แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้รับประทานวิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไปในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุอาสาฬหบูชาดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบกันได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว โอกาสนี้จะได้วิสัชนา ในข้อธรรมะที่จะส่งเสริมการทำอาสาฬหบูชาให้มีผลยิ่งๆขึ้นไปจนถึงที่สุด ขอให้ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังให้สำเร็จประโยชน์ โดยเฉพาะท่านที่มาจากถิ่นไกลจะต้องได้รับประโยชน์เต็มถึงคุ้มกันกับการมา การกระทำในสถานที่เช่นนี้ ท่านทั้งหลายก็จะรู้สึกได้เองว่ามันผิดกับที่กระทำอย่างที่เคยทำมาในที่อื่นๆ คือทำในบ้านในเมือง บัดนี้มาทำในป่ามันก็เข้ารูปกันกับเรื่องของพระพุทธจริยา ดังที่เป็นมาแต่ครั้งพุทธกาล ขอให้ทำในใจเหมือนกับว่าได้ไปดูได้ไปเห็นกิจกรรมนั้นๆ ในสมัยครั้งพุทธกาลที่กระทำกันในป่า แล้วก็พยายามทำจิตใจให้เหมาะสมกันกับที่ว่าเราจะทำอย่างนี้คือทำในป่า ทีนี้เมื่อพูดถึงวันที่กำหนดไว้ วันนี้เรียกว่าวันอาสาฬหบูชา ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นวันที่ระลึกถึงพระธรรม วันวิสาขบูชาเป็นวันที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า เพราะวัน เพราะเป็นวันที่ประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน ส่วนวันอาสาฬบูชาเป็นวันที่ทรงแสดงพระธรรมเป็นครั้งแรก มีผู้รู้ธรรมเป็นครั้งแรก เลยเรียกว่าเป็นวันพระธรรม ต่อมาถึงวันมาฆบูชาเรียกว่าเป็นวันพระสงฆ์ คือมีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นคณะ เป็นคณะสงฆ์ที่เป็นปึกแผ่นแล้ว ประชุมกันเป็นครั้งพิเศษ มีพระพุทธองค์ทรงประทับเป็นประธาน แสดงโอวาทปาฏิโมกข์ เป็นการประดิษฐานคณะสงฆ์ลงในโลกนี้ นี่ขอให้จำความหมายของวันทั้ง ๓ วันนี้ไว้ให้เป็นอย่างดี คือวันวิสาหขบูชามาก่อน เป็นวันพระพุทธ วันอาสาฬหบูชาตามมาเป็นวันพระธรรม วันมาฆบูชาตามมาเป็นวันพระสงฆ์ บัดนี้กล่าวได้ว่าเรากำลังทำพิธีบูชาในวันพระธรรม บูชาแก่พระธรรม ดังนั้นเรื่องที่จะพูดกันให้เป็นพิเศษก็คือเรื่องพระธรรมนั่นเอง อาตมาก็จะได้วิสัชนาไปตามสติกำลังซึ่งยังมีน้อย แต่ถ้าท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้สำเร็จประโยชน์ก็อาจจะสำเร็จประโยชน์ได้เหมือนกัน เรากำลังพูดกันถึงเรื่องของพระธรรมในทุกแง่ทุกมุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่มุมที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนเองหรือแก่ท่านทั้งหลาย หรือแก่สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ว่าจะรับประโยชน์จากพระธรรมได้ในลักษณะเช่นไร เดี๋ยวนี้เขาจะวินิจฉัยกันในลักษณะที่เป็นเรื่องของคน เป็นเรื่องของมนุษย์ เป็นเรื่องของการดับทุกข์ของมนุษย์ ไม่ใช่เป็นเรื่องของพระคัมภีร์หรือสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมนุษย์ คำว่าพระธรรม พระธรรมนี่ มักจะได้ยินแปลกันว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่โดยเนื้อแท้นั้นคำว่าธรรม หรือธรรม หรือธรร-มะหรือธรรมะ(นาทีที่7:46) คำนี้ไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอน คำว่าศาสนะต่างหากที่แปลว่าคำสั่งสอน คำว่าธรรมะนี่แปลว่าทรงไว้ซึ่งผู้ปฏิบัติ ธาตุหรือใจความของคำว่าธรรมะนั้นคือคำว่าทรงไว้ ทรงไว้ ยกไว้ ชูไว้ ไม่ให้ตกจม พระธรรมจึงเป็นสิ่งที่ทรงผู้ปฏิบัติไว้ไม่ให้ตกจมลงไปในกองทุกข์ ฉะนั้นควรจะเข้าใจกันเสียใหม่ว่าคำว่าพระธรรมนั้นน่ะจะต้องแปลว่าข้อปฏิบัติ หรือความรู้ก็ได้ ข้อปฏิบัติก็ได้ที่ทำไห้ไม่จมลงไปในกองทุกข์ ทีนี้ถ้าจะขยายความออกไปให้เป็นเรื่องของธรรมดาสามัญ อะไรเล่าที่จะทำผู้ปฏิบัติไม่ให้จมลงไปในกองทุกข์ สิ่งนั้นก็คือหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ของเขานั่นเอง หน้าที่ของเขาที่ปฏิบัติดีแล้วนั่นเอง จะทรงผู้นั้นไว้ไม่ให้ตกจมลงไปในกองทุกข์ ดังนั้นในประเทศอินเดียเขาแปลคำว่าธรรมะนี้ว่าหน้าที่ หน้าที่ ในฐานะเป็นเจ้าของภาษาเก่าแก่โบราณแต่เดิมมา แปลธรรมะว่าหน้าที่ และถือว่าเกิดก่อนพระพุทธเจ้า เพราะคำว่าธรรมะนี่มนุษย์พูดกันแล้วตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังไม่เกิดและก็หมายถึงหน้าที่ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ เพื่อเอาตัวรอดหรือดับทุกข์ให้ได้ เมื่อพูดถึงหน้าที่ก็จะต้องรู้ให้ตลอดไปถึงข้อที่ว่ามันทรงผู้ทำหน้าที่ไว้ไม่ให้ตกจมลงไปในกองทุกข์ ดังนั้นท่านจงถือเอาความหมายนี้ให้ดีๆ แล้วเอาไปใช้ให้สำเร็จประโยชน์ตามนั้น คือทรงตัวท่านผู้ปฏิบัตินั้นไว้ไม่ให้จมลงไปในกองทุกข์ ดังนั้นเราจึงมีระบบที่จะต้องเรียนให้รู้ ให้เข้าใจ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามนั้นแล้วก็ดับทุกข์ได้ นี่คือพระธรรม ความรู้และการปฏิบัติที่ดับทุกข์ได้เรียกว่าพระธรรม ทีนี้ลองพิจารณาดูให้ดีเถิดว่าเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว มันเป็นหน้าที่หรือไม่ใช่หน้าที่เล่า เราต้องเรียนให้รู้ ต้องปฏิบัติให้ได้ ต้องดับทุกข์ให้ได้ การดับทุกข์นั้นเป็นหน้าที่หรือไม่ ทุกคนก็พอจะทราบได้เอง เว้นแต่มันไม่รู้อะไรเอาเสียเลยว่า หน้าที่ก็เป็นเรื่องที่ทำสำหรับเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มันก็ด้วย ด้วยกันนั่นแหละ หน้าที่สำหรับเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็เป็นธรรมะด้วยเหมือนกัน หน้าที่นั้นช่วยให้รอดชีวิต เมื่อมีชีวิตอยู่แล้วก็จะได้ปฏิบัติหน้าที่ที่สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปจนดับทุกข์ได้สิ้นเชิงเรียกว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน ท่านทั้งหลายจะต้องมองเห็น เข้าใจ ยอมรับ เชื่อว่าหน้าที่ของเรานั้นมีอยู่เป็น ๒ ชั้น หรือเป็น ๒ ระดับ หน้าที่อันดับแรกก็คือหน้าที่ที่จะต้องให้รอดชีวิตอยู่ได้ นี่ก็มีการกระทำที่มากมายกว้างขวางเหมือนกันที่จะทำให้รอดชีวิตอยู่ได้ ครั้นรอดชีวิตอยู่ได้แล้วก็มีหน้าที่ที่จะต้องดับทุกข์ด้วยประการทั้งปวง จนกว่าจะถึงสุดยอดของความดับทุกข์ ที่เรียกว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน นี่เข้าใจเสียอย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่าหน้าที่ หน้าที่แล้วเป็นธรรมะหมด เพราะว่าหน้าที่นั่นแหละช่วยไม่ให้จมลงไปในกองทุกข์หรือความตาย เมื่อปฏิบัติอยู่อย่างถูกต้องมันก็ไม่ตาย นับตั้งแต่ว่าต้องมีอาหารกิน จะต้องบริหารร่างกาย มีที่อยู่ที่อาศัยที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อบริหารร่างกาย การกินอาหาร การถ่ายอุจจาระ การถ่ายปัสสาวะ การเบ็ดเตล็ดทุกอย่างที่ทำนั่นแหละ มันช่วยให้รอดชีวิต ต้องจัดไว้ในฐานะเป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่เพื่อรอดชีวิต เมื่อเราได้ทำหน้าที่เหล่านี้โดยครบถ้วนแล้วมันก็รอดชีวิต รอดชีวิตแล้วยังจะต้องทำอะไรต่อไป ปัญหามันก็มีอยู่ว่าเขามีความทุกข์อย่างไรเหลืออยู่ มีปัญหาอย่างไรเหลืออยู่ ก็จะต้องกำจัดให้ความทุกข์นั้นให้หมดไป ทีนี้ก็กลายเป็นเรื่องทางจิตทางใจขึ้นมา คือเรื่องความโลภ ความโกรธ ความหลงหรือกิเลสอย่างอื่นต่างๆ นานาที่ทำให้เป็นทุกข์ ฉะนั้นจึงมีหน้าที่จะต้องดับเสียซึ่งกิเลสตัณหาเหล่านั้นเพื่อให้หมดจากความทุกข์ ทีนี้มันก็ต้องทำต่อไปอีกขั้นหนึ่ง ไม่ใช่ว่ามีเงินมาก มีอำนาจมาก มีอะไรมากแล้วจะไม่เป็นทุกข์ มันยังเป็นทุกข์อยู่ด้วยกิเลสตัณหานานา สารพัดอย่าง จะมีเงินสักเท่าไหร่ มีอำนาจสักเท่าไหร่ เกียรติยศชื่อเสียงสักเท่าไหร่ มันก็ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลงที่ทำให้เป็นทุกข์ อย่าว่าแต่มนุษย์ธรรมดาในโลกนี้เลย แม้พวกเทวดาในสวรรค์มันก็ยังเป็นทุกข์เพราะกิเลสตัณหานั้น ถ้ายังมีทุกข์อยู่โดยประการใด ก็ยังมีหน้าที่ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ สรุปความสั้นๆ ว่าธรรมะเป็นเครื่องดับทุกข์สำหรับผู้ที่มีความทุกข์ ถ้าใครมันโง่เหงา โง่เขลาจนถึงกับไม่รู้จักว่าเป็นทุกข์ มันก็ต้องทนทุกข์ไปโดยไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์ นี่เป็นของที่มีได้ มันไม่รู้จักว่าอันนี้เป็นความทุกข์มันก็ทนทุกข์ไป ทนทุกข์ไป อยู่อย่างเป็นทุกข์ไปจนตาย โดยไม่รู้สึกว่าทนทุกข์อย่างนี้มันก็ยังมี แต่เราคงจะไม่เป็นถึงอย่างนั้น ขอให้มองเห็นความทุกข์ที่มีอยู่จริง นับตั้งแต่ความรบกวนของนิวรณ์ทั้ง ๕ แล้วก็การแผดเผาของกิเลส โลภะ โทสะ โมหะทั้งสาม และความที่ยังละไม่ได้ ยัง ยังละไม่ได้ แม้พยายามอยู่ มันก็ยังมีกิเลสตัณหาซึ่งเหนียวแน่นมันก็เป็นความทุกข์ มองเห็นให้ชัดเสียก่อนว่าความทุกข์นั้นมีอยู่อย่างไร ถ้าไม่เห็นว่าเป็นความทุกข์ คือหรือมีความทุกข์มันก็ไม่ต้องทำอะไรในเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ เพราะธรรมะนี้มันเป็นเครื่องดับทุกข์โดยตรง เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่จะต้องรู้จักก็คือเรื่องความทุกข์นั่นเอง ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงนำมาตรัสเป็นเรื่องแรกของอริยสัจ ๔ คือเรื่องความทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ เรื่องทางให้ถึงความดับทุกข์ เป็น ๔ เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือเรื่องความทุกข์ ถ้าใครยังไม่มองเห็นว่าเป็นทุกข์หรือมีความทุกข์ ก็ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้องสนใจธรรมะหรอก คือมันสนใจไม่ได้หรอกเพราะมันไม่มีความรู้สึกว่าเป็นทุกข์ แต่โดยปกติพอจะเห็น พอจะรู้สึกกันได้ ไม่มากก็น้อย แล้วก็รู้จักมาก มากยิ่งๆขึ้นไป นิวรณ์รบกวนเป็นประจำวัน๕อย่าง คือ ความรู้สึกไปในทางกามารมณ์ทางเพศนี่อย่างหนึ่ง ความรู้สึกอึดอัดขัดใจไม่ชอบอะไรอย่างนี้อีกอย่างหนึ่ง การที่จิตหดหู่ถอยกำลังนี่อย่างหนึ่ง การที่จิตฟุ้งซ่านเตลิดเปิดเปิงไปนี่ก็อย่างหนึ่ง แล้วก็ความลังเลสงสัยในความปลอดภัย ไม่แน่ใจในความปลอดภัยในความถูกต้อง ไม่แน่ใจในการกระทำของตนว่าจะถูกต้อง มันก็ล้วนแต่เป็นเครื่องรบกวนจิตใจ อย่างนี้ต้องพยายามหาทางกำจัดให้หมดสิ้นไป ก็มาถึงกิเลสตัวใหญ่ๆคือ โลภะ มีความโง่ยึดถือตัวตนหรือเห็นแก่ตนมากมันก็มีความโลภที่จะเอามาเป็นของตน เมื่อไม่ได้อย่างใจมันก็เกิดความโกรธ และเมื่อไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแน่นอนมันก็สงสัยวนเวียนอยู่ที่นั่นเอง เรามีปัญหากันอย่างนี้ ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ถ้าไม่เข้าใจว่ามันมีปัญหาอยู่อย่างนี้ มันก็ไม่รู้ว่าจะเอาธรรมะไปทำอะไร เอาละที่นี้อาตมาจะช่วยบอกให้ บอกล่วงหน้าให้ว่าธรรมะนี่จะมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับทำให้ชีวิตนี้ไม่เป็นทุกข์ หรือว่าเมื่อเราจะต้องทำการงานในหน้าที่ของมนุษย์อยู่เป็นปกติ ถ้ามีธรรมะมันจะช่วยให้ไม่เป็นทุกข์ การงานที่เป็นทุกข์นั่นแหละถ้าทำจิตใจเสียใหม่ให้ถูกต้องมันก็จะไม่เป็นทุกข์ เพราะรู้สึกว่าไอ้การงานหรือหน้าที่นั้นมันเป็นธรรมะ ได้ประพฤติธรรมะก็พอใจ ก็ทำงานสนุกโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ แต่หลายคนคงไม่เชื่อ เพราะรู้จักแต่จะขี้เกียจในการงาน หลบหลีกในการงาน เห็นการงานเป็นของทนทรมานเหงื่อไหลไคลย้อย ก็เห็นว่าการงานนี่จะเป็นสุขไปไม่ได้ แต่จะขอบอกว่าถ้าดำรงจิตใจให้ถูกต้อง ให้มีความเข้าใจถูกต้องว่าหน้าที่การงานทั้งหลายนั้นเป็นธรรมะ คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด สิ่งที่จะช่วยให้เรารอดนั่นน่ะคือหน้าที่การงานนั่นเอง หน้าที่การงานนั่นแหละเป็นพระเจ้าที่จะช่วยให้รอด ก็เลยสนุกพอใจในการทำงาน ถ้าเหงื่อไหลออกมาก็รู้สึกพอใจว่าทำงานได้มาก เหงื่อมันก็กลายเป็นน้ำมนต์ที่เยือกเย็นรดบุคคลนั้นให้มีกำลังใจสำหรับที่ประพฤติปฏิบัติต่อไปยิ่งๆขึ้นไป มันก็เลยได้ผลเป็นการทำงานสนุก เป็นสุขอยู่ในการทำงาน นี่แหละดูให้ดีเถอะว่าใครบ้างที่ไม่ต้องทำงาน ถ้ายังต้องทำงานก็จงรู้จักทำจิตใจให้การงานนั้นเป็นที่ตั้งแห่งความพอใจ แล้วก็เป็นสุข เป็นสุขอยู่ในขณะที่ทำการงาน มีผลคือทำให้การงานนั้นทำได้มากแล้วก็ลุล่วงไปด้วยดีไม่มีปัญหา มีความสุขอยู่ตลอดเวลา นี่ขอให้ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะ ในลักษณะอย่างนี้กันเถิด ก่อนแต่ที่จะทำการงานก็รู้จักทำจิตใจอย่างนี้ จะได้ไม่เป็นทุกข์ เมื่อทำการงานอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยก็ระลึกให้ได้อย่างนี้แล้วก็จะได้ไม่เป็นทุกข์ ขอให้ใจ จำใจ กำหนดใจความสำคัญให้ได้ว่า ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ ถ้ารู้ถ้าเรารู้จักหน้าที่ในฐานะเป็นธรรมะแล้วจะทำงานสนุก พอใจอยู่ว่าได้ประพฤติธรรมะ คือความถูกต้องแล้วก็เป็นสุขเพราะความพอใจนั้น ความสุขย่อมเกิดมาจากความพอใจเท่านั้นน่ะ นี่ขอให้ช่วยจำไว้เป็นหลักทั่วไป สิ่งที่เรียกว่าความสุขนั้นจะมา จะต้องมาจากความพอใจ ถ้าพอใจน้อยก็ความสุขน้อย พอใจมากก็ความสุขมาก พอใจอย่างถูกต้องบริสุทธิ์ ก็เป็นความสุขที่ถูกต้องบริสุทธิ์ ถ้าเป็นความพอใจอย่างคดโกง อย่างบาป อย่างอกุศลมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น คือ คือมันเป็นความสุขชนิดที่หลอกลวง เป็นความสุขชนิดที่ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เรียกว่าความพอใจบริสุทธิ์ ความสุขก็บริสุทธิ์ ถ้าความพอใจไม่บริสุทธิ์ เพราะมันเป็นเรื่องบาปเรื่องอกุศล มันก็เป็นสุขชนิดของคนพาล ของคนอันธพาล เป็นความสุขชนิดที่เป็นบาป เป็นอกุศล แล้วมันก็ไปไม่รอด ในที่สุดมันก็จมอยู่ในกองทุกข์ ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกตดูให้ดีว่า เราเกิดมาแล้วต้องทำหน้าที่การงานเพื่อรอดชีวิต ทีนี้ธรรมะนั่นน่ะคือหน้าที่ ธรรมะนั่นแหละช่วยให้พอใจในการทำการงาน ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไปนึกถึงคนทำงานหนัก คนแจวเรือจ้าง คนถีบสามล้อ คนกวาดถนน ล้างท่อถนน คนทำงานหนักเหล่านี้ ถ้าเขาพอใจในหน้าที่นั้นๆ มันก็ไม่เป็นทุกข์ ก็ทำได้อย่างสนุกสนานร่าเริง เหมือนชาวอินเดีย ชาวนาทั่วๆ ไป ตักน้ำในบ่อขึ้นมารดนาได้ทั้งวัน ทั้งวัน ทั้งวัน ตลอดฤดู นี่มันไม่เป็นทุกข์ เพราะว่าเข้าไปในถิ่นนั้นได้ยินแต่เสียงร้องเพลง ทุกคนร้องเพลงแล้วก็ตัก ตักน้ำในบ่อขึ้นมารดนา ไหลไปตามหัวคันนา ลงปรี่ลงไปทั่วตลอดผืนนา ไม่มีความทุกข์เลย ตักน้ำทั้งวันทั้งวันกว่าจะหมดฤดูทำนา รุ่นทำนาครั้งที่ ๒ คือทำนาที่ไม่มีฝนน่ะ ก็ทำได้ดี ทำได้มาก ทำได้รอดตัว นี่ถ้าว่ามันพอใจในการทำงานแล้วมันก็ไม่เป็นทุกข์ ขอให้รู้จักทำให้การงานหรือหน้าที่นั้นเป็นความพอใจแล้วก็เป็นความสุข และเป็นความสุขที่ประหลาดที่สุด คือเป็นความสุขที่ไม่ต้องใช้เงิน ทำให้เกิดความพอใจได้ก็เป็นสุข ก็เป็นสุข อิ่มอยู่ด้วยความสุขไม่ ไม่ต้องการจะไปทำอบายมุขที่ไหนเพราะมันมีความสุขอย่างเต็มที่เสียแล้วในจิตใจ อิ่มอกอิ่มใจในการได้ทำหน้าที่การงาน ขอให้ทุกคนรู้จักสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่กับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ๒ สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกัน คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด ช่วยให้รอดชีวิตก็ทำหน้าที่แบบที่ช่วยให้รอดชีวิต ช่วยให้รอดจากความทุกข์ทั้งหลาย ก็ทำหน้าที่แบบให้บรรลุมรรคผลนิพพาน มันมีอยู่ ๒ขั้นตอนอย่างนี้ นี่คือพระธรรม วันนี้เป็นวันพระธรรม วันนี้เป็นวันพระธรรมขอให้นึกถึงพระธรรมว่าพระธรรมนั้นคืออะไร และให้รู้ได้ว่าเห็นได้แจ่มแจ้งว่าพระธรรมนั้นคือสิ่งที่จะช่วยให้รอด รอดทั้งชีวิตและรอดทั้งจากความทุกข์ชนิดที่เป็นกิเลสเป็นเรื่องของจิตใจ เรียกง่ายๆ ก็ว่าให้รอดทั้งทางกายและให้รอดทั้งทางจิต นี่คือธรรมะ เดี๋ยวนี้เป็นที่น่าเสียดายที่ว่าเราไม่สนใจธรรมะกันในลักษณะอย่างนี้ ไม่มีความรู้สึกอย่างนี้ต่อสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ สิ่งที่เรียกว่าธรรมะก็เลยไม่ค่อยจะมี ไม่รักที่จะทำการงานให้สนุกและเป็นสุขจนต้องมีคนอื่นมาชักชวน จนต้องมีโครงการหรือคณะไหนมาล่อหลอกให้ขยันทำงาน นึกแล้วก็น่าหัวที่ว่าเดี๋ยวนี้เขามีองค์การพัฒนา เป็นนักศึกษาบ้าง ไม่ใช่บ้าง องค์การเที่ยวพัฒนาตามถิ่นต่างๆ เมื่อดูโดยใจความแท้ๆแล้วก็คือเพื่อหลอกคนให้ทำงาน คนนั้นมันโง่สักเท่าไหร่ต้องให้คนอื่นมาหลอกให้ตัวทำงานเพื่อช่วยตัวเอง มันโง่กี่มากน้อย มันต้องมีคนมาหลอกให้ทำงานเพื่อช่วยตัวเอง นี่คือมันไม่มีธรรมะมันไม่รู้ธรรมะ เพราะถ้ามันรู้มันก็จะต้องทำงานสนุกสนานโดยไม่ต้องมีใครมาหลอก ถึงพวกเราก็เถอะ พระเณรนี่เถอะก็เป็นนักหลอกนะนี่ หลอกคนให้มีธรรมะ หลอกคนให้ทำงาน เพราะว่าเขาไม่ชอบ เขาไม่มี จะใช้คำว่าหลอกมันก็มากไปหน่อย แต่มันก็ยังอยู่ในเรื่องหลอกนั่นแหละ หลอกให้คนมีธรรมะหลอกให้คนรักษาศีล หลอกให้คนประพฤติธรรมะ มีหน้าที่หลอก เพราะว่าคนเหล่านั้นมันอยู่ในสภาพที่น่าสงสารเกินไป จนต้องมีคนมาหลอกให้ช่วยตัวเอง หลอกให้ช่วยตัวเองมันน่าสงสารเท่าไหร่ ก็ขอให้เข้าใจกันอย่างแจ่มแจ้งจนถึงกับว่าอย่าต้องมีการกระทำในลักษณะเช่นนี้เลย จงพอใจอย่างยิ่งในการทำสิ่งที่เป็นการช่วยตัวเองคือทำหน้าที่ของมนุษย์นั้น นี่ธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยผู้นั้นให้รอดจากความทุกข์ แต่เป็นสิ่งที่เขาจะต้องทำเอง มีพระบาลีอยู่แล้วว่ากิจกรรมนี้เป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายจะต้องทำเอง ตถาคตทั้งหลายเป็นแต่ผู้ชี้ทางเท่านั้น พระพุทธเจ้าจะมาช่วยทำให้ไม่ได้ ได้แต่เป็นผู้ชี้ทาง แล้วคนเหล่านั้นก็ทำเอง ทำหน้าที่ตามที่ชี้ทางแล้วก็ดับทุกข์ได้ ข้อนี้เป็นไปได้ทั้งฝ่ายเลี้ยงชีวิตอย่างชาวโลกและฝ่ายที่ดับกิเลสดับความทุกข์อย่างชาววัด พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงชี้ทางเรื่องเป็นอยู่อย่างอยู่กันในโลก ทางสังคมในโลกนี้ก็มีเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของท่าน หน้าที่โดยตรงของท่านก็จะช่วยชี้ในเรื่องของจิตใจที่เป็นนามธรรม เป็นด้านลึกคือเรื่องดับทุกข์หรือดับกิเลส ท่านก็ได้แต่เป็นผู้ชี้ทาง ตุมเหหิ กิจจัง อาตัปปัง ความเพียรเป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายต้องทำเอง อักขาตาโร ตถาคตา พระตถาคตทั้งหลายเป็นแต่ผู้ชี้ทาง เพราะฉะนั้นเราได้ยินได้ฟังมามากมายในเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะ แต่แล้วมันก็เป็นที่น่าสังเวชที่ว่าไม่ได้เอามาใช้เป็นประโยชน์อะไร ฟังไว้ในฐานะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็เกณฑ์ให้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เกณฑ์ให้ช่วยทั้งที่ไม่ต้องทำอะไร นี่เกณฑ์ให้พระธรรมมาช่วยทั้งที่ไม่ต้องทำอะไร อ้างให้พระธรรมเป็นของศักดิ์สิทธิ์แล้วก็มาช่วย อ้างพระพุทธเจ้าเป็นของศักดิ์สิทธิ์แล้วมาช่วย อ้างพระสงฆ์ให้เป็นของศักดิ์สิทธิ์แล้วมาช่วย อย่างนี้มันไม่ใช่ ไม่ใช่ความถูกต้อง ไม่ใช่เรื่องในพระพุทธศาสนา ความไอ้ ความศักดิ์สิทธิ์ เรื่องศักดิ์สิทธิ์ เรื่องช่วย ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยนั่นมันเป็นเรื่องของคนโง่ ที่มันช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วมันไม่มีความคิดนึกที่จะเข้าใจในการที่จะช่วยตัวเอง มันก็ยินดีทำพิธีรีตองตามแบบไสยศาสตร์ที่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วย แล้วมันช่วยได้กี่มากน้อยล่ะลองคิดดู อย่างมากก็จะทำให้สบายใจไปพักๆ หลอกให้สบายใจไปได้พักๆหนึ่ง มันช่วยไม่ได้จริง เพราะว่าสิ่งที่จะช่วยได้จริงนั้นคือหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่คือการงานที่จะต้องทำ เพื่อชีวิตรอดอยู่และเพื่อดับทุกข์ได้ด้วยโดยประการทั้งปวง หน้าที่คือสิ่งที่ต้องทำหรือจำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิตทำแล้วมันรอด ครั้นรอดแล้วมันก็ทำหน้าที่ที่สูงขึ้นไป ดับกิเลส ดับทุกข์ บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ถึงที่สุด สุดยอดของความเป็นมนุษย์ ไม่ ไม่มีอะไรจะไปอีกแล้ว เมื่อบรรลุ บรรลุนิพพานแล้วมันก็เป็นจุดจบที่จะไปยิ่งกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว ฉะนั้นขอให้มองดูให้ดีๆ อย่าเข้าใจผิดต่อสิ่งที่เรียกว่ามรรคผลนิพพาน คนสมัยนี้เห็นเป็นของเหมือนกับว่ามีไว้พอเป็นพิธี บางพวกก็ถือว่าไม่มีประโยชน์อะไร แม้ที่เป็นนักศึกษา ที่ที่เรียกตัวเองว่านักศึกษา หรือได้รับเกียรติยศว่าเป็นนักศึกษา มันก็ไม่รู้ว่าการบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นคืออะไร บางทีเอาไปหัวเราะเยาะล้อเล่นเสียด้วยซ้ำไป มันก็เลยเป็นหมันเปล่า ควรจะรู้ว่ามรรคผลนิพพานนั้นน่ะคือมันจุดขั้นสุดท้ายของมนุษย์ ของความเป็นมนุษย์จะต้องไปให้ถึง บรรลุมรรคผลนิพพานแล้วอยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง อยู่เหนือปัญหาทั้งปวง เป็นความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่านั้นแล้ว เรียกว่าจบกันที่นั่น วุสิตัง พรหมจริยัง ในบาลีเรียกว่าทางพรหมจรรย์จบแล้ว หมายความว่าการที่จะต้องทำเพื่อความดี ความงาม ความประเสริฐอะไร จบกันแค่นี้เอง คือการบรรลุพระอรหันต์เพราะความหมดกิเลส ทีนี้ก็มาดูกันถึงเรื่องที่ว่าวันนี้เป็นวันอาสาฬหะ มีความหมายสำคัญตรงที่ว่าพระพุทธองค์ ทรงแสดงอริยสัจ ๔ นำด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะว่าการจะเข้ามาสู่อริยสัจ ๔นั้นน่ะมันต้องมาด้วยทางอริยมรรคมีองค์ ๘ คืออย่าไปโง่หลงให้สุดโต่งในฝ่ายทำตนให้ลำบาก ในฝ่ายที่หลง หลง หลงใหลอยู่ในกามารมณ์ อย่าไปหลงอยู่ในกามารมณ์ซึ่งเรียกว่าปฏิปทาเปียกแฉะ แล้วก็อย่าไปหลงใหลในการทำตนให้ลำบากโดยไม่มีเหตุผลอะไร และมันไม่จำเป็นที่จะต้องทำตนให้ลำบาก ทำตนให้ลำบากเปล่าๆ เรียกว่าปฏิปทาไหม้เกรียม อาคาฬหปฏิปทา ปฏิบัติเพื่อทำตนให้จมอยู่ในกองกาม นี่เรียกปฏิปทาเปียกแฉะ ทีนี้ไปหลงตรงกันข้ามทรมานตนให้ลำบากโดยคิดว่าทำลายตน ทำลายตน ทรมานตนลงไปได้เท่าไหร่กิเลสจะลดน้องลงไปเท่านั้น ก็เลยบำเพ็ญตบะชนิดที่ทรมานตน นี่เรียกว่านิชฌานปฏิปทา ปฏิปทาไหม้เกรียม อย่างหนึ่งเปียกแฉะ อย่างหนึ่งไหม้เกรียมนี่ไม่เอา เอาแต่ที่ตรงกลางที่พอดี ผู้ที่ลุ่มหลงอยู่ในกามารมณ์เขาเรียกว่าปฏิบัติเปียกแฉะ ผู้ที่ทรมานตนให้ลำบากเปล่าๆ ก็เรียกว่าปฏิบัติไหม้เกรียม ๒ อย่างนี้เว้นเสียแล้วก็อยู่ตรงกลางเดินเข้ามาตรงกลางเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา คือการกระทำให้ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องทุกอย่างที่ควรจะถูกต้อง ในที่นี่พระองค์ตรัสว่าได้ ได้รู้พร้อมเฉพาะด้วยตนเอง ไม่ได้ฟัง ไม่ได้ยินได้ฟังมาแต่ผู้อื่น ทางถูกต้องนั้นมีอยู่ ๘ ประการคือ ถูกต้องของทิฐิ ความคิด ความเห็น ความเชื่อ ความเข้าใจ อะไรก็เรียกว่าทิฐินี่ถูกต้อง รู้อะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้อง ทีนี้ก็ถูกต้องต่อไปถึงไอ้ความต้องการ ความใฝ่ฝัน ความปรารถนา เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วมันก็ปรารถนาได้ถูกต้อง นี่เรียกว่าความถูกต้องของความต้องการ เรียกว่าสัมมาสังกัปโป เมื่อรู้อย่างนี้แล้วการพูดจามันก็ถูกต้องเรียกว่าสัมมาวาจา การกระทำทางกายก็ถูกต้องเรียกว่าสัมมากัมมันโต การเลี้ยงชีวิตก็ถูกต้องเรียกว่าสัมมาอาชีโว มันถูกต้อง แล้วก็ถูกต้องต่อไปถึงสัมมาวายามะคือความพากเพียร กำลังใจที่พากเพียรนั้นถูกต้อง มุ่งหมายถูกต้อง กระทำอย่างถูกต้อง อยู่อย่างถูกต้อง แล้วก็สติความระลึกควบคุมตนให้รู้สึกตัวอยู่เสมอนั้นก็ถูกต้อง อันสุดท้ายสมาธิคือความปักใจมั่นลงไปในความถูกต้อง ก็เลยเป็นความถูกต้อง๘ ประการ นี่เรียกว่าอัฏฐังคิกมัคค์ ก็คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั่นเอง ธรรมะที่จะต้องรู้ จะต้องประพฤติ จะต้องปฏิบัตินั่นเอง เป็นความถูกต้อง ๘ ประการช่วยจดจำไว้ให้ดีๆ ที่สวดมนต์กันได้อยู่ ท่องกันได้อยู่ก็มีอยู่มาก แต่บางคนก็ยังไม่เข้าใจชัด ก็เข้าใจเสียให้ชัดว่าต้องอยู่ด้วยความถูกต้อง ๘ ประการ ถูกต้องในความคิดเห็น ถูกต้องในความปรารถนา ถูกต้องในการพูดจา ถูกต้องในการประพฤติกระทำ ถูกต้องในการดำรงชีวิต ถูกต้องในความพากเพียร ถูกต้องในความมีสติ และถูกต้องในความมีสมาธิ นี่ ๘ถูกต้องนี่เป็นหัวใจเลิศสุดของพระธรรม แต่เราก็ไม่ได้สนใจให้สมกันกับที่เป็นของประเสริฐเลิศยิ่งเลิศที่สุด มีบาลีกล่าวว่า โย จะ พุทธัญญะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต นั่นน่ะ ผู้ใดถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ จัตตาริ อะริยะสัจจานิ สัมมัปปัญญายะ ปัสสะติ เห็นอริยสัจ ๔ อยู่ตามที่เป็นจริง ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง อะริยัญจัฏฐังคิกัง มัคคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง ความทุกข์ก็ดี เหตุให้เกิดทุกข์ก็ดี ความดับทุกข์ก็ดี มรรคมีองค์ ๘ ทำให้ถึงความดับทุกข์ก็ดี ผู้ใดเป็นอย่างนี้ เอตัง โข สะระณัง เขมัง นั่นเป็นสรณะอันประเสริฐ เอตัง สะระณะมุตตะมัง เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ ครั้นมีสรณะอย่างนี้แล้วจะดับทุกข์ทั้งปวง จะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นวันที่พระองค์ทรงนำมาแสดงในวันนี้ ในวันคล้ายวันนี้แต่เราเรียกว่าวันนี้กันจน จนเคยชินไปแล้ว วันนี้คือวันวิสาขะ วันอาสาฬหะน่ะ ที่จริงมันก็คือวันคล้ายกับวันนี้ วันคล้ายกับวันนี้คือเป็นวันเพ็ญอาสาฬหะ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงปฐมเทศนาเริ่มด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการแล้วแสดงอริสัจ ๔ ซึ่งก็ประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ประการอีกนั่นเอง ไปๆ มาๆ มันก็สำคัญอยู่ที่อริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ การรู้เรื่องดับทุกข์ ทุกข์ยังไม่ดับ ต้องมีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ประการ ทุกข์จึงดับ รู้เรื่องทุกข์ ทุกข์ก็ยังไม่ดับ รู้เรื่องสมุทัยทุกข์ก็ยังไม่ดับ รู้เรื่องทุกขนิโรธ ทุกข์ก็ยังไม่ดับ แต่ต้องปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการนี้ให้ครบถ้วนให้สมบูรณ์แล้วทุกข์ก็จะดับ พระองค์ทรงแสดงในวันที่คล้ายกับวันนี้ คือวันที่พระจันทร์เพ็ญในกลุ่มหมู่ฤกษ์ หมู่ดาวฤกษ์ชื่ออาสาฬหะ ที่เรียกว่าอาสาฬหะน่ะเป็นชื่อดาวหมู่หนึ่ง พระจันทร์เข้าไปเพ็ญในระหว่างที่อยู่ในกลุ่มดาวฤกษ์นี้แล้วก็เรียกว่าเพ็ญอาสาฬหะ คือวันคล้ายกับวันนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงถือเอาวันที่คล้ายกับวันนั้นประกอบพิธีอาสาฬหบูชา ขอให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง มุ่งหมายอย่างถูกต้อง ประพฤติกระทำ กระทำให้ถูกต้อง อย่าให้เป็นเหมือนนกแก้วนกขุนทอง อย่าให้เป็นเหมือนหุ่นยนต์ แล้วแต่เขาจะชักไป คือเราจะต้องมีจิตใจ เข้าใจอย่างชัดเจน อย่างถูกต้องว่าวันนี้มันมีความสำคัญอย่างไร ก็มีความสำคัญว่าทรงแสดงเรื่องดับทุกข์ด้วยประการทั้งปวง แล้วก็ดับทุกข์นั้นน่ะคือดับอย่างไร คือเดินตามอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้วก็จะดับทุกข์ได้ นี่คือธรรมะที่เป็นเครื่องดับทุกข์ เป็นพรหมจรรย์ที่จะเป็นเครื่องดับทุกข์ แล้วก็เป็นหน้าที่ของมนุษย์ ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อดับทุกข์นี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์ดับทุกข์ของมนุษย์ไม่ได้แล้ว ก็จะเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ มันก็สักแต่ว่าเกิดมาเท่านั้นเอง ฉะนั้นขอให้สนใจในอริยมรรคมีองค์ ๘ โดยรายละเอียดหาศึกษาได้จากหนังสือหนังหา มีคัมภีร์ที่ได้กระทำกันขึ้นไว้ แต่มีคนสนใจน้อยมาก ขอให้ไปสนใจกันเสียใหม่ในเรื่องอัฏฐังคิกมัคค์ ความถูกต้อง ๘ ประการนั้น พอรู้สึกว่าถูกต้องก็พอใจ พอพอใจก็เป็นสุข มันก็อยู่ด้วยความสุข ไม่ต้องไปกินเหล้าเมายาหาความสุขอะไรอีก เพราะมันเป็นสุขเสียแล้ว ข้อนี้มีความสำคัญขอให้สนใจ ถ้ามันเป็นสุขและพอใจเสียแล้ว มันไม่ต้องไปสูบฝิ่นกินยา ไม่ต้องไปเสพเฮโรอีน ไม่ต้องไปกามารมณ์เริงรมย์อะไรที่ไหนอีก เพราะมันเป็นสุขเสียแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้ทำให้ได้ชนิดที่มันเป็นสุขเสียแล้ว คือพอใจในธรรมะที่ตนประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างถูกต้อง ไม่ว่าผู้หญิงไม่ว่าผู้ชาย มีการปฏิบัติธรรมะอยู่อย่างถูกต้อง แล้วพอใจ แล้วเป็นสุข มันก็ไม่มีความคิดที่จะไปเล่นไพ่หรือว่าจะไปดื่มน้ำเมา ไปเที่ยวกลางคืนหรือไปทำอะไรต่างๆอย่างที่เขากระทำกัน ซึ่งคนเหล่านั้นเขาก็ว่าเขาไปหาความสุขในบ่อนการพนัน ในเที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น หรือแม้แต่สุขจากกินกันใหญ่ สนุกสนานด้วยการกินเพื่อหาความสุข จนกระทั่งได้เป็นโรคเพราะการกิน ขอให้ดูให้ดี มันเป็นเรื่องของความผิดคือมันไม่ถูกต้อง ถ้ามันถูกต้องมันก็แก้ปัญหาได้ ฉะนั้นเราจงอยู่ด้วยความถูกต้องชนิดที่แก้ปัญหาของเราได้อยู่ทุกวันๆ อย่าให้ถึงกับใครต้องให้มีใครมาจ้างหรือมาหลอกให้ทำงานเพื่อช่วยตัวเอง เป็นเรื่องที่กำลังมีปัญหา ประชาชนบางแห่งบางถิ่นต้องไปช่วยหลอกให้ทำงานเพื่อช่วยตัวเอง ให้พัฒนาเพื่อช่วยตัวเอง นี่มัน มันไกลไปเสียมากแล้ว มันไกลจากธรรมะไปเสียมากแล้ว ถ้ารู้จักว่าธรรมะคือหน้าที่ก็ไม่ต้องหลอก เพราะรักธรรมะก็ทำหน้าที่ เมื่อทำหน้าที่มันก็รอด รอดทั้งทางกายและรอดทั้งทางจิต ความรอดในพุทธศาสนานี่รอดเพราะการปฏิบัติถูกต้อง ไม่ต้องพึ่งพาผีสางเทวดา พระเจ้า พระอะไร แต่ประการใด ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอกเหล่านั้นแต่ประการใดและจัดไว้ว่าเป็นไสยศาสตร์ ไม่มีเหตุผลเป็นเรื่องของคนที่ประกอบอยู่ด้วยอวิชชา มองเห็นชัดว่าหน้าที่ที่ทำลงไปอย่างนี้มันมีผลอย่างนี้ หน้าที่ทำลงไปอย่างนี้มันมีผลอย่างนี้ ชัดเจนอย่างนี้ แล้วก็มันได้รับผลนั้น สักรอด รอด รอดชีวิตก็รอด รอดจากกิเลส รอดจากความทุกข์ก็รอด รอดจนถึงที่สุดเลย ความรอดในพระพุทธศาสนามีมาจากการกระทำอันถูกต้อง คือธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ขอให้เข้าใจคำว่าธรรมะไว้ในฐานะเป็นสิ่งที่ช่วยให้รอด อย่ามัวหลอกลูกเด็กๆ ว่าธรรมะคือคำสั่งสอนมันยิ่งเข้าใจผิดกันใหญ่ ธรรมะมันคือสิ่งที่ช่วยให้รอด คำสั่งสอนน่ะมีคำอื่นใช้ คือคำว่าศาสนะบ้าง อะไรก็ยังมีอีกหลายคำ แปลว่าคำสั่งสอน แต่ตัวธรรมะที่แท้จริงไม่ใช่ตัวคำสั่งสอน เป็นตัวหน้าที่ เป็นตัวความรู้แล้วปฏิบัติตามหน้าที่ รู้แล้วปฏิบัติตามหน้าที่นั่นแหละคือตัวธรรมะ นั่นเรียกสั้นๆว่าหน้าที่ก็แล้วกัน รู้เรื่องหน้าที่ แล้วก็ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง สมบูรณ์ไปด้วยความถูกต้องก็พอใจ พอใจแล้วก็เป็นสุข ยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นคือสวรรค์ในชั้นต้น ใครอยากได้สวรรค์ที่แท้จริงที่นี่และเดี๋ยวนี้จงกระทำหน้าที่ของตน อย่าให้บกพร่องจนยกมือไหว้ตัวเองได้นั่นแหละคือสวรรค์ที่แท้จริงที่นี่และเดี๋ยวนี้ สวรรค์ต่อตายแล้วนั้นน่ะมันก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์นี้แหละ ถ้ายกมือไหว้ตัวเองได้มีสวรรค์ที่นี่และตายแล้วไม่ต้องสงสัย ก็ต้องได้สวรรค์แน่นอน แต่สวรรค์ต่อตายแล้วยังไม่ต้องนึกถึงก็ได้ นึกถึงแต่สวรรค์ที่นี่ที่จะทำให้ตัวเองยกมือไหว้ตัวเองได้ ทำการงานตลอดวันถูกต้องตลอดวัน พอค่ำลงจะนอนก็ใคร่ครวญดู โอ้,มันมีแต่ความถูกต้องแล้วก็ยกมือไหว้ตัวเอง พอใจ อิ่มอก อิ่มใจ เป็นสวรรค์เสียก่อนแต่จะนอนแล้วก็นอนหลับ นี่สวรรค์จริง สวรรค์ไม่หลอก สวรรค์ชนิดที่เป็นสันทิฏฐิโก มองเห็นได้ด้วยตนเอง แต่ว่าจะต้องเพิ่ม เพิ่มการยกมือไหว้ขึ้นอีก อีก อีก อีกอย่างหนึ่งน่ะนะ เขาจะยกมือไหว้พระพุทธทีหนึ่ง ยกมือไหว้พระธรรมทีหนึ่ง ยกไหว้พระสงฆ์ ยกมือไหว้พระสงฆ์ทีหนึ่ง นี่ขอแถม พบว่ายกมือไหว้ตัวเองอีกทีหนึ่ง ถ้ายกมือไหว้ตัวเองนั่นแหละคือจริง ไอ้ยกมือไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์น่ะ โดยมากเป็นแต่พิธีทั้งนั้นแหละ ทำพอเป็นพิธีทั้งนั้นแหละไม่มีความรู้สึกในใจอะไร แต่ถ้าสามารถยกมือไหว้ตัวเองได้นี่ไม่ใช่พิธี เพราะมันต้องมองเห็นเสียก่อนว่าได้ทำถูกต้องอย่างไรจึงยกมือไหว้ตัวเองได้ ก็เลยเป็นการยกมือไหว้ที่จำเป็นกว่า หรือว่าการยกมือไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์น่ะมันรวมอยู่ในการยกมือไหว้ตัวเอง ตัวเองประพฤติถูกต้องตามคำของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วมันจึงจะยกมือไหว้ตัวเองได้ ทีนี้ยกมือไหว้ตัวเองได้ เท่ากับไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และไหว้ทุกสิ่งที่ควรจะไหว้ ขอให้พยายามเถอะ ให้พอใจในตัวเอง มีความสุข พอถึงปิดวันหนึ่งจะสิ้นวันแล้ว จะหลับจะนอนแล้วก็ใคร่ครวญดูให้ดี ให้พบแต่ความถูกต้อง พอใจ ยกมือไหว้ตัวเอง อย่างนี้เรียกว่ามีสวรรค์ที่แท้จริงไปพลาง ไปพลาง แล้วก็เลื่อนขึ้นไป เลื่อนขึ้นไป คือว่า ให้ความถูกต้องนั้นมันเลื่อนชั้นขึ้นไป ถูกต้องเลื่อนชั้นขึ้นไปจนเป็นความถูกต้องที่ทำลายกิเลส ที่ละกิเลส ทำกรรมฐาน ทำวิปัสสนา ทำอะไรก็แล้วแต่ที่มันเป็นการละกิเลส แล้วมันก็จะไปถึงจุดจบ ดับทุกข์ทั้งปวงได้ นี่คือว่ามีพระธรรม มีพระธรรมคือความถูกต้อง พระธรรมคือความถูกต้อง ในการรู้และในการปฏิบัติที่ถูกต้องเรียกว่าพระธรรม ถ้าถามว่าพระธรรมคืออะไรก็อยากจะให้ถือกันว่าพระธรรมคือความรู้และการปฏิบัติที่ถูกต้องที่ดับทุกข์ได้ อย่าพูดสั้นๆ ง่ายๆ โง่ๆ ว่าพระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่ได้บอกว่าสอนว่าอะไรนั่นน่ะมันเป็นเรื่องที่น่าสงสาร ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอะไร บอกแต่ได้ว่าพระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่จริงมันก็ไม่ถูกทั้งพยัญชนะและอรรถะ โดยพยัญชนะตัวธรรมะไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนเลย แปลว่าสิ่งที่ทรงผู้ปฏิบัติไว้ ธร (ธะ-ระ) แปลว่าทรงไว้ โดยความหมายก็คือว่าช่วยดับทุกข์ได้ จงบอกเด็กๆว่าธรรมะน่ะคือความรู้และการปฏิบัติที่ถูกต้อง ที่ดับทุกข์ได้ นี่สอนเด็กๆ ให้มันรู้แต่ว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันก็ตายด้านอยู่แค่นั้นเอง ไม่รู้ว่าสอนว่าอะไร นี่คนแก่คนเฒ่า พระเจ้า พระสงฆ์ ช่วยระวังให้ดีๆ ช่วยพูดกันเสียใหม่ให้ถูกต้องว่าธรรมะนั้นคืออะไร แล้วสอนเด็กๆ ให้มันเข้าใจอย่างถูกต้องไปเสียแต่แรก มันก็จะเริ่มมีธรรมะจะเริ่มมีจุดตั้งต้นของธรรมะ ที่จะได้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไปตามหนทางของธรรมะในพระพุทธศาสนา สรุปเป็นใจความเรียกว่า อัฏฐังคิกมัคค์ มัคค์แปลว่าหนทาง หนทางประกอบด้วยความถูกต้อง ๘ ประการ หนทางนั้นคือสิ่งที่ประกอบด้วยความถูกต้อง ๘ ประการ มีจิตใจรู้และปฏิบัติตามนั้นแล้วเรียกว่าเดินไปตามทางนั้น ไปถึงจุดหมายปลายทางคือความดับทุกข์ได้โดยประการทั้งปวง เอาล่ะวันนี้เราก็มาทำพิธีประกอบพิธีอาสาฬหบูชา เป็นที่ระลึกแก่พระธรรมอีกครั้งหนึ่งในวันนี้ อีกครั้งหนึ่งในวันนี้ ขอให้พระธรรมเป็นพระธรรม ให้พระธรรมได้เป็นพระธรรม คือเป็นความถูกต้องที่อยู่ที่เนื้อ ที่ตัว ที่กาย ที่วาจา ที่ใจนั่นแหละ พระธรรมจะเป็นพระธรรม ทำแต่เพียงเป็นพิธีนั้นน่ะมันก็ได้ผลน้อยมาก บางทีก็จะน่าหัวเราะด้วยซ้ำ แต่ก็มีประโยชน์ในข้อที่ว่าหากกระทำให้มันย้ำ ให้มันแน่น มากทั้งทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจ เช่นจะทำพิธีเวียนประทักษิณอาสาฬหบูชาอย่างที่จะทำในวันนี้ ก็ขอให้ทำด้วยจิตใจที่แจ่มแจ้งถูกต้องในสิ่งที่เรียกว่าพระธรรม มีความแจ่มแจ้งอย่างนี้อยู่ในใจแล้วถือธูปเทียนเดินเวียนประทักษิณนั่นแหละสมบูรณ์ที่สุด แต่ถ้าจิตใจเลื่อนลอยไม่รู้อะไรอยู่ที่ไหน มันก็เป็นพอพิธีข้างนอกเท่านั้นเอง อย่างดีจะมีประโยชน์แก่ลูกเด็กๆ พอจะได้จำไว้ว่าเขาทำกันอย่างนี้ เป็นจุดตั้งต้น ถ้าจะทำให้เป็นประโยชน์โดยแท้จริงแก่ทุกคนแล้ว ทุกคนจงมีจิตใจเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าพระธรรม ดังที่อาตมาได้กล่าวมาแล้ว มีความเข้าใจแจ่มแจ้งนั้นอยู่ในจิตใจ สงบสติอารมณ์เป็นสมาธิ แม้กำลังเดินอยู่ แม้กำลังเดินอยู่ สงบสติอารมณ์เป็นสมาธิ ในความถูกต้อง ๘ ประการนั้น มีสติเดินด้วยใจที่รู้สึกอยู่ต่อทางถูกต้อง ๘ ประการนั้น นี่เรียกว่าทำกรรมฐานเมื่อเดิน ทำกรรมฐาน ทำวิปัสสนาเมื่อเดิน เมื่อเดินก็ทำได้อย่างนี้ จิตใจมีกำหนดถูกต้องอยู่ จะเดินอยู่ จะนั่งอยู่ จะนอนอยู่ จะยืนอยู่ก็เรียกว่าเป็นการทำทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ประหลาดมากมายยิ่งกว่านั้นว่า เมื่อมีจิตเป็นสมาธิประกอบด้วยฌานอย่างนี้เรียกว่า เมื่อเดินอยู่ก็เรียกว่าจงกรมทิพย์ เมื่อนั่งอยู่ก็เรียกว่าอาสนะทิพย์ เมื่อนอนอยู่ก็เรียกว่าเสนาสนะทิพย์ เดิน ยืน นั่ง นอน เป็น เป็นที่นั่ง ที่นอน ที่ยืน ที่เดิน ทิพย์ทั้งนั้นเลย หมายความว่ายังไม่ ไม่ถึงขั้นพระอรหันต์ ยังเป็นเพียงชั้นทิพย์ หรือว่าชั้นที่ดีกว่าธรรมดา กว่าธรรมดา อย่างมากก็จะเรียกว่าเป็นเทวะ เทวดาในชั้นพรหม ไม่หลงในกามารมณ์ ไม่มีกามารมณ์มาเกี่ยวข้อง อยู่แต่กับด้วยธรรมะที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็เรียกว่าเป็นเทพชั้นพรหม เป็นเทวดาชั้นพรหม มีจิตเป็นสมาธิ เดิน ยืน นั่ง นอน อยู่ ก็เรียกว่าเป็นพรหม เดิน ยืน นั่ง นอน อยู่ นี่ขอให้นึกถึงข้อนี้แล้วเอาข้อนี้มาใช้ ในการที่จะเดินเวียนประทักษิณ ให้จิตใจแจ่มแจ้งอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ก็จะเป็นวิปัสสนายิ่งกว่าเรื่องทิพย์ๆ นั้นเสียอีก ถ้าเราไม่มีทำอะไรเพียงแต่กำหนดอยู่ด้วยฌาน มันก็เป็นทิพย์ เดินทิพย์ นั่งทิพย์ นอนทิพย์ ยืนทิพย์ แต่ถ้าว่ามันมีจิตใจแจ่มแจ้งอยู่ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ มันกลายเป็นเรื่องของวิปัสสนา รู้เรื่องความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทำให้ถึงความดับทุกข์ มันก็เลยดีกว่ากันอย่างมากมาย จึงขอให้ท่านทั้งหลายมีจิตที่ตั้งไว้ดี แจ่มแจ้งอยู่ในอริยสัจ ๔หรือในอริยอัฏฐังคิกมัคค์ก็ตาม แล้วก็เดินเวียนประทักษิณ จะเป็นการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาในขณะเดินนั้นด้วย ได้ผลมาก และจะเป็นการบูชาพระคุณของพระศาสดาอย่างสูงสุดในขณะนั้นด้วย มันก็ ก็มีประโยชน์เหลือที่จะกล่าวแล้ว นี่เป็นการแสดงธรรมเทศนาเพื่อให้รู้ให้เข้าใจ เพื่อเป็นการเตรียม เตรียม เตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้เหมาะสมที่จะประกอบพิธีอาสาฬหบูชาที่นี่ในวันนี้ ให้เข้าถึงแก่นสารของเรื่องในลักษณะเช่นนี้ แล้วก็จะกล่าวได้ว่าได้ผลคุ้มค่า แม้จะมาจากที่ไกล ให้ไกลกว่านี้สัก ๓-๔ เท่าก็คุ้มค่า ร้อยเท่าพันเท่าก็คุ้มค่า ถ้าหากสามารถทำจิตใจได้อย่างนี้แล้วเดินเวียนประทักษิณ การแสดงธรรมเทศนานี้สมควรแก่เวลาแล้ว สมควรแก่อัตภาพร่างกายที่กำลังไม่สบาย นี่ปวดสะเอวเต็มทนแล้ว เลยต้องขอยุติการเทศนา ขอให้ได้ผลเป็นที่หวัง ได้ว่า ท่านทั้งหลายมีใจถูกต้องแจ่มกระจ่างในเรื่องของพระธรรมคือหน้าที่คืออริยอัฏฐังคิกมัคค์ใช้ได้เป็นหลักทั่วไป เคารพบูชาในพระธรรมนี้ แสดงอาการเคารพบูชาทุกวิถีทาง โดยปากก็พูดกล่าวตามคำบูชา โดยกิริยาอาการก็เดินเวียนประทักษิณสูงสุด โดยจิตใจก็น้อมระลึกนึกถึงอยู่ในจิตใจอย่างแจ่มแจ้ง เรียกว่าบูชาครบทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งจิตใจ เป็นการรวบรัดอย่างยิ่งที่ให้สิ่งที่เรียกว่าความถูกต้องนั้นมามีอยู่ในตัวเรา อาตมาขอยุติการบรรยายธรรมเทศนา ด้วยความสมควรแก่เวลา และจะได้เตรียมการพิธี บูชาสืบต่อไปในบัดนี้ เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้.