แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอถือโอกาสพูด ตามเคย เกี่ยวกับเรื่องทำบุญปีใหม่ เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ที่มีมา นมนานจน จน จน จนไม่อาจจะกล่าวได้ว่านานเท่าใด แต่นาน ตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีความคิดนึก รู้สึก เรื่องปีใหม่นี้ ธรรมชาติบังคับให้มนุษย์รู้สึกคิดนึกได้ เช่น ฤดูฝนผ่านไป มนุษย์คนป่าเถื่อนอย่างไรมันก็รู้ได้ ว่ามัน คราวหนึ่งแล้ว คราวหนึ่งแล้ว ปีหนึ่งฝนตกใหญ่คราวหนึ่ง พอผ่านไปก็เรียกว่าขึ้นรอบใหม่ เขาจึงมีความคิดที่จะทำอะไรให้เหมาะสมกับความที่มันตื่นเต้นหรือว่ามันรู้สึกผิดธรรมดาแหละ พอปีใหม่ แม้แต่สัตว์ ดรัจฉานมันยัง มันก็ยังรู้เรื่องปีใหม่ แล้วที่นี่ เรามีไก่ป่า พอถึงเวลาฤดูฝนมันเปลี่ยนมาก พอฤดูฝนผ่านไปแล้ว ไก่ป่าก็เปลี่ยนมาก ขึ้นเหมือนกับขึ้นปีใหม่เหมือนกัน มันมีอะไรต่างๆ เหมือนกับขึ้นปีใหม่เหมือนกัน นี่แหละแม้แต่สัตว์เดรัจฉานนะ มันก็ยังรู้จักทำ หลายอย่างหลายประการ ให้เหมาะสมกับปีใหม่ ฉะนั้นมนุษย์มันก็ทนอยู่ไม่ได้ มันต้องคิด ต้องนึก ต้องทำเหมือนกัน นี้ให้เลวลงไปกว่าสัตว์เดรัจฉาน เช่นต้นไม้ ต้นไร่ ปีใหม่กันทั้งนั้นเลย แต่คนไม่สังเกตเอง ถ้าสังเกตจะเห็นว่าต้นไม้ ต้นไร่มันก็มีปีใหม่เหมือนกัน มันมีอะไรผิดกว่าเวลาธรรมดาแหละ มันไปตามฤดูกาลนั่นเอง โดยเฉพาะต้นไม้ที่เป็นหัว ใต้ดินนะ หัวมัน หัวเผือก หัวกลอย หัวไม้ต่างๆที่อยู่ใต้ดิน มันมีปีใหม่ สิ้นปีเก่ามันด้อย เป็นหัวด้อย เก็บไว้ พอขึ้นปีใหม่หัวด้อยนี้กลายเป็นหัวใหม่ ใหม่ ใหญ่กว่าเดิม ดีกว่าเดิม แต่ละต้นก็ ดีกว่าเดิม เราจึงเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงให้มันถูกต้องกับปีใหม่นี้ เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติซึ่ง ต้องมี เว้นไม่ได้ แต่ว่ามี เว้นไม่ได้นี้ไม่ ไม่สำคัญหรอกไม่สำคัญ มันสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ต้องดีกว่าเดิม ต้องดีกว่าเดิม ดีกว่าปีเก่า นี้เราเห็นต้นไม้ต้นไร่ หัวเผือก หัวมันนะ พอขึ้นฤดูใหม่ ปีใหม่มันก็ดีกว่าเดิม ใหญ่กว่าเดิม เจริญกว่าเดิม ถ้ามันไม่ดีกว่าเดิม มันก็ไม่ควรจะเรียกว่าปีใหม่ นี้เป็นธรรมชาติไม่ใช่ใครจะ แต่งตั้งตามชอบใจ มันเป็นธรรมชาติ แต่ธรรมชาติมันแต่งตั้ง ยิ่ง ยิ่งกว่าแต่งตั้ง คือมันบังคับ บังคับให้เป็นไป ฉะนั้นขอให้เราทำอะไรชนิดที่มันไม่ฝืน ที่ไม่ฝืนธรรมชาติ ฝืนธรรมชาติมันลำบากและมันมีแต่ผลเสียมากกว่า มันต้องอนุโลมหรือ ผสมโรงมันเข้ากันกับธรรมชาติ เราจึงต้องทำ อะไรให้ดีกว่าปีเก่าแหละ ทำอะไรให้ดีกว่าปีเก่า ทุกสิ่งทุกอย่างทุกประการ แต่โบราณมาเขาก็มีหลักแบบนั้นแหละ ต้องทำอะไร ดีกว่าปีเก่า อย่างเลวที่สุดก็คืออย่าให้ลืม กันไว้อย่าให้ลืม รักษาให้มันเสมอกับปีเก่า นั้นเป็นอย่างเลว ถ้าอย่างดีก็ต้องให้ดีกว่าปีเก่า สังเกตดู ปีใหม่นี้ต้องมีทำอะไรให้ ดี คงที่ หรือดีกว่าปีเก่า ถ้าเลวกว่าปีเก่าก็เป็นอันว่าใช้ไม่ได้ ขนบธรรมเนียมประเพณีมันก็มีให้ ตกแต่งปรับปรุงบ้านช่อง ของใช้อะไรต่างๆ ให้ดีสำหรับต้อนรับปีใหม่ จะเป็นเรื่องการ อาหารการกิน การแต่งเนื้อแต่งตัวอะไร เขาก็ปรับ ปรุง เตรียมพร้อมที่จะ ให้ดีที่สุดในวันขึ้นปีใหม่ มันจะเป็นเหตุให้ใหม่ไปถึงจิตใจ จิตใจที่ซบเซามืดมัว มันก็จะได้ตื่นขึ้นมา กระปรี้กระเปร่า เต็มที่ และก็ทำอะไรให้มันดี ให้มันเต็มที่ ยิ่งขึ้นไปกว่าปีเก่า เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนนะ ปรับปรุงให้ได้ ในลักษณะที่ว่า มันจะ จะตื่นขึ้นมาเต็มที่ และดีกว่าปีเก่า หากสิ่งใดซึ่งเป็นความ เจริญ เป็นความสุขสวัสดี ของมนุษย์นะ สิ่งนั้นจะต้อง ได้รับการปรับปรุงให้ดี ขึ้นกว่าเดิม เพราะว่าตามธรรมชาติ คนเราจะต้องฉลาดขึ้นทุกปีทุกปี ด้วยเวลา มันเป็นเครื่องบังคับแหละ หนึ่งปีได้เห็นอะไรกี่อย่าง ได้สัมผัสอะไรกี่อย่าง ได้ผ่าน ชิม ลอง อะไรกี่อย่าง มันก็ฉลาดขึ้นทุกปีทุกปี มันจึงควรจะดี ให้กว่าเก่าทุกปี ถ้าไม่มีอะไรดีขึ้นกว่าเก่า แต่ละปีแล้ว มันก็เรียกว่า นั้นแหละ จะผิดธรรมชาติ แล้วมันก็จะต้องมีผลไม่ดี มีผลร้าย ขอให้เตรียม สำหรับจะ ดี กว่าปีเก่า ร่างกายก็ให้มันดีกว่า จิตใจก็ให้ดีกว่า สติปัญญาและคุณธรรมต่างๆ ต้องดีกว่าปีเก่า ต้องมากกว่าปีเก่า จะต้องมีทาน มีศีล มีปัญญา มีทิฏฐิอะไรดีกว่าปีเก่า นั้นแหละจึงจะถูกต้อง อาตมาสังเกตเห็นแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน สุนัข หรือแมว ที่เลี้ยงอยู่ทุกวันนี้ มันก็ยังฉลาดกว่าปีเก่า ลูกแมวลูกหมามันโตขึ้นทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี มันก็โตขึ้นด้วยความฉลาด ยิ่งกว่าปีเก่า เพราะมันได้สัมผัสสิ่งต่างๆนะ และสิ่งต่างๆ มันสอนให้เอง มันจะฉลาด จนทำได้แปลกออกไป มากออกไป จนกว่าจะถึงที่สุดแหละ จนกระทั่งแก่ เฒ่า ชรา มันยังดี กว่าปีเก่าในส่วนจิตใจ แม้ว่าร่างกายมันจะทรุดโทรมลง มันเป็นธรรมดาส่วนร่างกาย แต่ถ้าจิตใจมันดีมันสูงกว่าแล้วไม่เป็นไร ไม่เป็นไรมันปลอดภัย ฉะนั้นขอให้ทุกคนทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่นี้ มีอะไรที่ดีกว่าปีเก่า คือมันฉลาดกว่าปีเก่า มันถูกต้องมากกว่าปีเก่า อย่าให้โง่เท่าเดิม คำที่ควรจะก้องอยู่ในหู คือมันโง่เท่าเดิม ไปๆมาๆมันก็โง่เท่าเดิม มันทำอะไรเป็นของแปลกของใหม่ไปแล้วที่มันผิดพลาด มันก็โง่เท่าเดิม นี่มันมีกันอยู่มาก ในวัดในวานี่ก็มีมาก โง่เท่าเดิม ไปๆมาๆโง่เท่าเดิม โง่เท่าเดิมอยู่นั่นแหละ แล้วที่บ้านก็จะต้องมีมาก คือคำว่าไอ้โง่เท่าเดิมโง่เหมือนเดิม โง่อย่างเคยนั้น ระวังกันให้มากๆ เพราะว่ามันจะไม่เป็นปีใหม่นะ ทีนี้มนุษย์เรา มันมีหน้าที่ ทำความเจริญนะ ทำความก้าวหน้า ทำความเจริญนะ มันเพื่อผล คือความรอด ความรอด รอดตัวนะ ทางชีวิตร่างกายก็รอด คือไม่ตายสุขภาพดี รอดทั้งร่างกาย ทางจิตใจมันก็ฉลาดขึ้น มันก็รอดจากความโง่ รอดจากกิเลส รอดจากความทุกข์ ถ้ามันมีสติปัญญาในส่วนนี้มาก แล้วมันจะไม่มีความทุกข์ เพราะว่าไอ้ความทุกข์มา มันก็ต้อนรับ กลับกลายเป็นความไม่ทุกข์ ความเจ็บความไข้มา มันก็ขอบใจ ว่ามาสอนให้ฉลาด ให้เราสามารถ ให้เราเก่ง ให้เราเจ็บไข้ดี ให้เราตายดี ถ้าตายก็ขอให้ตายให้มันดี มันต้องเรียนจากความเจ็บความไข้ ทำจิตใจถูกต้อง ไม่มี ความเจ็บความไข้ความตายไม่มีความหมาย มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง คำสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือคำว่า เช่นนั้นเอง ตถตา ก็เรียก แปลว่า เช่นนั้นเอง ตถา ก็เรียก แปลว่า เช่นนั้นเอง อวิตถา ก็เรียก คือไม่ผิดจากเช่นนั้นเอง อนัญญตถาไม่เป็นอย่างอื่นจากความเป็นเช่นนั้นเอง แต่คนมันไม่รู้ มันไม่เคยได้ยินได้ฟัง พอเราพูดว่า หัวใจของ พระพุทธศาสนาคือ เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ไอ้คนโง่มันหัวเราะ เพราะมันไม่เคยได้ยินได้ฟังว่า คำว่าเช่นนั้นเองเป็นหัวใจของพุทธศาสนา มันถือว่าเป็นคำพูดเล่นเสีย มันก็เลยไม่ต้องรู้กันว่า พุทธศาสนามันสอนเรื่องเช่นนั้นเอง ไปดูในบาลีเอาเอง อ่านเอาเองเรื่อง ตถา ตถตา อวิตถตา อนัญญถตา อิทัปปัจจยตา ปฎิจจสมุปปาโท เป็นคำที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัส ว่า ตถาคตจะเกิดก็ดี ตถาคตจะไม่เกิดขึ้นมาก็ดี ธาตุทั้งปวง มันเป็นเช่นนั้นเอง ฐิตาว สา ธาตุ ธาตุ เป็นเช่นนั้นเอง ตั้งอยู่เช่นนั้นเอง คือไปตามกฎของ อิทัปปัจจยตา ถ้าทำแบบนี้ ผลแบบนี้จะเกิด ถ้าทำแบบนี้ผลแบบนี้จะเกิด ถ้าทำแบบนี้ผลแบบนี้จะเกิด นี่ตรงเที่ยงแท้แน่นอน นั้นแหละมันเป็นไปเช่นนั้นแหละ จึงเรียกว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าเราทำไปในทางให้เกิดผลเป็นทุกข์ มันก็เป็นทุกข์ ถ้าทำในทางให้เกิดผลไม่ทุกข์ มันก็ไม่ทุกข์ เดี๋ยวนี้เรามันโง่ เรามันโง่ มันไปทำแต่ในทางที่ให้เกิดความทุกข์ มันคิดผิดนะ มันไปยึดถือเป็นตัวตน เป็นของตน แล้วมันอยากด้วยความโง่ ว่าจะต้องเป็นไปตามความอยากของตน มันก็เลยมีความทุกข์ อย่าคิดแบบนี้ แล้วมันจะไม่มีความทุกข์ อะไรเป็นหน้าที่ ที่จะต้องทำ ทำให้สนุก นี้พูดมาแล้วหลายครั้งหลายหนแล้ว ก็ยังจำเป็น ยังจะต้องพูดต่อไป บางทีก็ต้องพูดจนตายจนเข้าโลง ตาย คือพูดว่าธรรมะ คือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่ของใคร หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต บรรดาสิ่งที่มีชีวิต จะต้องมีหน้าที่ ต้นหญ้า ต้นบอน ต้นไม้ ต้นไร่นี้มีชีวิต ก็ต้องมีหน้าที่ สัตว์เดรัจฉานนี่มีชีวิต ต้องมีหน้าที่ คน มันก็ มีชีวิต มันต้องมีหน้าที่ เทวดา มาร พรหม อะไรก็ตาม ถ้ามี มันก็ต้องมีหน้าที่ เพราะมันมีชีวิต ถ้ามันไม่มีหน้าที่ มันก็ไม่ได้มีการรักษาชีวิต มันก็ตาย ฉะนั้นชีวิต มันอยู่ได้ด้วยหน้าที่ และหน้าที่ของชีวิตนั้นแหละคือสิ่งสูงสุด เขาเรียกกันว่า ธรรมะ ธรรมะ แปลว่าหน้าที่ มนุษย์พูดว่าหน้าที่ คือพูดว่า ธรรมะในภาษาอินเดีย คำโบรมบราณในภาษาอินเดียน่ะ ภาษามันแบบนั้น มันจะพูดว่าธรรมะก็คือหน้าที่ แต่เราพูดไทยสมัยนี้ เราก็พูดว่า หน้าที่ หน้าที่ เขาจึง รู้จักสิ่งที่เรียกว่า หน้าที่ กันมานมนาน ก่อนพุทธกาล ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดโน่น เขามีคำพูดว่าธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ แล้วก็สอน สืบๆต่อๆกันมา ใครสอนดี ในเรื่องหน้าที่ คนนั้นก็ได้รับความเคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์ เป็นศาสดา เรื่อยๆมา เป็นหลายกัปป์ หลายยุค หลายสมัย จนเกิดพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า สอนถึงที่สุด หน้าที่สูงสุด คือหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง สมัยที่ยังเป็นคนป่าโน่น อาจจะสอนหน้าที่ เพียงทำมาหากินแล้วรอดตาย รอดตาย ทีนี้ต่อมา สูงขึ้นอีกนิดหนึ่ง อยู่กันอย่างสงบ สังคมอยู่กันอย่างสงบนี้หน้าที่ แต่แล้วยังเป็นทุกข์ในทางจิตใจทั้งบุคคลและสังคม พระพุทธเจ้าต้องสอนดีไปกว่านั้น ไม่มีใครจะต้องเป็นทุกข์ ไม่ว่าโดยส่วนตัว หรือโดยสังคม แล้วด้วยเหตุที่เรามันอยู่คนเดียวไม่ได้ มันต้องอยู่กันเป็นสังคม ระบบคำสอนจึงเพ่งเล็งไปยังสังคมเป็นใหญ่ ในที่สุดมันก็ ให้รักผู้อื่น ให้รักผู้อื่น ให้ทำลายความเห็นแก่ตัวให้ทำลายความเห็นแก่ตัว เพราะว่า ความรักผู้อื่นนั้นมันมีไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ ไม่แบ่งไปจากความรักตัว สติปัญญา จิตใจของคนนั้นมันรักตัว รักตัวเองมากเลย แต่ถ้ามันไม่ยอมแบ่ง มันไม่ยอมแบ่ง มันก็ไม่มีการรักผู้อื่น เพราะฉะนั้นถ้าว่าจะรักผู้อื่นมันต้องแบ่งไปจากความรักตัว นี้แหละเขาจึงสอนให้รักผู้อื่นให้เมตตา ให้กรุณา ให้มีความเห็นแก่ผู้อื่น โดยแบ่งออกไปจากความเห็นแก่ตัว เราจึงต้องแบ่งความรักตัว นี่แหละ ให้ไปรักผู้อื่น แบ่งไอ้ความเห็นแก่ตัวนี้ ไปเห็นแก่ผู้อื่น ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็ไม่รู้จะไปเอามาจากไหน มันไม่มีนี่ มันไม่มีที่อื่นนี่ มันต้องแบ่งไปจากที่รักตัวและเห็นแก่ตัว นี่คำสอนทุกศาสนา มันจึงสอนเน้นแต่เรื่องรักผู้อื่นแหละ แต่คนโง่เท่านั้นแหละมันจะเห็นว่า สอนต่างๆกัน มันไปดูที่เปลือก มันไปดูที่เปลือกส่วนนอก มันจึงเห็นว่าต่างกัน ที่จริงมันต่างกันโดยวิธี วิธีรักผู้อื่นนั้นมันต่างกันได้ แต่หัวใจมันต้องเหมือนกัน คือรักผู้อื่น พวกที่เขาถือพระเจ้า ถือพระเจ้ามาแต่เดิมนั้นเปลี่ยนไม่ได้ มันต้องถือพระเจ้า ทีนี้มันก็สอนว่า พระเจ้าต้องการให้รักผู้อื่น เราเคารพบูชาพระเจ้า สัญญาว่าจะปฏิบัติตามความประสงค์ของพระเจ้า คือรักผู้อื่น คนที่นับถือศาสนาชนิดนี้มันก็รักผู้อื่นโดยการ ทำให้ถูกใจพระเจ้า นี้มีหลายศาสนาที่มีพระเจ้า ทีนี้ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า มีสิ่งสูงคือ ความจริงของธรรมชาติ เราก็ไปดูที่ความจริงของธรรมชาติ โอ้,ความจริงของธรรมชาติก็ต้องการ ให้เรารักผู้อื่น เพราะเราไม่รักผู้อื่น เราก็ขัดแย้งขัดขวาง ทำลายกันเอง เราจึงมีความรู้ กฎของธรรมชาตินั้นแหละ เป็นเครื่องสอนให้รักผู้อื่น เราจึง มีหลักว่าปฏิบัติ ให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ เราจึงรักผู้อื่น ทีนี้พวกถือพระเจ้าเขาก็ว่าปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า เราจึงรักผู้อื่น หัวใจมันเหมือนกันตรงที่มันรักผู้อื่น แต่วิธีการข้างนอกมันต่างกันเป็นธรรมดา นี้ยกตัวอย่างมาเพียงสองอย่าง การทำพิธีหรือประพฤติปฏิบัติเพื่อให้รักผู้อื่นโดยผิวเปลือกนั้นมันต่าง ต่าง ต่างกัน มันจึงเกิดศาสนาหลายๆศาสนา ซึ่งต่างกันแต่เพียงเปลือก แต่ในภายในมันจะเหมือนกัน ตรงที่ว่าไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ก็รักผู้อื่น ถ้าเห็นแก่ตัว มันก็ ทำลาย ความสงบสุขทันทีแหละ เพียงเห็นแก่ตัวเท่านั้นแหละยังไม่ได้ไปทำอะไรใครที่ไหนยังไม่ได้ไปเอาเปรียบใครที่ไหนนะ เพียงแต่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวกู ตัวกู มันกัดเอาตัว เจ้าของทันทีแหละ เพียงแต่เห็นแก่ตัวนี้ เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดกิเลส กัดคนนั้นทันทีแหละ เพราะความเห็นแก่ตัว มันมีตัวกูนี่ เพียงแต่เป็นห่วงตัวกู เป็นห่วงตัวกู เชิดชูตัวกู มันก็เจ็บปวดเหลือประมาณแหละ คำสอนในพุทธศาสนาจึงสอนแต่เรื่องทำลาย ความยึดถือว่าตัวกู เขาเรียกว่า อัตตวาทุปาทาน ก็มี เรียกว่า อัสมิมานะ ก็มี เรียกว่า อหังการ มมังการ มานานุสัย ก็มี อย่างเลวอย่างต่ำที่สุด เรียกว่า สักกาย มีความเห็นว่ากายนี้ของกู แล้วก็เกิดไอ้ความรู้สึกทำนองมีตัวกู ของกู เมื่อไรมันกัด มันกัดผู้นั้นทันที ทีนี้มันไม่ได้หยุดอยู่แต่เพียงนั้นนี่ เพราะมัน มันเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ไปเอาเปรียบผู้อื่น มันไปเอาเปรียบผู้อื่น มันจะเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตัว มันจึงเกิดการฆ่า เกิดการลักขโมย เกิดการประพฤติผิดในกาม เกิดการโกหกหลอกลวง แล้วมันก็กินเหล้าให้บ้า มันกินเหล้าให้ตัวเองบ้า เพราะเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยอย่างโง่เขลาของตัวเอง มันกินเหล้าให้บ้า สูบกัญชาให้บ้า มัน สารพัดอย่างแหละที่มันไปทำให้ตัวเองมันบ้านะ นั่นแหละคือความเห็นแก่ตัวนะ ที่มันไปกินเหล้าให้เมาครึ้มไปนะ มันก็เพราะความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันทำไม่ได้หรอก มันไม่ฆ่า มันไม่ลัก มันไม่ประพฤติผิดในกาม มันไม่โกหกหลอกลวง มันไม่ทำตัวเองให้บ้า คนโง่มันนอนเสียมันขี้เกียจ มันว่าได้ประโยชน์แก่ตัว นอนเสีย ไม่ต้องทำงาน แต่แล้วไอ้ความขี้เกียจมันก็ทำ ทำอันตราย ทำร้ายเอาคนนั้นที่มัน มันเห็นแก่ตัวอย่างผิด อย่างโง่ คนที่ขี้เกียจไม่ทำงาน ก็มันเพราะเห็นแก่ตัว กินเหล้าให้เมาก็มันเห็นแก่ตัว นี้เขาเรียกว่าเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเหมือนกันหมด ถ้าใครทำหน้าที่ ถูกต้อง แล้วมันจะไม่เห็นแก่ตัว เพราะมันจะค่อยๆรู้สึกว่าอยู่คนเดียวไม่ได้ในโลก อยู่คนเดียวไม่ได้ พูดแล้วเหมือนกับพูดเล่นนะ สมมติว่าเขายก โลกทั้งโลกทั้งหมดทุกโลกให้เราคนเดียว ให้เราอยู่คนเดียวคนอื่นไม่ต้องอยู่ เราอยู่ได้ที่ไหนล่ะ ให้เราทั้งโลกเลย หมดให้หมดทุกอย่างเลยให้เราอยู่คนเดียว มันอยู่ไม่ได้ หรือว่าอยู่กันหลายคนให้เราคนเดียว เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด เราก็อยู่ไม่ได้เหมือนกันแหละ เพราะมันต้องพึ่ง พึ่งพาอาศัยกันไปทั้งหมด มันต้องพึ่งพา แม้แต่ว่าหมู หมา เป็ด ไก่ วัว ควาย โน่น อย่าอวดดีมนุษย์อย่าโง่อย่าอวดดีว่าอยู่คนเดียวได้ ที่อยู่ทุกวันมันต้องพึ่งพาอาศัย วัว ควาย ช้าง ม้า สัตว์เดรัจฉาน ต้นไม้ต้นไร่ มันก็ต้องพึ่งพาทั้งนั้น นี้แหละความจริง ในข้อที่ว่าอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องอยู่กันหลายคน มันมากคนนะ แล้วถ้าอยู่กันมากคนมันก็ต้องมีระบบปฏิบัติ ที่ทำให้อยู่กันได้ นั้นแหละคือความไม่เห็นแก่ตัว ทุกศาสนาสอนเหมือนกันหมด ผิดกันแต่เพียงว่าวิธีที่จะไม่เห็นแก่ตัวนี้มันต่างกันบ้าง นี้มันส่วนเปลือก แต่ส่วนเนื้อในจะเป็นอย่างเดียวกันหมด คือไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวเมื่อไร มันก็เกิดความโง่ เกิดความโง่เมื่อไร มันก็เกิดความต้องการอย่างโง่ๆ ความต้องการมาจากความโง่ เขาเรียกว่ากิเลส ความต้องการมาจากความเฉลียวฉลาด เขาเรียกว่าความปรารถนาที่ถูกต้อง ความต้องการมาจากสัมมาทิฏฐิ ก็เป็นความปรารถนาที่ถูกต้อง ความต้องการมาจากความโง่ มันก็เป็นความอยาก มันเป็นกิเลสเลวร้าย กัดเจ้าของ กัดคนอื่นกัดยิ่งกว่าหมาอีก ถ้ามันมีความต้องการที่มาจาก มิจฉาทิฏฐิ เราจึงเห็นว่าไอ้สิ่งนี้มันเป็นอันตราย เราต้องบรรเทา เราต้องบรรเทา ปีใหม่เราต้องบรรเทาไอ้ความโง่นี้แหละ ให้มากกว่าปีเก่า บรรเทาความโง่ให้มากกว่าปีเก่า บรรเทาความโง่ให้มากกว่าปีเก่ายิ่งๆขึ้นทุกปี แล้วเราก็ฉลาด มีความรู้ความถูกต้องยิ่งขึ้นทุกปี ทุกปี ทุกปี เราจึงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์ให้ถูกต้องได้ด้วยสัมมาทิฏฐิ คือความรู้ที่ถูกต้อง ความรู้ ความคิด ความเชื่อ ความเห็น ความเข้าใจ ความศรัทธาทั้งหมดนี้แหละ ทั้งหมดนี้แหละ เขาเรียกว่า ทิฏฐิ ถ้ามันถูกต้องมันเป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วมันก็เป็นเหตุให้ทำต่อไปถูกต้องหมด คือมันจะ ต้องการถูกต้อง พูดจาถูกต้อง ทำการงานถูกต้อง เลี้ยงชีวิตถูกต้อง มีสติถูกต้อง มีความพากเพียรถูกต้อง มีสติถูกต้อง มีสมาธิถูกต้อง ถูกต้องหมด ที่เรียกว่าอริยมรรคมีองค์แปด อัฏฐังคิโก มัคโค อริยมรรคมีองค์แปด เอเสวะ มัคโค นัตถัญโญ ทางอื่นไม่มี ทางที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้มีแต่ทางนี้ทางเดียว คืออริยมรรคมีองค์แปด มันถูกต้อง ถูกต้อง แปดประการนั้นแหละ ถูกต้องใน ความเชื่อ ความคิด ความรู้ ความเข้าใจ แล้วก็ถูกต้องในความปรารถนา แล้วก็ถูกต้องในการพูดจา ถูกต้องในการทำการงาน ถูกต้องในการดำรงชีวิต ถูกต้องในความพากเพียร ถูกต้องในความมีสติ ถูกต้องในความมีสมาธิ ฉะนั้นขอให้พวกเราทุกคน มีความถูกต้อง แปดประการนี้ เพิ่มขึ้นจากปีเก่า หรือว่าพูดอีกทีก็ ความผิดผิดนะ ความไม่ถูก ความผิดผิด เป็นมิจฉา มิจฉานะ ยกเลิก ทำลายให้หมดสิ้นไป แม้กระทั่งร่างกาย ก็ให้มันสะอาด ถูขี้ไคล ปีใหม่ให้หมดอย่าให้มันติด เอ่อ,ปีเก่าให้มันหมดอย่าให้มันติดไปถึงปีใหม่ อุจจาระปัสสาวะของปีเก่าถ่ายเสียให้หมด อย่าให้มันติดค้างไปถึงปีใหม่ นี่ว่ากันอย่างนี้มันง่ายดี แต่ว่าความจริง สติปัญญาโง่เขลา ไม่ถูกต้องของปีเก่า ถ่ายออกเสียให้หมด แล้วก็ปีใหม่มันก็จะมีแต่ความถูกต้อง เราก็จะมีปีใหม่ ที่สะอาดถูกต้องยิ่งขึ้น แล้วก็ทำหน้าที่ หน้าที่ของมนุษย์ถูกต้องยิ่งขึ้น ทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ถูกต้องยิ่งขึ้น ก็คือปฏิบัติธรรมะถูกต้องยิ่งขึ้น ธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่แปลว่าธรรมะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ เมื่อใดทำหน้าที่ ของสิ่งที่มีชีวิต เมื่อนั้นเรียกว่าปฏิบัติธรรมะ จะเป็นเรื่องการศึกษาก็ดี เป็นเรื่องการงานก็ดี เป็นเรื่องของการบริโภคผลงานก็ดี การพักผ่อนก็ดี ทุกอย่างๆ มันรวมเรียกว่าหน้าที่ของชีวิตทั้งนั้น ต้องทำให้ถูกต้อง ในเมื่อกำลังทำอยู่อย่างถูกต้องควรจะพอใจ เพราะว่ามันเป็นของประเสริฐที่สุด ถูกต้องที่สุดของมนุษย์ เมื่อพอใจมันก็เป็นสุข เราจึงเป็นสุขได้แท้จริง เมื่อทำการงานด้วยสติ สัมปชัญญะ รู้ว่าการทำงานนี้ถูกต้อง ทุกเวลานาทีทุกอิริยาบถ เมื่อคืนก็พูดแล้วแต่บางคนจำนวนมากนี้ไม่ได้มา ไม่ได้ฟังว่า เมื่อตื่นขึ้นมาจากที่นอนต้องรู้สึกว่า เรามีความถูกต้อง เราไม่มีบาป เราไม่มีเสนียดจัญไรอัปปรีย์ที่ไหน เรามีความถูกต้อง เราจะไป ล้างหน้า แปรงฟันก็พอใจว่านี้เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามหน้าที่ มันก็มีความสุข อิ่มอกอิ่มใจ พอใจ เมื่อล้างหน้าและแปรงฟัน จะทำอะไรอีกก็ทำเถอะ จะพอใจตลอดเวลาที่ทำ ไปกินอาหาร ก็รู้ว่านี้มันถูกต้องตามหน้าที่ ที่ต้องกินอาหาร กินด้วยสติสัมปชัญญะและด้วยความพอใจ รู้สึกว่าถูกต้อง มันก็กินอาหารด้วยดีมีความสุขตลอดเวลาที่เคี้ยว ที่กิน ที่กลืน แต่ถ้ามันเผลอเกิดกิเลส แล้วมันกินตะกละ เหมือนกับผีสาง ภูตผีปีศาจกิน นี่ล่ะ ไอ้กินอาหารนั้นไม่มีทางสงบสุข มันไม่ถูกต้องนี่ มันไม่ถูกต้องนี่ กินอาหารด้วยความตะกละมันไม่ถูกต้อง ถ้าเรากินด้วยสติ สัมปชัญญะ ถูกต้องตามหน้าที่ของธรรมชาติ มันก็พอใจ ถูกต้อง อิ่มอก อิ่มใจ ตลอดเวลาที่กินอาหาร สมมติว่าต้องล้างจาน กินแล้วก็พอใจยินดี มันถูกต้องนี่ เรา มันทำหน้าที่ถูกต้องนี่ แม้แต่ในการล้างจานมันต้องทำหน้าที่ มันเป็นหน้าที่ที่ถูกต้องเพื่ออยู่ได้ มันจะเอาจานข้าวไปเก็บ หรือมันจะล้างหม้อล้างไห หรือมันจะถูบ้าน ถูพื้น แล้วมันจะทำทุกอย่างแหละ มันจะตักน้ำ มันจะผ่าฟืน มันจะเลี้ยงหมู มันจะเลี้ยงเป็ดอะไรก็ ตามหน้าที่ พอใจตลอดเวลา แล้วมันพอใจในการกระทำ พอใจในตัวเองตลอดเวลา เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมูอยู่ ก็มีความสุขใจ พอใจในความถูกต้อง จนกระทั่งว่าไปทำอะไร ไม่ว่าที่ไหนจะเป็นความถูกต้องไปหมด แม้ที่สุดจะนั่งถ่ายอุจจาระ ก็ต้องพอใจในความถูกต้องในการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิต จะมีความสุขตลอดเวลาที่นั่งถ่ายอุจจาระ แต่ว่าไอ้ชาติโง่มันทำไม่เป็น ไอ้คนชาติโง่มันหาความสุขตลอดเวลาที่นั่งถ่ายอุจจาระไม่เป็น มันเดือดร้อนหรือมันหงุดหงิด หรือว่ามันมีอะไรที่มันตั้งจิตไว้ไม่ถูกต้อง บางทีมันทำเร็วๆ ทำจนเกิดโทษทางอวัยวะนั้นก็มี ถ้าถือวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว ภิกษุจะถ่ายอุจจาระรีบๆร้อนๆ จะเบ่งแรงมันเป็นอาบัตินะ แม้พระพุทธเจ้าสอนหน้าที่ละเอียดถึงขนาดว่า ถ่ายอุจจาระเบ่งแรงก็เป็นอาบัติ คนโง่มันไม่รู้ มันก็ทำอย่างเสียไม่ได้ แล้วมันก็เกิดเรื่อง เกิดโรค จะถ่ายปัสสาวะก็ดี จะทำอะไรก็ดี ต้องพอใจตลอดเวลา มันก็ไม่มีอะไร มีแต่ความสุขทุกอิริยาบถ ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก หายใจเข้าก็พอใจหายใจออกก็พอใจว่ามันเป็นความถูกต้อง เราสามารถมีความพอใจ เยือกเย็นใจ เป็นสุขใจตลอดลมทุกๆครั้งที่หายใจเข้าออก ทุกวินาทีเลย จนตลอดชีวิตเลย มีแต่ความพอใจเยือกเย็นเป็นสุขทุกวินาที นี่แหละเพราะเรามันรู้จักหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต เมื่อได้ปฏิบัติหน้าที่ ก็ต้องทำให้ถูกต้อง แล้วพอใจแล้วเป็นสุข หน้าที่ก็คือทำงาน ทำมาหากิน ถ้าทำไม่ถูกก็ต้องเรียน หน้าที่ก็ตั้งต้นด้วยจากการเล่าเรียน เล่าเรียนแล้วก็ไปทำไปปฏิบัติ แล้วก็เก็บเกี่ยวผลของการปฏิบัติ เอามาบริโภคมาใช้สอย และบางเวลาต้องพักผ่อน ความพักผ่อนก็ต้องเป็นหน้าที่ ต้องพักผ่อนให้ถูกต้อง ถ้าพักผ่อนผิดๆ มันไม่มีประโยชน์กับชีวิต เราต้องพักผ่อนให้ถูกต้อง พักผ่อนด้วยความพอใจในความพักผ่อน ทีนี้บางคนมันโง่มันทำไม่เป็น แม้แต่นอนพักผ่อน มันก็ยังวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ เดือดร้อนรำคาญ หัวใจมันคิดถึงแต่เรื่องของกิเลสนี่ มันไม่มีการพักผ่อนแม้แต่นอนมันก็ไม่มีการพักผ่อน ไม่เท่าไรมันก็ได้เป็นโรคประสาท ได้เป็นทุกข์ ชีวิตมันก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ความหม่นหมอง ถ้าทำถูกต้องแล้วมันก็มีแต่ความเยือกเย็นเป็นสุข ตลอดทุกอิริยาบถ ทุกลมหายใจเข้าออก คนโง่มันไม่เชื่อ ไอ้คนชาติโง่มันไม่เชื่อว่าเราสามารถมีความสุขทุกลมหายใจเข้าออก แต่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ ชัดเจนพอ มีสติกำหนดหายใจเข้าหายใจออก ด้วยความรู้สึกเป็นสุขทุกครั้งที่หายใจเข้า หายใจออก แต่คนโง่มันไม่เชื่อมันไม่ทำตาม ไม่ลองด้วยซ้ำไป นี่แหละขอให้ทำจนว่ามันมีความสุข ความเย็นอกเย็นใจอยู่ในชีวิต ทุกครั้งที่หายใจเข้าออกทุกๆอิริยาบถ นี่แหละมันจะพอกันที ไอ้คำอธิบาย ว่าหน้าที่นั่นแหละคือธรรมะเมื่อได้ทำหน้าที่ คือปฏิบัติธรรมะ พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองว่ามีหน้าที่ถูกต้อง ชื่นใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเอง นั่นเป็นสวรรค์ พอเกลียดตัวเองเป็นนรก ใครไหว้ตัวเองได้กี่คนไปคิดเอาเอง ถามก็ไม่มีใครบอกหรอก เลยไม่ถามดีกว่า ว่าใครยกมือไหว้ตัวเองได้กี่คน นั่นแหละคือสวรรค์ ใครเกลียดน้ำหน้าตัวเองอยู่กี่คน นั่นแหละมันคือนรกหมกไหม้ อยู่ที่ตรงนี้แหละไม่ต้องรอ ตอนตายหรอก ขอให้ได้สวรรค์ชนิดนี้แหละ ยกมือไหว้ตัวเองแล้วที่นี้ ตายแล้วได้สวรรค์ทุกชนิดเลย ขออย่าตกนรกชนิดนี้ ที่นี้แหละ ตายแล้วไม่ตกนรกชนิดไหนหมด นี้แหละเป็นสันทิฎฐิโก เราควบคุมสวรรค์ ควบคุมนรกได้ ตามความต้องการ จนกว่าจะพอใจในพระนิพพาน คือไม่เอานรกไม่เอาสวรรค์อีกแล้ว มันเรื่องบ้าทั้งนั้น ไม่เอาทั้งนรกไม่เอาทั้งสวรรค์นั่นแหละ จึงจะหมดปัญหา คือหลุดพ้นจากไอ้สิ่งที่มันรบกวนจิตใจโดยประการทั้งปวง นี้เขาเรียกว่าโลกุตระ โลกุตระ เหนือโลก คือพ้นนรก พ้นสวรรค์สูงขึ้นไป แต่ถ้ายังอยู่ในโลกนี้ มันจะต้องมีนรกมีสวรรค์ ขอให้ทำถูกต้องในลักษณะว่ามีสวรรค์อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ฉะนั้นจะต้องละอายแมว ละอายหมา หมาน่ะมีเวลาทุกข์น้อยที่สุด ฉันยืนยัน ฉันเลี้ยงหมาตลอดเวลา เห็นว่าเวลาที่มันเป็นทุกข์นั้นหายากที่สุด มันปกติ มันสบาย แต่สำหรับมนุษย์นี้แหละ มันเฮ้อ, มันต้องการมาก ตัวกู ของกูจะดีจะเด่นทุกลมหายใจเข้าออกเลย นี้มันเลวกว่าหมา ที่มีความทุกข์ทรมาน ตลอดเวลา หมา แมวมันไม่ได้มีความคิดจะว่าตัวกูจะดี ตัวกูจะเด่น ตัวกูจะดัง มันไม่มีนี่ มันคิดไม่เป็นนะ มันก็เลยอยู่ด้วยความสงบ เลยไม่เป็นโรคประสาท แมวหมาไม่เป็นโรคประสาท คนเป็นกันเกือบจะทุกคน จนโรงพยาบาลโรคประสาทมันไม่พอเสียแล้วนะ เอาล่ะเป็นอันว่า ขอให้เราได้รู้จักธรรมะ คือหน้าที่นี้ ดีกว่าปีเก่า ให้เรามีธรรมะ มีหน้าที่ ดีกว่าปีเก่า แล้วปีใหม่ก็จะมีสำหรับเรา แล้วจะเจริญงอกงามตามวิถีทางของพุทธบริษัท คือผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ตามรอยพระพุทธเจ้าไป ให้จนได้ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ถ้าใครเชื่อ นี้แหละขอให้เอาไปคิดไปนึกไปพิจารณา และเห็นด้วย แล้วก็ได้ปฏิบัติตาม ใครไม่เชื่อก็ไม่ต้องเอาไปคิด ไปพิจารณามันจะได้โง่เท่าเดิม มันจะได้โง่เท่าเดิม เพราะปีเก่ามันโง่เท่าไรปีใหม่มันจะโง่เท่าเดิม เอาละขอยุติ การบรรยาย เพื่อเป็นเครื่องตักเตือนพวกเรา ให้จัด ให้ทำ ให้ปีใหม่นี้มันดีกว่าปีเก่า มันก้าวหน้าสูงขึ้นไปกว่าปีเก่า ตามรอยพระพุทธเจ้ามีความสุขทุกลมหายใจเข้าออก ทุกอิริยาบถ ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ (นาทีที่ 43.00 - 52:05 เสียงสวดมนต์)
(นาทีที่ 52:06 เริ่มถอดเสียงต่อ) เสถียรแจกหนังสือเถอะเดี๋ยวพอตักบาตรแล้วมันยุ่งมันจะแจกไม่ได้ เถียร เอาหนังสือแจกเสียเถอะ เดี๋ยวมันยุ่งแจกไม่ได้นะ เอาเถอะนี้ รับศีลก็ทำไปพลางๆ คุณก็พูดไปเถอะรับศีล ฉันให้ศีลแล้วก็รับศีล คนหนึ่งเอาเล่มเดียวอย่าเอาสองเล่มเดี๋ยวจะไม่พอ เอาแจก พอตักบาตรแล้วมันยุ่ง มันแจกไม่ได้มันจะยุ่ง (นาทีที่ 57:58 - 59:30 เสียงสวดมนต์)
(นาทีที่ 59:31 เริ่มถอดเสียงต่อ) ก่อนจะอนุโมทนา ต้องทำสิ่ง สิ่งหนึ่งตามวินัย คืออุปโลกน์ ทายก ทายิกา ถวายสิ่งของ ณ ที่โน่น กันในรูปแบบของสังฆทาน แต่เราไม่ได้ไปเอามาจากที่โน่นหรอก เขาเอามาใส่ในบาตร ใส่ในบาตร ใส่ในบาตร มันกลายเป็นเอามาแจกลงไปในบาตร ขอให้ถือว่านั่นแหละ เป็นการถวาย ชนิดเป็นสังฆทาน มาถึงเข้าในพระภิกษุรูปใดแล้ว ภิกษุถือเอา ส่วนนั้นในนามของสงฆ์ ไม่ต้องผูกพันกันให้ยุ่ง ให้ด้วยเรื่องสิทธิ แล้วทะเลาะกัน ด้วยเรื่องสิทธิ ให้ถือว่า มาถึงเข้าที่ภิกษุรูปใด ให้นั่นเป็นการแจกภัตตาหารไปแล้วในตัว เป็นอันว่าเรื่องการถวายภัตตาหารนั้นเสร็จ เสร็จแล้ว ด้วยการทำอุปโลกน์นี้ ที่กำลังทำนี้ ทีนี้ก็จะอนุโมทนาแล้วให้พร ตามธรรมเนียม ชาวบ้านเรียกว่าให้พร เราเรียกอนุโมทนา เป็นเรื่องเดียวกันแหละ อนุโมทนาคือแสดงความพอใจ ยินดีในการกระทำที่ถูกต้องของท่านทั้งหลาย และขอให้พรให้ท่านทั้งหลายได้รับประโยชน์ คำว่าพรนั้นแปลว่าดี คำว่าดีแปลว่าพร ให้พรก็คือให้สิ่งที่ถูกต้อง ที่ดี ที่เอาไปศึกษาเอาไปประพฤติ เอาไปกระทำ เกิดเป็นความดีขึ้นมา เขาเรียกว่าให้พร ผลก็คือมีความสุข มีความสงบสุขเยือกเย็นตามความหมายของคำว่านิพพาน นิพพานแปลว่าเย็น ถ้าเย็นอกเย็นใจชีวิตเย็นแล้วก็เรียกว่าเป็นนิพพาน ถึงจะน้อยๆ หรือจะชั่วระยะสั้นๆ ก็ยังเป็นนิพพานอยู่นั่นแหละ เพราะมันเย็น คำว่าเย็นนั้นแหละ ว่านิพพาน คำว่านิพพานมันแปลว่าเย็น ถ้าเราได้ชีวิตเย็น นั่นแหละคือได้พร พรคือดี ดีที่ทำให้มันเย็น ให้มันไม่มีความทุกข์ ก็เหมือนกับที่พูดแล้วว่าต้องทำหน้าที่ ต้องไปปฏิบัติให้ดี แล้วดีมันก็เป็นพร แล้วมันก็ได้แก่คนนั้น ต้องปฏิบัติธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เมื่อไถนาจับไถ ไถนาอยู่กลางนา ก็พอใจว่าเย็นใจว่าทำหน้าที่ เมื่อขุดสวนอยู่ในสวนก็พอใจ ในการทำหน้าที่ ค้าขายทำขนมขาย ทอดขนมเหงื่อไหลอยู่ ก็ว่ามันทำหน้าที่ มันเย็นอกเย็นใจ มันเป็นกรรมกรอาบเหงื่ออยู่ มันก็เย็นอกเย็นใจ เพราะมันได้ทำหน้าที่ ไอ้เหงื่อมันมันกลายเป็นน้ำเย็นมันไม่ใช่น้ำร้อน มันจะเป็นกรรมกรแจวเรือจ้างทำอะไรก็ขอให้มันเย็น เย็น เย็น ถ้ามันไปนั่งขอทานอยู่ก็ขอให้จิตใจของมันเย็น เย็น เป็นขอทานก็จิตใจเย็น อย่าทำทุจริต นั้นแหละมันได้เย็น ได้เย็นคือได้พระนิพพานในความหมายว่าเย็น ถ้าว่ามันจะต้องเลี้ยงลูก เลี้ยงหลานคนแก่คนเฒ่าทำอะไรไม่ได้ มันก็ต้องให้ช่วยเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน ก็ขอให้เย็น บางคนเข้าใจผิด โอ๊ย, ภาระไม่สิ้นสุดต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน มันคนโง่นี่ มันต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน เพราะมันเป็นหน้าที่ คนแก่มันก็ต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานเพราะได้ทำหน้าที่แล้วพอใจแล้วมันก็เย็น ลูกหลานก็เหมือนกันเมื่อใดต้องเลี้ยง เลี้ยงดู ปู่ย่าตายายที่มันเฒ่ามันแก่ มันงก เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ไอ้ลูกหลานมันก็ต้องพอใจและเย็น พ่อแม่ปู่ย่าตายายคนเฒ่าคนแก่เขาเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น เขาทำเพื่อให้เราได้บุญ ให้พวกเราเด็กๆนี้มันจะได้ทำบุญ ถ้าคนเฒ่าคนแก่ต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานก็ให้พอใจว่าก็ได้ทำหน้าที่ของมนุษย์เหมือนกัน แล้วถ้าดีกว่านั้นนะคนแก่มันต้องรู้ว่า โอ้ว,นี่แหละมาสอบไล่กู ถ้ามันยังหงุดหงิดว่าต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน ก็มันสอบไล่ตก ถ้ามันทำสนุกสนานเพลิดเพลินไปแม้แต่การต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานนะ ก็มันก็ไม่มีความทุกข์ มันเป็นความถูกต้อง เพราะฉะนั้นอย่ายึดมั่นถือมั่นว่ากูไปอยู่วัดไม่ต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน นั่นมันก็เรื่องยึดมั่น มันยึดมั่นฝ่ายโน้นยึดมั่นฝ่ายนี้ จน จนโง่นะ อะไรมาถึงเข้าเป็นหน้าที่ของมนุษย์แล้วทำให้ลุล่วงไปด้วยดี ด้วยจิตใจที่เย็น เย็นทุกลมหายใจเข้าออก ทุกอิริยาบถ ทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งเดือน ทั้งปี นี่แหละคือความหมายของคำว่า ได้บรรลุนิพพานในปัจจุบันกาล ทุกอิริยาบถ ทุกลมหายใจเข้าออก ทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งเดือน ทั้งปี มีนิพพานในปัจจุบันกาล ถ้ามองเห็นแล้วมันก็ดีมาก ถ้าไม่มองเห็นนั่นมันก็ว่าบ้า เพราะเขาว่าอีกหลายร้อยชาติโน้นถึงจะนิพพาน เรามันนิพพานกันที่นี่ เพราะเราปฏิบัติหน้าที่ ที่ทำให้เกิดความเย็นเพราะพอใจว่าเป็นหน้าที่ ขอให้ท่านทั้งหลายเจริญด้วยพร คือทำหน้าที่ ที่เรียกว่าธรรมะ และเย็นอยู่ทุกอิริยาบถทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
เอ้า, ทีนี้ ถึงระยะที่ต้องตักบาตร ขอให้ตักด้วยมรรยาทของพุทธบริษัท นี้ด่าอีกแล้วนะ ขอให้ตักบาตรด้วยมรรยาทของพุทธบริษัท อย่าให้สับสนวุ่นวาย เหมือนกับว่าชิงซื้อปลาของชาวประมง นี้สำนวนบาลีนะ ในสำนวนบาลีนะ พระพุทธภาษิตนะ มัน มันพูดดังลั่นโกลาหลวุ่นวายสับสนเหมือนกับว่า ชาวบ้านไปคอยแย่งซื้อปลาของชาวประมงที่ไปจับปลา เข้ามา กลับเข้ามาในหมู่บ้าน มันแย่งซื้อกันอย่าง สำนวนนั้นเขาเรียกว่าไม่สุภาพ ไม่ใช่มรรยาท เราอย่าได้แย่งกันเหมือนกับซื้อ แย่งกันซื้อปลาชาวประมง ยืนอยู่กันตรงไหนแล้วเดินตรงเข้าไปตรงนั้น เมื่อตักแล้วก็ขอให้เวียนไปทางซ้ายมือเสมอไป ไปจนสุดแล้วค่อยกลับมาตั้งต้นอีก เดินตรงเข้ามาแล้วก็ตัก แล้วก็เวียนไปทางซ้ายมือ เลี้ยวซ้ายนะ ขวามือ มันอยู่ทางผู้ ผู้แสดงความเคารพ มันถูกต้อง เราว่าซ้าย ซ้ายมือหันไป แล้วขวามือมันจะอยู่ทางผู้ที่เราแสดงความเคารพ มันก็เข้ามาพร้อมกัน แล้วมันก็ค่อยย้อนกลับมาตั้งต้นใหม่ มันก็ไม่เบียดไม่อัดกัน ถ้าทุกคนตรงเข้ามาตรงศูนย์กลางหมดมันก็อัดกันไม่ต้องเดินกัน นี้มันไม่ฉลาด ไม่ใช่พุทธบริษัท ฉะนั้นตักบาตรให้เรียบร้อย ให้ผีที่อยู่ปลายไม้อนุโมทนาว่า เออ,เรียบร้อยๆ ถ้าตักกันสับสนวุ่นวายเหมือนกับแย่งกันซื้อปลาของชาวประมง แล้วผีที่อยู่บนยอดไม้มันจะหัวเราะ มันน่าละอาย ขอให้ทำอย่างที่ว่าแหละ ยืน เดิน ตรงเข้ามาตรงๆอย่ามาที่ศูนย์กลางกันหมด มันไม่มีที่จะหันตัว แล้วก็ซ้ายหันเดินไปตามลำดับ อ้าว,อีกเรื่องหนึ่งอีก ถ้าหากว่าใครมันจะปีใหม่จริงๆ แล้วก็อยู่กินข้าววัด จะได้เป็นข้าวปีใหม่ กินข้าววัด แล้วถ้าอยู่มากพอจะเทศน์จะบรรยายตอนสาย ตอนอะไรอีกถ้ามีคนอยู่ ถ้ามันกลับไปหมดก็เลิกกัน ถ้าใครอยู่วัดกินข้าววัด ก็ได้พูดกันอีก เดินเข้าไปตรงๆ