แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านพระธรรมทายาททั้งหลาย ผมขอแสดงความรู้สึกยินดี อนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลายเพื่อแสวงหาความรู้ในวิธีที่จะปฏิบัติตนให้เป็นธรรมทายาท ที่ว่ายินดีอนุโมทนาก็เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เกือบ จะกล่าวได้ว่าสูงสุดในหน้าที่เฉพาะหน้าของเรา ฉะนั้นขอให้พยายามทุกอย่างที่จะได้รับประโยชน์เพื่อวัตถุประสงค์อันนั้น ไม่ใช่แต่เพียงการฟังอย่างเดียว ต้องให้เป็นการกระทำทุกอย่างที่เรียกว่าเป็นการตามรอยพระพุทธองค์ ขอบอกกล่าวว่าในที่นี้เขาจัดทุกอย่างให้มีลักษณะเป็นการตามรอยพระพุทธองค์ให้มากเท่าที่จะมากได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำตามท่านหมด แต่ก็มากเท่าที่จะมากได้ เป็นการได้อย่างหนึ่งต่างหากจากความรู้ที่จะได้ยินได้ฟังได้จดได้จำ ให้นับตั้งแต่ว่าเรามานั่งกันอยู่กลางดิน ซึ่งไม่ค่อยจะมีที่ไหนนัก การนั่งประชุมกันกลางดิน แต่นี่ตามรอยพระพุทธองค์ การประชุมในครั้งพุทธกาลนั้นน่ะเขานั่งกลางดินกันส่วนมากหรือเกือบทั้งหมด การทำอุโบสถสังฆกรรมก็นั่งทำกลางดิน แถมไม่มีหลังคาด้วย ถ้าฝนตกหรือพายุมาก็ต้องเลิก มีข้อความชัดเจนอยู่ในพระบาลีนั้นๆว่าแม้แต่นั่งทำสังฆกรรมก็ทำกลางดินกลางแจ้ง แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างนั้นไปเสียทั้งหมด ในที่บางแห่ง ก็ในโรง ก็พื้นดินอีกนั่นแหละ มีความหมายว่าธรรมะนั้นมีความใกล้ชิดธรรมชาติง่ายๆที่สุด ธรรมดาที่สุด ได้เท่าไหร่นี่ก็จะเป็นธรรมะมากขึ้นเท่านั้น เราก็พยายามให้มันเป็นอย่างนั้นในกิจวัตรประจำวัน เช่นเรื่องฉัน เรื่องอาบ เรื่องถ่าย เรื่องทุกอย่างแหละ ขอให้เป็นไปอย่างถูกต้อง นั่นคือเป็นไปอย่างต่ำ เป็นไปอย่างระมัดระวังมีสติสัมปชัญญะ จึงจะทำได้ดี ทำอะไรต่ำๆนั้นไม่ใช่ว่ามันง่าย บางทีมันยาก ก็เที่ยวทำอะไรอย่างหวัดๆอย่างสูงๆไปเสียอีก ยกตัวอย่างสัตว์อย่างหนึ่งก็จะกินอย่างต่ำๆ หญ้าก็จะกินอย่างสูงๆ คือกินแต่ความเคยชิน ตะกละด้วยกิเลสตัณห มูมมามเป็นต้น มันทำง่าย เป็นอยู่อย่างต่ำอย่างที่สุดในพระพุทธศาสนานี้มันก็ทำได้ยากกว่า ฉะนั้นขอให้ฝึกไว้เถอะว่า จะเป็นอยู่อย่างต่ำ จะกินอยู่อย่างต่ำเพื่อเข่นฆ่ากิเลส ซึ่งมันมักใหญ่ใฝ่สูง ขอให้ถือโอกาสฝึกฝนเรื่องเหล่านี้ ชนิดนี้ ไปเสียด้วยในตัวเสร็จ และเป็นโอกาสที่จะฝึกได้เพราะเรามีหลักอย่างนั้น จะมีการกิน การอยู่ การนอน การยืน การเดิน อะไรทุกอย่างนี่ ที่เป็นไปอย่างประกอบด้วยธรรมะ สรุปความว่าเรื่องมาฟังคำแนะนำสั่งสอนนั้นก็อย่างหนึ่ง แล้วก็เรื่องที่จะมาฝึกการเป็นอยู่อย่างต่ำๆตามรอยพระพุทธองค์หรือพระอริยสงฆ์แต่ครั้งโบราณนั้นก็อย่างหนึ่ง รวมเท่ากับเป็นสองเรื่องใหญ่ๆ เรื่องเบ็ดเตล็ดเล็กๆน้อยๆยังมีอีก ไปดูเอาเอง ด้วยเหตุนี้ผมจึงรู้สึกยินดี ขออนุโมทนาในการที่ได้มาเพื่อรับประโยชน์อย่างนี้ เพื่อว่าเราจะเป็นผู้สามารถสืบอายุพระศาสนา ซึ่งเป็นหน้าที่ของทุกคน เมื่อได้เห็นผู้ใดตั้งอกตั้งใจที่จะทำอย่างนั้น ก็ต้องรู้สึกยินดีและอนุโมทนาด้วยเป็นธรรมดาเรามาเตรียมพร้อมเพื่อทำหน้าที่นั้นในอนาคต จะอยู่ในเพศภิกษุต่อไปก็ตามหรือจะสึกออกไปเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม ภาระหน้าที่ในการสืบอายุพระศาสนานั้นยังคงอยู่ ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ว่าสึกไปแล้วจะหมดภาระอันนี้ ถ้ายังเป็นพุทธบริษัทอยู่มันต้องมีภาระอันนี้ จึงขอร้องหรือว่าขอเตือนก็แล้วแต่จะเรียกว่าจงพยายามทำความเข้าใจในเรื่องที่จะเกื้อกูลแก่การสืบอายุพระศาสนาในอนาคตนั้นไว้อย่างเต็มที่ด้วยกันทุกท่าน เราก็จะได้ชื่อว่าได้ทำสิ่งมีค่ามากที่สุดสำหรับมนุษย์จะพึงกระทำได้ และมันเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลเหลือที่จะวัดจะประมาณหรือจะกำหนดได้ นี่คือข้อที่ผมขอแสดงความยินดีเป็นเรื่องแรก ทีนี้ก็จะพูดถึงเรื่องที่มุ่งหมายกันอยู่ว่าจะต้องพูด คือเรื่องของพระธรรมทายาทให้เป็นที่รู้จักกันจริงๆ แล้วก็สามารถจะปฏิบัติได้ เรียกง่ายๆก็ว่ากิจกรรมธรรมทายาท กิจกรรมธรรมทายาท คำว่าธรรมทายาทเป็นชื่อของกิจกรรมไปแล้ว แต่มันต้องทำโดยบุคคลที่เป็นธรรมทายาท เมื่อเราเล็งเฉพาะถึงไอ้การกระทำก็เรียกว่ากิจกรรมธรรมทายาท คือผมก็คิดว่าจะพูดเรื่องนี้แหละเป็นเรื่องแรก เพราะว่ามันจะเป็นจุดตั้งต้นที่ดี หรือว่าครอบคลุมไปทุกอย่างที่เกี่ยวกับกิจกรรมอันนี้ นับตั้งแต่คำๆนี้ว่าธรรมทายาท เป็นคำที่มีความหมายมากกว้างขวางหลายทิศทาง ถ้าไม่รู้มันก็เป็นคำพูดเล่นๆสั้นๆ แต่ถ้ารู้มันก็มีความหมายลึกและหลายทิศทาง คำว่าธรรมทายาทนี่มันก็แปลตามตัวหนังสือว่าผู้รับมรดกธรรม คำว่ารับมรดกธรรมน่ะ ธรรมอะไรบ้าง มันก็แล้วแต่ว่าไอ้ธรรม ในที่นี้มีความหมายอย่างไรบ้าง ในธรรมมีความหมายสูงสุดก็คือ คือหมายถึงพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ธรรมคำนั้นหมายถึงพระพุทธเจ้านั่นเอง เราจะได้รับมรดกความเป็นพระพุทธเจ้านี่ดูจะยาก คือเราไม่อาจจะเป็นพระพุทธเจ้านั่นแหละ แต่ว่าเราอาจจะทำบางอย่างหรือหลายอย่างก็ได้ ถ้าพระพุทธเจ้ายังอยู่ ถ้าเราทำให้พระพุทธเจ้ายังอยู่ได้นี่ ก็เรียกว่ารับมรดกธรรมเลยเหมือนกัน เพราะว่าธรรมนั้นก็คือพระพุทธเจ้า กระทำทุกอย่าง กระทำทุกอย่างให้ธรรมะยังอยู่ ในเมื่อคำว่าธรรมนั้นหมายถึงพระพุทธเจ้า นี่เรียกว่าสูงสุด แต่ถ้าเราจะมองดูต่ำๆลงมามันก็ยังมีอีกหลายชั้น หลายขั้นตอน มีธรรมะอย่างนั้น มีธรรมะอย่างนี้ มีธรรมะเพื่อพวกนั้น เพื่อพวกนี้ ได้แก่การทำให้มีการปฏิบัติธรรมยังเหลืออยู่ยังมีอยู่ ธรรมะที่เป็นการปฏิบัติธรรมก็ยังเหลืออยู่ เมื่อมีการปฏิบัติธรรมก็มีผลเป็นธรรมะแก่ผู้ปฏิบัติ และผู้ปฏิบัตินั้นก็ได้รับธรรมะเป็นมรดกตกทอดจากพระพุทธเจ้า นี่เรียกว่าเป็นผู้รับมรดกธรรม ซึ่งทุกคนก็ได้ยินได้ฟังมาแล้วว่าพระพุทธองค์ทรงประสงค์ให้เรารับมรดกธรรม อย่ารับมรดกอามิส หรือวัตถุเลย การรับมรดกธรรมก็คือทำให้มีธรรมะ เป็นสิ่งที่เราได้รับ ถ้าเราได้รับธรรมะ เราก็ได้รับมรดกธรรม แต่ว่าไม่ใช่ว่าจะไม่ระลึกนึกถึงมรดกในทางวัตถุกันเสียเลยก็หาไม่ บางที่มันก็มีเหมือนกัน แต่ไม่ใช่อามิส วัตถุที่เป็นอามิสเป็นเหยื่อล่อนั่นเป็นอันว่าไม่ต้องพูดถึงกัน แต่ว่ามันมีวัตถุที่เป็นเครื่องเกื้อกูลแก่การปฏิบัติธรรมหรือการเผยแผ่ธรรม มันก็จะต้องรับมรดกอันนั้นด้วย เราเป็นผู้รับมรดกธรรมเรียกว่าธรรมทายาท การกระทำเพื่อการเป็นอย่างนั้นเรียกว่ากิจกรรมของธรรมทายาท เมื่อถามว่ากิจกรรมของธรรมทายาทคืออะไร ก็คือการทำให้เกิดการรับมรดกธรรมจากพระพุทธเจ้าสืบต่อๆกันมา ก็ยังมองได้หลายแง่นะว่ามันคืออะไร อย่างน้อยที่สุดเราจะต้องมองว่ามันเป็นหน้าที่ของสมณศากยบุตร ทุกคนเปลี่ยนฐานะของตนหรือเปลี่ยนชื่อแห่งฐานะของตนเมื่อวันอุปสมบทเป็นภิกษุนั้นได้นามใหม่ว่าสมณศากยบุตร เดี๋ยวๆก็สมณศากยปุตติโย สมณศากยบุตรติโย (นาทีที่ 16.40 น.) ทุกคนได้เปลี่ยนชื่อของตนเป็นสมณศากยปุตติยะ ถ้าสมณศากยบุตรน่ะหมายถึงพระพุทธเจ้าเอง ถ้าสมณศากยปุตติยะล่ะก็หมายถึงพวกเราซึ่งสืบต่อจากพระพุทธเจ้าเป็นสมณศากยปุตติยะ คือนับเนื่องหรือรับช่วงในกิจกรรมของพระสมณศากยบุตรคือพระพุทธเจ้า มันก็เป็นหน้าที่ที่เราต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ว่ารับมรดกธรรมเพื่อประโยชน์แก่เราเองนั่นมันเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ว่าจะเกี่ยวกับประโยชน์หรือว่าไม่เกี่ยวกับประโยชน์ เราก็มีหน้าที่ตามหน้าที่ของสมณศากยปุตติยะ จึงกลายเป็นหน้าที่ในการที่จะทำกิจกรรมของธรรมทายาท รับรู้ในหน้าที่และก็ทำ ทีนี้จึงมาดูอีกทางหนึ่ง มันก็เป็นการสนองพระพุทธประสงค์เป็นการบูชาคุณของพระพุทธองค์ ฟังดูให้ดีๆ เราทำกิจกรรมธรรมทายาทนี้คือเป็นการตรงตามพระพุทธประสงค์ จึงเป็นการสนองพระพุทธประสงค์ให้สมบูรณ์อย่าให้เป็นหมัน พระพุทธองค์ทรงหวังว่าพุทธบริษัททั้งหลายจะสืบอายุพระศาสนาหรือธรรมวินัยไว้ตลอดกาล นี่เราก็ช่วยกันทำต่อๆมา สืบๆกันมา ไม่ให้ขาดสายได้ ก็เป็นการสนองพระพุทธประสงค์ ถ้ามองในแง่บูชาพระคุณ ก็เป็นการบูชาด้วยการปฏิบัติที่เราเรียนรู้กันอยู่แล้วว่า การบูชามี ๒ อย่าง บูชาด้วยอามิส บูชาด้วยการปฏิบัติ และการบูชาด้วยการปฏิบัตินั้นเป็นสิ่งสูงสุด นี่แหละจึงเป็นการถือโอกาสทำพร้อมกันไป เพื่อประโยชน์อย่างอื่นด้วย และก็เพื่อประโยชน์แห่งการบูชาพระพุทธองค์ด้วยการปฏิบัติบูชาด้วย มองได้หลายแง่หลายมุมอย่างนี้ คือถ้ามองโดยอ้อมออกไปอีกก็จะมองเห็นว่านี่จะเป็นการช่วยให้ โลกนี้ได้รับประโยชน์จากความมีอยู่แห่งพระศาสนา ถ้าภิกษุสงฆ์สาวกทุกองค์ทำหน้าที่ธรรมทายาทแล้ว คนในโลก สัตว์ทั้งหลายในโลกก็จะได้รับประโยชน์จากการกระทำนั้นด้วย รวมแล้วก็เป็นหน้าที่ในรูปแบบต่างๆกัน ต่างๆกัน แต่มันก็เป็นหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้นแหละ นี่พอจะสรุปใจความได้ตอนหนึ่งก่อนว่า กิจกรรมธรรมทายาทนั้นคืออะไร คืออะไร เมื่อถามว่าคืออะไรก็ต้องตอบอย่างนี้ ทีนี้เราก็จะพูดต่อไปถึงหัวข้อที่ว่ามันเกิดจากอะไร ตรงนี้จะขอแทรกคำอธิบายอะไรนิดหน่อยว่าเมื่อเราจะพูดกันถึงว่าเรื่องอะไรให้ครบถ้วน เราจะใช้หลักวิธีการพูดการแสดงของพระพุทธเจ้าที่ทรงใช้ในการแสดงอริยสัจ ในหลักแห่งอริยสัจสี่นั้นเรามาดูแล้วจะเห็นว่า ข้อแรกคืออะไร ข้อสองมาจากอะไร ข้อสามเพื่อประโยชน์อะไร ข้อสี่โดยวิธีใด ความทุกข์คืออะไรบอกไป เกิดมาจากอะไรก็บอกไป เพื่อประโยชน์อะไร ก็เพื่อดับทุกข์นั้นเสีย และโดยวิธีใดก็แจกไปอย่างละเอียด ผู้อื่นเขาก็มีหลักแบบตรรกะ logic เรื่องอย่างอื่น แต่เราพุทธบริษัทก็มีแบบของเราเองคืออย่างนี้แล้วก็ไม่แพ้ใคร ไม่แพ้ใคร ไม่แพ้ใครในการที่จะได้รับประโยชน์มาแล้ว ได้รับประโยชน์มาจนกระทั่งบัดนี้ ในการใช้ไอ้รูปแบบของการตั้งรูปโครงของเรื่อง หรือวางรูปแบบของปัญหาที่จะครบถ้วนจริงๆ ผมชอบอย่างนี้ จึงถือเป็นหลักปฏิบัติสืบมาว่าถ้าจะอธิบายอะไร ให้ใครฟัง ก็จะตั้งหัวข้อขึ้นสี่หัวข้ออย่างที่กล่าวแล้วว่า มันคืออะไร มันมาจากอะไร มันเพื่อประโยชน์อะไร มันสำเร็จได้โดยวิธีใด คืออะไร จากอะไร เพื่ออะไร โดยวิธีใด คือพระธรรมทายาทจะได้นำเอาไปพิจารณาดู ถ้าเห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์ดีในการที่จะเผยแผ่ธรรมะต่อไปก็ลองเอาไปใช้ดู ข้อแรกเราได้พูดถึงว่ากิจกรรมธรรมทายาทคืออะไร เสร็จแล้ว ข้อถัดมาก็คือหัวข้อว่ามาจากอะไร เกิดจากอะไร หรือจะว่าเพราะเหตุใดก็ได้ มันเหมือนกันแหละ มันมาจากอะไร เกิดจากอะไร เพราะเหตุใด ถ้ามีการถามขึ้นมาว่ากิจกรรมธรรมทายาทนี่เกิดขึ้นเพราะเหตุใดหรือ เกิดจากเหตุอะไรนี่เราก็ควรจะมองให้เห็น ให้กว้างขวางกันสักหน่อย ไม่ ไม่ใช่ว่านึกสนุกขึ้นมาแล้วก็ชวนกันทำ หรือว่าเห่อๆกันตามๆกันไปแล้วก็ชวนกันทำ ขอให้มองให้ลึกด้วยจิตใจที่เป็นธรรมที่ประกอบอยู่ด้วยธรรม จนมองเห็นได้ว่าไอ้กิจกรรมธรรมทายาทนี่มันเกิดขึ้นมา การการที่เราทนอยู่ไม่ได้เพราะความเมตตากรุณา นี่ทำไมเราจึงประกอบกิจกรรมธรรมทายาท ก็เพราะว่าเราทนอยู่ไม่ได้เพราะอาศัยความเมตตากรุณา ข้อนี้ฟังไม่ดีอาจจะคิดไปว่ายกตนเคียงพระพุทธเจ้าก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านไปโปรดสัตว์หรือลำบาก ทรมาน อะไรต่างๆนานา ท่านทำไปเพราะพระอัธยาศัยที่ทนไม่ได้เพราะความเมตตากรุณา หมายความว่าก่อนแต่ที่จะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ก็สะสมบารมีเกี่ยวกับความเมตตากรุณามากล้นเหลือจนติดอยู่ในสันดานในนิสัยในจิตใจนั้น ถึงจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไม่มีความรู้สึกเป็นสัตว์บุคคล ตัวตนเราเขาแล้ว แต่อำนาจทั้งความเมตตากรุณาซึ่งเป็นความเคยชินนั้นมันก็เหลืออยู่นั้นจึงไปทำประโยชน์ผู้อื่นหรือทนทำประโยชน์ผู้อื่นได้โดยไม่มองไปในทางที่เป็นเราเป็นเขาทำให้เราหรือทำให้เขา หรือเราทำให้เขาอย่างนี้ไม่ต้องมี เมื่อได้ตรัสรู้ธรรมใดเป็นประโยชน์อย่างไรเท่าไหร่ ในการที่จะเผยแผ่ไปยังผู้อื่นหรือยกให้ไปยังผู้อื่นนั้นมันก็ทำด้วยความเมตตากรุณา แล้วก็มีอัธยาศัยทนไม่ได้ ทนนิ่งอยู่ไม่ได้ เพราะความเมตตากรุณา ท่านจึงต้องไปโปรดคนจะต้องทนฝ่าอุปสรรค จะต้องเผชิญกับอุปสรรคแม้จะได้รับทุกข์ยากลำบาก ก็กลายเป็นเรื่องทนได้ หรือไม่ต้องทนหรอกว่าที่จริงน่ะ เพราะมันไม่มีตัวตนไม่มีความรู้สึกเพื่อเป็นตัวตน แต่อัธยาศัยที่ทนไม่ได้เพราะความกรุณานั้นก็บังคับให้เป็นไป ท่านก็ทำสิ่งนั้นด้วยอัธยาศัยที่ทนอยู่ไม่ได้เพราะความกรุณา ที่เราทั้งหลายในบัดนี้ยังห่างไกลจากความเป็นพระพุทธเจ้า แต่มันก็แน่นอนเหลือเกินว่าเป็นผู้ที่จะเดินตามรอยพระบาท เพราะฉะนั้นการที่จะทนอยู่ไม่ได้เพราะความกรุณาก็เป็นบทเรียนก็ได้อันหนึ่งซึ่งจะต้องทำ เราจึงมุ่งหมายจะประกอบกิจกรรมที่เรียกว่าธรรมทายาท ในข้อนี้จึงอยากจะขอร้องท่านทั้งหลายว่าจงตั้งหน้าตั้งตากระทำด้วยความรู้สึกเมตตากรุณาที่ทำให้ทนเฉยอยู่ไม่ได้ ที่ทำให้เหลวไหลหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามอย่างพระพุทธองค์ ไม่ได้หมายความว่าจะยกตนเทียมพระพุทธองค์ดังที่กล่าวแล้ว แต่ว่าจะทำตามอย่างพระพุทธองค์ การทำตามอย่างนั้นแหละคือมรดกโดยแท้จริง เป็นมรดกแห่งการกระทำ ไม่ใช่มรดกแห่งวัตถุสิ่งของเงินทอง แต่เป็นมรดกแห่งการกระทำ ท่านทำอย่างไรเราทำอย่างนั้น ท่านทำอย่างมีค่ามากสูงสุดอย่างไรเราก็จะทำอย่างนั้น นี่เรียกว่าเป็นธรรมทายาทอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าเราทั้งหลายตั้งใจทำกิจกรรมนี้เพราะความทนอยู่ไม่ได้ด้วยอำนาจของความเมตตากรุณา นี่มันเป็นเหตุอันหนึ่งที่ทำให้เกิดกิจกรรมธรรมทายาท ทีนี้ก็จะดูต่อไปมันก็ยังมีอีกมากน่ะมูลเหตุที่ทำให้ประกอบกิจกรรมอันนี้ ถัดไปนี้ก็อยากจะให้มองไปยังความรับผิดชอบ ความรู้จักรับผิดชอบเป็นสัญลักษณ์แห่งบุคคลผู้มีความเจริญเป็นลักษณะแห่งบุคคลผู้มีการศึกษา คนโง่เง่าเต่าปูปลาไม่รู้จักคำว่ารับผิดชอบ ไม่มีความรู้สึกที่จะรับผิดชอบอะไรอะไร เขาไม่รู้อะไรสำหรับจะรับผิดชอบ ทั้งที่เป็นหน้าที่ของเขาแท้ๆ เขาก็ยังไม่รับผิดชอบ ทั้งที่เขาไปทำให้คนอื่นเสียหายแท้ๆ เขาก็ยังไม่รับผิดชอบน่ะ คิดดูสิ คนที่ไร้การศึกษาคุณธรรมใดๆแล้วก็ไม่มีคำว่ารับผิดชอบหรือความรู้สึกรับผิดชอบ ทีนี้เราเป็นพุทธบริษัทไม่ใช่เป็นคนธรรมดา เราไม่ใช่เป็นคนธรรมดา เราเป็นพุทธบริษัท ก็มีจิตใจสูงพอที่จะรู้จักความรับผิดชอบ ดังนั้นจึงต้องเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวเพราะรู้สึกรับผิดชอบนั่นเอง จากความรู้สึกรับผิดชอบในหน้าที่ของตน ในฐานะเป็นบุคคลคนหนึ่งก็ดี ในฐานะเป็นพุทธบริษัทก็ดี เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี ล้วนแต่ต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตนของตน ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่มีอะไรเหลือ คือไม่มีค่าอะไรเลย ถ้าไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนมันจะเหมือนกับคนตายแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไร ขอให้สำนึกในข้อนี้อยู่ตลอดเวลาว่า ความรู้สึกรับผิดชอบในหน้าที่ของเราทำให้เราประสงค์จะประกอบกิจกรรมของธรรมทายาท ไม่ใช่เฮกันไปเห่อกันไปโดยคิดว่ามันคงจะสนุกดีหรือมันคงจะได้หน้าได้ตาได้ประโยชน์ได้อะไรเป็นวัตถุเป็นเกียรติยศชื่อเสียง ถ้าคิดไปถ้ามันคิดไปในลักษณะอย่างนั้นน่ะ มัน มันไม่ถูก คือต้องดึงให้มามองให้ถูกต้องว่าเราทำนี้ด้วยความรับผิดชอบในหน้าที่ ในฐานะเป็นมนุษย์คนหนึ่งก็ได้ ในฐานะเป็นภิกษุองค์หนึ่งก็ได้ ในฐานะเป็นพระสาวกของพระองค์ก็ยิ่งดี มีความรับผิดชอบเต็มที่โดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ โดยไม่ต้องมีใครมายัดเยียดให้ เราสมัครใจที่จะรับผิดชอบแล้วก็ทำไปตามความรู้สึกอันนั้น เราจะรู้สึกได้โดยตนเองว่ามันเป็นการกระทำที่สูง เป็นการกระทำที่สูง การกระทำเพราะทนอยู่ไม่ได้เพราะความกรุณานี่มันก็เป็นการกระทำของผู้มีจิตใจสูง ทีนี้การกระทำเพราะสำนึกในหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบนี้มันก็เป็นการกระทำของผู้ที่มีจิตใจสูง จะเรียกว่าเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจสูงก็ได้ ถ้าสูงไปกว่านั้นมันก็เป็นอริยบุคคลที่ประเสริฐ มันก็มีความสูงแห่งจิตใจอันนี้น่ะเรารู้สึกรับผิดชอบเราจึงทำกิจกรรมอันนี้ กิจกรรมอันนี้เกิดมาจากความรู้สึกรับผิดชอบของเรา เรียกว่าเป็นมูลเหตุให้เกิดกิจกรรมนี้ ทีนี้อยากจะให้มองเลื่อนไปอีกขั้นหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับเราแต่เกี่ยวกับโลกหรือเพื่อนมนุษย์ในโลกด้วยกันหมดทั้งหมดในโลก ถ้าเรามีการศึกษาบ้างพอสมควรในปัจจุบันนี้เราจะมองเห็นว่าโลกกำลังอยู่ในฐานะที่เป็นอันตรายใกล้ความวินาศเพราะไม่มีธรรมะเป็นเครื่องผดุงไว้ กิเลสกำลังครองโลก ไม่ใช่ธรรมะกำลังครองโลก แล้วก็ลองไปเปรียบเทียบดูเอาเองว่ามันจะต่างกันอย่างไร ถ้ากิเลสครองโลก อะไรมันจะเกิดขึ้น มันก็เห็นๆกันอยู่ เดี๋ยวนี้มีความเห็นแก่ตัวของแต่ละบุคคล ของแต่ละประเทศชาติทำอะไรทุกอย่างทุกประการเพื่อประโยชน์ของตัวท่าเดียว โดยไม่ต้องคำนึงว่าใครจะเป็นอย่างไร แล้วโลกก็อยู่ในสภาพที่ต่อสู้แข่งขันอาฆาตมาดร้ายทำลายล้างกันอย่างสุดเหวี่ยง โลกเป็นอยู่ในสภาพอย่างนี้ที่เราเรียกกันว่าวิกฤตการณ์อันถาวร เป็นวิกฤตการณ์ถาวร ก็เพราะเหตุอย่างเดียว โดยสรุปก็คือไม่มีธรรมะไม่มีธรรมะครองโลก ไม่มีธรรมะค้ำจุนโลก ไม่มีธรรมะเป็นหลักเกณฑ์หรือแสงสว่างอยู่ในโลก ถ้าเรามองกันในแง่นี้บ้างมันก็อยากที่จะช่วยให้มีธรรมะขึ้นมาโลก ถ้าธรรมะกลับมาทันเวลาโลกาก็ไม่วินาศ ถ้าธรรมะไม่กลับมาโลกาก็วินาศ ผมพูดประโยคนี้มากกว่าร้อยครั้งแล้ว ขอให้ช่วยนำไปใคร่ครวญพินิจพิจารณาดูด้วย ถ้าธรรมะไม่กลับมาโลกาก็ต้องวินาศ เพราะมันเดินหน้าเรื่อยไป เรื่อยไปในทางที่ไม่มีธรรมะ คือเป็นไปในทางของกิเลส แต่ถ้าเราใช้คำชนิดที่เป็นภาษาเกินไปก็เรียกว่าธรรมะทั้งหมดแหละ เหมือนกับธรรมะคือทุกสิ่ง แต่เดี๋ยวนี้คำว่าธรรมะเราหมายความไปในทางฝ่ายดี ที่ฝ่ายไม่ดีเรานิยมเรียกกันว่าอธรรม อธรรม แต่ธรรมะหรืออธรรมมันก็เป็นธรรม เป็นธรรมด้วยกัน ธรรมที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่โลกน่ะมันไม่มี เราก็ช่วยกันเผยแผ่ให้เข้าใจให้เป็นที่รู้จักและให้มี แต่เดี๋ยวนี้เป็นที่น่าเวทนาสงสารว่าโลกทั้งโลกนี่มันละเลยธรรมะ มีมูลมาจากละเลยศาสนา ละเลยศาสนา หันไปหาสิ่งที่เป็นเครื่องสนุกสนานเพลิดเพลินของกิเลส ใครบังคับใครไม่ได้แต่ละคนก็มีอิสระแก่ตน เขาก็เลยพอใจในกิเลส ทำไปตามอำนาจของกิเลส มันก็เจริญรวดเร็วไปในทางของกิเลส ความเจริญในโลกรวดเร็วไปในทางของกิเลส ไม่ถอยกลับไปในทางของธรรมะเราเห็นไอ้ความวินาศของโลกนี่ เราจึงเกิดความรู้สึกที่อยากจะเสียสละ ลองคำนวณดูว่าถ้าเรายอมตายสักคนหนึ่ง แล้วโลกมีธรรมะขึ้นมาได้แล้วรอดกันทั้งโลกนี้เราจะเอาไหม ถ้าเราจะคิดว่าพวกกูสำคัญกว่าพวกกูดีกว่า กูไม่เอา ตายไปทั้งโลกก็ช่างหัวมัน อย่างนี้แล้วขอให้รู้เถิดว่ามันไม่มีวิญญาณแห่งธรรมทายาทเลย เราควรจะศึกษาเรื่องของพระเยซูคริสต์นะ ตามที่เขาบรรยายไว้ ยอมเสียสละชีวิตเพื่อให้คนทั้งโลกน่ะ คิดนึกได้ รู้สึกขึ้นมาได้มองเห็นไอ้สิ่งดีสิ่งชั่วได้ พระเยซูจึงยอมเสียสละชีวิต ทั้งที่รู้อยู่ว่าจะต้องเสียชีวิตก็จะเสียชีวิตเพื่อให้คนทั้งโลกกลับใจได้ ฉะนั้นอย่าเห็นว่าเป็นเรื่องของคริสเตียน คริสตัง มันก็เป็นเรื่องของธรรมะ ที่พระธรรมทายาททั้งหลายควรจะมาพิจารณาดู ถ้าเราเสียสละประโยชน์ของเราเพื่อคนทั้งโลกได้รับประโยชน์ของคนทั้งโลก มันก็ต้องยินดีนะ มิฉะนั้นเราก็รักตัวเองคนเดียวไม่ได้รักคนอื่นนอกไปจากตัวเรา อย่างนี้ไม่มีหลักในพระพุทธศาสนา ความเมตตากรุณาหรือความรักผู้อื่นนั้นก็เป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนา มองดูที่สมเด็จพระบรมศาสดาและพระสาวกทั้งหลาย ท่านก็มีคุณธรรมข้อนี้เป็นเบื้องหน้า เพราะว่าประโยชน์ส่วนตนประโยชน์เพื่อตนนั้นมันไม่มีแล้วคือมันไม่มีความต้องการแล้วคือมันไม่มีแล้ว มันไม่ต้องการแล้ว ทั้งหมดมันก็เพื่อประโยชน์ผู้อื่น เพราะตนมันไม่มีเสียแล้ว ฟังให้ดีๆจิตใจทั้งหมดมันก็เพื่อประโยชน์ผู้อื่น ท่านจึงทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่นอยู่เป็นแบบฉบับ ที่ทำเพื่อตนนั้นมันไม่มี เพราะเหตุว่าตนมันไม่มี หรือเพราะเหตุว่าประโยชน์ตนนั้นน่ะมันไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร นี่เป็นรอย รอยเท้านะ ของท่านที่เหลือทิ้งไว้ในโลกนี้ที่ว่าเราเดินไปพบเข้าแล้วก็จะกระทำตาม การกระทำตามนั่นแหละคือรับมรดกธรรมอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สรุปความว่าเมื่อถามขึ้นมาว่ากิจกรรมธรรมทายาทนี่มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรโดยแท้จริง โดยบริสุทธิ์แท้จริงมันก็ต้องเกิดมาจากเหตุเหล่านี้ มันไม่ใช่เกิดมาจากใครสักคนหนึ่งต้องการจะทำอะไรแปลกๆอวดคน มันต้องมาจากความที่ทนอยู่ไม่ได้ในเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ มีความเมตตากรุณาเป็นเบื้องหน้าก็ต้องลงมือทันทีเพื่อให้เกิดการช่วยเหลือขึ้นมาและเกิดมาจากการที่รู้จักรับผิดชอบในหน้าที่ของตนของตน และประกอบด้วยการที่โลกแห่งยุคปัจจุบันกำลังอยู่ในภาวะที่เลวร้าย ต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นเหตุผลมหาศาลนะ เหตุผลที่มีเหตุผลมหาศาลที่ว่าเราควรจะช่วยกัน ด้วยการดำเนินตามรอยพระพุทธองค์ในฐานะที่เป็นธรรมทายาท ถ้ามันเกิดมาจากเหตุผลเหล่านี้ก็เรียกว่าเป็นกิจกรรมที่บริสุทธิ์ เป็นกิจกรรมที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่กิจกรรมของกิเลส แต่ถ้าเราทำเอาหน้า เอาเกียรติ เอาผลประโยชน์เป็นวัตถุสิ่งของเหล่านี้แล้วก็ไม่ถูกและไม่มี ไม่มีทางที่จะตามรอยพระพุทธองค์หรือรับมรดกธรรมะของพระองค์ และทีนี้หัวข้อต่อไปที่ถามว่าเพื่อประโยชน์อะไร เพื่อประโยชน์อะไร ขอให้มองดูตรงไปยังประโยชน์ที่จะได้รับหรือที่มันจะเกิดขึ้น กิจกรรมธรรมทายาทนี้เพื่อประโยชน์อะไรมันก็พอจะมองเห็นได้จากที่บรรยายมาแล้วข้างต้นว่า กิจกรรมนนั้นเป็นอย่างไร หรือกิจกรรมนั้นเกิดมาจากมูลเหตุอะไร มองดูให้ดีก็พอจะพบว่าผลอะไรจะเกิดขึ้น ข้อแรกที่ควรจะมองเห็นก่อนหรือมองเห็นได้โดยง่ายก่อนก็คือว่า เพื่อศาสนา พระศาสนาที่ยังอยู่สืบต่อไป พระศาสนาจะยังอยู่สืบต่อไปถ้ามีกิจกรรมธรรมทายาท เท่านี้ก็ดูจะมากมายพอแล้ว เพราะกิจกรรมธรรมทายาทน่ะทำให้มีธรรมะเหลืออยู่ ธรรมมะคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือธรรมะ คือผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม หรือจะเขยิบออกไปถึงการปฏิบัติ ถ้ามีการปฏิบัติอย่างพระพุทธเจ้าที่ช่วยดับทุกข์ได้นั้นก็เป็นธรรมะที่แทนพระองค์ การปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ได้คือตัวธรรมะอย่างเดียวกับว่าเป็นพระพุทธเจ้า ธรรมมะคือตถาคต ตถาคตคือธรรมะ เราพยายามรับมรดกธรรมคือทำให้ธรรมะมีอยู่ก็เท่ากับทำให้พระพุทธเจ้ามีอยู่ มองกันในภายนอกก็เรียกกันว่าเพื่อศาสนา พระศาสนายังอยู่สืบต่อไปด้วยฝีไม้ลายมือของพระธรรมทายาท เมื่อศาสนามีอยู่ก็มองต่อไปว่าอะไรมันจะมีอยู่หรือเกิดขึ้นติดตามมา ทีนี้ก็มองเห็นได้ไม่ยากเลยว่าเมื่อศาสนามีอยู่ธรรมะมีอยู่ในโลก ในโลกนี้ก็จะได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่าธรรมะหรือพระศาสนานั้นเป็นเครื่องดับทุกข์ พระบาลี พระพุทธภาษิตในพระบาลีที่ควรจะนึกถึงกันอยู่เป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือข้อที่ว่า พระพุทธองค์ตรัสว่าตถาคตเกิดขึ้นในโลกเพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ นี่พระองค์เกิดขึ้นในโลกเพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ที่นี้ธรรมวินัย ธรรมวินัยคือศาสนาของตถาคตมีอยู่ในโลกก็เพื่อประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ แล้วเธอทั้งหลายช่วยกันธำรงไว้ ซึ่งธรรมวินัยให้ยังคงมีอยู่ในโลก เพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ จะเผยแผ่สั่งสอน เปิดเผยเรื่อยๆไปจนกว่ามนุษย์ทุกคนเข้าใจสามารถเผยแผ่แก่กันและกันได้ ให้พระสาวกทำความเข้าใจในเรื่องของพระศาสนาแก่ประชาชน จนประชาชนสามารถเผยแผ่สั่งสอนต่อๆกันไปได้ด้วยตนเอง คิดดูเถอะ อะไรๆ เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ สรุปสั้นๆว่าพระองค์เองเกิดขึ้นมาในโลกก็เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ธรรมะวินัยมีอยู่ในโลกเพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ เธอทั้งหลายรักษาธรรมวินัยไว้ในโลกเพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ฉะนั้นคำว่าประโยชน์ของมหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ นั้นน่ะเป็นคำสำคัญที่สุดในเรื่องนี้ เป็นคำพูดที่กินความกว้างหมด มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ถ้าไม่เข้าใจความหมายของคำนี้ก็อาจจะเกิดความขัดแย้งสงสัยอะไรขึ้นมาก็ได้ เราควรจะทำความเข้าใจในความหมายของคำสองคำนี้อย่างถูกต้องคือคำว่าเทวดาและมนุษย์ มนุษย์ในที่นี้ก็หมายถึงไม่ใช่เทวดา เทวดาก็ไม่ใช่มนุษย์ เป็นเรื่องที่น่าหัวที่ไม่รู้ว่าเทวดาอยู่ที่ไหน แต่ท่านตรัสว่าเทวดาและมนุษย์ก็หมายความว่ามันเป็นคู่เทียบเปรียบกันกับมนุษย์ ผมจึงใคร่ครวญสันนิษฐานลงไปในที่สุดว่า มนุษย์ก็คือมีปัญหาเรื่องดำรงชีวิต มนุษย์น่ะคือผู้ที่รู้จักเหงื่อ ต้องอยู่กับเหงื่อ จึงเรียกว่าเป็นมนุษย์ ทีนี้เทวดานั่นคือผู้ที่ไม่มีปัญหาเรื่องดำรงชีวิตทางฝ่ายร่างกาย เลยเป็นผู้ที่ไม่รู้จักเหงื่อ ข้อความในบาลีหรือในอรรถกถาก็ลืมไปเสียแล้ว ที่กล่าวถึงลักษณะของเทวดาที่จะต้องตายน่ะ เทวดาที่ต้องตายหรือจุตินั้นมีอยู่หลายข้อ แต่มีอยู่ข้อหนึ่งรวมอยู่ด้วยคือออกเหงื่อ คือเมื่อใดออกเหงื่อก็จะสูญสิ้นความเป็นเทวดา เพราะเทวดามันไม่ต้องรู้จักเหงื่อจึงจะเรียกว่าเทวดา ไม่มีปัญหาเรื่องเลี้ยงชีวิตทางร่างกายฝ่ายเนื้อหนัง ทีนี้เราก็มาเปรียบดูคนสมัยนี้คนบางพวกในโลกมนุษย์นี่เขาก็ไม่มีปัญหาเรื่องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไม่ได้รู้จักเหงื่อก็พอจะสงเคราะห์ลงไปในฝ่ายเทวดา ส่วนผู้ที่จำเป็นจะต้องอาบเหงื่อก็เป็นมนุษย์ แต่ข้อที่ควรดูต่อไปอีกก็คือว่าทั้งเทวดาและมนุษย์ยังมีความทุกข์ ยังมีประโยชน์ที่ควรต้องการน่ะ คือความดับทุกข์ เทวดาก็ดับทุกข์ไปตามแบบเทวดา มนุษย์ก็ดับทุกข์ไปตามแบบมนุษย์ พระองค์จึงตรัสว่าเพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ใช้คำว่ามหาชน ประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ เราศึกษาธรรมะสูงถึงขนาดที่จะช่วยแม้พวกเทวดาซึ่งมีความทุกข์อยู่ตามแบบของเทวดา ระวังให้ดีๆว่าอย่าไปหลงอยากเป็นเทวดาเสียเอง แต่จะต้องมองให้เห็นว่าแม้เป็นเทวดามันก็ยังมีปัญหาที่เกิดจากกิเลสน่ะ ปัญหาเกิดจากความลำบากยากจนในการดำรงชีวิตนี้หมดไปแล้ว แต่ปัญหาเกี่ยวกับกิเลสอีกนานาชนิดยังมีอยู่เหมือนกับมนุษย์เหมือนกันแหละ แปลว่ามนุษย์นี่มันมีปัญหาทั้งทางกายและทางจิต เทวดานี่ทางกายมันหมดไปแล้วมันเหลืออยู่แต่ทางจิตแต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องใหญ่หลวงที่จะต้องจัดต้องทำให้ลุล่วงไปด้วยดี สิ่งที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ทั้งของเทวดาและมนุษย์ก็ได้แก่สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสกำชับกำชาไว้หนักหนาว่าได้แก่ธรรมวินัย ธรรมวินัย ซึ่งเรามักจะเรียกกันว่าพระศาสนา ที่เราใช้คำพูดกันอยู่ในโลก ในใน เมืองไทยในปัจจุบันนี้เราจะใช้คำพูดว่าพระศาสนา แต่พระพุทธเจ้าท่านทรงใช้คำว่าธรรมวินัย หรือธรรมวินัยนั้นรวมกันเข้าแล้วเรียกว่าพรหมจรรย์ก็ได้คือศาสนาเหมือนกัน ก็เป็นอันว่า ศาสนาก็ได้ พรหมจรรย์ก็ได้ ธรรมวินัยก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้มีความหมายเดียวกัน จะต้องมีอยู่ในหมู่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ คนมั่งมีเป็นมหาเศรษฐีเท่าไหร่เท่าไหร่มันก็ยังต้องการธรรมะเพื่อขจัดปัญหาทางจิตใจอยู่นั่นเอง คนยากจนก็มีปัญหาทั้งทางร่างกายและทางจิตใจก็หนักกว่า แต่ก็ถ้าเขามีธรรมะเขารู้ธรรมะเขาสามารถจะอบรมจิตใจให้มีความทุกข์น้อยลง หรือใช้ธรรมะเป็นเครื่องแก้ปัญหาทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตใจ ข้อนี้คนเข้าใจผิดกันอยู่มากว่าธรรมะไม่ช่วยแก้ปัญหาทางฝ่ายร่างกาย ช่วยทำความเข้าใจกันเสียด้วยว่าธรรมะน่ะช่วยแก้ปัญหาแม้ในฝ่ายร่างกาย ไม่ใช่เรื่องทางจิตทางวิญญาณไปเสียหมด ถ้ามีธรรมะคนจะไม่มีปัญหาทางร่างกายจะไม่ยากจน จะไม่เจ็บไข้ มากเหมือนที่กำลังเป็นกันอยู่ ผมพบคำจำกัดความที่ดีที่สุดสำหรับคำว่าธรรมะ คือธรรมะแปลว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ขอให้ช่วยกำหนดจดจำไปด้วย เพื่อประโยชน์ในการสั่งสอนสืบไปว่าถ้าจะให้สะดวกง่าย คำว่าธรรมะนี่แปลว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ไม่มีใครพูดอย่างนี้กันได้ เพราะพูดกันแต่ว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็หยุดเงียบไปไม่รู้ว่าสอนอย่างไรก็ไม่ค่อยจะพูดจะบอกกัน แต่ขอให้รู้ว่าคำว่าธรรรมะ ธรรมะ คำพูดคำนี้มีขึ้นมาในโลกในประเทศอินเดียนั้นก่อนมีพระพุทธเจ้า ก่อนมีพระพุทธศาสนา หรือก่อนมีพระศาสนาที่เป็นล่ำเป็นสันเสียอีก มนุษย์ก็มีคำว่าธรรมะ ธรรมะ ใช้พูดจากันอยู่แล้วตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์โน้น พอสักว่ามนุษย์รู้จักสิ่งที่เราเรียกกันว่าหน้าที่หน้าที่ที่จะต้องทำ เขาก็พูดคำนั้นขึ้นมา และคำนั้นที่เขาพูดขึ้นมาก็คือคำว่าธรรมะนั่นเอง ฉะนั้นธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่ของใครล่ะ มันก็หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตสิ สิ่งที่ไม่มีชีวิตมันก็ไม่ต้องมีหน้าที่ มันเป็นหน้าที่ก็เป็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต จะต้องทำให้รอดชีวิตด้วย ให้รอดจากปัญหาทุกอย่างอันจะตามมาเรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ คำว่าธรรมะจึงระบุไปยังหน้าที่ แม้ตั้งต้นแต่ว่าหน้าที่ทำมาหากิน ทำไร่ไถนา อะไรก็ตามที่มันเป็นหน้าที่ที่ถ้าไม่ทำแล้วมันตาย ทีนี้คำว่าธรรมะก็ได้รับคำอธิบายเพิ่มเติมสูงขึ้นมา สูงขึ้นมาตามลำดับของการก้าวหน้าของมนุษย์นั่นเอง คือมนุษย์รู้จักหน้าที่ที่สูงขึ้น หน้าที่ที่ละเอียดประณีตสูงขึ้นไป แล้วก็สอนสอนสอนกันมาตามลำดับจนเกิดพระศาสดาในพระศาสนาสอนหน้าที่อันสูงสุดคือหน้าที่หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง คำว่าธรรมะซึ่งมีความหมายว่าหน้าที่นั้นจึงสูงสุด อย่างเราก็พูดว่าสูงสุดเมื่อพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนเรื่องหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง มีสภาพเป็นนิพพาน คือจิตอยู่กับสภาพที่เรียกว่านิพพาน คือเย็น ไม่มีความทุกข์ไม่มีความร้อน นี่ธรรมะคือหน้าที่มันสูงสุดอยู่ที่นี่คือหน้าที่แห่งการกระทำให้แจ้ง ซึ่งพระนิพพานอันเป็นที่ดับทุกข์ทั้งปวงน่ะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ในทุกความหมายแหละ หน้าที่อะไรที่จะต้องทำก็ทุกความหมาย แล้วก็ต้องของสิ่งที่มีชีวิต มนุษย์มีชีวิต สัตว์เดรัจฉานก็มีชีวิต ต้นไม้ต้นไร่ก็มีชีวิต ทั้งสามพวกนี้ต้องมีหน้าที่ ถ้าไม่ไม่ทำหน้าที่ไม่มีหน้าที่มันตาย ในคนนี่ถ้าลองไม่ทำหน้าที่มันก็ตาย สัตว์เดรัจฉานไม่ทำหน้าที่หากินหรือป้องกันตัวมันก็ตาย ต้นไม้ลองไม่ทำหน้าที่ไม่ดูดน้ำจากดินไม่ดูดแร่ธาตุจากดินไม่อาศัยแสงแดดทำปฏิกิริยาต่อแร่ธาตุเหล่านั้นในทางเคมีที่ใบให้เกิดเป็นสสารที่จะบำรุงเปลือกใบต้นลำออกมาเป็นต้นไม้ใหญ่โตมันก็ตายเหมือนกัน ดังนั้นบางที่ต้นไม้นี่มันจะขยันขยัน ขยันที่สุดยิ่งกว่ามนุษย์ คือมันทำหน้าที่ตลอดเวลา จะพักผ่อนหรือไม่ก็ไม่ทราบแต่น่าจะทำตลอดเวลาทั้งวันทั้งวัน มีหาแสงแดดทำให้เป็นอาหารเลี้ยงต้นดูดน้ำดูดแร่ธาตุขึ้นไปโดยรากขึ้นไปเก็บไว้ที่ใบสำหรับจะหุงต้มกันที่นั่น คงจะทำตลอดวันตลอดคืน จะขยันกว่ามนุษย์น่ะซึ่งเหลวไหลไม่อยากจะทำ บิดพลิ้วเสียโดยมาก ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ผมอยากจะขอร้องให้ช่วยเอาไปประกาศเผยแผ่ในโอกาสข้างหน้าต่อไปว่าธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ไม่ทำก็ต้องตาย แม้ไม่ตายก็รอดอยู่อย่างเหมือนกับตายแล้ว เมื่อธรรมะเป็นหน้าที่มันก็หลีกไม่ได้ แล้วแต่ว่าหน้าที่นั้นมันต่างกันอย่างไรตามสถานะของสัตว์หรือบุคคลนั้นๆ ชาวนาทำนานั่นก็คือธรรมะของชาวนา เมื่อชาวนาทำนาก็มีธรรมะของชาวนา เมื่อชาวสวนทำสวนก็มีธรรมะของชาวสวน เมื่อพ่อค้าแม่ค้าทำหน้าที่ค้าขาย อย่างถูกต้องก็เป็นธรรมะของพ่อค้าแม่ค้า ข้าราชการทำหน้าที่อย่างถูกต้องก็เป็นธรรมะของข้าราชการ กรรมกรทำหน้าที่อย่างถูกต้องของกรรมกรนั้น จะถีบสามล้อก็ได้ แจวเรือจ้างก็ได้ จะล้างท่อถนนสกปรกก็ได้ ถ้าเขาทำอย่างถูกต้องตามหน้าที่ก็มีธรรมะของกรรมกร ที่สุดแต่คนขอทานนั่งขอทานอยู่อย่างถูกต้องมันก็มีธรรมะของคนขอทาน เมื่อมีธรรมะด้วยกันอย่างนี้แล้วไม่เท่าไหร่ก็จะรอดพ้นจากสภาพอันทนทุกขเวทนา เช่นคนขอทานเป็นคนขอทานอย่างดีอย่างถูกต้อง ไม่เท่าไหร่มันก็พ้นสภาพจากความเป็นคนขอทาน กรรมกรทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องไม่เท่าไหร่ก็พ้นจากกรรมกรมาเป็นคนร่ำรวย มีหลักฐานปรากฏอยู่ทั่วๆไปในประเทศไทยเราน่ะ ตระกูลเศรษฐีใหญ่บางตระกูลนั้น พ่อแม่มาจากคนต้นตระกูลมาจากเมืองจีนที่เขาเรียกว่าเสื่อผืนหมอนใบอย่างนั้นน่ะ ก็มาทำเป็นกรรมกรจนได้เป็นเถ้าแก่เป็นเจ้าสัวเป็นเศรษฐีกันในที่สุด เพราะเขาทำหน้าที่ของเขาถูกต้อง ฉะนั้นคำว่าหน้าที่หน้าที่นี่หมายความถูกต้องตามกฎของธรรมชาติก็ได้ พวกโจรพวกขโมยอันธพาลมันจะอ้างว่าหน้าที่ของข้าพเจ้าคือการลักการขโมยอย่างนี้ไม่ได้ อย่างนั้นจะเอามาเป็นหน้าที่ในความหมายของธรรมะไม่ได้ มันเป็นอธรรมมันไม่ใช่หน้าที่ คำว่าหน้าที่ต้องถูกต้องและบริสุทธิ์ตามความหมายที่จะเกื้อกูลแก่ชีวิต คนขอทานบางคนเลวมากขอทานอย่างเลวไม่พ้นจากความเป็นขอทานและก็ตายไปในสภาพขอทานอย่างนั้น ผมเคยเห็นขอทานข้างวัดปทุมคงคาที่ผมเคยไปอยู่มันนั่งขอทานอยู่แท้ๆ มันก็ด่าคนที่เดินผ่านแล้วไม่ให้ทาน มันด่าหยาบคายมาก สรุปความว่ามันด่าว่าพ่อของมันคนเดียวมันยังเลี้ยงไม่ได้อย่างนี้ มันเป็นขอทานผู้ชาย และมันก็ด่าคนที่เดินผ่านไปแล้วก็ไม่ให้ทานน่ะว่า พ่อของมันคนเดียวมันก็ยังเลี้ยงไม่ได้อย่างนี้ ไอ้ขอทานอย่างนี้มันไม่มีวันน่ะที่จะพ้นจากสภาพของขอทาน เพราะมันมีความหมายผิดเสียแล้วในคำว่าหน้าที่ ถ้าเป็นขอทานที่ดีไม่เท่าไหร่ก็จะพ้นจากสภาพขอทาน เป็นกรรมกรที่ดีไม่เท่าไหร่ก็จะพ้นจากสภาพกรรมกร สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป บอกให้รู้กันไว้เถิดว่าคำว่าหน้าที่ หน้าที่นี้มันหมายถึงความถูกต้อง ถูกต้องต่อความที่จะรอดชีวิต แล้วก็รอดชีวิต แล้วก็เจริญไปจนถึงที่สุด ธรรมะคือหน้าที่และเราก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำตลอดวลาก็ว่าได้ เมื่อเราทำงานหาเงินเลี้ยงชีวิตก็เป็นหน้าที่ มาจ่ายเงินเลี้ยงชีวิตก็เป็นหน้าที่ กินอาหารก็เป็นหน้าที่ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็เป็นหน้าที่ อาบน้ำก็เป็นหน้าที่ แม้ที่สุดจะลดลงไปถึงกับว่ากวาดเรือนถูเรือนซักผ้านั้นก็เป็นหน้าที่ ขอให้ถือว่าเป็นธรรมะหมด เมื่อทำหน้าที่อย่างต่ำอยู่เช่นว่าถูเรือนอยู่ในจิตใจก็รู้ว่านี้ก็หน้าที่ นี้ก็ธรรมะแล้วก็พอใจ ก็เป็นสุขได้ในการที่ถูบ้านถูเรือน ตักน้ำ ผ่าฟืน พอใจ พอใจ พอใจในหน้าที่มีความสุขในการทำหน้าที่ แม้ที่สุดแต่การพักผ่อน เมื่อเหนื่อยขึ้นมาต้องพักผ่อนก็ให้ถือว่าเป็นหน้าที่ หน้าที่ที่ต้องพักผ่อน ถ้าไม่พักผ่อนมันไม่มีแรงที่จะทำหน้าที่ต่อไป อย่าเข้าใจผิดว่าการพักผ่อนนั้นน่ะไม่ใช่หน้าที่มันก็เป็นหน้าที่ ขอแต่ให้พักผ่อนกันจริงๆ พักผ่อนทั้งกายทั้งใจแล้วมันก็จะมีกำลังแจ่มใสสดใสขึ้นมา ทำงานได้ต่อไป การพักผ่อนก็เลยกลายเป็นหน้าที่ ดังนั้นมันไม่มีอะไรน่ะที่มันไม่ใช่หน้าที่ ที่เป็นการเคลื่อนไหวของมนุษย์ในทุกอิริยาบถ มันเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำอย่างนั้น เมื่อเรามารู้สึกว่า โอ้, มันประพฤติธรรมะอยู่ทุกอิริยาบถก็พอใจ เย็นใจ เป็นสุข จิตใจเย็นเป็นสุข เพราะรู้ว่ามันอยู่กับธรรมะ มันเย็นจิตใจอยู่ทุกๆอิริยาบถทุกๆการงานที่ทำ นี่อยากจะเรียกชื่อให้แปลกๆออกไปว่า นิพพานในปัจจุบันกาล ถ้าใครเขาพูดว่านิพพานในปัจจุบันกาลแล้วอย่าเพิ่งหัวเราะนะจะโง่เอง เพราะว่าเราสามารถทำให้ชีวิตจิตใจเย็น เย็น เย็นอยู่ทุกอิริยาบถในปัจจุบันกาล ก็เรียกว่านิพพานในปัจจุบันกาลได้ หากแต่ว่ามันยังเป็นนิพพานที่ไม่ใช่สูงสุด เป็นนิพพานขั้นต้น ซึ่งมันจะถึงสูงสุดได้ต่อไปข้างหน้า หากขอให้มีขั้นต้นอย่างนี้ก่อนเถอะ ปรับปรุงจิตใจถูกต้องจนเย็นๆๆๆๆ เย็นใจอยู่ทุกทุกอิริยาบถ นั่งถ่ายอุจจาระอยู่บนโถส้วมก็พอใจที่สุด มันเป็นการกระทำที่ถูกต้องเป็นหน้าที่ แล้วก็พอใจอยู่ตลอดเวลาที่นั่งถ่ายอุจจาระ นั่งถ่ายปัสสาวะ ไม่ดิ้นรนในทางจิตใจหรือรำคาญอะไร ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แล้วก็มีจิตใจเย็นอยู่บนโถส้วม ก็เรียกว่าอยู่ด้วยนิพพานบนโถส้วม ถ้ามันฟังไม่ถูกมันก็บ้าแล้วไอ้คนพูดบ้าแล้ว ผมยังยืนยันอยู่เสมอว่านี่คือนิพพานในปัจจุบัน ทำอะไรๆอยู่ทุกๆอย่างทุกๆประการในชีวิตประจำวัน แม้แต่อาบน้ำ แม้แต่ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ตั้งใจทำด้วยสติสัมปชัญญะจนรู้สึกยินดี พอใจ มันจะมีหน้าที่อะไรบ้าง ถ้ามันเป็นหน้าที่แล้วก็ทำเถอะ มันเป็นธรรมะทั้งนั้นแหละ ในเมื่อได้ทำแล้วก็ควรจะพอใจ นอกจากหน้าที่เพื่อตนเองและมันยังต้องนึกถึงหน้าที่เพื่อผู้อื่นหรือสัตว์อื่นได้ด้วย จะเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวบ้างก็ได้ ถ้ามันเป็นการพิสูจน์ว่าทำให้มันมีความสุขความพอใจหรือว่ามันจะเป็นการสอนให้เรารู้จักเสียสละเพื่อผู้อื่นบ้าง หมาแมวที่เลี้ยงไว้นั้นน่ะมันเป็นอาจารย์สอนให้เรารู้จักเสียสละเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้าง มิฉะนั้นเราจะไม่รู้จักเสียสละแก่ใครเลย เราจะพูดว่ายุ่งเปล่าๆ สกปรก เหม็น ไม่สนใจที่จะฝึกตนให้เป็นผู้เสียสละทำประโยชน์แก่ใคร ให้ถือว่ามันมาเป็นครูสอนให้เรารู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้าง อันนั้นก็จะเป็นปัจจัยแก่ธรรมะ แก่พระนิพพาน ความรักผู้อื่นนั้นต้องแบ่งไปจากความรักตน คนปุถุชนมันรักตน รักตน รักตนเสียหมด ไม่เหลือสำหรับจะรักใครได้ มันรักผู้อื่นไม่ได้ นี่มันรักตนเสียจนหมด แล้วก็ไม่มีรักใครได้ ทีนี้การที่จะรักผู้อื่นนั้นมันต้องแบ่งไปจากความรักตน คือหัดแบ่งไอ้ความรักตนไปรักผู้อื่นบ้าง นี่มันจะเป็นธรรมะและมันเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องรักผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น เพราะว่าเราอยู่ในโลกนี้คนเดียวไม่ได้ เราอยู่ในโลกนี้คนเดียวไม่ได้ สมมติเอาก็พอมองเห็นว่าอยู่ไม่ได้คนเดียวในโลกนี้ คือสมมติว่าเขาจะยกโลกทั้งหมดนี้ให้เราคนเดียว โลกทั้งโลกทั้งจักรวาลก็ได้ให้เป็นของเราคนเดียวให้เราอยู่คนเดียวไม่มีใครอยู่ด้วย เราอยู่ได้ เราจะอยู่ได้ เราไม่รู้จะอยู่ไปทำอะไรด้วย และเราก็อยู่ไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นมันจึงต้องอยู่ด้วยกัน มีเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันเป็นเพื่อนอยู่ด้วยกัน มันจึงจะมีความหมายว่าเราอยู่ ดังนั้นเราจึงต้องนึกถึงผู้อื่นด้วย ว่าต้องมาอยู่ร่วมโลกกันเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน และก็จะเป็นผาสุกอยู่ด้วยกันทุกฝ่าย นี่เรียกว่าต้องรักผู้อื่นด้วยคือเมตตากรุณานั่นแหละ อยู่ด้วยจิตใจที่ไม่เมตตากรุณานั้นมันจะว้าเหว่มันจะหวาดกลัว มันจะระแวงผวาหาความสุขไม่ได้ทั้งหลับและตื่นนั้น ฉะนั้นพยายามทำจิตใจเสียใหม่ให้อยู่ด้วยเมตตากรุณาเป็นเครื่องอุ่นใจว่ามีเพื่อนอยู่ด้วยกัน นี่ขอให้ขยายความหมายคำว่าหน้าที่หน้าที่ออกไปถึงผู้อื่นด้วย อย่าหน้าที่แต่เพื่อจะช่วยตัวเองฝ่ายเดียว ต้องขยายออกไปถึงการช่วยผู้อื่นด้วย เมื่อได้ทำหน้าที่แล้วก็พอใจ เพราะว่าหน้าที่นั้นคือธรรมะ ธรรมะคือสิ่งสูงสุด เมื่อได้มีธรรมะแล้วก็พอใจ เมื่อตัวเอง…..(นาทีที่ 01.18.45 – 01.18.50 เทปขาดหายค่ะ) ขอให้มองเห็นข้อนี้แล้วจะง่ายที่สุดในการที่จะมีนิพพานในปัจจุบันกาล เพราะว่าเราจะพอใจอะไร พอใจอะไรอยู่ทุกๆเรื่องทุกๆอิริยาบถนั้นเราต้องรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นน่ะมันคือธรรมะ สิ่งที่เรากระทำนั้นน่ะมันคือธรรมะเราจึงพอใจ พอใจมันก็เป็นสุข คือชีวิตมันเย็น ถ้าพอใจในธรรมะชีวิตเย็น ถ้าไปพอใจในเหยื่อของกิเลสมันเป็นชีวิตร้อนอย่าไปเอากับมันเลย นี่ถ้าพอใจในธรรมะคือหน้าที่อันบริสุทธิ์ถูกต้องของมนุษย์มันเป็นชีวิตเย็นมันก็เลยอยู่กับนิพพานในปัจจุบันกาล เอาไม้กวาดมากวาดนอกชาน กวาดบ้าน กวาดอะไรอยู่ มันก็พอใจว่ามันเป็นหน้าที่เป็นธรรมะ มันก็พอใจในการกวาดบ้านนั่นเองคือทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ถ้าใจเย็นมันก็เป็นนิพพาน เย็นน้อยๆก็เป็นนิพพานน้อยๆ เย็นชั่วคราวก็เป็นนิพพานชั่วคราว เพราะคำว่านิพพานน่ะมีความหมายว่าชีวิตเย็น จิตใจที่อยู่ด้วยความพอใจในธรรมะเป็นนิพพานชนิดที่ว่านี้ ซึ่งไม่มีใครรู้จักแล้วก็ไปหวังว่าตายแล้วกี่หมื่นกี่แสนชาติจึงจะพบกับนิพพาน นั่นเป็นแต่ความหวังเท่านั้นแหละ สู้ของจริงที่นี่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ ขอให้ทำชีวิตเย็นที่นี่และเดี๋ยวนี้และก็เป็นนิพพานจริง หรือจะลดลงมาเป็นสวรรค์ก็ได้ ทำหน้าที่ทุกชนิดจนเป็นที่พอใจตัวเอง พอใจตัวเอง มันก็จะเกิดความสุขในความพอใจนั้น เพราะว่ามองเห็นแต่สิ่งที่น่าพอใจ มองดูตัวเองเห็นแต่สิ่งที่น่าพอใจเรื่อยไปจนกระทั่งยกมือไหว้ตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้น่ะฟังดูให้ดีเถอะ มันมีใครกี่คน มันมีแต่คนที่พอมองดูที่ตัวเองแล้วมันมีแต่สิ่งที่น่าขยะแขยงไปเสียหมด ทีนี้ปรับปรุงกันเสียใหม่ มองดูที่ส่วนไหนก็ล้วนแต่น่าพอใจ มือก็ทำถูก เท้าก็ทำถูก หูก็ทำถูก ตาก็ทำถูก จมูกก็ทำถูก ทุกอย่างทุกส่วนมันล้วนแต่ทำถูกต้องเป็นที่น่าพอใจ มันจึงยกมือไหว้ตัวเองได้ การยกมือไหว้ตัวเองได้นั้นคือสวรรค์ ถ้าเราจะชี้ให้เขาเห็นสวรรค์ที่นี่เดี๋ยวนี้กันแล้วก็จงชี้ไปยังความพอใจที่เกิดมาจากการทำหน้าที่ที่ถูกต้อง จนเขายกมือไหว้ตัวเองได้บอกว่าสวรรค์น่ะมันอยู่ที่การยกมือไหว้ตัวเองได้ นรกน่ะมันอยู่ที่การเกลียดชังตัวเองเกลียดน้ำหน้าตนเองเมื่อไหร่มันเป็นนรกเมื่อนั้นและมันที่นี่และเดี๋ยวนี้นะ ยกมือไหว้ตัวเองได้น่ะมันชื่นใจอยู่ในความรู้สึกเป็นสวรรค์จริง มีอยู่จริง และเป็น สันทิฏฐิโกด้วย คือเห็นได้ด้วยตนเองแล้วก็เป็น อกาลิโกด้วย ไม่จำกัดกาลเวลาที่จะทำหรือจะรับผลของการกระทำ โอปะนะยิโก เอหิปัสสิโก มีอยู่ในหัวใจจริงๆ เรียกเพื่อนมาดูมาดูในหัวใจฉันมันมีอยู่จริง การรู้สึกที่พอใจเป็นสวรรค์นั้นมีอยู่จริง ควรจะมีในตนจริง รู้ได้เฉพาะตนจริง นี่น่ะจึงจะเรียกว่าจริงในพระพุทธศาสนา ถ้ามันไม่มาอยู่ในความรู้สึกแท้จริงอย่างนี้แล้วไม่ใช่พุทธศาสนาหรอก บทพระธรรมคุณ พระธรรมคุณน่ะ นั่นแหละพยายามศึกษาเข้าใจกันไว้อย่างดีที่สุด เพราะมันเป็นเครื่องตัดสินว่าเป็นพุทธศาสนาหรือไม่เป็นพุทธศาสนา ถ้ามันไม่ประกอบด้วยพระธรรมคุณเหล่านั้นแล้ว ไม่ใช่พุทธศาสนา คือไม่ใช่สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธรรมที่พระผู้มีพระภาคกล่าวดีแล้วนั้น ก็มีลักษณะเป็น สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก เรื่อยไป ถ้ามันไม่มีลักษณะอย่างนั้นไม่ใช่ในพระพุทธศาสนา แม้ในคุณบทเกี่ยวกับพระนิพพานท่านก็ว่า สวากขาตัง ภะคะวะตาธัมมัง หมายถึง นิพพานนั้น สันทิฏฐิกัง อกาลิกัง เอหิปัสสิกัง โอปะนะยิกัง ปัตจัตตัง เวทิตัพพัง น่ะถ้าเป็นพระนิพพานแท้นะต้องเป็น สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก ที่นี้เรื่องสวรรค์เรื่องนรกก็เหมือนกัน ถ้ามันรู้สึกอยู่ในใจชื่นใจจนไหว้ตัวเองได้แล้วก็เป็นสวรรค์แท้จริงตามหลักของพระพุทธศาสนา เราก็ชักจูงสั่งสอนประชาชนให้ปฏิบัติธรรมะ คือทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตจนเป็นที่พอใจแก่ตน ยกมือไหว้ตัวเองได้ทุกวันทุกวัน หรือวันละหลายๆครั้งก็ยิ่งดีทำอะไรที่เป็นเหตุให้พอใจตนเองได้ก็ยกมือไหว้ตนเอง แม้จะไม่ยกมือไหว้จริงๆ ไหว้อยู่ในใจก็ได้เหมือนกันแหละ เรามีสวรรค์ได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ด้วยการประพฤติธรรมคือทำหน้าที่ของสิงที่มีชีวิต เราจะตกนรกได้ที่นี่เพราะเราทำอะไรชนิดที่เป็นที่เกลียดชังตัวเอง แล้วมันแน่นอนว่าถ้าเราได้สวรรค์อย่างนี้นะ ชนิดนี้ที่นี่นะตายไปแล้วมีสวรรค์กี่ชนิดได้หมดเลย ถ้าเราตกนรกชนิดนี้ที่นี่แล้วไม่ต้องสงสัย ตายแล้วก็จะตกนรกทุกชนิด เราไม่ได้ยกเลิกนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้าที่เขาพูดไว้อย่างที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่เป็นสันทิฏฐิโก ไม่เป็นอกาลิโกนั้นน่ะ เราไม่มายกเลิกหรอก ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ แต่เรายืนยันว่าถ้าเราได้สวรรค์อย่างนี้ ที่เป็นสันทิฏฐิโกอย่างนี้แล้ว เราจะได้สวรรค์หมด หรือถ้าเราไม่ตกนรกอย่างนี้ที่นี่แล้วเราจะไม่ตกนรกชนิดไหนหมด ดังนั้นอย่าไปเข้าใจผิดว่าผมไปยกเลิกนรกสวรรค์ของเก่าที่เขาพูดๆกันไว้ ผมไม่ได้ยกเลิกหรอกแต่บอกให้รู้ว่าสวรรค์เดี๋ยวนี้ที่นี่ เป็นสันทิฏฐิโกนั้นคืออย่างนี้คือทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต คือปฏิบัติธรรมะจนยกมือไหว้ตนเองได้ ทีนี้บอกประชาชนให้เขารู้จักนรกสวรรค์ชนิดนี้ไว้ด้วยมันจะปลอดภัยทุกอย่างทุกประการ และให้เขารู้ไว้ใกล้ๆตัวว่าความพอใจนั้นแหละคือความสุขเมื่อพอใจในชีวิต ในการกระทำในชีวิตมันก็คือความสุข ไม่ต้องใช้เงินแม้แต่สักสตางค์เดียวนั่นน่ะบอกเขาว่าอย่างนั้น ว่าถ้าเป็นความสุขแท้จริงไม่ต้องใช้เงินซื้อแม้แต่สักสตางค์เดียว ที่ไปซื้อหามาตามสถานที่เริงรมณ์ต่างๆจนเงินเดือนไม่พอใช้ต้องโกงต้องให้นั่น นั้นไม่ใช่ความสุขหรอกเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ถ้าเป็นความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินแม้แต่สตางค์เดียว เหมือนกับบทสวดที่เราไปสวดให้ชาวบ้านฟังอยู่บ่อยๆและเราเองก็ไม่รู้ ถ้าไปสวดมนต์เย็นที่บ้านเขา พอถึงบทที่ว่า ลทฺธา มุธา นิพฺพุติ ภุญฺชมานา (นาทีที่ 01.27.20 - 01.28.02 ) ตัวนั้นแหละนิพพานที่แท้จริงให้เปล่าไม่คิดสตางค์ คำพูดนั้นว่านิพพานให้เปล่าไม่ต้องคิดสตางค์ ความสุขที่แท้จริงจะได้มาโดยไม่ต้องเสียสตางค์ เราไปบอกชาวบ้านทุกคราวที่เราไปสวดมนต์เย็นชาวบ้านจะฟังไม่ถูก เพราะว่าผู้สวดก็จะฟังไม่ถูกเหมือนกันน่ะ ผู้สวดเองก็ฟังไม่ถูกแล้วชาวบ้านจะฟังถูกได้อย่างไร เมื่อไปยืนยันว่าถ้าความสุขแท้จริงไม่ต้องใช้สตางค์ซื้อแม้แต่สตางค์เดียว ถ้าเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวงไม่ใช่ความสุขแล้วยิ่งต้องใช้เงินมาก ต้องซื้อเสียสตางค์มากต้องแพงมากจนหมด หมดจนเป็นหนี้เป็นสินเหมือนที่เขาเป็นกันอยู่โดยมาก เป็นชาวนาแท้ๆทำข้าวทำปลามาด้วยความเหนื่อยยากลำบากและเอาเงินไปซื้อหาความเพลิดเพลินที่หลอกลวงหมดไปทำอบายมุขกันหมด นี่คือปัญหาที่แท้จริงที่มีอยู่ในบ้านเมือง ขอให้พระธรรมทายาททั้งหลายไปช่วยชี้ความจริงอันนี้หรือความลับอันนี้ให้เป็นที่เข้าใจแก่ประชาชนเถอะ จะเป็นการโปรดปรานประชาชนนั้นอย่างยิ่ง จะเป็นการช่วยเหลือประเทศชาติอย่างยิ่ง เพราะเมื่อเขาพอใจในการทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมแล้ว เขาก็สนุกสนานในการทำงาน ทำงานสนุก ทำงานสนุกเพราะมันเป็นธรรมะเป็นตัวธรรมะ ทำแล้วสนุก ถ้าทำได้มาก ทำได้มากก็ไม่ยากจนไม่มีใครยากจน นี่มีธรรมะแล้วมันก็แก้ปัญหาทาวัตถุได้อย่างนี้ คือทำงานสนุกที่จะไปเสียหายร้าย เลวร้ายไปทำอบายมุข สูบบุหรี่ ดื่มน้ำเมาจนเป็นโรคภัยไข้เจ็บนั้นก็ไม่มีนี่ ธรรมะมันก็ป้องกันความเลวร้ายทางฝ่ายวัตถุ มีธรรมะแล้วมันก็ไม่เกิดอุบัติเหตุในท้องถนนหรืออุบัติเหตุตกบันได อุบัติเหตุใดๆก็ตามมันไม่มี ถ้ามีธรรมะแล้วมันป้องกันแม้แต่อุบัติเหตุ แล้วเขาก็มีสุขภาพดี มีการเป็นอยู่ที่ถูกต้องไปหมด ก็เลยเป็นครอบครัวที่ดีของสัตบุรุษ ของพระอริยเจ้าได้ แม้จะอยู่ในเพศฆราวาสเป็นผู้ครองเรือนก็อยู่ในลักษณะที่เป็นการครองเรือนของสัตบุรุษ ของพระอริยเจ้าได้ด้วย สรุปสั้นๆว่าถ้าเขารู้จักธรรมะ มีธรรมะจริง รู้จักธรรมะจริงแล้วเขาจะทำงานสนุก ถึงพวกเราที่เรียกตัวเองว่าธรรมทายาทก็เหมือนกัน ถ้ารู้จักความหมายของคำว่าธรรมะดี รู้จักความหมายของคำว่าธรรมทายาทดีแล้วล่ะจะทำสนุก จะทำหน้าที่ของตนสนุกไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และผลงานมันก็มาก เป็นประโยชน์แก่คนเป็นอันมากได้จริงเหมือนกัน ฉะนั้นขอให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะของคำว่าธรรมทายาทให้ถูกต้องและประพฤติกระทำให้สมบูรณ์และก็จะได้รับประโยชน์อย่างที่ว่านี้ นี่คือคำตอบของคำถามที่ถามว่ากิจกรรมธรรมทายาทนี้เพื่อประโยชน์อะไร เพื่อพระศานายังอยู่ยืนสืบไป เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์จะมีชีวิตที่มีนิพพานในปัจจุบันกาลอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วจะช่วยดับไฟเลวร้ายของโลกทั้งโลกทั้งจักรวาลได้ด้วย ถ้าว่ากิจกรรมธรรมทายาทสืบมรดกของพระพุทธเจ้ายังมีอยู่และผลก็จะเกิดขึ้นอย่างนี้ ดังนั้นเรียกว่าเพื่อประโยชน์อย่างนี้ นี่ผมก็พูดมามากแล้วยังพูดไม่จบ เพราะยังไม่ได้พูดข้อที่สี่ที่ว่าจะสำเร็จได้โดยวิธีใด ก็ต้องยกไปไว้พูดคราวหลัง ในคราวนี้ก็พูดกันถึงข้อที่ว่ากิจกรรมธรรมทายาทนี้มันคืออะไร และกิจกรรมธรรมทายาทนี้มันเกิดขึ้นมาเพราะเหตุใด และกิจกรรมธรรมทายาทนี้เพื่อประโยชน์อะไรในที่สุด ขอให้ลองกำหนดใคร่ครวญให้เป็นที่เข้าใจกันไว้ด้วย แล้วก็จะเกิดความง่าย ความง่ายดายในการที่จะประเมินกิจการนั้นๆ การที่เรามีความรู้ถูกต้องเข้าใจถูกต้องเสียก่อนในเรื่องนั้นๆ มันก็เท่ากับว่าทำให้เรื่องนั้นๆมันก้าวหน้าไปแล้วตั้งครึ่ง นี่จึงเป็นสิ่งที่ต้องพูดกัน เดี๋ยวนี้ก็หมดเวลาที่จะพูดหรือหมดแรงที่จะพูด ในวันนี้ก็ยุติกันไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน ขอให้เอาคำพูดเหล่านี้ไปทบทวนในเวลาที่กลับไปถึงที่พัก สิ่งใดที่สำคัญมากมันอาจจะลืมแล้วก็เขียนไว้จดไว้แต่อย่าให้มันนอนตายอยู่ในสมุด ให้เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์อยู่ในการกระทำ อยู่ตลอดเวลาด้วย ขอแสดงความยินดีอนุโมทนาในการที่ได้พูดจากันและขอให้ก้าวหน้าในหน้าที่กิจการงานด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ