แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นธรรมทายาททั้งหลาย ในการบรรยายครั้งนี้ ผมจะพูดโดยหัวข้อว่าสิ่งที่ต้องรีบหยิบขึ้นมาศึกษาพิจารณาสำหรับธรรมทายาทแห่งยุคปัจจุบันมา และสิ่งที่ต้องรีบหยิบขึ้นมาศึกษาพิจารณา สำหรับธรรมทายาทแห่งยุคปัจจุบัน ขอทำความเข้าใจกันว่า ธรรมทายาทมีทั้งยุคอดีต ครั้งพุทธกาลนานไกลเรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคที่โลกนี้วิ่งด้วยความเจริญ ที่เราเรียกกันว่าพัฒนา แล้วก็เป็นทางวัตถุเสียด้วย ครั้งพุทธกาลไม่พัฒนาทางวัตถุ เดี๋ยวนี้พัฒนาทางวัตถุเหมือนกับวิ่ง มันก็ต้องต่างกันบ้าง เราจึงมีความรู้สึกสำหรับสิ่งที่มีในยุคปัจจุบัน และความหมายสำหรับคำว่าธรรมทายาทนั้น มันมีหน้าที่ทั้งที่จะต้องกระทำแก่ตนเอง และกระทำแก่ผู้อื่นทั่วไปคือประชาชน ข้อนี้หมายความว่าส่วนตัวเราเอง ก็ต้องทำเพื่อความเป็นธรรมทายาทรับมรดกธรรม คือการประพฤติอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายท่านกระทำ เมื่อตัวธรรมยาทเองมันก็มีหน้าที่อย่างยิ่งอยู่แล้ว หน้าที่อีกอย่างหนึ่งก็คือช่วยให้ผู้อื่นได้กระทำ ซึ่งเรามักจะเรียกกันว่าการประกาศพระศาสนา ช่วยให้ผู้อื่นมีการกระทำ ด้วยการสอนก็มี ด้วยการแสดงตัวอย่างให้ดูก็มี เราจะต้องไม่บกพร่องทั้งสองอย่างนี้ และในทั้งสองอย่างนี้นะคือเพื่อตัวเราเองก็ดี เพื่อมหาชนก็ดีนี้ ก็ล้วนแต่มีสิ่งที่จะต้องรีบหยิบขึ้นมาศึกษาและพิจารณาด้วยกันทั้งนั้น บางท่านคงจะงงๆว่าอะไรกัน รีบศึกษาและพิจารณา ผมก็ตอบว่ามากอย่างเหลือเกินที่จะต้องรีบหยิบขึ้นมาศึกษาและพิจารณา แต่ว่าเราไม่อาจจะพูดกันได้ทุกอย่าง ดังนั้นมันก็ต้องพูดกันแต่บางอย่างเท่าที่เห็นว่าจำเป็นที่ควรจะพูดก่อน ผมจึงหยิบเอาส่วนนั้นแหละขึ้นมาพูดกันในวันนี้ ที่ว่าจำเป็นหรือรีบด่วนนี่ก็เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญนั้นแน่แล้ว แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่เราไม่สนใจ ไม่หยิบขึ้นมาพิจารณาแล้วทำให้ไอ้งานธรรมทายาทหรือธรรมทูตก็ตามนี่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ถูกไม่ตรงกับสมัย หรือยุคปัจจุบันเป็นต้น หัวข้อที่ผมจะพูดเป็นตัวอย่างก็คือหัวข้อที่ว่านิพพานมีได้ในปัจจุบันกาล ฟังดูให้ดีๆ งาน การงานเป็นสิ่งที่ทำให้สนุกได้ นรกสวรรค์ชนิดที่แท้จริงมีได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ พูดกันสักสามหัวข้อนี้ก็พอ คงจะหมดเวลาหรือเวลาจะไม่พอก็ได้ ผมคิดว่าบางท่านได้ยินอย่างนี้ ก็คงจะงง บางท่านก็คงจะนึกค้านหรือแย้งอยู่ในใจ ว่าเอาเรื่องอะไรมาพูด เพราะมันผิดจากที่เขาพูดกันอยู่ทั่วๆไป เท่าที่ได้ยินได้ฟังมา คือได้ยินกันแต่ว่าเป็นปัจจัยแก่พระนิพาน ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ เป็นปัจจัยแก่พระนิพพานชนิดในอนาคตกาล แล้วแถมปัจจัยนั้นก็เป็นอนาคตกาลเสียด้วย ไม่ใช่ปัจจัยที่นี่และเดี๋ยวนี้ และก็เพื่อนิพพานในอนาคตกาลด้วย เป็นอันว่าเขาพูดกันอยู่ทั่วไป และเราก็ได้ยินได้ฟังกันอยู่จนรับเอามานับถือ คือใช้พูดจาด้วยว่านิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ นี่ข้อหนึ่ง อีกข้อหนึ่งก็คือการงานเป็นสิ่งที่ทำให้สนุกได้ นี่ฟังดูแล้วมันก็ไม่มีใครเชื่อ แล้วพาลจะหาว่าบ้าเอาเสียด้วย ว่าการงานเป็นสิ่งที่ทำให้สนุกได้ หรือว่านรกสวรรค์ชนิดที่แท้จริง ผมย้ำตรงที่ชนิดที่แท้จริง มีได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ผู้ฟังบางคนที่กำลังฟังอยู่นี้อาจจะไม่เชื่อ แล้วก็นึกค้านอยู่ในใจ แล้วก็จะมอบของขวัญให้ว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูป การพูดผิดไปจากที่เขาพูดกันอยู่นั่น มักจะถูกหาว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูป แปลว่าคำสอนที่แปลกปลอมหรือไม่จริงหรือหลอกลวง สัทธรรมปฏิรูปก็หมายความว่าอย่างนั้น เพราะเขาไม่เชื่อว่านิพพานจะมีได้ในปัจจุบัน ไม่เชื่อว่าการงานจะเป็นสิ่งทำสนุกสนานได้ และก็ไม่เชื่อว่านรกและสวรรค์นั้นมีได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ผมไม่ค่อยรู้สึกเสียแล้ว เกี่ยวกับการที่มีผู้กล่าวหา กล่าวหาว่าสอนสัทธรรมปฏิรูป สอนธรรมปลอม มันเป็นเรื่องของคนฟังนั่นเอง เมื่อเขาฟังไม่ออกก็ดี มันผิดไปจากที่เขาเข้าใจกันอยู่แต่ก่อนก็ดี เขาก็เห็นเป็นสัทธรรมปฏิรูป และก็หาว่าสอนของปลอม การที่ถูกหาว่าสอนของปลอมนี้เป็นคำด่าที่เลวร้ายที่สุดเลยขอให้รู้ไว้เถอะ คล้ายกับประนามกันถึงที่สุดว่าหลอกลวง ยกตัวอย่างง่ายๆสักเรื่องหนึ่งก่อน คือผมได้หยิบเอาคำบางคำขึ้นมาใช้ในยุคนี้จะเรียกว่าประดิษฐ์ก็ได้ ที่จริงมันไม่ใช่ประดิษฐ์หรอกมันมีอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่มีใครเอามาใช้ มันเงียบอยู่ พอเอามาใช้เข้ามันก็แปลกหู เขาก็เข้าใจว่าเราประดิษฐ์ขึ้นมา เช่นคำว่าธรรมะสัจจะ เขาได้ยินกันแต่คำว่าสัจธรรม สัจธรรม ทีนี้พอเราเสนอขึ้นมาอีกคำว่าธรรมะสัจจะ มันก็กลายเป็นคำที่เขาไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่เคยได้ยินนั่นเอง เขาหาว่าคำว่าไอ้คำว่าธรรมะสัจจะนี้ไม่มีที่มา ไม่มีในบาลี ไม่มีในพระคัมภีร์ ธรรมะสัจจะนี่ แต่แล้วเขาก็ไม่ดูว่าคำว่าสัจธรรมก็ไม่มีในบาลี ในพระไตรปิฏกมันก็ไม่มีคำว่าสัจธรรม เป็นคำที่เขาตั้งขึ้นหยิบมาพูดกันขึ้นจนชินจนรู้กันทั่วไปเรียกว่าสัจธรรมในภาษาไทย หมายถึงธรรมที่เป็นของจริงทั้งหมด ทีนี้ผมเห็นว่ามันไม่สะดวกบางอย่างในการสั่งสอน จึงขอแยกแยะเอามาส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนสำคัญ สำหรับจะสอนให้ถูกให้ตรงเฉพาะกรณีหรือบุคคลเป็นต้น ก็ขอเรียกไอ้ส่วนนี้นะว่าธรรมสัจจะ คือสัจธรรมที่แยกเอามาเฉพาะที่เหมาะแก่กรณี เฉพาะหน้าเรียกว่าธรรมสัจจะ บางคนเขาก็เห็นเป็นคำผิด คำพูดที่ผิด เพราะเหตุว่ามันไม่มีในพระคัมภีร์ ตามที่เขาได้เคยศึกษามา ถ้าพูดเพียงเท่านี้มันก็ไม่พอ เพราะคำว่าสัจจธรรมมันก็ไม่มีเหมือนกันแหละ เป็นคำที่เพิ่งพูดกันจนมันติด ติด ติดปากสำหรับพูด แต่แล้วขอให้ดูว่าทำไมจะต้องพูดกันถึงธรรมะสัจจะ ก็เพราะว่าไอ้ส่วนที่มันจะแก้ปัญหาได้นั้น มันเฉพาะข้อ เฉพาะเรื่อง หรือเฉพาะส่วนของเรื่อง ถ้าว่ามี ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ ใครมันยกมาทีเดียวทั้ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ อามาใช้ได้ มันไม่มี ตามปกติมันก็จะยกเอามาใช้ได้เฉพาะกรณีสักธรรมขันธ์หนึ่งเท่านั้นแหละ คือข้อความประเด็นหนึ่งหรือหลักเกณฑ์อันหนึ่งเท่านั้นที่จะเอามาใช้ได้ แก้ปัญหานั้นได้ อย่างนี้เราจะเรียกชื่อว่าธรรมะสัจจะ เพื่อให้แปลกออกไปทั้งหมดที่เรียกว่าสัจธรรม ซึ่งเป็นคำพูดที่ใช้พูดเพื่อความสะดวก ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เปรียบเทียบเหมือนกับยาแก้โรคเต็มไปทั้งตู้ เต็มไปทั้งห้อง พอเจ็บไข้ขึ้นมาจริงๆ มันคว้ามาเพียงขวดเดียวเท่านั้นแหละ หรืออย่างเดียวเท่านั้นที่เอามาแก้โรคภัยไข้เจ็บได้ นอกนั้นมันก็รอไปก่อน จนกว่ามันจะมีโรคภัยอย่างนั้นเกิดขึ้นมา นี่คือความจริงที่มันมีอยู่จริงๆ เพียงแต่เราไปตั้งชื่อให้ใหม่ให้สะดวกในการพูดจาว่าธรรมะสัจจะ ก็ถูกหาว่าสอนหลอกลวงเอาสิ่งที่ไม่มีมาสอน จนเรียกว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูปคือของปลอม คนพูดนั้นมันหลับตาเสียเอง มันจะไม่รู้สึกว่าการกล่าวหาเช่นนั้นมันเลวร้ายที่สุด นี่เป็นเรื่องที่ควรรู้ไว้ก่อนสำหรับพระธรรมทายาททั่วไป บรรดาเรื่องทั้งหลายที่พูดให้ฟังในการอบรมตั้งวันๆตั้งเดือนนี้มันก็มากเรื่อง มันเอาไปใช้ประโยชน์ได้แต่ทีละเรื่อง หรือว่าเรามีหนังสือทั้งตู้ เราไม่อ่านที่เดียวทั้งตู้ได้ เราก็ต้องอ่านเฉพาะเล่ม แล้วเรายังจะต้องอ่านซ้ำๆซากๆ เฉพาะเล่มศึกษาเฉพาะเรื่องสำหรับไปปฏิบัติหน้าที่ของเรา นี่เราจะต้องมองให้เห็นข้อเท็จจริงอันนี้ เพื่อเราจะปฏิบัติหน้าที่ในการเผยแผ่ธรรมะให้ถูกต้องได้ เป็นผู้สามารถเลือกหยิบขึ้นมาตรงกับเรื่องเฉพาะเรื่อง นี่แหละเป็นข้อบกพร่องทั่วไปที่มีอยู่ในทุกวันนี้ ในหมู่พวกเราที่เป็นนักเทศน์นักสอน มันไม่สามารถจะหยิบขึ้นมาให้ตรงเรื่องที่สอน มันก็เลยไม่น่าฟัง ทีนี้มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มันเป็นเรื่องทำเพ้อๆกันไปตามธรรมเนียมตามประเพณี จนถึงกับว่าบางอย่างมันกลายเป็นเรื่องท่องจำ แล้วก็ว่าไปตามความจำ มันไม่มีอะไรดีขึ้นในการเทศน์บนธรรมมาสน์ ในศาลาวัดก็ดี แม้ที่สุดแต่การเทศน์ทางวิทยุก็ดี มัน ยังมีลักษณะเป็นอย่างนี้ เลยไม่สำเร็จประโยชน์ ความรู้ของประชาชนก็ไม่ก้าวหน้า การปฏิบัติก็ไม่ก้าวหน้า เพราะฉะนั้นขอให้เราได้มาศึกษาเฉพาะรื่องนี้กันในหมู่ธรรมทายาทว่า จะต้องรู้จักหยิบเลือก สิ่งที่ถูกต้องกับเรื่อง จำเป็นสำหรับเรื่องนั้นมาใช้ ธรรมะทั้งหลายก็เหมือนกับไม้ในป่า ทั้งป่า ทั้งป่า ป่าทั่วทั้งประเทศมันมีไม้อะไรบ้าง ก็ดูเอาเองสิมันมีไม้อะไรบ้าง แต่ที่เอามาใช้ทำบ้านเรือนมันไม่ใช่เอามาทั้งป่า มันเอามาแต่บางอย่างหรือบางต้นหรือที่มันตรงกับความต้องการของเรา เรามีอะไรมากๆสำหรับกินสำหรับใช้ เราก็ไม่ได้ใช้ทีเดียวทุกอย่าง เพราะว่าปากของเรามันก็มีขนาดจำกัด กระเพาะของเราก็มีขนาดจำกัด เราก็กินอาหารเฉพาะส่วนที่เราจะกินได้เท่านั้น นี่เรียกว่าต้องรู้จักสิ่งที่พอเหมาะพอดีถูกต้องตรงกันกับเรื่องหรือความประสงค์ ดังนั้นไอ้การพูดถึงเรื่องธรรมะสัจจะเป็นสิ่งที่ต้องมี แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะหาว่าเอาของหลอกลวงมาพูด หรือเป็นสัทธรรมปฏิรูปไป นี่เป็นเรื่องที่ขอทำความเข้าใจกันเสียก่อน เอ้า,ทีนี้ไอ้เรื่องชนิดนี้ ก็คือเรื่องที่เอ่ยถึงมาแล้วว่านิพพาน เป็นสิ่ง นิพพานในปัจจุบันกาล นิพพานในปัจจุบันกาล ขอให้ฟังดูให้ดีว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูปอย่างไร นิพพานในปัจจุบันกาล ขอให้ฟังดูให้ดีว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูปอย่างไร นิพพานในปัจจุบันกาล ที่เกี่ยวกับปัจจุบันกาลนี้จะต้องพูดกันเสียก่อนว่ามันเนื่องมาจากคำว่า สันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโกคำนี้มันหมายถึงปัจจุบันกาล ถ้าไม่เป็นปัจจุบันกาลมันก็ไม่มีทางที่จะเป็นสันทิฏฐิโก หมายความว่าอะไรๆที่ไม่มีอยู่ในใจ ในความรู้สึกในเวลานั้นมันไม่อาจจะเป็นสันทิฏฐิโก ถ้าไม่ใช่สันทิฏฐิโกก็พูดได้เลยว่าไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าต้องเป็นสันทิฏฐิโก ทั้งโดยปริยัติ โดยปฏิบัติ โดยปฏิเวธ โดยอะไรก็ตาม มันต้องเป็นสันทิฏฐิโกนี่ควรจะจำกันไว้ให้ดีๆ แม้ในที่สุดแต่ญาติโยมทายกทายิกาทั้งหลายก็ไม่ค่อยสนใจกันถึงเรื่องนี้หรือความหมายนี้ ทั้งที่สวดอยู่ทุกวันก็ว่าได้ ทายกเหล่านั้นขยันสวด ทำวัตรสวดมนตร์ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ทุกค่ำเช้าเข้านอน ก็แปลว่าเขาเอ่ยถึงคำว่า สวากขาโต ภควา ธัมโม สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ ทุกวันแหละ และก็เหมือนกับนกแก้วนกขุนทอง หรือว่าเหมือนกับจานเสียงที่มันส่งเสียงได้ แต่มันไม่รู้ความหมายอะไร เพราะฉะนั้นช่วยไปทำความเข้าใจกันให้ดีๆ พวกเราก็ดี ทายกทายิกาก็ดี เขาจะต้องรู้ความหมายของคำว่าสันทิฏฐิโกนั้นนะมันหมายความว่าอะไร รวมทั้งอกาลิโก เอหิปัสสิโกด้วยเข้าด้วยกัน ถ้ามันไม่มีลักษณะอย่างนี้มันไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือสวากขาตธรรม คือธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวไว้ดีแล้ว ถ้านิพพานไม่เป็นสันทิฏฐิโก มันก็ไม่ใช่นิพพานของพระพุทธเจ้า มันเป็นนิพพานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันกับเราเลยก็ได้ มันจะต้องเป็นสันทิฏฐิโกขนาดที่รู้แจ้งอยู่แก่ใจ ขนาดที่รู้สึกอยู่แก่ใจ มันจึงจะเป็นนิพพานในพระพุทธศาสนา เมื่อเรารู้สึกเย็นเพราะว่างจากกิเลสอันเป็นของร้อนอยู่ในใจว่าเย็นอย่างไร นั้นแหละเรียกว่ามีนิพพานเป็นสันทิฏฐิโก เห็นได้ด้วยตนเอง เป็นอกาลิโกไม่เนื่องอยู่กับเวลา ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา เป็นตัวมันเอง เรียนเมื่อไหร่รู้เมื่อนั้น ปฏิบัติมื่อไหร่ปฏิบัติได้เมื่อนั้น มีผลเมื่อนั้นนี่เป็นอกาลิโก และเพราะเหตุที่ว่ามันมีอยู่ในใจ ในความรู้สึกอยู่ในใจ มันจึงจะมีลักษณะเป็นเอหิปัสสิโก คือเรียกคนทั้งหลายมาดูได้ว่ามาดูมาดู สิ่งที่ฉันมีอยู่ในความรู้สึก ว่ามันเย็นอย่างนี้ เย็นอย่างนี้ ตรงกับความหมายของคำว่าสามารถที่จะเรียกผู้อื่นมาดูได้ เพราะมันมีอยู่ในใจ ถ้ามันไม่มีอยู่ในใจจะเรียกใครมาดูที่ไหน มันเป็นเรื่องลมๆแล้งๆไม่ใช่สวากขาตธรรม เราจะต้องกล้าพูดว่านิพพานในปัจจุบันกาล ผมพูดขึ้นก็ถูกค้านโดยผู้ที่หลับตาค้าน เพราะว่าส่วนมากเป็นอย่างนั้นทั้งนั้นแหละ คุณก็จะต้องเผชิญกับผู้ค้านซึ่งตามธรรมดาจะเป็นผู้หลับตาค้านทั้งนั้น ถ้าเขาลืมตาอยู่เขาก็จะมองเห็นข้อเท็จจริงเหล่านี้บ้าง และเขาไม่อาจจะค้านทันทีหรือค้านโดยรวดเร็วเหมือนกับผู้ที่หลับตาค้าน ถ้าเราทำหน้าที่ของธรรมทายาทนี่ เราก็จะต้องเผชิญกับผูที่หลับตาค้าน เป็นธรรมดาอย่ากลัวเลย เดี๋ยวนี้เราอยากจะให้เขาเป็นพุทธบริษัทมากขึ้นหรือถือเอาธรรมะที่เป็นสวากขาตธรรมได้มากขึ้น เราก็ต้องพูดให้มันตรง ให้มันจริง ว่านิพพานนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า ว่าในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้น อีกกี่หมื่นชาติแสนชาติก็ไม่รู้ มักจะพูดกันอย่างนั้น เดี๋ยวนี้พูดว่าเมื่อใดจิตว่างจากกิเลส เมื่อนั้นเย็นเป็นนิพพาน นี่เป็นอกาลิโก ใช้ว่าเมื่อใดจิตมันว่างจากกิเลส ว่างโดยเหตุใดก็ตาม ความรู้สึกเย็นเป็นนิพพานนั้นจะมีขึ้นทันทีโดยไม่ขึ้นแก่เวลาว่าต้องรอ เช่นเดียวกับการกระทำกรรมนั้นแหละ พอทำลงไปมันก็มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นทันทีไม่ต้องรอเวลา คือจิตดวงหนึ่งทำกรรมคิดนึก จิตดวงที่สองเกิดขึ้นมาเป็นผลของการกระทำกรรมรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง นี่เรียกว่าเป็นอกาลิโก ไม่ใช่ต้องรอว่าทำบุญแล้วได้สวรรค์ แล้วได้เงินได้โชคดีได้อะไรดีนั้น นั้นมันไม่ใช่เรื่องกรรม มันเป็นเรื่องปลีกย่อยเรื่องภายนอกเรื่องกาฝากมากกว่า ถ้าเมื่อใดจิตว่างจากกิเลส จะว่างมากว่างน้อย ว่างชั่วคราว ว่างถาวร มันก็มีความหมายเดียวกันแหละคือเย็น เพราะมันไม่มีไฟซึ่งเป็นของร้อน ขอให้ทราบไว้ด้วยว่าคำว่านิพพาน นิพพานนี่ เท่าที่ค้นในพระบาลีสุตตันตะ ในพระไตรปิฏกน่ะจะพบเป็นการสรุปความได้ว่า คำนี้หมายความถึงดับไปแห่งความร้อน ไม่ใช่ว่าดับเฉยๆตามที่สอนกันอยู่ในโรงเรียน หรือว่าไม่ร้อยรัด ไม่ทิ่มแทง ปราศจากวานะ(นาทีที่ 29.00) เครื่องทิ่มแทง อะไรเป็นต้นนั้น เป็นความหมายที่สองนะ ความหมายที่หนึ่งคือมันไม่มีความร้อน มันดับไปแห่งความร้อน มันจึงไม่ถูกทิ่มแทงด้วยความร้อน ไม่ถูกร้อยรัดด้วยความร้อน หรือการที่จะแปลคำว่านิพพานดับหมดไม่มีอะไรเหลือ ไปหมดไม่มีอะไรเหลือ อย่างนี้ก็มันแห่งความร้อนนะ ไปหมด ดับหมด ไม่เหลือแห่งความร้อนนะ ที่เห็นชัดง่ายๆในภาษาวัตถุธรรมดา ในสูตรเรื่องหนึ่งกล่าวถึงช่างทอง เขาสุมเอาไฟสุมแท่งทองจนลุกขาวเป็นประภัสสร คำว่าประภัสสรนี้คำหนึ่ง ถ้าเข้าใจไม่ดีก็ไม่ถูกหรอก คือมันโพลงจนสูงสุดน่ะ เช่นว่าแท่งทองนี้พอสุมเข้าเป็นสีแดง แล้วเป็นสีเหลือง แล้วก็เป็นสีขาว ขืนสุมเข้าไปอีกมันก็ขาวยิ่งกว่าขาวแหละ สีนั้นเรียกว่าประภัสสร รุ่งเรือง มีรัศมีรอบด้าน ประภัสสร ประภาแปลว่าแสง สะระ แปลว่าซ่านไป ซ่านไปแห่งประภา คือส่งแสงรอบตัว มีรัศมีออกไปนี่คือประภัสสร เขาต้องสุมแท่งทองนั้นจนร้อนถึงขนาดเป็นประภัสสร ทีนี้พอถึงขนาดนั้นแล้วเขาก็ต้องทำให้มันเย็น ช่างทองก็เอาออกมาจากที่ที่เผา ที่หลอมน่ะ ทำให้มันเย็น คำนี้ใช้คำว่านิพพาไปยะ(นาทีที่31.12) คือทำให้มันนิพพาน นิพพาไปยะ ช่างทองก็เอาน้ำรดลงไปบนแท่งทองที่ลุกโพลง อาการนี้เรียกว่านิพพาไปยะ แปลว่าทำให้มันดับลงไป ให้หมดความร้อน ให้มันเย็นลง ที่อื่นอีกมากมายหมายถึงความเย็นลงแห่งความร้อน ถ่านไฟแดงๆเย็นลงก็เรียกว่ามันนิพพาน อาหารร้อนกินไม่ได้ต้องรอให้เย็นก่อน ก็ใช้คำว่านิพพาน แม้ได้ลูกดีเมียดีผัวดี เย็นอกเย็นใจ เย็นใจคำนั้นก็ใช้คำว่านิพพาน แต่ไอ้รูปศัพท์มันต้องเปลี่ยนไปตามรูปของกิริยา หรือกิริยานาม หรือคุณนามก็แล้วแต่ แต่ความหมายของมันว่านิพพาน คือไปแห่งความร้อน ดับแห่งความร้อนเราจะต้องรู้ว่ากิเลสเป็นของร้อนเข้ามาในจิต จิตก็ร้อน ถ้าในจิตมันไม่มีกิเลสที่เป็นของร้อนมันก็เย็น เพราะฉะนั้นเราต้องรู้สึกได้ การที่รู้สึกได้ว่าจิตว่างจากความร้อนนี้นะ คือสันทิฏฐิโก แล้วก็มีได้ทุกคราวที่กิเลสไม่เกิดขึ้นที่เป็นอกาลิโก มีในใจหมายความว่ารู้สึกอยู่แก่ใจ ก็ต้องเป็นปัจจุบันกาล นี่ตัวพระนิพพานเองนี้ ถ้ากล่าวอย่างโวหารปรมัตต์อันกว้างขวางนี้ถือว่าไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง นิพพานไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง นิพพานไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ มีอยู่แต่ในลักษณะตลอดเวลาจึงเป็นปัจจุบัน นั้นเป็นคำกล่าวอย่างวิธีกล่าวหรือเป็นเรื่องของการพูดจา แต่ถ้าเป็นเรื่องของพฤตินัยที่จะมีตัวมีตนกันจริง มันก็ต้องมีเมื่ออยู่ในความรู้สึก ช่วยจำไว้ดีๆว่า มันต้องมีเมื่อกำลังอยู่ในความรู้สึกของเรา มันจึงจะเป็นปัจจุบัน ถ้ามันเป็นปัจจุบันมันก็เป็นสันทิฏฐิโก ความเป็นสันทิฐิโกนั้นมันไม่จำกัดเวลา ถ้ามีอยู่ในใจจริงเมื่อไหร่มันก็รู้สึกเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่ามันเป็นอกาลิโก ขอให้เรารู้จักพระนิพพาน ที่อาจจะมีได้แก่เรา ในลักษณะที่ว่ามันบังเอิญเป็นก็ยังได้ เพราะว่าเราไม่ได้มีกิเลสเผาใจอยู่ตลอดเวลา นี่ก็พูดกันให้ดีๆไปสอนกันให้ดีๆทำความเข้าใจให้ดีๆว่ากิเลสไม่ใช่สิ่งที่เกิดอยู่ตลอดเวลา กิเลสเป็นสังขตธรรม มีการเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ระหว่างที่มันไม่เกิด เพราะเหตุปัจจัยอย่างอื่นในภายนอกมันก็มีอยู่ หรือว่าเมื่อเรานอนหลับสนิทมันก็ไม่เกิดได้ แต่เราไม่อาจจะรู้สึกเพราะเราไปนอนหลับเสีย เมื่อเราไม่หลับกิเลสก็ไม่ได้เกิดแต่เราก็ไม่ได้สนใจ ไอ้ความที่จิตมันว่างจากกิเลสเราก็ไปสนใจในสิ่งที่เรากระทำ กำลังหลงใหลกำลังอะไรเสียทางอื่น แปลว่าไม่มาสนใจกับจิตที่กำลังว่างจากกิเลสกันเสียเลย ก็เลยไม่รู้จักแม้แต่นิพพานน้อยๆ นิพพานตัวอย่าง นิพพานชั่วคราวนี้ก็ไม่รู้ ต่อไปนี้ก็อยากจะให้ระมัดระวังตั้งข้อสังเกตเฝ้าคอยไว้ให้ดีๆว่า เวลาอะไรจิตมันไม่มีกิเลสกวนน่ะมันเป็นอย่างไร อาจจะพบได้ทุกคน เพราะว่ากิเลสมิได้เกิดอยู่ตลอดเวลาอย่างที่คนบางพวกหรือบางอาจารย์บางสำนักเขาสอนกัน ทีนี้ก็ต้องทราบไว้ด้วยว่า สำนักบางสำนักน่ะ เขาสอนว่ากิเลสเกิดอยู่ตลอดเวลา กิเลสเกิดอยู่ตลอดเวลา อวิชชามีอยู่ตลอดเวลา มิใช่เป็นของเกิดดับ ก็ตามใจเขาเราไม่ต้องการจะทะเลาะกัน เขาว่าอย่างนั้นก็ว่าไปสิ ก็เป็นแบบของสำนักนั้นว่ากิเลสเกิดอยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าความทุกข์เกิดอยู่ตลอดเวลานี้เราไม่เชื่อ ถ้ากิเลสและความทุกข์เกิดอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นบ้าแล้วตายแล้วไม่ได้มานั่งพูดกันแล้ว ถ้ากิเลสและความทุกข์มันเกิดอยู่ตลอดเวลาจริงๆ มันต้องมีเวลาที่มันมิได้เกิดบ้างสิ นี่ก็ดูให้ดีๆว่าเมื่อมันมิได้เกิดนี่มันเป็นอย่างไร มันเย็นอย่างไร สรุปความง่ายๆก็ต้องว่านิพพาน มีความหมายว่าเย็น เย็นมากเย็นน้อย เย็นชั่วคราวเย็นตลอดไปก็ตามเถอะ ก็เรียกว่าเย็นทั้งนั้นแหละ ดังนั้นเมื่อไหร่เย็น เมื่อนั้นก็จะต้องมีความหมายแห่งนิพพาน ทีนี้จะรอให้เย็นเองมันไม่ ไม่ มันยาก มันไม่เก่ง ต้องใช้คำว่ามันไม่เก่ง มันต้องเย็นเพราะว่าเราทำสิ ทีนี้เรามีการกระทำชนิดที่ไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นมาในใจ มันก็เย็น หรือว่าจะเอานิพพานอย่างที่ชั่วคราวง่ายๆกันก็คือ ทำจิตให้ยินดีในธรรมนั่นแหละ ทำจิตให้พอใจยินดีในธรรมนั้นแหละ คือเย็นเป็นนิพาน ศึกษาให้รู้ให้เข้าใจครบทุกอย่างว่าการทำหน้าที่ที่ถูกต้องตามธรรมชาตินั้น เรียกว่าธรรมะหรือธรรม ถ้าเราทำหน้าที่ถูกต้องตามธรรมชาติอยู่ก็คือมีธรรมะ แล้วเราก็พอใจว่ามีธรรมะ ยืนยันได้ว่าถูกต้องแล้วโว้ย ถูกต้องแล้วโว้ย ถูกต้องแล้วโว้ย แล้วก็พอใจในการที่มันถูกต้องแล้วโว้ยนี้อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราเดินไปบิณฑบาตในใจเรารู้สึก รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าถูกต้องแล้วโว้ยตามหลักธรรม ตามหลักวินัย ตามกฏของธรรมชาติ ตามอะไรก็ตามมันถูกต้องตามหน้าที่ ตามกฏธรรมชาติ เราก็เย็นใจตลอดเวลาที่เดินไปบิณฑบาตกว่าจะกลับมา ทุกอิริยาบถเลย ทุกก้าวย่างก็ว่าได้ เย็น ทีนี้เอ้ามาถึงวัด อย่าไรก็ฉัน นับตั้งแต่ว่ามานั่งลงที่โรงฉัน แล้วก็เย็นใจว่ามันถูกต้องแล้วโว้ย เอาใส่บาตรแล้วก็ฉัน เคี้ยว กลืน มีสติสัมปชัญญะกระทำอย่างถูกต้อง แล้วก็มันเย็น มันเย็น เพราะว่ามันไม่ผิด เพราะมันไม่ผิด เพราะมันถูกต้องตามธรรมะมันก็เย็น มีจิตใจเย็น มีหัวใจเย็น มีความรู้สึกเย็น กำลังเปิบข้าวเข้าปาก กำลังคี้ยว กำลังกลืน กำลัง ตลอดเวลาน่ะให้มันมีความถูกต้อง ตามหน้าที่ที่จะต้องกระทำ เช่นว่าจะ ถ้าเป็นพระจะต้องปัจจเวกขณ์หรือจะต้องพิจารณา มันยิ่งดี ยิ่งพิจารณามันจะยิ่งเห็นความถูกต้อง ว่าถูกต้องหนักขึ้นไปอีกแล้วก็พอใจแล้วก็เป็นสุขและพอใจ พอใจนั้นคือเย็น มันก็มีความเย็นในความหมายของคำว่านิพพานอยู่ตลอดเวลาที่ฉันอาหาร เอ้า,สมมติว่างานขี้ปะติ๋วจะต้องล้างบาตร มันก็ล้างด้วยความพอใจ มันเป็นหน้าที่ที่ถูกต้องที่จะต้องล้างบาตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฉันอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ หรือเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามธรรมะวินัยซึ่งเรายึดถือเป็นหลักอยู่เราก็พอใจ ยินดีปรีดาอยู่ในใจแม้แต่ในขณะล้างบาตร ทีนี้ถ้ามันเกิดโง่ขึ้นมามันก็รำคาญ ไอ้บาตรก็สกปรก ไอ้ของเป็นมันเป็นเมือกในบาตรก็ลำบาก มันโกรธขึ้นมามันเป็นยักษ์เป็นมารขึ้นมาเพราะล้างบาตรไม่ได้อย่างใจอย่างนี้มันก็หมดแล้วมันไม่มีอะไรที่จะเย็นได้ มันก็ไม่มีความเย็นในความหมายของนิพพานเลย นั่นแหละขอให้สังเกตดูให้ดีว่าล้างบาตรอยู่เป็นนิพพานก็ได้ ไม่เป็นนิพพานก็ได้ เป็นกิเลส เป็นความทุกข์ เป็นวัฏสงสารก็ได้ เอ้า,ถ้าคุณไปฐานชนิดมันต้องไปฐานสมมติตามปกติไปฐาน มันก็พอใจและเย็นใจอยู่ว่า นี่มันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ อย่าไปมีจิตใจที่ขรุขระ มีจิตใจเร่าร้อนเพราะปวดหรือเพราะอะไรก็ตามนั่นน่ะมันไม่ใช่พระแล้วแหละ ถ้ามันยุ่งยากลำบากเพราะปวดเพราะอะไรก็ตาม มันต้องรู้เวลาต้องทำพอเหมาะพอดี ถ้าสมมติว่ามันปวดขึ้นมาบ้าง คือทำไม่ทันเวลา มันก็พอใจอีกนั่นแหละ มันเป็นอย่างนี้เอง มันสอนให้เราหายโง่ เราไปโง่ทำมันไม่ถูกเวลา มันไม่พอดีกับเวลา ก็พอใจ ไปนั่งอยู่ในฐานถ่ายอุจจาระอยู่ก็พอใจแล้วว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องนะ ถูกต้องตามธรรมชาติที่จะมีชีวิตรอดอยู่ได้แล้วเราก็ทำอะไรๆถูกต้องหมด ตามวัตรปฏิบัติที่จะต้องประพฤติกระทำกับเว็จจกุฎี ตามที่มีอยู่ในอภิสมาจารทั้งหลายมันก็พอใจตัวเอง แล้วมันก็เย็นใจอยู่ได้แม้นั่งถ่ายอุจจาระอยู่ แม้ถ่ายปัสสาวะหรือทำอะไรก็เหมือนกันแหละ เพราะมันถูกต้องตามที่ควรจะทำแล้วก็รู้สึกพอใจที่ว่าได้ปฏิบัติถูกต้องแล้วตามธรรมตามวินัย นี่มันก็เย็นใจได้ จะไปอาบน้ำก็เหมือนกันอีกแหละ จิตใจปกติที่สุด อาบน้ำด้วยความรู้สึกพอใจว่าได้ทำหน้าที่ที่ถูกต้อง ไม่ใช่ขี้เกียจอาบน้ำแล้วฝืนไปอาบน้ำด้วยจิตใจอันกระวนกระวายนี้มัน มันก็ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นบรรดาสิ่งที่ต้องทำไม่ว่าสิ่งใด ในกิจวัตรประจำวันก็ต้องทำอย่างดี ถูขี้ไคลไม่ค่อยออกก็อย่าไปโกรธมันมันจะบ้าเอง ก็พยายามที่จะชำระชะล้างถูเหงื่อไคลอะไรให้ดีให้เรียบร้อยที่สุดด้วยความเย็นใจที่สุด มันจึงจะเป็นการอาบน้ำที่ถูกต้อง และก็ให้ความเย็นใจได้ตลอดเวลาที่อาบน้ำ อ้าว,ทีนี้จะทำอะไรอีกละ ก็ทำไปเถอะถ้ามีหน้าที่จะต้องทำอะไร ถ้าจะต้องเล่าเรียนมันก็พอใจตลอดเวลาที่เล่าเรียน ไม่ใช่ว่ามาเพ้อๆมาเรียนเพ้อๆตามที่ไม่รู้ว่าทำอะไร เห่อๆตามๆกันไปอย่างนี้มันก็ไม่ค่อยจะเย็นใจ ถ้าจะต้องเรียนอะไรก็มองให้เห็นเสียก่อนว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ไอ้สิ่งที่เราจะเรียนนี้มีประโยชน์ เพื่อจะรู้ เพื่อจะปฏิบัติตนเอง แล้วจะเพื่อเผยแผ่พระศาสนาเป็นต้น มันก็จะเย็นใจในการเรียนแล้วก็จะพอใจ มันก็จะไม่มานั่งโงกๆง่วงๆซึมๆ ตลอดเวลาแล้วก็คงฟังไม่รู้เรื่อง เพราะมันไม่เกิดความเย็นใจ เพราะมันไม่เกิดความพอใจ ในขณะที่อยู่ในห้องเรียน ทีนี้แปลว่าตลอดเวลาที่อยู่ในห้องเรียน เราก็อยู่กับความเย็นใจในความหมายของนิพพาน ถ้าจะต้องไปทำงานทางร่างกายทางกำลังกายบ้าง เมื่อมันควรกระทำก็ควรจะพอใจว่าเราได้เสียสละสิ่งที่ควรเสียสละหรือมันจะช่วยผู้อื่นได้โดยที่ไม่มีความผิดร้ายอะไรก็ช่วยสิ ก็ช่วยได้ แต่มันก็ควรจะมีขอบเขตว่า จะไปทำประโยชน์พัฒนาสาธารณะนั้น ก็อย่าให้มันเกินความเหมาะสมของภิกษุเลย ทำอยู่แต่ในขอบเขตที่เหมาะสมของภิกษุ แล้วก็เย็นใจเหมือนกัน เย็นใจตลอดเวลา จะช่วยทำในวัดก็ได้ ช่วยทำนอกวัดก็ได้ อย่าให้เผลอเป็นผู้รับจ้างประชาชนมันก็ดีแล้ว เราจะต้องเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ เป็นผู้ที่เป็นฝ่ายให้หรือฝ่ายเจ้าหนี้เสมอไป ไม่ใช่ลูกจ้าง เป็นบรรพชิตจะเป็นลูกจ้างชาวบ้านไม่ได้ เมื่อทำถูกต้องตามหลักเกณฑ์มันก็พอใจ มันก็เย็น เย็นใจ ทีนี้เราเย็นใจ เย็นใจเรื่อยไปจนหมดวันไปแหละ จะต้องทำอะไรอีกก็ทำ จะทำวัตรสวดมนตร์ก็ทำด้วยความพอใจเย็นใจเข้าใจในสิ่งที่ตัวกระทำ ถ้ามันง่วงจะต้องนอน จะต้องพักผ่อน ถึงเวลาก็นอนแหละ นอนด้วยความพอใจด้วยความเย็นใจ ด้วยความรู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่ควรกระทำมาตลอดวันแล้วก็พอใจ แล้วก็หลับสนิทด้วยความพอใจ นี่ก็เรียกว่าเย็นเหมือนกัน พอจะต้องตื่นแต่เช้า เอ้า,ก็ตื่น ตื่นแล้วก็ตื่นขึ้นด้วยความพอใจว่าได้พักผ่อน สำหรับมีเรี่ยวมีแรง จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อไป ก็เย็นใจก็พอใจ ให้ถือว่าการพักผ่อน เช่นนอนหลับเป็นต้นนั้นน่ะก็เป็นการทำสิ่งที่ควรจะทำด้วยเหมือนกัน คือสิ่งที่ชีวิตจะต้องทำมิฉะนั้นมันตาย ไม่มีการพักผ่อนมันตาย แล้วอีกอย่างหนึ่งถ้าพักผ่อนมันมีแรงที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อไป ประพฤติวัตรปฏิบัติมันก็ทำได้เพราะมันไม่ตาย และมันมีเรี่ยวมีแรงก็เลยได้รับประโยชน์จากการพักผ่อน เพราะฉะนั้นเรารวบรวมเอาการพักผ่อนไว้ในสิ่งที่เป็นหน้าที่ด้วยเหมือนกัน ก็เรียกว่าเป็นต้นทุนก็ได้ ไม่มีทุนมันจะทำอะไรได้ ถ้ามันมีทุนคือแรงมันก็ทำอะไรได้ การพักผ่อนมันก็ให้แรงเท่ากับให้ทุน เราก็มีทุน มีปัจจัยสำหรับทำการงานต่อไป จะต้องเอาใจใส่ต่อสิ่งที่เป็นการพักผ่อนในฐานะเป็นหน้าที่ด้วยเหมือนกันแหละ อย่าโง่เง่าเอาเรื่องพักผ่อนนี้ไม่ไดทำอะไรไม่มีความหมายอะไรไม่มีค่าอะไร ไม่มีหน้าที่ ไม่ใช่หน้าที่นั้นผิดแล้ว มีหน้าที่ที่จะต้องทำงานและพักผ่อน เพื่อมีเรี่ยวแรงสำหรับทำงานต่อไป เมื่อได้ทำงานอะไรก็พอใจยินดี มันก็เป็นความเย็นตามแบบนี้ เย็นแบบที่เราทำให้เย็นได้ นี่แหละจะเรียกว่าเรามีความเย็นซึ่งเป็นความหมายของพระนิพพานอยู่ในปัจจุบันกาล คืออยู่ในความรู้สึกนั่นเอง เมื่อใดอยู่ในความรู้สึกเมื่อนั้นเป็นปัจจุบันกาล เมื่อใดเรารู้สึกต่อความเย็นอกเย็นใจในชีวิต เมื่อนั้นก็เรียกว่าเรามีนิพพานอยู่ในปัจจุบันกาล ชาวบ้านเขาไม่เข้าใจ เขาไม่ค่อยเข้าใจหรอก เพราะเขาวาดรูปแบบนิพพานไว้อย่างอื่นเป็นเมืองแก้วเป็นเมืองสนุกสนาน เป็นเมืองตามกิเลสของเขาที่เอาไปคาดคะเนนิพพาน เขาพอใจในความสุขอย่างไรตามแบบของชาวบ้านนั้น เขาก็เข้าใจว่านิพพานน่ะมีความสุขอย่างนั้นแหละ แต่ว่ามันร้อยเท่าพันเท่าหมื่นเท่าแสนเท่า เขาเข้าใจไม่ได้หรอกว่านิพพานน่ะเป็นเพียงความหยุดเกิดของกิเลสเมื่อกิเลสไม่เกิดมันก็เย็นเป็นนิพพาน ชั่วคราวก็ได้ ถาวรก็ได้ มากก็ได้ น้อยก็ได้ ขอให้สนใจในการที่จะป้องกันหรือแก้ไขไม่ให้กิเลสเกิด หรือแม้ที่สุดแต่มันไม่เกิดเองเพราะมันมีความประจวบเหมาะอย่างอื่นที่ว่ามันไม่ปรุงกิเลส จิตมันก็ว่างจากกิเลสมันก็เย็นเป็นนิพพาน เพราะฉะนั้นนิพพานจึงมีได้ที่นี้และเดี๋ยวนี้ในลักษณะเป็นปัจจุบันกาล คือในความรู้สึก กำลังอยู่ในความรู้สึกของเรานั่นแหละ เรียกว่าปัจจุบันกาล นี่ผมพูดว่านิพพานในปัจจุบันกาลมันมีอยู่อย่างนี้ ทีนี้พวกธรรมทายาทจะกล้าเอาไปพูดไหม จะกล้าเสี่ยงกับถูกโดนด่าไหม จะกล้าเสี่ยงกับพวกคู่แข่งขันที่หาว่านี่เป็นสัทธรรมปฏิรูปมาหลอกลวงกันโว๊ยไหม ถ้ากลัวแล้วมันก็ทำไม่ได้หรอก ก็แปลว่าจะพูดให้นิพพานมามีในปัจจุบันกาล เป็นประโยชน์กันเสียตั้งแต่ยังเป็นๆก่อนแต่ตายก็ทำไม่ได้สิ เพราะว่าไม่กล้าพูด เพราะมันไม่เหมือนกับที่เขาเชื่อกันอยู่ ที่มันเลวร้ายที่สุดเขา เขาเขาเชื่อกันอยู่ว่า นิพพานนั้นถึงต่อตายเท่านั้นแหละ ต้องตายถึงจะนิพพานได้ ทีนี้ไปดูสิในพระบาลีทั้งหลายทั้งหมดนั้นนะ มันจะมีว่ากินาสวะ(นาทีที่51.40) สิ้นกิเลส สิ้นอาสวะ แล้วก็ยังไม่ตาย ยังไม่ตาย สิ้นกิเลสสิ้นอาสวะนั้นแหละคือนิพพาน นิพพานคืออะไร นิพพานคือความสิ้นไปแห่งราคะ แห่งโทสะ แห่งโมหะ แล้วท่านก็ไม่ตาย ท่านก็ยังอยู่เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นนิพพานไม่ใช่ความตาย นิพพานไม่ใช่ถึงได้ต่อตายแล้ว หรือหลังจากตาย นิพพานต้องมีในชีวิตเป็นๆนี้ เมื่อมันมีอยู่ในความมรู้สึกก็เรียกว่าปัจจุบันกาล ถ้าไม่เป็นนิพพานสมบูรณ์สิ้นอาสวะ มันก็เอาความหมายของคำว่านิพพานคือเย็นเพราะกิเลสไม่เผา เย็นเมื่อกิเลสไม่เผามีเมื่อไหร่ นิพพานมีเมื่อนั้น ในจิตใจนั้นตามมากตามน้อย ก็เรียกว่าเรามีนิพพานในปัจจุบันกาล ดีหรือไม่ดีต้องคิดกันเอง ลองคิดดูเอง หรือจะคิดให้ญาติโยมฟัง วาจะเอานิพพานกันต่อตายแล้ว เอาให้ใคร คุณจะเอาให้ใคร จะเอานิพพานต่อตายแล้ว มันจะมีประโยชน์อะไรแก่ใคร แต่ถ้านิพพานในปัจจุบันกาล มันก็มีประโยชน์แก่ผู้ที่มีนิพพาน รู้สึกอยู่ในใจ นี่มันเป็นคำพูดที่แปลก ตรงกันข้ามจากที่เขาพูดกันอยู่ที่เขาเคยเชื่อกันอยู่ยึดถือกันอยู่ ถ้าเราพูดออกไปอย่างนี้ มันก็ดูป็นการปฏิวัติ เรียกว่าปฏิวัติ เขาจะหาว่าเลิกล้างของเก่า ชาวบ้านทั่วไปถ้าพูดผิดไปจากของเก่าแล้วเขาจะหาว่าผิด แล้วเขาก็จะหาว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูป เพราะเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังว่านิพพานในปัจจุบันกาล ทุกคนได้ยินแต่ว่านิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญทั้งนั้น พอพูดออกไปอย่างนี้มันก็เกิดการต่อต้านจากผู้ฟัง ทีนี้เรา เราเป็นธรรมทายาทนี่ เราจะปล่อยให้เหตุการณ์ที่ไร้สาระไม่มีประโยชน์ยังเหลืออยู่ได้อย่างไร เราไม่สงสารตัวเองบ้างเหรอ ถ้าว่าเราเป็นธรรมทายาทจริง เราต้องช่วยแก้ไขสิ่งที่มันผิดเป็นให้มันถูก สิ่งที่ไม่มีประโยชน์นั้นให้มันมีประโยชน์ ให้เขาได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่านิพพาน ไม่ต้องบังคับให้เชื่อ ซึ่งมันผิดวิธีของพุทธศาสนา การขอร้องให้เชื่อหรือจ้างให้เชื่อให้ทำตามอย่างนี้มันไม่ใช่วิธีของพุทธศาสนา มันเป็นวิธี มันมีวิธีที่จะต้องทำให้เขาเข้าใจมองเห็นและให้เขาลองปฏิบัติดู ให้เขารู้ว่าคำว่านิพพานนี้แปลว่าเย็น เมื่อไหร่มีความเย็นอกเย็นใจเมื่อนั้นมีนิพพานอยู่ในอกในใจ คุณคอยเฝ้าพยายามทำให้มีความเย็นอกเย็นใจ ถ้าทำอย่างอื่นไม่ได้ก็มีความคิดนึกอย่างที่ว่ามานี้ว่าเราได้ประพฤติปฏิบัติถูกต้องแล้วตามธรรมตามวินัย พอใจก็เย็นใจ แค่นี้ก็เป็นนิพพานในความหมายหนึ่งแล้ว เพราะเรื่องราวในบาลีมันมีถึงกับว่าได้ผัวได้เมียที่ดีก็เย็นอกเย็นใจกันแล้ว นิพพานอย่างนั้นมันก็ควรจะได้ก่อนเสียด้วยซ้ำไป นิพพุตา นูนะสามาตา นิพพุตตา นิพพุตานู นะโสปิตา(นาทีที่55.41) ผู้ใดได้พระสิทธัตถะเป็นลูกแม่นั้นก็นิพพาน ได้เป็นพ่อก็นิพพาน ได้เป็นผัวก็นิพพาน นี่มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ชาวบ้านเขาก็ต้องการกันอยู่แล้วนะ การที่ได้เมียดีผัวดีลูกดีอะไรดีเย็นอกเย็นใจเขาก็ต้องการกันอยู่ทั่วไป อาการนี้ก็เรียกว่านิพพาน คือนิพพุโต นิพพุตา(นาทีที่56.16) ไปตามรูปศัพท์ที่เป็นคุณศัพท์ ทีนี้มันมากกว่านั้น เย็น เย็นมากกว่านั้น เย็นถึงอกถึงใจเพราะเราทำถูกอยู่ตลอดเวลาพอใจอยู่ตลอดเวลา ทีนี้ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ก็จะรู้จักทำกรรมฐาน ทำวิปัสสนา มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่เผลอสติให้กิเลสเกิดขึ้นเมื่อสัมผัส อย่างนี้มันก็เย็นยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าจะเอาให้ทันใจและมากไปกว่านั้น ก็ปฏิบัติกรรมฐานภาวนา มีสติควบคุมกิเลสที่จะเกิดขึ้นไม่ให้เกิดขึ้น แล้วมันก็เย็นใจอยู่ อยู่ในขณะปฐมฌานก็เย็น ก็เย็นใจ ทุติยฌานก็เย็นใจ ตติยฌานก็เย็น เย็น เย็นขึ้นไปจนถึงสูงสุดของจิต ของฌานน่ะของจิตที่เป็นฌาน นี้ก็เรียกว่าสงเคราะห์เข้าในนิพพาน และมีผู้เข้าใจอย่างนี้กล่าวไว้อย่างนี้ มีอยู่ก่อนพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงติเตียน ไม่ได้ยกเลิกสิ่งเหล่านี้ คำของพระอานนท์ก็มีระบุชัดเลยว่านี่เป็นนิพพานในปัจจุบัน คือผู้ที่อยู่ในปฐมฌาน ทุติยฌานเป็นต้น เพราะมันเย็นกว่าที่พูดไปแล้วว่าถ้าเราทำอะไรถูกต้องพอใจแล้วก็เย็น นี่ศึกษาให้หมดว่าทำอะไรให้ถูกต้องตามหลักธรรมะแล้วก็เย็นใจนี้ก็เป็นนิพพาน ให้มีทุกอิริยาบถ นับตั้งแต่ไปบิณฑบาตรกลับมาฉันข้าว ไปส้วมไปถาน ไปอาบน้ำไปทำงานอะไร กว่าจะพักผ่อนหลับไปตื่นขึ้นมาแล้วก็เย็นตลอดเวลา นี่เรียกว่านิพพานในปัจจุบันกาล ถ้าสามารถทำสมาธิภาวนามีสติสมบูรณ์กิเลสเกิดไม่ได้ มันก็มีความเย็นที่มากไปกว่านั้น หยุดอยู่ในฌานใดฌานหนึ่ง ก็ยิ่งเย็นในความหมายของนิพพานยิ่งขึ้นไปกว่านั้น จนกว่าจะถึงอันดับสุดท้ายคือสิ้นอาสวะ สิ้นราคะ โทสะ โมหะ ก็เป็นนิพพานตายตัวเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้ นี่นิพพานเป็นสิ่งที่หวังได้ในปัจจุบันกาล และมีได้ในปัจจุบันกาล ถ้าทำได้อย่างนี้ก็ควรจะภาคภูมิใจว่าเป็นธรรมทายาทที่แท้จริง เผยแผ่ธรรมะได้เต็มตามพระพุทธประสงค์ ให้คนรู้จักความดับทุกข์ได้ ในความรู้สึกสันทิฏฐิโกเรียกว่าเป็นปัจจุบัน ถ้าเกี่ยวกับชั้นสูงที่เรียกว่าฌานหรือสมาธิ มีความเย็นเป็นนิพพานสงเคราะห์ได้ในนิพพาน ก็ให้รู้ไว้ด้วยว่า มีพระบาลีกล่าวไว้ชัดว่า ผู้ตั้งอยู่ในฌานเช่นปฐมฌานเป็นต้น ท่านกล่าวไว้เฉพาะรูปฌานสี่ เขานั่งอยู่ในที่ใด มันก็เป็นอาสน์ที่นั่งเป็นทิพย์ เขาไปยืนอยู่ในที่ใด ก็มีที่ยืนอันเป็นทิพย์ เขาไปเดินอยู่ที่ใดก็มีที่จงกรมอันเป็นทิพย์ เขาไปนอนอยู่ที่ใดก็เป็นที่นอนเป็นทิพย์ ข้อนี้มันหมายความว่ามีฌาน มีฌาน มีสมาธิได้ทุกอิริยาบถ อย่าเข้าใจไปว่าไอ้ฌานสิ่งที่รียกว่าฌานหรือปฐมฌานเป็นต้นนั้นน่ะ มันมีได้เฉพาะเมื่อนั่งตัวแข็งเป็นท่อนไม้อยู่ มันเพียงแต่ว่าอิริยาบถนั่งน่ะมันสะดวกที่จะฝึก เขาก็ฝึกให้มันได้และมันก็ได้ถึงขนาดนั้นคือมีจิตเกลี้ยงไปจากนิวรณ์ทั้งห้านี่เรียกว่าปฐมฌาน ที่นั่งเป็นอัปปนาสมาธิแน่วแน่อยู่นั้น มันอยู่ในฌานชนิดนั้นเต็มรูปแบบของมัน แต่ว่าหลังจากนั้นแม้มิได้อยู่ในอิริยาบถนั้น คุณค่าหรือความหมายหรืออิทธิพลของฌานนั้นก็ยังอยู่ ก็ยังอยู่แม้ว่าจะลุกเดินไปลุกขึ้นเดินไป มันก็ยังอยู่เพราะว่าหมายถึงคุณสมบัติของฌานนั้นยังอยู่ซึ่งเอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้ คุณสมบัติของฌานที่จะเอาไปใช้เป็นประโยขน์ได้ ก็คือความที่จิตนั้นมันเกลี้ยงบริสุทธิ์จากนิวรณ์ เรียกว่าจิตบริสุทธิ์ และจิตนั้นมีกำลังมากเข้มแข็งมีกำลังมากเป็นความตั้งมั่น ภาวะมั่นคงแห่งจิตนั้นก็ยังอยู่ และจิตชนิดนี้อ่อนไหวคล่องแคล่วในหน้าที่การงานที่เรียกว่ากัมมนีโยนั้นก็ยังอยู่ แม้ว่าเราจะลุกจากที่นั่งที่ทำสมาธิเป็นปฐมฌาน แล้วไปเดินอยู่น่ะมันก็ยังมีอำนาจนั้นเหลืออยู่ มีคุณค่าสามอย่างนั้นเหลืออยู่เราจะไปทำงานอะไรที่มันจะทำได้ด้วยจิตชนิดนี้ก็ทำได้ เหมือนกับว่ามันมีฌานนี้แล้ว ออกจากฌานนี้แล้วไปพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็อำนาจของฌานนั้นแหละที่เอาไปใช้พิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะฉะนั้นจิตในลักษณะนี้ทำการงานอะไรก็ได้ที่มันเป็นเรื่องถูกต้องไม่ใช่คดโกง ไม่ใช่เป็นบาปเป็นอกุศล เราคำนวณดูก็พอจะรู้นะว่าจิตนี้ค่อนข้างเกลี้ยงไม่มีนิวรณ์กิเลสรบกวน และจิตนี้เข้มแข็งมั่นคง และจิตนี้ไวต่อความรู้สึกคิดนึกแล้วไปทำอะไรก็ได้ที่ ที่ควรจะทำนะ จะไปคิดนึกการงานก็ได้ จะไปแต่งกลอนก็ได้ จะไปทำอะไรที่มันควรจะทำก็ได้ด้วยจิตชนิดนี้ มันก็ทำได้ดีกว่าแหละ แม้จะไปเขียนจดหมายสักฉบับหนึ่งนะ ถ้าไปเขียนด้วยจิตชนิดนี้มันเขียนได้ดีกว่ามากมาย เพราะฉะนั้นอย่าเข้าใจว่า ถ้าคำว่าฌานหรือสมาธิแล้วต้องนั่งตัวแข็งอยู่กับที่ ในบาลีมีกล่าวไว้ชัดว่า เดินอยู่ก็ได้ ยืนอยู่ก็ได้ นั่งอยู่ก็ได้ นอนอยู่ก็ได้เป็นประโยชน์มากขนาดนี้ นี้ก็เรียกว่าป็นความเย็น เดินอยู่ก็เย็น นั่งอยู่ก็เย็น นอนอยู่ก็เย็น ยืนอยู่ก็เย็นมีความหมายแห่งความเย็นคือความหมายของนิพพานอยู่ได้ทุกอิริยาบถ มันจึงเป็นสิ่งที่ทำได้แม้ในปัจจุบันกาลในปัจจุบันนี้ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว แล้วจะได้ประโยชน์มากมายมหาศาล ซึ่งคนที่นั่งคอยอยู่ในอนาคตกาลนั้นไม่ได้อะไรเลย ไม่รู้จักนิพพานแม้ที่เป็นได้ชั่วขณะ ก็ไม่รู้และก็ไม่รู้จักความเย็น ไม่พบกับความเย็นไม่อยู่ด้วยชีวิตที่เย็นเอาเสียเลย นั่งชะเง้อคอยอยู่ในอนาคตกาลหมื่นชาติแสนชาตินี่ลองเปรียบเทียบกันดู ถ้าทายกเขาจะไม่เอาอีกก็ตามใจ เรามันก็มีหน้าที่พูดได้อย่างนี้แหละ ในความหมายอย่างนี้ว่านิพพานในปัจจุบันกาลลน่ะเป็นสิ่งที่พึงปราถนา และพระพุทธเจ้าก็ไม่เคยตรัสว่าในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ไม่มีพบหรอกในพระบาลีในพุทธภาษิตทั้งหลาย จะไม่มีคำว่านิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ มีแต่ว่าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ และมันต้องเป็นสันทิฏฐิโกด้วยเป็นอกาลิโกด้วย นี่ขอให้พวกเราลองคำนวณดูว่า ถ้าธรรมทายาทรูปใดสามารถเปลี่ยนแปลงความเข้าใจผิดๆความรู้ผิดๆของประชาชนได้ แม้สักข้อหนึ่งอย่างนี้มันจะน่าจะพอใจสักเท่าไหร่ จะถือว่ามีคุณค่าสักเท่าไหร่ ถ้าจะพูดอย่างกิเลสก็มีเกียรติ ก็มีเกียรติสักเท่าไหร่ในการที่ทำให้ประชาชนสามารถมีนิพพานได้ในปัจจุบันกาล กลัวอยู่ก็แต่ว่าไม่กล้าหาญพอ ไม่อดทนพอ และไม่กล้าพูดอะไรผิดไปจากที่เขารู้กันอยู่หรือพูดกันอยู่ ถ้าอย่างนี้แล้วผมก็อยากจะกล่าวว่า ไม่ใช่ธรรมทายาทของพระพุทธเจ้าเสียแล้ว แต่เป็นธรรมทายาทของพวกชาวบ้านนั้นเอง แล้วกลายเป็นธรรมทายาทของพวกชาวบ้านไปเสียแล้ว เพราะไปพูดตามชาวบ้านไปเชื่อตามชาวบ้าน ไปว่าอะไรอะไรตามชาวบ้านหมด แล้วจะเป็นธรรมทายาทของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร นี่แหละเป็นข้อแรกนะ ถ้าไม่ศึกษาอย่างถูกต้องเพียงพอจนรู้ว่าคำว่านิพพานนี้หมายถึงเย็นนะ ก็ไม่มีทางที่จะพูดเรื่องนี้ได้หรอก ไม่มีทางที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ เอ้า,จะพูดกันอย่างปริยัติก็ได้ เรามีหลักอ้างทางปริยัติในพระไตรปิฏกเองว่านิพพานแปลว่าเย็น แล้วก็อ้างโดยอ้อมก็ได้ว่านิพพานคือความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งเป็นของร้อน แล้วมันก็เย็น อย่างเรื่องอาทิตตปริยายสูตรน่ะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ลุกโพลง อาทิตตัง(นาทีที่ 1:07:56) ลุกโพลงก็เพราะว่าราคะ โทสะ โมหะนั้นเอง ถ้ามันไม่มีอันนั้นมามันก็ไม่ร้อน นั่นแหละคือจุดมุ่งหมายสุดท้ายของพระธรรม ของพระพุทธศาสนาว่าจะพบกันเข้ากับความเย็น เพราะถ้าเราไม่รู้ว่าต่อเมื่อไหร่แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไร ไม่รู้ว่าใครได้และได้อะไร มันต้องได้อันเป็นอกาลิโกคือพอทำให้ถูกเรื่องนะมันก็ได้ กิเลสไม่เกิดเมื่อไหร่มันก็นิพพานเมื่อนั้น แล้วต้องเป็นสันทิฏฐิโกคือรู้สึกอยู่ในใจ ดังนั้นจึงว่าเป็นปัจจุบักาล เป็นเอหิปัสสิโกอยู่ในสภาพที่จะเรียกผู้อื่นมาดูได้จริงๆ โอปนยิโกเป็นสิ่งที่สมควรอย่างยิ่งที่จะทำให้มีอยู่ในใจ ที่จะน้อมนำให้มามีอยู่ในใจ ให้มาเกิดอยู่ในใจ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ แต่เสียใจที่ต้องกล่าวว่ารู้แจ้งเฉพาะตน คนที่มันไม่ได้มีมันก็ไม่เชื่อพูดเท่าไหร่มันก็ไม่เชื่อ มันก็ว่าไปตามเดิม จึงต้องขอให้เขาทำก่อน เป็นสันทิฏฐิโกก่อน แล้วเขาก็จะเชื่อ จะเห็นและจะเชื่อด้วนตนเองไม่ต้องเชื่อตามบุคคลอื่น คุณลักษณะเหล่านี้แหละคือลักษณะของพระธรรมอันแท้จริงของพระพุทธองค์ ถ้าเมื่อพระบาลีตอนใดล่าวถึงพระนิพพานนะมันจะมีคำแปลกหูออกไปว่า สวากขาตัง ภควตา นิพพานัง นิพพานเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้กล่าวไว้ดีแล้ว สันทิฏฐิกัง อกาลิกัง เอหิปัสสิกัง โอปนยิกัง ปัจจัตตัง วิญญูเวหิ เวทิตัพพัง ความหมายเหมือนกันหมด แต่รูปศัพท์มันเปลี่ยนไปตามรูปหลักของภาษาบาลี ธรรมะทั้งหมดมันเป็นอย่างนี้ พระนิพพานก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่งในบรรรดาธรรมทั้งหลาย มีลักษณะหกประการนี้ เป็นสิ่งที่กล่าวไว้ถูกต้องเห็นอยู่ด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยเวลาอาจจะเรียกให้มาดูได้ ควรจะมีอยู่ในใจ ทุกคนจะรู้สึกได้เฉพาะของตนของตน นี่วันนี้หมดเวลาแล้ว ผมถวายความเห็นข้อหนึ่งได้ความคิดข้อหนึ่งคือข้อที่ว่านิพพานในปัจจุบันกาลมันมีได้ ท่านธรรมทายาทจะกล้าไปพูดไม่กลัวถูกด่าว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูป หรือไม่กลัวว่าเขาจะหาว่าหลอก เที่ยวหลอกลวงคนก็เอาสิ มันเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องรู้ก่อนเห็นก่อนถึงก่อนในความจริงข้อนี้ แล้วเราก็ยังสามารถทำให้ผู้อื่นรู้ตามด้วยเห็นตามด้วย ก็เรียกว่าเราเป็นธรรมทายาททั้งสองสถาน คือส่วนตัวเราเพื่อตัวเราเราก็ปฏิบัติตนสมกับเป็นธรรมทายาท ส่วนผู้อื่นเราก็ได้ถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่น ตามพระพุทธประสงค์ นี่เราก็เป็นธรรมทายาทเราก็เป็นธรรมทายาทโดยสถานทั้งสอง คือโดยตนเองโดยประโยชน์ของตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นมันก็สมบูรณ์แหละ วันนี้ก็พูดเรื่องสูงสุดที่สุดไม่มีเรื่องอะไรจะสูงกว่าแล้ว คือเรื่องของนิพพาน เอาละเวลาหมดแล้ว อีกสองหัวข้อไว้พูดกันทีหลัง ขอยุติการบรรยายครั้งนี้เพียงเท่านี้