็นยอดสุดของวัฒนธรรมของมนุษย์ในด้านจิตใจ มันไม่มีอะไรจะสูงไปกว่านี้แล้วถ้าจะมองดูกันในแง่ของวัฒนธรรม วัฒนธรรมมีทั้งฝ่ายวัตถุและฝ่ายจิตใจ ฝ่ายวัตถุนั้นทำกันไปจนเฟ้อแล้ว ทีนี้ฝ่ายจิตใจมันยังไม่ถูก มันยังลดถอยลงไป มันเคย เคย เคยมาก เคยเจริญ แต่แล้วมันลดถอยลงไป เมื่อมาถึงยุคที่มนุษย์เริ่มหลงวัตถุ ดังนั้นในยุคที่บูชานิพพานกันนั้นไม่ได้หลงวัตถุ ไม่ได้บูชาวัตถุ ก็ไม่มีเรื่องกระทบ เดี๋ยวนี้เวลานี้มันมีเรื่องกระทบ เพราะมนุษย์ทุกคนมันหลงวัตถุซึ่งเป็นที่ตั้งของกิเลส เป็นปัจจัยของกิเลสแล้วมันเย็นไม่ได้ เมื่อเย็นไม่ได้มันก็ร้อนกันไปหมด แต่ละคนๆ ก็ร้อน ครอบครัวนั้นก็ร้อน หมู่บ้านนั้นก็ร้อน บ้านเมืองนั้นก็ร้อน ประเทศนั้นก็ร้อน ถ้าเป็นกันทั้งโลก โลกนี้มันก็ร้อน เพราะไม่มีคุณธรรมอะไรที่เป็นเป้าหมายของนิพพานคือเย็น พูดถึงสันติภาพกันแต่ปาก ไม่เห็นมีร่องรอยแห่งสันติภาพ ทั้งที่ตั้งสมาคมสันติภาพกันมาทุกยุคทุกสมัย สงครามโลกครั้งที่ ๑ ก็ตั้งสมาคมสันติภาพ สงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็ตั้งสมาคมสันติภาพ ด้วยความกลัวและก็ตั้งอย่างไม่ถูกต้อง ตั้งอย่างที่กำจัดไฟไม่ได้ มันก็ยังจะต้องมีต่อไป มีสงครามโลกครั้งที่ ๓ เสร็จแล้วก็ตั้งสมาคมสันติภาพกันอีก เราไม่อยากจะพูดมากนัก เดี๋ยวมันจะกลายเป็นกระทบกระทั่งดูถูกผู้อื่น แต่บอกให้รู้ว่าโลกกำลังไม่มีสันติภาพ เพราะไม่รู้เรื่องปัจจัยแห่งสันติภาพคือธรรมะที่ทำให้เกิดความเย็น มันมาจากการอยู่เหนือโลก ถ้าสิ่งเอร็ดอร่อย สวยงามทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ครอบงำเราได้ เราก็เป็นอิสระปกติ อยู่ได้อย่างไม่ต้องยินดียินร้าย ยินดีก็หลงรัก ยินดีในสิ่งใดก็ตกเป็นทาสของสิ่งนั้นในความหมายหนึ่ง ยินร้ายในสิ่งใดก็ตกเป็นทาสของสิ่งนั้นในอีกความหมายหนึ่ง เพราะฉะนั้นการที่ไม่ต้องตกเป็นทาสของสิ่งใดนั่นแหละเป็นความดีถึงที่สุด จงรู้จักดำรงชีวิตชนิดที่ไม่ต้องตกเป็นทาสของสิ่งใด นี่เตรียมพร้อมที่จะไปหวังและไปเป็นทาสของสิ่งที่ตนหวังโดยไม่ต้องดูอะไร เป็นข้าราชการระดับนี้ หวังที่จะมีรถยนต์หลายๆ คันนี้ ในที่สุดมันก็ทำคอรัปชั่น ทำลายตัวเอง แล้วมันก็ไม่รู้จะมีไปทำไมตั้ง ๒ – ๓ คัน จนมีบ้าน มีภรรยา มีอะไรกันอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด นั่นแหละมันเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นหมดแล้ว แล้วก็แต่ปัญหา ก็มีแต่ความทุกข์ อย่างที่เรียกว่าคนมันจมมิดอยู่ในโลก เหมือนจมโคลนอยู่ ถ้าเหนือโลก มันไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้เกินกว่าที่จำเป็น มันทำแต่พอดี ทำแต่พอดี ทำการงานสนุกเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน ไม่มีรถยนต์ก็ได้ ไม่มีบ้านก็ได้ มันก็หาความสุขได้เมื่อกำลังทำการงาน พอใจในการงานว่าการงานคือสิ่งสูงสุด เป็นธรรมะที่จะช่วยมนุษย์เราได้ ก็เป็นสุขเสียแล้วเมื่อทำการงาน ได้เงินมาบางทีไม่รู้จะไปซื้ออะไร เพราะมันมีความสุขเสียแล้วเมื่อทำการงาน ขอให้เอาเรื่องนี้ไปวินิจฉัยดู คงจะมีประโยชน์ที่สุดเพราะมีความสุขได้โดยไม่ต้องใช้เงินแม้แต่บาทเดียว แต่มันมีวิธีที่ค่อนข้างจะละเอียดประณีตอยู่ ในการที่จะทำจิตใจรู้สึกเป็นสุขเมื่อกำลังทำการงาน มันต้องศึกษาจนรู้ว่าธรรมะคือการงาน การงานคือธรรมะ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมะ ซึ่งเป็นสิ่งสูงสุดช่วยให้พ้นทุกข์ได้ มันก็เลยพอใจ พอใจในการทำงาน เมื่อพอใจมันก็เป็นสุข ไม่ต้องสงสัย ความสุขเกิดมาจากความพอใจ นี่เป็นคำที่พูดได้โดยไม่ต้องกลัว ถ้าความพอใจมันเป็นพาล ความพอใจอย่างเลว อย่างหลอกลวง ความสุขนั้นมันก็เลวและหลอกลวง เหมือนความพอใจของคนอันธพาลทั้งหลายในท้องถนน ความพอใจของเขาก็ให้ความสุขอย่างเลว อย่างนี้กัดเจ้าของ ถ้าของสาธุชนมีความพอใจถูกต้อง ยินดีในการกระทำที่ถูกต้อง มันก็ไม่กัด มันก็อยู่กันด้วยความสงบสุข ดังนั้นขอให้พยายามมีความสุขเมื่อกำลังทำงาน แล้วปัญหาจะหมด เงินเดือนได้มาก็ยังไม่รู้จะใช้อะไร เพราะความสุขมันมีเสียแล้วเมื่อเรานั่งทำงาน ก็ใช้เงินนั้นเพื่อปัจจัยทางวัตถุ สิ่งจำเป็นเล็กๆ น้อย ๆ มันก็เหลืออยู่มาก เดี๋ยวนี้เขาใช้เงินเพื่อส่งเสริมกิเลส สถานเริงรมย์ สถานกามารมณ์ สถานหลอกลวงให้โง่ ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงให้โง่ ไปบูชา ไปติดกับสิ่งเหล่านั้น จนเงินเดือนเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ แล้วมันก็ต้องโกง มันก็จบลงด้วยเรื่องโกง นั่นคือตกนรก ทนทุกข์ทรมานอยู่ มองดูตัวเองแล้วเกลียดน้ำหน้าตัวเองแล้วตกนรก เรียกว่าตกนรก ถ้าทำงานเป็นสุข พอใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้นั้นมันเป็นสวรรค์ เราจะพูดว่าสวรรค์เมื่อยกมือไหว้ตัวเองได้ นรกเมื่อเกลียดชังตัวเอง นรกนี้จริงที่สุด สวรรค์นี้จริงที่สุด นรกสวรรค์ต่อตายแล้วนั้นไม่แน่ แล้วก็พิสูจน์ไม่ได้ เดี๋ยวนี้มันพิสูจน์ได้ เมื่อมันทำเลวจนเกลียดน้ำหน้าตัวเอง แล้วมันก็คือนรก มันกัดกร่อนหัวใจอย่างยิ่ง เผาลนหัวใจอย่างยิ่ง เมื่อทำถูกต้องจนมีความพอใจในการงาน มันก็เป็นความสุขที่เรียกว่าสวรรค์ ชื่นใจตัวเอง เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ไหว้ตัวเองได้ เป็นสวรรค์
เอาหละเวลาพอสมควรแล้ว ทั้งหมดนี้ผมขอสรุปว่าพูดเรื่องสำหรับจะได้นำไปใช้เป็นหลักปฏิบัติธรรมะสืบต่อไปหลังจากที่ลาสิกขาแล้ว เมื่อลาสิกขาแล้วขอให้มีหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง แล้วก็เพียงพอสำหรับจะดำเนินชีวิตต่อไป แล้วอะไรๆ ที่เคยผ่านมาเมื่อบวชอยู่นี้ ก็ขอให้จำเอาไปเป็นเครื่องเปรียบเทียบ แม้แต่ว่าวันนี้มานั่งกลางดินอย่างนี้ ขออย่าลืม ขอช่วยเอาไปด้วย พอไปนั่งบนเบาะ บนฟูก บนนวมอะไรเข้าก็มันจะได้เปรียบเทียบกันได้โดยง่าย มันก็จะไม่หลงสิ่งเหล่านั้น แล้วก็อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้านั้นประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน นิพพานกลางดิน แล้วก็จะไม่เสียทีที่ได้มาบวชในพุทธศาสนาของพระองค์ และก็จะได้ดำเนินชีวิตนี้ถูกต้องไปตามลำดับ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ดังนี้ขอให้จำเค้าเงื่อนเหล่านี้ไว้ สำหรับช่วยศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะในอนาคตถูกต้องเรื่อยๆ ไปจนตลอดชีวิต ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้...
(นาทีที่ 55: 35 ตอบคำถามผู้ฟัง คำถามได้ยินไม่ชัด )
ท่านพุทธทาส : ถามอย่างนี้ มันก็ดูเอาเองซิ เดี๋ยวนี้มันเกินในส่วนอะไร มันเกินในส่วนอะไร หยุดส่วนเกินเสีย ที่เราบวชแล้วเราก็พิจารณาปัจเวกขณ์ อาหารบิณฑบาต จีวร เสนาสนะ เภสัช ว่ากินอยู่เท่าไหร่พอดี เท่าไหร่พอดี นั่นแหละหลักอันนั้นเอาไปใช้ได้ ทีนี้เขาไม่ได้ ไม่ได้ทำเพื่อจะกินหล่อเลี้ยงชีวิต เขาจะทำเพื่ออำนาจเศรษฐกิจ เพื่อจะบีบคั้นผู้อื่น มันเลยเตลิดไปถึง เขาผลิตเพื่อมีอำนาจทางเศรษฐกิจ เพื่อจะบีบคั้นผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อจะกินจะใช้ด้วยตนเอง คำว่าถูกต้องคือไม่เกิดปัญหา มันไม่เกิดปัญหาคือไม่มีความทุกข์แก่ผู้ใด แก่ฝ่ายใด นั่นคือถูกต้องหรือพอดี จะบัญญัติสิ่งนั้น สิ่งนี้ เท่านี้ มันทำไม่ได้หรอก เพราะไม่ได้ออกชื่อไม่ไหวอีกแล้ว เดี๋ยวนี้แม้แต่คนไทยเรานี่ มันยังกินดีอยู่ดีเกินไป หวังที่จะกินดีอยู่ดีเกินไปจนต้องทำชั่ว มันมีอยู่มาก ดังนี้ทำให้สนุก ทำการงานให้สนุก มีความสุขในการกระทำ แล้วมันก็ไม่ต้องไปทำอาชญากรรมอะไรชนิดที่ไม่น่าดู เดี๋ยวนี้โรคร้ายมันหลงวัตถุ มันโรคร้ายกำลังครอบงำมาก สูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น แล้วครอบงำผู้ที่มีหน้าที่รักษาสันติภาพ อย่างเรื่องตำรวจนี่ฟังเขาเล่าแล้วมันก็น่าใจหาย หรือว่าผู้พิพากษาก็ตาม ใครก็ตาม ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของความอยู่ดีกินดีไม่มีขอบเขต ดังนั้นจงกินอยู่แต่พอดีเหมือนอย่างที่เราบวช กินอยู่แต่พอดี อย่าถึงกับกินดีอยู่ดีอย่างชนิดที่ไม่มีขอบเขต
(นาทีที่ 58:09 คำถามได้ยินไม่ชัด )
ท่านพุทธทาส : มันก็เท่าที่ควร ที่ถูกที่ควรก็ทำ ทำอย่าให้บกพร่อง ที่มันไม่ถูกไม่ควรหรือมันเกิน หรือทำแล้วเป็นปัญหา อย่าไปทำมันเลย มันก็เหมือนกับเชือดคอตัวเอง ระวังอะไรทำลงไปแล้วมันจะย้อนมาทำอันตรายผู้ทำ แล้วก็อย่าไปทำมันเลย
(นาทีที่ 58: 38 คำถามได้ยินไม่ชัด )
ท่านพุทธทาส : กิเลสตัณหาไม่ได้หมายความว่า จะมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ทำประโยชน์อะไรได้ ก็ทำด้วยสติปัญญา เอากิเลสตัณหาออกไป เอาสติปัญญาเข้ามาแทน แล้วก็ทำ ทำหน้าที่ อย่างผู้สอน ผู้บังคับบัญชา ผู้ควบคุม ผู้ต่าง ๆ ที่ว่าทำด้วยสติปัญญา ด้วยกำลังของสติปัญญา อย่าทำด้วยกำลังของกิเลสตัณหา คือมันจะสกปรกมอมแมมไปตั้งแต่ต้น แล้วก็มีความทุกข์ในเบื้องปลายหรือตลอดเวลา มันก็เป็นทุกข์แล้ว พอสักว่าทำมันก็เป็นทุกข์แล้ว
( นาทีที่ 59:44 คำถามได้ยินไม่ชัด )
ท่านพุทธทาส : ในความหมายของศรีอริยเมตไตรย วัตถุก็พอดี ไม่เฟ้อ ไม่เกิน ไม่ยุ่งยาก ด้วยเรื่องทางวัตถุ ในทางจิตใจเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ เลยไม่มีความทุกข์ เดี๋ยวนี้มันเจริญบ้าในทางวัตถุ ทางจิตใจมันหายไปหมด สูญหายไปหมด
พระภิกษุ : หมายความว่าเจริญทางด้านวัตถุ ถ้าหาทางธรรมชาติ โดยไม่ใช่ว่ามีอะไรที่วิจิตรพิสดารอย่างนั้น ?
ท่านพุทธทาส : ก็แล้วแต่ มันไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ถ้าพูดตามภาษาบาลี ธรรมชาติทั้งนั้น รู้จักธรรมชาติอย่างถูกต้อง และก็จัด แล้วก็ทำ แล้วก็เกี่ยวข้อง แล้วควบคุมให้พอดี ให้ถูกต้อง อย่าทำลายธรรมชาติ รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเดียว อย่าทำลายธรรมชาติ เดี๋ยวนี้มันก็เอามาเป็นเรื่องกามารมณ์ ในเรื่องสงคราม ทำลายธรรมชาติมากเกินไปเพื่อประโยชน์แก่กามารมณ์และสงคราม
( นาทีที่ 1.01.13 คำถามได้ยินไม่ชัด)
ท่านพุทธทาส : วิจิตรพิสดารยังไง มีแต่ความรัก เมต –ไตร -ยะ แปลว่า เกื้อกูลแก่ความเป็นมิตร มีแต่ความรักผู้อื่น ไปทางไหนก็มีแต่ผู้ยกมือขึ้น จะให้ช่วยอะไร จะให้ช่วยอะไร ศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย เดินไปทางไหนก็มีแต่ผู้เสนอตัวเข้ามาจะให้ช่วยอะไร จะให้ทำอะไร ไม่ใช่เรื่องเต็มไปด้วยกามารมณ์อย่างที่บางคนเขาคิด อันนั้นมันคิดเอาเอง คนจะเต็มไปด้วยกามารมณ์ เดี๋ยวนี้มันขาดความเป็นมิตรในโลกนี้ แม้จะยิ่งก้าวหน้าทางวัตถุ ไอ้ความเป็นมิตรมันไม่มี ถ้าก้าวหน้าทางวัตถุด้วย มีความเป็นมิตรด้วย มันก็ดีกว่านี้ และความก้าวหน้าทางวัตถุนั้นไม่ต้องเกินจำเป็น ให้มันเหนื่อยเปล่าๆ ทำไม อย่าให้มันเกินจำเป็น เอาแต่พอดี มีความก้าวหน้าทางวัตถุแต่พอดี ก็มีความก้าวหน้าทางจิตถึงที่สุด โดยเฉพาะความรักผู้อื่น รักผู้อื่น มันก็นอนหลับสนิท ไม่มีใครเบียดเบียนใคร เป็นเรื่องที่ไม่ลึกซึ้งอะไร เป็นเรื่องที่ไปคิดดูเถอะจะมองเห็นเอง
( นาทีที่ 1:02:03 คำถามได้ยินไม่ชัด)
พระภิกษุ : ชาติที่เจริญก้าวหน้าทางวัตถุอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น มาช่วยประเทศไทย แล้วมีคนจะเจริญทางด้านจิตใจด้วยหรือเปล่า ?
ท่านพุทธทาส : โอ้, ไม่จำกัดประเทศไหน ถ้ามีความเจริญแท้จริง ต้องเจริญทางจิตใจ ส่วนเจริญทางวัตถุนั้นเป็นเรื่องของสิ่งที่รองลงมา แล้วมันก็ไม่ควรจะเกินไปในทางวัตถุ พอสบายสำหรับการเป็นอยู่ด้วยจิตใจที่เจริญแล้ว .