แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านพระธรรมทายาททั้งหลาย การบรรยายในครั้งนี้ ผมจะได้บรรยายต่อจากครั้งที่แล้วมา โดยหัวข้อว่าสิ่งที่ต้องรีบหยิบขึ้นศึกษาพิจารณาสำหรับธรรมทายาทแห่งยุคปัจจุบัน ขอได้สังเกตใจความหรือความมุ่งหมายของหัวข้อนั้นให้ชัดเจนด้วย และก็ได้ให้หัวข้อย่อยสำหรับจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็น ๓ หัวข้อว่านิพพานในปัจจุบันกาลนี่ข้อหนึ่ง การทำงานให้สนุกนี่อีกข้อหนึ่ง และสวรรค์นรกที่นี่และเดี๋ยวนี้อีกข้อหนึ่ง เมื่อวานเราพูดกันไปแล้วเรื่องนิพพานในปัจจุบันกาล เหลืออยู่อีก ๒ หัวข้อ คิดว่าคงจะพูดได้หมดในคราวเดียวในวันนี้ ขอทบทวนหรือย้ำอีกครั้งว่าสิ่งที่ต้องรีบหยิบขึ้นศึกษาพิจารณานั่นแหละสำคัญมาก แต่กลัวว่าจะไม่สนใจ กลัวว่าจะไม่หยิบขึ้นมาศึกษาพิจารณา ก็เพราะว่าไม่มีใครพูดอย่างนั้น หรือพูดออกไปแล้วมันก็ขัดกับที่เขาพูด ๆ กันอยู่ ก็เลยกลัว ก็เลยไม่กล้าพูด ประโยชน์ที่แท้จริงก็ไม่เกิดขึ้นเพราะว่าเราไม่กล้าพูด หรือว่าเพราะเราไม่มองเห็นเขาเสียเลยอย่างนี้ก็มี ทีนี้เขาว่าธรรมทายาทยุคปัจจุบันมันก็คือพวกเราเดี๋ยวนี้ ซึ่งจะต้องมีอะไรก้าวหน้าไปไกลกว่ายุคที่แล้วมา พูดให้ชัดก็พูดว่าทำหน้าที่ให้ดีกว่ายุคที่แล้ว ๆ มา ธรรมทายาทมีความหมายเป็น ๒ สถานคือ เป็นผู้รับมรดกธรรมเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเองนี่ก็อย่างหนึ่ง รับมรดกธรรมเพื่อประโยชน์แก่คนทั้งโลกนี่ก็อีกส่วนหนึ่ง มันเป็น ๒ ส่วนอยู่อย่างนี้ แม้เรื่องที่ว่าควรจะหยิบขึ้นมาศึกษาและพิจารณานี้ มันก็มีได้ทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายตัวเราเองก็พยายามศึกษาให้เห็นว่ามันมีนิพพานได้ในปัจจุบัน ทีนี้ที่เกี่ยวกับผู้อื่นก็คือพยายามทำความเข้าใจกับผู้อื่นให้เขามองเห็นว่านิพพานเป็นสิ่งที่มีได้ในยุคปัจจุบัน มันก็ทั้งเราเองและทั้งผู้อื่นได้รับประโยชน์ สำเร็จประโยชน์ด้วยกัน ที่ว่าทำงานให้สนุกนี่ก็เหมือนกันอีก สำหรับพระธรรมทายาทเองก็จะต้องทำงานให้สนุก คนทั้งโลกก็จะต้องทำงานให้สนุก เพราะว่าถ้าทำงานด้วยความฝืนใจมันก็คือตกนรกชนิดหนึ่ง บางทีจะเป็นเปรตชนิดหนึ่งด้วยซ้ำไป คือมันหิวกระหายกระวนกระวายเพราะการงานมันไม่ได้อย่างใจและมันไม่สนุก ถ้าการงานมันสนุกเป็นสุขเสียแล้วมันก็ไม่ต้องหิวกระหาย ไม่ต้องเป็นทุกข์เหมือนกับสัตว์นรกชนิดหนึ่ง และก็ไม่หิวกระหายอะไรเหมือนเปรตชนิดหนึ่ง ผมมองเห็นอย่างนี้ จึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่เราควรจะรู้ ต้องหยิบขึ้นมาศึกษาและพิจารณา เขาว่าทำงานให้สนุกนี่ มันมีอานิสงส์เหลือหลายมากมาย คือมันไม่เป็นทุกข์ ในเมื่อทำงานนี้ เหมือนกับที่เขาทำกันโดยมาก ทำงานด้วยความเครียด กระฟัดกระเฟียดด่าทอโชคชะตาหรือกระทั่งด่าตัวเองอยู่เรื่อยไปนี่ก็มีอยู่ทั่ว ๆ ไป ไม่ได้ทำงานด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนกับว่าได้ทำสิ่งที่พออกพอใจและสนุกสนาน ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะเขาไม่รู้ว่าไอ้การงานคืออะไรนั่นเอง ที่นี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าทำงานสนุก มันก็ทำได้มากกว่าธรรมดามาก มันทำจนลืมหยุดพัก ลืมกินข้าว ลืมอะไรที่มันควรจะลืมหลายอย่าง อย่างผมนี่คุยได้เลยว่าทำงานสนุกจนลืมสึก ถ้าท่านทั้งหลายทำงานสนุกจนลืมสึกล่ะก็ ผมคิดว่าคงเหลืออยู่แยะทีเดียว ธรรมทายาทจำนวนเท่านี้ ถ้าทำงานสนุกจนลืมสึก มันก็เหลืออยู่สำหรับทำงานนั้นมาก มันไม่มีอะไรจริง ๆ นี่เป็นเรื่องพูดด้วยความจริงใจว่าที่มันอยู่มาได้นี่ เพราะสนุกในการงานในหน้าที่ แต่สมัยนั้น สมัยที่ผมทำ ไม่ได้มีคำว่าธรรมทายาทหรอกยังไม่ได้รู้จักพูดคำนี้ แต่ก็ทำงานอย่างเดียวกันแหละ ทำงานอย่างรับมรดกของพุทธเจ้าก็คือขวนขวายเพื่อให้มันรู้ รู้แล้วก็ปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วก็สั่งสอนสืบต่อ ๆ ไป มันก็อย่างเดียวกันกับที่เรากำลังพูดหรือกำลังทำกันอยู่ที่นี่นั่นแหละ ที่ว่าทำงานสนุกนี่ มันทำได้มาก เขาทำกัน ๘ ชั่วโมง เขาก็เลิก ยิ่งงานรับจ้างงานราชการแล้วคอยโกงเวลาไม่ถึง ๘ ชั่วโมงมันก็เลิก เพราะมันไม่รู้สึกสนุกอะไรนี่ มันรู้สึกเป็นการอดทนทรมาน ถ้าเราทำงานสนุกมันก็ทำลืม ลืม ลืมหยุด และทำได้มากกว่ากันหลายเท่า เขาทำงานกันวันละ ๘ ชั่วโมงอัตราสากล แต่ผมทำงานวันละ ๑๘ ชั่วโมงอัตราของทำงานสนุก งานมันจึงมีขึ้นมามาก อย่างที่ให้ใครได้เห็น ได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟังอยู่นี่ มันก็เป็นผลของงานที่ทำสนุกทั้งนั้น ๑๘ ชั่วโมง แล้วก็เว้น ๖ ชั่วโมงคือเวลาพักผ่อนนอนหลับ กับฉันอาหารบ้าง นอกนั้นมันทำหมดเลย ให้มันทำหมดเลย ที่เหลือจากพักผ่อน กินอาหารบ้าง ๖ ชั่วโมงต่อวัน นอกนั้นมันทำงานหมดเลย ทำงานจนอ่อนเพลียต้องพักผ่อนต้องนอนจึงจะไปจำวัด ถ้าทำหนักก็จริงนะ แม้แต่จำวัดแล้วมันก็ฝันทำงานได้ ฝันชนิดที่ว่าคิดอะไรออก คิดอะไรออกในความฝันก็มี ซ้อมความชำนาญในความฝันก็มี ถ้าจะคิดวันนี้ก็เป็นการทำงานเหมือนกันด้วยแล้วล่ะก็ มันเกิน ๑๘ ชั่วโมงเสียอีก มันก็ดูผลงานที่ทำมาแล้ว ที่ดูได้ก็คือที่มันพิมพ์ขึ้นมาเป็นเอกสาร เป็นลายลักษณ์อักษรที่มันสูญหายไปนั้นเสียมากมาย บางทีจะมากกว่า การเทศน์ การสอน การบรรยาย ในยุคต้นๆ นั้น ไม่เก็บไว้ได้หรอก เพราะเราไม่มีเครื่องบันทึกเสียง ไม่ได้มีการจดมันก็ไม่ได้ ใช้ไม่ได้ ผมไปอบรมบรรยายชุดใหญ่ ๑๔ จังหวัดภาคใต้ จังหวัดหนึ่งหลาย ๆ แห่ง บางทีทุกอำเภอหรือว่าย่อยลงไป เป็นทำบุญก็มี หายไปหมดเลย ไม่ได้เก็บไว้ได้ เพราะมันไม่มีใครจะจดได้ จะจดทัน และไม่มีเครื่องบันทึกเสียง ตัวเองมันก็จดไม่ไหว แม้จะนึกถอยหลังเขียนขึ้นมาอีกมันก็ไม่เหมือน ก็ไม่ชอบใจแล้วก็ไม่ได้ทำ นี่วัดดูว่ามันมากและมันก็เงียบหายไปมาก ที่บันทึกไว้ได้เพราะการจดชวเลขในยุคแรก ๆ เขามี ก็ไม่ได้มากมายอะไร ต่อเมื่อมีการใช้เครื่องบันทึกเสียงนี่มันก็เหลืออยู่มาก สมัยหนึ่งใช้เส้นลวดซึ่งขลุกขลัก บางทีก็ได้ บางทีก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่สมบูรณ์ มาถึงยุคหลังใช้เครื่องบันทึกเสียงชนิดมีเส้นเทปนี่ ก็เรียกว่าได้หมด เว้นแต่บางครั้งที่มันไม่อาจจะบันทึกก็มีเหมือนกัน อย่างไปเทศน์ในรั้วในวังนี้มันก็ไม่ได้บันทึกไว้ ผมก็เคยไปเทศน์ที่ตำหนักไกลกังวลหรือว่าในพระตำหนักสวนจิตรลดา อย่างนี้ไม่ได้มีบันทึกไว้ เพราะมันไม่เหมาะ แต่เท่าที่บันทึกไว้ได้ ก็ดูในตึกที่เรียกว่าตึกศาลาธรรมโคตร (นาทีที่ 12:55) หลังแดงนั่นแหละ ที่พิมพ์ขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรมีเท่าไหร่ก็ไปคำนวณดูว่ามันต้องทำกันเท่าไหร่ เหน็ดเหนื่อยกันสักเท่าไหร่มันถึงจะได้กันเท่านั้น ที่ยังไม่ได้ถอดออกเป็นตัวหนังสือก็ยังมีอีกมาก บางทีจะมากกว่าด้วยซ้ำไปที่ยังไม่ได้ถอดออกมาเป็นตัวหนังสือ นี่ไปยืนพิจารณาดูว่าทำไมมันจึงทำมาก ได้มากเท่านี้ หลายคนเขาไปมองดูเขาบอก เขาไม่อยากจะเชื่อว่าทั้งหมดนั้นคนเดียวทำ เขาว่าอย่างนั้น เขารู้สึกว่าอย่างนั้น แต่แล้วมันก็เป็นความจริง ด้วยเหตุปัจจัยอย่างเดียวนั่นคือทำงานสนุก ทำงานสนุก ถ้าทำงานไม่สนุกมันก็ไม่มีได้มากอย่างนี้ นี่ไปพิจารณาดูมันอยู่เป็นประจักษ์พยาน พิจารณาดูให้ดี ๆ ว่ามีความมากเท่าไหร่ และก็จะเกิดกำลังใจในการที่จะทำงานให้สนุกบ้าง มันก็คงจะได้มากกว่าที่จะไม่มีแผนการอย่างนี้ นี่เรื่องทำงานให้สนุกสำหรับหน้าที่เผยแผ่ธรรมะ แม้งานที่ไม่ใช่เป็นการเผยแผ่ธรรมะ แต่เป็นการศึกษาส่วนตนก็เหมือนกันแหละ แต่ทำการศึกษาปริยัติก็ดี ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็ดี ถ้าสนุกมันก็ทำได้มาก และผมก็อยากจะพูดว่าโดยเนื้อแท้แล้วมันสนุก คือ ธรรมชาติมันมีให้อย่างสนุก แต่เรามันสนุกไม่เป็น สนุกไม่เป็นแล้วจะโทษใคร ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่ทำให้สนุกได้โดยธรรมชาติ แต่เราทำไม่เป็น มันก็ไม่สนุก มันก็ดูเด็ก ๆ ดูเณร ดูอะไรที่เขาศึกษาเล่าเรียนกันไม่สนุก แล้วเขาก็เหลวไหลเสีย เลยไม่ได้อะไร ก็มีอยู่มาก ถ้าเด็กหรือเณรคนไหนมันเรียนสนุก มันก็ไปได้รอด ข้อนี้มันเนื่องอยู่ในปัจจัยมากกว่า ๑ อย่าง คือว่า สติปัญญาต้องมีพอสมควรไม่ใช่เอาคนโง่ คนปะทะปรมะ (นาทีที่ 16:02) มาเรียน อย่างนี้ไม่มีทางจะสนุกได้ แต่ถ้ามันนึกเห็นว่าไอ้หน้าที่หรือธรรมะเป็นสิ่งเดียวกัน เราเรียนนี่ก็เป็นการปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ แม้จะเป็นคนโง่ มันก็ยังเรียนสนุกกว่าที่มันจะไม่รู้จักคิดนึกอย่างนี้ ดังนั้นเราพิจารณาดูให้ดี ทำให้ได้ผลดีที่สุด คือสนุกที่สุดเท่าที่มันจะอำนวยให้ได้ ในการเรียนปริยัติก็ดี ในการปฏิบัติก็ดี กระทั่งในการเผยแผ่ก็ดี เดี๋ยวนี้มันไม่มีใครเชื่อว่าการงานเป็นสิ่งที่ทำให้สนุกได้ เขาไม่เชื่อว่าการงานเป็นสิ่งที่ทำให้สนุกได้ แต่โดยเขาถือเสียว่า ถ้าขึ้นชื่อว่าการงานแล้วมันทรมานทั้งนั้นเลย มันทรมานทั้งนั้นเลย มันคิดไปอย่างนี้ ถ้าท่านผู้ใดเคยรู้สึกนึกยึดถืออย่างนี้ ก็ขอให้พิจารณากันเสียใหม่ ให้พบแง่มุมของความจริงที่ว่าการงานนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้สนุกได้ และเราก็ทำให้สนุกเสียก่อนแล้วจึงจะไปสอนผู้อื่นให้ทำงานให้สนุกได้ เดี๋ยวนี้ความต้องการ ต้องการสิ่งนี้ ต้องการการทำงานให้สนุกมีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้ในประเทศเรา ผมคิดว่าทั่วโลกก็ได้ คนทำงานทั่วไปไม่รู้สึกสนุกในการทำงาน เขาอยากจะทำให้น้อยที่สุดและเรียกค่าแรงให้มากที่สุด แล้วยังเรียกตอบแทนพิเศษอะไรอีกมากมายหลายอย่าง จนเป็นข้อทะเลาะวิวาทกันตลอดเวลาระหว่างกรรมกรกับนายทุน กรรมกรกับรัฐบาล เพราะว่ากรรมกรเขาต้องการจะทำงานน้อยที่สุด แล้วเอาผลค่าจ้างให้มากที่สุด มันก็ไม่ถูก ไม่ถูกโดยธรรมชาติด้วย ไม่ถูกตามที่เหตุการณ์ปัจจุบันมันมีให้ด้วย ถ้าทำงานสนุกประชาชนก็ทำงานได้มาก ความยากจนก็ไม่มี ก็ไม่เป็นภาระแก่รัฐบาลที่จะต้องแก้ปัญหาความยากจนของประชาชน เป็นปัญหาหนักทุกหนทุกแห่งทั่วไปทั้งประเทศ จะแก้ไขความยากจนของประชาชนผู้ทำงานไม่สนุก ถ้าเกิดทำงานสนุกขึ้นมาปัญหาเหล่านี้มันเกิดไม่ได้ เพราะคนจะมีกินมีใช้ จะไม่ประสบความยากจน ถ้าเราดูคล้อยหลังไปสักหน่อยจะพบว่า ไอ้คนชั้นบรรพบุรุษปู่ย่าตายาย เขาทำงานสนุกกว่าชั้นลูกหลาน ซึ่งไม่ค่อยอยากจะทำงานด้วยแรงกาย หวังแต่ว่าจะไปหาวิชาความรู้ มีวิทยาฐานะไปทำงานเบา มีเกียรติยศมาก ได้เงินมากกันทั้งนั้นแหละ การทำไร่ทำนาทำสวนทำงานด้วยแรงนี้ไม่มีใครคิดจะทำ โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นหลังๆ ไม่เคยคิดจะทำ มันก็เลยไปตกเป็นภาระหนักแก่ส่วนรวม คือ มีความขาดแคลนทั่วไปหมด และรัฐบาลจะเก็บภาษีจากคนขาดแคลน มันก็เก็บยาก และมันก็ไม่พอที่จะมาช่วยเหลือกัน เพียงแต่ประชาชนทุกคนทำงานสนุก ปัญหาทางเศรษฐกิจก็จะหมดไป มันแก้ได้ด้วยเหงื่อของประชาชนนั่นเอง ฟังดูแล้วมันก็น่าหัวปัญหาเศรษฐกิจของชาตินี่ มันจะแก้ได้ด้วยเหงื่อของประชาชน เดี๋ยวนี้ประชาชนเพิ่มขึ้นๆ และก็ไปสนุกกับสิ่งบำรุงบำเรอกิเลส สนองกิเลสที่เรียกว่าอบายมุขหรือสถานเริงรมย์ทั้งหลายมากขึ้นๆ ไม่ค่อยจะรู้จักเหงื่อ ไม่ค่อยจะมีเวลาออกเหงื่อ มันก็เกิดปัญหายุ่งยากทางเศรษฐกิจทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวมของประเทศชาติ ถ้าคนเหล่านี้กลับหลังหัน ยินดีที่จะอาบเหงื่อ สนุกกับเหงื่อ เว้นไอ้สิ่งสำราญสำเริง สำอางสำอะไรนั่นเสียล่ะก็เศรษฐกิจจะดีขึ้นทันควัน ท่าน (นาทีที่ 22:08) ได้เสีย สูญเสียไปมาก เพราะไอ้สิ่งสนองกิเลสทั้งนั้น สินค้าที่เข้ามาจากต่างประเทศที่มามากที่สุด มันเรื่องสนองความบันเทิงสำเริงสำราญเป็นส่วนใหญ่เกินความจำเป็น แม้แต่เรื่องรถยนต์อย่างนี้กำลังกลายเป็นเรื่องเกินจำเป็นไปเสียแล้ว กลายเป็นความสำราญสำเริงไปเสียแล้ว และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายซึ่งไม่ต้องใช้ต้องกิน แต่ก็ยังต้องใช้ต้องกิน ดูของบางอย่างที่เข้ามาจากต่างประเทศ เช่นเครื่องดื่มบางอย่าง เช่นขนมบางอย่าง อะไรบางอย่างนี้ รู้สึกสังเวชว่าเราต้องเสียเงินเหล่านี้ไปให้กับต่างประเทศ เพราะเราไปชอบเอร็ดอร่อยอย่างนั้น ไม่เอร็ดอร่อยอย่างที่เรามี มันเรื่องมาก พูดแล้วมันก็อาจจะรำคาญ ฉันว่าจะกินกล้วยน้ำหว้าลูกหนึ่ง มันยังได้ประโยชน์กว่าไอ้ช็อกโกแลตหรือไอ้ลูกกวาดบางชนิด ชิ้นเดียวมีราคาแพงหลายสิบเท่าของกล้วยน้ำหว้าลูกหนึ่ง เราก็ไม่กิน เราก็ไม่ไปกิน เราก็ไม่อยากจะกิน นี่อย่างนี้มันเป็นเรื่องสร้างปัญหาหนักทางเศรษฐกิจให้แก่ส่วนรวม หรือว่าทั้งโลกมันก็หมุนไปในทางสะดวกสบาย เลยนั้นไปก็คือเอร็ดอร่อย สนุกสนาน ยังสะดวกสบายนี้มันก็ไม่ใช่เล่นล่ะนะ แต่ถ้ามันเลยไปถึงสนุกสนานสำราญสำเริงแล้วมันก็ยิ่งไปกันใหญ่ ยิ่งมากขึ้นในส่วนนี้ เดี๋ยวนี้ยิ่งมากขึ้นในส่วนนี้ เกิดขึ้นมากเท่าไหร่ ก็ทำให้เกลียดการอาบเหงื่อ เกลียดการมีเหงื่อ เกลียดการทำงานชนิดที่ต้องออกเหงื่อ เป็นเครื่องทับถมให้การงานเป็นของไม่สนุกยิ่งขึ้น ไม่สนุก การทำไร่ไถนาทำสวน ค้าขายอะไร ก็เป็นเรื่องน่าเบื่อที่สุด แต่ต้องทำ ก็เหมือนกับบังคับให้ตกนรก การทำงานให้สนุกจึงหาดูไม่ค่อยได้ในโลกนี้ ที่นี้ถ้ามองเข้ามาในวัดมันก็เหมือนกันแหละ แม้ในวัดเรานี่ก็หาดูยากในการทำงานให้สนุก มันมีแต่ฝืนทำเพราะว่าเป็นสิ่งที่บังคับให้ต้องทำ น้อยรายที่จะทำอย่างสนุกสนาน วิ่งทำเต้นทำกันอย่างสนุกสนาน เหมือนๆ กับชาวบ้านทำงานไม่สนุก มันก็สร้างปัญหาขึ้นในเบื้องหลัง ด้วยความที่ไม่สมดุลกัน ผมจึงเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่พวกเราจะต้องช่วยกันนำออกไปเผยแผ่ให้เป็นที่เข้าใจแก่ประชาชนว่า งานนั้นทำให้สนุกได้ และเราต้องทำงานให้สนุก เพื่อมีความสุขในการงานนั่นเอง นี่มันเป็น ๒ ขยักอยู่ เขาทำงานไม่สนุกด้วย และไม่มีความสุขในการงานด้วย และเอาเงินไปซื้อหาปัจจัยบำรุงบำเรอกิเลสมากที่สุดด้วย ไปรูปนั้น นี่ฝ่ายนี้ทำงานมันก็สนุกและมันเป็นสุขเสียเมื่อกำลังทำงาน เลยไม่ต้องเอาเงินไปซื้อหาปัจจัยแห่งกิเลสที่ไหน เพราะมันไม่ใช่ความสุขนี่ ปัจจัยแห่งกิเลสเป็นเพียงความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ไม่ใช่ความสุข เรามีความสุขแท้จริงเสียแล้วเมื่อทำงานสนุก และมันก็ไม่ต้องการความสุขหลอกลวง มันก็เลยไม่ต้องเอาเงินไปซื้อความสุขหลอกลวง เงินมันก็เหลืออยู่สิ เงินก็เหลืออยู่สำหรับแก้ปัญหาที่ควรจะแก้ ไอ้คนก็เป็นสุขตลอดเวลาที่ทำงาน นั่นแหละเป็นส่วนหนึ่งของคำว่าเราจะมีชีวิตที่เยือกเย็นเป็นนิพพานได้ทุกๆ อิริยาบถของชีวิต ถ้าเป็นสุขได้เมื่อทำการงาน มันก็เย็นเป็นนิพพานอยู่เมื่อทำการงาน มีความสุขด้วย ผลงานก็ได้ด้วย และเงินมันก็จะเหลือสำหรับเอาไปใช้ในส่วนที่ควรจะใช้จริงๆ ไม่เอาไปใช้ ในความเพลิดเพลินที่หลอกลวง คนเป็นอันมากเขามีข้อแก้ตัวว่าต้องพักผ่อน พักผ่อนนั้นต้องไปหาสิ่งเพลิดเพลิน นี่ผมขอร้องให้พระธรรมทายาททุกองค์ ศึกษาข้อนี้ให้มากที่สุดว่า การพักผ่อนนั้น ต้องมีด้วยสิ่งที่เพลิดเพลินหรืออะไรกันแน่ ไอ้ความเพลิดเพลินอย่างไหน ความเพลิดเพลินอย่างเต้นรำ ความเพลิดเพลินดูหนังดูละคร ความเพลิดเพลินฟังเพลงอะไรก็ตาม ไม่ใช่การพักผ่อน มันแต่เพียงเปลี่ยนรูปแบบของการเคลื่อนไหว มันไม่ได้เป็นการหยุดพักผ่อน ถ้าไปดูหนัง จิตมันก็เคลื่อนเลื่อนลอยไปตามความหมายในเรื่องของหนัง แล้วยิ่งไปเต้นรำมันก็ยิ่งไม่เป็นการพักผ่อน แต่มันมีความสนุกชนิดหนึ่งมากลบเกลื่อน ไม่ให้รู้สึกเหนื่อยทั้งที่มันจะเหนื่อยแทบตาย หรือว่ามันจะไปหาของมึนเมา เช่นบุหรี่ เช่นเหล้า เช่นอะไรก็ตาม เอามาดื่มมากินเป็นการพักผ่อน มันก็ไม่พักผ่อน ถ้ามันถูกกระตุ้นไปแบบหนึ่งให้เคลิบเคลิ้มไปในอีกแบบหนึ่งมันไม่ใช่การพักผ่อน การพักผ่อนที่แท้จริงคือการหยุดทั้งทางกายและทางจิต ระบบการทำงานทางกายก็หยุดเหมือนอย่างเรานอน ระบบทางจิตก็หยุดนั่นแหละคือการพักผ่อน แต่การที่จะเอาไอ้กามารมณ์หรือเอาไอ้สิ่งมึนเมาเข้ามาเป็นการพักผ่อน มันพักไม่ได้ เพราะมันไม่ได้หยุด แม้จะกินของมึนเมาดูเสมือนหนึ่งว่าหยุด มันก็ไม่ได้หยุด มันไปทำงานในอีกรูปแบบหนึ่ง ต่อสู้กันอย่างใหญ่หลวงเหมือนกันระหว่างสิ่งมึนเมากับร่างกายนี้ เราจงช่วยบอกเขาเหล่านั้นว่าการพักผ่อนที่แท้จริงนั้น มันต้องทำให้พักหยุดทั้งระบบกายและระบบจิต ก็คือกรรมฐานหรือภาวนา อย่างที่มีหลักปฏิบัติอยู่ในพระพุทธศาสนา ลองหันมาทำที่เรียกว่ากรรมฐานก็ได้ วิปัสสนาก็ได้ เจริญภาวนาก็ได้ ให้ถูกตามหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ และมันก็จะมีผลต่อการหยุดทั้งทางกายและทั้งทางจิต นี่คือการพักผ่อนที่แท้จริง ถ้าเข้าถึงได้จะมีความสุขอย่างยิ่งเหมือนกัน มีความสุข ให้ความรู้สึกไม่น้อยกว่าเรื่องยาเสพติดหรือเรื่องเพลิดเพลินใดๆ ไปเสียอีก เพราะมันได้หยุดจริง แต่โดยเหตุที่เข้าถึงมันไม่ได้ ก็เลยไม่รู้จัก และก็ไม่เคยหวังที่ว่าจะเอาเรื่องนี้เป็นความพักผ่อน มันก็เหลว เหลวหมด เหลวกันไป ไม่อาจจะเอาพระธรรมนี่ไปเป็นเครื่องพักผ่อน เราควรจะพยายามอย่างยิ่งที่จะให้เขามีความรู้มีความเข้าใจในเรื่องนี้ว่าการพักผ่อนนี้มันอยู่ที่การหยุดเสียได้ทั้งระบบกายและระบบจิต โดยวิธีที่เรียกว่ากรรมฐานหรือภาวนา นี่เราต้องทำให้ได้เองก่อน เราต้องไปพบการพักผ่อนด้วยตนเองเสียก่อน แล้วจึงจะไปสอนประชาชนให้รู้จักใช้ระบบการพักผ่อนที่แท้จริงอย่างนี้ นี่ถ้าทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่า ได้ทำหน้าที่ที่สูงสุดได้มากด้วย เป็นธรรมทายาทที่มีประโยชน์มากที่สุด ตรงตามพระพุทธประสงค์ด้วย ช่วยเหลือประชาชนให้มีความทุกข์น้อยลงด้วย และยังจะช่วยเหลือประเทศชาติรัฐบาลที่ต้องการให้มันดีขึ้นในทางเศรษฐกิจ หรือในทางการปกครองหรือในอะไรทุก ๆ ทาง ถ้าประชาชนมีธรรมะ มีศีลธรรมอย่างนี้มันก็ได้ผล ธรรมทายาทนี่ต้องยอมรับรู้ความประสงค์ของประเทศชาติ ไม่ใช่เพียงแต่ของศาสนาอย่างเดียว ฉะนั้นเรามาพูดเรื่องทำงานให้สนุกกันให้ชัดเจน เพื่อเอาไปเผยแผ่ให้ระบาดออกไปและเป็นประโยชน์มหาศาล คำว่าสนุก สนุกนี่มันมีความหมาย ๒ อย่าง สนุกของกิเลสก็มี ก็สนุกไปแบบหนึ่ง สนุกของสติปัญญาของโกฑิ(นาทีที่ 43.30)นี่ก็มี เราต้องรู้จักแยกออกจากกันชัดเจนและบอกให้ทุกคนมันรู้ว่าอย่าเอาแต่สนุก สนุกนัก ถ้ามันสนุกของกิเลสแล้วมันก็ลงเหวหมด มันต้องสนุกของโกฑิคือสติปัญญา ความรู้ที่ถูกต้อง เรียกว่าสนุกโดยธรรมะไม่ใช่สนุกโดยกิเลส นี่ประชาชนเขาเป็นสุขสนุกอะไรกันอยู่นี่ เป็นไอ้สุขสนุกของกิเลสทั้งนั้นเลยทั้งโลกก็ว่าได้ เดี๋ยวนี้ดูสิความเจริญก้าวหน้าอย่างยิ่งในโลกนี้ เพื่อเป็นปัจจัยแก่กิเลสทั้งนั้น นิยมกันอย่างกับเป็นสิ่งสูงสุดขาดไม่ได้ กิเลสก็เลยได้เป็นพระเจ้าครองโลก เพราะมนุษย์โง่ไป เผลอไปในทางนี้ กิเลสก็มีโอกาสเป็นพระเจ้าขึ้นมาครองโลก พระเจ้าที่แท้จริงหรือธรรมะแท้จริง มันก็ถูกกระทบกระเทือนกีดกันออกไป ไม่ใคร่จะมีความสำคัญหรือหน้าที่อะไรในหมู่ชนชาวโลก ในที่สุดโลกนี้ก็เป็นโลกของกิเลสไป จะทำอะไรกันต่อไป ตามวัตถุประสงค์หรือความต้องการของกิเลสนั่นเอง ที่แสวงหาปัจจัยเพื่อกิเลสนี่เป็นข้อแรก และก็หาหนทางที่จะให้ได้มา มันก็มีแห่งการกระทำที่ต่อไปอีกก้าวหนึ่งคือการทำสงคราม เพื่อชัยชนะและเราก็ได้มาซึ่งปัจจัย สำหรับกิเลส สำหรับสนุกสนานเอร็ดอร่อยยิ่งขึ้นกว่าเก่า เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ทั่วไปทั้งโลก ไอ้กลุ่มที่มันก้าวหน้ามันก็มีอาวุธชนิดที่เรียกกันว่าอาวุธมหาประลัย ไม่รู้แล้วแต่จะเรียก ที่สามารถจะทำลายโลกได้ เป็นเครื่องมือยึดครองโลก กอบโกยเอาปัจจัยในโลกเป็นของตน แล้วก็ติดตามไปดูว่าเขาจะเอาปัจจัยเหล่านั้นไปทำอะไร มันไม่ได้เอาไปเพื่อประโยชน์ของใคร หรือว่าไปช่วยเหลือใคร นอกจากสนองแก่กิเลสตัณหาของตน เขาจะสร้างหรือมีหรือใช้อะไรที่เกินจำเป็น เกินจำเป็น เกินจำเป็น เกินจำเป็นยิ่งๆ ขึ้นไป และไม่เท่าไหร่มันก็ต้องทุบทิ้ง เพราะมันต้องการจะสร้างใหม่ให้ดีกว่าเก่า มาศึกษาเรื่องไอ้สถาปัตยกรรมโลกกันดูบ้างว่าดูมันจะทุบทิ้งกันอีกภายใน ๕๐ ปีไหม ไอ้สิ่งที่สร้างขึ้นมาใหญ่โตที่สุด สวยงามที่สุด หรูหราที่สุด ต่อมาไม่ถึง ๕๐ ปีมันก็พบแบบที่ใหญ่กว่านั้นดีกว่านั้น ทีนี้ก็ทุบไอ้ของเก่านั้นทิ้งโดยไม่ทันจะชำรุดทรุดโทรมโดยธรรมชาติเหล่านี้ คือเรื่องในโลกกำลังเป็นอยู่อย่างนี้ ไอ้ที่เราเห็นในภาพถ่ายไม่เคยไปดูด้วยตา มันทุบทิ้งมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งและมันก็ยังจะทุบทิ้งต่อไปและสร้างใหม่ให้มันประเสริฐวิเศษใหญ่โตกว่านั้น และไม่เท่าไหร่มันก็ทุบทิ้งอีก นี่ใครล่ะเป็นผู้เสียเวลา เป็นผู้ลำบากทุกข์ยากทนทรมานในการกระทำอย่างนี้ มันก็คือคนโง่ทั้งหลายนั่นเอง นี่คราวสนุกตามอำนาจของกิเลสมันเป็นอย่างนี้ ถูกแล้วมันเป็นเหตุให้ก้าวหน้า ให้ก้าวหน้าให้ทำอะไรมากขึ้น ทำอะไรมากขึ้น นี่ถูกนี่จริง แต่มันเพื่อกิเลสยิ่งๆ ขึ้นไป และมันก็ต้องลำบากมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีกตามเดิม ทีนี่ความสนุกอย่างที่สองคือสนุกอย่างถูกต้อง สนุกโดยธรรมะรวมทั้งความสุขด้วย แล้วมันถูกต้อง และมันไม่ต้องทำอย่างนั้นนี่ มันเป็นสุขอยู่ได้โดยธรรมชาติหรือตามธรรมชาติ หรือแม้แต่มากกว่าธรรมชาติก็นิดหน่อยเท่านั้นแหละ เช่นเราไม่ต้องสร้างตึก ๑๐๐ ชั้น ๒๐๐ ชั้น ธรรมดาชั้นสองชั้นมันก็พอจะหาความสุขกันได้ ถ้านึกถึงคนโบราณเขาอยู่พื้นดิ เขาก็หาความสุขได้ มีจิตใจเป็นสุขได้ถึงขนาดเหนือโลก ทั้งที่ว่ามีชีวิตอยู่กลางดิน เดี๋ยวนี้ก็เถอะมันไม่ต้องหรูหราอะไรกันมากมายถึงขนาดนั้น พอๆ ดี พอๆ ดีมันก็อยู่กันเป็นสุขได้ ไม่เปลืองมาก ไม่ลำบากมาก และปัจจัยเหล่านั้นก็มาใช้ในทางที่จำเป็นอย่างอื่น ทางสุขภาพ ทางอนามัย ทางการศึกษาที่สมควรหรืออะไรก็แล้วแต่ นี่สนุกโดยธรรมกับสนุกโดยกิเลสเรียกว่ามันตรงกันข้าม อย่างหนึ่งมันสร้างความพินาศ อย่างหนึ่งมันสร้างความสันติสุข สันติภาพหรือความสงบเย็น จะได้มีชีวิตเย็นก็อยู่กันด้วยความถูกต้องของสิ่งแวดล้อมที่เราได้สร้างมันขึ้นมา นี่ถ้าว่าเราจะช่วยทำความเข้าใจให้แก่ประชาชน ให้สนุกในการทำการงานและเป็นสุขชนิดที่ไม่ต้องใช้เงิน เป็นความสุขที่แท้จริง ให้เขาเข้าใจอย่างนี้ ไอ้ความเพลิดเพลินซึ่งหลอกลวงนั้น มันมีอิทธิพลครอบงำใจมาก เพราะทำให้ต้องใช้เงินมาก ใช้เงินมาก แล้วก็ไม่ ไม่ ไม่มีความสุขเย็น ถ้ามีแต่ความสุขร้อนก็ไม่ควรจะเรียกว่าความสุข ที่เรียกว่าความสุขร้อน เพื่อจะเป็นเครื่องเปรียบเทียบว่ามันตรงกันข้ามกับความสุขเย็น ที่จริงถ้ามันร้อนเราก็ไม่ควรจะเรียกว่าความสุข แต่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร เพราะเขาพอใจอย่างยิ่ง พอใจในเหยื่อของกิเลส มีกามารมณ์อันวิตถาร ยิ่งกว่าวิตถาร และกำลังจะวิตถารยิ่ง ๆ ขึ้นไป และเขาก็พอใจ เขาก็ต้องเรียกว่าความสุขเพราะว่าเขาพอใจ เราแยกมาเรียกว่าเป็นความสุขร้อนเขาก็ยังไม่เข้าใจ แต่ว่ามันจะถึงเข้าสักวันหนึ่งน่ะที่ได้รับความทนทุกข์ทรมานเพราะความหลงอันนี้ แล้วคงจะค่อยๆ เลี้ยวหรือเปลี่ยน เปลี่ยนกระแสหันมาสนใจในความสุขที่แท้ตามธรรมชาติกันบ้าง เขาพูดกันว่า ผมก็ไม่ได้เห็นเอง พวกฝรั่งที่หันมาสนใจธรรมะของตะวันออก ของเอเชียหรือของอินเดียคือพุทธศาสนานี่ ถ้าคนไหนหันมาสนใจเรื่องธรรมะนี่ก็เพราะว่ามันเบื่อความสุขร้อนสุขนั้น มันมองเห็นแล้วว่ามัน มันหลอกลวงอย่างยิ่ง และมันไม่ได้มีความสงบสุขที่ตรงไหน เขาจึงหันมาสิ่งที่อาจจะเป็นความสุขเย็นที่แท้จริง ถ้ามันเป็นอย่างเขาว่าอย่างนี้ก็ดี ก็ดี มันถูกแล้ว มันถูกทั้งทางโลก มันถูกทั้งทางธรรม ที่จะมาหาความสุขที่แท้จริงที่ไม่ทำลายโลก ความสุขที่หลอกลวงน่ะมันทำลายโลก อย่ามองเพียงขั้นตอนเดียวที่ว่าเรา มนุษย์เขาจะทำสงครามปรมาณูล้างโลกกันนี่มันเพื่ออะไรเล่า มันก็เพื่อไอ้ความสุขที่หลอกลวงนั่นเอง เขาจะยึดครองโลกเอาปัจจัยทั้งหมดในโลกไปใช้เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานไม่มีขอบเขตของเขา ฉะนั้นการทำลายโลกหรือโลกถูกทำลายนี่ก็เพราะความเห็นแก่ความสุขที่หลอกลวงหรือความสุขร้อนซึ่งไม่ใช่ความสุข มีบทสวดอยู่บทหนึ่งที่เราสวดกันเสมอ โดยเฉพาะเมื่อไปสวดมนต์ บ้านเรือนเจริญพระพุทธมนต์ บ้านเรือน ไอ้บทสวด ไอ้ญาณี รัตธา มุตทา นิพุทติง กุฎชะมานัง อิธัม อิธัมปิธัมเม สรณัง (นาทีที่ 44:55) คำนั้นมีความหมายสำคัญมาก เขาประพฤติอย่างที่ว่าแล้วก็จะได้นิพพานมาบริโภคอยู่เปล่า ๆ รัตธาได้ มุตทา เปล่า ๆ นิพุทติง (นาทีที่ 45:13) คือทางดับเย็นหรือนิพพาน ได้นิพพาน ดับเย็นมาบริโภคอยู่เปล่ ๆ ถ้าเราก็ไม่เข้าใจ ชาวบ้านก็ไม่เข้าใจ แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับประโยชน์จากธรรมะสัจจะข้อนี้ เมื่อความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นเรื่องให้เปล่า ไม่ ไม่ ไม่เสียสตางค์ ให้เปล่าได้อย่างไร เพราะว่าสามารถทำให้เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องเสียสตางค์และกลับได้สตางค์ นี่มันต้องพูดเลยไปถึงการปฏิบัติธรรมะที่แท้จริง ใจความมันเนื่องกันอยู่กับข้อนี้ที่ว่าทำงานสนุก มันต้องรู้เนื่องไปถึงข้อที่ว่ามันจะสนุกได้อย่างไร โดยธรรม โดยธรรมะ ข้อนี้มันหมายความว่าเราต้องรู้จักว่าธรรมะนั้นคืออะไร ธรรมะนั้นเป็นสิ่งสูงสุดจนเหลือที่จะกล่าว พอปฏิบัติธรรมะหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับธรรมะก็พอใจและเป็นสุข นี่ไปเกี่ยวข้องกับธรรมะอย่างไร ก็คือทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต คำอธิบายนี้มันไม่พ้นที่จะถูกด่า หาว่าว่าเอาเองบ้าง เอามาหลอกคนบ้าง คือที่ผมขอร้องว่าให้ถือเอาความหมายของคำว่าธรรมะ ธรรมะนี่กันเสียให้ถูกต้อง ยึดถือเสียใหม่ว่าธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ประพฤติธรรมะคือประพฤติหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต เพื่อชีวิตรอด รอดจากความตายและรอดจากปัญหาและความทุกข์ทั้งปวง หน้าที่มันก็เพื่อความรอด ไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ที่จะต้องประพฤติ เพื่อเกิดความรอด แต่หมายความว่าที่เป็นทางที่ถูกต้องตามธรรม เดี๋ยวพวกโจรพวกขโมยวัยรุ่นอันธพาลมันก็ร้องกันมาว่า ผมก็ทำหน้าที่เพื่อรอดชีวิตเหมือนกัน คือขโมย ปล้น จี้ ข่มขืนกันไปตามเรื่อง แต่หน้าที่อย่างนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ตามธรรมะคือมันไม่ถูกต้องตามธรรมะ คำว่าถูกต้องหรือถูกต้องนี้ จำกัดความว่าถ้าถูกต้องหมายความว่าไม่ทำอันตรายใคร เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายนั้นเรียกว่าถูกต้อง ถ้ามันเป็นอันตรายแก่ใครหรือว่าไม่มีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์แม้แต่บางฝ่ายก็เรียกว่าไม่ถูกต้อง คำว่าหน้าที่ในที่นี้ตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้มันต้องถูกต้อง เพราะธรรมชาติต้องการให้วิวัฒนาการไปในทางที่ถูกต้อง คือมีแต่ความเจริญไม่มีความฉิบหาย ดังนั้นเราถือเอาความหมายคำว่าหน้าที่นั้น คือหน้าที่ที่ถูกต้องเสมอแหละ มันคนแรกในโลก โลกอินเดียนี่ เพราะว่าคำพูดนี้มันเป็นคำพูดของภาษาอินเดียนี่ ธรรมะ ธรรมะนี่ เหมือนคนแรกในโลกอินเดียนี่เขาเริ่มสังเกตเห็นสิ่งนี้ คือว่าเราทุกคนมีหน้าที่ เมื่อสติปัญญามีบ้างพอสมควรแล้ว มนุษย์ก็เริ่มเห็น เริ่มรู้จักว่าไอ้สิ่งนี้ที่เราต้องทำก็เรียกว่าหน้าที่ แต่เผอิญภาษาอินเดียนั้นมันมีคำว่าธรรม ธรรมะ ในความหมายว่าหน้าที่ และก็พูดว่าธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ก็คือ หน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ ในภาษาไทยเราก็คือหน้าที่ ในภาษาอินเดียคือธรรม เขาพูดคำนี้ รู้จักสิ่งนี้ตั้งแต่ก่อนพุทธกาลนานไกลโน่น ตั้งแต่เมื่อมนุษย์เรารู้จักสังเกตว่ามันมีสิ่งๆ หนึ่งที่เรียกว่าหน้าที่ เขาก็รู้จักหน้าที่ สอนกันเรื่องหน้าที่ สูงกันขึ้นมาเรื่อย ๆ สูงกันขึ้นมาเรื่อย ๆ ไอ้หน้าที่ เขาสูงกันขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงไอ้หน้าที่สูงสุดเพื่อบรรลุไอ้สิ่งที่สูงสุด แต่ความหมายโดยสมมติคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต จะต้องประพฤติกันให้ชีวิตรอดอยู่และรอดจากปัญหาต่างๆ ที่จะกลุ้มรุมกันเข้ามาสู่สิ่งที่มีชีวิตนั้น หน้าที่ตอนแรกก็รอดชีวิตอยู่ หน้าที่ตอนสองก็ว่ารอดจากปัญหากลุ้มรุมที่ทำให้เกิดความทุกข์ แล้ว ๆ เล่า ๆ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ให้มันพ้นทุกข์โดยเด็ดขาดนี่เป็นหน้าที่ ดังนั้นเราจึงมีธรรมะเป็นสองระดับ ธรรมะเรื่องโลกก็คือรอดตาย ธรรมะในชั้นโลกุตระ ก็คือรอดจากกิเลสความทุกข์ทั้งปวง มีอยู่สองรอด อย่างน้อยก็ขอให้รอดในความหมายแรกคือรอดชีวิต เมื่อได้ทำเพื่อรอดชีวิตก็ควรจะยินดีและพอใจว่ามันประพฤติธรรมะโว้ย จะทำนาทำสวนค้าขายทำอะไรก็ตามเหงื่อไหลไคล้ย้อยอย่างไรก็ตาม มองเห็นเป็นธรรมะหมด เพราะเป็นหน้าที่ ที่นี้เขาก็พอใจสิ ถ้ามันมีสติปัญญาถึงขนาดนี้ มันจะพอใจในการทำหน้าที่ แม้อาบเหงื่อต่างน้ำอยู่ตลอดเวลาก็ยังพอใจ คนโบราณรู้สึกอย่างนี้ได้เองมาก คนรุ่นปู่ย่าตายายจึงทำงานเหงื่อไหลไคล้ย้อยอยู่กลางทุ่งนาได้ตลอดวัน ซึ่งเด็กๆ รุ่นนี้มันทำไม่ได้ มันไม่เอา มันไม่เอาเป็นตัวอย่าง และมันไม่คิดจะทำอย่างนั้น เพราะมันไม่ยอมรับหน้าที่ชนิดนั้น เพราะว่าหาทางออกไปในทางคดโกง ทางคอรัปชั่น ทางปล้น ทางจี้ ทางข่มเหงโดยพละการ เพราะฉะนั้นถ้าจะเผยแผ่ธรรมะกันแล้ว ก็ขอให้เผยแผ่ให้เขาเข้าถึงความหมายของคำว่าธรรมะให้ถูกต้อง คือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต คำว่าหน้าที่นี้ก็หมายถึงว่าอย่างถูกต้อง ไม่ใช่หน้าที่คดโกง เพราะว่าชีวิตนี้ทุกระดับเลยตั้งแต่มนุษย์ลงไปถึงสัตว์เดรัจฉาน ถึงต้นไม้ต้นไร่ มันก็มีชีวิตทั้งนั้น มันมีหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าจะมีชีวิตชนิดไหน ดังนั้นต้นไม้ก็ปฏิบัติธรรมะของต้นไม้อยู่ตลอดเวล คือทำหน้าที่ดูดน้ำ ดูดแร่ธาตุ ปรุงอาหารที่ใบกลับลงมาหล่อเลี้ยงเผือก เลี้ยงต้น เลี้ยงแก่น เลี้ยงให้เจริญงอกงามอยู่ได้ บางทีจะทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลานาทีก็ได้ เก่งกว่าเราซึ่งทำเป็นบางเวลา สัตว์เดรัจฉานมันก็ทำหน้าที่ตลอดวันด้วยความสนุกสนาน สังเกตดูนก ดูไก่ ดูอะไรมันก็ทำหน้าที่เรื่อย ๆ ไป เขี่ยดินคือทำหน้าที่หาอาหารเลี้ยงดูด้วยความสนุกสนาน สัตว์บางชนิดก็ได้เปรียบหน่อย เช่น ผีเสื้อ มันก็ทำงานเที่ยวแสวงหาน้ำหวานให้ดอกไม้ ทำงาน และงานของมันก็สนุกสนานน่าอิจฉาริษยา เพียงแต่เปลี่ยนจากดอกนี้ไปดอกนั้น ดอกนี้ไปดอกนั้นอยู่เรื่อยไป ทีนี้ก็พอจะสนุกในการทำงานได้ไม่ยาก แต่พอมาถึงมนุษย์เรามันมีหน้าที่ที่จะต้องอาบเหงื่อนี่ มันจะต้องเสียเหงื่อ ขอให้เขามองเห็นว่าขึ้นชื่อว่าหน้าที่แล้วมันก็เป็นของสูงสุดเรียกว่าธรรมะ ธรรมะนี่เป็นของสูงสุดนิยมกันมาแต่โบราณกาล แล้วก็สูงขึ้นๆ มีหน้าที่ที่สูงขึ้น สูงขึ้น จนกระทั่งรอดชีวิตอยู่อย่างเหนือโลกเป็นบรรลุมรรคผลนิพพานนี่เป็นหน้าที่ ให้ทุกคนทำหน้าที่รอดชีวิตกันอยู่ให้ได้โดยไม่ต้องเบียดเบียนกันเสียก่อนเถิด ทางลัดเพื่อไปเบียดเบียนเอาของผู้อื่นมานั้นมันผิดหน้าที่ และมันจะต้องได้รับผลสนองที่เลวร้ายไปกว่าเดิม ทำหน้าที่โดยบริสุทธิ์และชื่นใจ อย่างนี้ดีกว่าที่ไปบีบคั้น คดโกง ปล้นจี้ เอามามากมายแล้วมาเกลียดชังตัวเองอยู่ รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องอยู่ ไม่มีความสุขอะไร ผู้ที่ทำหน้าที่โดยบริสุทธิ์อาบเหงื่อต่างน้ำอยู่นี่ ควรจะได้รับความพอใจว่ามันทำหน้าที่ที่ถูกต้อง ดีกว่าไปรวยลัดไปโกงเอามามากมายมหาศาล เอามาทำลายเกียรติยศชื่อเสียงความดีของตนซึ่งแม้ว่าไม่มีใครรู้เรา มันก็รู้ เราเองมันก็รู้ มันก็ไม่ชื่นใจตัวเอง จะต้องทำชนิดที่ตัวเองก็รู้สึกว่าถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้ว แล้วก็พอใจ มีความสุขจากความพอใจ ไม่ต้องใช้เงินไปซื้อความสุขที่ไหนอีก และเงินที่เป็นผลของการทำหน้าที่มันก็เหลืออยู่ มันก็เหลืออยู่มากขึ้น เหลืออยู่มากขึ้น นี่ถ้าว่าหน้าที่นั้นแท้จริงและถูกต้อง เงินมันจะเหลือขึ้นมา เหลือขึ้นมา พร้อมกับความสุขแท้จริงที่มันเพิ่มขึ้นมา เพิ่มขึ้นมา ถ้าหน้าที่คดโกงไม่ได้ความสุขที่แท้จริง ต้องเสียเงินไปมากมายเพื่อซื้อของแพง ๆ มาหลอกตัวเองให้เพลิดเพลิน ด้วยกิเลส ตามกิเลสแล้วก็ว่าความสุข ความสุข ถ้าประชาชนเขามองเห็นอย่างนี้ เขาก็จะพอใจในธรรมะอย่างแท้จริง พอได้ทำหน้าที่เขาก็เป็นสุข เป็นสุข ชาวนาก็เป็นสุข ชาวสวนก็เป็นสุข คนค้าขายก็เป็นสุข ข้าราชการก็เป็นสุข กรรมกรก็เป็นสุข กระทั่งคนขอทานก็เป็นสุข เป็นสุขชนิดที่ไม่ต้องเสียเงิน เงินมันกลับจะเหลือ ถ้าไม่เอาไปซื้อสิ่งหลอกลวงมาจนเงินไม่พอใช้ เหมือนที่กำลังเป็นกันอยู่ในหมู่คนทุกระดับชั้นในโลก ในโลกเวลานี้ ที่นี้ปัญหามันก็มี ที่ว่าเขาไม่รู้ เราจะต้องทำให้เขารู้ รู้อะไร ก็รู้ธรรมะนั่นแหละ รู้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั่นแหละ แต่ว่าธรรมะในความหมายที่แท้จริงยิ่งกว่าธรรมะที่ไม่รู้ว่าอะไร ในประเทศไทยเราถ้าดูปทานุกรม คำว่าธรรมะแปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คือใครๆ ก็บอกกล่าวกันอยู่อย่างนั้น ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าในประเทศอินเดียซึ่งเป็นประเทศต้นตอดั่งเดิมของภาษานี้ ธรรมะก็แปลว่าหน้าที่ ดูธรรมะแล้วก็พบคำแปลว่าหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ของใคร มันก็ต้องหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต เพราะว่าสิ่งที่ไม่มีชีวิตมันทำหน้าที่ไม่ได้ ดังนั้นหน้าที่มันก็ต้องเป็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ก็ถือเอาความหมายศักดิ์สิทธิ์ของธรรมะนั่นแหละเป็นเครื่องยึดถือบูชา พอได้ทำให้มีธรรมะก็พอใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่ผมก็ขอถือโอกาสพูดพร้อมกันไปเสียเลยว่า หัวข้อที่ ๓ นั้นมีอยู่ว่า สวรรค์หรือนรกอันแท้จริงมีอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ก็ต้องพูดต่อจากคำว่าธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต เมื่อผู้ใดรู้ความจริงข้อนี้ถึงขนาดนี้เขาย่อมจะพอใจ แต่ว่าสัตว์เดรัจฉานไม่ได้เรียนรู้อย่างนี้ มันจะพอใจด้วยความรู้สึกทางสติปัญญาอย่างนี้ไม่ได้ มันก็พอใจว่าการทำหน้าที่ได้อาหารกิน แล้วมันก็พอใจเหมือนกันแหละ เช่นไก่มันเขี่ยดินได้อาหารกิน มันก็พอใจเหมือนกัน แต่มันไม่มีความรู้ด้วยสติปัญญาว่านี่เรียกว่าธรรมะ เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมะแล้วโว้ย อันนี้มันรู้ไม่ได้ แต่มันก็พอใจเพราะว่าการทำหน้าที่นั้นทำให้มีอาหารกิน ถ้าเราจะยังโง่เหมือนกับไก่ เอาอย่างนั้นก็ได้ ขอให้ขยันทำหน้าที่ทำนาทำสวนค้าขายทำอะไรไปแล้วก็พอใจ เพื่อได้ผลมา ไม่ต้องแพ้ไก่ ไม่ต้องแพ้สัตว์เดรัจฉาน ที่มันทำหน้าที่ของมันแล้ว มันก็ได้รับความสุขและความพอใจ เดี๋ยวนี้เรามีสติปัญญาคิดนึกอะไรได้ ลึกกว่า กว้างกว่า สูงกว่า แล้วก็คิดนึกได้ จะเห็นว่าธรรมะมันเป็นอย่างนี้ มันสูงสุดเหมือนกับพระเจ้า ลองไม่ทำหน้าที่ดูสิ มันก็ตายแน่ ดังนั้นถ้าทำหน้าที่มันก็ช่วยไว้ได้ ดังนั้นหน้าที่มันจึงมีความสำคัญเท่ากับพระเจ้า สูงสุดเท่ากับพระเจ้าเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต เป็นเกียรติยศสูงสุดของสิ่งที่มีชีวิต ถ้าไม่ทำหน้าที่มันก็เท่ากับไม่มีชีวิต ไม่ทำหน้าที่ก็เท่ากับคนตายแล้ว การที่ทำให้คนเรามีค่าอยู่อย่างสูงสุดนี่ก็เพราะสิ่งนี้ ดังนั้นเราควรจะพอใจว่าได้ปฏิบัติธรรมะแล้ว ขอให้ไปแจงรายละเอียดให้คนแต่ละคน แต่ละอาชีพเขาเป็นอะไรอยู่ ก็ไปแจงรายละเอียด ให้เขาเห็นเถอะว่าเมื่อขุดนา ไถนา อะไรอยู่กลางนานี่ นี่คือธรรมะของชาวนา พอใจเถิดว่าทำสวนอยู่กลางสวนก็พอใจเถิด เมื่อค้าขายเหน็ดเหนื่อยอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยก็พอใจเถิด เป็นข้าราชการ อะไรอยู่ตามหน้าที่ของตน เช่น เป็นครูอยู่กับเด็กในโรงเรียน ถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำ ก็พอใจเถิด เป็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตอย่ารีบโกงเวลาโรงเรียนไปสถานเริงรมย์กันเลย ถ้าเขาเป็นกรรมกรก็พอใจเถิด ไอ้การที่อาบเหงื่อต่างน้ำตามแบบของประกร (นาทีที่ 1:01:52) นี้ จะแจวเรือจ้างจะถีบสามล้อนี่ อย่างเลวที่สุดจะล้างท่อสกปรกอยู่ก็พอใจเถิดว่ามันเป็นธรรมะ และเขาก็จะทำด้วยความสนุกสนาน พอทำสนุกสนานก็มีมาก ทำได้มากมันก็เหลือกินเหลือใช่ ไม่เท่าไหร่ก็พ้นสภาพนั้น พ้นสภาพกรรมกร พวกที่เป็นขอทานก็ทำให้ดีเถิด แล้วก็พ้นสภาพขอทาน เห็นคุณอานิสงส์ของธรรมะอย่างนี้แล้วบูชาธรรมะ ก็เลยพอใจในการทำหน้าที่คือธรรมะ ครั้นได้ทำเต็มที่แล้วก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อไหร่ยกมือไหว้ตังเองได้ เมื่อนั้นเป็นสวรรค์ เวลาทำไม่ถูกหน้าที่เกลียดชังตัวเองมันเป็นนรก ดังนั้นนรกกับสวรรค์จึงมีได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ทำถูกตามกฎเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตา ใช้คำกว้าง ๆ อย่างนี้ เรียกว่าสวรรค์ ทำผิดไปจากกฎเกณฑ์อิทัปปัจจยตา มันก็เป็นนรก มันก็เป็นอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กายใจตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนไว้ ฝั่งนรกเป็นทางอายตนะสวรรค์เป็นทางอายตนะ นี่พระพุทธเจ้าสอน ส่วนนรกอยู่ใต้ดินบาดาล สวรรค์อยู่บนฟ้า ฟ้าไปไหนก็ไม่ทราบ (นาทีที่ 1:03:17) เขาสอนอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้า ท่านยังไม่ได้เกิดขึ้น เขาสอนนรกสวรรค์อย่างนั้นกันอยู่แล้ว พอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ท่านก็ไม่ไปแตะต้อง เขาสอนกันอย่างนั้นก็ตามใจเขาสิ แต่บางทีเมื่อเขาละไม่ได้ เขาเลิกละความคิดนี้ไม่ได้ท่านก็ช่วยผสมโรงให้ว่า ถ้าไม่ตกนรกก็ไปสวรรค์ก็ปฏิบัติอย่างนี้ ๆ สิ มันก็ไปกันได้ ไม่กระทบกระทั่งกันแม้ว่ามันจะเข้าใจแตกต่างกันอยู่ พอถึงทีที่ท่านสอนท่านว่า สวรรค์อยู่ที่อายตนะ ๖ เป็นปลายทางอายตนะ๖ เมื่อทำถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตาคือมีความสุข เป็นสวรรค์อยู่ที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ พอทำผิดก็เป็นนรกอยู่ที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ อย่างนี้มันที่นี่และเดี๋ยวนี้นะ มันที่นี่และเดี๋ยวนี้นะ ทำผิดทำถูก ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันเห็นอยู่ มันรู้อยู่ มันรู้สึกอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ดังนั้นเราจะพูดว่านรกที่แท้จริงตามหลักของพุทธศาสนามันอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ทีนี้มันที่ว่าไม่ต้องไปยกเลิกของเก่าๆ ที่เขาพูดไว้ก่อน มันกลมกลืนกันไปได้ว่าถ้าอยากตกนรกที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตายแล้วไม่ตกนรกชนิดไหนหมด ให้ได้สวรรค์ชนิดนี้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตายแล้วย่อมได้สารทุกข์ชนิดที่มันจะมี มันเลยไปกันได้ มันไม่ต้องกระทบกระทั่งกันระหว่างศาสนา สังเกตดูข้อนี้แล้วจะพบว่าพระพุทธองค์ไม่ทรงประสงค์ให้เกิดความขัดแย้งกระทบกระทั่งวิวาทกันระหว่างศาสนา เราก็มีวิธีพูดอย่างที่เราเห็นว่าถูกต้องและแท้จริง แล้วไม่จำเป็นจะต้องกระทบกระทั่งทะเลาะวิวาททำร้ายทำลายล้างกัน ทีนี้ก็ขอให้ถือเป็นทิศฐานุสติ (นาทีที่ 1:05.20)ด้วย เพราะว่าพระธรรมทายาทจะไปเผยแผ่ธรรมะที่ไหนมันก็ต้องพบเข้ากับมหาชนกลุ่มที่เขาถือศาสนาอื่น และบางทีมันก็อาจจะเผชิญหน้ากันกับผู้สอนศาสนาอื่น เรามีคำพูดมีคำอธิบายมีอะไรชนิดที่ไม่ต้องกระทบกระทั่งอย่างเป็นข้าศึกศัตรูทำลายล้างกัน ให้มันกลมกลืนกันไปได้ว่าศาสนาทุกศาสนานี่มันสอนเรื่องหน้าที่ให้มนุษย์รอดพ้นจากความทุกข์และปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ถ้ามันจะแตกต่างกันบ้าง ก็แตกต่างกันบ้างก็แตกต่างกันในส่วนวิธีทำ ส่วนความมุ่งหมายการกระทำนั้นเหมือนกันเพื่อความรอดด้วยกันทั้งนั้น ที่นี้ไม่เป็นไร มันแตกต่างกันในส่วนวิธีการ แต่หลักการและความมุ่งหมายเหมือนกันคือความรอด เมื่อเราต้องการแต่เพียงความอิ่มแล้วจะกินอะไรก็ได้ จะกินหมูก็ได้ ไม่กินหมูก็ได้ จะกินผักก็ได้ จะกินเนื้อก็ได้ เพราะเราต้องการความอิ่ม แค่กินเข้าไปแล้วมันอิ่มเหมือนกัน มันก็ควรจะพอใจด้วยกัน คือไม่ต้องกินเหมือนกัน ถ้าฝรั่งเขาจะกินขนมปังก็ตามใจเขา เรากินข้าวตามแบบของเรา เราก็ได้ความอิ่มที่หล่อเลี้ยงร่างกายเหมือนกัน ถ้าเราถือหลักการอันนี้ก็ไม่มีการกระทบกระทั่งระหว่างลัทธิศาสนา นี่พูดมานี่ก็เลยเถิดออกไปเป็นว่าเกี่ยวกับระหว่างศาสนา เช่นโดยอาศัยข้อที่ว่านรกสวรรค์ มันจะมีอยู่หลายรูปแบบ และเราก็ไม่ต้องทะเลาะกันเพราะเหตุนั้น ถ้ามันเป็นพอใจจนยกมือไหว้ตัวเองได้แล้วสวรรค์ ถ้ามันเกลียดขนาดไหว้ตัวเองไม่ลงแล้วก็นรกเถิด นี่เราพูดให้ประชาชนสามารถที่มีนรกจริงสวรรค์จริง ชนิดที่สันทิฏฐิโกคือรู้สึกอยู่แก่ใจจริง ๆ ด้วยกันสอนเขาอย่างนี้ นี่เรียกว่านรกและสวรรค์มันมีอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี่ เดี๋ยวนี้คือทันทีที่เราทำผิดหรือทำถูกที่นี่หรือในโลกนี้ ไม่ต้องต่อตายแล้ว บางทีไม่ต้องรอถึงชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำไป ทำถูกก็เป็นสรรค์ทันที ทำผิดก็เป็นนรกทันที นี่ผมก็เคยพูดมาบ้างแล้ว หลายคนก็เข้าใจและเห็นว่าถูกต้องแน่ แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าอีกหลายๆ คนจำนวนมากจะยอมรับ ไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร เราก็บอกเขาให้สังเกตเรื่อ ๆ ไป ให้เขาสังเกตเรื่อย ๆ ไป อย่างมงาย และเขาก็จะพบ แต่เดี๋ยวนี้เราทำได้แต่เพียงหาพรรคพวก ผมพูดเรื่องศีลธรรมกลับมาพูดเรื่องนิพพานในปัจจุบันหรือพูดเรื่องนรกสวรรค์ที่นี้มาเรื่อยๆ แหละ และก็มีคนเห็นด้วยและเห็นยอมรับว่า เพิ่มขึ้น ๆ ที่ไม่ยอมเห็นด้วยเพราะว่ามันยึดมั่นไม่ยอมฟัง ไม่ยอมวิพากษ์วิจารณ์ก็มีอยู่เหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้เราทำได้เพียงหาพรรคพวกกันไปก่อน ฉะนั้นอย่าประหลาดใจอย่าท้อถอยว่าพูดแล้วไม่มีใครเอาด้วย ไม่มีใครยอมฟัง เราก็หาพวกไปเรื่อย ทีละคนสองคนมากขึ้น ๆ เราเองเป็นผู้นำให้ถูกต้องเสียก่อน และเดี๋ยวผู้ตามเพิ่มขึ้นทีละคนสองคนตามลำดับไม่เท่าไหร่มันก็จะมากถึงขนาดที่เรียกว่ากองทัพได้เหมือนกัน กองทัพธรรมที่แท้จริงต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องเห่อพิธีรีตองและมันก็ทำอะไรไม่ได้ นี่ขอให้เรามุ่งหมายถึงกับว่าจะปฏิวัติสังคมทีเดียว แต่จะกระทำทันทีทันใดกะทันหันเหมือนว่าเราจะพลิกแผ่นกระดานนี่เราทำไม่ได้ เราก็ค่อย ๆ หาสมาชิก หาแนวร่วม ภาษาคอมมิวนิสต์เขาเรียกว่าแนวร่วม หาแนวร่วมเรื่อย ๆ ไป คือมีคนที่เห็นด้วยกับเรามากขึ้น ๆ และสักวันหนึ่งมันก็จะพลิกแผ่นกระดานได้ โดยเฉพาะเรื่องศีลธรรมกลับมา ถ้ามันมีคนเห็นด้วยมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้นแล้วมันก็เรียกร้องสังคม สังคมมันก็ต้องผ่อนตาม แม้รัฐบาลก็ต้องผ่อนตาม ถ้าประชาชนทั้งหมดเขาต้องการอย่างนี้ ๆ รัฐบาลจะทนอยู่ไหวหรือ ถ้าประชาชนเขาต้องการมีพัฒนาอย่างนี้ ๆ ทางรัฐบาลก็ต้องยอมด้วย มันเป็นผลของการหาแนวร่วมให้มากเข้าไว้ มากเข้าไว้ ในเมื่อเราทำคนเดียวไม่ได้ ทำเดี๋ยวนี้ทันทีไม่ได้ ถ้าหลักการอุดมคติอันนี้ต้องยืนไว้ ต้องยืนคงอยู่ตลอดเวลา มีคนเห็นด้วยเพิ่มขึ้นแน่นอน ถึงขนาดเมื่อไหร่ มันก็มีผลแสดงออกมา คือปฏิวัติสังคมได้ ถ้าเรามีนิพพานกันในปัจจุบัน เราก็จะได้รับประโยชน์มหาศาล ไม่รู้จะได้เมื่อไหร่ ได้เมื่อตายแล้วเป็นประโยชน์กับใคร ถ้าทำงานสนุกเราก็ไม่ต้องตกนรกทั้งเป็นตลอดชาติ พูดแล้วมันน่ากลัว แต่ถ้าทำงานด้วยการทนทรมานคือการตกรกทั้งเป็นตลอดชาติ เลิกเสียเถอะ มาทำงานให้สนุกเป็นสวรรค์ตลอดชาติกันดีกว่า แล้วนรกสวรรค์จุดนั้นมันอยู่ในกำมือของเราแล้ว สามารถจะทำให้มีขึ้นได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้สำหรับสวรรค์ สำหรับนรกก็ไม่มีกันเสียทีนี่และเดี๋ยวนี้ เรื่องมันก็จะจบ นี่เขาเรียกว่าสิ่งที่ต้องรีบหยิบขึ้นมาศึกษาและพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่จะประกาศเผยแผ่พระศาสนา จะปล่อยไว้อย่างเลือน ๆ เหมือนที่มันมีอยู่ก่อน มันไม่มีประโยชน์ด้วย และมันก็จะให้โทษด้วย และพวกเรานี่แหละจะเป็นหมัน คือไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่มนุษย์เลย ทำให้พวกเราเองเป็นหมัน และทำให้สิ่งที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์เห็นชัดรู้สึกได้ด้วยตัวเอง จนภาคภูมิใจได้ว่าได้เป็นสาวกที่แท้จริงของสมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า หรือจะเรียกว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบกับพระพุทธศาสนา เป็นอันว่าผมได้พูดในเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่เพียงพอแล้ว ว่านิพพานในปัจจุบันเป็นสิ่งที่มีได้ การงานเป็นสิ่งที่ทำให้สนุกได้ แต่ความสุขแท้จริงนั้นมีเมื่อกำลังทำงานและไม่ต้องเสียเงินกลับให้เงิน ความสุขที่แท้จริงมันจะทำให้มีเงินออกมาเหลือมากขึ้น เพราะมันเป็นสุขในการทำงาน ความสุขหลอกลวงนั้น เงินหมดเท่าไหร่ก็ไม่พอ และมันก็ไม่ใช่ความสุข เพราะมันเป็นความสุขที่หลอกลวง เรามีนรกและสวรรค์อยู่ในกำมือของเรา เราสามารถประพฤติถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตาขอให้สนใจ ให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ แล้วไปทำงานธรรมทายาทให้มีค่ามากกว่า สูงกว่า ดีกว่าประเสริฐกว่า กว่าที่ที่แล้วมา หรือว่าที่เขากำลังกระทำกันอยู่ทั่วๆ ไป ก็จะเป็นที่อิ่มเอิบใจในทางธรรมมีธรรมปิติชนิดนี้เกิดขึ้นแล้วเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานด้วยเหมือนกัน ขอยุติการบรรยายในคราวนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติการบรรยาย