แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิกและท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายเนื่องในการทำบุญล้ออายุเป็นตอนที่ ๓ ในบัดนี้อาตมาจะได้บรรยายถึงสิ่งที่จะฝากท่านทั้งหลายกลับไป ขอให้ท่านสนใจรับสิ่งเหล่านั้นไปให้ได้ตามที่สมควร ก็จะปลอดภัยในการที่ไม่ต้องทะเลาะกับยมบาลที่เขาจะมาทวงว่าใช้เวลาไม่คุ้มค่า ใช้เงินไม่คุ้มค่า ใช้เรี่ยวแรงไม่คุ้มค่า ขอให้สนใจฟังให้ดีๆว่าจะเอาอะไรกลับไป ได้อะไรกลับไป จะขอแยกกล่าวเฉพาะสำหรับภิกษุเถรานุเถระที่เป็นเพื่อนสหธรรมิกก่อน แล้วจึงค่อยกล่าวถึงเรื่องที่รวมกันทั้ง ๒ ฝ่าย
ปัญหาเฉพาะหน้าในที่นี้ก็คือชาวพุทธส่วนใหญ่ของเรายังมิใช่ชาวพุทธ มันยังว่างๆอยู่ มีสำมะโนครัวเป็นชาวพุทธ แม้ปฏิญาณตัวเป็นชาวพุทธ แม้ประกาศตนเป็นอุบาสกอุบาสิกาก็ยังมีความเป็นชาวพุทธน้อยไป ไม่ถูกต้องไม่จริงจังก็มีอยู่มาก ในชั้นต่ำสุดที่เป็นปัญหาคือประชาชนชั้นพื้นฐานนั่น มีทะเบียนเป็นชาวพุทธ แต่ยังไม่เป็นชาวพุทธเพราะไม่มีความรู้หรือการปฏิบัติเต็มถูกต้องตามความหมายของชาวพุทธ เรียกว่าเขาเป็นคนว่างๆ ว่างศาสนาอยู่ จดทะเบียนเป็นชาวพุทธแต่เนื้อตัวหรือจิตใจนั้นว่าง ว่างจากศาสนาอยู่ นี่เพราะความไม่เป็นชาวพุทธนี่แหละจึงมีปัญหา ที่ว่าถ้าหากว่าจะมีศาสนาอื่นลัทธิอื่นเขามาแย่งชิงเอาตัวไปมันก็ได้คนชนิดนี้แหละไป คือคนที่ยังมิใช่ชาวพุทธ เพราะฉะนั้นชาวพุทธอย่าไปเจ็บร้อนให้มันมากนักเลย เพราะว่ามันยังไม่ใช่ชาวพุทธ เขาเอาไปก็ดีเหมือนกันดีกว่าที่จะเป็นคนว่างศาสนาอยู่ เขาคงเอาไปทำให้มีศาสนาที่ควรจะพอใจ เราก็ควรจะถือว่าเขาก็ไปดีแล้ว ไม่เป็นการทะเลาะวิวาทแย่งชิงอะไรกัน เรื่องเหล่านี้ใครจะรับผิดชอบ มันก็ได้แก่พุทธบริษัทในระดับสูงคือภิกษุนั่นเอง เพราะภิกษุที่เป็นครูบาอาจารย์ต้องรับผิดชอบอยู่โดยปริยาย แม้ไม่มีใครมาโจทก์มาทวง รับผิดชอบในฐานะที่ว่าเราตั้งใจจะสนองพระพุทธประสงค์ จะทำอะไรๆสนองพระพุทธประสงค์ให้เป็นงานของพระพุทธเจ้า แล้วเราก็ไม่ทำหรือว่าทำไม่สำเร็จ บางทีมันเป็นมากถึงขนาดว่าเราบริโภคปัจจัย ๔ ของประชาชนเหล่านั้นอยู่ แต่เราก็ไม่ได้ช่วยเขาให้ได้รับประโยชน์จากพระศาสนาหรือจากธรรมะอย่างเพียงพอกัน ดูให้ดีว่าประชาชนที่ยังว่างศาสนาโดยแท้จริง แต่เขาประกาศตัวเป็นพุทธบริษัทนี้เขาก็ยังทำบุญให้ทาน ก็ยังตักบาตรใส่บาตรทุกวัน แล้วถวายจตุปัจจัยตามธรรมเนียม อย่างนี้ก็มีอยู่ เราก็ยังไม่ได้ตอบแทนเขาให้สมกัน นี่บกพร่อง ฉะนั้นความเป็นชาวพุทธมันจึงไม่ค่อยจะมี แล้วมันก็มีแต่จะเสื่อมถอยลงไป ถ้าในระดับบิดามารดามันมีความเป็นชาวพุทธน้อยลงไป แล้วในระดับลูกมันก็น้อยลงไปอีก ระดับหลานมันก็น้อยลงไปอีก เด็กๆก็มีความเป็นชาวพุทธน้อยลงไปอีก นี่เรียกว่าเป็นชาวพุทธแต่ชื่อ ชาวพุทธแต่สำมะโนครัว นี่จะมีปัญหาที่ว่าเขาอาจจะไปสมัครใจหรือว่าถูกชักชวนไปให้ถือลัทธิอื่นถือศาสนาอื่นซึ่งมิใช่พุทธศาสนาได้โดยง่าย ทางที่ดีที่สุดก็มีอยู่อย่างเดียวคือว่ารีบๆช่วยกันทำให้ชาวพุทธทั้งหลายเป็นชาวพุทธที่ถูกต้องที่แท้จริงที่สมบูรณ์ ปัญหาก็จะหมด ไม่มีใครจะมาล่อลวงชักจูงไปได้ นี้เป็นปัญ ปัญหาใหญ่ที่กำลังเป็นปัญหาของประเทศไทยเรา จึงขอร้องหรือฝากฝังเพื่อนสหธรรมิกหรือพระเถรานุเถระหรือแม้แต่พระภิกษุนวกะ ก็ขอให้ช่วยนึกช่วยคิดในเรื่องนี้ด้วย จงสละเวลา เรี่ยวแรงตามที่จะมีที่จะช่วยเหลือให้ประชาชนมีความเป็นชาวพุทธที่ถูกต้องและเพียงพอด้วย แท้จริงด้วย เป็นชาวพุทธแท้จริงคือมีธรรมะดับทุกข์ได้จริงและถูกต้องตามหลักของพุทธศาสนา ก็อย่างเพียงพอที่จะขจัดปัญหานานาชนิดที่มีอยู่ในบ้านเรือน ในครอบครัว บ้านเมืองของเขา ที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะทำ ไม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องทำเฉพาะในเวลานี้ที่มีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว แม้ในสมัยก่อนนู้นก็ต้องทำ เป็นหน้าที่ที่จะทำเพื่อนมนุษย์ให้มีแสงสว่าง ให้รู้จักดำเนินชีวิตให้ถูกต้องเพื่อประโยชน์แก่เขาเอง เมื่อเห็นว่าเขายังไม่มีธรรมะ หรือยังว่างจากธรรมะว่างจากศาสนาก็ช่วยเติมให้ ช่วยใส่ธรรมะให้ จะได้เป็นคนที่มีธรรมะ เขาก็จะได้รับประโยชน์จากธรรมะ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ นี่ช่วยทำให้เขาไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยมันเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องทั้งหมดของสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องทำ นี่จึงขอฝากเรื่องนี้ไว้กับพวกเพื่อนสหธรรมิกสพรหมจารีทั้งหลาย เราเป็นเหมือนกับว่าปากของพระธรรมหรือว่าปากของพระเจ้าอิทัปปัจจยตา ซึ่งพูดไม่ได้ อิทัปปัจจยตาก็พูดไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นพระเจ้าสูงสุด พระธรรมหรือธรรมะมันก็ไม่มีปากจะพูดได้ เรานี่จะอาสาเป็นปากของพระธรรมของพระเจ้าอิทัปปัจจยตาแล้วจะพูด พูดให้คนรู้จักพระธรรม พูดให้คนรู้จักพระเจ้าอิทัปปัจจยตา แล้วเรื่องนั้นมันจะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่เขาคือเขาจะมีธรรมะ จะมีพระเจ้าอิทัปปัจจยตานี้เป็นหลักดำเนินชีวิตจนกระทั่งคุ้มครองได้ คนที่ไม่มีธรรมะไม่มีความรู้ในเรื่องธรรมะเพียงพอนี่มันเหมือนกับว่าตาบอดหรือเดินไม่ได้ แล้วชีวิตนี้มันก็กระปลกกระเปลี้ย ไม่สามารถจะก้าวข้ามอันตรายหรือความทุกข์หรือวัฏ วัฏสงสารไปได้ ช่วยกันทำให้เขามีหูตาสว่างไสวในธรรม ให้รู้จักวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตา ครั้นมีแล้วเขาก็เป็นผู้มีกำลังของธรรมะของอิทัปปัจจยตา ช่วยให้เขาเดินได้วิ่งได้ก้าวหน้าไปในทางธรรมคือมีจิตใจสูงขึ้นๆ การก้าวหน้าไปในทางธรรมนั้นคือมีจิตใจสูงขึ้นๆ การเดินไปสู่พระนิพพานนั้นก็คือมีจิตใจสูงขึ้นๆ สูงขึ้นไปจากกิเลส สูงขึ้นไปเหนือกิเลสแล้วมันก็เหนือความทุกข์ด้วย หรือจะเรียกรวมๆกันว่าเหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง ปัญหาทางกายก็ดี ทางจิตใจก็ดี ทางวิญญาณก็ดีมันก็สลายไป เขาก็ปราศจากปัญหาคือความทุกข์ทุกชนิด สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลทุกชนิดนั่นแหละเรียกว่าปัญหา แล้วก็จะไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเพราะว่าได้รับสิ่งที่ควรจะได้รับเต็มตามที่มนุษย์ที่ดีคนหนึ่งจะได้รับ ถ้าเราช่วยกันอย่างนี้ไอ้โลกนี้มันก็จะเต็มไปด้วยผู้ที่ไม่มีความทุกข์ไม่มีปัญหา มีแต่ผู้สร้างความสงบเรียกว่า สัตบุรุษ สัดบุหรุด หรือ สัปปุริสบุคคล สัตบุรุษ ก็ได้แล้วแต่จะเรียก รวมความแล้วก็คือคนที่มีความสงบสุข แล้วก็สร้างความสงบสุขให้แผ่ไปโดยรอบด้าน ตัวเขาก็มีธรรมะเพื่อความสงบสุข บุตรภรรยาสามีก็มีธรรมะเป็นความสงบสุข มันก็เป็นครอบครัวที่มีความสงบสุข พอมีครอบครัวชนิดนี้ทั่วๆไปหมดแล้วไอ้โลกนี้ก็เป็นโลกพระศรีอริยเมตไตรย คือเป็นโลกที่อยู่กันด้วยความสงบสุข พิจารณาดูให้ดีมันคุ้มกันแล้ว มันคุ้มค่าแล้วที่จะยอมเหน็ดเหนื่อย มันคุ้มค่าแล้วที่จะยอมเหน็ดเหนื่อย มาช่วยกันสร้างโลกพระศรีอริยเมตไตรยโดยทำให้ครอบครัวมีธรรมะ โดยบุคคลทุกคนในครอบครัวนั้นมีธรรมะด้วยกันทุกคน มันอยู่ในวิสัยที่เราจะสร้างได้แต่เราก็ไม่ได้สร้าง หรือจะเรียกว่าสร้างไม่ได้ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่ควรจะสร้างได้ เรื่องนี้พิจารณาดูเถิดว่ามันตรงตามพระพุทธประสงค์หรือไม่ อาตมามีความเชื่อเหลือเกินว่ามันตรงตามพระพุทธประสงค์ที่จะช่วยกันทำสิ่งที่เป็นประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่มหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์ตามพระพุทธดำรัสที่ตรัสเมื่อส่งพระสาวกออกไปประกาศพระศาสนาว่าจงไปแสดงธรรมให้ไพเราะทั้งเบื้องต้น ทั้งท่ามกลาง และเบื้องปลาย ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์หมดจดสิ้นเชิง สมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะ
การไปเผยแผ่ธรรมะนั้นเขาเรียกว่าประกาศพรหมจรรย์ พรหมจรรย์คือระบอบ ระบบประพฤติชีวิตประเสริฐ ทำให้ชีวิตประเสริฐ การประพฤติทำชีวิตให้ประเสริฐนี้เรียกว่าพรหมจรรย์ ไปประกาศพรหมจรรย์ก็คือไปเผยแผ่เรื่องนี้ให้งดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย แล้วแต่จะตีความหมายว่าต่ำสุดก็ถูกต้องและงดงาม กลางๆก็ถูกต้องและงด งดงาม ระดับสูงก็ถูกต้องและงดงาม ในแง่ของวิชาการก็งดงาม ในแง่ของปฏิบัติการก็งดงาม ในแง่ของผลที่ได้รับจากการปฏิบัติมันก็งดงาม นี่งดงามทั้ง ๓ ระดับ ทั้ง ๓ ชั้น ชั้นต้น ชั้นกลาง ชั้นปลาย ชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นสูงในเรื่องของมนุษย์นั่นเอง ที่ว่าสมบูรณ์ทั้งอรรถทั้งพยัญชนะนั้น ให้มีอรรถคือความหมายแจ่มแจ้งชัดเจน เข้าใจถูกต้องทั่วถึง ที่ว่าให้มีพยัญชนะนั้นคือโดยตัวหนังสือก็มีสำหรับจะยึดถือไว้เป็นหลัก พยัญชนะนี้มันสำคัญอยู่ตรงที่ว่ามันช่วยรักษาความถูกต้องไว้ได้โดยง่าย เช่นพระบาลีที่เราท่องกันได้อย่างสวดมนต์อย่างนี้มันรักษาไว้ได้โดยง่ายเพราะมันท่องง่ายจำง่าย แต่ถ้าเป็นคำอธิบายมันก็จำไม่ไหว รักษาไม่ไหว มัน แล้วก็มันเลือนกันง่ายเพราะมันไม่มีความชัดเจนแห่งถ้อยคำน้ำเสียงอะไรนั้น เราจะให้พยัญชนะคือให้บทท่อง บทสวด บทบรรยายนี่ก็เพียงพอ และให้คำอธิบายหรือความหมายของถ้อยคำเหล่านั้นอย่างถูกต้องและเพียงพอในที่ทุกหนทุกแห่ง อยู่ที่ไหนจังหวัดไหนเมืองไหนภาคไหนก็ขอให้ช่วยทำหน้าที่อย่างนี้ในที่นั้นๆ ถ้าทำอยู่บ้างแล้วก็ทำให้มันยิ่งๆขึ้นไป ถ้ายังไม่เคยมีก็ขอให้ช่วยขวนขวายให้มันมีขึ้นมา ส่วนที่จะทำให้ดียิ่งๆขึ้นไปนั้นยังมีมาก ยิ่งมีมากน่ะยิ่งจะต้องทำมากน่ะ เพราะว่าสถานะทางศีลธรรมมันเสื่อมโทรมทรุดโทรมลงมาก มันก็เลยทำให้มีงานมาก มีภาระมากที่จะช่วยกันกอบกู้ศีลธรรมให้กลับมา แล้วก็ส่งเสริมให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป จะถือว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ตามใจในการที่มันมีงานให้ทำมาก คนขี้เกียจทำงานก็เห็นว่าเป็นโชคร้ายเพราะงานมันมาก คนที่มีนิสัยขยันเห็นแก่ผู้อื่นมันก็ว่าเป็นโชคดีได้มีงานทำมาก สูดปากเหมือนกับได้กินของอร่อยว่าเราจะได้ทำงานมากๆ ขอให้ใคร่ครวญดูในข้อนี้เถิดว่าเราจะถือว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ตัดสินกันได้ง่ายๆว่าชนิดไหนมันจะเป็นที่พอใจแม้แก่ตัวเราเอง และถ้าพระพุทธองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่เห็นแล้วจะสาธุการ จะทรงสาธุการ นี่ท่านยังย้ำในข้อที่ว่าให้เป็น หิตายะ สุขายะ น่ะคือเป็นประโยชน์สุขเป็นความเกื้อกูลแก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ เรื่องนี้พูดหลายหนแล้วว่าเทวดาและมนุษย์นี้คืออะไร บางคนก็สนใจบางคนก็ไม่สนใจ ทำไมพระพุทธเจ้าจะต้องตรัสว่าเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งเทวดาและมนุษย์ มหาชนน่ะคือหมู่สัตว์ทั้งเทวดาและมนุษย์ เพราะว่าทั้งเทวดาและมนุษย์ก็ยังมีความทุกข์ เทวดามีความทุกข์แบบเทวดา มนุษย์มีความทุกข์แบบมนุษย์ เทวดามีปัญหาแบบเทวดา มนุษย์มีปัญหาแบบมนุษย์ ทั้งเทวดาและมนุษย์ยังทนอยู่ในความทุกข์และปัญหา ไม่ใช่ว่าเป็นเทวดาแล้วจะพ้นจากกิเลส จะพ้นจากความทุกข์ที่มีมาจากกิเลส ในบางประการในบางกรณีเทวดาจะมีกิเลสมากกว่ามนุษย์เสียด้วยซ้ำไป เพราะหลงใหลในความสุขความเพลิดเพลินทางอารมณ์ ทางกามารมณ์มากกว่ามนุษย์ จึงยังคงตกอยู่ในสภาพที่มีความทุกข์ไม่น้อยไปกว่ามนุษย์ เดี๋ยวนี้เทวดาชนิดนี้อยู่ที่ไหน โดยความหมายโดยนัยแห่งความหมายมันก็อยู่ที่ไอ้คนที่กำลังเพลิดเพลินอยู่ในกามารมณ์ หรือทรัพย์สมบัติพัสถาน ศฤงคาร ลาภสักการะ เกียรติยศชื่อเสียง อำนาจวาสนานั่นแหละมันก็เลยอยู่ในโลกนี้ ในบ้านเมืองนี้นั่นเอง พวกที่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำเป็น ก็เป็นมนุษย์ไปสิ ไอ้พวกที่ไม่รู้จักเหงื่อนั่นแหละคือพวกเทวดา สมบูรณ์อยู่ด้วยทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง อำนาจวาสนา แล้วก็มีความทุกข์ออกมาจากสิ่งเหล่านั้นเอง คนมั่งมีก็จะมีความทุกข์ออกมาจากความมั่งมีของตนเอง คนยากจนมันก็จะต้องมีความทุกข์ออกมาจากความยากจนของตนเอง พวกนายทุนทั้งหลายก็มีความทุกข์ไปตามแบบของนายทุน พวกชนกรรมาชีพก็มีความทุกข์ไปตามแบบของชนกรรมาชีพ ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบหรอก รวมความว่าสัตว์ทั้งหลายยังอยู่ในกองทุกข์ตามธรรมดา จึงมีหน้าที่ที่จะต้องนึกถึงทั้งเทวดาและมนุษย์ คือทั้งคนที่รู้จักเหงื่อและคนที่ไม่รู้จักเหงื่อว่าคนทั้งหลายเหล่านี้จงมีความ มีการประพฤติหรือการกระทำที่ถูกต้องเพื่อจะกำจัดความทุกข์หรือปัญหานั้นๆเสียนี่ มันก็คือให้เขาได้รับประโยชน์อย่างดีที่มนุษย์ควรจะได้รับนั่นแหละ นี่หนทางอื่นมันไม่มี มันมีแต่หนทางที่ว่าธรรมะจะต้องเข้ามา ธรรมะจะต้องเข้ามาสู่บุคคลเหล่านั้น บุคคลเหล่านั้นจึงจะรู้จักจัดรู้จักทำให้ชีวิตนี้ดำรงอยู่ในความไม่มีทุกข์ ไอ้สิ่งนั้นก็คือธรรมะ จึงต้องสนใจในการที่จะให้มีธรรมะ ให้เขามีธรรมะ ให้เขาประพฤติธรรมะ ก่อนนี้เขาไม่รู้ เขาเกิดมาเขาไม่ได้รู้ เขาไม่มีความรู้มาแต่ในท้อง เขาเกิดมาก็ประ ประสบแต่สิ่งที่หลอกให้หลง ยั่วให้หลงก็ยิ่งไม่มีธรรมะ เขาก็จมอยู่ในกองทุกข์ จึงต้องช่วยกันประกาศพรหมจรรย์ แสดงแสงสว่างให้คนเหล่านี้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอะไร เขาก็จะมองเห็นไอ้ความทุกข์ที่เขากำลังมีอยู่ สร้างขึ้นมาด้วยความไม่รู้เท่าไม่รู้ทันของเขาเอง จนเขาเป็นผู้ที่สามารถจะปฏิบัติเพื่อกำจัดความทุกข์ของตนได้ ลองตีราคาดูว่าการที่ช่วยให้คนๆหนึ่งปฏิบัติกำจัดความทุกข์ได้นั้นน่ะ การกระทำนี้มันมีค่ามีราคาสักกี่มากน้อย ช่วยยกเขาให้ออกจากความทุกข์ทั้งทางกายทั้งทางจิตทั้งทางวิญญาณทั้ง ๓ ประการนี้มันมีค่ามีราคาสักกี่มากน้อย พระอริยเจ้าช่วยมนุษย์ได้ในลักษณะนี้ พระอริยเจ้าเหล่านั้นจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้เอา เพราะว่าท่านรับจตุปัจจัยมาพอประทังชีพอยู่ได้เท่านั้น แต่แล้วท่านก็ให้ธรรมะอันสูงสุดสามารถจะดับทุกข์ได้แก่คนเหล่านั้น ท่านจึงเป็นผู้ให้มากกว่าผู้เอา และก็ทำไปไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องการค้า ทำไปด้วยความเมตตากรุณาที่จะช่วยสัตว์ทั้งหลายหรือเพื่อจะสนองพระพุทธประสงค์ก็ตาม เพราะมีการกระทำอยู่อย่างนี้ท่านเลยได้ชื่อว่าเป็นปูชนียบุคคลคือคนที่สมควรแก่การบูชาทั้งโดยเทวดาและมนุษย์ ทั้งโดยเทวดาและมนุษย์ จะเคารพบูชาสักการะปูชนียบุคคลเหล่านี้
บรรพชิตในพระพุทธศาสนามีหน้าที่อยู่โดยตรงบ้างโดยอ้อมบ้าง แล้วแต่ว่าใครจะรับผิดชอบสักเท่าไร แต่อย่างน้อยก็มันมีหน้าที่โดยอ้อมว่าจะต้องตอบแทนสงเคราะห์ประชาชน เป็นผู้ให้มากกว่าที่จะเป็นผู้รับ ให้มีการให้มากกว่าที่จะมีการรับ นี่จึงจะสมกับที่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือไม่เอาเปรียบ ไม่เห็นแก่ตัว มีแต่จะช่วย มีแต่จะช่วยตามที่จะช่วยได้ ช่วยทางกาย ช่วยทางจิต ช่วยทางวิญญาณคือช่วยทางวัตถุสิ่งของ ช่วยให้เป็นสุขทางจิต ช่วยให้เป็นสุขทางวิญญาณคือมีสติปัญญา หูตาสว่างไสว ดับความทุกข์ชั้นสูงได้ ประสบผลชั้นสูงสุดจนกระทั่งถึงพระนิพพาน นี่แหละคือเรื่องที่ผูกพันกันอยู่ ขอให้เรียกว่ามันเป็นเรื่องที่ผูกพันกันอยู่ ผูกพันในข้อที่ว่าเราเป็นสาวกของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงประสงค์ให้เราทำอย่างนี้ นี่ก็เป็นข้อผูกพัน ถือว่าเรารับจตุปัจจัยของทายกทายิกามาบริโภคอยู่ทุกวัน ก็จะต้องสำนึกในการที่จะตอบแทนให้สมกันหรือให้มากกว่า แม้นี้ก็เป็นข้อผูกพัน เรามองเห็นว่าเป็นหน้าที่ที่จะเปลื้องภาระผูกพันเหล่านี้ จึงได้พยายามทุกวิถีทางสุดกำลังความสามารถของตนเพื่อจะปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำในทางวิญญาณ พวกบรรพชิตนี่ถูกจัดไว้ว่าเป็นผู้นำในทางวิญญาณ ให้ประชาชนเดินดำเนินในทางวิญญาณได้ถูกต้อง คือให้บำเพ็ญประพฤติทางจิตถูกต้อง มีการพัฒนาในทางจิตถูกต้องตามอย่างตามตัวอย่างที่ดี นี่คือพระสมณะ พระอริยเจ้า หรือบรรพชิตที่มีความเป็นบรรพชิตอันถูกต้อง ท่านเป็นเสมือนหนึ่งผู้ถือตะเกียงส่องนำไปข้างหน้า ถ้าทำได้อย่างนี้มันก็ผูก จะเปลื้องความผูกพันได้ทุกฝ่าย ข้อที่ผูกพันในการเป็นของพระสาวกของพระศาสดาก็จะหมดไป ข้อผูกพันในการบริโภคจตุปัจจัยของประชาชนมันก็จะหมดไป ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์เต็มที่คือสูงสุดนะ ประโยชน์อันสูงสุดก็ได้รับ มันก็เรียกว่าช่วยกันสร้างโลกนี้ให้เป็นโลกที่น่าอยู่น่าดู มีความงดงามด้วยธรรมะ อยู่กันโดยไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน ร่วมมือกันสร้างโลกทั้งโลกนี้ให้งดงามให้น่าอยู่น่าดู ไม่มีความทุกข์ทรมาน นี่มันเป็นเรื่องของส่วนรวมถึงขนาดนี้ ถ้าไม่คิดไม่สนใจมันก็ไม่มองเห็นหรอก แต่ถ้าจะคิดจะสนใจกันอยู่บ้างมันก็พอจะมองเห็นว่ามันเป็นอย่างนี้ มันมีปัญหาอย่างนี้ มันมีความผูกพันกันอย่างนี้ เราก็พร้อมใจกันที่จะแก้ปัญหาหรือทำลายไอ้เครื่องผูกพันเหล่านั้นเสียจนมนุษย์ทุกคนนี่มีความเบาสบายทางกาย ทางวาจา ทางจิต ซึ่งจะต้องกล่าวว่าไม่มีภาวะอื่นใดที่จะดีไปกว่าภาวะอย่างนี้ ทุกคนในโลกอยู่เป็นสุขไม่มีเรื่องทนทุกข์ทรมาน นี่เป็นภาวะที่น่าสนใจหรือมีค่ายิ่งกว่าภาวะใดๆ เกิดขึ้นมาได้เพราะความร่วมมือกันระหว่างประชาชนทั่วไปกับพระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้นำในทางวิญญาณ เป็นผู้นำโลกในทางวิญญาณ ให้ทุกคนในโลกดำเนินไปในทางที่ถูกต้องของความเป็นมนุษย์นั้นๆ เรื่องมันมีอยู่อย่างนี้ แต่จะทำได้หรือไม่ได้นี่มันก็อีกปัญหาหนึ่ง เดี๋ยวนี้มันมีแต่เล่นละครเสียโดยมาก เรื่องทางศาสนานี่ วัดวาอาราม สมาคมนั้นสมาคมนี้ สังคมนั้นสังคมนี้ มีการกระทำชนิดที่เป็นการเล่นละครเสียมากกว่าที่จะทำกันให้ถูกต้องและแท้จริง ดังนั้นประชาชนหรือโลกนี้มันจึงไม่ตั้งอยู่ในความสงบสุขตามความมุ่งหมาย เรื่องที่ทำไม่จริงนี่แหละเป็นตัวปัญหาใหญ่ การทำอย่างเห็นแก่ตัวหรือเอาเปรียบมันก็เป็นเรื่องที่ทำไม่จริงเรียกว่าทำไม่จริง มันก็ไม่มีผลจริง มันไม่มีออก มีการออกผลมาอย่างถูกต้องหรือแท้จริง มันก็เลยเป็นเรื่องเล่นละคร เป็นเรื่องแสดงบทบาทอย่างละคร ไม่ได้ผลจริงตามความมุ่งหมายของพระศาสนา หวังว่าจะได้เอาไปพินิจพิจารณาทำให้เป็นเรื่องจริง อย่าเอาเป็นเรื่องเล่นละครหรือเป็นเรื่องตบตาต่อไปอีกเลย ถ้าทำด้วยความเห็นแก่ตัวมันก็ทำเพื่อประโยชน์ตัวไม่ใช่ช่วยผู้อื่น พอเผลอเข้า มีโอกาสเข้าก็ทุจริตก็กอบโกย จึงมีลักษณะอาการที่เรียกว่านักบวชทำนาบนหลังชาวบ้าน หรือพูดให้จริงกว่านั้นก็เรียกว่าทำนาบนหัวชาวบ้านมากกว่า เพราะว่าเขาเคารพบูชาเอาไว้บนหัวบนศีรษะ นี่ถ้าจะคดโกงกันมันก็เป็นการทำนาบนหัวชาวบ้านหรือประชาชน อย่างนี้มันก็หมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้ว มันพังทลายหมดแล้ว ไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหนแล้ว ไม่เป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง ไม่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถูกต้อง ผลร้ายเกิดออกมาทุกด้านทุกทิศทุกทาง นี่เรียกว่าความล่มจมแห่งพระศาสนา หรือว่าความอันตรธานหายไปของพระพุทธศาสนาเนื่องมาจากการกระทำที่ผิดพลาดไม่ถูกต้องนั่นเอง เหตุการณ์เลวร้ายชนิดนี้อย่าได้มีแก่พวกเราเลย ขอร้องว่าเหตุการณ์เลวร้ายชนิดนี้อย่าได้มีแก่พวกเราเลย เหตุการณ์เลวร้ายชนิดนี้อย่าได้มีแก่พวกเราเลย เราจะเป็นพระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถูกต้องคือบริสุทธิ์ ไม่มีความเร้นลับที่ต้องซ่อนเร้น เปิดเผยไม่ได้นั่นแหละอย่าต้องมีเลย ไม่ต้องมีเลย เป็นเรื่องกระทำให้เปิดเผยเพราะว่ามันมีความถูกต้องนั่นเอง ถ้ามีความถูกต้องแล้วก็อวดได้มาดูสิ มาดูสิ ท้าให้มาดูเลย มันมีแต่ความถูกต้อง ไม่มีอะไรที่ผิดพลาดจนต้องปกปิด
เอาละเป็นอันว่าเวลามันก็ได้ล่วงมาๆสำหรับพวกเราทุกคน เวลามันไม่ได้ล่วงไปๆสำหรับคนใดคนหนึ่ง มันล่วงไปๆสำหรับทุกคน เราก็ได้เหลวไหลปล่อยปละละเลยล่วงไปเสียเปล่าๆ ล่วงไปมากเสียเปล่าๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ ไอ้หน้าที่มันก็หมักหมมมากขึ้นๆจนจะทำไม่ค่อยจะหวาดไหวนี่ จะไปโทษใคร มันก็โทษผู้เหลวไหลนั่นแหละ ถ้าว่ามันมีลักษณะอย่างนี้มันก็น่าเศร้า หรือว่าน่าเอามาล้อ เอามาล้อให้มันละอายมันจะได้หมดไป มันจะได้เลิกราไป อย่าได้มีการกระทำชนิดที่เรียกว่าเลวร้าย ฉะนั้นเรามาพบกันอย่างในวันนี้ ได้พูดกันในเรื่องนี้ ก็นับว่าได้พูดเรื่องที่ควรพูด ได้พูดที่มี มีประโยชน์ ได้มีการพูดที่มีประโยชน์เป็นการได้ที่ดีด้วยกันทุกฝ่ายและทุกคน นึกถึงข้อที่ว่าบริษัทของพระพุทธองค์นั้นมีอยู่ ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มันก็หมดเท่านั้นแหละมันก็ไม่มีมากไปกว่านั้น สำหรับภิกษุณีนั้นจะถือว่าหมดไปแล้วโดยวินัย โดยวินัยภิกษุณีหมดไปแล้วแต่โดยธรรมะยังมีอยู่ เพราะว่ามีสตรีเพศที่ยังพยายามจะประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ในระดับสูง เป็นภิกษุณีโดยสงเคราะห์ได้โดยหลักของธรรมะ แต่จะเป็นภิกษุณีโดยวินัยนั้นมันเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว เพราะวินัยมีบัญญัติไว้เด็ดขาด ผู้สืบสายภิกษุณีที่จะเป็นอุปัชฌายะฝ่ายสตรีได้นั้นมันไม่มีแล้ว มันขาดตอนไปแล้ว พระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติวินัยไว้อย่างนี้ ดังนั้นภิกษุณีในฝ่ายวินัยไม่อาจจะกลับมาอีก แต่ว่าถ้าดูกันในฝ่ายธรรมะ ถ้าสตรีเพศผู้ใดได้ประพฤติปฏิบัติธรรมะสูงกว่าธรรมดา สูงกว่าฆราวาส ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อถึงที่สุดแห่งความทุกข์ด้วยความมุ่งหมายอย่างเดียวกันกับภิกษุ นั้นก็ยังจะมีภิกษุณีโดยธรรมะ โดยหลักของธรรมะได้ต่อไปอีกนาน เรามาซ่อมภิกษุณีที่ขาดหายไปนั่นให้กลับมีมาโดยอาศัยหลักเกณฑ์ทางธรรมะ โดยเผยแผ่ธรรมะที่จะดับทุกข์ได้ ที่เป็นพรหมจรรย์ที่ดับทุกข์ได้นี้สำหรับสตรีเพศสืบต่อไป ก็พอจะเรียกได้ว่าบริษัททั้ง ๔ นี้ยังมีอยู่คือมีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มั่นคง แน่นแฟ้น สมบูรณ์ในพระพุทธศาสนา แต่ละ แต่ละฝ่าย ทั้ง ๔ ฝ่ายนี่ต่างทำหน้าที่ของตนๆอย่างเต็มที่ ก็จะดำรงพระพุทธศาสนานี้ไว้ได้สำหรับอยู่และเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป ไม่สูญหายไปไหนเสีย แต่ถ้าว่าคดโกงต่อหน้าที่ ไม่ทำหน้าที่อย่างถูกต้องแล้วนั่นแหละคือผู้ที่ทำลายพระพุทธศาสนาให้สูญหายไปในเวลาอันสั้นหรือโดยเร็ว นี่ขอให้เห็นอกเห็นใจกันในส่วนนี้ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาว่าอะไรจะเป็นเครื่องค้ำจุนให้ธรรมะยังอยู่ ให้ศาสนายังอยู่เป็นที่พึ่งของมหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ก็จงรีบกระทำเถิด กระทำให้สุดความสามารถของตน หรือว่าช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้กระทำให้สุดความสามารถของตน ให้ความสะดวกในเมื่อผู้อื่นจะประพฤติให้ยิ่งๆกว่าตน นี่คือข้อที่ว่าบริษัทฝ่ายฆราวาสช่วยเหลือบำรุงส่งเสริม ให้ความสะดวกแก่บริษัทฝ่ายบรรพชิต แล้วก็จะเจริญรุ่งเรืองร่วมกันในพระพุทธศาสนา ที่อาตมาพูดข้อนี้ก็เพราะว่าข้อนี้กำลังเป็นปัญหา กำลังเกิดเชื้อโรคร้ายขึ้นในภายใน และจะระบาดลุกลามออกไป นำมาซึ่งความสูญสิ้นแห่งธรรมะ ทีนี้เราก็จะมาช่วยกันต่อสู้ ต้านทาน ป้องกัน กำจัดเชื้อร้ายอันเกิดขึ้นนี้เสียแต่เนิ่นๆ หรือได้เกิดมาแล้วเท่าไรก็พยายามจะกำจัดให้หมดไปไม่ให้เกิดได้ แต่ให้มีแต่ความถูกต้องคือความสุขความสบาย เพราะไม่มีโรคร้ายอันนี้มาเบียดเบียน นี่ขอฝากเพื่อนสหธรรมิกโดยเฉพาะและท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลายที่เป็นฝ่ายฆราวาส ซึ่งเป็นผู้ให้ความร่วมมือสนับสนุน แล้วก็ตั้งต้นทำหน้าที่นี้ตามที่ทำได้อย่างเต็มที่สืบต่อไป หวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้สถานการณ์จะดีขึ้น สภาพที่เลวร้ายจะลดลง สภาพที่น่าพอใจก็จะเกิดขึ้น นี่เรียกว่าเราทำความเข้าใจกันในส่วนนี้ในโอกาสพิเศษเช่นนี้ อย่าให้เป็นการสูญเปล่า เสียเวลาเปล่า เสียแรงงานเปล่า เสียทุนทรัพย์เปล่าอย่างที่ได้พูดแล้วพูดเล่า พูดแล้วพูดอีกว่าอย่าให้ยมบาลเขารังแกได้ เราไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดในเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตชีวา เกี่ยวกับพระศาสนา เกี่ยวกับมนุษย์ทั้งโลก ขอให้ทำจนปรากฏชัดว่าการประชุมของเราที่นี่ ที่ได้ทำในลักษณะอย่างนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์โดยแท้จริง ทำความเข้าใจกันให้ดี และตั้งใจแน่วแน่ที่จะปฏิบัติหน้าที่อันนี้เต็มความสามารถของตนๆทุกคนเลย แล้วอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือสิ่งที่ตรงตามพระพุทธประสงค์นั่นเองที่จะกำจัดปัญหาของเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเราให้หมดสิ้นไปนั่นเอง เอาละเป็นอันว่านี่คือเรื่องที่ขอฝากให้เอากลับไป ติดตัวออกไปจากที่ประชุมนี้
ทีนี้ก็จะขอพูดอีกเรื่องหนึ่ง คือจะใช้คำว่าธรรมะชีวีมีชีวิตเป็นธรรมะ ธรรมะชีวินมีธรรม มีชีวิตเป็นธรรมะ ธรรมะชีวันมีชีวิตเป็นธรรมะ ใครชอบคำไหนเอาคำนั้น ธรรมะชีวีก็ได้ ธรรมะชีวินก็ได้ ธรรมะชีวันก็ได้ ล้วนแต่มีความหมายอย่างเดียวกันหมดว่าเป็นผู้มีชีวิตเป็นธรรมะ ก็คือขอให้รู้จักดำรงชีวิตชนิดที่มีธรรมะให้เต็มที่ ให้เต็มที่นั่นหมายความว่าเต็มที่ของธรรมะ ให้เต็มที่ของปัญหาที่มีอยู่มากเท่าไรเราก็จะขจัดมันออกไปให้หมดสิ้น คือระบบปฏิบัติชนิดที่จะทำให้ได้ชื่อว่าเป็นธรรมะชีวีมีชีวิตเป็นธรรมะ ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะจริงๆแล้วท่านก็จะรักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นยิ่งกว่าสิ่งใดๆในโลกหรือสิ่งที่ท่านรัก ถ้ารู้จักธรรมะจริงๆแล้วจะรักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะมันมีค่าสูงสุดเหลือเกิน มันช่วยให้ทุกชีวิตรอดและเป็นอยู่อย่างมีความสุข ก็ขอพูดถึงคำว่าธรรมะ ธรรมะอีกสักครั้ง แม้จะได้พูดมาบ้างแล้วก็ไม่สมบูรณ์ เดี๋ยวนี้จะพูดให้สมบูรณ์ว่าธรรมะนั้นคืออะไร ธรรมะนั้นคือหน้าที่ ธรรมะนั้นคือหน้าที่ หน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติและกระทำ ธรรมะนั้นคือหน้าที่ที่ทุกสิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติและกระทำ มีชีวิตอย่างคนก็ทำหน้าที่ของคน มีชีวิตอย่างสัตว์เดรัจฉานก็ทำหน้าที่ของสัตว์เดรัจฉาน มีชีวิตอย่างพฤกษาชาติ ต้นไม้เหล่านี้ก็ทำหน้าที่ของต้นไม้ เพราะต้นไม้ก็มีชีวิต สัตว์เดรัจฉานก็มีชีวิต มนุษย์ก็มีชีวิต กระทั่งเทวดามันก็มีชีวิต บรรดาสิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำหน้าที่ หน้าที่นั้นก็คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ มีความหมายตรงที่ว่าทั้งธรรมะและทั้งหน้าที่น่ะคือสิ่งที่ช่วยให้รอด ช่วยชีวิตนั้นรอด เมื่อชีวิตนั้นทำหน้าที่หรือปฏิบัติธรรมะแล้วชีวิตนั้นจะรอด จะรอดทางกายไม่มีปัญหาทางกาย จะรอดทางจิตไม่มีปัญหาทางจิต จะรอดทางวิญญาณคือสติปัญญาไม่มีปัญหาทางวิญญาณ เป็นความรอดของทุกคนด้วย ถ้ามีธรรมะกันจริงๆแล้วจะมีความรอดสำหรับทุกคนเลย ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ถ้าเรียกในภาษาไทยในเมืองไทยก็เรียกว่าหน้าที่ ถ้าเรียกในภา ในประเทศอินเดียในภาษาอินเดียโบรมโบราณนั้นก็เรียกว่าธรรมะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ พอมนุษย์คนแรกสังเกตเห็นว่าโอ้, มันมีหน้าที่นะ คน พวกเรามีหน้าที่ที่จะต้องประพฤติกระทำเพื่อความรอดของเรา ไม่ทำก็ตายหมดแหละ เขาก็เรียกไอ้สิ่งนั้นน่ะว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ดึกดำบรรพ์ก่อนพุทธกาลนานไกลนู้นมนุษย์รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะในฐานะเป็นหน้าที่ แล้วก็อธิบายเพิ่มเติม ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพิ่มเรื่องธรรมะให้มากขึ้นๆ มากขึ้นเป็นดีขึ้นทุกยุคทุกสมัย ทุกหนทุกแห่งนั่นจนกระทั่งพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ท่านก็อธิบายความหมายของคำว่าหน้าที่หรือธรรมะละเอียดสูงยิ่งขึ้นไปจนช่วยให้รอดถึงที่สุดได้คือถึงพระนิพพาน รอดถึงที่สุดได้คือถึงพระนิพพาน ดังนั้นธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เมื่อปฏิบัติหน้าที่คือปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติธรรมะคือปฏิบัติหน้าที่ ทำนาอยู่กลางนาก็ได้เรียกว่ามีธรรมะ อยู่กลางนา ถ้าทำหน้าที่ไถนาอย่างถูกต้องของชาวนา ทำสวนอยู่ก็ได้เรียกว่ามีธรรมะอยู่กลางสวน ค้าขายอยู่ก็ได้ทำหน้าที่ของคนค้าขายอย่างถูกต้องก็มีธรรมะของคนค้าขาย ทำราชการก็ได้ก็มีหน้าที่ของข้าราชการ มีธรรมะของข้าราชการ เป็นกรรมกรทำหน้าที่กรรมกรก็มีธรรมะของกรรมกร กระทั่งว่าจะเป็นคนแจวเรือจ้าง เป็นคนกวาดท่อถนน เป็นคนถีบสามล้ออะไรก็ตามเป็นธรรมะหมด แม้มันจะถีบสามล้ออยู่มันก็เป็นธรรมะของคนถีบสามล้อ จะล้างท่อน้ำอันสกปรกข้างถนนอยู่มันก็เป็นคนมีธรรมะของคนล้างท่อ คำว่าหน้าที่นี่มีความหมายอย่างเดียวกัน หน้าที่ของพระราชามหากษัตริย์ จักรพรรดิอะไรก็ตามมันก็สักว่าหน้าที่ ทุกหน้าที่มีความหมายเป็นธรรมะหมด แม้จะนั่งขอทานอยู่ นั่งขอทานอยู่ เขาปฏิบัติหน้าที่ของคนขอทานอยู่เพราะเขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น เขาก็มีธรรมะของคนขอทาน ธรรมะของคนขอทาน หน้าที่ของคนขอทาน เมื่อเขาตั้งใจประพฤติปฏิบัติโดย ด้วยดีแล้วไม่เท่าไรน่ะเขาจะพ้นจากสภาพขอทาน เขาก็ไม่ต้องเป็นคนขอทาน เพราะเขาประพฤติธรรมะของคนขอทานถึงที่สุดแล้ว นี่ขอให้รู้ว่าไอ้ธรรมะนั้นมันคือหน้าที่ มีการปฏิบัติหน้าที่ที่ไหนมีธรรมะที่นั่น ในโบสถ์ในวัดอาจจะไม่มีธรรมะก็ได้ ถ้าในโบสถ์มันไม่มีการทำหน้าที่ มีแต่นั่งสั่นเซียมซีขอโชคลาภนี่ในโบสถ์นั้นไม่มีธรรมะหรอก กลางนาทุ่งนาจะมีธรรมะเพราะว่าชาวนากำลังทำหน้าที่ พูดอย่างนี้ไม่ใช่กระทบกระเทียบใคร บอกตามเป็นจริงว่าที่ไหนมีการทำหน้าที่ ที่นั้นมีธรรมะ ไม่จำกัดว่าที่วัดหรือที่บ้าน หรือที่ในโบสถ์หรือในกลางทุ่งนา ถ้ามีการปฏิบัติหน้าที่ก็มีธรรมะ เพราะธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่แปลว่าธรรมะ แล้วแต่จะใช้ภาษาไทยหรือจะใช้ภาษาบาลี ทีนี้ก็มีอยู่ว่าเรื่องก็มีอยู่ว่าเรารู้จักธรรมะอย่างนี้แล้วเราก็พอใจในธรรมะคือการทำหน้าที่ พอได้ทำหน้าที่ที่ว่าเหน็ดเหนื่อยนั่นแหละเราก็พอใจ เราก็พอใจในการทำหน้าที่ มันก็ทำหน้าที่สนุก ทำงานได้มาก มีผลมาก เพราะรู้สึกว่าเป็นการปฏิบัติธรรมะ ทีนี้ถ้าอยากจะทำงานหน้าที่ไม่ให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแล้วก็ให้รู้ความจริงเสียให้ว่าไอ้ธรรมะนั่นคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ อย่างนี้จะทำให้ทำงานสนุก จะสามารถทำงานได้มากกว่าธรรมดา เมื่อคนธรรมดาเขาทำกันเพียงวันละ ๘ ชั่วโมง เราจะทำหน้าที่วันละ ๑๘ ชั่วโมง เพราะว่าหน้าที่นั้นคือธรรมะ คือสิ่งสูงสุดของมนุษย์ เป็นเกียรติยศสูงสุดของมนุษย์ เป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้าของมนุษย์ พระเจ้าที่แท้จริงคือหน้าที่ สิ่งที่จะช่วยเราได้แท้จริงคือหน้าที่หรือการทำหน้าที่ ดังนั้นหน้าที่นั่นแหละคือพระเจ้าที่จะช่วยให้รอด จำไว้ไปคิดพิจารณาดูว่าไอ้ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ มีความสำคัญตรงที่มันจะช่วยให้รอด ถ้าทำหน้าที่แล้วหน้าที่นั้นมันจะช่วยให้รอด ให้รอดตาย ให้รอดจากความยากจน ให้รอดจากปัญหาทางวัตถุทางสังคม แล้วรอดจากปัญหาทางจิตทางวิญญาณ บรรลุนิพพานได้ด้วยการทำหน้าที่
ธมฺม คำนี้เป็นภาษาบาลีก็เรียกว่าไอ้สภาพที่ทรงผู้ปฏิบัติธรรมะไว้ ธมฺม คำนี้ ตัวหนังสือตัวนี้ ธมฺม นี้คือคำว่า ธร ธร นี้แปลว่าทรงไว้ ชูไว้ ยกไว้ ยกอะไรไว้ ก็ยกผู้มีธรรมะนั่นแหละไว้ ผู้ใดมีธรรมะ ธรรมะจะยกผู้นั้นไว้ไม่ให้ตกลงมาสู่ความทุกข์ แล้วดูว่าจริงหรือไม่จริง ไอ้หน้าที่นั่นแหละมันทรงผู้มีหน้าที่ไว้ไม่ไห้ตกลงไปในกองทุกข์ โดยหลักฐานประจักษ์พยานที่มีอยู่ในปัจจุบันมันก็แสดงให้เห็นได้แล้วว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ไอ้เรื่องดึกดำบรรพ์นู้นมันก็เกิดขึ้นอย่างนี้แหละ เขา เขาสังเกตเห็นหน้าที่แล้วเขาก็เรียกว่าหน้าที่ เป็นภาษาโบราณนั้นว่าธรรมะ ธรรมะ ธรรมะคือผู้ที่ทรงผู้ปฏิบัติไว้ไม่ให้ตกลงไปในกองทุกข์ เราควรจะมีหรือไม่ควรจะมี เราควรจะมีหน้าที่คือธรรมะ พอได้ทำหน้าที่ก็รู้สึกว่ามีธรรมะ พอรู้สึกว่าเป็นธรรมะก็พอใจๆ ก็เลยทำหน้าที่นั้นสนุก ถ้าเหงื่อออกมาก็กลายเป็นน้ำมนต์ที่เยือกเย็น อาบรดจิต ที่ชีวิตจิตใจเยือกเย็นสำหรับผู้ที่รู้ว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ ทีนี้บางคนมันไม่รู้ ไม่รู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ มันไม่ได้ชอบธรรมะหรือมันไม่ได้ชอบหน้าที่ด้วยซ้ำไป พอเหงื่อออกมามันก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มันก็ด่าผีสางเทวดา ทิ้งงานไปขโมยดีกว่า เหงื่อออกมาเป็นน้ำร้อนสำหรับผู้ที่ไม่รู้จักว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ แต่สำหรับผู้ที่รู้ว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่นั่นเหงื่อออกมาเป็นน้ำมนต์เย็น เยือกเย็น รดร่างกายจิตใจให้เยือกเย็น จึงทน ไม่ทนหรอกไม่ใช่ทนหรอก จึงยังคงทำงานอยู่ได้จนเหงื่อท่วมตัว กลางแดดก็ทำงานอยู่ได้อย่างสนุก เหงื่อท่วมตัว เพราะว่าเหงื่อนั้นมันกลายเป็นน้ำมนต์ที่เยือกเย็นไปเสียแล้ว คนที่มีความรู้สึกอย่างนี้เขาก็สนุกในการทำงาน อย่างเป็นชาวนาก็ไถนาไปจน ๑๐ โมงเช้า ๑๑ โมงเช้ายังไม่ได้กินข้าวสักที ก็ยังสนุกในการไถนาอย่างนี้เป็นต้น เพราะมันอาบรดอยู่ด้วยเหงื่อน้ำมนต์ที่ออกมาจากความรู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ทีนี้ที่จะต้องสังเกตเป็นพิเศษก็คือว่าถ้ามันเป็นอย่างนี้จริงมันก็จะต้องพอใจสิ มันต้องพอใจในหน้าที่ พอใจในธรรมะ พอได้ลงมือปฏิบัติธรรมะก็พอใจ หรือพอได้ลงมือทำหน้าที่ก็พอใจ พอใจ พอใจ ข้อนี้จำไว้ทีก่อน ทำไมจึงพอใจ เพราะรู้ว่าถูกต้อง มันถูกต้อง มันถูกต้องที่เราต้องทำหน้าที่หรือประพฤติธรรมะที่จะช่วยเราได้ เราแน่ใจอย่างนี้ว่ามันถูกต้องแล้วที่จะต้องทำอย่างนี้ ถูกต้องแล้วพอใจ ถูกต้องแล้วพอใจ ทำหน้าที่เหงื่อไหลไคลย้อยไปจนได้ความรู้สึกว่าถูกต้องแล้วพอใจ ถูกต้องแล้วพอใจ ขอบอกคาถาหรือบอกมนต์ศักดิ์สิทธิ์ไว้เสียเลยว่าทุกคนจงจำไปว่า บทว่าถูกต้องแล้วพอใจ ถูกต้องแล้วพอใจ นี่ให้มัน ให้มันมีอยู่ทุกเวลานาที เพราะว่าการทำหน้าที่นั้นคือธรรมะ มีเกียรติสูงสุด ช่วยมนุษย์ให้รอดได้ ก็พอใจ เมื่อได้ทำหน้าที่ใดๆก็ตามก็รู้สึกว่าถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้วพอใจแล้ว แล้วแต่จะมีหน้าที่อะไร เป็นชาวนาทำนา เป็นชาวสวนทำสวน เป็นคนค้าขายก็ค้าขาย เป็นข้าราชการก็ทำข้าราชการ เป็นกรรมกรก็ทำกรรมกร กระทั่งว่าเป็นขอทานก็พอใจทำหน้าที่ขอทาน หรือจะได้มองกันอีกด้านหนึ่งก็ว่าเป็นแม่ทำหน้าที่ของแม่ก็พอใจ เป็นพ่อทำหน้าที่ของพ่อก็พอใจ เป็นลูกทำหน้าที่ของลูกก็พอใจ เป็นนายจ้าง ผู้บังคับ บัญชาได้ทำหน้าที่แล้วก็พอใจ เป็นลูกจ้างอยู่ใต้บังคับบัญชาได้ทำหน้าที่แล้วก็พอใจ พอใจเหมือนกันหมดเลย ไม่มี ไอ้ความหมายเหมือนกันหมด จะเป็นความพอใจของชาวนา ความพอใจของชาวสวน พอใจของกรรมกร ขอทานอะไรก็มันเป็นความพอใจที่มีความหมายเหมือนกันหมด กับความพอใจของพระราชามหาจักรพรรดินู่น กระทั่งว่าถ้าเทวดาในสวรรค์มันเมื่อประพฤติธรรมะมันก็พอใจ มันก็เหมือนกันแหละความพอใจนั้นเหมือนกันแหละ เพราะมันเกิดมาจากความรู้สึกว่าถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้ว จึงขอให้ยึดถือมนต์อันนี้เอาไว้นะว่าถูกต้องแล้วและพอใจ นี้ต้องมีสติมากพอสมควรนะมันจึงจะทำได้ จึงจะปฏิบัติอย่างนี้ได้ มีปัญญาแล้ว มีปัญญาเสร็จแล้วว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ รู้ความจริงข้อนี้แล้วด้วยปัญญา ทีนี้ก็มีสติระวังให้รู้สึกว่ามันได้ทำถูกต้องแล้วตามกฎเกณฑ์นั้นๆ พอทำหน้าที่อะไรไปถูกต้องแล้วก็พอใจ พอใจ พอใจ เป็นคนใช้ทำงานหนักก็ถูกต้องแล้วและพอใจ เป็นผู้มีอำนาจมีบุญอะไรก็ตามเมื่อได้ทำหน้าที่แล้วก็รู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจ ขอให้มีความรู้สึกอย่างนี้อยู่ทุกอิริยาบถ ทุกวินาที ทุกเวลานาที
แจงรายละเอียดให้เลย มันจะจำได้ง่ายดี พอตื่นนอนขึ้นมาจาก จากหลับ ตื่นขึ้นมามีสติรู้ว่าถูกต้องแล้วในการที่นอนนี้ถูกต้องแล้ว และก็พอใจในการที่ได้นอนหลับและตื่นขึ้นมา ถูกต้องแล้วพอใจ ทีนี้เดิน เอ้า, สมมติว่ามันเดินออกไปล้างหน้า มันก็ล้างหน้า แล้วก็ล้างหน้า มีสติล้างหน้า ล้างหน้าด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องแล้ว ถูนี้ถูกต้องแล้ว แล้วก็พอใจ มันจะถูฟัน ถูฟัน เอ้า, มันก็ถูกต้องแล้วพอใจ ล้างหน้าเสร็จแล้วมันก็ถูกต้องแล้วและพอใจ มันจะไปห้องน้ำ มันจะถ่ายอุจจาระ มันก็เข้าไปในห้องน้ำด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องแล้วและพอใจที่เราจะต้องถ่ายอุจจาระ เมื่อนั่งอยู่บนโถถ่ายอุจจาระก็ว่าถูกต้องแล้วและพอใจ เมื่อถ่ายปัสสาวะก็ถูกต้องแล้วและพอใจ ด้วยความพอใจอย่างนี้จะทำได้ดี ไม่ทำหยาบ ไม่ ไม่ทำหยาบ หยาบๆ ซึ่งมันเป็นความผิด ต้องทำอย่างถูกต้อง ทำอย่างละเอียด ทำอย่างประณีตเหมือนกับว่าธรรมะ คือเป็นธรรมะ ถ่ายอุจจาระอย่างดีก็ถูกต้องพอใจ ถ่ายปัสสาวะอย่างดีถูกต้องพอใจ ไปอาบน้ำก็ถูกต้องและพอใจที่เดินไปที่โอ่งน้ำ ผลัดผ้าก็ถูกต้องและพอใจ ตักน้ำรดก็ถูกต้องและพอใจ ทุกขันเลยถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจ ทีนี้มันก็เลิกอาบน้ำก็ถูกต้องและพอใจ นุ่งผ้าก็ถูกต้องและพอใจ ออกมาจากห้องน้ำก็ถูกต้องและพอใจ ไปห้องครัวถูกต้องแล้วและพอใจที่ไปห้องครัว กินอาหารก็ถูกต้องและพอใจทุกคำๆที่เคี้ยวกิน ถ้าต้องล้างจานก็ถูกต้องและพอใจ จะต้องทำความสะอาดครัวก็ถูกต้องและพอใจ หรือว่าไม่ต้องทำจะไปทำงานก็ถูกต้องและพอใจแล้วที่เราจะไปทำงาน ลงจากเรือนไปทำงานก็ถูกต้องและพอใจ ถ้าไปขึ้นรถก็ถูกต้องและพอใจตลอดเวลา ไปถึงออฟฟิศทำงานก็ถูกต้องและพอใจ ทุกขณะทุกกระเบียดนิ้วถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจ เสร็จงาน จะเลิกงานก็ถูกต้องแล้วที่จะต้องเลิกงาน เมื่อเลิกงานก็ถูกต้องและพอใจ กลับมาบ้านก็ถูกต้องและพอใจ ถ้ามันต้องเดินด้วยเท้าก็ถูกต้องและพอใจทุกก้าวย่าง ทุกก้าวย่างมีสติทำให้รู้สึกคิดนึกได้ว่าถูกต้องและพอใจทุกก้าวย่าง ถ้าขึ้นรถก็มันถูกต้องและพอใจตลอดเวลาที่นั่งมาในรถ มาถึงเรือนถูกต้องและพอใจ ขึ้นบันไดเข้าไปในห้องมันถูกต้องและพอใจทุกอิริยาบถ จะไปอาบน้ำอาบท่า ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ กินอาหารอะไรก็ถูกต้องและพอใจอย่างที่ว่ามาแล้ว จนกระทั่งค่ำลงจะนอนถูกต้องและพอใจ แต่อย่าเพิ่งนอน มาคิดดูก่อนว่าวันนี้มันถูกต้องและพอใจแท้จริงไหม ถ้ามองเห็นว่าโอ้, มันเต็มไปด้วยความถูกต้องและพอใจก็ชื่นอกชื่นใจ ยกมือไหว้ตัวเองนั่นแหละคือสวรรค์ที่แท้จริง สวรรค์ที่แท้จริงมันอยู่ที่ตรงยกมือไหว้ตัวเองได้ ไอ้สวรรค์ต่อตายแล้วนั่นไม่เป็นไรหรอกมันขึ้นอยู่กับสวรรค์นี้ ถ้าได้สวรรค์นี้ยกมือไหว้ตัวเองด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจได้สวรรค์ที่นี่เดี๋ยวนี้ สวรรค์แท้จริงอย่างนี้เป็น อะกาลิโก สันทิฏฐิโก อย่างนี้แล้วไม่ต้องกลัว มันจะมีสวรรค์ต่อตายแล้วอีกกี่ชนิดนี่มันได้หมดแหละเพราะมันขึ้นอยู่กับสวรรค์ชนิดนี้ ฉะนั้นขอให้เราได้สวรรค์ที่แท้จริง จริงยิ่งกว่าจริงนี่คือถูกต้องและพอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้ นรกนั้นมันตรงกันข้าม คือพอ พอมองดูแล้วมันเกลียดตัวเอง มันขยะแขยงต่อตัวเองนั่นแหละคือนรก นรกแท้จริง ถ้าได้นรกชนิดนี้แล้วไม่ต้องกลัว ตายแล้วก็ได้นรกทุกชนิดแหละ เพราะว่านรกทุกชนิดมันขึ้นอยู่กับนรกชนิดนี้ ระวังอย่าตกนรกชนิดนี้ แต่ให้ได้สวรรค์ชนิดนี้ ยกมือไหว้ตัวเองได้เป็นประจำวัน พอจะนอนวันหนึ่งๆคิดบัญชีดู มีแต่ความถูกต้องและพอใจยกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วก็นอน นอนด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ หลับไปจนกว่าจะตื่น รุ่งเช้าด้วย ด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ แล้วก็ทำอย่างเดียวกันอีกแหละ ล้างหน้า อาบน้ำเต็มไปด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ นี่คือธรรมะที่แท้จริงมันช่วยได้อย่างนี้ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เมื่อปฏิบัติหน้าที่แล้วรู้สึกว่าปฏิบัติธรรมะก็มีความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ ต้องมีปัญญาบ้าง คนโง่คงทำไม่ได้ แล้วพูดนี้ก็คงจะไม่เชื่อด้วย ต้องมีปัญญาบ้าง มองเห็นชัดว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะนี้เป็นเรื่องจริงที่สุดเลย ถือว่าการทำหน้าที่นั่นแหละคือธรรมะ มันจะได้ต้องทำหน้าที่อะไรตามใจ หน้าที่ต่ำหน้าที่สูงหน้าที่เล็กหน้าที่ใหญ่อะไรก็ให้รู้สึกว่าเป็นธรรมะ แล้วก็ทำด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องแล้วพอใจ เลยมีค่าเท่ากันหมดแหละ หน้าที่ของพระมหาจักรพรรดิอะไรก็ลงมาถึงหน้าที่ของคนขอทาน มันก็มีความหมายเท่ากันแหละเพราะมันเป็นหน้าที่ที่จะช่วยให้รอดไปตามแบบของธรรมะ แล้วก็ได้รับความถูกต้องและพอใจด้วยกันทั้งนั้น เมื่อได้ทำหน้าที่แล้วก็พอใจเถิด เมื่อได้ทำหน้าที่แล้วก็พอใจเถิด หน้าที่นั้นต้องถูกต้อง คือช่วยให้รอดเป็นประโยชน์เกื้อกูล ไอ้หน้าที่ที่ไม่ถูกต้องนั้นเขาไม่เรียกว่าหน้าที่หรอก มันเป็นธรรมะไปไม่ได้ เพราะมันไม่ช่วยให้รอด เช่นอันธพาลมันจะพูดว่าเรามีหน้าที่ปล้นจี้ ขโมย เราจะทำหน้าที่ของเรา ก็ทำสิ แต่หน้าที่นั้นไม่ใช่ธรรมะนะ มันไม่ได้ทำหน้าที่ที่ถูกต้องหรอก มันไม่ช่วยหรอก มันไม่ช่วยให้รอดหรอก แต่มันช่วยให้ไปอยู่ในตะรางนั่น ให้คนมีหน้าที่อย่างนั้นไปนอนอยู่ในตะรางแล้วจะช่วยอะไรกันล่ะ เรียกว่าช่วยอะไรกัน ดังนั้นหน้าที่ของอันธพาลมันก็ไม่ใช่ธรรมะนะ หน้าที่ของสัตบุรุษของวิญญูชนเท่านั้นจึงจะเป็นธรรมะ ทีนี้เราอยู่ในพวกนี้นี่ เราไม่ได้เป็นอันธพาล เราทำหน้าที่ของเรา พอใจไม่ว่าหน้าที่ระดับไหน มันจะเป็นเรื่องการงานโดยตรงหรือการงานโดยอ้อมหรือส่วนประกอบของการงาน หรือการพักผ่อนเพื่อให้มีเรี่ยวแรงสำหรับจะทำงานหรือทำหน้าที่ เป็นธรรมะหมด ถ้ามันคันขึ้นมาก็เกาสิ แล้วก็รู้สึกว่าถูกต้องแล้วที่คันนี่มันต้องเกา มันมีหน้าที่ที่จะต้องเกา มันคันมันก็เกามันก็หายคันมันก็ถูกต้องแล้วและพอใจนี่ นี่แม้แต่หน้าที่นิดเดียวอย่างนี้ หน้าที่กระจิ๊ดริดอย่างนี้มันก็ยังถูกต้องและพอใจ ทุกคนเลย ทุกเวลาทุกสถานที่ ทุกหนทุกแห่ง ทุกวินาทีเต็มไปด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ มีสติควบคุมความถูกต้องไว้ให้ได้ มีปัญญารู้สึกว่าถูกต้อง ถูกต้องแล้วก็พอใจ
นี่ชีวิตอย่างนี้เรียกชื่อว่าธรรมะชีวีมีชีวิตอยู่ด้วยธรรม เรียกว่าธรรมะชีวินมีธรรมะอยู่ด้วยธรรม เรียกว่าธรรมะชีวันมีชีวิตอยู่ด้วยธรรม ธรรมะคือความถูกต้อง ถูกต้องแล้วก็พอใจ ถ้าทำได้อย่างนี้อาตมายืนยันว่าประเสริฐที่สุด ประเสริฐที่สุด เป็นพุทธบริษัทสมบูรณ์แบบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย มีแต่ความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ อยู่กับพระนิพพานตลอดเวลาทุกเวลานาที กิเลสไม่เกิด กิเลสไม่เกิดเพราะมันอยู่แต่ด้วยความถูกต้องและพอใจ กิเลสมันไม่เกิด คำว่าพอใจในที่นี้เป็นธรรมปีติ ไม่ใช่ความโลภ ไม่ใช่ราคะความกำหนัด พอใจในที่นี้เป็นธรรมปีติที่เกิดมาแต่ธรรมะไม่ใช่กิเลส แล้วก็ป้องกันกิเลส ป้องกันนิวรณ์ ป้องกันอะไรหมดทุกอย่าง ไอ้นิวรณ์ที่เกิดตามธรรมชาติเป็น เป็นประจำนั้นก็เกิดไม่ได้หรอกเพราะว่าถ้าคนนี้มันอยู่ด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ นี่เรียกว่าระบบธรรมะ ระบบธรรมะปฏิบัติที่ทำให้เกิดสถานะหรือภาวะอย่างหนึ่งขึ้นมาคือการเป็นอยู่ด้วยธรรม การมีชีวิตอยู่ด้วยธรรม ขอร้องให้เอาไป ขอมอบหมายระบบชีวิตชนิดนี้ว่าเป็นธรรมะชีวี ธรรมะชีวิน ธรรมะชีวันแล้วแต่ใครจะชอบคำไหนมันเหมือนกันหมด เอาไปศึกษาประพฤติปฏิบัติด้วยสติสัมปชัญญะ ให้เหมือนกับว่ามันเกิดใหม่แล้วเกิดโดยโอปปาติกะ กำเนิดเป็นคนที่มีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องและพอใจ ไม่มีความทุกข์อยู่ทุกทิพาราตรี ไม่ต้องมีใครมาให้พร ไม่ต้องแขวนเครื่องรางให้รุงรังที่คอหรือที่ไหนหมด ไม่ต้องๆ ให้ธรรมะมันช่วย ให้ธรรมะมันช่วย มีความถูกต้องมีความพอใจ มีความเยือกเย็น ไม่ต้องแขวนเครื่องราง ไม่ต้องนั่งไหว้ศาลพระภูมิ ไม่ต้องทำอะไรอย่างนั้นซึ่งเป็นพิธีรีตองหลอกๆ แต่มีความจริงสูงสุดคือประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องในทางของธรรมะคือหน้าที่ เกิดความรู้สึกพอใจ พอใจขึ้นมา นี่น่ะของมีค่าที่สุด อาตมารู้สึกอย่างนี้ แล้วก็บอกท่านทั้งหลายว่านี่คือของที่มีค่าที่สุด คือระบบธรรมะชีวีนี้ช่วยเอาติดไปจากสวนโมกข์ไปที่บ้าน ไปปรับปรุงชีวิตให้มันมีลักษณะอย่างนี้ มีปัญญาพอที่จะรู้ว่าอะไรถูกต้องอะไรไม่ถูกต้อง แล้วก็มีสติควบคุมไว้ให้มันถูกต้อง ถูกต้อง มันถูกต้องหนอก็ได้ พอใจหนอ ถูกต้องหนอ พอใจหนอ แต่อย่าพูดออกมาดังๆเดี๋ยวใครเขาจะว่าบ้า เพียงแต่บอกตัวเองอยู่ข้างในว่าถูกต้องแล้วพอใจ ถูกต้องแล้วพอใจ ถูกต้องหนอ พอใจหนอ จะทำงานอยู่ก็ เหน็ดเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ก็ถูกต้องแล้วพอใจ จะนอนพักผ่อนอยู่ก็ถูกต้องแล้วและพอใจ จะทำอะไรสักนิดหนึ่งก็ถูกต้องแล้วและพอใจ ช่วยล้างจาน ถูบ้านกวาดเรือนก็ถูกต้องแล้วและพอใจ ถูกต้องแล้วและพอใจด้วยสติปัญญา สัมปชัญญะ แล้วมันก็เป็นสมาธิอยู่ในตัว มีศีลอยู่ในตัวเพราะว่ามันควบคุมให้มีการปฏิบัติที่ถูกต้องนี้เป็นศีล มีความตั้งใจที่จะทำอย่างนี้นั้นมันแน่วแน่มันเป็นสมาธิ และมีปัญญาความรู้ทำได้จริงนี้เป็นปัญญา
ชีวิตของบุคคลนั้นประกอบอยู่ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา หรือจะขยายออกไปเป็นมรรคมีองค์ ๘ สัมมาทิฎฐิ สัมมาสังกัปโปจนครบ ๘ ก็ได้เหมือนกันเพราะมันก็แค่ศีล สมาธิ ปัญญาเท่านั้น ในการที่เราจัดให้ทุกอย่างมันถูกต้องแล้วและพอใจนั้นน่ะในนั้นมันมีศีล สมาธิ ปัญญาครบถ้วน ในนั้นมันมีอริยมรรคมีองค์ ๘ ครบถ้วนน่ะ เรียกว่าดำเนินชีวิตอยู่อย่างถูกต้องชนิดที่จะทำให้โลกนี้ไม่ว่างจากพระอรหันต์นั่น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้าอยู่กันอย่างถูกต้องแล้วโลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ สเจ อิเม ภิกฺขู สมฺมา วิหเรยฺยุ อสุญฺโญ โลโก อรหนฺเตหิ อสฺสฺ (นาทีที่ 01:23:28) นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอย่างนี้ ถ้าเป็นอยู่กันอย่าง สมฺมา วิหเรยฺย (นาทีที่ 01:23:37) น่ะอยู่กันอย่างถูกต้อง สมฺมา สมฺมา แล้วก็โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ เรียกว่าเราเข้าไปอยู่ในร่องรอยของพระธรรม ของพระธรรม ของธรรมะชนิดที่สูงสุดที่จะทำให้โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์แล้ว นี่ระบบนี้เรียกว่าระบบธรรมะชีวี เป็นอยู่อย่างนี้ เป็นอยู่ด้วยระบบธรรมะชีวีมีชีวิตที่เป็นธรรมะ อยากจะบอกว่าไอ้เรื่องนี้ก็เคยพูดมาแล้ว แต่ไม่ได้ชี้ให้มันชัด ไม่ได้จัดระบบให้มันชัด ไม่ได้ให้บทมนต์บริกรรมที่มันชัดลงไปว่าถูกต้องแล้วพอใจ แต่การแสดงธรรม บรรยายธรรมในความหมายอย่างนี้ ในลักษณะอย่างนี้ก็ได้ทำกันอยู่ทั่วๆไปแหละ ทั่วๆไปไม่ว่าที่นี่หรือที่ไหน แต่เดี๋ยวนี้มาจัดระบบให้มันรัดกุมว่าเราจะต้องมีความรู้ จนถึงรู้ว่ามันถูกต้อง มันถูกต้องแน่ แล้วมีสติควบคุมความถูกต้องไว้ได้ตลอดทุกอิริยาบถทุกวินาที ทุกอิริยาบถทุกวินาทีอยู่ด้วยความถูกต้องและพอใจ มันจบเท่านี้แหละ ขอให้อยู่ได้ด้วยความรู้สึกที่บอกตัวเองได้ว่าถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้วและพอใจ มันก็ชินเป็นนิสัยไปเลย แล้วก็ทำงานสนุก มีความสุขในการงาน ไม่ต้องเอาเงินที่เป็นผลงานไปซื้อหากามารมณ์ที่เป็นเรื่องบ้าๆบอๆ เรื่องเพลิดเพลินอย่างหลอกลวงน่ะไม่ต้องๆ เพราะมันเป็นความสุขแท้จริงอยู่แล้วในความถูกต้องและพอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ เงินที่จะต้องใช้เพื่อไปซื้อหากามารมณ์มันก็ไม่ต้อง มันก็เหลืออยู่เยอะแยะ นี้คนโง่มันไม่มีความรู้สึกอย่างนี้ มันก็ไม่มีความรู้สึกจากความรู้สึกอันนี้ มันขี้เกียจทำงาน มันโกงเวลางาน มันก็ไปหากามารมณ์ในสถานที่กามารมณ์ เงินไม่พอใช้ต้องคดต้องโกง ต้องไปอยู่ในตะราง เรามีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นที่พึ่งคืออย่างนี้ อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างนี้ตลอดเวลานาที ทุกอิริยาบถอย่างนี้ ระบบนี้ขอเรียกชื่อว่าธรรมะชีวี ธรรมะชีวีธรรมะชีวัน ฉะนั้นขอให้ไปปรับปรุงชีวิตทุกๆคนนี้ให้เข้ามาสู่ระบบธรรมะชีวัน อยู่ด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ อยู่กับพระนิพพานตลอดเวลา สูงไปกว่าที่ว่าอยู่ในสวรรค์ตลอดเวลา เพราะว่ามันไม่มีกิเลสเกิด ไม่มีความร้อนของกิเลส มีแต่ความเย็นอกเย็นใจซึ่งเป็นความหมายของพระนิพพาน พระนิพพานนั้นแปลว่าเย็น เย็นทางวัตถุก็ได้ เย็นทางจิตใจก็ได้ ถ้ามันมีความเย็นคือปราศจากความร้อนแล้วต้องใช้คำว่านิพพานทั้งนั้น เมื่อเอาไอ้เหล็กเผาให้แดง แล้วเอาน้ำรดให้มัน มันหายแดงน่ะดำลงไป ภาษาบาลีก็เรียกว่าเหล็กมันนิพพาน มีอยู่ในพระบาลีในพระไตรปิฎกยกอุปมาด้วยว่าช่างทองมันเผาเหล็กให้แดง เผาทองให้แดง เขาต้องราดน้ำให้มันเย็น การที่เอาน้ำไปราดไอ้ทองที่ลุกโชนนั่นแหละให้เย็นนี่ คำกิริยานี้เขาใช้คำว่า นิพพาเปยยะ ทำแท่งทองร้อนลุกโชนนั้นให้นิพพาน ดังนั้นคำว่านิพพานนี้ใช้ได้แม้ในทางวัตถุ ทางกาย ทางจิตใจทางอะไรได้หมด ถ้าทำไอ้ร้อนๆให้มันเย็นขึ้นมาแล้วเรียกว่านิพพาน ทำให้นิพพาน เดี๋ยวนี้เราก็ทำจิตหรือทำชีวิตให้เย็นก็เรียกว่าทำให้มันอยู่ด้วยนิพพาน เราเลยอยู่ด้วยนิพพานสูงไปกว่าอยู่ด้วยสวรรค์ ไอ้สวรรค์นั้นมันไม่ได้เย็นหรอกเพราะมันอยู่ด้วยกิเลสที่พอใจในกามารมณ์ ในความสุขทางวัตถุทางกามารมณ์ สวรรค์ไม่เย็น นิพพานต่างหากที่เย็น ฉะนั้นอย่าได้เมาสวรรค์กันนักมันไม่เย็นนะ ถ้าไปยึดถือเอาแล้วมันกัดเอานะ รู้จักทำให้ชีวิตนี้เย็น มีความรู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ มีสติให้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องอยู่เสมอ จนรู้สึกว่าถูกต้องแล้วพอใจ ถูกต้องแล้วพอใจ นี่ขอบอกซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่านี่คือคาถาศักดิ์สิทธิ์แหละ รู้จักใช้คาถาศักดิ์สิทธิ์ให้ถูกต้องครบถ้วนทุกเวลา ทำอะไรแล้วรู้สึกว่าถูกต้องแล้วพอใจ ถูกต้องแล้วพอใจ เรื่องธรรมะชีวีเป็นอย่างนี้ ระบบการประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เป็นธรรมะชีวีมันมีอยู่อย่างนี้ ขอให้รับเอาไปทั้งระบบ ไปประพฤติปฏิบัติอยู่ที่บ้านที่เรือน ที่ทุ่งนาที่ไหนก็ตามใจแหละ ทุกหนทุกแห่งที่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เวลาไร กลางวันกลางคืน เพราะมันมีแต่ความรู้สึกว่าถูกต้องแล้วพอใจ แม้แต่ว่ากระดิกนิ้วเกาที่มันคันนี้ก็ถูกต้องแล้วและพอใจ นี่เรื่องเล็กเต็มทีเลยเรื่องขี้ผงเต็มทีแล้ว มันก็ยังทำให้รู้สึกว่าถูกต้องแล้วและพอใจ ดังนั้นเราจะสามารถทำได้ทุกเรื่องไปว่าให้ถูกต้องแล้วและพอใจ อยู่กับพระนิพพานน้อยๆไม่มีกิเลสรบกวน เป็นพุทธบริษัทผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้โดยแท้จริง รู้เรื่องนี้คือรู้เรื่องสูงสุด เป็นผู้ตื่นจากอวิชชาซึ่งเป็นความหลับแล้วก็เบิกบานอยู่ด้วยธรรมะ มีความสวยงามเหมือนดอกไม้ที่มันเบิกบาน เป็นพุทธบริษัทสมบูรณ์ว่าเป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบาน ไม่ต้องศึกษาอะไรมากมาย ไม่ต้องเรียนอภิธรรมก็ได้ รู้แต่ว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ พอได้ทำหน้าที่แล้วก็พอใจ รู้สึกว่าถูกต้องแล้วและพอใจ มันเท่านั้นเอง มันได้พระนิพพานทั้งที่ไม่รู้จักว่าพระนิพพาน คือมันเย็นอกเย็นใจเป็นนิพพานทั้งที่เจ้าตัวนั้นก็ไม่รู้ว่าไอ้อย่างนี้เขาเรียกว่านิพพานโว้ย, นิพพานชั่วขณะ นิพพานชั่วสมัย นิพพานที่เกิดขึ้นมาด้วยองค์นั้นๆคือสิ่งที่มาทำจิตนั้นให้เย็น ไอ้ตัวนั้นแหละเรียกว่าองค์ เดี๋ยวนี้เราทำจิตให้เย็นด้วยความรู้สึกว่าถูกต้อง ความรู้สึกว่าถูกต้องนั้นแหละเป็นองค์ เป็น .......(นาทีที่ 01:31:42) เป็นองค์นั้นๆที่ทำให้เกิดนิพพาน มันเกิดชั่วครั้งชั่วคราวก็ไม่เป็นไร ก็ทำติดต่อกันไป ถ้ารักษาให้ดีมันจะติดต่อกันไปจนไม่มีระยะว่าง มันอยู่ที่ว่ามีสติปัญญาเพียงพอหรือไม่นั่นเอง ถ้าสติมันไม่เพียงพอมันลุ่มๆดอนๆ มันขาดๆก็ทำให้มันติดต่อ อย่าให้มันขาดเป็นช่วงๆเลย มีชีวิตสมบูรณ์แบบ เย็นเป็นความหมายแห่งนิพพานอยู่ตลอดเวลา เพราะมารู้สึกชัดเจนตามที่เป็นจริงว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ปฏิบัติหน้าที่คือปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติธรรมะคือปฏิบัติหน้าที่ แล้วหน้าที่มันก็มีอยู่ทั่วไปแล้ว ถมไปแล้ว มีอยู่ทั่วไปแล้ว ปฏิบัติหน้าที่จนให้รู้สึกว่าถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้วก็เกิดความรู้สึกว่าพอใจขึ้นมาเอง นี่มันก็ต้องพูดซ้ำๆซากๆอยู่นี่ว่าถูกต้องแล้วพอใจ ถูกต้องแล้วพอใจ ถูกต้องแล้วพอใจ จนมันชินเป็นนิสัย ไม่ต้องระมัดระวังกันให้ยุ่งยากลำบากอะไรนักก็สามารถจะอยู่ด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ ได้ความเป็นพุทธบริษัทสมบูรณ์แบบ ได้พระนิพพานมาบริโภคอยู่เปล่าๆโดยไม่ต้องเสียสตางค์ ความสุขที่แท้จริงต้องได้เปล่า ถ้าต้องใช้สตางค์ซื้อนั้นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง พระนิพพานเป็นความสุขที่แท้จริงได้มาบริโภคเปล่าๆไม่ต้องเสียสตางค์ คือทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาได้ว่าถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้วและก็พอใจ พอใจ นี่ได้พระนิพพานมาบริโภคอยู่เปล่าๆโดยไม่ต้องเสียสตางค์ ให้ถือไว้เป็นหลักได้เลยว่าไอ้ความสุขแท้จริงนั้นไม่ต้องเสียสตางค์ ถ้าพอต้องเสียสตางค์ซื้อแล้วความสุขนั้นปลอม หลอกลวง เป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง อย่าไปเอากับมันเลย แม้จะเป็นชั้นสวรรค์ก็อย่าไปเอากับมันเลย มันแพง แล้วมันก็หลอกลวง มันไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ความเย็นเป็นนิพพาน แต่มันเป็นความร้อนของราคะชั้นดี ราคะชั้นดี กิเลสชั้นดี ไม่ต้องเอากับมันก็ได้ เอาธรรมะแท้จริงซึ่งไม่มีกิเลส แม้จะเป็นระยะๆเป็นช่วงๆก็ยังดี แม้แต่ในอัตราที่น้อยๆก็ยังดีเพราะมันเป็นความไม่มีกิเลส
นี่ขอจบเรื่องธรรมะชีวี และขอยืนยันว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดซึ่งได้คิดนึกใคร่ครวญมาเป็นสิบๆปี ค่อยๆพบขึ้นมาเรื่อยๆว่าไอ้ระบบธรรมะอย่างนี้แหละคือระบบที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา ก็พูดมาเรื่อยๆ วันนี้ก็พูดกันถึงที่สุดให้ครบถ้วน ให้ชัดเจนว่าจะประพฤติปฏิบัติชีวิตจิตใจนี้อย่างไรให้เกิดความรู้สึกว่าถูกต้องแล้วพอใจ ถูกต้องแล้วพอใจ ถ้ามันไม่ถูกต้องมันพอใจไม่ได้ หรือถ้าพอใจมันก็เป็นพอใจผิดแหละ มันต้องถูกต้อง ถูกต้องแน่นอน ถูกต้องแล้วพอใจ ขอให้รับเอาไปแล้วก็จะคุ้มค่าที่ได้มาเหนื่อยเปลืองด้วยกันจงทุกคน ร่วมมือกับอาตมาหน่อย ทำอย่างนี้ให้สำเร็จประโยชน์แล้วยมบาลก็มาตอแยพวกเราไม่ได้ เพราะเราได้ประพฤติปฏิบัติธรรมะให้ชีวิตมีผลเกินคาดอย่างนี้ นี่คือเรื่องที่เรียกว่าขอมอบให้ ให้ท่านทั้งหลายรับเอาไปศึกษาให้เข้าใจแจ่มแจ้ง แล้วปฏิบัติ ครั้นปฏิบัติแล้วก็ได้ผล ครั้นได้ผลแล้วก็เผยแผ่แก่ผู้อื่นต่อไป เป็นลัทธิถูกต้องแล้วและพอใจ เป็นระบบธรรมะชีวิน แล้วก็จะได้รับประโยชน์สูงสุดในพระพุทธศาสนาโดยไม่ยากโดยไม่ลำบากเลย นี่การบรรยายในตอนที่ ๓ นี่มันก็สมควรแก่เวลาแล้ว และขอจบลงด้วยคำพูดว่าขอความร่วมมือจากท่านทั้งหลายทุกคนที่เป็นสหธรรมิก บรรพชิต และเป็นฆราวาสผู้เป็นสาธุชนพอใจในธรรม จงช่วยเผยแผ่การปฏิบัติธรรมะในลักษณะเช่นนี้ให้เป็นที่รู้แจ้งประจักษ์จริง เข้าใจจริง แล้วปฏิบัติได้จริง ได้รับผลจริง แพร่หลายสืบต่อๆต่อๆกันไปในวงที่กว้างขวางที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แล้วพระพุทธศาสนาของเราก็จะดำรงอยู่ในชีวิตของท่านทั้งหลายทุกคน เป็นพระพุทธศาสนาที่แท้จริงอยู่ในเนื้อในตัวในชีวิตจิตใจของท่านทั้งหลายทุกคน เป็นอันว่าเราได้ทำหน้าที่ของตนๆครบถ้วนตามพระพุทธประสงค์แล้ว แล้วก็เจริญงอกงามอยู่ในทำนองของพระธรรมของพระพุทธศาสนาอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
ตั้งแต่นาทีที่ 01:38:32 – 01:39:10 ท่านพุทธทาสสวดบทกรวดน้ำและให้พร
ธรรมบรรยายหมดแล้วก็ให้ ยถา เสียที ต่อไปนี้ก็จะทำงานที่ค้างคาคือกฎบัตรสืบต่อไป นี่อีก ๑๕ นาทีก็จะ ๑๐ นาฬิกา ใช้เวลา ๑๐ นาทีนี้เตรียมงานธรรมโฆษ เอ้ย,เตรียมงานไอ้กฎบัตร คุณเชาว์คงไปนอนเสียแล้วสิท่า