แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะได้พูดโดยหัวข้อว่า ศาสนา อ่า, ในฐานะเป็นวัฒนธรรมขั้นสุดท้าย ก็เพื่อว่า เพื่อเราจะได้ ไม่ประมาท หรือปล่อยให้มันเป็นเรื่องที่น่า ละอายหรือว่าบกพร่อง เป็นต้น คำว่า วัฒนธรรม นั้นขอให้ถือ เอาใจความว่า เออ, ขั้น เออ, ความเจริญของมนุษย์ ตั้งแต่แรกตั้งต้นที่สุด และถือขึ้นมาตามลำดับ นั้นคือรู้อะไร ทำอะไรได้สูงขึ้นมาตามลำดับ ตามลำดับ และเท่าที่ สังเกตดูเห็นได้ว่า เรื่องศาสนานั้นเป็นขั้นสุดท้าย อ่า, ของวัฒนธรรม
เพราะเมื่อเรื่องของศาสนาเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่มีการเจริญอะไรจะสูงยิ่งขึ้นไปกว่านั้น จะทำอะไรได้ ถัดออกไป มันก็ไปรวมอยู่ในวัฒนธรรมขั้นต้น ๆ ที่เป็นเรื่องทางวัตถุเกือบทั้งนั้น อาจจะเข้าใจคำว่า นี่วัฒนธรรมนี้ผิดกันอยู่บ้าง บางทีคำบรรยายในหนังสือนั้นเอง มันไม่ค่อยจะตรงกัน แต่ขอถือเอาใจความ สำคัญว่า ความเจริญ ก้าวหน้าของมนุษย์ เป็นขั้นตอน ขั้นตอนมา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ จะพบว่า อือ, คำว่า ไถ ไถนา นั่นแหละ เป็นคำ ๆ เดียวกันกับคำว่า วัฒนธรรม คำว่า Culture นั้นนะ เป็นชื่อของไถ ไถนา
ข้อนี้พอจะอธิบาย ได้ว่า มนุษย์เมื่อยังเป็นคนป่า เออ, ก็ เที่ยวหาอาหารกินไปแต่ละวัน ละวัน เออ, ครั้นเมื่อรู้จักอยู่เป็นหลักแหล่ง เพราะคนมันมากเข้า เพราะอาหารในป่ามันไม่พอ มันก็ต้องทำการเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์ จนมาถึงวันหนึ่ง มันคิดออกมันเอา เครื่อง คือ ประกอบเครื่อง เครื่องมือที่จะใช้ไถนา ประกอบ เป็น คันไถ ที่ถูกคงจะเป็นเพียงไม้งอ ๆ อันหนึ่ง ผูกเข้ากับสัตว์ให้สัตว์ลากไป ก็เรียกว่า ไถ อย่างภาษาไทย แต่คำนั้นนะคือ คำว่า Culture
คำว่า Culture แปลว่า ไถ ถือเป็น อ่า, จุดตั้งต้นแห่งความคิดและการกระทำ ที่ได้เรียกว่า วัฒนธรรม ของมนุษย์ และต่อมามันก็เริ่มคิดนั่นคิดนี่ออกเรื่อยมา เรื่อยมา เป็น ลำดับ เป็นลำดับก็ล้วนแต่ เป็นวัฒนธรรม กระทั่งรู้จัก เออ, มีระเบียบ การปกครอง เออ, มีหนังสือใช้ แล้วก็มีวิชาการต่าง ๆ ตามลำดับที่ธรรมชาติ มันจะบังคับให้มี วิชา อ่า, แขนงหนึ่ง แขนงหนึ่งก็เรียกว่า วัฒนธรรมขั้นหนึ่ง ๆ แล้วแต่จะกำหนดเอาอะไร เป็นหลัก เมื่อไร ข้อนี้เราไม่ต้องการรู้รายละเอียดที่ชัดเจนอะไรแน่นอนนัก นอกจากว่า ความเจริญนั้นได้เป็น มาตามลำดับ ตามลำดับ
จนมาถึงเรื่องทางจิตใจ ทางจิตใจรู้จักคิดนึก เพื่อจะระงับความเดือดร้อนในทางจิตใจ เมื่อมนุษย์ไม่รู้ เรื่องธรรมชาติ อย่างถูกต้อง ว่าเป็นอะไร อ่า, ก็เห็นไอ้สิ่งประหลาดมหัศจรรย์เหล่านั้น ในฐานะเป็นอะไรก็ไม่รู้ หรือก็ให้ความหมายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นผี เป็นคำว่า ผีนั้นจะเกิดขึ้นก่อน มีคำว่า เทวดา หรือ อะไรเกิดตามมา นี้มีปัญหานิดหนึ่งว่า ทางจิตใจ ต้องหาวิธีแก้ไข และสอนให้มีความเชื่ออย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เพียงแต่มีความเชื่อ แล้วให้ทำพิธี พิธีกรรมอย่างนั้นอย่างนี้ นี่มันเรื่องจึงได้เป็นรูปร่างของศาสนาขึ้นมา แม้ในขั้นที่เรียกว่า ศาสนา นี้ก็ไม่ใช่มีขั้นตอนเดียว มันมีมีมาเรื่อย ๆๆ เปลี่ยนแปลงเป็นปราณีตขึ้น ดีขึ้นมา สูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อย ๆ อ่า, แต่ถึง อย่างนั้นเราก็ยังเรียกว่า ศาสนา อยู่นั่นเอง มนุษย์ก็ มาถึงที่สุดของวัฒนธรรม ด้วยเรื่องทางจิตใจที่แก้ปัญหา ของตน ของตนได้
ทีนี้สิ่งที่เรียกว่า ศาสนานั้นมันก็มี หลายรูปแบบนะ ในยุคสมัยเดียวกันก็มีหลายรูปแบบ ที่ต่างยุค ต่างสมัย มันก็หลายรูปแบบ แต่ทั้งหมดนั้นมันก็ยังไม่พ้นจากความหมาย ของคำว่า ศาสนา คือ เครื่องที่จะ บำบัดความทุกข์ ในทางใจ อ่า, นั่นเอง นี้เราก็ไม่รู้จะเอาคำ ไหน มาเป็นคำยืนรวมเป็นหลัก เพื่อจะรู้จักสิ่งนั้น มันต่างก็ ดีด้วยกันทั้งนั้น อย่างภาษาไทยเราเรียกว่า ศาสนา อย่างนี้มันก็ใช้ได้ คือ เป็นคำสั่งสอนที่ผู้รู้สอนให้ คนที่ไม่รู้ สำหรับปฏิบัติตาม แล้วก็ได้ความสบายใจ ผลสุดท้ายมันอยู่ที่ความสบายใจ รอดจากความทุกข์ ทางใจ มันต้องการอย่างนั้น ก็เรียกว่า ศาสนา มันก็ได้
แต่ถ้าในอินเดีย เท่าที่สอบสวนดูมันไม่ได้เรียกว่าศาสนา เรียกว่า ธรรม ธรรมะ ธรรมะ หรือธรรม ในภาษาไทยเรานี้ สอนธรรมให้ เมื่อศึกษาและปฏิบัติแล้วก็ดับความทุกข์ที่รบกวนในทางจิตใจ นี้ก็เรียกว่า ธรรม นี่เท่าที่เรารู้ ธรรมที่เรารู้ นี้ภาษาฝรั่งมันจะใช้กันก่อนโน้นอย่างไรก็รู้ไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ในปัจจุบันนี้ เขาใช้คำว่า Religion Religion คือ คำว่า Re Reli นี่แปลว่า การทำความผูกพัน ซึ่งเขาอธิบายว่า ผูกพันระหว่าง มนุษย์กับพระเจ้า ด้วยการปฏิบัติ บางยุคก็แปลคำนี้ว่า การทำความผูกพันกับพระเจ้า บางยุคแปลว่า การปฏิบัติ อ่า, ตาม อ่า, คำของพระเจ้า เมื่อรวมกันแล้วก็จะได้ความเต็ม ๆ ว่า ปฏิบัติเพื่อให้เกิดการผูกพันระหว่างมนุษย์ กับพระ พระเป็นเจ้า
นี่คือ วิธีที่จะทำให้มนุษย์ถึง พระเป็นเจ้านั่นเอง เพราะเขามีหลักอย่างนั้นเป็นศาสนาชนิดที่ มี อ่า, พระเป็นเจ้านะเป็นหลัก เรื่องนี้ก็ได้พูดวันก่อนแล้ว แต่ขอทบทวนอีกวันนี้ก็ได้ว่า เดี๋ยวนี้ศาสนาทั้งหมด ในโลกจะมีกี่ ๑๐ ศาสนาก็สุดแท้ จะแบ่งได้เป็น ๒ พวก ก็คือพวกหนึ่งถือว่ามีพระเจ้าสร้าง เรียกว่า กลุ่ม เออ, Creationist เออ, ผู้ที่มีความเชื่อว่า มีการสร้างโดยพระเจ้า มีหลาย ๑๐ ศาสนานะ ทั้งเล็กใหญ่จนถึงศาสนาที่มี ชื่อเสียงโด่งดัง เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม เป็นต้น
พวกหนึ่งไม่ถือว่ามีพระเจ้าสร้าง แต่เป็นวิวัฒนาการของธรรมชาติ อ่า, หรือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นไปตามกฏวิวัฒนาการของธรรมชาติ เกิดมีมนุษย์เกิดอะไรขึ้นมา นี่ก็เรียกว่า พวก Revolutionist แล้วก็อย่า ลืมว่า พวกเราชาวพุทธนี่ เขาจัดไว้ให้เป็นพวก Revolutionist ไม่ไม่ถือว่ามีใครสร้างหรือมีพระเจ้าอะไรสร้าง เป็นเพียงวิวัฒนาการตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ถึงแม้ว่า ในพวกที่ถือว่ามีพระเจ้าสร้าง มันก็อธิบายต่าง ๆๆ กัน ตามระบบของตน ของตน ของตน เช่น ในอินเดียก็มีพระเจ้าอย่าง พระพรหม พระอิศวร พระนาราย หรือก่อนหน้านั้นก็มีพระอาทิตย์ มีอะไรหลายยุคหลายสมัย พระเจ้าก็ได้มีขึ้นหลายชุด หลายยุค แล้วบางทีก็ รวม ๓ องค์ ให้เป็นองค์เดียว อย่างนี้ก็มี
มันก็เลยมีศาสนาแบบมีพระเจ้าสร้างในอินเดียก็หลายศาสนา ทางตะวันตกออกไปเป็น อ่า, เป็นที่สุด (นาทีที่ 13:17) ก็มี ศาสนายิว ศาสนาคริส ศาสนาพรหมณ์ (นาทีที่ 13:27) หรือศาสนาอิสลาม ก็ล้วนแต่มี พระเจ้านะ แล้วก็ไม่ ถ้ามันมาเครือเดียวกันก็เรียกชื่อพระเจ้าองค์แรกเหมือนกัน มีความหมายเดียวกัน แต่ว่าตามภาษาของตน ของตน หมายถึง พระเจ้าที่สร้างนี้ จะเรียกพระเจ้านั้นว่า ยาฮาเว ยาโฮวา พระอราห์ (นาทีที่ 13:44) หรือพระอะไรก็สุดแท้ เป็นพระเจ้าผู้สร้างทั้งนั้น ก็มีขนบธรรมเนียมประเพณี ที่จะต้องปฏิบัติ บูชา บวงสรวง อ้อนวอนให้พระเจ้า โปรดปรานนี่
ทีนี้ อ่า, พุทธศาสนาเกิดขึ้นมา เป็นธรรมะ คล้ายกับแหวกแนวออกมา ไม่มีพระเจ้าผู้สร้าง มีแต่กฏของ ธรรมชาติ เป็นกฏอิทัปปัจจยตา นะที่เคยพูดให้ฟังมา อ่า, กันจนมากมายแล้ว ที่เกิดของเหตุปัจจัยที่มันเป็น ปัจจัยแก่กัน แล้วก็ได้เกิดผลขึ้นมากลายเป็นเหตุ เกิดเป็นผลขึ้นมากลายเป็นเหตุ เกิดเป็นผลขึ้นมากลายเป็นเหตุ เป็นอย่างนี้เรื่อยไป เรื่อยไป ยืดยาว จนเกิดของใหม่ ๆ จนกระทั่งเกิดมนุษย์ แต่ถ้าเป็นฝ่ายศาสนาที่มีพระเจ้า ผู้สร้างนั้น เขาก็ถือว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาเลย แต่ส่วนพุทธศาสนานี้ อธิบายได้ตามหลักของวิทยาศาสตร์ ในปัจจุบัน ที่ว่ามันมีวิวัฒนาการ ๆๆ ขึ้นมาตาม อ่า, ตามเหตุตามปัจจัยขึ้นมาจน จนกระทั่งเกิดมนุษย์
นี่ก็มี เรื่องที่ อ่า, ควรจะวินิจฉัยนะ ว่าอันไหนมันจะก่อนหลังกัน เรื่องนี้ก็ไม่ค่อยอยากจะพูด เพราะมัน กลายเป็น ดูหมิ่นดูถูกศาสนาอื่น ศาสนาที่ถือพระเจ้าสร้างกับศาสนาที่ถือว่าวิวัฒนาการนี้ อ่า, ใครเกิดที่หลัง กว่ากัน คือ ใครเป็น Primitive กว่านั้นนะ อ่า, ใครจะเป็นไอ้โลก (นาทีที่ 16:12) เจริญแล้วกว่า อ่า, โดยสติปัญญาของคนทั่วไป มันก็จะต้องพูดว่า อ่า, ที่ที่ถือว่ามีพระเจ้าผู้สร้างมันจะมีอยู่ก่อน เพราะมันง่ายดี มันตามความเชื่อ อ่า, ที่เกิดขึ้นมาได้เอง โดยความกลัว สิ่งที่มองไม่เห็นตัวและก็มีอำนาจเหลือประมาณ โดยเฉพาะเขาเล็งกันถึงเรื่อง ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า น้ำท่วม ไฟไหม้ ก็ขนาดที่เรียกว่า ล้างโลกกันที นี่มันก็มีความเชื่อว่า มีผู้สร้าง
ทีนี้ต่อมาก็มีศาสนาที่ ไม่ ไม่ยอมรับอย่างนั้น แต่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการตามธรรมชาติ เช่น เออ, ศาสนาพุทธ ศาสนาอื่น ๆ เช่น เต๋า เป็นต้น หรือศาสนาใดที่มันเครือเดียวกัน ที่มันมันไม่มีพระเจ้านั้น ทีนี้บังเอิญว่าศาสนาบางศาสนา ทีแรกก็ไม่มีพระเจ้า ทีหลังมาอธิบายเป็นพระเจ้า กันในตอนหลังนี้ ก็ยังมีเช่นนะ ศาสนาไชนะ เป็นต้น พวกนี้คู่แข่งกับพุทธศาสนามาเรื่อย ๆ เป็นคู่แข่งกับพระพุทธเจ้ามาเรื่อย ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่า ไม่มีทางที่จะถือพระเจ้าหรอก เขาประกวดกัน ประชันกันด้วยหลักปฏิบัติ ว่าต้อง ปฏิบัติอย่างนี้ ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ต้องปฏิบัติอย่างนี้ จึงจะสิ้นกิเลสและสิ้นทุกข์ นั่นนะพวกที่ไม่มีพระเจ้า
ทีนี้มันก็มาดู ว่าหลักปฏิบัติจะต้องเป็นอย่างไร หลักปฏิบัติจะต้องเป็นอย่างไร นี่เขาเชื่อว่ามีพระเจ้า เป็นสิ่งสูงสุด มันก็ต้องปฏิบัติตามคำของพระเจ้า ทีนี้ใครยินคำพระเจ้า ใครยินคำพระเจ้าพูด มันก็ไม่มี มันมี แต่สมมุติ เรื่องขึ้นมาว่า คนนั้นคนนี้ได้ยินพระเจ้าพูด คือ พระศาสดานั่นแหละ ได้ยินพระเจ้าพูด รับคำสั่ง มาจากพระเจ้า อ่า, ก็เลยเอามาพูด เป็นคำของพระเจ้า ผ่านมาทางคนผู้พูดนั้น แล้วต้องเลยทำตามคำพูดนั้น ปฏิบัติตามนั้น ก็ไปอ่านดูในเรื่องของ ศาสนาฮินดู ศาสนาคริส ศาสนาอิสลามดู ว่าเขาจะต้องปฏิบัติกันอย่างไร
แต่สรุปความแล้วก็คือ ปฏิบัติตามพระเจ้า ประสงค์ให้ทำ ให้เชื่อ อย่างสุด สุดยอดนะ อ่า, เชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างเรามา อ่า, ความเจ็บ ความ ความเจ็บ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายก็เป็นเรื่อง พระเจ้า บันดาลให้เป็น ดังนั้นเรื่องหายก็เป็นเรื่องบันดาลพระเจ้า ให้เป็น ก็เป็นอย่างนี้ไปหมด เป็นกลุ่มนี่ ไปเลย หลักปฏิบัติมันจึงมีการบูชา บวงสรวง อ้อนวอน ขอร้องพระเจ้า แล้วก็มีการหยอดท้ายอยู่ด้วยว่า ถ้าทำผิดคำสั่งไปแล้วก็ไปขอแก้บาป สัญญาว่าจะกลับตัว อันนี้ก็น่าน่า เออ, ก็น่าสนใจอยู่ เพราะว่ามันจะมีกัน ทุกศาสนาก็ได้
ทีนี้ฝ่ายศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า เลยถือว่าเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ ก็ต้อง ค้นคว้าเสาะหาความจริง เกี่ยวกับกฏธรรมชาตินั้น ว่ามีอย่างไร พบเท่าไรก็ลองปฏิบัติดู จนกระทั่งเป็นที่พอใจ ยุติลงไปได้ว่าเท่านี้ ดับทุกข์ได้ เท่านี้ดับทุกข์ได้ เท่านี้หมดทุกข์สิ้นเชิงเป็นนิพพาน อย่างนี้ มันก็ได้มีการปฏิบัติชนิดที่ระวัง ให้ถูกต้อง อ่า, ตามกฏของธรรมชาติ ตามที่ค่อย ๆ รู้ ค่อย ๆ รู้ เพิ่มเติมขึ้นมา เพิ่มเติมขึ้นมา จนถึงคนสุดท้าย คือ พระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้ จนถึงที่สุดว่าต้องทำอย่างนี้ โดยเฉพาะก็คือ รู้เรื่องอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท แล้วดำเนินตนอยู่ในอริยมรรค มีองค์ ๘ นี่หัวใจมันมีเท่านี้นะ คุณกำหนดไว้ดี ๆ แล้วเอาไป ไปทำให้มัน สมบูรณ์ รู้เรื่องอิทัปปัจจยตา ว่าความทุกข์เกิดเพราะเหตุปัจจัย เพราะเหตุปัจจัย เพราะเหตุปัจจัย อย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น
ทีนี้เราจงปฏิบัติตนให้อยู่ ในทางแห่งอริยมรรค มีองค์ ๘ ข้อแรก สัมมาทิฏฐิ คือ รู้เรื่องนั้น รู้เรื่อง ความทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไร แล้วปรารถนาที่จะดับทุกข์นั้นเสีย แล้วก็มีความเป็นอยู่ที่ถูกต้อง ในการที่ดับทุกข์ นั้นเสีย ทั้งทาง อ่า, วาจา ทางกาย ทางการเลี้ยงชีวิต มันก็เพิ่มสติมากเข้า สมาธิมากเข้า มันก็เลย ได้รับผลเป็น ความดับทุกข์ เพราะปฏิบัติถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ อ่า, ชนิดที่ไอ้ความทุกข์จะเกิดขึ้นไม่ได้ มันเป็นเรื่องขั้นจิตใจ จึงเป็นเรื่องการทำให้ถูกต้องจริง ๆ ในขั้นจิตใจ ดำรงจิตใจไว้ในลักษณะที่ความทุกข์ เกิดไม่ได้ อย่างเด็ดขาดแน่นอนจนตลอดกาล นี่คือหลักของศาสนาฝ่ายนี้ ฝ่ายที่ถือว่า เป็นวิวัฒนาการ อ่า, ของธรรมชาติ
นี่ถ้าทำผิดมันก็เกิดผลอย่างหนึ่ง ทำถูกมันเกิดผลอย่างหนึ่ง นี่สัจจะก็ (นาทีที่ 23:24) มีเท่านี้ ถ้าทำถูก ตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติเกี่ยวกับจิตใจแล้ว ความทุกข์ก็ไม่เกิดขึ้นในจิตใจ แล้วก็ไม่เกิดตลอดไปจนถึงที่สุด มันก็พอแล้ว มันก็ไม่ต้องการอะไรมากกว่านั้น นี่มีความแตกต่างกันอยู่เป็น ๒ อย่าง คือ ระหว่างศาสนาที่มี พระเจ้าผู้สร้าง กับศาสนาที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการของธรรมชาติ ไปคิดดูเอาเองว่าศาสนาไหน ควรจะมา จะเป็นศาสนาที่มาทีหลัง นี่คือ สูงกว่านะ คิดดูได้เอง แล้วก็ระมัดระวัง อย่าทำให้ผิดไปจากกฏของธรรมชาติ เพราะถ้าทำผิดมันลงโทษให้ทันที คือ เป็นทุกข์ มันเข็ดหลาบ เปลี่ยน อ่า, เปลี่ยนจนกว่ามันจะถูกนะ
นี่ถ้าเปรียบในระยะสั้นในเรื่องทางวัตถุง่าย ๆ อย่างนี้ก็ได้ เช่นว่า เด็ก ๆ ทารกเกิดมาจากท้องแม่ มันไม่รู้อะไรเลย มันก็ทำผิด ๆ จนเป็นอันตรายอย่างนั้นอย่างนี้ เจ็บปวดอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อมามันก็รู้สิ มันก็รู้สิ เช่นว่า แมงป่องนี้ไปจับไม่ได้อย่างนี้มันก็ หรือว่าไฟนี้ไปจับไม่ได้อย่างนี้ มันก็ค่อยรู้ ๆๆๆ ในเรื่องทางวัตถุนั่น มันก็รู้ ๆๆ จนปลอดภัยนี่ แต่เรื่องในทางจิตใจนี้ยังก่อน ต้องเกิดใหม่อีกทีหนึ่ง เพื่อจะศึกษาเรื่องทางจิตใจ คำว่า เกิดใหม่ในลักษณะอย่างนี้ คือว่า มามาศึกษาในเรื่องทางจิตใจ ซึ่งเขาจะถือคำพูดอันนี้กันเกือบจะทุก ศาสนาก็ว่าได้ ต้องเกิดใหม่นะ จึงจะเข้าในโลกของพระเจ้า ที่จะไปสู่โลกของพระเป็นเจ้าได้ กระทั่งว่าแม้แต่ ในที่สุดแต่ว่าจะรู้จักธรรมะ ของพระเป็นเจ้า แล้วจะต้องเกิดใหม่มีการเกิดใหม่ คือ มันมีความหมายว่า เปลี่ยนจิตใจเสียสิ เลิกโง่เสีย ให้คนโง่นั้นมันตายเสียเกิดเป็นคนฉลาด นี่ก็อาจจะรู้ไอ้เรื่อง ธรรมะนั้นได้
นี่คำว่า เกิดใหม่ อย่างนี้มีความหมายมาก และก็จำเป็นมาก ที่ทุกคนจะต้องเกิดใหม่ ละ มิจฉาทิฏฐิ ความโง่เง่า อ่า, เก่าก่อนนี้เสียแล้วมามีจิตใจใหม่ พร้อมที่จะฟัง พร้อมที่จะศึกษาและปฏิบัติไป ถ้าเป็นอย่าง ศาสนามีพระเจ้าก็มาเชื่อพระเจ้าสิ เลิกเชื่ออย่างอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้า ถ้าเป็นพุทธศาสนา ก็เชื่อกฏแห่ง อิทัปปัจจยตา นี่ กฏของธรรมชาติ ไม่ต้องเชื่อสิ่งอื่น นี่ก็แปลว่า เปลี่ยนระบบกันใหม่ แล้วมันเกิดใหม่ทั้่งนั้น ก็เรียกว่าตรัสรู้ ตรัสรู้ คือ มีแสงสว่างเกิดขึ้นถึงที่สุด เรียกว่า ตรัสรู้ คำภาษาฝรั่งมันก็เป็นคำพูดที่ดีนะ อ่า, ได้ มีใจความเข้าใจง่าย Enlightened Enlightened แล้วก็ว่ามีสว่างมากขึ้น มากขึ้นถึงที่สุดแล้ว Enlightened ก็แปลว่า ตรัสรู้
นี่เป็นการละอวิชชา ความมืดหมด คือ เกิดแสงสว่างขึ้นมาแทน ก็รู้ได้ตามความจริงว่า อะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอะไร จึงรอด รอด จึงรู้หลัก อ่า, ของศาสนาของตนของตน แล้วก็อาจจะปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามศาสนา นั้น ๆ ได้โดยง่าย แล้วแต่ว่าจะถือศาสนา ประเภทไหน นี่รู้ถึงหลักสำคัญแห่งศาสนาของตนของตน แล้วก็จะ ปฏิบัติให้ได้รับผลได้
อ่า, ทีนี้ อ่ะ, ที่เราจะต้อง คอยสังเกตระวังต่อไป สำหรับผู้ที่ถือศาสนา พุทธนะ ศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า แต่มีแต่กฏ ความจริงของธรรมชาตินี่ จะต้องทำอย่างไร มีหลักการอะไรเป็นหลักไอ้ใหญ่หรือสำคัญนั้นนะ นี่มันเป็นหลักอย่างเดียวกันกับหลักวิทยาศาสตร์แห่งสมัยปัจจุบัน คือ จะต้องค้นคว้า พิสูจน์ ทดลอง สิ่งนั้น อ่า, จนรู้ประจักษ์ถึงที่สุดว่ามันเป็นอย่างไร บางอย่างก็ได้ลองทำดู บางอย่างก็เพียงแต่ศึกษาดู ก็พอจะรู้ได้ ว่าถ้าทำลงไปอย่างนี้ผลจะเกิดขึ้นอย่างไร ถ้าทำลงไปอย่างนี้ผลจะเกิดขึ้นอย่างไร ถ้าปล่อยให้จิตคิดไปอย่างนี้ ผลจะเกิดขึ้นอย่างไร ถ้าปล่อยให้จิตคิดไปอย่างนี้ผลจะเกิดขึ้นอย่างไร ถ้าควบคุมจิตไว้ให้คิดอย่างนี้ อย่างนี้ อ่า, ผลจะเป็นอย่างไร แล้วมันจะพิสูจน์ด้วยตัวเอง ว่ามันดับทุกข์ได้นั้นแหละ คือ ถูกต้อง ไม่ต้องเชื่อตามใคร มันพิสูจน์ว่าดับทุกข์ได้นั่นแหละถูกต้อง
อย่างเรื่องกาลามสูตร ที่ได้เคยพูดให้ฟังในวันก่อน หลายวันก่อนนั้น ก็ดูที่มันดับทุกข์ได้ มันเป็น ความถูกต้อง ไม่ต้องเชื่อแม้แต่คำผู้สอน ไม่ต้องเชื่อแม้แต่พระคัมภีร์หรือพระไตรปิฎก แต่จะเอามาพิจารณาดู ถ้ามันดับทุกข์ได้แล้วจึงเชื่อ ไม่ต้องเชื่อทันที หรือไม่ต้องเอาพระไตรปิฎกมาข่มบังคับให้เชื่อ แต่ก็ยอมรับฟัง ใครพูดก็ยอมรับฟัง แม้เขาจะแตกตื่นเล่าลือกันมาอย่างไรก็รับฟังแต่ไม่เชื่อ เรียกว่า ยังไม่เชื่อเท่านั้นแหละ เอามา อ่า, ใคร่ครวญ พิสูจน์ ทดลองดู จนเห็นว่ามันจะดับทุกข์ได้ มันจะมีประโยชน์ จึงลองดู
ถ้ามันดับทุกข์ได้มันมีประโยชน์ เอ้า, ก็เลยรับเอาไว้เป็นหลักธรรมะที่ถูกต้องประจำตน นี่คือวิธีปฏิบัติ อ่า, เพราะว่าพระไตรปิฎก หรือหรือคัมภีร์ศาสนาไหนก็ตาม มันมีคนเขียนขึ้นทั้งนั้นแหละ แล้วก็ก็บอกว่า เขียนตามคำพระศาสดากล่าว หรือที่ได้เห็นมาด้วยตนเอง ไอ้คัมภีร์พุทธศาสนานี้ อ่า, ว่าได้ เออ, ได้ได้เขียน ไปตามที่ ผู้ได้ฟังจากพระศาสดาบอกทีหนึ่ง คือ เมื่อพระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ ท่านได้ตรัสอย่างไร ก็มีพระ พระสาวกเหล่านั้นจำไว้ จำไว้ พอพระพุทธเจ้า ปรินิพพาน ไอ้สาวกเหล่านั้นก็ประชุมกัน สอบสวนข้อความ ที่ต่างคนต่างจำไว้นั้นว่ายุติถูกต้องอย่างนี้ อย่างนี้ แล้วก็จำไว้เป็นหลัก ครั้งนั้นไม่มีการเขียนแต่เราใช้ท่องจำไว้ เป็นหลัก พร้อม ๆ กันทุกคนท่องจำไว้เป็นหลัก คือ เขียน อ่า, ในใจ ต่อมาอีกหลายร้อยปี จึงมีการเขียนเป็น ตัวอักษร ก็มีโอกาสที่จะผิด พลาดคลาดเคลื่อนได้บ้างเป็นธรรมดา
ทีนี้ถ้าเป็นฝ่ายคัมภีร์อื่น นี่เขาก็มีว่า พระเจ้า ตรัสหรือพูดกับคนคนใดคนหนึ่ง คนนั้นก็จำไว้ แล้วก็ บอกต่อ ๆ กันมา หรือว่าในยุคพระเยซูนี้ก็มีสาวก ที่เขียนไปตามความรู้ความสังเกตเห็น เท่าที่จำได้ เท่าที่ได้ยิน อ่า, ซึ่งส่วนมากก็ไม่ค่อยได้เห็นเอง ก็แปลว่า เขียนไป อ่า, โดยถือว่าพระเจ้าบันดาลให้เขียน พระเจ้าบันดาลให้ เขียน ก็เป็นคำที่ถูกต้อง เหมือนกับคำสั่งจากพระเจ้าโดยตรง ลักษณะอย่างนี้ไม่มีในพุทธศาสนา แต่จะใน ศาสนาที่มีพระเจ้า ทุกศาสนาเขาต้องว่า เขียนไปตาม อ่า, คำบันดาล อ่า, การบันดาลของพระเป็นเจ้า บันดาล ให้คนใดคนหนึ่งเขียน
ซึ่งเราจะถือว่า แม้ตัวหนังสือนั้นจะว่าอย่างไร ก็ตามเถิด ถ้า ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามันจะดับทุกข์ได้ แล้วเราก็ยังไม่เอา มาใคร่ครวญดูด้วยสติปัญญาอันละเอียด ลึกซึ้ง แยบคาย ที่เรียกว่า ยถาภูตสัมมัปปัญญา (นาทีที่ 34:13) ที่เน้นเรื่องการค้นคว้าพิสูจน์ ทำแบบวิทยาศาสตร์ ว่าถ้าสิ่งนี้มันจะ มันอาจจะเกิดผลอย่างนี้จริง ก็ทดลองดู ทดลองดู การปฏิบัตินั้นเป็นการทดลองดู พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ทำอย่างนี้นะ ทดลองดู ทดลองดู ทดลองดู จนทุกสิ่งทุกอย่าง อ่า, ปรากฏ เป็นความจริง ก็รู้ว่าอะไรมันให้เกิดทุกข์ อะไรมันดับทุกข์ ท่านก็เก็บไว้
แต่เรื่องดับทุกข์นี่ เอามาสอนสาวกให้รู้แล้ว ปฏิบัติตาม ๆ กันมา แล้วยังสอนไว้ว่า ให้ไม่ควรจะถือ เอาด้วย อาการ ๑๐ อย่าง อย่างกาลามสูตร นี้ แต่ให้ใช้สติปัญญาพิจารนาดู อ่า, ถ้ามีเหตุผลที่ควรจะทดลอง ก็ทดลอง ทดลองแล้วได้ผลก็รับเอา เออ, ถือเป็นหลักที่ใช้ได้ นี่มันเป็นลักษณะการต่าง การแตกต่าง คือว่า ฝ่ายที่ถือว่าพระเจ้าสั่งให้เขียนนั้นนะ ห้ามวิพากวิจารณ์ อย่างใดหมด ต้องเชื่อตามนั้นหมด แต่ฝ่ายที่ถือว่า กฏธรรมชาติบันดาล ให้เป็นไปนี้ให้พิสูจน์ทดลองได้ทุกอย่าง ทุกประการ ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงที่สุด มันต่างกัน อย่างนี้นะ
นี้ถึงอย่างนี้มันก็เป็นวัฒนธรรมของมนุษย์ด้วยกันนะ จะเป็นศาสนา ชนิดไหน ก็ตั้งอยู่ในฐานะเป็น วัฒนธรรมขั้นสุดท้าย อ่า, ของมนุษย์ ที่ถ้าเมื่อได้รู้เรื่องทางจิตใจ เออ, เป็นที่พอใจแล้วมันก็หยุด นี่คือ วัฒนธรรม ศาสนาในฐานะที่เป็นวัฒนธรรม ขั้นสุดท้ายของมนุษย์ แม้ต่อไปนี้มันจะคิดอะไรอีก แล้วมันก็เป็น เรื่องทางวัตถุ เป็นเรื่องที่ต่ำลงไป เช่นอย่างว่า เดี๋ยวนี้เขา เขาไปโลกพระจันทร์ได้ หรือทำอะไรได้อย่างนี้ มันเป็นวัฒนธรรมไอ้ทางวัตถุต่ำ ต่ำลงไปนี้ มันไม่ใช่เรื่องทางจิตใจ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปแตกตื่นหรือตื่นตูม กับความก้าวหน้าในทางวัตถุ เอ่อ, ของวิทยาศาสตร์ หรือของอะไรก็ตาม
เห็นว่า มันดับทุกข์ได้แหละ จึงจะเอาด้วย นี่ที่ความก้าวหน้าชนิดมากมายน่าประหลาด น่ามหัศจรรย์ มันไม่ดับทุกข์หรอก มันจะเพิ่มปัญหามากขึ้น ยุ่งยากลำบากมากขึ้น อย่างนี้ก็ไม่ต้องเอา มันจะไม่มีที่สิ้นสุด มันจะหนัก หนักเข้าไป ลึกเข้าไป ในการที่จะดับทุกข์ เป็นปัญหาที่ไกล ออกไปอีก อ่า, เพราะว่าไปหลงในสิ่งที่ มันก้าวหน้า อ่า, ในทางวัตถุ นี่ถือเป็นหลักไว้ว่าเป็นเรื่อง ทางใจ ดับทุกข์ทางใจ ถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของ ธรรมชาติ อ่า, ซึ่งเรียกในพระพุทธศาสนาว่า กฏของอิทัปปัจจยตา ปฎิจจสมุปบาท นี่ ดังนั้นทุกคนสนใจเรื่อง ปฎิจจสมุปบาท ในฐานะที่เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาจนแตกฉาน
ทีนี้วิธีปฏิบัติ เพื่อจะสกัดกระแสแห่งการเกิดความทุกข์ชนิดนั้นนะ ก็คือการปฏิบัติตาม อริยมรรค มีองค์ ๘ การ ก็ต้องศึกษาอีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องอริยมรรค มีองค์ ๘ ประการ นี่เป็นอยู่อย่างที่มีอริยมรรค มีองค์ ๘ ประการนั้นแล้ว โอกาสที่จะทำผิดกฏธรรมชาติมันก็ไม่มี อ่า, สัมมาทิฏฐิ ตัวแรกตัวนำนั้นนะ มันสำคัญ ที่สุด มันจะตัดปัญหา อ่า, ทั้งหลายออกไปเสียหมดสิ้น จริง ๆ ก็ทำอะไรถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ไปจนถึงที่สุด สัมมาทิฏฐิ ตัวเดียวนำหน้า แล้วก็ทำอะไรถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องหมดถึงที่สุด จนเกิด ความดับทุกข์ ที่ถูกต้องจริง ๆ นี่รวมความว่า ไอ้เรื่องหัวใจของศาสนาก็คือเรื่องอิทัปปัจจยตา กับเรื่อง อริยมรรค มีองค์ ๘ นั่นเอง นี่ขอให้สนใจตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะดับทุกข์ได้เป็นพระอรหันต์ ถ้ายังไม่เป็น พระอรหันต์ อยู่เพียงใด ก็สนใจ ศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติต่อไป จนกว่ามันจะเป็นพระอรหันต์ หรือจะตายเสีย นี่เรียกว่า วัฒนธรรมของมนุษย์
อ่า, ขอให้หลับตามองว่า ไอ้มนุษย์ทีแรกที่สร้างขึ้นมานั้นนะ แม้ผ้าก็ไม่ได้นุ่ง พระเจ้าสร้างขึ้นมา ตามคัมภีร์ของพระเจ้า อยู่ ๆ พระเจ้าก็สร้างมนุษย์ขึ้นมาไม่นุ่งผ้า แล้วก็ไม่เคยรู้อะไร ทำอะไรผิด ๆ ถูก ๆ กันมาเรื่อย จนกว่าจะเกิดพระเยซู ผู้ถ่ายทอดคำสอนของพระเจ้า ลงมาถึงมนุษย์ ที่ได้รู้กันมาจนบัดนี้ เป็นวัฒนธรรมทางจิตใจอย่างหนึ่ง
ทีนี้พระศาสนา ก็เป็น เป็นเรื่องที่บุคคล ที่เผชิญกันเข้ากับความทุกข์ แล้วก็ค้นหาเหตุ ต้องมาค้นหา เหตุอย่างนี้ พบแล้วก็ ถือไว้เป็นหลัก พบแล้วก็ถือไว้เป็นหลัก มากเข้า มากเข้าจนสมบูรณ์ สมบูรณ์ เป็นเรื่อง ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ก็บรรลุนิพพาน ก็เป็นรูปแบบหนึ่ง ก็เป็นวัฒนธรรมอันหนึ่งเหมือนกัน เป็นวัฒนธรรม ทางจิตใจ หรือเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมขั้นสุดท้ายนะ นับตั้งแต่มนุษย์เริ่มรู้จักไถนา มาจนรู้จักทำพระนิพพาน ให้แจ้ง เราก็รวมอยู่ในพวกเหล่านั้นแหละ ไอ้เราทุกคนก็รวมอยู่ในพวกเหล่านั้น อ่า, พวกที่มีปัญหาอย่างนั้น มันก็เลยอยาก แก้ไขปัญหานั้น ๆ คือ ดำรงจิต ไว้ในลักษณะที่ไม่เป็นทุกข์ พูดโดยใจความ ก็เท่านี่ดำรงจิต ตั้งจิตไว้ในลักษณะไม่เป็นทุกข์มันก็แล้วกัน ทำไม่ถูกก็ทำใหม่ ทำไม่ถูกก็ทำใหม่ ถูกน้อยอยู่ก็ทำให้มากขึ้น ถูกน้อยอยู่ก็ทำให้มากขึ้น มันถูกผิวเผินก็ทำให้ลึกขึ้น ทำให้มันลึกขึ้น ไม่เท่าไรก็ถึงที่สุด มันไม่มีอะไร หรือไม่มี ทางอื่นใด เออ, ที่มนุษย์จะเอาความ เอาชนะความทุกข์ได้ จะเอาชนะความทุกข์ได้ นอกจากปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ อันเกี่ยวกับความทุกข์นั้น ๆ กฏเกณฑ์ของธรรมชาติมันก็เกี่ยวกับความทุกข์นั้น ๆ
นี่ที่พูดนี้ก็ไม่ได้มีธรรมะธรรมโมอะไรนัก เป็นพูดเรื่องประวัติศาสตร์ทางจิตใจ ไม่ใช่ทางวัตถุ ประวัติศาสตร์ทางจิตใจของมนุษย์ได้เป็นมาอย่างนี้ เป็นมาอย่างนี้ เป็นมาอย่างนี้ จนถึงจุดสูงสุด แล้วเราก็เป็น คน ๆ หนึ่งที่รวมอยู่ในพวกนั้น โดยถือเอาประโยชน์ให้ได้มากที่สุด โดยถือว่ามันเกิดมาแล้ว มันมีปัญหาอย่างนี้ ก็ต้องแก้ปัญหาอันนี้ให้ได้ อย่าไปแค่แก้ตัว อย่าไปแก้ตัวผลัดเพี้ยนว่า โอ, ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมานี่ ถ้าแก้ตัว อย่างนี้มันก็ไม่พ้น เพราะมันก็ยังต้องเป็นทุกข์นั่นแหละ มันต้องยอมรับเอาว่า จะต้องแก้ไขปัญหาอันนี้ คือ ความทุกข์กันให้ได้ ในฐานะที่ได้เกิดมาแล้ว
นี้ก็ดู ถอยหลังสิว่าเกิดมา เกิดมา เกิดมานี้มันมาอย่างไร เดี๋ยวมันก็จะพบกฏของธรรมชาติ กฏอิทัปปัจจยตา นั้นเกิดมาอย่างไร เกิดมาอย่างไร เกิดมาอย่างไร คือ ถอยหลังไป ถอยหลังไป และที่ว่ามัน เป็นทุกข์นั้น มันเพราะจิต มันคิดผิด ถ้ามันคิดไม่ผิดมันก็ไม่เป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้เราถือเอาความหมายว่า ถ้ามันเป็นทุกข์ เราก็ถือว่าผิด ถ้ามันไม่เป็นทุกข์เราก็ถือว่าถูก ไม่เอาเปรียบหรอก มันคล้าย ๆ กับเอาเปรียบ การที่จะวางกฏเกณฑ์อย่างนี้ อะไรที่ดับทุกข์ได้คือ ถูก อะไรที่ดับทุกข์ไม่ได้ก็คือ ไม่ถูก แล้วก็ค้นคว้าเรื่อยไปนะ
ที่จริงถ้าว่ามนุษย์ ได้ค้นคว้าเรื่องทางจิตใจ ละเอียด ปราณีต ลุ่มลึก เหมือนกับเรื่องทางวัตถุแล้ว เรื่องทางศาสนานี้ ก็จะเจริญมาก เจริญกว่านี้ มนุษย์จะมีความดับทุกข์ได้มากกว่านี้มาก นี่คุณก็พอจะสังเกต เห็นหรือคำนวนได้ว่า ไอ้ความคิดเรื่องไฟฟ้า เรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า เรื่องอิเล็กทรอนิกส์ เรื่องพลังปรมาณู เรื่องอวกาศ เรื่องอะไรต่าง ๆ นี้ มันต้องใช้ความคิด อย่างยิ่งเพียงไร นี้ก็เรื่องคอมพิวเตอร์อย่างเดียวนี่ ผมรู้สึกว่ามันมากมายมหาศาล ยิ่งกว่าเรียนเรื่องความดับทุกข์ของมนุษย์ อ่า, แต่มนุษย์ไม่ได้เอาพลังความคิด เท่าที่มีมาคิดเรื่องดับทุกข์นี่ มันก็เลยไม่ต้องมีคิดไม่ได้ มันก็ไปคิดในเรื่องที่เป็นเรื่องวัตถุ เป็นเรื่องสด ๆ ร้อน ๆ เรื่องจะหาประโยชน์ได้ทันที ชื่อเสียงได้ทันที ได้ลาภ ได้ผล ได้ร่ำ ได้รวย ได้อำนาจวาสนาทันที นี่เขาเอาสติปัญญาไปคิด แต่เรื่องชนิดนั้น
แม้ไอ้เรื่องคอมพิวเตอร์เรื่องเดียวก็ต้องใช้ความคิด คนพยายามอดทน มากกว่าคนสักคนหนึ่งที่จะไป คิดค้น พยายามอดทนเพื่อดับทุกข์ เพื่อดับทุกข์ นี่เห็นไหมว่า มันกำลังเล่นตลกกันอยู่อย่างไร มนุษย์มีปัญญา สามารถ แต่ก็ไม่ได้คิด อ่า, เรื่องที่จะดับทุกข์ กลับไปคิดแต่ในเรื่องเพิ่มปัญหายุ่งยาก ลำบาก มีเรื่องมาก มาก มากเกินจำเป็น เออ, ความทุกข์มันก็เพิ่ม เพิ่มละเอียด ลึกซึ้ง ซับซ้อน นี่มันเป็นอยู่อย่างนี้
ฉะนั้นเรา มองเห็นข้อนี้แล้วก็อย่าไปสร้าง ไอ้สิ่งที่มันไม่จำเป็นจะต้องสร้างขึ้นมา หรือมันควรจะ เพียงแต่ทดลอง ผ่านไปครั้งหนึ่งก็พอแล้ว ไม่ต้องพยายามที่จะต้องเป็นอยู่อย่างนั้น ด้วย อ่า, การลงทุนลงแรง ที่แพงมาก เช่นว่าไปกินอาหาร แพงที่สุดที่ว่าคำละพันบาท คำละหมื่นบาทอะไรทีหนึ่ง ก็แล้วกันแหละ มันก็ พอ ไม่ต้องทำตนให้เป็นผู้ที่ต้องมีอาหารอย่างนั้นกินทุกวัน ทุกวัน ทุกมื้อ ทุกมื้อ มันไม่ได้ อ่า, ก็รู้ว่าอาหาร คำละพันบาท หมื่นบาทนั้น มันไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นเลย มันก็ไม่ต้อง ไม่ต้องเป็นอยู่ให้มันฟุ่มเฟือย โอ่โถง หรูหรา จนเต็มไปด้วยปัญหา แล้วมันก็ตายอย่างนั้นนะ มันก็ตาย หาความสงบใจไม่ได้ นี่เป็นอยู่ให้ถูกต้อง ให้พอดีเถิด การกิน การอยู่ การเป็นการอยู่ เรื่องปัจจัย ๔ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย การบำบัดโรคนี้ ให้มันพอดี พอดี ให้มันมีเวลาว่างมากพอที่จะมา ศึกษาเรื่องทางจิตใจ รู้จักจิตใจให้ดี จับตัวปัญหาทางจิตใจ ให้ได้ แล้วก็ทำลายให้หมดไป
นี้ผม สรุปพูดหรือพูดอย่างสรุปว่า อ่า, จะต้องทำอย่างนี้ เพราะว่าจะต้องมีชีวิตยืนกันไปอีกหลายปี ไม่ใช่จะว่าจะตายวันนี้พรุ่งนี้ จนกว่าที่มันจะตายนี่ อ่า, ใช้เวลาให้ถูกต้อง อย่าใช้เวลาที่ถลำลึกเข้าไปใน ความทุกข์ ยุ่งยากลำบากมากขึ้น ทำให้มันถูกต้อง สำหรับที่จะดับทุกข์ ทำการทำงานก็ทำได้ หรือถ้ามันได้ลาภ ได้ผลร่ำรวยอะไรมา ก็รู้จักใช้ในทางที่จะมันจะไม่สร้างปัญหา ไม่สร้างความทุกข์ ให้ยุ่งยาก ถ้าได้เงินมามากนัก เอาไปทิ้งทะเลเสียบ้างยิ่งดี มันจะไม่เป็น ไม่เป็นปัญหามาก เอาไว้แต่เท่าที่มันจะ อยู่กันได้สบาย ๆ แต่ไม่ต้อง เอาไปทิ้งทะเลแล้ว คงใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นได้ แต่ว่าอย่าไปหลงที่จะไปหา มาสร้างวิมาน แล้วก็เป็นอยู่อย่าง แพงที่สุด แล้วก็ไม่ได้อะไร นอก นอกจากไอ้ปวดหัว นอกจากหัวหมุนไปด้วยปัญหาต่าง ๆ นานา เพราะมันไป ไอ้สร้างปัญหาทางวัตถุมากขึ้น มันก็ปวดหัว เป็นโรคประสาทแล้วก็ตายเร็ว
นี่กำหนดแผนการที่ว่าจะเป็นอยู่เท่าไรอย่างไร แล้วจะอำนวยความสะดวกแก่การที่จะ ดับทุกข์ทางใจ มีชีวิตเย็น ๆๆๆๆ มีชีวิตที่เย็น ๆๆ เป็นนิพพานนะ งานก็ทำไปได้ ถ้าเราหาความเย็นใจก็ไปได้ในการงาน ทุกชนิด อย่าไปเชื่อ คนบางคนพูดว่า ทำพร้อมกันไม่ได้ อ่า, ในการที่จะมีธรรมะทางโลก แล้วก็มีธรรมะทาง โลกุตระ นี้ มีพร้อมกันไม่ได้ ผมจะขอเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า ไอ้ธรรมโลกุตระ นั้นนะ มันมีไว้เพื่อคนอยู่ในโลก โลกุตรธรรม นั้นมันมีไว้สำหรับคนอยู่ในโลก จะต่อสู้โลกโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ บางคนมันบ้า ว่าทำพร้อมกัน ไม่ได้ แล้วยังล้อผมว่าเหมือนกับ อ่า, ขนมปังแผ่นหนึ่งทาเนย ๒ หน้าอย่างนี้ อย่างนี้มันไม่ถูก
นี่พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า โลกุตรธรรมนี้ตถาคตมอบให้เป็นไอ้ ทรัพย์สมบัติ อ่า, ของคนทุกคน มี ๆๆ พรานคนหนึ่งนะ เป็นเจ้าปัญญานักศึกษาหรืออะไรก็ตาม ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ทำไมฝ่ายพระเวทนะ ฝ่ายคัมภีร์พราหมณ์ ถึงบัญญัติ ธนูและแหล่งศรนะ คือกระบอกธนูหรือคันธนู สมัยโบราณเขาไม่มีปืนมีแต่ธนู นี่คืออาวุธร้ายสำหรับโบราณ บัญญัติแหล่ง อ่า, บัญ บัญญัติธนูหรือคันธนู แหล่งศร กระบอกลูกศร ไว้เป็น ทรัพย์ อ่า, ของวรรณะกษัตริย์ บัญญัติการทักษิณาทาน การรับทักษิณาทานนะ ว่าเป็นทรัพย์ของ วรรณะพราหมณ์ แล้วก็บัญญัติทะโกลักกรรม ลักกิกรรม(นาทีที่ 53:19) อะไรต่าง ๆ ว่าเป็นทรัพย์ของวรรณะ ไวศยะ คือ วรรณะแพศย์ทั่วไป แพศย์ศย แล้วก็บัญญัติคานกับไม้เคียว เอ้ย, เคียวกับไม้คาน เคียวกับไม้คานนะ คานหาบของก็เป็นทรัพย์ของวรรณะศูทร คือ พวกลูกจ้างพวกกรรมกร อ่า, พวกพราหมณ์เขาบัญญัติอย่างนี้ อ่า, พระสมโคดมบัญญัติเรื่องนี้ว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เราบัญญัติโลกุตรธรรม สำหรับคนทุกคน เป็นทรัพย์ของบุรุษทุกคน ของคนทุกคน บัญญัติโลกุตรธรรม สำหรับคนทุกคน คุณช่วยจำไว้ด้วย มันก็รวมทั้ง เราด้วย ซึ่งจะต้องมีโลกุตรธรรม อ่า, เป็นทรัพย์ เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ต่อสู้ปัญหาในชีวิต
นี้ขอให้ถือเสียว่า ไอ้เรื่อง โลกุตรธรรม นี้ไม่ใช่เก็บไว้สำหรับคนไปอยู่นอกพระนิพพาน แล้วก็จะเป็น อะไรที่ไหนก็ไม่รู้ โลกุตรธรรม บัญญัติให้คนที่อยู่ในโลกนี่มี ไว้สำหรับใช้แก้ปัญหาในโลก ไม่ให้โลกเป็นปัญหา ขึ้นมาได้ ตัวอย่างง่าย ๆ เช่นว่า เรามีความรู้เรื่องโลกุตรธรรม แล้ว เราก็ไม่หลงโลกนะ ไม่หลงเรื่องรูป เรื่องเสียง เรื่องกลิ่น เรื่องรส เรื่องโผฏฐัพพะ เรื่องธรรมารมณ์ ที่แสนจะยั่วยวนนะ นี้มี ๆๆๆโลกุตรธรรม เป็นทรัพย์ อย่างนี้ จะไม่หลงในสิ่งชนิดนี้ มันก็ไม่เป็นทุกข์ มันจำเป็นอย่างยิ่งที่ว่าอยู่ในโลก ต้องมีเครื่องมือ หรืออะไรก็ตาม ป้องกันไม่ให้เกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา ป้องกันไม่ให้โลกนี้มันทำความทุกข์ให้แก่ตนนั้นนะ นั่นนะคือ โลกุตรธรรม ยิ่งอยู่ในโลกที่มีปัญหามากเท่าไร ก็ยิ่งต้องมีโลกุตรธรรม มากเท่านั้น ฉะนั้นขอให้เข้าใจ คำนี้ให้ดี ๆ ว่าเรายังต้องอยู่กันในโลกเท่าไร เราจะต้องยิ่งมีโลกุตรธรรม สำหรับแก้ปัญหาเท่านั้น ๆ ให้พอกัน
นี่ขอให้ใช้ชีวิต ในอนาคตให้มันถูกกับเรื่อง อย่าเอาโลกุตรธรรม ไปไว้เสียอีกฝ่ายหนึ่ง ไอ้ตัวเองอยู่ อีกฝ่าย ไม่มีวันพบกัน มันจะผิดจากหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรามอบโลกุตรธรรมให้เป็นทรัพย์ ให้เป็นทรัพย์ สำหรับคนทุกคน คนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ วรรณะศูทร วรรณะ ใด ๆ ก็ตาม ให้ทุกคนนี้มีโลกุตรธรรม นี้เป็นทรัพย์ แล้วเขาก็จะไม่เป็นทุกข์
เรื่องนี้ฟังดูมันแปลกดี เหมือนพวกพราหมณ์เขาบัญญัติ ให้เป็นวรรณะ แล้วก็จัดชั้น ๆ ให้เสร็จเลย นี่ให้วรรณะกษัตริย์มีหน้าที่ใช้อาวุธ ให้วรรณะพราหมณ์มีหน้าที่รับทักษิณาทาน ให้วรรณะแพศย์หรือไวศยะ มีหน้าที่ ทำกสิกรรม หัตถกรรม ตโประปกรรม ต่าง ๆ (นาทีที่ 56:53 ) ทำไร่ทำนาค้าขายทำสวน แล้วให้ วรรณะศูทรนั้นนะ เป็นทาสกรรมกร มีเคียวเกี่ยวข้าว อ่า, มีไม้คานสำหรับแบกหาม แต่ไอ้เรื่องวรรณะนี้ มันเลิกได้เฉพาะ อ่า, โดยชาติกำเนิดเท่านั้น โดยชาติกำเนิดจะถือเป็นหลักนี่ ว่าเกิดจากวรรณะกษัตริย์จะต้อง เป็นกษัตริย์ หรือเกิดวรรณะไหนก็เป็นวรรณะนั้น มันก็แล้วแต่การประพฤติกระทำของตน ถ้าไปเลี้ยงชีพเข้า ด้วยอาชีพ นิดไหนมันก็จัดเป็นวรรณะนั้น มันจะเกิดมาอย่างไรก็ตาม ถ้ามันเป็นทาส เป็นลูกจ้างก็เป็นวรรณะ ศูทร ถ้ามันไปทำไร่ ทำนา ตามปรกติ มันเป็นวรรณะแพศย์ ถ้ามันเป็น อ่า, นักบวชมันก็เป็น วรรณะพราหมณ์ ถ้าเป็น นักรบ นักปกครอง มันก็เป็นวรรณะกษัตริย์ แล้วแต่หน้าที่ที่กระทำ
วรรณะโดยหน้าที่นี้มีอยู่ตลอดไปไม่เลิกมันเลิกไม่ได้ ถ้าทำหน้าที่อย่างไรมันก็ถูกจัดเป็นวรรณะ แต่ว่าเกิดมาเป็นอย่างไร จัดเป็นวรรณะนั้นนี้เลิกได้ นี้ไม่จริง ไม่จริง มันจริงอยู่ที่ว่าเกิดมาแล้วทำหน้าที่อะไร เช่น เราอย่างนี้มันก็ต้องเป็นนี่พระอยู่อย่างนี้ มันเป็นวรรณะพราหมณ์ วรรณะที่เรียกวรรณะพราหมณ์ ในในหลักเกณฑ์เหล่านั้น พวกชาวไร่ชาวนาก็เป็นวรรณะแพศย์ไป พวกกรรมกรก็เป็นวรรณะศูทรไปนะ
เอาล่ะขอให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ศาสนานั้นนะ อ่า, เป็นวัฒนธรรมชั้นสุดท้ายของมนุษย์ ถ้าเราก็เป็น มนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ มันก็ควรจะมีได้รับประโยชน์ จากวัฒนธรรมขั้นสุดท้าย คือ พระศาสนานั้น มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ แล้วก็จะควรเป็นที่พอใจ ว่าไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา เอาล่ะขอให้กำหนดไว้อย่างหนึ่งสำหรับวันนี้ คงจะมีเวลาพูดกันอีก ๒-๓ ครั้ง ก่อนจะออกพรรษา แล้ววันนี้ ขอยุติการบรรยาย เพียงเท่านี้